ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1767 เพิ่มมูลค่าเป็นสองเท่า

บทที่ 1767 เพิ่มมูลค่าเป็นสองเท่า

กลยุทธ์ที่บริษัทจัดประมูลริชชี่นำมาใช้ในการประมูลในครั้งนี้ได้ผลดีเป็นอย่างมาก โดยเริ่มจากการประมูลเพื่อการกุศลก่อน จากนั้นจึงค่อยเข้าสู่การประมูลอย่างเป็นทางการ กลยุทธ์แบบนี้ก็เหมือนกับการตกปลา โยนเหยื่อที่เป็นหญ้าลงไปก่อน ค่อยตามด้วยเหยื่อเนื้อ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีปลามากินเบ็ด

แม้ว่าการประมูลนี้จะดำเนินมาได้ไม่นาน แต่การทำแบบนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการควบคุมตั้งแต่ต้น เมื่อตรวจดูอารมณ์ของเหล่าเศรษฐีทั้งหลายปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อการประมูลเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ บรรยากาศก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที

ในตอนนั้นฉินสือโอวก็มีท่าทีผ่อนคลายลง ในการประมูลมีบริกรคอยบริการเครื่องดื่ม ฉินสือโอลและวินนี่ดื่มกาแฟพลางวิพากษ์วิจารณ์ถึงโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมและงานศิลปะเหล่านี้เบาๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่เป็นเพราะว่าการประมูลในครั้งนี้มีของที่นำมาประมูลเป็นจำนวนมากเกินไป จึงต้องเป็นการประมูลออกเป็นสองรอบเช้าและบ่าย ทุกรอบจะมีการพักรอบละสองครั้ง เวลาในการจัดงานประมูลครั้งนี้จึงเกิดขึ้นทั้งวัน

ของชิ้นสุดท้ายคือกระดูกของบารอนแชมเบอร์เลนรวมถึงชุดเกราะและอาวุธของเขา ราคาเริ่มต้นเป็นราคาที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ 50 ล้านดอลลาร์ ทุกการประมูลมูลค่าของมันเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งล้านดอลลาร์

อย่างที่เบลคได้คาดการ์ไว้ เหล่าเศรษฐีทั้งหลายกำลังทำการแข่งกันประมูลของชิ้นนี้ 50 ล้าน 55 ล้าน 60 ล้าน 70 ล้าน 80 ล้าน เมื่อราคาของมันสูงไปถึง 90 ล้านดอลลาร์ ความกระตือรือร้นในการประมูลจึงเริ่มลดลง

สาเหตุที่โครงกระดูกและอาวุธชุดเกราะชุดนี้มีค่ามาก ไม่เพียงแต่เพราะว่ามันเป็นของบารอนแชมเบอร์เลนเท่านั้น แต่เพราะอาวุธและชุดเกราะของเขามีเบื้องหลังที่ค่อนข้างโดดเด่น เช่นธนูยาวที่เขาใช้ บนธนูคันนั้นมีลายมือของพระสันตะปาปาแห่งวาติกันเขียนอยู่ และชุดเกราะลามินาร์ที่เขาใช้ ก็เป็นชุดเกราะตอนที่เขาได้เลื่อนยศเป็นบารอน ซึ่งในตอนนั้นจักรพรรดิอังกฤษได้มอบชุดเกราะนี้ให้เขาเป็นรางวัล

ฉินสือโอวไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ธนูยาวที่ได้รับการอวยพรจากพระสันตะปาปานั้นได้ถูกเขาถึงมาแล้ว ชุดเกราะลามินาร์ที่จักรวรรดิอังกฤษมอบให้บารอนเขาก็ได้เล่นมันมาได้แล้ว สงครามผู้กล้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาอยากที่จะทำชุดเกราะขึ้นเอง ซึ่งเขาได้ใช้เกราะชนิดนี้เป็นแม่แบบ ตอนนั้นเขาก็ทำไปเพราะไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่คิดเลยว่ามันจะมีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้

ในที่สุดราคาของมันก็มาถึงจุดสุดท้าย ผู้ประมูลส่วนใหญ่เป็นขุนนางทหารผ่านศึกชาวอังกฤษ เศรษฐีชาวรัสเซียและกลุ่มทรราชท้องถิ่นรายใหญ่ในตะวันออกกลาง แต่ว่าการประมูลของพวกเขามีหลักการเป็นอย่างมาก พวกเขาจะเพิ่มราคาขึ้นจากมูลค่าที่ต่ำก่อนทุกครั้ง และเมื่อได้ยินราคา พวกเขาก็จะเข้ามาล้อมวงกันแล้วปรึกษากันเบาๆ

ฉินสือโอวรู้สึกไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก เขารู้ว่ารายได้จากการประมูลของชิ้นนี้ครึ่งหนึ่งคือรายได้ของเขา เมื่อราคาขึ้นสูงแบบนี้รายได้ของเขาก็ยิ่งมากขึ้น

วินนี่อยู่กับเขามานาน เธอรู้ความคิดของเขาได้จากการดูท่าทางที่เขาแสดงออกมา เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย และยกกำปั้นชกไหล่เขาเบาๆ พลางพูดออกมาเบาเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกังวล ดูสถานการณ์สิ ตอนนี้ราคาสูงสุดจะอยู่ที่สิบล้าน เมื่อแบ่งออกมาแล้วคุณจะได้เพียงสี่ล้านเท่านั้น แค่เงินสี่ล้าน คุณสนใจมันขนาดเลยเหรอ?”

ฉินสือโอวคิดตามวินนี่และรู้สึกเห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่เขากลับจับมือเล็กๆ ของวินนี่ไปจนการประมูลจบลง

การคาดเดาของวินนี่ถูกต้อง เมื่อราคาของมันสูงถึง 95 ล้าน เศรษฐีชาวรัสเซียก็ถอนตัวออกจากการประมูลเป็นคนแรก หลังจากนั้นสี่นาที ขุนนางชาวอังกฤษขอเสนอราคาที่ 150 ล้านดอลลาร์ ทำให้เหล่าทรราชท้องถิ่นในตะวันออกกลางพลางกันส่ายหัวและถอนตัวออกจากประมูล

“150 ล้านครั้งที่หนึ่ง! 150 ล้านครั้งที่สอง! 150 ล้านครั้งที่สาม!” ชายผู้ที่สวมถุงมือสีขาวตะโกนทวนราคาขึ้นมาสามครั้ง เมื่อไม่มีใครทำการประมูลเพิ่ม ทันใดนั้นเขาก็ผายมือไปยังขุนนางชาวอังกฤษ “ขอแสดงความยินดีกับสุภาพบุรุษท่านนั้นด้วยครับ เขาชนะการประมูลในครั้งนี้ไปในราคา 150 ล้านดอลลาร์!”

เสียงปรบมือดังขึ้นกระหึ่ม ฉินสือโอวปรบมือเสียงดัง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นมาว่า ‘งี่เง่า บ้าบอ เสียเงินไปเปล่าๆ…’

การประมูลสิ้นสุดลง เมื่อโครงกระดูกและชุดเกราะรวมถึงอาวุธของนักแม่นธนูถูกประมูลไปในราคา 150 ล้าน การประมูลในครั้งนี้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ขอบริษัทประมูลริชชี่

เบลคที่สวมชุดสูทสีดำเรียบร้อยเดินขึ้นไปยังหน้าเวทีและโค้งคำนับขอบคุณ การประมูลได้สิ้นสุดลงแล้ว ที่ด้านข้างของเศรษฐีแต่ละท่านมีบริกรยืนคอยอยู่ด้านข้าง พวกเขาพาเหล่าเศรษฐีเข้าไปยังหลังเวทีเพื่อทำการลงนามสัญญาการซื้อขายและชำระเงิน ฉินสือโอวก็มีบริกรนำเขาไปเช่นกัน เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินด้วยตัวเอง วินนี่หยิบบัตรเครดิตของเขาออกไปจัดการให้แล้ว

เบลคและคนของเขารวมถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดประมูลริชชี่ร่วมกับจับมือกับผู้เข้าร่วมประมูลอย่างใกล้ชิด เมื่อพวกเขาส่งแขกคนสุดท้ายเสร็จ เขาก็เข้ามาพูดคุยกับฉินสือโอว เมื่อเห็นฉินสือโอวเขาก็เข้ามากอดอย่างแรง จากนั้นก็กระซิบเข้าที่ข้างหูของฉินสือโอวด้วยความสุขอย่างเอ่อล้น “เพื่อนยาก เพื่อนยาก เพื่อนที่แสนดีของฉัน! รู้ไหมว่าครั้งนี้เราทำเงินได้เท่าไร? ฟัค ฉันแทบจะเป็นบ้าเลยล่ะ!”

ฉินสือโอวถามผสมโรงกลับไปว่า “เท่าไรเหรอ?”

เขารอคอยคำตอบนี้มานาน ตอนแรกเขาก็คำนวณรายได้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อการประมูลเป็นไปอย่างเข้มข้น การคำนวณของเขาก็ถูกตัดจบไป เขาไม่ได้คำนวณเงินจากของประมูลหลายรายการ เขาจึงรู้เพียงว่าการประมูลทั้งหมดนี้มีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเท่าไร

“มูลค่าทั้งหมดมากกว่า 5,500 ล้าน แต่สมบัติที่เรืออับปางของเรา มูลค่าการประมูลทั้งหมดสี่หาร 255 ล้านดอลลาร์! ดอลลาร์สหรัฐ!” เบลคพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะระงับเสียงของเขาไม่ให้ดัง เสียงของเขาแทบจะเหมือนตะโกนออกมา

บิลลี่และแบรนดอนเข้ามาบทสนทนาด้วยเช่นกัน แบรนดอนเป็นพวกชอบเงินอย่างไม่ต้องสงสัย เขามีความรู้สึกไวต่อตัวเป็นอย่างมาก หลังจากที่เข้ามาหาเบลคและฉินสือโอว เขาก็กระซิบด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “สี่พันสองร้อยล้ายดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวเลขนี้จริงเหรอ จริงๆ เหรอ?”

เบลคพยักหน้าหลายครั้ง ใบหน้าของบิลลี่และเบลคเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติ พวกเขาหันหน้าเข้าหากันและไฮไฟว์กัน บิลลี่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุดว่า “ปาร์ตี้ให้สุดไปเลย! คืนนี้ต้องสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย! พระเจ้า ฉันจะเหมาคลับทั้งหมดในโทรอนโต งานนี้ต้องฉลอง! ฉลอง! ฉลอง!”

เบลคพูดผสมโรงเข้ามาว่า “แน่นอนๆ เพื่อนยาก แน่นอนว่าเราจะต้องฉลอง! ไม่เพียงแต่จะเหมาไนต์คลับเท่านั้นนะ ฉันจะทำสัญญากับเหล่าดาราและนางแบบทั่วทั้งโทรอนโตด้วย ฉันจะให้พวกเธอกินนกตัวใหญ่ของฉันในคืนนี้!”

แบรนดอนรีบชูนิ้วที่สวมแหวนขึ้นมาแล้วขึ้นมาด้วยความเสียดาย “ขอโทษนะเพื่อน ฉันสาบานกับพระเจ้าแล้วว่าจะไม่ทรยศต่อภรรยา อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากหักหลังภรรยาหลังจากที่แต่งงานมาไม่ถึงปีหรอกนะ”

เบลคพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “อ้อ ให้ตายเถอะ นายนี่เป็นคนเลวจริงๆ นายทำลายบรรยากาศดีๆ ของพวกเราจนหมด!”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูด “ไม่ พี่น้องทั้งหลาย ฉันชื่นชมแบรนดอนนะ ฉันก็จะไม่ทรยศภรรยาของฉัน”

บิลลี่มองไปยังเบลคและยิ้มออกมา เบลคจ้องมองไปยังเขาและสบถออกมาว่า “อย่าบอกว่านายไม่สามารถทรยศภรรยานายได้นะ”

บิลลี่ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่มีทาง ฉันยังไม่มีภรรยา แต่ว่าฉันไม่อยากทรยศแฟนของฉัน ใช่แล้ว เพื่อนยาก ฉันมีแฟนแล้วนะ”

“เป็นไปไม่ได้!” เบลคร้องออกมาด้วยความไม่เชื่อ

บิลลี่ชี้ไปที่ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ฉินสามารถเป็นพยานให้ฉันได้ อีกอย่างเขาและวินนี่ก็เป็นคนแนะนำสาวน้อยแสนสวยคนนั้นให้ฉันด้วย”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันรู้แล้ว ใช่เพื่อนร่วมชั้นของวินนี่คนนั้นใช่ไหม?”

บิลลี่ยักไหล่อีกครั้ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มหวานขึ้น “สาวน้อยคนนั้นเป็นคนที่ดี ใช่ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวและแบรนดอนมองไปยังเบลคที่ยังส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อเรื่องของบิลลี่ “อ้อ เบลคผู้น่าสงสาร นายถูกตัดออกมาจากทีมของพวกเราแล้วล่ะ!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท