ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 152 คำขอร้องจากนายท่านกงซุน

บทที่ 152 คำขอร้องจากนายท่านกงซุน

บทที่ 152 คำขอร้องจากนายท่านกงซุน

โจยู่ถานมองหลินถานอย่างไม่สบอารมณ์ ไอ้แมงดาที่หน้าด้าน ไม่รู้ว่ามันใช้วิธีประจบยังไง แม้แต่คุณหนูกงซุนยังให้เกียรติมัน

คนไร้ค่าอย่างมัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะมานั่งดื่มชาในนี้เลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังทำเหมือนเธอเป็นพนักงานบริหารอีก มันมีสิทธิ์อะไร?

“น้ำร้อนแก้วหนึ่งก็ได้” หลินอิ่งตอบมาอย่างเรียบเฉย

“น้ำร้อนเหรอ? หึ ไม่มี ร้านชาหยูนยู่นของเราไม่เคยมีเครื่องดื่มที่ไม่มีระดับแบบนั้นถ้าอยากกินน้ำร้อน แกก็ไสหัวออกไปหากินตามร้านข้างทางได้เลย” โจยู่ถานพูดดูถูก

บ้านนอกซะจริง มากินน้ำร้อนในร้านชาหยูนยู่นเนี่ยนะ? คงไม่รู้จักประวัติและคุณค่าของชาในร้านนี้สินะ? หรืออาจเป็นเพราะมันเห็นราคาที่มันสูงขนาดนั้นแล้วไม่กล้าสั่ง กลัวตัวเองจะต้องจ่ายสินะ?

“โจยู่ถาน เธอรีบหุบปากไปเลยนะ!” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง

ผู้หญิงคนนี้เธออยากตายรึไง? เธอมาเป็นคนมาหาหลินอิ่งแท้ๆ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมาก่อกวนอยู่ตรงนี้!

“คุณหนูคะ คุณ……” โจยู่ถานตกใจ สีหน้าดูตื่นตระหนกมาก ไม่รู้ว่าทำไมคุณหนูกงซุนถึงได้ปกป้องคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งนัก

“ยังจะอะไรอีก? ถ้าไม่มีน้ำร้อนแล้วยังจะเปิดร้านชาได้ยังไง? รีบไปเอามาแก้วหนึ่ง ได้ยินมั้ย?” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความโมโห

“ได้ค่ะ ได้ค่ะ ฉันจะไปเอาเดี๋ยวนี้เลยค่ะคุณหนู” โจยู่ถานตอบ

“อีกอย่าง ฉันมีธุระต้องคุยกับหลินอิ่ง เธอให้พนักงานเป็นคนเอาเครื่องดื่มมาส่งก็พอ เธอไม่ต้องมาเสนอหน้าให้ฉันเห็นก็ได้” กงซุนชิวอวี่สั่ง

“อะไรนะคะ? คุณหนูกงซุน ฉันจะไม่พูดแล้วค่ะ คุณให้ฉันอยู่ช่วยรินชาให้ก็ได้นะคะ” โจยู่ถานพูดพร้อมกับยิ้มออกมา

ตำแหน่งของครอบครัวเธอที่อยู่ในตระกูลโจนั้นต้องหวังพึ่งการเอาใจคุณหนูกงซุนนี้แหละ เพื่อให้คุณหนูไปช่วยพูดอะไรบ้าง แบบนี้ฐานะตอนอยู่ต่อหน้าคุณท่านก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

โอกาสที่จะได้มาคลอเคลียแบบนี้ เธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน

“แค่เห็นหน้าเธอฉันก็รู้สึกหงุดหงิดแล้ว เธอช่วยออกไปจากสายตาฉันทันทีเลยนะ” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความไม่ชอบใจ “ถ้าเธอยังโผล่หน้ามากวนใจฉันอีกละก็ ฉันจะไปบอกคุณท่านโจนะ”

“คุณหนูกงซุน ฉันผิดไปแล้ว อภัยให้ฉันด้วยเถอะ อย่าโกรธฉันเลยนะคะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ” โจยู่ถานรีบพูดขึ้นมาเธอตกใจจนหน้าซีดเผือด

“เธอจะมาขอโทษฉันทำไม?” กงซุนชิวอวี่รู้สึกแปลกใจ “ไปขอโทษหลินอิ่งโน้น เธอทำให้เขาลำบากใจขนาดนั้น ทำให้ฉันเสียหน้าขนาดไหนรู้มั้ย? กล้าทำให้แขกของฉันลำบากใจสินะ?”

โจยู่ถานสีหน้าดูไม่ได้เลย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าภายในจิตใจของกงซุนชิวอวี่ที่สูงศักดิ์คนนี้ หลินอิ่งจะถูกให้ความสำคัญมากขนาดนี้

ทำไม? การที่เธอต้องมาขอโทษไอ้คนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งแบบนี้ เธอไม่สบอารมณ์เอาซะเลย ถ้าคุณหนูหันมาให้ความสำคัญกับเธอแบบนี้บ้างมันจะดีแค่ไหน? เธอที่อยู่ในตระกูลโจคงสามารถโบยบินได้ในทันที ได้รับสืบทอดมรดกมากมายจากคุณท่านโจ

แววตาที่โจยู่ถานมองหลินอิ่งทั้งอิจฉาทั้งโกรธแค้น เธอพูดออกมาด้วยความฝืนใจสุดๆ “ขอโทษค่ะ คุณหลินอิ่ง ก่อนหน้านี้ฉันพลั้งปากไป ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นเพื่อนกับคุณหนูกงซุนแบบนี้”

“ต่อไปก็ระวังหน่อยแล้วกันครับ” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

โจยู่ถานรู้สึกไม่พอใจมาก ไอ้เศษเดนนี่ยังมีหน้ามาแสดงอยู่อีก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้างไหม? รอให้คุณหนูกงซุนกลับตี้จิงไปก่อนเถอะ เธอต้องเอาจะเอามันให้ตายเลย!

“ได้ยินมั้ย? ต่อไปก็ระวังหน่อย ต่อนี้เธอรีบไสหัวไปได้แล้ว รีบหายไปซะ” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาด้วยความเหลืออด

โจยู่ถานคนนี้เอาแต่กวนการคุยธุระของเธอกับพี่ชายอยู่นั่นแหละ น่ารำคาญจะตายไป

“ค่ะ ค่ะ ค่ะ คุณหนู ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ถ้าคุณมีอะไรให้รับใช้ก็บอกผ่านพนักงานมาได้เลยนะคะ ฉันจะรอคำสั่งจากคุณอยู่ชั้นล่างนะคะ” โจยู่ถานพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วเดินลงชั้นล่างไปโดยไม่เต็มใจเลยแม้แต่นิดเดียว

หลินอิ่งไอ้คนไร้ค่าที่สมควรตาย กว่าเธอจะสามารถเชิญคุณหนูกงซุนมาที่ร้านชาของเธอเพื่อทำดีด้วยนั้นมันยากลำบากแค่ไหน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆ แต่ดันถูกมันทำเสียเรื่องหมดเลย

โจยู่ถานเดินมาถึงชั้นล่างอย่างไม่พอใจ เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับหลินอิ่งยังไงดี เธอจะต้องทำให้ไอ้เศษเดนนั่นมาก้มหัวขอโทษเธอให้ได้

“เฮ้อ ออกไปได้สักที ทำไมหลังจากที่ฉันกลับตี้จิงไปรอบตัวถึงมีแต่คนแบบนี้นะ?” กงซุนชิวอวี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ

“ฉันว่านะ ถ้าพวกเขารู้ถึงฐานะของฉันที่อยู่ในตระกูลกงซุนละก็ ฉันก็คงหาเพื่อนที่จะคุยด้วยแบบปกติไม่ได้แล้ว” กงซุนชิวอวี่พูดขึ้น

หลินอิ่งยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “สังคมมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

“จริงด้วย พี่คะ พี่เองก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย พี่เลยไม่ยอมเปิดเผยทรัพย์สินและอำนาจของตัวเองออกมา?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย

“เธอไม่สามารถเข้าใจมันได้ง่ายๆ หรอก” หลินอิ่งตอบอย่างเรียบเฉย

กงซุนชิวอวี่รู้สึกนับถืออยู่ในใจ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณตารู้สึกชื่นชมในตัวหลินอิ่งก็ได้ ช่างเป็นคนที่น่ายกย่องจริงๆ!

“พี่คะ ช่วงนี้พี่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิงหยูนเป็นยังไงบ้างคะ? มีอะไรที่น่าสนใจบ้างคะ?” กงซุนชิวอวี่เอ่ยถาม

“มาพูดเรื่องธุระของเราดีกว่า” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่เธอมาหาฉันถึงที่เมืองชิงหยูนนี่มีธุระอะไรเหรอ?”

พอพูดถึงตรงนี้ กงซุนชิวอวี่ก็ทำหน้าซีเรียสขึ้นมาทันที แล้วเธอก็ถามไปอย่างจริงจังว่า “พี่คะ พี่เป็นคนรักษาคุณตาให้หายใช่มั้ยคะ? แสดงว่าพี่ต้องมีความสามารถทางการแพทย์ที่สูงมาก หรือไม่พี่ก็ต้องรู้จักกับหมอที่มีความสามารถสูงส่งใช่มั้ยคะ?”

“ฉันเป็นคนรักษาท่านเอง” หลินอิ่งพยักหน้าตอบ

กงซุนชิวอวี่ขยับแว่นครั้งแล้วครั้งเล่า เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ขอร้องด้วยว่าจริงใจว่า “พี่คะ ฉันมีเรื่องอยากขอให้พี่ช่วยค่ะ คือพี่ช่วยดูอาการของคุณปู่ให้หน่อยได้มั้ยคะ?”

“ปู่ของเธอป่วยเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” หลินอิ่งถาม

กงซุนชิวอวี่ตอบ “ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้คุณปู่ท่านยังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ ท่านก็ล้มป่วยลง อาการดูแย่มาก เราได้เชิญหมอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่างๆ กับปรมาจารย์ด้านแพทย์แผนโบราณมาดูแล้วแต่ก็ยังตรวจหาต้นตอของอาการป่วยไม่ได้เลยค่ะ”

“เฮ้อ ตอนนี้คนในตระกูลต่างก็ร้อนรนจนนั่งกันไม่ติดแล้วค่ะ เพราะเรื่องนี้” กงซุนชิวอวี่ถอนหายใจอีกครั้ง “มีคนบอกว่านายท่านน่าจะถูกใครบางคนวางยา บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นส่งผลให้ร่างกายทนต่อไปไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ค่ะ”

หลินอิ่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เขาอดไม่ได้ที่จะใช้ความคิดพิเคราะห์ดู

นายท่านของตระกูลกงซุนนั้นชื่อว่ากงซุนฉงหลง ในบรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ระดับสูงสุดของในประเทศหลุงนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ทันได้เห็นความทะเยอทะยานที่น่านับถือในการขึ้นสู่จุดสูงสุดของนายท่านก็ตาม แต่ท่านก็ยังเป็นผู้ที่มีคุณความชอบอันใหญ่หลวงเหมือนกัน ถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญระดับต้นๆ เลย

ผู้อาวุโสระดับสูงแบบนี้ ทุกๆ การเคลื่อนไหวหรือสภาพร่างกายต่างก็สามารถส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อประเทศหลุงเลยทีเดียว มันเป็นเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด

ถ้าจะบอกว่าเกิดจากความชราภาพ แล้วหมอชั้นแนวหน้ากับแพทย์แผนโบราณชั้นนำพวกนั้นจะตรวจหาสาเหตุไม่เจอเลยอย่างนั้นเหรอ?

แต่ถ้าเกิดมีผู้ไม่หวังดีที่คิดไม่ซื่อแล้วแอบวางยาท่านจริงๆ ละก็ แสดงว่าแผนการที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาแน่

“พี่อิ่งคะ พี่ช่วยไปดูอาการให้นายท่านหน่อยได้มั้ยคะ?” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง น้ำเสียงอ้อนวอน “ฉันขอร้องล่ะ พี่ไม่ต้องรับปากก็ได้ว่าสามารถรักษาท่านให้หายได้ แต่พี่ช่วยลองดูหน่อยได้มั้ยค่ะ?”

“ขอฉันจัดการเรื่องเวลาก่อนแล้วกัน” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“ได้ค่ะ! ขอบคุณพี่ชายมากเลยนะคะ!” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยใบหน้าที่ปลื้มปีติ แม้แต่คุณตาพี่ชายก็เคยรักษามาแล้ว เขาต้องมีทางรู้แน่ว่าคุณปู่ท่านเป็นอะไร

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท