ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่378 คุณลุง คุณพ่อของฉันฝากของสิ่งนี้ไว้ให้คุณ

บทที่378 คุณลุง คุณพ่อของฉันฝากของสิ่งนี้ไว้ให้คุณ

บูม!

เสียงประตูคฤหาสน์ดังขึ้น

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย หยังสวนเจิงตายแล้ว?

ถึงแม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของหยังสวนเจิงจะไม่ดีเท่ากับตัวเขาเอง ถึงจะยังไงก็คือลูกศิษย์ที่อาจารย์สอนออกมา บุคคลที่อยู่ในระดับหัวหน้าสำนักแก๊งมังกร ในโลกนี้เป็นเรื่องยากที่จะมีคนสามารถทำร้ายเขาได้

ถ้าอย่างนั้น ก็สามารถแน่ใจได้ว่า หยังสวนเจิงเสียชีวิตในระหว่างการเปลี่ยนหัวหน้าแก๊งมังกรครั้งที่แล้วที่เกิดวุ่นวายภายในเกิดขึ้น

หรือว่าหยังสวนเจิงตายแล้ว แต่ยังทิ้งลูกสาวไว้หนึ่งคน?

หลินอิ่งมองท่าทางการแสดงออกของหญิงสาวและเด็กหญิง รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ เกี่ยวกับข้อมูลภายในแก๊งมังกร ดังนั้นเขาต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้

หลินอิ่งครุ่นคิดแล้วส่งสัญญาณทางสายตาให้ฮาเดส

ฮาเดสเดินเข้าไป ตบหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจนหมดสติ แล้วหยิบกุญแจไปเปิดประตูใหญ่ของวิลล่า

ทั้งสองคนเดินเข้าไปยังวิลล่าอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในสวนของวิลล่า ข้างกายของหญิงสาวเจ้าเสน่ห์มีชายวัยกลางที่สวมชุดลายๆหลายคนตามอยู่

หยังสู้สู้ทำท่าทางอย่างกับทำผิดอะไรมา ก้มหัวแล้วเอามือไขว้หลังไว้

“ไอ้เด็กบ้านี้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆไอ้ไม่ได้เรื่อง! ยังเป็นเด็กเป็นเล็ก แค่เห็นก็รู้จักเข้าหาผู้ชาย โทรมาต้องเป็นผู้หญิงที่ไม่ดีแน่เลย!” ใบหน้าของสาวเจ้าเสน่ห์เต็มไปด้วยความโกรธ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย

“ไม่ใช่! คุณแม่สวี เข้ามาหาพ่อของหนู หนูก็แค่ตอบรับไปคำหนึ่ง” หยังสู้สู้พูด

ป๊าบ!

ใบหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธ และกก็ตบหน้าหยังสู้สู้ไปหนึ่งครั้ง “ อย่าเรียกฉันว่าแม่! ฉันไม่ใช่แม่ของแก! ไอ้เด็กบ้านนี่ ยังกล้ามาเถียงกับฉันใช่ไหม?”

“ มาหาพ่อที่ตายแล้วของแกแล้วจะยังไง? ก่อนจะที่พ่อของแกจะตายได้ให้สิ่งของมีค่าอะไรไว้ให้กับแกใช่ไหม?” แม่สวีมองหยังสู้สู้ด้วยใบหน้าที่มืดมน “ แกมีเจ้าเล่ห์จริงๆ ถามแกมาตั้งนาน ยังไม่เต็มใจที่จะเอาสิ่งนั้นออกมาอีกหรอ?”

หยังสู้สู้หลั่งน้ำตา กัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองร้องไห้เสียงดัง ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ

“ไร้ยางอายจริงๆ! ไอ้เด็กเวร!” ชายวัยกลางคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ “ถ้าไม่เห็นแก่พ่อที่ตายไปแล้วของแก พวกเราคงทิ้งแกไว้ข้างถนนให้อดตายแล้วให้หมามันกิน! พวกเราเลี้ยงแกไว้ แกยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีกเหรอ?”

“เมื่อก่อนถามอะไรแกก็ไม่พูด แกล้งเป็นใบ้? พอคนนอกมาแกก็วิ่งเข้าหา? แกว่าแกมันไร้ยางอายใช่มั้ยห๊า!”

“รอเธอให้โตกว่านี้หน่อย เราค่อยเอาเธอไปขายที่เลาจน์ ก็ยังมีราคาหน่อย จะได้ค่าเลี้ยงดูคืนมาบ้าง” แม่สวีพูด

“ทั้งวันก็กอดแท่งเหล็กอันเน่าๆที่พ่อของเธอทิ้งไว้ราวกับเป็นของมีค่า มันสามารถทำอะไรได้?”

“ฮ่าๆ! ก็แค่ไอ้เด็กบ้าคนหนึ่ง ยังคิดว่าพ่อของเธอทิ้งของมีค่าอะไรให้ซะอีก?”

ชายหญิงหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนหัวเราะเยาะอย่างสะใจ

“พ่อ พ่อของหนูบอกว่า นี่คือคำพูดสุดท้ายของเขา จะต้องเก็บของนี้ไว้ให้กับผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ผู้มีอำนาจคนนั้นจะมาหาด้วยตัวเอง” หยังสู้สู้พูด “ แค่รอผู้มีอำนาจคนนั้น เขาก็จะช่วยหนูบรรลุความปรารถนาหนึ่งอย่าง”

เธอบีบก้อนหินสีดำในมือของเธอแน่น ก็เหมือนคอยเฝ้าดูแลปกป้องของที่รักอะไรอย่างนั้น

“เป็นไอ้โง่จริงๆมองก้อนหินก้อนหนึ่งเป็นของมีค่า? พกติดตัวอยู่ตลอด โง่มากๆ!”

“นี่ ยังพูดถึงผู้มีอำนาจอะไร? สามารถช่วยบรรลุความปรารถนาได้? แกคิดว่าพ่อของแกรู้จักกับเทวดาหรือไง?”

“ยังบรรลุความปรารถนา? ไอ้เด็กบ้าคนนี้ อยากรอเพื่อนของพ่อแกมาใช่ไหม? แล้วไล่พวกเราออกไปหรอ? ให้แกอยู่บ้านหลังนี้?” แม่สวีพูดอย่างประชดประชัน “เอาลูกหินเน่าๆก้อนนั้นมา วันนี้ฉันจะต้องทิ้งมันให้ได้ ดูว่าแกยังจะแสดงอะไรอีก!”

“หนู หนู……นี่คือความหวังสุดท้ายที่พ่อของหนูขอไว้ หนูจะต้องทำให้สำเร็จแทนพ่อ” หยังสู้สู้รวบรวมความกล้าล้าพูดว่า “คุณแม่สวี แม่แย่งมันไปไม่ได้”

“หึๆ ใครจะอยากได้ก้อนหินของแก? ฉันถามแก ก่อนที่พ่อแกจะตายได้พูดอะไรกับแก? ได้ซ่อนสมบัติเอาไว้ที่ไหนสักแห่งใช่ไหม?” แม่สวีพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ไม่มี พ่อของหนูทิ้งก้อนหินนี้ให้เท่านั้น” หยังสู้สู้ก้มหน้าแล้วพูด

“หยังสวนเจิงก็เป็นคนไม่ได้เรื่อง มาตายอย่างน่าแปลกใจ แม้แต่มรดกก็ไม่ทิ้งไว้ให้! ช่างเป็นคนที่ไร้ค่า สมควรตายจริงๆเลย!”แม่สวีสาปแช่ง

คุณสวียิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ ตอนที่หยังสวนเจิงยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นคนที่เก่งมาก แม้กระทั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับจี้ฉงซานมหาเศรษฐีแห่งเมืองก่าง จี้ฉงซานยังต้องมาชนแก้วแสดงเพื่อความเคารพ หลังจากที่ตายไป กลับทิ้งไว้แค่วิลล่าหลังนี้? และพื้นที่พังๆของวัด?

นี่สามารถมีราคามากแค่ไหน? ไม่สมกับที่เป็นคุณหนูของตระกูลสวี ในปีนั้นเธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่ออ่อยหยังสวนเจิง ขึ้นเตียงของเขายอมเป็นมือที่สาม เป็นแม่ม่ายมาตั้งหลายปี! เสียเวลาช่วยวัยรุ่นไปหลายปี! กลับได้มรดกแค่นี้?

หยังสวนเจิงยังพูดอะไรนะช่วยดูแลลูกสาวของเขาให้ดีๆ ถุย! ก็แค่ต้องการจะทรมานลูกสาวของเขา!

“คุณแม่สวี คุณพ่อไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรื่อง หนูไม่อนุญาตให้คุณพูดเขาแบบนี้” หยังสู้สู้พูดอย่างดื้อรั้น

“ยังกล้าเถียง? มานี่ ตบปาก!” สีหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธและดุอย่างเย็นชา

“หยุด!”

ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา ทำให้คุณแม่สวีตกใจและถอยหลังไปสองก้าว

หลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม สั่งฮาเดสอุ้มหยังสู้สู้ไปอยู่อีกข้างๆ

“นาย? นายเข้ามาได้ยังไง? นี่คือการบุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต นายรู้หรือเปล่า?”แม่สวีทั้งตกใจทั้งโกรธ และด่าหลินอิ่ง

“ใครให้เธอลงมือกับลูกสาวของหยังสวนเจิง?” หลินอิ่งถามด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลสวี! นายมันก็แค่คนนอกเกี่ยวอะไรด้วย?” แม่สวีพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เด็กบ้านี่เป็นลูกสาวของฉัน ฉันอย่างจะตียังไงก็ตีย่างนั้น!”

“ไม่! หนูไม่ใช่ลูกสาวของเธอ!” หยังสู้สู้ตอบกลับ” แม่แท้ๆของหนูคือหยังฉ่ายเซียคุณเป็นแม่เลี้ยงของหนู”

“โอ๊ย!แกมันกล้ามาก!” สีหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธ เดินไปก็จะตีหยังสู้สู้

ฮาเดสยืนบังอยู่ข้างหน้าด้วยท่าทางที่เย็นชาและพูดเสียงเข้ม “ประธานหลินถาม พวกคุณไปยืนข้างๆให้หมด”

“นายเป็นใคร? มาถึงบ้านตระกูลสวีเพื่ออวดเก่ง?”

“ให้ตายสิ มาถึงบ้านของพวกเรายังขนาดนี้ รนหาที่ตายใช่ไหม?”

ชายวัยกลางกลุ่มนี้เดินล้อมเข้ามาและตะโกนลั่น

บูม!

ฮาเดสเหวี่ยงมือออกไป ตบชายที่ยืนอยู่ข้างๆคุณแม่สวีกระเด็นออกไปไม่ต่ำกว่าสิบเมตร นอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงบทันที

“ดูพวกเขาไว้ดีๆ ใครกล้าหนี ฆ่าทิ้งได้ทันที” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก

หยังสวนเจิงทำงานอย่างซื่อสัตย์ให้กับแก๊งมังกร หลังจากที่ตายไป ลูกสาวกลับตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ถูกคนนอกเข้าครอบครองวิลล่าไม่พอ ลูกสาวยังถูกแม่เลี้ยงทรมานและทำร้ายอีก!

กลุ่มคนของแม่สวี ทำกับหยังสู้สู้แบบนี้ มันช่างโหดร้ายและทารุณเกินไปแล้ว

“หยังสู้สู้ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครกล้ารังแกหนูอีก” หลินอิ่งมองไปยังหยังสู้สู้ ด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นเพื่อนของพ่อหนู หนูสามารถบอกเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับพ่อของหนูให้ฉันได้มั้ย?”

“คุณ คุณเป็นเพื่อนของพ่อจริงๆใช่ไหม?” หยังสู้สู้ถามด้วยความสงสัย “คุณชื่ออะไรหรอ?”

ทั้งชีวิตนี้หยังสู้สู้ไม่มีวันลืม คุณพ่อเคยบอกกับเธออย่างจริงจัง จะต้องมอบหินสีดำที่อยู่ในมือนี้ ให้ไปอยู่ในมือของชายหนุ่มที่มีชื่ออิ่งอยู่ มีแต่ชายหนุ่มนี้เท่านั้นที่รู้ความลับของหินก้อนนี้ ยังพูดอีกว่า ในช่วงที่เหลือของชีวิต เขาคนนั้น จะมาที่หอบรรพบุรุษตระกูลหยังในไม่ช้า

“ฉันชื่อหลินอิ่ง คุณพ่อของหนูเคยเอ่ยชื่อของฉันกับหนูไหม?” หลินอิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

ทันใดนั้นหยังสู้สู้ก็ร้องไห้ออกมาและพูดว่า “คุณลุง คุณพ่อของหนูได้ฝากสิ่งนี้ให้กับคุณ”

คืนวันต่อมา

เมืองก่าง สนามบินนานาชาติเชียงเจียง

หลินอิ่งลงจากเครื่อง โดยมีฮาเดสที่ไม่พูดไม่จาเดินตามมาด้วย

ทั้งคู่ออกจากสนามบิน เดินขึ้นไปในถนนที่แสนกว้างขวาง

เมืองก่างในยามค่ำคืน แสงไฟส่องจ้าจนแสบตา ข้างเชียงเจียงนั้นเต็มไปด้วยอาคารสูงใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง

ข้างๆ ถนนมีแสงไฟสีเหลืองส่องแสงสลัว มีลมเย็นๆ พัดผ่าน

“ประธานหลิน คุณมาถึงเมืองก่างรึยังครับ ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปรับคุณที่ถนนของสนามบินแล้วนะครับ ข้าน้อยได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับที่เขตเชียงมู่เรียบร้อยแล้วครับ” เสียงที่นอบน้อมของนายคริสดังออกมาจากมือถือ

“ดีมาก รอคำสั่งจากผมอีกที” หลินอิ่งสั่งการนายคริสไปนิดหน่อย จากนั้นก็วางสายไป

บรึ้นๆๆ!

ทันใดนั้นเอง บนท้องถนนที่เงียบสงบก็ได้มีเสียงที่แสบแก้วหูดังขึ้น ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจ

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเหลียวไปมอง เห็นแต่รถสปอร์ตหลากสีที่สวยงามหลายคันกำลังเร่งเครื่องเข้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงสุด ปะทะกับลมจนเกิดเป็นเสียงดัง พวกมันวิ่งอยู่บนถนนอย่างน่าเกรงขาม

หนึ่งในคนที่ขับลัมโบร์กินีสีน้ำเงินคนหนึ่งเหมือนกำลังเมา ขับส่ายไปส่ายมา แล้วพุ่งเข้าใส่เด็กผู้ชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ

ซิ่ว!

เสียงลมพัดผ่าน หลินอิ่งรีบพุ่งเข้าไปคว้าตัวเด็กจนสามารถรอดชีวิตจากการถูกรถชนได้

เอี๊ยดดดดด!

ล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นซีเมนต์จนเกิดเสียงดัง ลัมโบร์กินีสีน้ำเงินคันนั้นได้หยุดอยู่ข้างทาง

“แม่งเอ๊ย ยังสติดีอยู่รึเปล่า? ตาบอดจนไม่เห็นรถของฉันรึไงห๊ะ?”

ทันทีที่รถจอดสนิท ก็ได้มีวัยรุ่นที่ใส่เสื้อผ้าสีสันลายตาคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาสวมนาฬิกาโรเล็กซ์สีทอง พุ่งเข้ามาก็เริ่มต่อว่าหลินอิ่งทันที

ทันใดนั้น รถสปอร์ตที่เร็วแรงอีกสี่ห้าคันก็จอดลงเช่นกัน และได้มีวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่งเดินลงจากรถ แต่ละคนต่างจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

หลินอิ่งเหลียไปมองด้วยสายตาที่เยือกเย็น

ถ้าไม่ได้เขาเข้ามาช่วยเด็กคนนี้ไว้

จากสถานการณ์เมื่อกี้ ลัมโบร์กินีคันนั่นที่วิ่งมาด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เด็กคนนี้คงถูกชนจนร่างกายเละเทะจนตายคาที่ไปแล้ว

เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเลยแท้ๆ แต่ไอ้เวรตะไลนี่พอลงรถมา ก็ชิงด่าเขาก่อนเลย?

หลินอิ่งหันไปมองเด็กน้อยที่ใส่ชุดนักเรียน แล้วถามไปว่า “เธอชื่ออะไร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?”

“ผะ ผมชื่อฉู่เสี่ยงฝันครับ ผม ผมกับพ่อแม่เพิ่งลงจากเครื่องบิน แล้วคลาดกัน แงงงงง!” ฉู่เสี่ยงฝันตกใจกับรถพวกนั้นเขาร้องไห้ออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือด

“เซ็งจริงๆ เลยโว้ย ไอ้หน้าโง่นี่มันโผล่มาจากไหนกัน? ทำเอาคืนนี้เราแข่งกันไม่ได้เลย?” ชายหนุ่มกำยำที่ใส่แว่นดำคนหนึ่งเดินเข้ามา จ้องมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่โกรธเคือง

“สงสัยคงเพิ่งลงจากเขา คงเป็นคนจนๆ จากนอกเมื่อที่มาท่องเที่ยวล่ะมั้ง? ดูท่าทางจนๆ ของมันสิ อุบาทว์ตาจริงๆ!” หญิงสาวที่คาบบุหรี่คนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

หลินอิ่งพิจารณาคนพวกนี้ไปแวบหนึ่ง แล้วสังเกตเห็นแววตาของวัยรุ่นพวกนี้กำลังล่องลอย ล่องลอยอย่างมาก ดูแล้วจะไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่

“เมาเหรอ? เมาแล้วยังขับเร็วแบบนี้อีก?” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง พวกคุณรู้รึเปล่าว่าเกือบชนคนตายแล้ว?”

“ฉันจะกินเหล้ายังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก? ฉันคนคนตายแล้วแกมายุ่งอะไรด้วย? อยากเป็นฮีโร่ใช่มั้ย?” ชายที่เป็นเจ้าของลัมโบร์กินีรู้สึกโกรธมาก เขาชี้มาที่หน้าของหลินอิ่ง เผยให้เห็นรอยสักตรงแขน “แกมันก็แค่ไอ้บ้านนอกต่อให้ฉันชนไอ้เด็กเวรนั่นตายไปจริงๆ แล้วมันจะยังไง? ก็แค่ชีวิตที่ต่ำต้อยชีวิตเดียว แค่ชดใช้นิดหน่อยก็พอ เทียบกับล้อรถของฉันยังไม่ได้เลย!”

“เพราะ” อ้าบัดซบอย่างแกแท้ๆ ทำให้รถของฉันต้องเสียหลัก ทำเอาใจหายหมดเลย! ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับฉันจนฉันได้รับบาดเจ็บจะทำยังไง? ชีวิตที่ไร้ค่าของพวกแกสองคนรวมกันยังเทียบกับนิ้วเดียวของฉันไม่ได้เลย พอถึงตอนนั้นพวกแกต้องได้ตายทั้งครอบครัวเข้าใจมั้ย?”

“คือจะไม่ยอมคุยกันด้วยเหตุผลสินะ?” หลินอิ่งถามไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

ชายรอยสักถ่มน้ำลายออกมา จากนั้นก็ทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม “เหตุผลบ้านแม่แกสิ กับแค่ไอ้บ้านนอก ไอ้ยาจกอย่าแก ยังคิดจะมาคุยเรื่องเหตุผลกับฉันอีกเหรอ? แกมีคุณสเหรอ?”

“ฮึฮึ คุณชายเลี่ยว มันบอกว่ามันอยากจะคุยด้วยเหตุผล ได้ เดี๋ยวฉันจะคุยกับมันด้วยเหตุผลเอง” ชายร่างกำยำนั้น ถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นนาฬิกาวาเชอรองคองสตองแตงของเขา ท่อนแขนที่กำยำของเขาเต็มไปด้วยรอยสักที่เป็นอักษรภาษาอังกฤษกับรูปไม้กางเขน

“แกรู้รึเปล่าว่าเราเป็นใคร? เคยได้ยินชื่อคลับแข่งรถในตี้จิงมั้ย?” ชายหัวโล้นพูดออกมาอย่างสนุกปาก “เลี่ยวยุ่นเฟยพ่อของคุณชายเลี่ยวก็คือเจ้าของของคลับแข่งรถเฟยเหา! และยังเป็นประธานของบริษัทเฟยเหาด้วย ในสนามบินเชียงเจียงนี้ ใครที่ไม่รู้บ้างว่าถนนเส้นนี้เป็นสนามแข่งรถของคลับในตี้จิง? คงมีแต่แกกับไอ้เด็กเวรนั่น ไอ้บัดซบที่ไม่แหกตาดู ถึงกล้าเดินเข้ามาในถนนเส้นนี้ ถูกชนตายก็สมควรแล้ว!”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดออกไปอย่างใจเย็นว่า “ฮาเดส โทรหานายคริส ให้เขาเช็กดูอย่างละเอียดว่าเจ้าของบริษัทเฟยเหาเป็นใคร”

ฮาเดสจ้องมองวัยรุ่นพวกนั้นด้วยที่หน้าที่เย็นชา แล้วหยิบมือถือออกมาโทร

ลูกผู้ดีพวกนี้ เมาแอ๋กันทุกคน แถมยังเล่นยาอีก เมาไม่ได้สติแล้วยังมาซิ่งรถตอนดึกอีก ไม่รู้รอดมาถึงตอนนี้ได้ยังไง? ดูแล้ว คงเส้นใหญ่ในเมืองก่างหน้าดู

“โอะโอ๋? คิดจะเรียกคนมาอีก? ไอ้ยาจกอย่างแกยังคิดจะแหกตากันอีกเหรอ? ฉันว่าแกมันก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้น!” ชายหัวโล้นตะโกนด่า เงื้อมมือขึ้นมาแล้วเหวี่ยงใส่หลินอิ่งไป

พรึบ!

ฮาเดสยื่นมือมารับหมัดของชายหัวโล้นเอาไว้ พอบิดข้อมือ ทันใดนั้น ชายหัวโล้นก็ลอยขึ้นมาหนุนกลางอากาศร้อยแปดสิบองศา จนกระแทกลงไปนอนกระอักเลือดกับพื้น

“เอื้อ! คุณชายเลี่ยว มันกล้าทำร้ายฉัน ต้องเอามันให้ตายเลย!” ชายหัวโล้นตะโกนออกมาเสียงดัง

“เชี่ย กล้าใช้กำลังเหรอ? แม่ง อยากมีเรื่องนักใช่มั้ย? ได้ ถึงฉันชนไอ้เด็กเวรนี่ตายมันก็เรื่องของฉันแกคิดว่าแกเก่งนักใช่มั้ย? รู้สึกว่าไม่สะใจรึไง?” เลี่ยวยุ่นเฟยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“วันนี้ฉันต้องชนไอ้ชาติหมาอย่างแกจนตายให้ได้!” เลี่ยวยุ่นเฟยพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม

สีหน้าของหลินอิ่งค่อยๆ เยือกเย็นเข้าไปทุกที นี่มันไม่มีขื่อไม่มีแปเอาซะเลย กินเหล้าเมายาขับรถชนคนอีก ยังสามารถทำตัวมั่นอกมั่นใจได้แบบนี้อีก?

บรึ้นๆ!

เลี่ยวยุ่นเฟยขึ้นไปนั่งบนรถลัมโบร์กินีคันนั้น พอเหยียบคันเร่ง รถสปอร์ทก็ดังขึ้นมา มันกำลังจะกลับรถมาชนหลินอิ่ง

“มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร คุณชายเลี่ยวซิ่งรถจนชนคนตายในเมืองก่าง อย่างมากก็แค่ชดใช้ค่าเสียหายนิดหน่อยก็จบแล้ว”

“ถูกต้องที่สุด ทางบ้านของคุณชายเลี่ยวน่ะรู้จักทนายใหญ่ๆ ตั้งหลายคน สามารถจัดการเรื่องนี้ได้สบาย”

พวกลูกผู้ดีต่างมองหลินอิ่งด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ รอที่จะได้เห็นหลินอิ่งถูกชนจนกระเด็น จนไปนอนจมกองเลือดกับพื้น

หลินอิ่งที่สีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้นมาว่า “ทำให้พวกนั้นส่างเมาหน่อยสิ”

ฮาเดสพยักหน้า พุ่งเข้าไปก็ถีบใส่ เสียงดังสนั่น รกลัมโบร์กินีที่เพิ่งติดเครื่องเมื่อกี้ถูกถีบจนท้องหงาย

จากนั้นฮาเดสก็ลากคอเลี่ยวยุ่นเฟยออกมาจากรถ ป้าบๆ ตบใส่หน้าไปสองที ทำเอาเขาหมุนค้างอยู่กลางอากาศสองรอบก่อนจะตกลงไปนอนกระอักเลือดอยู่ที่พื้น

“อ้า! ทำไมแรงมันถึงได้เยอะแบบนี้?”

เชี่ย กล้าทำร้ายแม้กระทั่งคุณชายเลี่ยวเลยเหรอ?”

ทุกคนต่างตื่นตกใจกับการกระทำของบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างกายหลินอิ่ง

พลังการต่อสู้ที่ฮาเดสแสดงออกมา มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“อ้า! กล้าทำร้ายฉัน พ่อฉันคือเลี่ยวจ้งชิวนะ! เดี๋ยวฉันจะตามคนมาให้กระทืบ” ไอ้บ้านนอกอย่างแกสองคนจนตายเลย” เลี่ยวยุ่นเฟยแหกปากดังลั่น ถูกฮาเดสกระทืบจนทั้งโกรธทั้งกลัว

เช้าวันต่อมา

หลินอิ่งพาฮาเดสมาถึงที่สนามบินนานาชาติตี้จิง ทั้งคู่ขึ้นเครื่องที่จะเดินทางไปเมืองก่าง

หลังขึ้นมาบนเครื่องเขาก็นั่งลงอย่างสงบ

เสียงกลิ้งดังขึ้น

มือถือของเขาดังขึ้น นายคริสเป็นคนโทรมา

“ฮัลโห ประธานหลิน ข้าน้อยได้พาคนมาถึงที่เมืองก่างแล้วครับ ข้าน้อยได้ไปที่ส่วนกลางของลาตินกรุ๊ปมาแล้วครับ” เสียงที่นอบน้อมของนายคริสดังมาจากในสาย

“สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง? ที่ลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง คุณสามารถสร้างผลกระทบได้มากแค่ไหน” หลินอิ่งถามไปอย่างเรียบเฉย

“ประธานหลินครับ ข้าน้อยได้พบกับโม่เก๋อติงที่อยู่ลาตินกรุ๊ปในเมืองก่างแล้วครับ เขามีความกังวลและความแค้นกับข้าน้อยมาก” นายคริสตอบ “การที่ข้าน้อยอยู่ที่นี่ ตำแหน่งตัวแทนของเอเชียแปซิฟิกนั้นไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรเลยครับ”

“จริงด้วย ประธานหลิน เซียวซื่อกรุ๊ปของประเทศMมีสาขาอยู่ที่เมืองก่างด้วยครับ พวกเขามีเส้นสายที่กว้างขวางมาก” นายคริสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องเมื่อคราวก่อน เซียวซื่อกรุ๊ปก็จับตาดูผม ครั้งนี้ที่มาเมืองก่สง คนของพวกมันก็ได้ทักทายผมอย่างไม่ไว้หน้าแล้วครับ……”

“หือ?” หลินอิ่งสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังเซียวจวงคราวก่อนใช่มั้ย? ดีมาก?”

“คุณไปตรวจสอบคู่แข่งของคุณที่ชื่อโม่เก๋อติงนั้นอย่างละเอียด พอผมไปถึงก็จัดการเขาซะ” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“ครับ!” นายคริสตอบด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

นายคริสรู้สึกได้เลยว่าประธานหลินกำลังจะพาเขาบิน จะได้เป็นนายคนแล้ว!

นายคริสที่เป็นถึงตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในลาตินกรุ๊ป ความจริงเขาควรมีอำนาจล้นฟ้าแล้ว

แต่ที่น่าเสียคือ ทางสำนักงานใหญ่กลับส่งโม่เก๋อติงมาขัดขวางเขาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซะได้

นายคริสนั้นดูผิวเผินแล้วก็เป็นคนมีหน้ามีตา เหมือนมีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้นเส้นสายในสำนักงานใหญ่ก็เทียบกับโม่เก๋อติงไม่ติดเลย

แค่สำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปส่งหนังสือมา เขาก็สามารถสูญเสียทุกอย่างที่เป็นของตัวเองได้ทันทีเลย

ประธานหลินเคยพูดเอาไว้ว่า จะมอบมันให้กับเขา เป็นอำนาจจริงๆ ช่วยเขาให้สามารถครอบครองลาตินกรุ๊ปได้อย่างสมบูรณ์

นี่ถือเป็นสิ่งที่นายคริสเฝ้าฝันมาโดยตลอด เขารู้สึกว่า วันนั้นมันใกล้เข้ามาแล้ว……

หลังวางสาย หลินอิ่งก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ

การที่เขามาเมืองก่างในครั้งนี้ เขามาเพียงลำพัง ไม่มีกองกำลังใดๆ ที่สามารถใช้งานได้ในเมืองก่างเลย

การที่จะถอนเขี้ยวจากปากเสือของเศรษฐีอันดับหนึ่ง คนที่บริหารเมืองก่างมานับสิบปี และคนที่ผู้คนต่างขนานนามว่าเจ้าสัวจี้อย่างจี้ฉงซานนั้น มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ดูแล้วอำนาจที่มีมันช่างต่างกันมากจริงๆ

แต่ว่านะ เขาต้องการสิ่งสำคัญแค่สิ่งเดียวเท่านั้น เขาก็สามารถงัดเมืองก่างจนพลิกได้แล้ว

ซึ่งจุดเปลี่ยนนั้นก็คือนายคริสนี่แหละ

แค่ตัวนายคริสเองอาจจะไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่การเปลี่ยนคนที่ไม่มีค่าให้เกิดประโยชน์นั้นเป็นวิธีที่หลินอิ่งถนัดอยู่แล้วการใช้ดาบอย่างนายคริสมาไล่ฟันอาณาจักรธุรกิจของเจ้าสัวจี้ เดี๋ยวจิ้งจอกเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ก็ถูกกดดันจนออกมาเอง

……

เมืองก่าง เกาะเทียมซิงหวน คฤหาสน์เชียงปิง

นี่คือเกาะเทียมเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดยบริษัทวั่นซาน ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองก่าง ทุกตารางนิ้วนั้นมีค่ามาก ยังคือสโมสรที่มีชื่อเสียงในแวดวงเศรษฐีของเมืองก่าง

ภายในคฤหาสน์ตรงสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ ตอนนี้ได้มีบอดี้การ์ดใส่สูทสีดำสิบกว่าคนยืนตั้งแถวอยู่

หญิงวัยกลางคนที่ดูโดดเด่น รูปร่างผอมบางอยู่ในชุดลำลองสีครีมคนหนึ่งกำลังตีกอล์ฟอยู่

ที่นั่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีชายชราที่ดูแก่มากๆ คนหนึ่งนั่งอยู่เขามาในชุดสูทที่ดูทางการ ดูจากสีหน้าก็ยังแข็งแรงดีแววตาคู่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา

ใบหน้าของเขา มักจะปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเจ้าใหญ่ของเมืองก่างอยู่บ่อยๆ

ซึ่งเขาก็คือเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองก่าง จี้ฉงซานนั่นเอง

“คุณท่านจี้ ครั้งนี้ที่ตี้จิงคุณทำได้สวยมากเลยค่ะ คุณคิดว่า ไอ้สารเลวหลินอิ่งของตระกูลฉีนั่นจะโกรธแค้นจนตามมาฆ่าคุณที่เมืองก่างรึเปล่าคะ?”

หญิงวัยกลางคนเดินกลับมาที่นั่งพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาควงเล่น แล้วพูดด้วยอารมณ์ที่สนุกสนาน

ถ้าหลินอิ่งอยู่ที่นี่ก็จะจำเธอได้ทันที

ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของเขา คนที่เคยแฝงตัวอยู่ในตระกูลฉีมาสิบกว่า สุดท้ายก็สังหารฉีเหอถูสามีของตัว นางอสรพิษทีทวางแผนทำลายตระกูลฉี เหวินเทียนเฟิ่งของตระกูลเหวินนั่นเอง

“นายหญิงเหวินพูดชมเกินไป ตามที่ผมคาดการณ์ไว้ ผมคิดว่าหลินอิ่งจะต้องมาหาเรื่องผมที่เมืองก่างแน่นอน เพราะผมได้จับตัวหยูจื๋อเฉิงลูกน้องที่ภักดีของมันมาด้วย ตามที่ผมได้ตรวจสอบหลินอิ่งคนนี้มานะ บุคลิกของคนคนนี้จะเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ ไม่มีงานอดิเรกหรือจุดบกพร่องใดๆ แต่มีจุดอ่อนใหญ่ๆ อยู่จุดหนึ่งก็คือ คนคนนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ยอมทุ่มสุดตัวเพื่อพวกพ้อง” จี้ฉงซานพูดออกมาอย่างใจเย็น

“หยูจื๋อเฉิงเป็นคนที่เขาปั่นขึ้นมากับมือ ซื่อสัตย์กับเขามาก ด้วยนิสัยของเขานั้นไม่มีทางปล่อยลูกน้องคนนี้ไปแน่นอน”

จี้ฉงซานค่อยๆ พูดออกมา “แต่ว่า การที่หลินอิ่งมายังเมืองก่างแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น ในเมืองก่างแห่งนี้ ผมมีวิธีนับร้อยที่สามารถทำให้เขาตายอย่างไม่มีที่ฝังศพ”

เหวินเทียนเฟิ่งหัวเราะคริคัก แล้วพูดออกมาว่า “คุณท่านจี้คะ คุณเองก็น่าจะรู้ ว่าฝีมือของหลินอิ่งนั้นเก่งกาจไร้ใครเทียมยากมากที่จะเอาอะไรมาข่มขู่เขา ฉันรู้สึกสงสัยมากเลยค่ะ ว่าคุณจะใช้วิธีอะไรเพื่อฆ่าเขากัน?”

“ผมรู้ หลินอิ่งน่ะเป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัวตน คราวก่อนยังจัดการกับกองกำลังลับของตระกูลเหวินด้วยตัวคนเดียวเลย” จี้ฉงซานค่อยๆ พูดออกมา “ในครั้งนี้ลูกน้องที่ผมสั่งให้แฝงตัวอยู่ที่ตี้จิง ก็ถูกเขาถอนรากถอนโคนจนขาดการติดต่อไปแล้วเหมือนกัน เป็นชายหนุ่มที่เด็ดขาดจริงๆ”

“ฮึฮึ แต่เขาก็ยังอ่อนเกินไป วิชาการต่อสู้” ม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินทุกอย่างได้เสมอไป ผมเริ่มต้นทุกอย่างจากการที่ไม่มีอะไรเลย การที่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ผมนั้นไม่เคยพึ่งการใช้กำลังมาก่อนเลย” จี้ฉงซานยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ผมเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไปสู้กับหลินอิ่งตรงๆ หรอก”

“ความสามารถในการใช้กลยุทธ์ของคุณท่านจี้นั้น ฉันเชื่อมั่นค่ะ” เหวินเทียนเฟิ่งหัวเราะออกมาทีหนึ่ง แววตาสั่นไหว จากนั้นก็เผยให้เห็นสายตาที่โหดเหี้ยม “ไอ้สารเลวหลินอิ่ง มันช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เรียนรู้วิชาที่สามารถต่อต้านสวรรค์ได้ถ้าจู่ๆ มันไม่โผล่มา ตระกูลเหวินของเราคงได้ยึดครองตระกูลฉีและได้ปกครองตี้จิงอย่างจักรพรรดิไปนานแล้ว! เจ็บใจนัก!”

“ฮึฮึ ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน นายหญิงเหวินเป็นคนที่ทำงานค่อนข้างรอบคอบ ตอนอยู่ตี้จิงถึงขั้นฆ่าเหวินเทียนเจียวเพื่อปิดปากเลย ตอนที่แต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลฉี ทำไมถึงต้องเหลือไอ้สารเลวอย่างหลินอิ่งไว้ด้วย?” จี้ฉงซานหัวเราะชอบใน

เหวินเทียนเฟิ่งทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มันเหลือแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ใครจะไปคิด ว่าคนที่ถูกฉันขับออกจากตระกูลฉีนั้นจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ มาทำลายแผนการที่ฉันวางมาสิบกว่าปี!”

“พอนึกถึงพี่ชายที่ตายไปของฉัน ฉันก็รู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุดเลยค่ะ! ตอนนั้น ตอนที่ฉันแต่งเข้าไปที่ตระกูลฉี ฉันก็ควรฆ่าสองแม่ลูกหลินอิ่งทิ้งซะ!” เหวินเทียนเฟิ่งพูดออกมาอย่างเย็นชา ความรู้สึกเกลียดที่มีต่อหลินอิ่งนั้นเข้ากระดูกไปแล้ว!

“นายหญิงเหวิน ไม่ต้องห่วง แผมการที่เราตั้งใจวางไว้อย่างเนิ่นนานนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อล่อหลินอิ่งให้มาที่เมืองก่างแห่งนี้ ในครั้งนี้ ผมจัดจัดการมันอย่างดีเลย” จี้ฉงซานยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าจับมันได้เมื่อไหร่ ผมจะส่งตัวมันให้นายหญิงเหวินจัดการมันด้วยตนเอง ฮึฮึ…

หลังออกจากร้านอาหารหลุยกง หลินอิ่งแววตาลึกซึ้ง ในหัวกำลังวิเคราะห์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นจี้ฉงซานที่ชิงลงมือก่อน เขาจับตัวหยูจื๋อเฉิงและหนีไปได้

แต่ว่า หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นวันยังค่ำ!

กิจการใหญ่โตของจี้ฉงซานต่างก็อยู่ที่เชียงเจียงเมืองก่าง!

ต่อให้หนีไปถึงสุดขอบฟ้า หลินอิ่งก็คิดว่าต้องลากคอมันออกมาให้ได้!

จี้ฉงซานไม่เพียงแค่รู้เรื่องเส้นสายของตระกูลเหวินเท่านั้น เขายังจับตัวหยูจื๋อเฉิงไป จึงจำเป็นต้องหาคนคนนี้ให้เจอ

เขามีแผนไว้แล้ว ว่าจะเดินทางไปที่เมืองก่างด้วยตนเองรอบหนึ่

เมืองก่างเมืองรังเก่าของจี้ฉงซาน นักลงทุนใหญ่ที่รักเงินทองยิ่งกว่าชีวิตอย่างจี้ฉงซานน่ะ ไม่มีทางทิ้งกิจการที่ใหญ่โตในเมืองก่างได้ลงหรอก

“หัวหน้าหลินครับ เมื่อกี้ผู้อำนวยการโทรมา เขามีเรื่องฝากให้ผมมาขอร้องครับ” หัวหน้าพูดจริงจังอยู่ข้างๆ

หลินอิ่งพูดไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปรับตำแหน่งละก็ ไม่ต้องมาพูด”

หัวหน้าทำหน้าลังเลแปบหนึ่งก่อนจะพูดไปว่า “หัวหน้าหลินครับ ผู้อำนวยการบอกว่า เขาได้คุยกับหลุยกงแล้วครับ หลุยกงเป็นคนที่รู้ว่าควรทำอะไร เขาจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ผู้อำนวยการอยากขอให้คุณเห็นแก่ความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง ช่วยอย่าไปถือโทษหลุยกงเลยครับ”

“ถ้าหลุยกงไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับเรื่องของตระกูลเหวิน ผมก็ไม่มีทางไปยุ่งกับเขาหรอก” หลินอิ่งตอบมาอย่างเรียบเฉย

หัวหน้ารู้สึกตะลึงจนใจสั่น คำพูดของหลินอิ่งนั้นยังแฝงด้วยความนัย ซึ่งก็คือ ถ้าหลุยกงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเหวินเข้า เกรงว่าเขาก็คงจะโดนคิดบัญชีไปด้วยเหมือนกัน!

“หัวหน้าหลินครับ ผู้อำนวยการอยากเชิญคุณกลับไปดูแลกองกำลังที่สูงที่สุด ฝึกสอนพวกสมาชิกใหม่ และมันก็คือคำเชิญชวนจากผู้บัญชาการสูงสุดด้วยนะครับ” หัวหน้าพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ผมมีเรื่องสำคัญต้องให้ทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”

พูดจบ หลินอิ่งก็หมุนตัว ฮาเดสได้เปิดประตูรถไว้นานแล้ว เขาก้าวขึ้นรถไป

หัวหน้ามองดูหลินอิ่งที่จากไป อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

การที่ไม่สามารถเชิญหัวหน้าหลินกลับไปได้ ถือเป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงสำหรับกองทัพเลย

หัวหน้าหลินไม่ได้อยู่ในกองทัพของประเทศหลุง แต่ก็ยังทิ้งตำนานอันน่าเหลือเชื่อไว้ที่กองทัพ ตอนที่เขาอายุสิบหกได้ถูกผู้บัญชาการสูงสุดเชิญมาใช้ช่วย สร้างชื่อจากการสงครามนอกประเทศในครั้งเดียว สร้างความฮึกเหิมมากมายให้กับกองทัพ ได้รับการตกรางวัลจากท่านผู้นำสูงสุด ได้รับอำนาจและเกียรติยศระดับผู้บัญชาการไปตลอดชีวิต

แต่ตอนอยู่ในช่วงพีคที่สุด เขากลับปฏิเสธคำเชิญของผู้บัญชาการสูงสุด แล้วเดินจากไป เหลือไว้เพียงแค่ตำนานเท่านั้น

การกลับไปเก็บตัวของหัวหน้าหลินนั้นทำให้ผู้บัญชาการสูงสุดรู้สึกเสียดายมาก ไม่เคยลืมเลือน มักจะพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เขาบอกว่า ถ้าดึงตัวหัวหน้าหลินเข้ากองทัพได้ละก็ จะสามารถยกระดับประเทศหลุงได้อีกมากโขเลย!

……

จงเทียนซิงเฉิง อาคารดวงดาว

ภายในห้องทำงานของประธาน หลินอิ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดู ตี้จิงที่คึกคัก จัดบุหรี่ม้วนหนึ่ง

เขาได้จองตั๋วที่จะบินไปเมืองก่างในวันพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ทางเมืองก่างนั้นหลินอิ่งไม่เคยส่งคนไปเลย

เดิมทีแก๊งมังกรได้มีการส่งองครักษ์มังกรไปแผงตัวอยู่ในฮ่องกง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ แก๊งมังกรได้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู องครักษ์มังกรพวกนี้ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์กับตน แต่ยังอาจจะกลายเป็นภัยสำหรับเขาไปแล้ว

หลินอิ่งได้เตรียมแผนการใหญ่ไว้แล้ว เขาจะส่งคนไปแฝงตัวอยู่ในเมืองก่าง เพื่อสวนกลับจี้ฉงซานกับตระกูลเหวิน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโทรหานายคริสที่อยู่ในเมืองตุงไห่ สั่งให้นายคริสดำเนินการทันที ให้ไปรอเขาอยู่ที่เมืองก่าง

นายคริสเป็นตัวแทนเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป อยู่ที่เมืองก่างเขามีอำนาจสั่งการอยู่พอสมควรเลย

ที่สำคัญ คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของนายคริสในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คือเมืองก่างนั่นเอง

ในตอนนี้ การใช้งานเบี้ยอย่างลาตินกรุ๊ป

ให้เดินตามน้ำไป เป็นการทางให้นายคริสอย่างดี กำจัดคู่แข่ง กลายเป็นคนสั่งการอย่างแท้จริงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เดินเกมใส่เมืองก่างอย่างเด็ดขาด!

ในตลาดมืดทั่วโลก เมืองก่างนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลย

เมื่อมีเบี้ยอยู่ในเมืองก่างแล้ว ก็เท่ากับมีตาเพิ่มขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง ช่วยตนเองสอดส่องแก๊งมังกรและตระกูลเหวินหลังจากที่เปลี่ยนผู้นำแล้ว

อีกอย่าง หลังจากที่ไปถึงเมืองก่าง หลินอิ่งก็ตั้งใจจะลองติดต่อกับองครักษ์มังกรในเมืองก่างดู เพื่อสืบหาความเป็นไปของแก๊งมังกร

พอคิดได้ หลินอิ่งก็หยิบมือถือออกมา ต่อสายออกไป

“ฮัลโห หลินอิ่ง มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ได้มีเสียงที่ไพเราะของจางฉีโม่ดังขึ้น

“ฉีโม่ ผมมีธุระต้องไปทำที่เมืองก่าง” หลินอิ่งพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ส่วนเรื่องของบริษัททางตี้จิงนั้นผมได้มอบหมายให้ถูซานกับถังฮุยดูแลแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็หาพวกเขาได้เลยนะครับ”

“อืมอืม เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะไปที่เมืองก่างเหรอคะ? แล้วจะไปนานแค่ไหน?” จางฉีโม่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “อีกวันสองวันฉันก็จะกลับเมืองชิงหยูนแล้วเหมือนกัน”

“ตอนนี้ยังไม่รู้วันที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยน่าจะสักเดือนสองเดือนครับ” หลินอิ่งตอบไป “ช่วงที่ผมไม่อยู่นี้ คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ” ”ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” จางฉีโม่ตอบ “คุณเองก็เหมือนกัน อยู่ที่เมืองก่างก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”

“บาย”

พูดจบ หลินอิ่งก็วางสายไป

ก๊อกๆ

ทันใดนั้น ถังฮุยก็เคาะประตูเข้ามา โดยมีเอกสารติดมือมาด้วยฉบับหนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม

ท่านอิ่ง ข้อมูลที่คุณให้ผมไปรวบรวมของชีซิงกรุ๊ปกับของบริษัทยามาโตะหยิงหวา ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”

ถังฮุยพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า แล้วพูดไปว่า “พรุ่งนี้ผมจะเดินทางออกจากตี้จิง ช่วงที่ผมไม่อยู่ คุณกับถูซานต้องระวังให้ดี”

“จำไว้ ตระกูลสวียังไม่ยอมรามือ พอผมไม่อยู่ ถ้ามีโอกาสให้แก้แค้น พวกเขาก็จะแว้งกลับมากัดอย่างไม่ลังเลเลยล่ะ”

หลินอิ่งค่อยๆ พูดออกมา “ส่วนชีซิงกรุ๊ปนั้น จะต้องมาก่อเรื่องที่ตี้จิงแน่ พวกคุณต้องต้านเอาไว้ให้ได้ แล้วบริษัทยามาโตะหยิงหวานั้นอค่จับตาด็การเครื่อนไหวของบริษัทต้าเหอก็พอ”

ถังฮุยสีหน้าเคร่งขรึม เขารับฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็พูดไปว่า “ท่านอิ่งครับ เรื่องที่ได้รับมอบหมายจากคุณ ผมจะไม่ให้พลาดเลยแม้แต่เรื่องเดียวครับ คุณไปทำธุระอย่างสบายใจเถอะครับ ผมจะช่วยคุณดูแลกิจการในตี้จิงเองครับ”

หลินอิ่งพยักหน้า

การที่เขาเดินทางไปเมืองก่างในครั้งนี้ ในช่วงที่เขาไม่ได้อยู่บัญชาตี้จิงด้วยตนเอง ตระกูลสวีที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนั้นจะต้องหาโอกาสมาลอบกัดแน่นอน

ส่วนชีซิงกรุ๊ป เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตระกูลสวี จึงมีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะปรากฏตัวด้วย

ถึงกลุ่มธของชีซิงจะอยู่ที่ประเทศเกาหลี แต่อิทธิพลของธุรกิจนั้นกระจายไปทั่วโลก ถ้าเผียวจินฮุนต้องการสร้างชื่อให้ลูกชายละก็ เขาก็สามารถสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจของตัวเองได้เลย

ที่เหลือก็คือบริษัทยามาโตะหยิงหวา สืบเนื่องจากกงจิ่วผู้ลึกลับที่ควบคุมตระกูลนิ่งอยู่เบื้องหลังนั้น จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน

หลังจากที่กงจิ่วถูกตัวเองทำลายแผนที่ตระกูลนิ่งแล้ว เขาก็เงียบไปเลย ไม่มีวี่แววว่าจะมีการสวนกลับใดๆ แต่มันก็เป็นอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดอันหนึ่งที่ยังแอบซ่อนอยู่ในตี้จิง

ความสนใจที่หลินอิ่งมีต่อกงจิ่วนั่น สูงกว่าชีซิงกรุ๊ปและตระกูลสวีเสียอีก

ก่อนหน้านี้ก็เป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่า ในที่ลับของประเทศหลุงกงจิ่วนั้นได้มีการปลุกระดมและเป็นสายลับอยู่แล้ว เขาได้สร้างกลุ่มสายลับญี่ปุ่นขึ้นมา นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันได้เลย เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับทางการทหารของสองประเทศ มันร้ายแรงยิ่งกว่ากลุ่มธุรกิจกับวงศ์ตระกูลไปมากเลย

“โอเค คุณไปได้แล้ว ถ้ามีอะไรที่จัดการไม่ได้ก็ฝากข้อความไว้ให้ผม” หลินอิ่งยกชาขึ้นมาดื่ม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ!” ถังฮุยพยักหน้าอย่างแน่วแน่ หันหลังแล้วเดินจากไป

เขารู้อยู่แก่ใจดี ว่าครั้งนี้ท่านอิ่งจะเข้าไปในเมืองก่างถิ่นเก่าของจี้ฉงซาน เพื่อช่วยลูกพี่หยูกลับมา มันอันตรายเหมือนเป็นการเดินเข้าถ้ำเสือเลย

ส่วนกิจการในตี้จิง ท่านอิ่งก็ได้มอบหมายให้เขา ถังฮุยจัดการแทนทั้งหมด มันถือเป็นโอกาส และยังเป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่อีกด้วย

เมื่อมอบหมายทุกอย่างเสร็จ หลินอิ่งก็หลับตาลงเพื่อพักสายตา

นักสู้ทั้งสี่รองลงจากหยูจื๋อเฉิง คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านธุรกิจที่สุดก็คือถังฮุย คนคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องบริหาร การดูแลกิจการนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาเลย

ที่สำคัญ ตนเองยังได้แอบเก็บมือดีเอาไว้ที่ตี้จิงอีกคน

ถ้าหากว่าถังฮุยถูซานกับพวกดูแลกิจการไม่ไหว เขาก็ยังมีนิ่งซวนอยู่ เขาสามารถใช้งานอำนาจของตระกูลนิ่งได้ทุกเมื่อ คิดว่าน่าจะสามารถคุมสถานการณ์ได้อยู่

“อะไรนะ? กองพิเศษเว่ยอัน!”

หัวหน้าคำรามออกมา ทำเอาทุกคนในที่นั้นตะลึงไปตามๆ กัน ต่างก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา

กองพิเศษเว่ยอันแห่งตี้จิงนั้นเป็นถึงกองกำลังพิเศษที่ลึกลับที่สุดแล้ว

ตามตำนานแล้ว กองกำลังนี้มีไว้ต่อต้านการรุกรานของศัตรูจากต่างแดนเลยนะ เป็นกองกำลังอันแข็งแกร่งที่อยู่แนวหน้าของหน่วยข่าวกรอง เป็นดั่งตัวแทนของผู้บัญชาการสูงสุดเลยทีเดียว

บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบลงทันที ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางพวกของหลินอิ่งอีก

เรื่องนี้มันเลยเถิดไปไกลมากแล้ว!

ไอ้หนุ่มคนนี้มันเป็นใครมาจากไหน? ถึงขนาดสั่งการกองพิเศษเว่ยอันได้เลยเหรอ?

คนของกองพิเศษเว่ยอันยังเรียกเขาว่าหัวหน้าหลินอีก?

“หมายความว่ายังไง พวกแกเป็นคนของกองพิเศษเว่ยอันเหรอ?” ฟางหย่วนขมวดคิ้วอย่างแรง เขาต้องพิจารณาหลินอิ่งใหม่ รู้สึกเหมือนมองชายหนุ่มคนนี้ไม่ค่อยออกเลย

คนของกองพิเศษเว่ยอัน เขาเองก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก

“ขอฉันดูหลักฐานแสดงตัวของแกหน่อย! ฉันว่าฐานะของพวกแกมันแปลกๆ!” ฟางหย่วนจ้องเขม็งมาที่หลินอิ่ง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม เขารู้สึกสงสัยในตัวของหลินอิ่งมาก

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงกล้าขอตรวจหลักฐานจากหัวหน้าหลินแบบนี้?” หัวหน้าตะคอกใส่อย่างไม่พอใจ ทำเอาฟางหย่วนตกใจจนสะดุ้ง

“สามหาว!” ฟันหยวนทำหน้าโมโห แล้วชี้ไปที่หัวหน้า

คนที่เป็นถึงเลขาของหลุยกงอย่างเขา ในตี้จิงเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาเหมือนกัน ไม่เคยถูกใครตะคอกใส่แบบนี้มาก่อนเลย!

หัวหน้ามองด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปเกี่ยวขาจนล้ม จากนั้นก็รับไว้ด้วยการล็อกแขนจากทางด้านหลัง กดฟางหย่วนไว้กับพื้นจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้

“ดูซะ นี่คือหลักฐานของฉัน! ส่วนหลักฐานของหัวหน้าหลินนั้นคนอย่างแกไม่มีสิทธิ์ดู!” หัวหน้าหยิบเอกสารสีเงินลายมังกรฉบับหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนลงพื้น

ฟางหย่วนสีหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกไม่พอใจมาก เขาคิดว่าตัวเองเป็นถึงเลขาของหลุยกงยังไม่มีสิทธิ์ดูอีกเหรอ?

ฟางหย่วนยื่นมือไปเก็บเอกสารขึ้นมา เขากวาดตามองด้วยสายตาที่เคร่งขไปหนึ่งรอบ

ผู้บัญชาการสูงสุด กองพิเศษเว่ยอัน กองกำลังลับระดับS____XXX

รหัส: หัวหน้า

ตราประทับ: ผู้บัญชาการสูงสุด

พอดูข้อมูลในเอกสารเสร็จ ใบหน้าฟางหย่วนก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

ยังไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหลินนั่น แค่ตำแหน่งของหัวหน้า ก็ถือเป็นตำแหน่งที่สูงมากในกองพิเศษเว่ยอันแล้ว!

ที่สำคัญ ฟางหย่วนที่เป็นเลขาธิการของหลุยกง ก็เคยตามหลุยกงไปที่จื่อหลงซานมาก่อน และเคยได้ยินหัวหน้าที่เป็นบุคคลลึกลับของจื่อหลงซานด้วย

ตัวตนของหัวหน้าคนนี้ปิดเป็นความลับในระดับที่สูงมาก เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้นำด้านการทหาร รับหน้าที่คุ้มครองเหล่าบุคคลสำคัญของประเทศที่ปลดเกษียณแล้วอยู่ในจื่อหลงซาน ทั้งอำนาจและตำแหน่งนั้นสูงมาก!

ณ ตอนนี้ ฟางหย่วนนั้นอึ้งไปเลย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าของจื่อหลงซานถึงมาที่นี่ด้วยตนเอง?

แม้แต่หัวหน้ายังเรียกชายที่มาหาคุณท่านจี้ว่าหัวหน้าหลินเลย?

ตอนนี้ คงขวางเอาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะ!

“ทะ……ที่แท้ก็เป็นคนของกองพิเศษเว่ยอันนี่เอง ล่วงเกินแล้ว พวกคุณช่วยรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะโทรไปรายงานให้หลุยกงทราบนะครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ฟิ้ว หัวหน้าจับฟางหย่วนเหวี่ยงขึ้นมาแล้วเหวี่ยงออกไป เขาลอยออกไปไกลกว่าสิบเมตร

“กองพิเศษเว่ยอันกำลังปฏิบัติภารกิจ แกยังกล้ามาขวางอีกเหรอ?” หัวหน้าตวาดด้วยความเคร่งขรึม

ทันใดนั้น ชายชุดดำด้านหลังก็พากันพุ่งเข้ามา จัดการบอดี้การ์ดข้างใน จับคนละคน จนบอดี้การ์ดถูกโยนออกไปจนหมด จากนั้นก็มายืนเฝ้าประตูอย่างสุภาพเรียบร้อย

หลินอิ่งก้าวขึ้นบันได เดินเข้าร้านอาหารหลุยกงไปโดยมือทั้งสองข้างไขว้หลัง

ส่วนถังฮุยและหยูจื๋อเฉิงนั้นแอบเฝ้าอยู่ด้านนอก โดยไม่ละเว้นใครก็ตามที่เดินออกจากร้านอาหารหลุยกงมา

พอเห็นท่าทางที่ดูผ่อนคลายของหลินอิ่งแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา

นี่มันไม่เวอร์ไปหน่อยเหรอ? เพิ่งอายุเท่านี้เองนะ? เป็นหัวหน้าตั้งแต่ยังน้อยเลย?

เลขาใหญ่ฟางยกชื่อของหลุยกงออกมาแล้ว ก็ยังเอาไม่อยู่?

หลินอิ่งเดินเข้าไปในร้านอาหารหลุยกงที่ตกแต่งได้อย่างเลิศหรูอลังการ หัวหน้าเดินตามอยู่ข้างหลัง คนกลุ่มนี้เดินขึ้นชั้นบนไปโดยตรง

ร้านอาหารหลุยกงในตอนนี้ดูค่อนข้างโล่ง เพราะคนอื่นๆ ได้ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว

หลินอิ่งนั้นรู้ข้อมูลดี ว่าตอนนี้จี้ฉงซานอยู่ในห้องบนชั้นสอง

พอขึ้นมาถึงชั้นสอง บนโถงทางเดินที่สวยหรู มีบอดี้การ์ดในชุดสูทยืนเรียงกันเป็นแถวๆ

“จี้ฉงซานอยู่ห้องไหน?” หลินอิ่งถามไปด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“พวกแกเป็นใคร? มีธุระอะไรกับคุณท่านจี้? ร้านอาหารหลุยกงของเรานั้นปกป้องความลับของลูกค้าเป็นอย่างดี!” หัวหน้าบอดี้การ์ดพูดเสียงเคร่งขรึม พร้อมกับมองหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“หุบปากซะ แล้วไสหัวไปให้หมด!”

ฟางหย่วนที่ถือมือถือไว้ รีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน พอเห็นพวกบอดี้การ์ดที่ไม่รู้ผิดชอบกำลังขวางหลินอิ่งไว้ เขาจึงตะคอกออกมาทันที

“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ!”

บอดี้การ์ดของร้านอาหารหลุยกงพวกนี้ พอถูกฟางหย่วนตะคอกไป ก็รีบหันมาขอโทษหลินอิ่งแล้วออกจากโถงทางเดินทันที

“คุณชายอิ่ง ต้องขออภัยด้วยนะครับ เรื่องเมื่อครู่มันคือความเข้าใจผิด ผมเสียมารยาทแล้ว เมื่อกี้หลุยกงเพิ่งโทรศัพท์มาเขาบอกว่าอยากคุยกับคุณสักหน่อยครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

เมื่อกี้เขาได้โทรไปรายงานสถานการณ์ให้หลุยกงฟัง และรู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นคือ คุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉีที่ทรงอำนาจของตี้จิง!

เป็นตระกูลฉีที่แม้แต่หลุยกงยังต้องกลัวเลย!

เขาที่เป็นแค่เลขา จะไปมีเรื่องกับเทพเจ้าอย่าง คุณชายอิ่งได้ยังไงล่ะ!

“ผมกับหลุยกงไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน” หลินอิ่งพูดออกไปอย่างเรียบเฏย

ฟางหย่วนเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก จากนั้นก็พูดไปว่า “คุณชายอิ่ง หลุยกงฝากผมมาบอกคุณว่า เขาอยากขอร้องคุณว่าช่วยให้ไว้หน้าเขานิดหนึ่ง ให้คุณช่วยปล่อยเรื่องคุณท่านจี้ไปก่อนครับ”

“หลุยกงบอกว่า เรื่องนี้เขาจะตอบแทนคุณชายอิ่งได้อย่างพอใจแน่นอนครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณจะไม่คุยกับหลุยกงหน่อยเหรอครับ?”

“ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์!” หลินอิ่งทิ้งท้ายอย่างเรียบเฉย “กลับไปบอกหลุยกงว่า ถ้าเขายังกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของจี้ฉงซานอีก ผมจะปลดเขาลงจากตำแหน่งทันที!”

ฟางหย่วนทำหน้าหวาดกลัว เขาถูกรังสีของหลินอิ่งกดดันเข้าอย่างหนัก ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างว่าง่าย

“พาผมไปที่ห้องของจี้ฉงซาน” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างใจเย็น

ฟางหย่วนทำหน้าลังเลไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินนำทางไปอย่างว่าง่าย

ไม่นาน หลินอิ่งก็เดินผ่านทางเดินสีทอง จนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสีแดงชุบทองบานใหญ่

ปั้ง หัวหน้าพุ่งเข้าไปถีบประตูบานใหญ่ออก ภายในห้องที่สวยหรูไร้ซึ่งผู้คน ข้าวของที่นอนต่างถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย และสะอาดสะอ้าน

“นี่……คุณท่านจี้ล่ะ?” ฟางหย่วนแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา

หลินอิ่งจ้องเขม็งมาที่ฟางหย่วน

ฟางหย่วนกลัวจนพูดไม่ออก ร่างกายสั่นไปทั้งตัว เขาทนต่อแรงกดดันที่หลินอิ่งส่งมาไม่ไหวจริงๆ ปาดเหงื่อไปทีหนึ่งจากนั้นก็พูดด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชายอิ่งครับ ผมสามารถยืนยันได้นะครับ ว่าเช้าวันนี้คุณท่านจี้ยังร่วมรับประทานอาหารกับหลุยกงที่ร้านอาหารหลุยกงอยู่เลย ผมไม่รู้ว่าเขาออกไปตอนไหน ผมเป็นแค่เลขา เรื่องนอกเหนือจากนี้ผมก็ไม่รู้อะไรเลยครับ!”

เขากลัวว่าการที่หลินอิ่งหาจี้ฉงซานไม่เคย แล้วจะเอาความโกรธมาลงที่เขา ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็แย่สิ!

หลินอิ่งส่งสายตาให้หัวหน้า หัวหน้าเข้าใจความหมาย แล้วพาคนชุดดำสองคนพุ่งออกไปทางโถงทางเดิน

สามนาทีต่อจากนั้น

หัวหน้าเดินกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด เขาพูดขึ้นว่า “ผมไปดูที่ห้องกล้องมาแล้ว เทปบันทึกภาพในร้านอาหารหลุยกงในรอบสัปดาห์นี้ถูกลบไปแล้วครับ”

หลินอิ่งค่อยๆ หลับตาลง กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีสามรัง ดูท่า จี้ฉงซานคงรู้ตัวนานแล้ว หลังจากที่จับหยูจื๋อเฉิงได้ เขาก็พากันหนีไปก่อนแล้ว จิ้งจอกเฒ่านั่นมันได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบมาก่อนแล้ว

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไป”

“แกกล้าใช้กำลังที่หน้าร้านอาหารหลุยกงอย่างนั้นเหรอ? แกได้ตายแน่!”

“โทรหาเลขาใหญ่ฟาง! บอกเขาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่หน้าร้านอาหารหลุยกงแล้ว!”

รปภ.ที่อยู่หน้าประตูร้านอาหารหลุยกงเริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห

อย่างที่โบราณว่าไว้ ว่าคนเฝ้าประตูของขุนนางก็พลอยมียศที่สูงศักดิ์ไปด้วย เหมือนกันคนพวกนี้ที่เป็นคนเฝ้าประตูของร้านอาหารหลุยกงแขกที่ต้อนรับทุกวันก็มีแต่พวกคนใหญ่คนโตกับพวกมหาเศรษฐี ต่างก็ให้ความเกรงใจกับพวกเขาทั้งนั้น มันจึงทำให้พวกเขาติดเป็นนิสัยวางท่าใหญ่โต ไม่มีทางที่จะทนกับการกระทำที่หยิ่งยโสของหลินอิ่งได้อยู่แล้ว

พรึบพรับ

บอดี้การ์ดที่ดูทะมัดทะแมงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในร้านอาหารหลุยกง ทุกคนต่างก็ทำหน้าทำตาดุดัน ดูแล้วน่าจะเป็นทหารมือดีที่ปลดประจำการการแล้วแน่ๆ

“แกเป็นใคร? มาหาคุณท่านจี้ทำไม?”

ชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่เป็นหัวหน้า เขาสวมแว่นกับชุดสูทที่ดูเรียบร้อย สีหน้ามั่นใจแล้วใช้สายตาพิจารณาหลินอิ่ง

“วันนี้ ผมมาหาแค่จี้ฉงซานเท่านั้น คนที่ไม่เกี่ยวหลบไป” หลินอิ่งพูดด้วยนำเสียงที่เรียบเฉย แต่มันกลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามอันยากที่จะขัดขืนได้

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังอึ้งกับบรรยากาศที่หลินอิ่งส่งออกมา

“แกจี้เป็นแขกคนสำคัญของร้านอาหารหลุยกง การที่แกมาก่อความวุ่นวายเพื่อหาเรื่องคุณท่านจี้ มันก็เท่ากับไม่ให้เกียรติร้านอาหารหลุยกงแห่งนี้!” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “แกคิดให้ดีๆ นะ ว่าแกกล้ามีเรื่องกับคุณหลุยกงรึเปล่า?”

คนที่เป็นเลขาคนสนิทของหลุยกง การที่เขาติดตามหลุยกงมาตั้งหลายปีไม่รู้ว่าเคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาแล้วเท่าไหร่

แต่ก็ยังไม่เคยเคยวัยรุ่นที่ไม่รู้จะที่ต่ำที่สูงแบบนี้มาก่อนเลย

ล้อเล่นอะไรกัน การมาทำตัวเหิมเกริมอยู่หน้าร้านอาหารหลุยกงและท้าทายอำนาจของหลุยกงแบบนี้ เขาคิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตกัน?

“เลขาใหญ่ฟางเกิดอะไรขึ้นครับ? มีคนมาหาเรื่องคุณท่านจี้เหรอครับ?”

ตอนนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น

เห็นแต่บอดี้การ์ดที่แผ่รังสีอำมหิตจากร่างกายเดินออกจากร้านอาหารหลุยกงมา คนที่เป็นหัวหน้า ดูจากหน้าตาแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นคนอาเซียน แววตาที่เยือกเย็นเหมือนงูกำลังจับจ้องมาที่หลินอิ่ง

“คุณลู่หนันครับ คนคนนี้ประกาศว่าจะมาจะคุณท่านจี้ คุณรู้จักเขารึเปล่าครับ?” เลขาใหญ่ฟางถาม

ลู่หนุนหรี่ตาพิจารณาหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ดูถูก จากนั้นก็ขำออกมาอย่างไม่ชอบใจแล้วพูดขึ้นว่า “แกเป็นพวกเดียวกับหยูจื๋อเฉิงใช่มั้ย? มาหาหยูจื๋อเฉิงสินะ?”

“ฉันจะบอกให้แกรู้ไว้แล้วกัน ฉันเป็นคนกระทืบคนของหยูจื๋อเฉิงเอง และฉันนี่แหละที่เป็นคนเอาตัวหยูจื๋อเฉิงมาเองแล้วแกจะทำอะไรได้? ไอ้ขยะ!” ลู่หนันมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เหยียดหยาม เขาตะคอกใส่หลินอิ่ง พร้อมกับใบหน้าที่ไม่หวั่นเกรงใดๆ

เขาไม่สนใจหรอกว่าหลินอิ่งเป็นใคร เพราะเมื่ออยู่ในร้านอาหารหลุยกงใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น!

“ประธานหลิน ไอ้ต่างชาตินี่แหละครับที่เป็นคนพาลูกพี่หยูไป คนคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งเลยครับ” บอดี้การ์ดใส่สูทคนหนึ่งเดินมาข้างๆ หลินอิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่ลู่หนัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

หลินอิ่งยังคงทำหน้าดังเดิม สายตาจับจ้องไปยังลู่หนัน

“ลูกพี่ลู่พูดถูก แกมันไอ้หน้าโง่ ปัญญาอ่อนรึไง? ถึงได้มาก่อความวุ่นวายที่ร้านอาหารหลุยกงแบบนี้? ช่างน่าขันสิ้นดีจะบอกแกให้รู้ไว้นะ เรานี่แหละที่กระทืบหยูจื๋อเฉิงลูกพี่ของแกน่ะ แล้วแกจะทำอะไรพวกเราได้ห๊ะ?”

“ฮ่าฮ่าไอ้ไก่อ่อน ยังกล้ามาหาเรื่องคุณท่านจี้อีก โง่เง่าสิ้นดี!ไม่รู้จักมองดูตัวเองบ้างเลยว่าอยู่ในฐานะอะไร เป็นแค่เศษเดนที่เข้าไปในร้านอาหารหลุยกงยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

“ด่าแกแบบนี้แล้วรู้สึกไม่พอใจใช่มั้ย? ฉันจะด่าลูกหมาอย่างแกแล้วมันจะยังไง? อยากทำอะไรเราแต่ก็ไม่กล้าใช่มั้ย? รู้สึกโกรธมาใช่มั้ย?”

หลังจากที่ลู่หนันตะคอกไป พวกลูกน้องที่อยู่ข้างเขาก็พากันพูดจาเหยียบหยามอย่างเหิมเกริม พร้อมกับใบหน้าที่ได้ใจ

“พอแล้ว ไอ้หนู แกตามพวกไร้ค่ามาเยอะขนาดนี้คิดว่ามีประโยชน์เหรอ? รีบไสหัวไปซะ! ร้านอาหารหลุยกง ไม่ใช่ที่ที่คนต่ำต้อยอย่างแกจะเข้าไปได้ ยังกล้าคิดว่าจะไปพบคุณท่านจี้อีก? แกมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปพบคุณท่านจี้มั้ย?” ลู่หนันพูดด้วยท่าทางที่ดูถูก

มุมปากของหลินอิ่งส่งผ่านความรู้สึกที่อำมหิตออกมา พอร่างกายขยับ เขาก็พุ่งตัวออกไปทันที

ป๊าบ!

เสียงที่ลู่หนันถูกตบหน้าดังสนั่นหวั่นไหว ตบจนลู่หนันถึงกับหน้าหันจนทรงตัวแทบไม่อยู่ กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็เสียหลักกลิ้งลงบันไดไป

“อ้า!”

ลู่หนันโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด แรงตบในครั้งนี้ทำให้เขาถึงกับหูหนวกไปเลย

หลินอิ่งยกขาขึ้นมาแล้วเหยียบลงไปที่หน้าของลู่หนันอย่างแรง เขาเดินขึ้นบันไดไป สายตาที่เยือกเย็นมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าร้านอาหารหลุยกง

“แกบ้าไปแล้วรึไง? ถึงกล้ามาใช้กำลังตรงหน้าร้านอาหารหลุยกงแบบนี้?”

“รีบปล่อยลูกพี่ลู่เดี๋ยวนี้นะ!”

ในตอนนี้ พวกลูกน้องของลู่หนันที่กำลังโมโหอยู่นั้น ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่หลินอิ่งทำ

ฝีมือของลูกพี่ลู่หนันนั้นพวกเขาเคยเห็นมาแล้ว เขาเป็นถึงแชมป์มวยใต้ดินที่มาจากอาเซียนเลยนะแม้แต่ยอดฝีมืออย่างหยูจื๋อเฉิงยังทนได้ไม่กี่หมัดเอง

ทะ ทำไมถึงถูกไอ้ไก่อ่อนนี้ตบทีเดียวคว่ำเลยล่ะ แถมยังถูกเหยียบอยู่ที่พื้นอย่างต่อต้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?

“แก!” ลู่หนันจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ ไม่นึกเลยว่าไอ้หนุ่มนี่จะสามารถล้มเขาได้ในทีเดียว!

ตุบ!

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เตะเข้าใส่หน้าอกของลู่หนันอย่างจัง ทำลายเส้นเอ็นของเขา หักขาทั้งสองข้างของเขา!

จากนั้นก็เตะใส่ลู่หนันอย่างแรงจนเขากระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร และกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัว เลือดอาบไปทั่วร่าง เหมือนกับหมาตัวหนึ่งที่นอนหมดท่าอยู่ตรงพื้น

“แค่ลูกหมาตัวหนึ่ง ยังกล้ามาทำร้ายคนของฉันอีก?” หลินอิ่งเอยถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“” กะ แกคิดจะทำอะไร? ต่อหน้าร้านอาหารหลุยกงยังกล้าทำร้ายคนถึงขนาดนี้เลยเหรอ? แกอยากตายใช่มั้ย?” เลขาใหญ่ฟางถามด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ

พวกเขาต่างนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าเมินเฉยต่อบารมีของหลุยกงแบบนี้!

“หลุยกงเหรอ?” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “เกียรติที่ควรให้หลุยกงฉันก็ให้ไปแล้ว แต่ถ้าหลุยกงยังคิดที่จะเข้าข้างจี้ฉงซานอีกละก็ ฉันก็จะจัดการมันไปพร้อมกันเลย”

“นี่แก! แกนี่มันช่างไม่รู้จะที่ต่ำที่สูงจริงๆ!” เลขาใหญ่ฟางสีหน้าโกรธเกรี้ยว

โอหัง! ช่างโอหังเกินไปแล้ว!

แม้แต่หลุยกงที่เป็นอันดับหนึ่งของตี้จิงยังไม่ไว้หน้าเลยใช่มั้ย?

“ไปรายงานเรื่องนี้ให้ ผอ.หลิวที่กำลังกินข้าวอยู่ที่ตึกลูกค้าพิเศษหน่อย ให้เขามาจัดการกับไอ้คนรนหาเรื่องคนนี้หน่อย” เลขาใหญ่ฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม หันไปสั่งคนที่ตามเขามาข้างๆ

“หัวหน้าหลิน ผมมาแล้วครับ”

ทันใดนั้นเอง รถออฟโรดคันหนึ่งที่สวมป้ายทะเบียนที่ใช้ในทางทหารถูกขับมาจอดที่หน้าร้านอาหารหลุยกง ชายสวมแว่นดำกับชุดสีดำคนหนึ่งก้าวลงจากรถ เขามาพร้อมกับชายหนุ่มชุดดำอีกจำนวนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

พอลงจากรถ เขาก็ทำความเคารพแบบทหารให้หลินอิ่งไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ถอดแว่นออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แน่วแน่และดุดันของเขา บรรยากาศราวกับเหล็กกล้าปกคลุมอยู่รอบกาย

หลินอิ่งพยักหน้า เนื่องจากเหตุการณ์ของร้านอาหารหลุยกงเกี่ยวข้องกับทางการ ดังนั้นเขาจึงตามหัวหน้าของจื่อหลงซานมาด้วย

“พวกแกมาจากหน่วยงานไหน?” เลขาใหญ่ฟางจ้องมองคนที่หัวหน้าพามาอย่างไม่ชอบใจ

“ไม่พูด? พวกแกฟังให้ดีๆ นะ! ฉันเป็นเลขาธิการคนสำคัญของหลุยกง ฟางหย่วน!” เลขาใหญ่ฟางทำหน้าตาน่าเกรงขาม พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “พวกแกทุกคน รีบพูดมาเดี๋ยวนี้ ว่าพวกแกมาจากหน่วยงานไหน?”

หัวหน้าไม่มองเลขาใหญ่ฟางเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าให้หลินอิ่งด้วยความเคารพ

“หัวหน้าหลินครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ”

หลินอิ่งส่งสายตา หัวหน้าก็พยักหน้าตอบ กันหลังไป โบกมือ ชายหนุ่มชุดดำข้างกายก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พุ่งขึ้นไปยังบันไดตรงประตูของร้านอาหารหลุยกง แล้วแหวกออกเป็นทางเดิน

“กองพิเศษเว่ยอันจะปฏิบัติภารกิจ ใครที่ไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”

น้ำเสียงของหัวหน้ากังวานดังเหล็กกล้า ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับใจสั่นกันเลยทีเดียว

จงเทียนซิงเฉิง อาคารเฟยยิง

ข้างล่างอาคาร พื้นที่ได้ถูกเคลียร์ไปแล้ว มีรถเบนท์ลีย์สีดำจอดอยู่หลายคัน ข้างๆมีชายใส่สูทสีดำยืนอยู่เป็นแถวๆ บรรยากาศช่างดูเคร่งขรึมเหลือเกิน

ตรงหน้าประตูของอาคาร มีโลงศพโรงหนึ่งตั้งอยู่

มีรถคันหนึ่งขับมาถึง ฮาเดสเปิดประตูออก หลินอิ่งลงจากรถด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย โดยมีฮาเดสกับถังฮุยตามอยู่ข้างๆ เดินมาจนถึงหน้าอาคารเฟยยิง

“ท่านอิ่ง!” ถูซานที่เหงื่อเต็มหน้าผาก พูดด้วยความเคารพ เขารอคอยการมาของท่านอิ่งอยู่ตรงนี้มาโดยตลอด

เหตุการณ์ในวันนี้นั้นมันเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว!

ถูซานเป็นคนแรกที่รู้เรื่อง เพราะโลงศพถูกส่งมาที่หน้าตึกของตนเอง

แถมยังมีข้อความฝากไว้ว่าเป็นของขวัญที่คุณท่านจี้มอบให้ท่านอิ่ง ตอนที่เห็นก็ทำให้เขาตกใจจนเหงื่อแตกแล้ว

ใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้ ถึงกล้าท้าทายกับอำนาจของท่านอิ่งแบบโจ่งแจ้งแบบนี้!

“ท่านอิ่ง คุณไม่อยู่ เราก็ไม่กล้าเปิดโลงศพออก และไม่รู้ว่าคนแซ่จี้นั่นส่งอะไรมากันแน่” ถูซานพูดออกมาอย่าระมัดระวัง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เดินมาตรงหน้า จู่ๆ เขาก็โบกมือ ราวกับกำลังจะจับสายลมที่ลอยอยู่ในอากาศ

ทันใดนั้น เสียงลมก็ดังขึ้น อากาศไหลเวียน

ตูม!

โลงศพระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แผ่นไม้กระเด็นไปทั่วทุกทิศ

พอเห็นแบบนั้น ถังฮุยกับถูซานก็ตาค้างไปเลย เหงื่อไหลลงจากหน้าผากของทั้งคู่

ภายในโลงศพมีคนชายร่างกายกำยำคนหนึ่งนอนอยู่ เลือดอาบเต็มตัว มีเศษผ้ายัดอยู่ในปาก แถมยังมีโซ่เหล็กอีกหลายเส้นล็อกมือและขาของเขาเอาไว้ ช่างเป็นภาพที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน

“เอาตัวเขาออกมา” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ภายใต้แววตาที่เย็นชานั้นได้มีจิตสังหารอันเหลือล้นทะลักออกมา

คนที่นอนอยู่ในโลงศพนั้นหลินอิ่งรู้จัก ซึ่งชายคนนั้นก็คือองครักษ์ข้างกายของหยูจื๋อเฉิง ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าหยูจื๋อเฉิงเลย เป็นคนหนึ่งในนักฆ่าราชาทั้งสี่อันเลื่องชื่อที่อยู่ใต้อาณัติของเขา ถือเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งในตี้จิง คนคนนี้มีชื่อว่าซื่อไท่

ครั้งนี้ที่ส่งหยูจื๋อเฉิงไปจับตาดูจี้ฉงซานนั้น เขาก็พอซื่อไท่ไปด้วยนี่แหละ

ถังฮุยกับถูซานเดินเข้าไปพยุงซื่อไท่ออกมา ทั้งคู่ทำหน้าเคร่งขรึม ช่วยซื่อไท่แกะผ้าในปากออก ความโกรธเกรี้ยวถูกแสดงออกมาทางใบหน้า

“ซื่อไท่ คุณอยู่ข้างกายลูกพี่หยู ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้กัน?” ถังฮุยถามไปด้วยความร้อนรน

แม่งเอ๊ย! นายชาย บอกฉันมา ใครเป็นคนทำ? มันกล้าถึงขนาดตัดเอ็นในแขนขาของนายออก ฉันจะไปฆ่ามัน!” ถูซานสบถออกมา พร้อมกับดวงตาที่แทบถลนออกมา

ซื่อไท่ นกอินทรี ฮุยสุง ทั้งสามคนนั้นรู้จักกันมาเป็นสิบปี ต่างก็ติดตามหยูจื๋อเฉิงพิชิตใต้หล้าตั้งแต่ยี่สิบต้นๆ แล้ว พวกเขาได้สาบานเป็นพี่น้องกันที่วัดกวนอู พวกเขาสนิทกันยิ่งกว่าญาติแท้ๆ ซะอีก

เมื่อเห็นพี่น้องของตัวเองถูกที่ร้ายอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้ ถูกตัดเอ็นทั้งมือและขา แถมยังถูกยัดใส่โลงศพแล้วส่งมาถึงหน้าบ้านอีก มันจึงทำให้ไฟในท้องลุกไหม้จนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

“คะ คนของจี้ฉงซานเป็นคนทำ ผมยังไม่ตาย มะ ไม่เป็นไรครับ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง” ซื่อไท่พูดด้วยอาการหายใจติดขัด “ผะ ผมมีเรื่องจะพูดกับท่านอิ่งครับ”

พอได้ยินแบบนั้น ถังฮุยกับนกอินทรีก็เงียบไป พวกเขาพยุงซื่อไท่มายืนอยู่ตรงหน้าของหลินอิ่ง

“ท่านอิ่งครับ คนที่จี้ฉงซานส่งมา ลูกพี่หยูถูกพวกมันพาตัวไปครับ” ซื่อไท่ก้มหน้า พูดออกมาอย่างช้าๆ “ต้องขออภัยจริงๆ ท่านอิ่งที่ข้าน้อยไร้ความสามารถ จนทำให้ภารกิจต้องล้มเหลว”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดไปว่า “พูดต่อ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”

ซื่อไทรพูดต่อ “เรียนท่านอิ่ง เดิมทีผมกับลูกพี่หยูได้เตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว ดืนปืนก็พร้อม ทั้งเส้นทางทั้งสถานที่ก็เตรียมเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่รอให้ถึงพรุ่งนี้ตอนที่จี้ฉงซานเดินทางไปขึ้นเครื่อง เราค่อยจับตัวเขาระหว่างทาง”

แต่ทว่า เมื่อสองชั่วโมงก่อน จู่ๆ ก็มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในที่พักของเรา โดยคนนำทีมคือคนเอเชียคนหนึ่ง ฝีมือร้ายกาจมาก ขนาดผมกับลูกพี่หยูร่วมมือกันยังยันเขาได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าเลยครับ”

“คนของฝั่งเราหลังผ่านการต่อสู้กันอย่างหนักแล้ว ต่างก็ถูกจับตัวจนหมด ส่วนลูกพี่หยูนั้นก็ถูกพวกมันพาตัวไป ส่วนผมก็ถูกส่งมาพร้อมกับข้อความ……”

“ข้อความอะไร? พูดมา ห้ามตกหล่นแม้แต่คำเดียว” หลินอิ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

ซื่อไท่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “พวกมันบอกว่า ท่านอิ่ง การที่คุณกล้าวางแผนทำร้ายคุณท่านจี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ลูกพี่หยูถูกพวกมันเอาตัวไปแล้ว พวกมันบอกให้ท่านอิ่งนั่งรอความตายอยู่ที่บ้าน ส่วนโลงศพโรงนี้ก็เตรียมไว้ให้คุณใช้……”

หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ มุมปากเผยให้เห็นความรู้สึกที่แสนโหดเหี้ยม

คนฉลาดๆ ที่ร่ำรวยอย่างเจ้าสัวจี้นั้นช่างโอหังซะเหลือเกิน!

ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปหาตาแก่นั่นแค่พูดคุยเท่านั้น ถ้ายอมให้ความร่วมมือแล้วบอกข้อมูลของตระกูลเหวินมาละก็ ก็จะปล่อยเขาไป

นี่ตัวเองยังไม่ทันได้ลงมือเลย เขากลับส่งโลงศพมาถึงบ้านบ้านก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอ?

“ถังฮุย ถูซาน เช็กคนให้ครบ แล้วไปที่ร้านอาหารหลุยกงกัน!” หลินอิ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

พูดจบ เขาก็กลับเข้าไปในรถ ฮาเดสรีบสตาร์ทรถทันที

“ครับ!”

ถังฮุยกับถูซานพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต

……

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

ด้านนอกเมืองหลวงจื่อหลง ร้านอาหารหลุยกง

ร้านอาหารหลุยกง มีลานหน้าที่กว้างขวางดูอลังการ เดิมทีเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังในยุคก่อน หลังผ่านการปรับปรุงไปหลายครั้ง เลิศหรูอลังการ และกลายเป็นที่พำนักส่วนตัวของคนใหญ่คนโตบางคนไปแล้ว

คนที่มายังร้านอาหารหลุยกงนั้นมีแต่พวกมีมีระดับและมหาเศรษฐีเท่านั้น คนที่ต้อนรับก็มีแต่บุคคลที่มีฐานะสูงส่งทั้งนั้น

สถานที่แห่งนี้ ถือเป็นศูนย์รวมของราชาอย่างแท้จริง ถัดไปหนึ่งช่วงถนน ก็คือพระราชวังโบราณที่อยู่มาอย่างยาวนานของประเทศหลุง เมืองจื่อหลุง!

ที่สำคัญ ร้านอาหารหลุยกงยังมีอำนาจเหลือล้นของทางการคอยหนุนหลังอยู่! ในตี้จิงใครๆ ก็รู้ ว่าเบื้องหลังของร้านอาหารหลุยกงนั้นคือคนคุมอำนาจสูงสุดของตี้จิง! เป็นผู้ที่กุมพระราชเสาวนีย์แห่งตี้จิง!

ทุกคนต่างก็เรียกเขาว่าหลุยกง หลุยกงที่อยู่ต่อหน้าทางการนั้นเป็นถึงคนที่มีคุณธรรมและบารมีอันสูงส่ง! เขาคือคนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสามอันดับแรกนักกวีของประเทศอย่างมั่นคง เขาคือที่มีผลกระทบกับประเทศหลุงเป็นอย่างมาก!

บอกได้เลยว่า ร้านอาหารหลุยกงเมื่อเทียบกับโรงแรมเหอผิงของเซี่ยงไฮ้เมื่อศตวรรษที่แล้วนั้น มันดีกว่าจนเทียบกันไม่ติดเลย!

ตั้งแต่ที่ร้านอาหารหลุยกงก่อตั้งมา ก็ไม่เคยมาใครกล้ามาก่อเรื่องที่ร้านอาหารหลุยกงเลย!

ส่วนจี้ฉงซานนั้น ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่ขลุกอยู่ในร้านอาหารหลุยกง คอยปรึกษาหารือการใหญ่กับหลุยกงอยู่ตลอด

ขบวนรถเบนท์ลีย์สีดำมาจอดอยู่ที่หน้าร้านอาหารหลุยกง ประตูรถเปิดออก หลินอิ่งค่อยๆ ก้าวลงจากรถ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองสิ่งก่อสร้างที่แสนตระการตานี้

“ท่านอิ่ง จะให้บุกเข้าไปเลยมั้ยครับ?” ถังฮุยที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้น พร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง

ถึงแม้ในใจจะรู้สึกโกรธแค้นแค่ไหนก็ตาม แต่ถังฮุยก็ยังระงับอารมณ์เอาไว้ เพราะเขารู้ดีว่าร้านอาหารหลุยกงนั้นเป็นสถานที่แบบไหน

ถ้าไม่มีท่านอิ่งนำทีม เขาไม่มีทางกล้าพอที่จะทำแบบนั้นหรอก พาคนมาล้อมร้านอาหารหลุยกงเอาไว้

ถึงร้านอาหารหลุยกงจะไม่ใช่ของประเทศชาติ และเป็นเพียงแค่ร้านอาหารขนาดใหญ่ที่เอกชนเปิดเองเท่านั้น แต่ว่า ที่นี่เป็นถึงสถานที่ที่ท่านหลุยกงไว้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของเขาเลยนะ!

“พวกคุณไม่ต้องเข้าไป แค่ล้อมร้านอาหารหลุยกงเอาไว้ ห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจ

“ครับ!”

เมื่อถังฮุยกับถูซานได้รับคำสั่งแล้ว พวกเขาก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขาพาเหล่าบอดี้การ์ดชุดดำไปล้อมร้านอาหารหลุยกงไว้ด้วยท่าทางที่ดูสง่า

“พะ พวกแกเป็นใคร? มาจากไหน กล้ามาก่อความวุ่นวายที่ร้านอาหารหลุยกงได้ยังไง?”

“พวกแกคิดจะทำอะไร? ไปเอาความกล้ามาจากไหน? ไม่รู้รึไงว่าที่นี่มันถิ่นของใคร?”

พรึบพรับ เพียงครู่เดียว คนเฝ้าประตูของร้านอาหารหลุยกงก็วิ่งเข้ามาขวางหลินอิ่งเอาไว้

“ถิ่นของใครเหรอ?” หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ก็แค่สถานที่ไว้กินข้าว จะไม่ยอมให้แขกเข้าไปอย่างนั้นเหรอ?”

“สมองของแกนี่มันมีปัญหาใช่มั้ยเนี่ย?” หัวหน้ารปภ.ตะโกนด่าใส่หลินอิ่ง “ไม่รู้จักหาข้อมูลก่อนรึไงว่าร้านอาหารหลุยกงแห่งนี้เป็นของใคร? ถึงกล้ามาก่อความวุ่นวายถึงที่นี่?”

ตุบ!

หลินอิ่งเตะใส่หัวหน้ารปภ.จนเขากระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร พอล้มลงพื้นก็ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

“ไปเรียกจี้ฉงซานออกมา!”

หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ในสายตาของถังฮุยนั้น ท่านอิ่งนั้นก็เปรียบดั่งเทพองค์หนึ่ง ต่อให้ต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ทัดฟ้า หรือภูเขาสูงใหญ่มาขวางอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จิตใจสงบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

ท่านอิ่งนั้นเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่งจริงๆ ไม่เรื่องทางโลกใดๆ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบกับเขาได้ เหมือนผ่านโลกมามากเห็นสิ่งสวยงามมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน

นอกจากตอนอยู่กับคุณนายหลินที่ท่านอิ่งจะแสดงออกถึงความสุขแบบคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นอกเหนือจากนั้นคุณจะสามารถรับรู้ได้เลยว่าคนคนนี้คือเทพเจ้าอย่างแท้จริง คุณจะไม่มีทางได้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์จากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

จนวันนี้ ถังฮุยถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วท่านอิ่งเองก็เป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ มีเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ มีเวลาที่เขารู้สึกโกรธและแสดงความรู้สึกออกมาเหมือนกับคนทั่วไปเหมือนกัน

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง

จางฉีโม่เดินเข้ามา เธอมองหลินอิ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“หลินอิ่ง คุณทำธุระกลับมาแล้วเหรอคะ? วันนี้ทางสาขาย่อยของตี้จิงนั้นจัดการเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ได้เริ่มดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย เราไปกินอะไรด้วยกันหน่อยมั้ยคะ?”

จางฉีโม่สีหน้ายินดี ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก

มุมปากของหลินอิ่งแย้มขึ้น เผยรอยยิ้มออกมา เขาดับบุหรี่ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “ไปครับ”

“ถังฮุย เขตหัวหยางมอบหมายให้คุณไปจัดการแล้วกัน สิทธิ์ในการจัดการทั้งหมดของที่ดินผืนนั้นเป็นของคุณ” หลินอิ่งพูดขึ้น

“ครับ!” ถังฮุยพยักหน้าด้วยความเคารพ

ไม่นาน หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็มาถึงร้านอาหารธีมราศี ที่อยู่ในอาคารดวงดาว

ทั้งคู่นั่งลงตรงโต๊ะคริสทัล และสั่งอาหารเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อมองผ่านบานกระจกที่กั้นระหว่างภัตตาคารกับโลกภายนอกลงไป ก็สามารถมองเห็นผู้คนภายในอาคารมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา ทำงานตรงโน้นทีตรงนี้ที

ที่นี่คืออาคารสำนักงานของบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ หลังจากครั้งก่อนที่จงเทียนซิงเฉิง ถูกโครงการสตาร์ไลท์โฆษณาไปครั้งใหญ่ บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อก็มีชื่อเสียงขึ้นมาในตี้จิงเลย

ทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการจัดจำหน่ายต่างก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร

ดังนั้น วันนี้จางฉีโม่จึงรู้สึกอารมณ์ดีมาก

นี่เป็นความใฝ่ฝันที่เธอตามหามานาน การได้มองดูตึกที่ตัวเองใฝ่ฝันถูกสร้างขึ้น ข้างกายยังมีคนรักที่รักกัน จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ

จางฉีโม่มองหลินอิ่งไปแวบหนึ่งแล้วพูดไปว่า “หลินอิ่ง วันนี้คุณมีเรื่องอะไรให้หนักใจรึเปล่าคะ? ฉันเห็นตอนอยู่ในห้องทำงานคุณดูเคร่งขรึมมากเลย”

หลินอิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วตอบไปว่า “ไม่มีอะไรครับ”

หือ? จริงเหรอคะ? แล้วคุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ?” จางฉีโม่ถามไปด้วยความสงสัย

ตั้งแต่พบกับจ้าวหลินเอ๋อร์ที่ตี้จิงเป็นต้อนมา เธอก็มักจะเป็นห่วงทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลินอิ่งอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่หวงของเล่นของตัวเอง กลัวว่าจะถูกคนอื่นแย่งไปแบบนั้นเลย

“ผมกำลังคิดถึงคุณไงครับ”

“ชิ” จางฉีโม่มองบน หันไปทางอื่น ใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

“พอแล้ว แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว คุณช่วยจริงจังหน่อย ฉันกำลังคุยสำคัญกับคุณอยู่นะคะ” จางฉีโม่คีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ธุระทุกอย่างของสาขาในตี้จิงถูกจัดการหมดแล้ว ตอนนี้สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ฉันต้องกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่ง เพื่อไปจัดการธุระของสาขาทางนั้นให้เสร็จ การบริหารกิจการเครื่องประดับของทั้งสองแห่งต้องได้การตรวจสอบเหมือนกัน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่งก็ดีเหมือนกัน การดำเนินงานของบริษัทคุณสามารถไปจัดการได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ เรื่องแบบนี้คุณเก่งอยู่แล้ว” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาหาผมได้เลยนะครับ”

“ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้า “สรุป คุณจะกลับเมืองตุงไห่ไปพร้อมกับฉันรึเปล่าคะ?”

หลินอิ่งตอบด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำในเมืองตี้จิงอีก ยังกลับไปไม่ได้สักระยะ ตอนอยู่ที่เมืองตุงไห่ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้งานเสิ่นซานกับเจียงฉีได้เลยนะครับ”

เหมือนจางฉีโม่อยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป ตอนแรกเธอตั้งใจจะถามหลินอิ่งว่ายังมีธุระอะไรที่ตี้จิงอีก แต่พอคิดๆ ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ถามไป

ยังไงซะกิจการของหลินอิ่งในตี้จิงก็ใหญ่โตขนาดนี้ มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากมายต้องให้จัดการ เห็นที่คงจัดการให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ ไม่ได้หรอก

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าตอบ

ด้วยเหตุนี้ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปในครอบครัว เรื่องของบริษัทกันอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่นานเวลาของอาหารก็ได้ล่วงเลยผ่านไป

หลังกินข้าวเสร็จจางฉีโม่ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง

หลินอิ่งกลับมาที่ห้องทำงานของประธาน สองมือวางอยู่บนราว มองดูอาคารสูงใหญ่ที่อยู่ในตี้จิง จุดบุหรี่มวนหนึ่งนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้

การเปลี่ยนแปลงของแก๊งมังกร ทำให้หัวใจของเขาถูกความมืดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง

เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของอาจารย์มาก ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงของแก๊งมังกรในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะได้รับอันตราย……

ตอนนั้นอาจารย์ไปผ่านด่านความเป็นความตาย จึงตัดสินใจตัดขาดจากทางโลก เพื่อจะได้เข้าถึงศิลปะการต่อสู้ที่สูงขึ้นไปอีกระดับ

ไม่ได้บอกว่าสถานที่ที่ไปทดสอบด่านความเป็นความตายอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากในการตามหา

กริ้งๆ

ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น

“ท่านอิ่งครับ ทางลูกพี่หยูเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!” ทางต้นสาย เสียงที่ร้อนรนของถังฮุยดังขึ้น

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดเรื่องขึ้นกับหยูจื๋อเฉิงอย่างนั้นเหรอ?”

“จู่ๆ การติดต่อของลูกพี่หยูก็ขาดหายไป ลูกน้องของเขาบอกว่า ห้องที่ลูกพี่หยูพักอยู่ถูกคนโจมตีครับ แถมยังทิ้งปลอกกระสุนไว้อีก” ถังฮุยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ผมเข้าใจแล้ว”

“ยังมีอีกเรื่องครับ……” ถังฮุยพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “มีคนส่งโลงศพโรงหนึ่งมาที่จงเทียนซิงเฉิงครับ มันตั้งอยู่ที่หน้าประตูอาคารสำนักงานของถูซานครับ ……มีข้อความแปะไว้ว่า เป็นของที่คุณท่านจี้มอบให้กับท่านอ้างครับ……”

ตอนที่ถังฮุยพูดออกมานั้น หัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับมีคนกล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านของท่านอิ่ง แถมยังเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน นะ นี่มันเป็นการแสดงออกถึงความดูถูกและประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้งเลยนี่นา! นี่มันต้องการท้าทายอำนาจของตี้จิงชัดๆ!

“คุณ ไปกับผม”

หลังวางสาย ลำแสงเย็นเยือกก็ได้ปรากฏขึ้นที่แววตาของหลินอิ่ง จิตสังหารได้ระเบิดออกมา

หยูจื๋อเฉิงเกิดเรื่องแล้วอย่างนั้นเหรอ?

คุณท่านจี้เหรอ? จี้ฉงซานเป็นคนส่งโลงศพนั่นมาเหรอ?

เขาสั่งให้หยูจื๋อเฉิงพาคนไปแอบจับตาดูจี้ฉงซานมาพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนจะถูกจับได้แล้วแน่ๆ

พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่จี้ฉงซานจะกลับเมืองก่างพอดี ทั้งที่วางแผนว่าจะลงมือกับจี้ฉงซานในวันพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ

แต่แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หยูจื๋อเฉิงกลับหายตัวไปซะได้

มันจึงทำให้หลินอิ่งได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นัก

เช้าวันนี้ เขาเพิ่งไปองครักษ์มังกรที่อยู่ในอำเภอหลงซิงตรงชานเมือง ก็เพื่อต้องการสืบสาวข้อมูลของตระกูลเหวินและผู้อยู่เบื้องหลังจากจี้ฉงซานนี่แหละ

อีกอย่างก็คือให้องครักษ์มังกรไปตรวจสอบบริษัทยามาโตะหยิงหวาดู ไปตรวจสอบกงจิ่วผู้น่าสงสัยที่คอยควบคุมตระกูลนิ่งเอาไว้

สุดท้าย ก็ได้รู้ว่าแก๊งมังกรได้เปลี่ยนผู้นำไปนานแล้ว……

หรือว่า? นี่อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นก็ได้?

หลินอิ่งเริ่มใช้ความคิด

ตอนนั้น จู่ๆ ตระกูลเหวินก็ถอยไปซ่อนตัวจากตี้จิง แถมยังมียอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยู่กับเหวินเทียนเฟิ่งนั่นอีก คนคนนั้นสามารถประมือกับเขาได้เป็นสิบครั้งเลยนะ

ตอนนั้น หลินอิ่งก็สงสัยแล้วว่า ตระกูลเหวินน่าจะรู้ถึงฐานะของเขาในแก๊งมังกร

พอมาตอนนี้ เรื่องทุกอย่างมันจะดูซับซ้อนมากกว่าที่คิดแล้ว!

บางที อาจจะมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาจากที่มืดในตี้จิงก็เป็นได้

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย จุดบุหรี่ แล้วเดินลงชั้นล่างไป

ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครก็ตาม เขาก็ต้องสืบสาวจนทุกอย่างกระจ่างให้ได้

กล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านแบบนี้ ถ้าใครกล้าเข้ามาขวางก็ต้องฆ่าให้หมด แม้แต่เทพมาขวางก็ไม่มีเว้น!

“แก! แกหาที่นี่เจอได้ยังไง?” ปรมาจารย์ถามด้วยใบหน้าที่แตกตื่น แววตาก็แตกตื่นไม่ต่างกัน ต่อให้พยายามทำหน้าสงบแค่ไหน แต่มือทั้งสองข้างกลับกำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

การปรากฏตัวอย่างเหนือธรรมชาติของหลินอิ่งทำให้เขาแทบจะสิ้นหวังไปแล้ว

ปรมาจารย์ลองคิดอีกมุมหนึ่ง ในด้านวิชาการต่อสู้ของแก๊งมังกรนั้นไม่ได้ขาดการวิเคราะห์แบบปราชญาเลย……

พลาดแล้วไง! ลืมจุดนี้ไปสนิทเลย! ดันพานักบวชเฒ่าที่อยู่ในวัดนั่นติดตัวมาด้วย นักบวชเฒ่านั่นเพิ่งพบกับหลินอิ่งเมื่อกี้ เพิ่งเห็นหน้ากันไป

ที่สำคัญกว่านั้นคือ นักบวชเฒ่าอาศัยอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงมาเป็นปี ในวัดก็มีแต่ร่องรอยของเขาเต็มไปหมด เก้าอี้กับเบาะสานเขาก็เคยนั่งมาแล้ว พวกมันต่างก็เป็นวัตถุธรรมชาติที่สามารถเอามาวิเคราะห์ได้

ส่วนคนคนนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดจากประมุขคนก่อนมาอย่างถ่องแท้ เขามีครบทั้งจังหวะเวลา สถานที่และการดึงดูดผู้คน ถ้าต้องการคาดการณ์ตำแหน่งของนักบวชเฒ่าว่าอยู่ตรงไหนในเมืองโบราณนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก!

“ท่าน ท่านคือผู้สืบทอดของประมุขคนก่อนเหรอครับ?” ปรมาจารย์น้ำเสียงสั่นเครือ เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ แววตาเย็นเยือกอย่างถึงที่สุด “เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นคนทรยศของแก๊งมังกรน่ะ?”

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พูด!”

น้ำเสียงที่เย็นเยือก ราวกับสายฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไว้อยู่ในหัวของปรมาจารย์ มันทำให้เขายืนอึ้งอยู่กับที่ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ผะ……ผมยอมพูดแล้วครับ” ปรมาจารย์ก้มหน้าก้มตา แล้วพูดออกมาช้าๆ

ซิ่ว!

เพียงพริบตาเดียว แสงแวบหนึ่งวิ่งผ่านดวงตาของปรมาจารย์ไป เขาตัดสินใจลงมือทันที

“เอื้อ!”

“อ้า!”

ปรมาจารย์ไม่ได้ลงมือกับหลินอิ่ง แต่หันหันไปเลื่อนมือผ่านลำคอของคนชุดดำทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างเขา

ในเวลาสั้นๆ คนชุดดำสองคนที่ตกอยู่ในความกลัวก็ถูกมีดในมือของปรมาจารย์เชือดผ่านลำคอไปโดยไม่ทันตั้งตัวเลือดสดๆ ไหลออกมามากมาย จนล้มตายไปในทันที!

แม้แต่นักบวชเฒ่าที่นอนอยู่บนพื้นก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน ถูกมีดบินเชือดผ่านลำคอไป จนสิ้นชีพไปทันที

ปรมาจารย์ลงมือได้อย่างรวดเร็ว เรียบง่ายแต่เด็ดขาด

“อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันคิดว่าต่อหน้าคนคนนี้พวกแกไม่มีทางเก็บความลับอยู่อย่างแน่นอน ส่วนฉัน เดี๋ยวก็ได้ลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกแกแล้ว……” ปรมาจารย์มองดูลูกน้องทั้งสองที่เพิ่งตายไปด้วยสายตาที่เจ็บปวด แล้วพูดอยู่คนเดียวราวกับคนเสียสติ

ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเห็นแล้วช่างชวนขนลุกเหลือเกิน

“ให้เป็นคนสั่งให้คุณมาเฝ้าที่นี่? ใครทำให้คุณจงรักภักดีได้ขนาดนี้?” หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ถามไปอย่างใจเย็น

“ฮึๆฮึ……” ปรมาจารย์ขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ แก๊งมังกรได้เปลี่ยนประมุขไปนานแล้ว มันสายไปแล้ว! ถ้ายังคิดจะตามสืบต่อไป คุณก็คงรอดได้อีกไม่นานหรอก!”

“เมื่อก่อน ผมเคยติดหนี้บุญคุณประมุขคนก่อนมาก่อน เพื่อเห็นแก่บุญคุณครั้งนั้น ผมจะบอกคุณอย่างหนึ่งว่า ถ้ายังอยากมีชีวิตรอด คุณก็ควรซ่อนตัวต่อไป! ทิ้งความคิดเรื่องตำแหน่งประมุขไปซะ ล้มเลิกเรื่องที่จะครอบครองแก๊งมังกรไปได้เลย”

“ความจงรักภักดีนั้นมีให้แค่คนคนเดียว นี่คือข้อมูลสุดท้ายที่ผมจะบอกคุณได้ สำหรับประมุขคนก่อนผมก็ถือว่าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว! ส่วนข้อมูลอื่นๆ คุณก็อย่างหวังจะได้อะไรจากปากผมอีกเลย”

ซิ่ว!

พูดจบ ปรมาจารย์ก็ใช้มีดในมือเชือดผ่านลำคอของตัวเองทันที

เสียงฉึกดังขึ้น ปรมาจารย์คุกเข่าลงพื้นอย่างแรง เลือดมากมายไหลออกมาจากทางลำคอ เขาเลือดที่จะปลิดชีพตัวเองไป

หลินอิ่งกระตุกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าแสดงความนับถือ

ปรมาจารย์คนนี้ น่าจะเป็นปรมาจารย์ยามมังกรเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในตี้จิง

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรถึงทำให้เขาแปรพักตร์ไปได้ เขาหันไปอยู่คนละฝั่งกับตัวเองอย่างชัดเจน……เขาถึงขั้นออกมาเคลื่อนไหวตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังรอคอยตัวเองอยู่ตรงนี้อีกด้วย

บางทีสถานการณ์ของแก๊งมังกรอาจจะแย่กว่าที่เขาคิดก็ได้นะ

หลินอิ่งค่อยๆ หลับตาลง คาดการณ์ทุกความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น

สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เกิดปัญหาขนาดใหญ่ขึ้นภายในแก๊งมังกร! มีคนแอบอ้างตำแหน่งประมุขของแก๊งมังกรอย่างมิชอบ!

ยามมังกรเขียวที่เคยซ่อนตัวอยู่ในตี้จิง ได้รับคำสั่งเด็ดขาดให้รออยู่ในจุดที่ยามมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่เพื่อเฝ้ารอการมาของเขา!

ต้องรู้ก่อนว่า องครักษ์มังกรของแก๊งมังกรนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยพลการได้

แก๊งมังกรสำนักอู่เหมินสิบสองต่างก็รับคำสั่งจากประมุขแก๊งเท่านั้น

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ได้ตกอยู่ในแผนการที่วางไว้มานานแล้ว

เห็นได้ชัดว่า แก๊งมังกรไม่ได้อยู่ในการควบคุมของประมุขแก๊งอย่างเขาแล้ว

แต่มีคนที่แอบอ้างตำแหน่งประมุขแก๊ง อีกทั้งยังมีตำแหน่งที่สูงส่งน่าเกรงขาม จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับแก๊งมังกรได้!

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

หลายปีที่ตัวเองเก็บตัวอยู่นั้น เกิดอะไรขึ้นกับแก๊งมังกรบ้างนะ?

อาจารย์ที่ผ่านด่านความเป็นความตายไปได้ ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วนะ?

“ประมุขแก๊ง” ที่ปรมาจารย์พูดถึงนั้นเป็นใครกันแน่?

ตั้งแต่ที่เขาออกจากภูเขามา นี่เป็นใครแรกเลยที่เขารู้สึกกดดันแบบนี้!

จะเคลื่อนย้ายองครักษ์มังกรง่ายๆ อีกไม่ได้……

ตอนนี้แก๊งมังกรที่อาจารย์ส่งต่อให้ได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองแล้ว แถมยังได้มองตัวเองเป็นผู้ทรยศของแก๊งแล้วด้วย!

มัน มันคือต้นตอของความอันตรายที่สุดของตนเองในตอนนี้แล้ว!

แก๊งมังกร มันเป็นถึงตัวตนที่สามารถส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกได้เลยนะ!

ทั้งชีวิตของหลินอิ่งนั้น อาศัยอยู่ที่การค้าพบขั้นสูงสุดของชีวิต เขาสามารถมองข้ามตำแหน่งประมุขแก๊ง ไม่ลุ่มหลงในอำนาจ เขาสามารถกลับไปเก็บตัวได้เหมือนเดิม

แต่จิตใจที่รับผิดชอบของเขาไม่อนุญาตให้เข้าทิ้งขว้างแก๊งมังกรไว้แบบนั้น ปล่อยให้คนอื่นเก็บไป จากนั้นก็หันกลับมาไล่ล่าเขา!

ทางเหนือของประเทศหลุง เคยมีประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมความเป็นไปของโลกใบนี้ สหภาพไซบีเรีย ด้วยความไม่เอาไหนของผู้นำคนหนึ่งนั่นแหละที่ทิ้งขว้างอำนาจลงพื้น จนถูกคนบ้าคนหนึ่งเก็บได้ ทำให้สหภาพถึงกับต้องล่มสลาย แตกซ่านจนไม่เหลือชิ้นดี ความสามารถของประเทศถดถอยประชาชนตกทุกข์ได้ยาก ถดถอยจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไม่อาจพื้นคืนกลับมาได้อีก ถูกประเทศที่เป็นคู่อริกดขี่ข่มเหงจนถึงที่สุด

เขา หลินอิ่งคนนี้ ไม่มีทางนั่งดูแก๊งมังกรอันเป็นองค์กรขนาดใหญ่แบบนี้ต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น แล้วไปก่อกรรมทำชั่วอย่างตามใจชอบได้หรอก!

ถ้ามีใครบอกว่า ด้วยกำลังของคนแค่คนเดียว แล้วคิดที่จะต่อต้านแก๊งมังกร คนอื่นก็จะคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไร้สาระกับความพยายามที่ไร้ความหมายของคนโง่เท่านั้น

แต่ว่า หลินอิ่ง ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางที่ยากลำบากแบบนั้นแหละ!

ทว่า เรื่องของแก๊งมังกรนั้น มันค่อนข้างใหญ่ ต้องค่อยๆ ดำเนินการ วันนี้ เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแก๊งมังกรเลย

หลังจากไตร่ตรองได้ซะพัก หลินอิ่งก็ทำหน้าจริงจัง จากนั้นก็เดินออกจากลานบ้านไป

……

ในวันเดียวกัน หลินอิ่งได้เดินจากอำเภอหลงซิงกลับมาที่ตี้จิง

เขตจงเทียน จงเทียนซิงเฉิง

หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ภายในห้องทำงานของประธาน บนโต๊ะมีชาแดงตั้งอยู่หนึ่งกา เขาค่อยๆ ดูดบุหรี่อย่างช้าๆ

ถังฮุยยืนอยู่ข้างๆ กำลังรายงานเรื่องที่คราวก่อนไปจัดการเรื่องของสวีฉางเฟิงอย่างยุติธรรมที่เขตหัวหยางให้เขาฟัง

คราวก่อนท่านอิ่งสั่งให้เขาพาฮาเดสไปทำงานที่เขตหัวหยาง ตอนที่กำลังสู้กับสวีฉางเฟิงและพวกเหยียนหลงอย่างเมามัน และเขาตั้งใจจะจัดการกับเหยียนหลงนั้นเอง

จู่ๆ ตระกูลสวีก็เลือกที่จะก้มหัวให้กับท่านอิ่ง ยอมละทิ้งเค้กก้อนใหญ่อย่างเขตหัวหยางไป ไม่เพียงเรียกตัวสวีฉางเฟิงกลับไป แถมยังจับตัวเหยียนหลงมาส่งให้อีกด้วย เขาจึงถือโอกาสทุบตีทั้งที่เหยียนหลงถูกมัดอยู่ ตีจนเหยียนหลงเสียผู้เสียคนไปเลย!

“ท่านอิ่งครับ ตอนนี้เขตหัวหยางได้สงบลงแล้ว คุณอยากให้ทำอะไรกับเขตหัวหยางอีกไหมครับ?” ถังฮุยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งเหมือนไม่ตั้งสนใจฟังสิ่งที่เขารายงานมาเลย เอาแต่มองไปยังท้องฟ้าและก้อนเมฆที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยแววตาอันเรียบเฉย พร้อมกับพ่นกลุ่มควันออกจากปาก

ถังฮุยเข้าใจและไม่คิดที่จะไปขัดจังหวะความคิดของหลินอิ่ง เขาได้แต่รู้สึกแปลกใจและสงสัย

ท่านอิ่ง วันนี้ดูเครียดๆ

มันจึงทำให้ถังฮุยรู้สึกแปลกใจมาก!

มังกรสองตัวไม่เจอกัน

หลินอิ่งจ้องมองชายชราในชุดนักเต๋าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มังกรสองตัวไม่เจอกัน”

นี่คือรหัสลับของแก๊งมังกร

มังกรสองตัวไม่เจอกันคือคำสอนของประมุขแก๊งมังกรคนก่อน และเป็นรหัสลับที่ไว้ขับเคลื่อนแก๊งมังกรเหมือนกัน

พอได้ยินแบบนั้น ชายชราในชุดนักเต๋าก็ทำหน้าตกใจทันที ในขณะที่พิจารณาหลินอิ่งอยู่นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรอีก

“ผู้มาเยือน นี่มันหมายความว่ายังไง?” ชายชราในชุดนักเต๋าถามไปด้วยความสงสัย “ข้าน้อยคือเชียนซิง ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพื่ออะไรครับ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือไปจับข้อมือของเต๋าสือเชียนซิง

จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ พร้อมกับความสงสัยในใจ

เต๋าสือเชียนซิงเป็นแค่คนธรรมดา กระดูกและกล้ามเนื้อทั่วร่างนั้นปกติดี ไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ใดๆ มาก่อน

แบบนี้ก็แสดงว่าเต๋าสือเชียนซิงไม่ใช่คนของแก๊งมังกร

“เต๋าสือเชียนซิง คุณมาอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

เต๋าสือเชียนซิงทำหน้าสงสัย แล้วตอบไปว่า “ประมาณปีกว่าๆ”

“ถ้าอย่างนั้น ก่อนหน้านั่นที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้มีใครอยู่มาก่อนเหรอครับ?” หลินอิ่งถามต่อ

เต๋าสือเชียนซิงหยุดคิดไปแปบหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เมื่อก่อนฉันอยู่ที่วัดเต๋าหลิงเป่าในเขตเหยียนหวง หนึ่งปีก่อนก็ระหกระเหินมาถึงที่นี่ เมื่อก่อนที่นี่ก็เป็นแค่วัดล้างเก่าๆ เท่านั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นดูแลที่นี่”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็เดินจากไป

นักบวชเฒ่าคนนี้ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องอะไร

เขาจึงตัดสินใจจะเข้าไปถามคนที่อาศัยอยู่ในเมื่อโบราณดู ไปสืบหาดูว่าก่อนหน้านี้มีใครอาศัยอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้กันแน่

มันค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกัน

แก๊งมังกรมีคำสั่งเด็ดขาดออกมาว่า ก่อนที่เขาจะลงจากภูเขา ห้ามไม่ให้สมาชิกทุกคนของแก๊งมังกรมีการเคลื่อนไหวเด็ดขาด ให้ทุกคนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ปกปิดทุกอย่างเอาไว้

ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของประมุขคนก่อนเลย

แล้วทำไมยามมังกรเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในตี้จิงถึงหายตัวไปได้ล่ะ?

หรือว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับแก๊งมังกรจริงๆ ใช่มั้ย?

ระหว่างที่ใช้ความคิด หลินอิ่งก็เดินออกจากวัดเต๋าซานซิง พาฮาเดสไปที่รถ

เมื่อเดินไปถึงที่เบนท์ลีย์คันดำ จู่ๆ คิ้วของหลินอิ่งก็กระตุกขึ้นมา เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังทันที

“หลบ!”

หลินอิ่งผลักฮาเดสให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปทันที

ตู้ม!

รถคันนั้นเกิดระเบิดพร้อมกับไฟที่พุ่งออกมาทันที เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ!

ความร้อนจากลูกไฟระเบิดออก จนกลายเป็นกองไฟขนาดใหญ่ พริบตาเดียวก็ลามไปในระยะยี่สิบสามสิบเมตรของถนนทันที

แรงระเบิดสร้างความเสียหายอย่างหนัก ระเบิดจนปูนที่อยู่บนพื้นและกำแพงแตกไปหมด เศษหินกระเด็นไปทั่ว แม้แต่บ้านดินขนาดเล็กที่อยู่รอบๆ ต้องพังทลายลงไปทันที!

หลังจากแสงจากการระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวผ่านไป รอบบริเวณเละเทะไปหมด ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

รถเบนท์ลีย์คันนั่นได้ถูกระเบิดเป็นจุณไปแล้ว หลังจากเสียงระเบิดผ่านไปในระยะสิบกว่าเมตร รถสีดำถูกเผาอยู่ในลูกไฟกองโต

ท่ามกลางกลุ่มควันโขมง เงาที่เยือกเย็นของหลินอิงก็ปรากฏตัวขึ้น

เขาปัดฝุ่นบนตัวออก มีสะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งหนีบไว้ที่นิ้ว

“เป็นวิธีที่โหดมาก” หลินอิ่งดีดสะเก็ดระเบิดในมือออกไป หลินอิ่งส่งสายตาที่อาฆาตออกมา

“เอื้อ!”

ฮาเดสโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขากำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด

หลินอิ่งเขาเข้าไป พยุงฮาเดสขึ้นมา มองไปที่บาดแผล มีสะเก็ดหลายแผ่นบาดแขนขาของเขาจนเป็นแผล โชคยังดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต

เมื่อกี้ฮาเดสอยู่ในระยะของระเบิด ถ้าไม่ใช่เพราะสมรรถนะร่างกายของเขาพัฒนาถึงขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วละก็ เขาคงถูกระเบิดจนเละและตายไปแล้ว

“ประธานหลิน ผมยังทนไหว” ฮาเดสพูดออกมาในขณะที่หายใจหอบ แววตาโกรธแค้น “ไม่รู้ว่าหมาตัวไหนเป็นคนทำถึงขั้นแอบติดตั้งระเบิดเพื่อลอบสังหารผม!”

“ต้องขออภัยด้วยครับ เป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ไม่ทันได้รู้ตัว จนเกือบกลายเป็นความผิดอย่างมหันต์ไปแล้ว” ฮาเดสก้มหน้าแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด

คนที่เป็นถึงราชาสายลับมาอย่างยาวนานอย่างฮาเดส กับเหตุการณ์แบบนี้เขาเองก็เห็นมานัดต่อนัดแล้ว

การที่มีคนแอบมาติดตั้งระเบิดใต้จมูกเขาแบบนี้ แต่เขากลับไม่รู้ตัว ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายต่อหน้าประธานหลินจริงๆ!

หลินอิ่งทำหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้โทษฮาเดส เพราะฮาเดสไม่สามารถสัมผัสถึงนักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ได้เลย

ซิ่ว!

หลินอิ่งขยับตัว แหวกผ่านอากาศ พุ่งกลับไปที่วัดเต๋าซานซิงอย่างรวดเร็ว

ภายในวัดไม่เหลือใครแล้ว เต๋าสือเชียนซิงเมื่อกี้ได้หายตัวไปแล้ว……

แววตาของหลินอิ่งเย็นเยือก รู้สึกโกรธเกรี้ยว ต่อให้ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งหมดมาช่วยก็ไม่อาจดับได้!

กล้าหลอกเขาอย่างนั้นเหรอ!

“คนที่แอบดูอยู่ในที่ลับ แล้วแอบไปติดตั้งระเบิด น่าจะยังไม่ได้ออกจากเมืองโบราณ และยังไม่น่าจะพาเต๋าสือเชียนซิงออกไปได้เร็วขนาดนั้น” หลินอิ่งพูดกับตัวเอง แววตาลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ

เขากวาดตามองไป เก็บทุกอย่างที่มองเห็นเข้าไปในหัว จดจำทิศทาง ค่อยๆ หลับตาลง จินตนาการถึงหน้าตาและรูปร่างของเต๋าสือเชียนซิง แล้วใช้นิ้วคำนวณอย่างมีหลักการ

หลินอิ่งพอรู้จักการคำนวณทั้งห้าแบบมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาใช้นิ้วคำนวณ จนได้ข้อสรุปออกมาข้อหนึ่ง นี่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของปราชญาลัทธิเต๋า เพื่อใช้ในการตามหาคนหรือสิ่งของ บางทีมันก็ได้ผลอย่างน่าเหลือเชื่อ

………

ณ เมืองโบราณ ภายในลานเล็กๆ ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง

คนชุดดำสามคนพุ่งเข้าไปลานอย่างรวดเร็ว ตุบ โยนกระสอบผ้าใบหนึ่งลงกลางลานนั้น

มีชายชราที่ใส่ชุดนักบวชคนหนึ่งกลิ้งออกมาจากกระสอบผ้า เขาอยู่ในสภาพที่สลบสไลด์ไม่ได้สติ

“ท่านปรมาจารย์ จะให้จัดการกับนักบวชคนนี้ยังไงดีครับ?” คนชุดดำคนหนึ่งถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง

คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ต้องฆ่าปิดปาก พาตัวไปก่อน ออกจากอำเภอหลงซิงก่อนค่อยฆ่าทิ้ง แล้วเอาไปทิ้งในแม่น้ำ”

“ครับ” คนชุดดำพยักหน้า จากนั้นก็ถามต่อว่า “ท่านปรมาจารย์ครับ คนคนนั้นเป็นใครเหรอครับ? เขารู้รหัสลับของแก๊งมังกรของเราด้วย เขาเป็นผู้สืบทอดของประมุขแก๊งจริงๆ เหรอครับ?”

ปรมาจารย์จ้องมองคนชุดดำด้วยสายตาที่เย็นเยือก แล้วตอบไปว่า “พวกแกลืมไปแล้วเหรอ? ประมุขแก๊งเคยบอกไว้ว่า ประมุขแก๊งไม่มีผู้สืบทอด คนคนนี้เป็นแค่ผู้ทรยศคนหนึ่งของแก๊งมังกรเท่านั้น! ถ้าไม่อยากตายก็จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าแก๊งมังกรนั้นมีประมุขแค่คนเดียวตลอดไป! ถ้าออกไปพูดมั่วๆ ด้านนอกระวังจะถูกลงโทษเพราะก่อความวุ่นวายก็ได้นะ!”

“ท่านปรมาจารย์ ผมเข้าใจแล้วครับ!” คนชุดดำก้มหน้าลงพร้อมกับเหงื่อที่เต็มหน้าผาก

สำหรับเรื่องของประมุขแก๊งแล้ว จะเอาไปพูดมั่วๆ ไม่ได้ ถ้าเผลอพูดอะไรผิดไปความบรรลัยก็จะมาเยือนทันที!

“คนคนนี้มีไหวพริบที่ดีมาก ฝีมือก็เก่งเกินคน สามารถหนีรอดจากระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้ในรถด้วย แถมยังรู้ที่ซ่อนของยามมังกรเขียวด้วย และยังรู้ถึงรหัสลับของแก๊งมังกรอีก” สายตาของปรมาจารย์เป็นประกาย แล้วให้การสันนิษฐานว่า “คนคนนี้ น่าจะเป็นผู้ทรยศของแก๊งมังกรคนนั้นแหละ!”

“ไอ้ทรยศนั่นได้เรียนรู้สิ่งมากมายจากประมุขคนก่อน แม้แต่ประมุขคนก่อนยังถูกมันหลอกจนหายสาบสูญไปที่ต่างแดน ด้วยศิลปะการต่อสู้ที่พวกเรามี ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้หรอก เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าประตูโดยเร็ว จากนั้นค่อยให้ท่านประมุขแก๊งตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ” ปรมาจารย์พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

ในตอนที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีลมพัดผ่านในลานบ้าน

ภายในลานบ้านอบอวลไปด้วยจิตสังหาร

คนยังไม่ทันถึง ลมก็พัดมาก่อนแล้ว

คนชุดดำที่อยู่ในลานบ้าน ต่างก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ขนลุกไปทั้งตัว

ถ้าจอมยุทธคนหนึ่งพัฒนาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถทำให้เกิดการสั่นสะเทือนแหวกน้ำแหวกอากาศได้ ต่อให้อยู่ห่างไปหนึ่งช่วงถนนก็ยังสามารถส่งจิตสังหารมาข่มคนได้

โดยเฉพาะคนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างพวกเขา ยิ่งทำให้สัมผัสถึงจิตสังหารแบบนี้ได้ชัดเจนขึ้น

ก็เหมือนกับคนประเภทเดียวกันที่สามารถสัมผัสถึงคนประเภทเดียวกันได้ เมื่อเสือโกรธ เสียงลมกลางภูเขาก็ต้องเกิดเสียงดังด้วยเหมือนกัน ความผิดปกติแบบนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าเกิดจากอะไร

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้านอย่างช้าๆ

หลินอิ่งมาแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว อากาศรอบๆ ก็เหมือนจะหยุดนิ่งไป บรรยากาศรอบๆ กดดันจนถึงสุดขีด

คนชุดดำทั้งสามไม่กล้าจ้องมองดวงตาที่เยือกเย็นจนชวนสิ้นหวังของหลินอิ่ง เอาแต่ก้มหน้า ร่างกายสั่นรัวไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ที่ส่งออกจากตัวของหลินอิ่งนั้นทำให้พวกเขาสั่นไปจนถึงวิญญาณ!

“บอกทุกอย่างที่พวกคุณรู้มาให้หมด ไม่อย่างนั้นตาย!”

หลินอิ่งยืนเอามือไขว้หลัง พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“ฮึ คนอื่นต่างก็คิดว่าฉีหยิ่นนั้นเก่งเหนือใครๆ คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าความจริงแล้วตระกูลเหวินนั้นถูกทำลายยังไง?” สวีจิ่วหลิงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉีนั้น พวกเขาอาศัยช่วงที่ฉีเวิ่นติ่งป่วยหนักไม่ได้สติอยู่บนเตียง เข้าโจมตีในตอนที่ศัตรูกำลังอ่อนแออยู่ ต่อมาฉีเวิ่นติ่งก็ฟื้นขึ้นมา ด้วยความโมโหที่อยากจะเอาคืน เขาจึงหันมาสนับสนุนทายาทคนสุดท้ายของตระกูลฉีที่ระหกระเหินอยู่ต่างแดน ฉีหยิ่น”

“การล่มสลายของตระกูลเหวิน จะต้องเป็นฝีมือของฉีเวิ่นติ่งแน่นอน! แต่เพื่อต้องการสนับสนุนคนรุ่นหลัง เพื่อให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จึงได้ประกาศออกมาว่าฉีหยิ่นเป็นคนทำ ทำให้ฉีหยิ่นได้ความชอบไปแบบฟรีๆ” สวีจิ่วหลิงค่อยๆ พูดออกมา “ฉันน่ะ ถ้าไม่เห็นแก่ตระกูลฉีที่เหลือทายาทคนสุดท้าย จนแตะต้องไม่ได้ เพราะมันอาจทำให้ฉีเวิ่นติ่งเป็นบ้าได้ ฉันคงจัดการกับไอ้อ่อนตระกูลฉีที่บ้าคลั่งนั่นไปนานแล้ว!”

คนที่สวีจิ่วหลิงกลัวจริงๆ นั้นไม่ใช่ฉีหยิ่น แต่เป็นปู่ของฉีหยิ่น ฉีเวิ่นติ่งต่างหาก

ถึงฉีเวิ่นติ่งจะเกษียณไปนานแล้ว แต่คนคนนี้ก็เป็นขุนนางที่มีความชอบมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศแล้ว เส้นสายกับอำนาจที่มีนั้นน่ากลัวมาก ถ้าต้องสู้กันจริงๆ มันก็อาจจะทำให้ตระกูลสวีถึงขั้นล่มสลายได้เลย

ดังนั้น ฉีหยิ่นที่เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉีนั้นเขาไม่อยากจะไปยุ่งด้วยเลย

“ฮึ คุณรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินรึเปล่า? ผมพยายามตรวจสอบหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่สามารถสืบหาความจริงได้เลย” กงจิ่วส่ายหน้า “แต่ผมจะบอกอะไรคุณไว้นะครับ การหมดสติของฉีเวิ่นติ่ง มีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง การที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉี ก็มีอำนาจขนาดใหญ่คอยหนุนหลังอยู่เหมือนกัน”

“จากข้อมูลที่ผมได้มา ตอนที่ตระกูลเหวินถูกทำลายนั้นฉีเวิ่นติ่งยังไม่ได้สติเลย จุดนี้ผมสามารถยืนยันได้ แม้แต่พิษในร่างกายของฉีเวิ่นติ่งก็ได้ฉีหยิ่นนี่แหละที่ช่วยเอาไว้” กงจิ่งพูดออกมาอย่างใจเย็น

“ถ้าไม่ใช่ฉีหยิ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันละก็ เห็นทีแผนการถึงตายที่ตระกูลฉีถูกผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินวางไว้คงไม่มีใครช่วยได้แน่นอน”

กงจิ่วค่อยๆ ไล่เรียงออกมา เปิดเผยข้อมูลลับที่น่าตกใจออกมาทีละน้อย

“ผู้อยู่เบื้องหลังของตระกูลเหวินในตอนนั้นคืออะไร?” สวีจิ่วหลิงทำหน้าไม่เข้าใจ

“ผมเคยสืบเรื่องนี้ดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับผม” กงจิ่วพูดออกมาเบาๆ

“สิ่งที่ผมสนใจคือ ฉีหยิ่นมันทำลายแผนการของผมที่อยู่มีต่อตระกูลนิ่ง! เดิมที ตระกูลนิ่งได้ถูกองค์กรของเราควบคุมไว้แล้ว”

“ดังนั้น องค์กรของเราจึงจำเป็นต้องฆ่าฉีหยิ่นให้ได้!”

ตอนที่กงจิ่วพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา จิตสังหารที่ถูกส่งออกมาจากแววตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน

ถ้าจู่ๆ หลินอิ่งไม่โผล่ออกมา ตระกูลนิ่งก็คงตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ตอนแรกที่หลินอิ่งประกาศว่าจะไปที่ตระกูลนิ่ง มันส่งผลให้แผนการที่องค์กรของพวกเขาวางไว้กับตี้จิงวุ่นวายไปหมด

ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วยังยอมเสียเงินมากมายเพื่อสืบหาตัวตนที่แท้จริงของหลินอิาง

แต่น่าเสียดาย เขาสืบรู้แค่ว่าหลินอิ่งนั้นเป็นฉีหยิ่นของตระกูลฉีแห่งตี้จิงเท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ที่สำคัญ ตอนที่สืบไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินนั้น ก็ไม่สามารถสืบต่อได้อีก ตระกูลเหวินได้ปิดเรื่องนี้ไว้ลึกมาก จนไม่สามารถสืบหาอะไรได้เลย

ส่วนทางด้านอาจารย์ของหลินอิ่งนั้นก็สืบต่อไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย

แต่กงจิ่วก็ยังสามารถมั่นใจได้ว่า คนที่เคยเป็นอาจารย์ของหลินอิ่งคนนั้นได้มีอำนาจขนาดใหญ่ของประเทศหลุงซ่อนอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจัดการกับตระกูลเหวินลงอย่างง่ายดายแบบนี้หรอก

ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วจึงได้ร่วมมือกับตระกูลที่มีอำนาจของประเทศหลุงเพื่อจัดการกับหลินอิ่ง

สวีจิ่วหลิงทำหน้าตกใจ จ้องเขม็งมาที่กงจิ่ว จากนั้นก็ถามไปว่า “คุณ คุณหมายความว่ายังไง? คุณควบคุมตระกูลนิ่งเหรอ? กงจิ่ว ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?”

“กงจิ่ว เป็นแค่นามแฝงเท่านั้น ผมเป็นใครนั้นมันไม่สำคัญหรอก” กงจิ่วพูดออกมาอย่างใจเย็น สิ่งที่คุณต้องรู้คือตระกูลสวีของคุณไม่สามารถปฏิเสธการร่วมมือกับผมได้ เพราะตระกูลสวีของคุณไม่เคยมีมังกรอย่างฉีกยื่นปรากฏออกมาก่อน”

“ผม มาจาก สำนักยุทธ์เชียนแห่งต้าเหอ”

เมื่อกงจิ่วเปิดเผยตัวตน สวีจิ่วหลิงก็ตกใจจนแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา เปลือกตาเอาแต่กระตุกไม่ยอมหยุด

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ สวีจิ่วหลิงก็ถอนหายใจแล้วพูดไปว่า “ที่แท้คุณก็เป็นคนของ สำนักยุทธ์เชียนนี่เอง ฉันเสียมารยาทแล้วแต่ว่า ฉันก็ยินดีที่จะร่วมมือกับคุณ ร่วมมือกับคุณเพื่อจัดการกับตระกูลฉี! จัดการฉีหยิ่น!”

กงจิ่วยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดไปว่า “คนที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั้นถึงจะเป็นคนที่ฉลาดอย่างแท้จริง คุณท่านสวีคุณทำตามที่ผมบอกเถอะครับ……ฉีหยิ่น ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตายด้วยน้ำมือของเราแน่นอนครับ!”

……

สองวันหลังจากนั้น

ตี้จิง ชานเมือง อำเภอหลงซิง

หลินอิ่งพาฮาเดสนั่งรถมาที่เมืองโบราณเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอหลงซิง

วันนั้นหลังจากที่จัดการกับ คุณชายชีซิงไปและบังคับให้สวีไป๋เห้อคุกเข่าลงได้

เบื้องหน้าตระกูลสวีก็ยอมจำนนแต่โดยดี

แม้แต่สวีฉางเฟิงที่เอาแต่ก่อปัญญาอยู่ที่เขตหัวหยางยังถูกสวีจิ่วหลิงเรียกกลับตระกูลสวีในคืนนั้นเลย และถูกกักบริเวณห้ามไม่ให้ออกจากไว้ที่วิลล่าตงหลิงเด็ดขาด

ที่สำคัญ สวีจิ่วหลิงยังโทรไปขอโทษฉีเวิ่นติ่งด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงความอ่อนข้อ แถมยังยกเขตหัวหยางให้ไปเพื่อแสดงถึงความจริงใจ

คุณท่าตั้งใจโทรมาบอกกับตนเองว่าจะยอมปล่อยตระกูลสวีไปก่อน จากนั้นก็พูดถึงชีซิงกรุ๊ปด้วยว่า ถ้าชีซิงกรุ๊ปกล้ามาหาเรื่องตัวเองที่ประเทศหลุงละก็ เขาก็พร้อมที่จะสั่งการเส้นสายที่มีในตี้จิงทุกเมื่อ

กับเรื่องนี้ หลินอิ่งนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก

ถ้าตระกูลสวีกล้ากร่างอีกก็แค่กระทืบให้คุกเข่าลงอีกครั้งก็พอ

แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลสวี เป็นอากาศยังไม่ได้เลย

สิ่งที่หลินอิ่งสนใจคือ ข้อมูลของตระกูลเหวินต่างหาก

เขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าพรุ่งนี้ตอนที่จี้ฉงซานกลับเมืองก่าง เขาจะลงมือตอนนั่นแหละ

จี้ฉงซานมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลเหวิน ส่วนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินนั้นก็มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะรู้เรื่องการมีอยู่ของแก๊งมังกร รู้ตัวตนที่แทนจริงประมุขของตัวเอง

เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือทีเดียว เรื่องนี้มันสำคัญมาก

ดังนั้น หลินอิ่งจึงตัดสินใจสั่งการองครักษ์มังกรของแก๊งมังกรที่แฝงตัวอยู่ในตี้จิง!

การที่ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ลึกลับแบบนี้ก็ต้องใช้องครักษ์มังกรนี่แหละ

ก่อนหน้านี้กงจิ่วผู้ลึกลับที่แอบควบคุมตระกูลนิ่ง อำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวิน ต่างก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าบุคคลในยุทธภพไปแล้ว พวกหยูจื๋อเฉิงเสิ่นซาน เป็นไปได้ยากมากที่คนพวกนี้จะกลายเป็นจุดสำคัญขึ้นมาได้ และยากมาที่จะสืบหาอะไรเจอ

หลังจากหลินอิ่งลงจากภูเขามา นี่คือครั้งแรกเลยที่เขาใช้งานองครักษ์มังกรแบบนี้

ในปีนั้นก่อนที่อาจารย์จะจากไป ก็เคยสั่งปิดภูเขามาก่อน สั่งให้ทุกๆ คนในแก๊งมังกรให้เข้าสู่ภาวะจำศีล แช่แข็งกำลังทั้งหมดในยุทธภพไว้ รอคอประมุขแก๊งรุ่นต่อไปขึ้นเขา ถ้าสมาชิกของแก๊งมังกรได้รับคำสั่งถึงมีสิทธิ์ปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง

เพราะทุกการเป็นไปของใต้หล้า ประชาชนทุกคนต่างก็มีส่วนรับผิดชอบกันทั้งนั้น

ความสามารถของคนคนหนึ่งยิ่งยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อผ่านจุดเป็นจุดตายไป แล้วแก๊งมังกรไม่มีประมุขที่มีความสามารถมาคอยควบคุมดูแล มันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ก็ได้ ต้องรู้ก่อนว่า อำนาจของแก๊งมังกรนั่นกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีสำนักอู่เหมินสิบสองอยู่ใต้บัญชาถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวขึ้นมามันก็สามารถสร้างผลกระทบกับนานาประเทศได้เลย

ถ้าแก๊งมังกรเกิดวุ่นวายขึ้นมา มันก็ไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลกเลย!

ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้กำชับนักกำชับหนา ขอให้ก่อนที่หลินอิ่งจะบรรลุถึงขั้นเทพได้ก็อย่าเพิ่งเปิดเผยความสามารถแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่ให้หลินอิ่งตั้งใจฝึกฝนตนเอง มันยังเป็นการปกป้องหลินอิ่งจากศัตรูของแก๊งมังกรไปด้วยในตัว

วันนี้เมื่อหลินอิ่งลงจากเขา มีความสามารถมากพอที่จะกดดันเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย และสามารถควบคุมแก๊งมังกรได้ทั้งหมด!

หลินอิ่งลงจากรถ เดินเข้าไปในเมื่อโบราณเล็กๆ นั่น เดินผ่านถนนแบบย้อนยุคหลายเส้น เดินมาจนถึงหน้าวัดเต๋าซานซิงที่ดูทรุดโทรม

ดวงตาของเขาหมุนวน ฮาเดสก็ยืนรออยู่นอกวัดด้วยความสุภาพ

วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้ค่อนข้างทรุดโทรม บนเสาเต็มไปด้วยใยแมงมุม เหมือนไม่มีคนมาจุดธูปนานมากแล้ว

หลินอิ่งมองไปแวบหนึ่ง ยืนเอามือไขว้หลัง แล้วก้าวเข้าไปในตัววิหาร

ภายในวิหารไม่มีคนอยู่เลย มีเพียงรูปปั้นซานซิงที่ดูเคร่งขรึมตั้งอยู่กลางห้อง

หลินอิ่งขมวดคิ้ว ในวัดไม่มีคนเลยเหรอ? วัดแห่งนี้ ได้มีบุคคลในลัทธิที่ชื่อยามมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่

“ไม่ทราบว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใครกัน?”

ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงที่แก่ชราคนหนึ่งดังมาจากหลังวิหาร

แล้วเห็นชายชราผมชาวที่สวมชุดนักบวชเก่าๆ คนหนึ่งเดินเข้าวิหารมา เห็นแล้วทำให้รู้สึกถึงความเป็นเทพมาก

ชายชราในชุดนักเต๋ามีสีหน้าที่เรียบเฉย จ้องมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่ปราดเปรื่อง

สถานการณ์วันนี้ หลินอิ่งจะฆ่าเขาตาย มันง่ายเหมือนมดในมือ!

ตอนแรกแค่จะมาช่วยคุณชายแห่งชีซิงกรุ๊ปและช่วยน้องสี่ออกหน้า แต่สุดท้าย ตัวเองก็โดนไปด้วย?

พฤติกรรมของหลินอิ่ง ไม่สนใจตำแหน่งเขาที่เป็นผู้นำตระกูล

“ผม……เรื่องนี้ผมผิดไปแล้ว ผมก้มหัวให้คุณ ผมพร้อมจะรับฟังคำตำหนิ!” สวีไป๋เห้อกัดฟันพูดเสียงสั่น “และยังขอให้คุณชายอิ่งยกโทษให้!”

คุกเข่าลงต่อหน้าคนมากมาย ศักดิ์ศรีของสวีไป๋เห้อรับไม่ได้!

สวีไป๋เห้อก้มหัวอันหยิ่งยโสลง ก้มหัวลงเก้าสิบองศาต่อหน้าหลินอิ่งเพื่อขอโทษ

“คุณชายอิ่ง! สวีถันโจวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมีเรื่องกับคุณชายอิ่ง คุณตีขาเขาหักผมไม่พูดอะไร เรื่องของชีซิงกรุ๊ป ผมก็จะไม่ถามอีก แล้วแต่คุณชายอิ่งจะจัดการยังไง” สวีไป๋เห้อก้มหัวพูด

เขารู้ดี ถ้าตอนนี้ไม่ก้มหัวจะต้องตายแน่!

“ถึงจุดนี้แล้ว ยังจะถอนตัวออกไป!” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “สายไปแล้ว”

“ฉันพูดเป็นครั้งสุดท้าย นายสวีไป๋เห้อ เป็นตัวแทนตระกูลสวี คุกเข่าลง!”

เสียงเย็นชาของหลินอิ่ง ลอยเข้าไปในหูสวีไป๋เห้อ ตัวสั่น หัวใจเต้นแรง

ยิ่งใหญ่เกินไป

ไม่ให้หน้าแม้แต่นิด!

สวีไป๋เห้อ เป็นถึงผู้นำตระกูลสวีรุ่นที่สองแห่งตี้จิง คำพูดและการกระทำก็เป็นตัวแทนตระกูลสวีในตี้จิง

แม้แต่เขาหาว ตี้จิงก็ต้องสั่นสะเทือน

แต่ว่าโดนบีบบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าโดยมีคนดูเป็นร้อยกว่าคน! ต้องคุกเข่าให้หลินอิ่ง?

นี่คือ! จะทำลายชื่อเสียงเขาอย่างหมดสิ้นแล้ว!

“คุณชายอิ่งอย่าทำขนาดนี้เลย ผมเป็นผู้นำตระกูลสวี สวีไป๋เห้อ ผมคุกเข่าได้ แต่ตระกูลสวีคุกเข่าไม่ได้!” สวีไป๋เห้อกัดฟันพูดใบหน้าแดงขึ้น

“นายมีสิทธิ์มาคุยเงื่อนไขกับฉัน?”หลินอิ่งถามน้ำพูดเสียงเย็นชา

สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือตระกูลสวีคุกเข่า!

สวีไป๋เห้อเหงื่อเม็ดโตไหลออกมาจากหน้าผาก ต้องแบกรับความกดดันมหาศาล

ใช้แล้ว เขาจะทนไม่ได้กับความกดดันจากหลินอิ่ง

นี่ไม่ใช่แค่ความตายอัปยศของเขาคนเดียว แต่เกี่ยวกับคนที่อยู่ข้างกายเขา ญาติมิตรของเขา เกี่ยวกับความตายของตระกูลสวีทั้งหมด!

ต้องรู้ว่า หลินอิ่งฆ่าล้างตระกูลเหวิน ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว บอกฆ่าก็ฆ่าเลย

ก่อนหน้านี้ คนในสวีฉางเฟิงแค่ทำลูกน้องของหลินอิ่ง โรงแรมจงเทียนของถังฮุย ก็โดนเขาระเบิดขุมทรัพย์ของตระกูลสวี และระเบิดเรือขนสินค้าร้อยกว่าลำในแม่น้ำตี้เจียง

อารมณ์ของหลินอิ่งดูก็รู้

ไม่ต้องไปมีเรื่องกับเขา ถ้ามีเรื่องแล้วจะต้องคืนสิบเท่า! ผลที่ตามมาไม่อาจจะคิด!

“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอครับ? คุณชายอิ่ง ถ้าคุณบีบตระกูลสวีให้ตายแบบนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย” สวีไป๋เห้อพูดอย่างอ่อนน้อม “ผมคนเดียว ยอมจะรับผิดชอบทุกอย่างในวันนี้ พรุ่งนี้จะไปรับโทษด้วยตัวเอง จะให้คำตอบที่พอใจกับคุณชายอิ่งแน่นอน แต่ว่าผมคุกเข่าไม่ได้……”

“หึ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา สวีไป๋เห้อถึงตอนนี้ยังไม่ยอมปล่อยศักดิ์ศรีอันน่าสงสารนั้นลง

“คุณชายอิ่ง ทำอะไรก็เหลือหนทางไว้บ้าง วันหน้าจะได้พบกันดี……” สวีไป๋เห้อขอร้อง

หลินอิ่งให้เขาแค่สองทาง ตาย หรือว่าคุกเข่า

ทางสองทางนี้ เขาก็ยอมรับไม่ได้

“คำว่าฉีหยิ่นออกมา ยังมีทางอื่นอีกหรือ?” หลินอิ่งมองสวีไป๋เห้อ พูดเสียงเรียบ

สวีไป๋เห้อตกใจลืมตาขึ้นมา เงยหน้ามองหลินอิ่ง ในใจทรมานอย่างหาคำเปรียบไม่ได้

มีตาหามีแววไม่ เขาสวีไป๋เห้อนับว่าเป็นคนมองคนเหนือใคร แต่กลับมองของหลินอิ่งไม่ออก!

ก่อนหลินอิ่งยังไม่เปิดเผยฐานะว่าเป็นฉีหยิ่น ไม่ได้ใช้อำนาจมาจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ แบบนี้ ก็ยังพอมีหนทางให้กลับมาเหมือนเดิมได้

จะโทษก็โทษตัวเอง ที่มีตาหามีแววไม่

ตอนนี้ คำว่าฉีหยิ่นสองคำนี้ออกมา

จะต้องให้ความเคารพถึงที่สุด!

ก็เหมือนกับ ฮ่องเต้ยังไม่ออกคำสั่ง ทุกอย่างยังปรึกษาได้

ถ้าฮ่องเต้ออกคำสั่ง ทุกคนจะต้องทำ นี่ก็คืออำนาจของฮ่องเต้!

ก็เหมือนกับนี่คืออำนาจของฉีหยิ่น!

ไม่ยอม ก็ต้องตาย

“ผม……ผม” สวีไป๋เห้อพูดอย่างติดอ่าง ภายใต้ความกดดันมหาศาล สติไม่ดี ตอนนี้เรียบเรียงคำไม่ถูกแล้ว

ปัง!

หลินอิ่งฟาดแส้ลงไป เสียงดัง ฟาดลงหัวเข่าสวีไป๋เห้อลงทันที

เสียงดังคั๊ก สวีไป๋เห้อสีหน้าขาวซีดทันที สองขาคุกเข่าลงกับพื้น คุกเข่าต่อหลินอิ่ง ก้มหัวตัวสั่นไปทั้งร่าง หายใจด้วยความเจ็บปวด ฟันสั่น

ชีวิตนี้ทั้งชีวิต เขาจะยืนไม่ได้อีกแล้ว

“นี่! นี่!”

ท่านสองภูเขาชิงซานสายตาตกใจ ในหัวยังตอบสนองไม่ทันว่าหลินอิ่งมีที่ไปที่มายังไงนึกไม่ถึงว่าจะล้มผู้นำตระกูลสวีไปโดยตรงเช่นนี้

“คุกเข่าลง” หลินอิ่งมองทั้งสองด้วยสีหน้านิ่งเฉย

ท่านสองภูเขาชิงซานสีหน้าตกใจ ไม่กล้าโต้แย้งกับหลินอิ่ง

ลำพังฝีมืออันร้ายกาจของหลินอิ่งเมื่อครู่ ก็ทำให้พวกเขายากที่จะลืมแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลังหลินอิ่ง พร้อมบีบพวกเขาเหมือนมดตลอดเวลา

ตง!

ท่านสองภูเขาชิงซานก้มหัวและคุกเข่าลง คุกเข่าโดยไม่สู้ หน้าแดงด้วยความอาย

“สวีไป๋เห้อ คุกเข่าให้ครบหนึ่งชั่วโมง เพื่อเป็นตัวอย่าง” หลินอิ่งน้ำเสียงใจเย็น “คนที่ทำฉัน จะเป็นแบบนี้!”

พูดเสร็จ หมุนตัวและมือไว้ข้างหลัง ไม่สนใจสายตาตกตะลึงของผู้คนที่อยู่ในนี้

หยูจื๋อเฉิงเปิดประตูด้วยตัวเอง หลินอิ่งขึ้นรถ จากไปอย่างสง่า

นิ่งซวนก็พาทหารลับของตระกูลนิ่ง ขบวนรถออกจากถนนตี้เจียงอย่างรวดเร็ว

แต่พวกเผียวซิ่วชวนพวกเขาสีหน้าขาวซีด ต่างก็สีหน้าเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น

พวกเขาเหล่านี้ หัวเข่าทุกคนถูกทำลายจนพิการ ชีวิตนี้ ก็คงจะยืนขึ้นมาไม่ได้อีก!

สวีไป๋เห้อคุกเข่าไว้ที่เดิม สมองเบลอ จนไม่สามารถคิดอะไรได้

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เรื่องราวใหญ่โตแค่ไหนเขาก็เคยเจอมาแล้ว แต่ครั้งนี้ โดนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง!

คนตระกูลสวี ในใจทุกคนยังคงหวาดกลัว ยังมีความหวาดกลัวหลินอิ่งอยู่ ไม่มีใครกล้าที่จะไปพยุงตัวสวีไป๋เห้อที่คุกเข่าอยู่กับพื้น

แม้แต่สวีไป๋เห้อเอง ก็ไม่กล้ายืนขึ้น!

หลินอิ่งบอกหนึ่งชั่วโมง นั่นก็คือห้ามขาดแม้แต่นาทีเดียว

ตระกูลสวีคุกเข่าแล้ว

นี้คือเรื่องที่ทุกคนอยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจ

หลังจากวันนี้ จะต้องมีเรื่องลือกันไปในวงการไฮโซของตี้จิง เป็นถึงผู้นำตระกูลสวี โดนฉีหยิ่นบังคับให้คุกเข่าลง ก้มหัวเคารพเขา

ยังมีความแค้นของฉีหยิ่นกับชีซิงกรุ๊ป ก็จะเป็นเรื่องที่พูดคุยกันอย่างแน่นอน

เวลาเดียวกัน ทุกคนก็รู้สึกถึงพายุที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดที่กำลังสาดมาพร้อมสายลมฝน

เมื่อฉีหยิ่นโกรธ ทั้งเมืองตี้จิงจะต้องสั่นสะเทือน!

จ้าวหลินเอ๋อร์กำลังคิดบางอย่างอยู่ เธอไม่สามารถลืมท่าทางที่ไม่มีใครเทียบเท่าได้ของหลินอิ่ง

นี่ก็คือ ผู้ชายที่เธออยากได้

อะไรคือแบมือเป็นเมฆ อะไรคือคล่ำมือเป็นฝน?

ก็หลินอิ่ง

ชีซิงกรุ๊ป ตระกูลสวีในตี้จิง ต่างก็เป็นบริษัทมหาอำนาจที่ทำให้ตี้จิงสั่นสะเทือนได้ โดนเขาทำเหมือนกับมดที่จะบีบเล่น

ห้าองค์กรตระกูลใหญ่ ตระกูลจ้าว ตระกูลนิ่ง ตระกูลฉี ก็ให้เขาสั่งการได้ทุกอย่างเหมือนดั่งสั่งการลมและฝน

ฆ่าล้างตระกูลเหวิน ตั้งตระกูลฉี ทำลายตระกูลสวี ช่วยตระกูลนิ่ง! ช่วงนี้ตี้จิงเกิดเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับโครงสร้างทั้งหมด ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับหลินอิ่งตลอด!

โครงสร้างในตี้จิง เสมือนกับถูกเขากำเล่นไว้ในกำมือ

“ท่านฉู่ ท่านคิดว่า หลินอิ่งเป็นยังไง?” จ้าวหลินเอ๋อร์มองฉู่จิงหยุนที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายเปิดปากถาม

ฉู่จิงหยุนสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเต็มไปด้วยความเคารพ

“คุณหนู ผม ผมไม่กล้าออกความคิดเห็นสำหรับท่านนี้” ฉู่จิงหยุนสีหน้า ละอายใจ ถอนหายใจพูด “หรือจะพูดว่า ผม ไม่คู่ควรที่จะแสดงความคิดเห็นสำหรับท่านนี้!”

จ้าวหลินเอ๋อร์สายตามอง นึกไม่ถึง ความคิดเห็นที่ท่านฉู่ที่มีต่อหลินอิ่งคือ เขาไม่คู่ควรที่จะแสดงความคิดเห็น!

จะต้องรู้ ท่านฉู่ตามนายท่านตระกูลจ้าวของตัวเองมาหลายสิบปี จ้าวหลินเอ๋อร์ก็เคยฟังคุณปู่พูดถึง ถ้าไม่ใช่เมื่อก่อนเคยช่วยชีวิตท่านฉู่ ความสามารถในวิชาการต่อสู้ของท่านฉู่ ตำแหน่งในกองกำลังลึกลับ ไม่มีวันที่จะมาเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าวได้

ท่านฉู่ ในกองกำลังลึกลับ คือคนที่มีเบื้องหลังที่ลึก!

แม้แต่ท่าน ต่อหน้าหลินอิ่ง ก็ยังถ่อมตัวเองขนาดนี้!

“ท่านฉู่ ถ้าอย่างนั้น ท่านดูความสามารถในวิชาการต่อสู้ต่อสู้ของเขาออกไหม?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย

ฉู่จิงหยุนส่ายหัวพูด “ผมดูคนนี้ไม่ออก แม้คนนี้จะยังอายุน้อย แต่ลึกจนวัดไม่ได้ การต่อสู้เป็นถึงครูได้ ถ้าเป็นวิชาการต่อสู้ ผมอาจจะต้องเรียกเขาว่ารุ่นพี่”

เมื่อคิดถึงวิชาการต่อสู้ที่หลินอิ่งใช้นั้น ฉู่จิงหยุนพูด “ท่านนี้ ใครหรือจะเทียบเท่าได้?”

จ้าวหลินเอ๋อร์ที่ฟังแล้ว ในใจสงสัยและมีความไม่พอใจ หลินอิ่งเก่งขนาดนั้นเลยหรือ? งั้น เธอยังมีโอกาสจีบหลินอิ่งติดไหม?

หลินอิ่งสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มองคนใส่ชุดคนแกสีเหลืองด้วยซ้ำ

คนแก่ใส่เสื้แคอจีนโกรธมา รู้สึกเหมือนโดนดูถูก และกำลังจะพูดด่าอีก สวีไป๋เห้อตบไหล่เขา“ถอยไป”

สวีไป๋เห้อมองหลินอิ่งด้วยสีหน้านิ่งโกรธ ยิ่งดู ยิ่งรู้สึกว่านายนี้มีความสามารถอย่างบอกไม่ถูก

ดูแล้ว หลินอิ่งเป็นคนประเภทที่ มีความสามารถแต่ไม่มีอารมณ์

คนแบบนี้ ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมา จะต้องพายุเข้าแน่ แม้แต่คนคุมสวรรค์ก็ห้ามไม่ได้

สวีไป๋เห้อเป็นคนการบำเพ็ญปฏิบัติ แต่ก็เคยเข้าไปยุ่งเรื่องตระกูลลับบ้าง เคยได้ยินว่ามีพระธรรมว่าจะต้องอดทน

คนที่มีความอดทนต่อการดูถูก มีเรื่องไม่ได้

มีเรื่องแล้ว ก็เหมือนมีเรื่องกับเทวดา!

จากประสบการณ์สวีไป๋เห้อแค่มองพริบเดียวก็ดูออก หลินอิ่งคือคนไม่ธรรมดาแน่ๆ

“น้องสี่ฉันละ?”สวีไป๋เห้อถามด้วยน้ำเสียงต่ำ

หลินอิ่งใช้สายตาสั่ง ข้างหลังมีทหารลับตระกูลนิ่งลากเดินเข้ามา สองขาถีบพวกสวีถันโจวล้มพื้น พวกนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดหัวเข่าทั้งสองแตกหัก ท่าทางหน้าสงสารจนไม่กล้ามอง

“นาย!นายกล้าทำขนาดนี้?”

เห็นน้องสี่สวีถันโจวตอนนี้โดนหลินอิ่งทำขาหัก สวีถันโจวโกรธขึ้นมาทันที จ้องหลินอิ่งไว้อย่างเย็นๆเหมือนจะฆ่าให้ตาย

“หลินอิ่ง ฉันรู้ว่านายเป็นคนไม่ง่าย แต่นายกล้าที่จะดูหมิ่นความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี ไม่สนว่านายจะออกมาจากตระกูลลับไหนวันนี้ก็ผ่านไปไม่ได้!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินอิ่งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม พูด “ความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี?เห้อ คุกเข่าเลียขาคนเกาหลี นี่หมายความว่าไร?”

ข้างๆสวีไป๋เห้อใส่ชุดคนแก่สีเหลือง จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นๆพูดเสียงต่ำ “ไร้มารยาทมาก!ผู้นำตระกูลสวี เป็นตัวแทนตระกูลในตี้จิง ผู้นำตระกูลสสุออกหน้า นายกล้าพูดแบบนี้ออกมา?ฉันละอยากรู้ ใครเป็นคนสอนนายให้ไม่รู้จะที่ต่ำที่สูง!”

“ดูแล้ว นายกับตระกูลสวีคงอยากจะตายไปกันข้างหนึ่งก่อนถึงจะหยุด?”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ชายชุดดำข้างหลังเขาก็เริ่มขยันตัวขึ้น เตรียมพร้อมต่อสู้

สวีไป๋เห้อจ้องหลินอิ่งเหมือนกับศัตรู ก็รอดูคนชั้นยอดทั้งสองข้างๆจะรู้ถึงจุดอ่อนของหลินอิ่ง และล้มมัน!

เขารู้ว่าหลินอิ่งไม่ง่ายออกจากตระกูลลับของตัวเอง แต่ว่า หลินอิ่งกล้าที่จะดูหมิ่นตระกูลสวี แม้ว่าจะต้องเสียเลือดเอาต้องเอามาให้ได้!

สวีไป๋เห้อกับผู้นำตระกูลนิ่งคนก่อน นิ่งจองเต้าที่ชิงอำนาจขึ้นเป็นเจ้าบ้าน และโดนคนหมุนหลังเหมือนหุ่นเชิดไม่เหมือนกัน

สวีไป๋เห้อคุมตระกูลสวีตั้งหลายปี อำนาจก็ถึงว่ามีพอตัว ถึงแม้ว่าจะรู้จักคนมากมาย รู้ความลับมากมาย

เขากับคนตระกูลลับก็รู้จักกัน สองคนที่อยู่ที่ใส่ชุดคนแก่ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในตระกูลลับ

“ตัวแทนตระกูลสวี?”หลินอิ่งยิ้มเย็นๆ ดวงตาถึงเย็นอย่างกับน้ำแข็ง

“สวีไป๋เห้อ นาย ตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้ฉัน!”หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“อะไรนะ?นายเป็นบ้าไปแล้วหรอ?”

“จะให้ผู้นำตระกูลสวีในตี้จิงคุกเข่าให้นาย?เหอะ วัยรุ่น ความจินตนาการของนายสุดยอดไปเลย นายคิดว่า ตระกูลสวีเป็นถึงท็อปห้าในประเทศหลุง ตระกูลนี้จะไม่มีคนเก่งเลยหรอ?”

ชายชราในเสื้อคอจีนพูดอย่างเย็นชา ใช้สายตาที่ไม่พอใจมองหลินอิ่ง

“เหอะๆๆ นายคิดว่านายเป็นใคร?”สวีไป๋เห้อจากโกรธก็กลับเป็นหัวเราะ ตั้งแต่คุมตระกูลสวีในตี้จิง เขาไม่ได้ยินคำดูถูกมานานมากแล้ว ยังพูดถึงหลินอิ่งดูถูกต่อหน้านี้

ให้ตัวเองเป็นตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้มัน?

สมองต้องโง่ขนาดไหน?ถึงจะพูดประโยคนี้ออกมา?

“ท่านสองภูเขาชิงซาน ก็คงต้องรบกวนคุณทั้งสอง ล้มมันให้ได้!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสายตาเด็ดขาด

ข้างๆเขามีชายชราที่ใบหน้าคล้ายกันในเสื้อคอจีน ค่อยๆก้มหัว ก้าวไปขั้นหน้าหนึ่งก้าว

และในตอนนี้ ข้างหลังสวีไป๋เห้อชายชุดดำสิบกว่าคนมากฝีมือ ก็ค่อยๆเดินล้อมไว้

ท่านสองภูเขาชิงซาน คือคนชั้นยอดที่เขาไปเชิญออกมาจากตระกูลลับในมณฑลตงหลิน ทั้งสองเป็นฝาแฝด เรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถที่น่ากลัวมาก

เป็นบอดี้การ์ดของเจ้าบ้านใหญ่ตระกูลสวีเขา แต่ก็ยังเป็นคนฝึกให้การทหารลับของตระกูล

แม้หลินอิ่งจะไม่เหมือนคนธรรมดา สามารถล้มนักยิง100กว่าคนที่น้องสี่พามา แต่ว่า อายุอยู่เท่านั้น อายุยังน้อย จะสู้กับท่านสองภูเขาชิงซานที่ซ้อมมาครึ่งชีวิตได้ไง?

ติด!

ก็ต้องกำลังตื้นเต้นนั้น จู่ๆ รถเป็นแถวจนไว้ที่ถนนตี้เจียง กดแตรขึ้น

จากรถเป็นแถวนั้นก็ลงมาคนแก่ใส่สูท จากนั้น พวกผู้ชายที่มีรังสีความน่ากลัวเปิดประตูรถ เดินเข้ามาน่าเกรงขาม

“ท่านฉู่ ฉันอยู่นี้!”

จ้าวหลินเอ๋อร์ออกจากหลังหลินอิ่งมา ทักทายน้ำเสียงดัง

“คุณหนู ผมมาช้าเกินไป ไม่รู้ว่า คุณหนูได้รับบาดเจ็บมั้ย?”ท่านฉู่พูดด้วยสีหน้าเรียบๆ

“ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่ คนของตระกูลสวีเหมือนไม่มีตา!”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดต่อหน้าสวีไป๋เห้อไม่มีความเกรงใจใดๆ

“ฉู่จิงหยุน?คนแก่นี่ พาคนของตระกูลจ้าวมา?”

ท่านสองภูเขาชิงซาน สีหน้าสงสัย จ้องท่านฉู่ที่เดินมาเหมือนกับศัตรู

“เหอะเหอะ ยินดีที่ได้พบผู้นำตระกูลสวี นึกไม่ถึงว่าคุณหนูจ้าวพูดเรื่องแค่นี้จะมีผู้นำตระกูลด้วย”ใบหน้าท่านฉู่มีรอยยิ้มและพูดไป

สวีไป๋เหัอขมวดคิ้วเบาๆ ไม่พูดไร สายตาจ้องคนของจ้าวหลินเอ๋อร์อย่างเย็นชา

เขารู้ว่าจ้าวหลินเอ๋อร์อยู่ด้วย แต่ไม่นึกไม่ถึงว่าจ้าวหลินเอ๋อร์จะปกป้องหลินอิ่งขนาดนั้น เรียกแม้กระทั่งพ่อบ้านของตระกูลจ้าวมา

พ่อบ้านตระกูลจ้าวคนนี้ ฉู่จิงหยุน ถ้าเป็นตำแหน่งก็สูงกว่าเขา ตามนายท่านตระกูลจ้าวมาหลายสิบปี ทักษะลับไม่อาจรู้ได้ ประวัติไม่รู้ในตระกูลผู้ดีตี้จิง รู้หมดว่าคนนี้ในตระกูลจ้าวน่ากลัวแค่ไหน

ท่านสองภูเขาชิงซาน ก็คือคนที่เคยแพ้ในมือฉู่จิงหยุน

นายท่านตระกูลจ้าวก็รักเอ็นดูหลานสาว แม้ฉู่จิงหยุนเธอก็สามารถออกคำสั่งได้

“ท่านฉู่ เรื่องวันนี้ พวกนายตระกูลจ้าวหลบไป อย่ายืนผิดฝ่ายละ”สวีไป๋เห้อพูดน้ำเสียงนิ่งๆ“ผู้นำตระกูลจ้าวมาก็ห้ามฉันเรื่องนี้ไม่ได้”

ใบหน้าฉู่จิงหยุนก็ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองจ้าวหลินเอ๋อร์ไว้ รอคำสั่ง

“นายคงจะไม่คิดว่า?มีความสนิทกับตระกูลจ้าว เรื่องวันนี้ก็หมดไป?”สวีไป๋เห้อจ้องหลินอิ่งไว้ พูดอย่างเย็นๆ

“เหอะเหอะ ขอความช่วยเหลือ?จัดฉาก?นายก็จะใหญ่กว่าผู้นำตระกูลสวีหรอ!”ท่านสองภูเขาชิงซานมองหลินอิ่งและพูดหัวเราะไว้

พูดความจริงพ่อของจ้าวหลินเอ๋อร์มาคงจะอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้นำตระกูลสวี!

“ฉันพูดไว้แล้ว หลินอิ่ง นายให้เรื่องมาถึงจุดนี้ ใครออกหน้าไม่ได้ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ตัดสินใจที่จะกำจัดหลินอิ่งทิ้ง

“ประธานหลิน ผมมาสายแล้ว!”

จู่ๆ ก็เสียงเคารพดังมา ก็ยังเป็นรถสีเทาหลายสิบคันแถวเหมือนเดิม พุ่งมาที่ทางแยกทันที

ผู้ชายที่ไม่ธรรมดาใส่เสื้อขาวเดินมาอย่างรีบร้อน ข้างๆยังมีคนแก่ผมขาวหน้าตานิ่งๆไว้

“นิ่งซวน?”สวีไป๋เห้อขมวดคิ้วแน่น มองคนที่มาอย่างน่ากลัว รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี

ชายชุดดำรับโทรศัพท์ ยื่นโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าหลินอิ่ง

“น้องสี่ สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไง?ฉันถึงถนนตี้เจียงแล้ว ลูกชายของท่านประธานเผียวจินฮุนละ?”ด้านโทรศัพท์ ก็มีเสียง เสียงต่ำของผู้ชายวัยกลางดังมา

“พี่ใหญ่!รีบมาหอตี้เจียงช่วยผม!เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

สวีถันโจวที่ได้ยินเสียงสวีไป๋เห้อก็ตื่นเต้นขึ้นมา รีบตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“พี่ใหญ่ พี่ต้องพาคนที่เก่งของตระกูลและทหารลับมา ไม่งั้นคงจะสู้ไม่ได้!”

เพียะ!

บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งตบไปที่หน้าของสวีถันโจว ตบจนฟันหลุดไปสองซีน ตบจนเลือดเต็มปาก

“ถ้าร้องมั่วอีก ตอนนี้ก็ฆ่านายทิ้ง!”ทหารลับพูดขู่เสียงเย็น หน้าสวีถันโจวก็อายก็โกรธ ก้มลงไม่กล้าพูดอีก

“น้องสี่ นาย……”ทางโทรศัพท์น้ำเสียงสวีไป๋เห้อก็เปลี่ยนไป “นายก็คือคนที่ทำเผียวซิ่วชวนคนที่แซ่หลิน?ไม่รู้ว่านายเป็นใคร แต่ว่า ฉันเตือนนายว่าเบาหน่อย อยู่ในเขตตี้เจี้ยงของตระกูลสวี ไม่มีจุดจบหรอก!”

“น้องสี่ นายไม่ต้องกลัว วันนี้ไม่ว่ามันทำอะไรนาย ฉันก็จะมันคือนายสิบเท่า!”สวีไป๋เห้อพูดอย่างโกรธ“ฉันพาคนมาถึงถนนตี้เจี้ยงแล้ว”

“คือสิบเท่า!”หลินอิ่งหัวเราะมุมปาก

“ฉันรอนายที่ถนนตี้เจี้ยง”

หลินอิ่งวางโทรศัพท์ สีหน้านิ่งมองทุกคน

“พาไป”

พูดเสร็จ เขาก็หมุนตัวออกจากหอตี้เจียง

ทหารลับของตระกูลนิ่งก็เร่งมือขึ้น เอาพวกสวีถันโจวขึ้น พาหลังหลินอิ่ง

ออกจากหอตี้เจียง หลินอิ่งมองจางฉีโม่ที่สีหน้ากังวล พูด “ฉีโม่ มีปัญหานิดหน่อย เลยเวลาทานอาหารแล้ว รอครั้งหน้ามีโอกาส ฉันค่อยพาเธอเล่นที่ตี้เจียง วันนี้ เธอก็เหนื่อยแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”

จางฉีโม่คิดแป๊บหนึ่ง มองจ้าวหลินเอ๋อร์แวบหนึ่ง ไม่มีความไว้ใจ รู้สึกจ้าวหลินเอ๋อร์อยากจะอ่อยหลินอิ่ง ก็เหมือนด้ายเข้าเข็มรูเข้าไป ใช้พื้นที่และเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์

แต่คิดอีกที ครั้งก่อนที่หลินอิ่งแสดง ก็คงพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาไม่สนใจจ้าวหลินเอ๋อร์ ก็คือผู้หญิงอ่อยหลินอิ่งก่อน

เธอเชื่อใจหลินอิ่ง

ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอคุมอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องอดีต ให้หลินอิ่งจัดการเอง

ผู้ชายจัดการ ผู้หญิงไม่เข้าใจและช่วยอะไรไม่ได้ ก็ถูกที่ไม่ต้องถามเยอะ เชื่อเขาก็พอแล้ว

จางฉีโม่พยักหน้าพูด “หลินอิ่ง นายระวังตัวด้วย”

หลินอิ่งยิ้มแล้วพูด “วางใจได้ แค่ฝูงนก”

พูดเสร็จ หลินอิ่งก็ให้ทหารลับของตระกูลนิ่งให้พวกเขาพาฉีโม่กลับจงเทียนซิงเฉิน

ต่อมา หลินอิ่งเอามือทั้งสองไว้ข้างหลัง เดินไปทางถนนตี้เจียงอย่างช้าๆ

แต่จ้าวหลินเอ๋อร์เดินตามหลังหลินอิ่งติดเหมือนกลัวว่าหลินอิ่งจะหายไป

“นายรอก่อนสิ ไม่ต้องรีบไปหาสวีไป๋เห้อก็ได้”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอยู่ข้างๆ“ฉันให้พ่อของฉันพาทหารลับของตระกูลจ้าวมาแล้ว……”

หลินอิ่งไม่สีหน้าใดๆและพูดขัดขึ้นมา “ตอนนี้เธอกลับไปได้แล้ว ”

จ้าวหลินเอ๋อร์เบะปากมีความผิดหวังตอนแรกคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ ช่วยหลินอิ่ง ให้หลินอิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง

แต่ว่า หลินอิ่งเหมือนว่าจะไม่ต้องการตัวเองช่วย แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายนี้ หลินอิ่งก็มีความสามารถอยู่ไว้ จ้าวหลินเอ๋อร์คิดๆแล้วโมโห เพราะว่าเธอนึกไม่ถึงว่าจะได้นี้ของหลินอิ่ง หลินอิ่งทำให้ตัวเองตกตะลึงมาก แต่ไม่ใช่คนที่สายตามีแต่จางฉีโม่

“แต่ฉันอุตส่าห์ใจดีมาช่วยนายนะ”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“นายไม่บอกจะเลี้ยงข้าวฉัน อย่างน้อยก็เกรงใจด้วยสิ?ยังจะไล่ฉันอีก?บ้านของพ่อฉันก็มาแล้ว ตระกูลจ้าวของพวกเราไม่เอาหน้าหรอ?”

หลินอิ่งพูดนิ่งๆ “เธอชอบตาม ตามไว้เถอะ ก็ดี จะได้ทักทายคนตระกูลพวกเธอด้วย”

“นาย!”จ้าวหลินเอ๋อร์ก็อั้นความโกรธไว้ กินริมฝีปากไว้แน่น จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาหงุดหงิด

เหมือนเธอจ้าวหลินเอ๋อร์ อยู่ตี้จิงนั้นมีแต่คนเคารพ เหมือนกับเป็นเจ้าหญิง

แต่หลินอิ่งคนนี้ กล้าที่จะไม่ชอบตัวเอง?

ตามอยู่ข้างเขาช่วยเขาขนาดนั้น ยังจะไล่คนอีก ไม่สมเหตุสมผลเลย

ก็แบบนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์เดินข้างหลินอิ่งไม่พูดอะไรอีก เดินไกลถึงทางแยกข้ามถนน

ถนนตี้เจียงโดนสวีถันโจวเคลียร์สถานที่เรียบร้อย บริเวณใกล้ก็ไม่มีอะไร เหลือแค่บอดี้การ์ดใส่สูทนอนไว้ที่ถนนแต่ละคนเต็มไปด้วยเลือด ท่าทางดูไม่ได้เลย

นี่คือก่อนหน้าที่โดนทหารลับตระกูลนิ่งจัดการ คือลูกน้องขั้นสุดยอดของโม่เฟย เมื่อเห็นหลินอิ่งพาพวกน่ากลัวเดินมา หน้าทุกคนก็เครียด หลบสายตากัน

หลินอิ่งไม่สนใจพวกที่เหมือนมด เดินเข้าถนนแยก ทางด้านไกลของถนนแยก

ตอนนี้จอดรถไมบัคไว้ประมาณยี่สิบสามสิบคัน มีคนใส่สูทดำเรียงไว้เป็นแถว สายตามองมาทางตัวเอง บรรยายอึกอัดมาก

ผู้ชายวัยกลางคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่า ใส่สูทสีเข้ม ข้างๆมีสองคนใส่เสื้อเหลืองคนแก่ไว้ เดินมาทางหลินอิ่งง

หลินอิ่งมองไปด้วยสายนิ่งๆ ผู้ชายวัยกลางนี้มีใบหน้าเหลี่ยม สายตาแหลม ไม่ความโกรธใดๆ มีออร่าคนชนชั้นสูง ดูก็รู้ว่าไม่ง่าย นี่คือออร่าความฆ่าตลอด ถึงจะมีอำนาจ ดูแล้ว นี่ก็คือเจ้าบ้านใหญ่ตระกูลสวี สวีไป๋เห้อ

สวีไป๋เห้อ ผู้นำตระกูลคนแรกของตระกูลสวี ภายใต้ตระกูลสวีหนึ่งคนในตี้จิง มากกว่าหมื่นคน มีอำนาจอยู่อย่างแน่นอน!

อยู่ในตี้จิงก็คือคนมีอำนาจมากสุดแน่นอน เขาออกหน้า ยืนอยู่นี้ ก็หมายความว่า ตระกูลสวีทุกคนในตี้จิงยืนอยู่นี้!

“นายก็คือหลินอิ่ง?”สวีไป๋เห้อใช้สายตาแหลมจ้องหลินอิ่งเปิดปากพูดอย่างช้าๆ

จากเริ่มได้รับข้อความ ในใจเขาก็รู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับหลินอิ่ง

ตีจนคุณชายชีซิงกรุ๊ปคุกเข่าขอร้อง บีบจนให้ประธานเผียวจินฮุน ที่อยู่ไกลถึงเกาหลีโกรธมาก โทรหานายท่านของตัวเองไป

อีกหนึ่งอย่างยังดูหมิ่นความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี ล้มคนของตระกูลสวีหมด?

นี่ตกลงเป็นคนมาจากไหนกันแน่?

มีความกล้ามาก!

สวีไป๋เห้ออยู่ตี้จิงมาหลายปีถือว่ารู้จักคนมากอยู่ สถานการณ์ใหญ่ก็เคยเจอไม่น้อย

แต่ว่า ยังไม่เคยเจอคนที่ทำตัวใหญ่และเก๋าขนาดนี้!

แต่ความรู้สึกของตัวเองที่ดูหลินอิ่ง มีความสงบ ทำให้คนรู้สึกหนาว

นี่ไม่ใช่คนง่ายๆแน่ ไม่เหมือนกันคนอายุยี่สิบกว่าที่จะมี

โดยเฉพาะ ดวงตาทั้งสองของหลินอิ่ง ราวก็ทะลุไปได้ในตาว่างเปล่า

“ผมก็คือหลินอิ่ง”หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

“ไอ่เด็กเมื่อวานซื่อ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!คนของตระกูลสวีก็ทำ นายอยากตายหรอ?”ข้างๆสวีไป๋โจวที่ใส่ชุดคนแก่สีเหลืองไว้ พูดด่าด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“นี่นายกำลังหาที่ตายหรอ!ยังไม่คุกเข่าต่อหน้าผู้นำตระกูลสวี ?”

ปังปังปัง!

ก็ตอนนี้ คนยี่สิบกว่าคนบุกเขามาอย่างน่ากลัว ใส่ชุดดำทั้งชุด เสื้อทุกคนมีคราบเลือดติดอยู่ สายตาทุกคนเหมือนดาบ

คนชุดดำพวกนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดา แต่ละคนมีรังสีความน่ากลัว ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดัน

เมื่อมาถึง ก็ดึงดูดสายตาทุกคนที่อยู่ในนี้ ทุกคนประหลาดใจ

ต่อมา พวกคนใส่ชุดดำเข้ามาทั้งหมดเดินเข้ามาเป็นแถว ก้มลงต่อหน้าหลินอิ่งด้วยความเคารพ

“ท่านประธานหลิน ผมมาสายเกินไป!”

คนใส่ชุดดำหนึ่งคนพูดน้ำเสียงเคารพ

“นี่ นี่คือลูกน้องของเขา……”

“ตกลงคือใครกันแน่?ทำไมดูแล้วน่ากลัวขนาดนี้?”

สวีถันโจวกับเผียวซิ่วชวนคุกเข่ากับพื้น พูดด้วยสีหน้าแย่ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวของพวกคนชุดดำ กับลูกน้องที่พวกเขาพามาไม่อยู่ในระดับเดียวกัน

พวกเขารู้แล้วว่าประเมินหลินอิ่งต่ำไป!

ไม่แต่มีแต่ความทักษะน่ากลัว ส่งลูกน้องมามั่วๆ ก็ยังเก่งขนาดนี้

แค่คนยี่สิบกว่าคน ก็สามารถล้มบอดี้การ์ดชั้นยอดร้อยกว่าคนได้

ก็ว่า หลินอิ่งก็แสดงท่าทางเรียบนิ่งตั้งแต่แรก

ก็เพราะว่าเขาไม่ได้เอาพวกเขาไว้ในสายตาเลย เป็นคนที่มีอำนาจสุด ทีนี้ เขาก็เป็นปลา ที่รอคนมาสับ

“ประธานหลิน ผู้นำนิ่ง ส่งพวกผมมาก่อน เขาจะพาทีมใหญ่ตามมา!”ชายชุดดำ ก้มหัวพูดกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ

คนพวกนี้ คือทหารลับชั้นยอดของตระกูลนิ่ง ถ้าเปรียบกับคนธรรมดา ถึงว่าเป็นคนเก่งในเก่ง ทุกคนคือได้รับฝึกฝนจากเกาะลับ ผ่านการฝึกฝนที่เหมือนอยู่กับนรก เติบโตจากความโหดเหี้ยมทำให้กลายเป็นนักฆ่า

“ผู้นำตระกูลนิ่ง?นาย พวกนาย คือทหารลับของตระกูลนิ่ง?”สวีถันโจวพูดด้วยใบหน้าแปลกใจ ก็เข้าใจสถานการณ์นี้

คนแซ่หลินนี้เป็นแขกคนสำคัญของตระกูลนิ่ง?

ทำให้ผู้นำตระกูลนิ่ง? ออกหน้าด้วยตัวเอง!แม้แต่ทหารลับของตระกูลก็ถูกพามาด้วย?

สวีถันโจวเป็นคนรุ่นที่สองที่จะรับช่วงของตระกูลนิ่ง ก็รู้อยู่แล้ว ห้าอันดับร่ำรวยในประเทศหลุง ก็มีฝึกฝนทหารเก่งๆ เพื่อใช้มาจัดการเรื่องด้านมืด

เพียแต่ ทหารลับฝึกฝนยากมาก จะต้องเสียเงินมหาศาล ยากที่จะหาคนมาฝึก อีกอย่างทำภารกิจมีความเสี่ยงตายสูงมาก

เพราะฉะนั้น ตระกูลผู้ดีคนรวยทั้งห้ามีทหารลับเป็นไพ่ใบสุดท้าย มีแค่คนในครอบครัวที่มีอำนาจที่สุด ถึงจะมีสิทธิ์สั่งได้

สวีถันโจวเป็นเจ้าบ้านตระกูลสวีลำดับที่สี่ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปสั่งทหารลับได้!

เห้อ ถ้ารู้เช้ากว่านี้ว่าหลินอิ่งจะจัดการยาก!เขาน่าจะให้พี่ใหญ่เขาสวีไป๋เห้อ พาทหารลับของตระกูลสวีมา แม้ว่าจะจัดการหลินอิ่งไม่ได้ อย่างน้อย ก็ยังทำให้ถอยหลังไป?

สวีถันโจวถอนหายใจ ใบหน้าบูด รู้สึกว่าตัวเองจะผิดพลาดประเมินหลินอิ่งต่ำไป

“ประธานหลิน ต่อจากนี้ จะให้จัดการกับคนพวกนี้ยังไงดีครับ?ทหารลับพูดด้วยความเคารพ

“นี่!ประธานหลิน คุณเป็นเพื่อนกับผู้นำตระกูลนิ่งหรอ? เหอะ เข้าใจผิดแล้ว!”สวีถันโจวพูดอย่างเสแสร้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม“ถ้าคุณรีบบอกคุณเป็นเพื่อนกับนิ่งซวน ผมไม่กล้ามีเรื่องกับคุณ”

“นิ่งซวน ผู้นำตระกูลนิ่ง เคยกินข้าวกับผม มีมิตรภาพอยู่!นี่ประธานหลิน เหมือนกับว่าพุ่งน้ำในวัดมังกร ผมขอโทษคุณ!”สวีถันโจวพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนยอม ขอร้องอย่างไม่มียางอาย

จากที่เขาดู หลินอิ่งกับคุณชายตระกูลนิ่งนิ่งซวนมีความสนิทกัน เพราะงั้น ในตี้เจียงที่สำหรับคนรวยเงยหน้าไม่เจอก้มหัวเจอ อย่างน้อยนิ่งซวนก็สามารถห้ามหลินอิ่ง ปล่อยตัวเองไป?

แต่ความเป็นจริง ความสัมพันธ์สวีถันโจวกับนิ่งซวน ก็แค่เคยกินข้าวกันในงานเลี้ยงของคนรวยและได้นั่งโต๊ะเดียวกัน

อีกอย่าง ตอนที่นิ่งซวนก็ไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง นิ่งซวนก็แค่เป็นคนที่ตามพ่อแม่เขา……

อีกอย่าง นิ่งซวนอยู่ๆก็เติบโตขึ้นมาในวงการไฮโซ กะทันหันมาก ได้ยินว่าเพราะความโชคดี ตระกูลนิ่งได้ได้ความเมตตาจากผู้อาวุโสลึกลับ

หลินอิ่งยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เหลือบตามองพวกสวีถันโจว

“ทำขาพวกเขาให้พิการก่อน ยกออกไป!”

“ไม่!ไม่เอานะ!”สวีถันโจวพูดด้วยความกลัว นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะไม่ให้หน้าขนาดนี้ นี่คือจะฆ่าให้ตายไป!

“ฉัน!ฉันคือคุณชายของชีซิงกรุ๊ป!ถ้าพวกนายกล้าทำฉัน ก็รอพ่อฉันมาประเทศหลุงจะต้องช่วยฉันแก้แค้น!”เผียวซิ่วชวนหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ร้องอย่างบ้าคลั่ง นอนไว้ที่พื้นดิ้นรนโดนชายชุดดำสองคนกดไว้ที่พื้น

“ฉันให้เงินพวกนาย พวกเราชีซิงกรุ๊ปให้ได้!นายอยากได้อะไร อยากได้ประโยชน์เท่าไหร่ ฉันก็ให้นายได้ อย่าฆ่าฉันเลย!”เผียวซิ่วชวนร้องอย่างบ้าคลั่ง ถ้าขาเขาพิการงั้นต่อไปก็ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต

สำหรับพวกเขาที่มีเงินและอำนาจที่สุด จะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าร่างกายส่วนล่างเสียแรงไป มันคงจะทรมานและเจ็บปวด ตายไป

ยังจะดีกว่า!

ปัง!ปัง!ปัง!

ชายชุดดำเจ็ดแปดคนบุกเข้ามา ทหารลับสองสามคนก็จับไว้ และหลายคนก็ยกมัดไปทางเข่าของเผียวซิ่วชวนอย่างแรง

หมัดของทหารลับพวกนี้แรงยิ่งกว่าค้อนอีก ต่อยได้น้ำหนักหลายร้อยอย่างง่ายดาย แม้กำแพงปูนก็ต่อยได้

ก็แค่ต่อยสองสามมัดลงมา ซิ่วชวนก็ร้องอย่างเจ็บปวด ก็ไม่รับรู้อะไรและเป็นลมไป

แต่กระดูกเข่าเขาก็แตกแล้ว จนเลือดไหล ขาทั้งคู่ได้พิการไป พิการตลอดไป

“โอ!โอ๊ย!”

“นายกล้าทำถึงขนาดนี้!”

จากอีกฝ่าย สวีถันโจว โม่เฟย เผียวจื้อจาง ทั้งสามคนร้องออกมาเหมือนเสียงฆ่าหมูพร้อมกัน ใบหน้าที่ขาวซีดที่สุด หน้าผากมีเหงื่อไหลไม่หยุด

กี่คนนี้ นอนตัวสั่นอยู่ที่พื้น หัวเข่าทั้งสองเลือดไหล ดวงตาเปิดกว้างมองหลินอิ่งด้วยความกลัว

การทรมานหน้ากลัวแบบนี้ ความเจ็บจากกระดูกที่หัก ทำให้พวกเขาสติแตก!

หลินอิ่ง โหดร้ายเกินไป!

“หลินอิ่ง นายทำแบบนี้ บีบให้ตระกูลสวีต้องยกๆไพ่ใบนี้มา!”สวีถันโจวถอนหายอย่างแรงและพูด “พี่ใหญ่ฉันสวีไป๋เห้อกำลังจะมา นิ่งซวนก็กำลังมา แต่นาย เป็นคนเริ่มทำพวกฉัน”

“เดี๋ยว ดูว่านายจะจัดการยังไง!”

สวีถันโจวนึกว่า ถ้าหลินอิ่งมีตระกูลนิ่งนิ่งซวนหมุนหลัง เรื่องนี้ยังมีความเปลี่ยนแปลงได้

แต่นึกว่าไม่ถึงว่า หลินอิ่งไม่มีข้อห้ามในการทำ!

ติ๊กติ๊กติ๊ก

เวลานี้ โทรศัพท์ของสวีถันโจวดังขึ้น ทหารลับคนหนึ่งของตระกูลนิ่งเอาโทรศัพท์ไว้และมองหลินอิ่งพูดด้วยความเคารพ “คือเจ้าบ้านใหญ่จากตระกูลสวี สวีไป๋เห้อโทรมาครับ”

“รับโทรศัพท์”หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ฉันจะดูสิว่าตระกูลสวีจะถือไพ่อะไรไว้”

“อะไรนะ?แค่ยี่สิบกว่าคนก็ฆ่าเข้ามาได้แล้ว?”สวีถันโจวตกใจ เพี๊ยะตบคนที่มารายงาน เสียงพูดด้วยความโกรธ

“ไอ้พวกนายทำไรกันอยู่?แม่งเอ้ย คนร้อยกว่าคน ปืนร้อยกว่ากระบอก แค่ประตูก็เฝ้าไว้ไม่ได้?”โม่เฟยพูดความโกรธ

“ผม……ท่านเจ้าบ้านสี่ ท่านโม่ ผม พวกผมเติมที่แล้วครับ คนพวกนั้นโหดเกินไป ไม่มีแม้แต่โอกาสยิงปืนเลยครับ!”บอดี้การ์ดชุดดำปิดหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ

“ให้ตายสิ!”สวีถันโจวด่าด้วยเสียงต่ำ มองหลินอิ่งด้วยสีหน้านิ่ง

คนข้างนอกบอกว่ามาหาคุณพี่เขาประธานหลิน?

ประธานหลิน?นี่ไม่ใช่หนิจองอู่ใช้เรียกคนที่ลึกลับนั้นหรอ?

“คนของนายมาแล้ว?ตกลงนายเป็นใครคนแน่?”สวีถันโจวจ้องหลินอิ่ง ถามด้วยเสียงต่ำ

หลินอิ่งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม วางถ้วยน้ำชาในมือลงและยืนขึ้น

ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความให้นิ่งซวน แจ้งให้พาคนจัดการ มาได้เร็วดี

เรื่องทางนี้ของตัวเองอย่างเคลียร์ไม่เสร็จ คนของนิ่งซวนก็ถึงแล้ว

“แม่มึงเอ้ย ไม่สนแล้ว!จับคนแซ่หลินก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”โม่เฟยพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัวโบกมือสั่ง

“ลุยไปทั้งหมด!”สวีถันโจวมองหลินอิ่งตอนนี้ท่าทางสงบนิ่ง ก็ใข่โบกมือสั่งอย่างนิ่ง

สถานการณ์ตอนนี้อันตราย

เหมือนว่าคนแซ่หลินไม่ง่าย ลูกน้องที่แข็งแกร่งแม้ลูกน้องของโม่เฟยน้อยกว่าคนที่เป็นชั้นยอดอย่างคุมไม่ได้

ในขณะที่ยังคุมสถานการณ์ร้านอาหารนี้อยู่ต้องรีบเอาคนแซ่หลินไว้ให้ได้ ไม่งั้นถ้าช้าจะเรื่องเปลี่ยน

หลังจากสวีถันโจวออกคำสั่ง

ในร้านอาหารบอดี้การ์ดสามสิบกว่าคน สายตาแวบวาบ

คนพวกนี้ทหารสงครามทั้งนั้น รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีจะต้องลงมือก่อน ได้เด็ดขาด!

ตึงตึงตึง บอดี้การ์ดสิบกว่าคนมุ่งไปถือกริชในมือไว้ อีกสิบกว่าคนเอาปืนเล็งหลินอิ่งไว้ แค่หลินอิงไม่มีความต่อต้านอะไร ก็ต้องให้ขามันเดินไม่ได้ก่อนแล้วค่อยพูด

เสียงตึง!

หลินอิ่งพุ่งออกไปไม่ได้เตือนอะไรก็เหมือนลูกศรที่พุ่งออกไปเร็วจนทำให้คนไม่อยากเชื่อ

แค่พริบตา

ลมแรงดันมาก ร่างหลินอิ่งอยู่ไว้กับผู้คน โบกมือกับต่อยบินบอดี้การ์ดชุดดำไปคนหนึ่ง สองมือก็เอามีดมาได้

และตามติด เห็นแค่มีดที่ฟันไปแต่ละที เร็วอย่างสายฟ้าทำให้คนตาลาย

“อ่า!”

“อ๊ะ!”

เสียงที่ร้องด้วยความเจ็บปวดดังมา!

แสงดาบแกร่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดาบทุกที่ลงมา เลือดกระเด็นออกมามากมาย ทำให้คนที่เห็นใจตื่นกลัว!

ไม่ถึงหนึ่งนาที บอดี้การ์ดยี่สิบกว่าคนก็นอนอาบเลือดไว้ ร่างกายกระตุก

ดาบอยู่ในมือ คนหรือผีก็ไม่เหลือ!

ดาบในมือหลินอิ่งมีเลือดไหลลงมา ในสายตาที่เย็นชามีความหมดหวัง

ขณะเดียวกันอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ ก็เหมือนกับปีศาจที่แสดงด้านที่น่ากลัว ทำให้คนเหงื่อแตกและขนลุก!

“นี่นี่นี่!”

สวีถันโจวตกใจจนเดินถอยหลังด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

“ยิง ยิงปืน ยิง ฆ่ามันให้ตาย!”สวีถันโจวพูดน้ำเสียงสั่น เพราะตกใจหลินอิ่งจนจิตหลุด!

คนแซ่หลินนี้ ยังกับไม่ใช่คน!

น่ากลัวเกินไปฆ่าคนอย่างก็หมูหมา เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน ไม่ให้เหลือ!

โครม

แต่พริบตา หลินอิ่งก็มุ่งหน้าไปที่บอดี้การ์ดชุดดำที่กำลังเอาปืน ข้อมือหมุน ดาบก็ฟันลง ที่โดนดาบเลือดเหมือนกับดอกกุหลาบเบ่งบาน!

ร่างเขาเร็วอย่างไฟฟ้า ดาบก็ยิ่งเหมือนลมกระโชกฝน ดาบที่ฟันลงมามีเงาของดาบ ดูท่าอะไรชัดเลย

“โอ๊ย!มือของฉัน!”

“ไว้ชีวิตฉันเถอะ!”

ปังปัง แต่ละคนที่เริ่มยิงปืน แค่พริบตาหลินอิ่งก็ไปอยู่ข้างๆ ก็ฟันดาบลงมือข้างที่จับปืน มือในปืนของพวกเขาตกลงมาที่พื้นหมด และในมือเลือดก็ไหลออกมา เจ็บจนร้องออกมาและล้มลงพื้น

เห็นภาพนี้ ทุกคนที่อยู่สายตาก็เต็มไปด้วยตกตะลึง

ดาบเร็วและน่ากลัวมาก……!

นี่ผลกระทบที่เห็นและตกตะลึง เว่อร์ยิ่งกว่าในหนังอีก

ไม่ถึงสามนาที

บอดี้การ์ดที่สวีถันโจวพามาคุมร้านอาหาร ก็ล้มลงไปกับพื้น แต่ละคนร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ร้องอย่างเจ็บปวด!

ทุกคนที่มองหลินอิ่งเต็มด้วยความประหลาดใจ!

มันเหลือเชื่อจริง หลังจากหลินอิ่งถือดาบ ก็แข็งแกร่งอย่างกับไม่ใช่คน ก็เหมือนกับยมทูตที่ถือดาบมาเก็บวิญญาณ!

“เขาเก่งขนาดนี้……”สายตาจ้าวหลินเอ๋อร์เต็มไปด้วยความตะลึงจ้องหลินอิ่งไม่ปล่อย

เวลานี้ ในใจเธอเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ที่หลินอิ่งบอกให้เธอพาคนของเธอออกไป ไม่ใช่ว่าเก๊กหล่อ

แต่คือ หลินอิ่งคนเดียวก็สามารถจัดการคนตรงนี้ได้!ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ!

ลูกน้องที่เป็นนักยิงสิบกว่าคนของสวีถันโจว ต่อให้จะธรรมดาแค่ไหน แต่ อยู่ตรงหน้าหลินอิ่งเป็นไม่สามารถทำอะไรได้อย่างไก่หมา!

น่าขำ เมื่อกี้ตัวเองคิดว่าหลินอิ่งแกล้งทำเป็นใจเย็น ทำเหมือนกับเก๋ามาก

จ้าวหลินเอ๋อร์ในใจตื่นเต้น รู้สึกว่า นี่แหละ คือผู้ชายที่จ้าวหลินเอ๋อร์อย่างเธอเลือก มันยากที่จะบรรยายออกมามันยิ่งใหญ่มาก!

ผู้ชายคนนี้ ก็คือปีศาจ!

ขณะเดียวกัน นิ่งจองอู่กับนิ่งเฟิงเยว่พ่อลูก สายตาที่มองหลินอิ่งพูดได้ว่าเหมือนก็เทพพระเจ้า

ในใจทั้งสองเข้าใจแล้ว นายท่านของตัวเองนิ่งไท่จี๋ เมื่อเกษียณ รอยยิ้มโล่งใจนั้นหมายความว่าอะไร!ทำไมนายท่านถึงที่เป็นคนใหญ่คนโตในประเทศหลุง ถึงพูด“ผู้อาวุโสหลินอยู่จะช่วยมูลนิธิห้าสิบปี”คำพูดแบบนี้ออกมา

สายตานายท่าน มันดีจริงๆ!

มีหลินอิ่งที่เหมือนเทพอยู่ ตระกูลนิ่ง จะมีพลังมังกรจริง ไม่ต้องกังวลอะไร!

แต่จางฉีโมมองหลินอิ่ง สายตาดีใจ จริงสิ เพียงแค่มีหลินอิ่งอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายหรืออุบัติเหตุ

หลินอิ่ง เหมือนกับคนในฝัน พาเธอไปในโลกแห่งความฝัน!

หลินอิ่งสายตาเย็นๆ ถือดาบที่มีคราบเลือดไว้ เดินช้าๆไปทางสวีถันกับเผียวซิ่วชวน

“อย่า!อย่าเข้ามา!”

เผียวซิ่วชวนที่เห็นร่างของหลินอิ่งก็เหมือนเห็นปีศาจ ดวงตาที่เปิดกว้าง เสียงล้มลงกับพื้น ร่างกายที่สั่นไม่หยุด

น่ากลัวจริงๆ!หลินอิ่งที่เห็นความกดดันของเผียวซิ่วชวนเหมือนจะสติแตกไม่ไหว!

“ไว้ชีวิตเถอะ!ประธานหลิน!”

สวีถันโจวกับโม่เฟยกลัวจนเหงื่อแตกรีบคุกเข่าอ้อนวอนจนจะตาย

ก็หลินอิ่งแสดงความแข็งแกร่งออก มาเหมือนกับหุ่นยนต์!โหดเหี้ยมบางทีอาจจะฟันพวกเขาลงมา

สวีถันโจวคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวลง ใบหน้าขาวซีด ในใจเต็มไปความเสียใจที่หลัง น่าจะไม่มาช่วยคุณชายชีซิงกรุ๊ป ทีนี้ไม่รู้ว่า ได้ไปมีเรื่องกับพระเจ้าอะไรเนี่ย!

จ้าวหลินเอ๋อร์รู้สึกพอใจมาก ตัวเองครั้งนี้มาได้ตรงเวลามาก!

ครั้งนี้ ฉีหยิ่นจะต้องรู้สึกขอบคุณเขามาก ถือว่าเป็นหนี้บุญคุณเลย!

ได้ยินว่าบังเอิญครั้งนี้ เพราะว่าฉีหยิ่นไปมีเรื่องกับคุณชายของชีซิง?

จ้าวหลินเอ๋อร์เหลือบตามองจางฉีโม่และมองนิ่งเฟิงเยว่กับนิ่งจองอู่ ในใจประมาท เหมือนฉีหยิ่นจะไปยุ่งกับคนสวยของตระกูลนิ่งอีกแล้ว บางทีอาจเป็นผู้หญิงคนนี้ทำให้มีเรื่อง

ยังจะเสแสร้งว่าตรงหน้าตัวเองว่าทุ่มเทกับจางฉีโม่แค่ไหน เหี้ยจริงๆ

“ตอนนี้พาคนของเธอออกไปได้แล้ว”หลินอิ่งพูดน้ำเสียงนิ่ง

“เชอะ”จ้าวหลินเอ๋อร์หงุดหงิดจนคันฟัน ไม่ชอบท่าทางนี้ของหลินอิ่ง ตอนนี้เวลาอะไร ยังจะทำหน้าเท่อีก?

แต่ว่า ฉีหยิ่นอาจจะเขินมั้ง ครั้งก่อนเย็นชาใส่ตัวเองขนาดไหน ครั้งนี้จะต้องยอมรับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แม้ว่าปากเขาไม่พูดในใจก็น่าจะรู้ ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์แอบดีใจ เป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อน รู้สึกว่าตัวเองจะอ่านความในใจฉีหยิ่นออก

คิดแล้ว มุมปากเธอก็ยิ้มขึ้น ใช้สายตายั่วยุมองจางฉีโม่ สีหน้าจางฉีโม่หน้านิ่ง ตอบกลับด้วยสายตาเย็นชา

“ทำไม?คุณหนูจ้าว คุณรู้จักหลินอิ่งหรอ?”สวีถันโจวถามด้วยสีหน้าสับสน

มันชัดมาก ท่าทางแบบนี้ คุณหนูตระกูลจ้าวกับหลินอิ่งนี้ จะมีความสนิทกัน เหมือนว่า คุณหนูจ้าวยังมาช่วยเขาด้วยเฉพาะ?

ไม่ใช่สวีถันโจวคนเดียว นิ่งจองอู่สองพ่อลูกก็รู้สับสน คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสหลินกับคุณหนูตระกูลจ้าวจะสนิทกัน แต่ว่า นี่ก็ถึงว่าปกติ ความสามารถของผู้อาวุโสหลินอยู่ไว้นั้นเพื่อนที่อยู่ข้างๆก็ไม่ใช่คนธรรมดา

เผียวซิ่วชวนเห็นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์นี้ ในใจลนมาก เหมือนมดที่อยู่ในเตาร้อน

“คุณคือคุณหนูตระกูลจ้าว จ้าวหลินเอ๋อร์?ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว”เผียวซิ่วชวนสีหน้าจริงจัง พูดอย่างเกรงใจ “ผมคือเผียวซิ่วชวนจากชีซิงกรุ๊ปครับ ยังเคยไปเยี่ยมตระกูลจ้าว เรื่องครั้งนี้พ่อผมออกหน้าให้แล้ว ขอให้ ตระกูลจ้าวอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้”

“ผมเผียวซิ่วชวน วันนี้จะไม่ยอมปล่อยคนแซ่หลินไป!”เผียวซิ่วชวนพูดอย่างเย็นชา

ฟังคำพูดนี้เสร็จจ้าวหลินเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วขึ้น

เผียวซิ่วชวนพูดประโยคนี้ก็คือประโยคขู่

เห้อ ทำให้คนปวดหัวจริงๆฉีหยิ่นหาเรื่องเก่งจริงๆ คุณชายชีซิงกรุ๊ปโดนเขาต่อยจนเหมือนผีในสภาพนี้ ต่อยแรงจริงๆเลย

แต่ว่า มีแค่ผู้ชายที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะคู่ควรเธอจ้าวหลินเอ๋อร์

จ้าวหลินเอ๋อร์คิดในใจแป๊บหนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “เผียวซิ่วชวน หลินอิ่งคือแขกสำคัญของตระกูลจ้าว คืนนี้ฉันจะพาเขากลับตระกูลจ้าว พวกบาดหมากระหว่างพวกนาย ค่อยพูดทีหลัง นายวางใจได้ หลินอิ่งอยู่บ้านจ้าวตลอด นายมาบ้านจ้าวมาหาเขาได้ตลอดเวลา”

เพราะว่าคุณชายสี่ตระกูลสวีอยู่ด้วย จ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ได้บอกตัวตนจนทีแท้จริงของฉีหยิ่นไป แบบนั้นมันอันตรายไป

ยังไง ฉีหยิ่นก็ระเบิดชามสมบัติของตระกูลสวีไป ถ้าพูดออกไป เรื่องจะยิ่งแย่ไป

“ขอโทษจริงๆ วันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนหน้าไหนก็ไม่ได้”เผียวซิ่วชวนพูดอย่างแค้น“ตระกูลจ้าวก็ปกป้องมันไม่ได้!ฉันพูดกับคุณแล้ว พ่อฉันช่วยออกหน้าแล้ว!”

จ้าวหลินเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองเผียวซิ่วชวนพูด “เผียวซิ่วชวน ที่นี้คือตี้จิง ไม่ใช่ประเทศเกาหลีของพวกนาย นายอย่าเอาตัวเองจุดศูนย์กลางหน่อยเลย!คิดว่าเป็นคุณชายชีซิ่วเก่งมากหรอ?”

สวีถันโจวกับโม่เฟยมองหน้ากัน คิดผลดีผลชั่วอยู่

“หึ!”เผียวซิ่วชวนหึออกมาอย่างเย็นชา มีความหยิ่งของตัวเอง พูดอย่างเสียงต่ำ“พี่สวี ช่วยฉันพาหลินอิ่งไป ผมแบ่งโครงการที่ทำเงินให้คุณ อีกอย่าง ขอให้คุณโทรหาตระกูลสวีสวีไป๋เห้อขอให้เขามาออกหน้าหน่อย!”

“วางใจ คุณชายเผียวเรื่องคืนนี้ จะให้อธิบายกับคุณแน่นอน!”สวีถันโจวตบอกตัวเองพูด

“โอ๊ย?”จ้าวหลินเอ๋อร์มองสวีถันโจวด้วยใบหน้าตกใจ“สวีถันโจว นายกินใจเสือใจหมีไปใช่ไหม?กล้าทำฉันขายหน้า”

“ขอโทษจริงๆ คุณหนูจ้าว คืนนี้คงให้หน้าคุณไม่ได้จริงๆ”สวีถันโจวพูดอย่างใจกล้า“คุณพาบอดี้การ์ดออกจากที่นี้ดีที่สุด เรื่องคืนนี้ เดี๋ยวพี่ใหญ่ของผมก็จะพาคนมา ท่านประธานชีซิงโทรหาพี่ใหญ่ผมด้วยตัวเอง!”

จ้าวหลินเอ๋อร์พวกเขามีเรื่องด้วยไม่ได้ แต่ หลังจากรู้แล้วว่าหลินอิ่งกับจ้าวหลินเอ๋อร์เป็นเพื่อนกันธรรมดาพวกเขาก็ไม่กลัวแล้ว

เพราะว่า พวกเขากับจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ได้ขัดแย้งโดยตรง แต่กลับตรงไปทางหลินอิ่ง

แต่ทางหลินชิ่งชวนแม้แต่ท่านประธานชีซิงก็ออกหน้าเอง ประธานชีซิงโกรธมาก!

น้ำหนักจ้าวหลินเอ๋อร์กับประธานชีซิง จะเบาก็ว่าเบาจะหนักก็หนัก เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งอย่าพูด ช่วยชีซิงกรุ๊ป มีแต่เรื่องดี!จะไปมีเรื่องกับจ้าวหลินเอ๋อร์เพื่ออะไร

“สวีถันโจว นายเชื่อมั้ย ตอนนี้ฉันจะคนยิงนายตายตอนนี้!”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างโกรธ

“คุณหนูจ้าว พวกผมกับคุณไม่ได้มีเรื่องบาดหมาดกัน คุณนี่คิดจะทำอะไร?”โม่เฟยพูดอย่างอ่อนๆ“ลูกน้องของผม คุมถนนสายนี้หมดแล้ว คุณอย่ามาทำแบบนี้”

“พวกเรารู้จักคุณหนูจ้าว แต่ขอโทษที ลูกน้องของผม ไม่ได้รู้จักคุณ”โม่เฟยพูดอย่างเสียงต่ำ“ก็กลัวปืนดาบไม่มีตา คุณหนูอาจจะบาดเจ็บได้ ขอให้คุณไปที่อื่น”

สีหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์นิ่งไป นึกไม่ถึง คุณชายสี่ตระกูลสวีจะไม่ให้นายเธอขนาดนี้

เพราะว่ากังวหลินอิ่ง จ้าวหลินเอ๋อร์ก็พาทีมบอดี้การ์ดส่วนตัวมา หกเจ็ดคนบุกเข้ามาหอตี้เจียง และคนตระกูลจากข้างนอกกลัวตระกูลจ้าว เลยเปิดทางให้

แต่วันนี้คุณชายสี่ตระกูลสวีไม่ยอมก้มหัว ตัวเองจะไปได้ตลอดแต่อยากจะพาหลินอิ่งไปด้วยมันยากจริงๆเลย!

ฉีหยิ่นนี่ อยู่เขตจงเทียนดีๆใครกล้าทำเขา?ไม่มีเรื่องทำมาจีบสาวในเขตตี้เจียง ยังโดนคนของตระกูลสวีจับอีก ได้ยินว่าพี่ใหญ่ของตระกูลสวีจะพาคนมาแล้ว?ทีนี้งานยากแล้ว!

จ้าวหลินเอ๋อร์รีบร้อนมาก ในใจคิดแต่หลินอิ่ง

“สวีถันโจว!เรื่องนี้ฉันยุ่งแล้ว!”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยเสียงเย็นชา“วันนี้ใครก็ห้ามพาหลินอิ่งไป!”

พูดเสร็จ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็คุยโทรศัพท์ต่อหน้าพูด “พ่อ ให้พ่อบ้านพาคนมา หนูอยู่เขตตี้เจียงมีเรื่องนิดหน่อยอยู่หอตี้เจียง……”

เห็นจ้าวหลินเอ๋อร์ปกป้องหลินอิ่งขนาดนี้สวีถันโจวกับหลายคนก็สีหน้ากลัวไป

พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าคนแซ่หลินมีความสามารถอะไร!ทำให้คุณหนูจ้าวถึงปกป้องได้ขนาดนี้ให้พ่อของเธอผู้นำของตระกูลจ้าวออกมาช่วย!

“พวกนายคิดว่าคนเยอะแล้วเก่งมาก?ได้เลย คนของตระกูลจ้าวเดี๋ยวก็จะมาแล้ว”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ

“คุณหนูจ้าว คุณทำแบบนี้ ไม่เหมาะเท่าไหร่!”สวีถันโจวพูดด้วยสีหน้านิ่ง

“พาคุณหนูจ้าวไปหนึ่งอีกฝ่ายก่อน เอาหลินอิ่งคนนี้มา!”สวีถันโจวพูดสั่งด้วยคำเย็นชา

เขาควบคุมอะไรมากไม่ได้แล้วจัดการเหลินอิ่งก่อน ยังไงพวกเขาก็จะจัดการหลินอิ่งคนนี้ แค่ไม่ต้องให้จ้าวหลินเอ๋อร์บาดเจ็บก็พอ ถึงตอนนั้นตระกูลจ้าวก็พูดไรไม่ได้?

โครม ทีนี้ ลูกน้องสวีถันโจวสามสิบกว่าคนก็หยิบปืนเล็งที่หลินอิ่งอีกครั้ง ยังมีอีกยี่สิบกว่าคนที่มีคนเดินเข้ามากอย่างช้าๆ

ปัง!

ก็ตอนนี้มีเสียงปืนดังมาจากข้างนอกหอตี้เจียง!

“นี่?มันอะไรกัน ยิงแล้ว?”สวีถันโจวพูดอย่างตกใจ หลังจากได้ยินเสียงปืนทุกคนในนี้ก็สีหน้าตกใจกันหมด

จู่ๆ ข้างนอกประตูก็มีบอดี้การ์ดวิ่งเข้ามา หอบหายใจอย่างหนัก รายงานต่อหน้าสวีถันโจว

“ไม่ดีแล้วครับ ท่านเจ้าบ้านสี่!มีพวกหนึ่งฆ่าคนเข้ามา มาประมาณยี่สิบกว่าคน มาถึงก็ฆ่าคนที่ข้างนอกหมด ตอนนี้กำลังเดินขึ้นหอมา ไม่รู้ว่าพวกเขาคือคนที่ไหน ฟังพวกเขาพูด คือมาหาประธานหลินของพวกเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร?”

ภาพนี้ ทำให้สวีถันโจวมองหลินอิ่งด้วยความตกใจและอึ่ง

ยี่สิบกว่าคนพวกนี้คือทหารรับจ้างที่สู้ออกจากสงครามตะวันออกกลาง เป็นคนชั้นยอดและยังได้จัดระเบียบทีมใหม่ด้วยและร่วมงานกันได้อย่างรู้ใจกัน

แต่กลับโดนหลินอิ่งต่อยสองสามทีก็ล้มแล้ว?คนนี้ไม่ง่ายจริงๆเลย

“ให้ตายสิ มันเป็นสองครั้งแล้วจริงๆ”โม่เฟยตะคอกด่าและจ้องหลินอิ่งอย่างดุเดือด และดีดนิ้ว “ถ้านายกล้าสู้กลับ ฉันจะตีนายให้เป็นตะแกรงเลย!”

พูดเสร็จ บอดี้การ์ดชุดดำสองแถว ก็เอาปัดนกอินทรีทะเลทรายออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างพร้อมเพรียงกัน ปากกระบอกปืนถูกเล็งไปที่หลินอิ่งคนเดียว

“เหอะ ฉันยอมรับว่านายมีความสามารถมาก ดีมากดีมาก”สวีถันโจวมองหลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขี้เล่นและพูด“แล้วมีประโยชน์อะไร?นายเปลี่ยนแปลงอะไรได้?นายรู้มั้ยว่าฉันพาคนมาเท่าไหร่?พกปืนมากี่กระบอก?”

สวีถันโจวท่าทางเหมือนคนคุมเกมทุกหมด พูดอย่างช้าๆและยืดนิ้วสองนิ้วออกมา

“รถห้าสิบคัน คนสองร้อยกว่าคน!เป็นทหารชั้นยอดจากต่างประเทศทั้งหมด คุมปอตี้เจียงแม้แต่น้ำก็ไหลออกไปไม่ได้ ถนนใกล้ๆนี้ก็ถูกกวาดล้างแล้ว”

“คนแซ่หลิน ฉันไม่รู้จริงๆ นายจะต่อต้านอะไรอีก”สวีถันโจวพูดอย่างอ่อนๆ “รีบคุกเข่าเร็ว ขอโทษคุณชายเผียวก่อน”

โม่เฟยยิ้มอย่างได้ใจ พูดอย่างได้ใจ “ถนนแถวนี้คือที่ของฉัน นายว่านายจะทำไรได้อีก?ฉันนับถึงสาม รีบคุกเข่าลง และสามวิฉันจะยิงขานาย!”

สายตาหลินอิ่งนิ่งเฉย เหมือนกับตรงหน้าไม่ใช้นักยิงชั้นยอดแต่คือฝูงหมดที่ร้องมั่ว

“พวกฝูงกา”หลินอิ่งเอามือสองข้างไว้ด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สายตากลับเต็มไปด้วยความอยากฆ่า

คนของสวีคนของสวีถันโจวกล้ายิง เขาไม่ติดอะไร ให้ฉากเต็มไปด้วยเลือดของตระกูลนิ่งกลับมาแสดงอีกครั้ง!

“มีความกล้ามาก!ยังไม่ยอดแพ้?”สวีถันโจพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“ฉันนับแค่ถึงสาม!”

“สาม!”

“สอง!”

สวีถันโจวนับด้วยเสียงเยือกเย็น บอดี้การ์ดชุดข้างเขาก็จับปืนอย่างแน่นสีหน้าเย็นชาพร้อมยิงตลอดเวลา

“หลินอิ่งไอ้คนเหี้ย ทีนี้นายตายแน่!”สีหน้าได้ใจและสายตาเยือกเย็นของเผียวซิ่วชวนพูดว่า

เขารอไม่ไหวแล้วที่จะเห็นภาพที่หลินอิ่งถูกตีขาจนเลือดกระจายและคุกเข่าลงพื้น

“หนึ่ง!ให้ฉันยิง……”

“สวีถันโจว รีบเรียกคนของนายให้วางปืนลง!และยกปืนขึ้นอีกครั้งฉันตีมันตายก่อน!”

จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงหงุดหงิดไม่พอใจดังเข้ามา ทำให้สวีถันโจวกลัวจนตัวสั่น จนไม่กล้าสั่งลูกน้องยิง

สวีถัโจวหันหน้าไปด้วยสีหน้าสงสัยเห็นเพียงใบหน้าสวยและกระโปรงม่วงสุดเท่ พาบอดี้การ์ดสาวสองคนบุกเข้ามาจากประตู

และสองสาวบอดี้การ์ด แต่ละคนถือปืนไรเฟิลซุ่มยิง ปืนเล็งไว้ที่เขา

“นี่!”

ปืนไรเฟิลรังสีไฟสีแดงถูกเล็งไว้ที่หน้าผากเขา ทำให้กลัวจนหน้าซีด และรีบชูมือขึ้นทั้งสองมือ

“อย่าอย่าอย่า!อย่ายิงปืน!”สวีถันโจวพูดอย่างเร็ว กลัวจนจะตาย

“คุณหนูจ้าว อย่าทำแบบนี้!”โม่เฟยพูดด้วยความกลัว ก็โดนปืนไรเฟิลเล็งไว้เหมือนกันและรีบชูมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างเร็ว

สวีถันโจวทั้งสองรู้ว่าผู้หญิงที่บุกเข้ามาคือใคร คุณหนูของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง จ้าวหลินเอ๋อร์

สมองพวกเขาสับสนไปหมด ทำไมตระกูลจ้าวถึงมายุ่งเรื่องนี้?และยังให้คนที่นายท่านจ้าวรักและเอ็นดูที่สุดช่วย?

“สวีถันโจว เรียกคนของนายวางปืนลงทั้งหมด”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ครับ ครับ คุณหนูจ้าว คุณต้องระวังหน่อย อย่าพลาดยิง”สวีถันโจวพูดด้วยสีหน้าประหม่าตะคอกใส่ลูกน้องตัวเอง“ยังไม่วางปืนลงอีก?”

โครม พวกบอดี้การ์ดชุดดำวางปืนลง

ถ้าเปลี่ยนคนอื่นมาตำหนิเขาสวีถันโจว เขาอาจจะทนไม่ได้

แต่นี่คือจ้าวหลินเอ๋อร์ มีเรื่องไม่ได้จริงๆ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้ให้บอดี้การ์ดยิงปืนฆ่าตัวเองพ่อของตัวเองก็หาเรื่องอีกฝ่ายไม่ได้

ในตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง จ้าวหลินเอ๋อร์คืออัญมณีในมือของนายท่านจ้าวและรักมากอีกอย่างพ่อของจ้าวหลินเอ๋อร์ยังเป็นคนคุมอำนาจในตระกูลจ้าว ขนาดพี่ชายจ้าวหลินเอ๋อร์ยังเป็นผู้มีอำนาจแห่งตี้จิง

พูดได้เลยว่า

ทั้งครอบครัวของจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่มีใครสักคนที่สวีถันโจวจะมีเรื่องได้

“คุณหนูจ้าว ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้?เหมือนว่าผมกับโม่เฟยจะไม่ได้ทำให้คุณโกรธ?มาถึงก็เอาปืนมาเล็งที่พวกผมแบบนี้ไม่ดีมั้ง?”หลังจากสวีถันโจวทำใจสงบลงถามด้วยใบหน้ายิ้ม

สวีถันโจงไม่สับสนและไม่เข้าใจ จ้าวหลินเอ๋อร์มาเพราะอะไร เขาคิดแล้วคิดอีก ไม่เคยไปมีเรื่องกับคนตระกูลจ้าวเลย?

จ้าวหลินเอ๋อร์ไม่สนใจสวีถันโจว มองหลินอิ่งด้วยใบหน้าหยิ่งและเดินเข้าไปอย่างช้าๆและยังเหลือบมองจางฉีโม่ด้วยสายตายั่วยุสีหน้าได้ใจ

“ประโยคขอบคุณก็พูดไม่เป็นหรอ?ถ้าไม่ใช่บอดี้การ์ดฉันแจ้งให้ฉันและฉันพาคนมา วันนี้นายก็จะตายอยู่นี้”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงต่ำข้างหูหลินอิ่ง

จ้าวหลินเอ๋อร์ให้ลูกน้องติดตามหลินอิ่งตลอด มักจะติดตามไม่ได้ในเขตจงเทียน

แต่วันนี้หลินอิ่งออกจากเขตจงเทียน ไปกินข้าวที่เขตตี้เจียง ในที่สุดก็ติดตามได้แล้ว

แต่นึกไม่ถึง ลูกน้องมาแจ้งว่าหลินอิ่งโดนคุณชายสี่ของตระกูลสวีคุมตัวไว้ในหอตี้เจียง เมื่อเธอรู้ก็พาคนไปมุ่งหน้าไป

แม้ว่าหลินอิ่งจะปฏิเสธจ้าวหลินเอ๋อร์หลายครั้ง

เธอก็เคยเรียกพี่ใหญ่กลับตี้เจียงกลับมาให้หลินอิ่งดูว่าแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไงหลินอิ่งก็คือผู้ชายคนเดียวที่เธอเลือก!

ผู้ชายของจ้าวหลินเอ๋อร์ มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รังแกได้ ไม่ให้คนอื่นรังแก!

“เธอคิดว่าพวกเขาสามารถทำฉันได้?”หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ

“เชอะ”จ้าวหลินเอ๋อร์ยิ้ม“ฉันรู้ คุณชายสี่ตระกูลสวีทำอะไรนายไม่ได้ หลินอิ่งมีความสามารถแค่ไหน บอกจะฆ่าตระกูลเหวินก็ฆ่าไปเลย ในตี้จิงใครไม่รู้บ้าง?”

“แต่นายก็ไม่คิด นายกับตระกูลสวีมีแค้นทางการทำธุรกิจหาเงิน ครั้งนี้นายยังไม่ระวังมาถึงถิ่นตระกูลสวีและยังโดนจับ แม้ว่านายจะรายงานชื่อ ตระกูลสวีจะยอมรับนายหรอ?บางทีอาจจะฆ่านาย!”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงต่ำ“ดีนะที่ฉันมาช่วยทัน ไม่งั้น นายจะปิดสถานการณ์นี้ได้หรอ?หรือนายเรีนกพวกหยูจื้อเฉิงมาช่วย ทำให้คุณชายสี่ตระกูลสวีรู้ว่านายคือฉีหยิ่น คงจะพาคนตระกูลมากำจัดนายภายในครั้งเดียว!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท