ตอนที่ 572 โดนจับได้แล้ว
“เซียวเย่ว์ ได้ยินคุณพูดขนาดนี้ ผมก็สบายใจมาก แต่ว่าถึงยังไงเขาก็เป็นเพื่อนของคุณ คุณพูดอย่างนี้ เขาจะเสียใจได้นะ”
“หึ” เซียวเย่ว์ทำเสียงพ่นลมหายใจ มีความเหยียดหยามอย่างบอกไม่ถูกอยู่ในนั้น “เขาต่างหากที่ไม่คู่ควรจะเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่มีเพื่อนแบบนี้หรอกค่ะ”
เหมือนว่าด้านหลังจะมีสิ่งของถูกพลิกคว่ำ เสียงดังสนั่นขึ้นมา
ไป๋จิ่งรู้สึกว่าความเดือดดาลของเปาเหวินซิงคงจะได้ที่แล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยกับเซียวเย่ว์ วางตัวกลางๆ พูดคุยสักประโยคสองประโยค
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็หาข้ออ้างจบอาหารมื้อนี้ล่วงหน้า
ทั้งสองคนเดินไปถึงที่หน้าประตู ไป๋จิ่งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษดึงประตูเปิดให้เซียวเย่ว์เดินออกไปก่อน ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตู ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “ขอโทษนะ ไปส่งคุณกลับไปไม่ได้”
เพราะอาหารมื้อนี้ เซียวเย่ว์จึงอารมณ์ดีมาก เธอรีบส่ายหัวทันที “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเที่ยงนี้นะคะ ฉันชอบมาก”
“คุณชอบก็ดีแล้ว”
เซียวเย่ว์โบกไม้โบกมือ “งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
ไป๋จิ่งยืนส่งเธออยู่ที่เดิม “เดินทางระวังด้วย”
หลังจากเซียวเย่ว์เดินออกไป ไป๋จิ่งเตรียมจะไปข้างๆ หาที่รอไมเคิล ดูสถานการณ์ทางนั้นของเปาเหวินซิง
เขาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป คนทั้งคนก็แข็งทื่อไปหมด
ไป๋จิ่งมองเห็นคนที่ยืนข้างหลังอย่างชัดเจนแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวราวกับพลัดตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง คนทั้งคนเย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้า
มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเย็นชา แม้จะเลือนรางบนใบหน้าก็ยังเห็นท่าทางเคร่งขรึมได้
เขากำมือแน่น ราวกับกดเก็บความเดือดดาลของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เวลาผ่านไปนานแล้ว เขามองไป๋จิ่งเอ่ยเน้นทีละคำ “เพื่อนที่นายต้องการเจอ…
…ก็คือเธอ!”
ประโยคสั้นๆ เขาพูดออกมาถึงสองครั้ง พูดประโยคนี้จบ มั่วไป๋รู้สึกว่าแรงทั้งหมดที่มีในร่างกายของตัวเองถูกดึงออกมาใช้จนหมดแล้ว
โดนมั่วไป๋ซัดด้วยคำพูดจังๆ แบบนี้ นี่เป็นภาพที่ไป๋จิ่งไม่เคยคิดมาก่อน
เดิมทีเขาอยากจะทำเรื่องนี้อย่างลับๆ ให้จบไป ไม่ให้มั่วไป๋รู้
แต่ตอนนี้มั่วไป๋ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ ไป๋จิ่งก็ไม่อยากหลอกเขา พยักหน้ารับตอบกลับด้วยความจริงใจ “อืม”
มั่วไป๋หัวใจเกร็งแน่น รูม่านตาหดตัวลงเล็กน้อย “เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไป๋จิ่งเอ่ยตอบ “ไม่กี่วันก่อนหน้านี้”
ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็หัวเราะเยาะ ไม่พูดสักคำแล้วหันหลังเดินจากไป
ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจ รีบคว้ามือมั่วไป๋ทันที “เดี๋ยวก่อน ผมอธิบายได้”
มั่วไป๋มองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเย็นชา แววตาแฝงความเย้ยหยัน “ไม่ต้องอธิบาย ฉันไม่อยากฟัง”
เขาพูดจบก็ดึงมือไป๋จิ่งออก ในการกระทำมีความรังเกียจอยู่ในนั้น
ซึมผ่านปลายนิ้วออกมาส่งต่อให้ไป๋จิ่งอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
ไป๋จิ่งโดนสะบัดมือออก เคว้งคว้างกลางอากาศสองรอบ มือแข็งทื่อแล้วตกลงข้างตัวทันทีหลังจากนั้น
มั่วไป๋ตัดสินใจหันหลังให้ไป๋จิ่ง ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับสายตาไป
……
มั่วไป๋ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานเท่าไหร่แล้ว เขาโบกเรียกรถสักคันแล้วนั่งรถออกไปจากตรงนั้น
เขามองไปยังนอกหน้าต่าง นัยน์ตาไม่ได้โฟกัสจุดไหนใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าเขาไม่จับได้ ไป๋จิ่งคิดจะปิดบังเขาไปอีกนานเท่าไหร่
เขารู้อยู่ทนโท่ว่าตัวเองเกลียดเซียวเย่ว์มากแค่ไหน ทำไมเขารู้ชัดเจนแล้วยังไปยุ่งเกี่ยวกับเซียวเย่ว์อีก
อุณหภูมิที่มือไป๋จิ่งยังคงเหลืออยู่ที่แขนมั่วไป๋ เขาถูออกโดยอัตโนมัติ รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนไม่เบา
ดังนั้นช่วงเวลานี้ไป๋จิ่งมาวนเวียนอยู่กับเขาไปด้วย ติดต่อเซียวเย่ว์ไปด้วย
‘สายที่โทรเข้ามาครั้งก่อนก็เป็นของเซียวเย่ว์สินะ จากนั้นที่ออกไปก็คือออกไปเจอเซียวเย่ว์สินะ’
มั่วไป๋รู้สึกว่ามันช่างน่าตลกไม่เบา พอนึกถึงตอนที่ไป๋จิ่งพูดคำพูดพวกนั้นอยู่ต่อหน้าตัวเอง หัวใจเขาก็บีบคั้นรัดตัวแน่นโดยไม่รู้ตัว เขายังหลงระเริงใจทำทุกอย่าง เพราะคำพูดของไป๋จิ่งอีกจนได้
‘เขาที่เป็นแบบนั้นดูเป็นตัวตลกที่สุดในสายตาไป๋จิ่งมากเลยใช่ไหม’
ตอนที่ 573 ช่างเถอะ ออกไป!
“เมื่อก่อนผมไม่เคยชอบคนอื่น ถ้า…ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือคุณ…
…ผมไม่ชอบเขา ผมชอบคุณ”
มั่วไป๋หลับตาลงด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน แท้จริงแล้วเมื่อเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว เขายังอ่อนกว่า
จู่ๆ มือถือที่วางอยู่ในมือก็สั่นขึ้นมากะทันหัน
มั่วไป๋ยกมือถือขึ้นมาดู คือเหยียนอวี้
“ยังไม่กลับมาเหรอ”
มั่วไป๋เก็บกดอารมณ์ในใจพลางเอ่ยเสียงต่ำ “จะกลับมาแล้ว”
“โอเค เดินทางระวังด้วย”
มั่วไป๋วางสาย เขามองดูมือถือ สุดท้ายก็เอื้อมมือไปเปิดกล่องข้อความ ข้างในทั้งหมดเป็นข้อความของไป๋จิ่ง
[คิดถึงคุณแล้ว]
[ไสหัวไป]
[อยากกอด]
[ไสหัวไป]
[อยากจูบ]
[ไสหัวไป]
……
มั่วไป๋ปวดที่ขมับขึ้นมา ปวดจนทำให้มั่วไป๋ถือมือถือไม่ค่อยอยู่ มือข้างหนึ่งเขากดที่หัวของตัวเอง มืออีกข้างกดลบข้อความทั้งหมด
เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาลบอดีตระหว่างเขากับไป๋จิ่งจนเกลี้ยง
ไป๋จิ่งตามกลับมาที่โรงพยาบาล มั่วไป๋กลับยังไม่กลับมา
เขายืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย เดินไปรอบห้อง ร้อนใจอยู่ในที เขาอดจะคาดเดาไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงยังไม่กลับมา คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่ไหม
ยิ่งคิด หัวใจยิ่งกระวนกระวาย
ไป๋จิ่งหยิบมือถือออกมาโทรหามั่วไป๋ แต่ปลายสายกลับติดต่อไม่ได้ ไป๋จิ่งโทรออกไปหลายครั้ง แต่ก็ติดต่อไม่ได้ทั้งสิ้น
เขาคาดเดาว่าตัวเองควรจะโดนมั่วไป๋แบนแล้ว
ไป๋จิ่งติดต่อมั่วไป๋ไม่ได้ จึงทำได้เพียงรออยู่ในห้อง ถึงอย่างไรมั่วไป๋ก็ไม่มีทางจะไม่กลับห้องพักผู้ป่วยได้
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง มั่วไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก สีหน้าค่อนข้างซีดขาวทีเดียว เมื่อเห็นไป๋จิ่ง สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เขากวาดสายตามองไป๋จิ่งแล้วเบนสายตาหนีทันที “ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นายออกไปก่อนเถอะ”
ไป๋จิ่งกำมือแน่น อยากจะอธิบาย “มั่วไป๋ ผมกับเซียวเย่ว์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
ได้ยิน ‘เซียวเย่ว์’ ชื่อนี้ มั่วไป๋สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ สั่นเทาเพียงน้อยนิด คนอื่นดูไม่ออกโดยสิ้นเชิง
แต่มั่วไป๋รู้ เขาได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ปฏิกิริยาตอบสนองภายใจ้จิตสำนึกของร่างกายยังคงกำจัดทิ้งไม่ไหว
เหมือนบาดแผลที่สลักอยู่ในใจตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะหายดีไปตั้งนานแล้ว แต่พอเอ่ยถึงขึ้นมาก็แอบเจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เขากำมือแน่น ไม่อยากให้ไป๋จิ่งรับรู้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองของเขา
มั่วไป๋สูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยเสียงต่ำ “ช่างเถอะ ออกไป!”
“ผมก็แค่เอาสิ่งที่เซียวเย่ว์ทำกับคุณในตอนนั้นคืนกลับไปให้เธอก็เท่านั้นเอง” ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยความร้อนรน “ทำผิดก็ควรได้รับการลงโทษไม่ใช่เหรอ”
มั่วไป๋ตะลึงงัน หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่ง ใบหน้าแฝงความประชดประชัน “แล้วนายล่ะ นายไม่จำเป็นต้องรับโทษเหรอ”
ไป๋จิ่งแข็งทื่ออยู่ที่เดิมเพียงชั่วพริบตาเดียว
‘ใช่สิ เขาไม่จำเป็นต้องรับโทษเหรอ’
ในใจของมั่วไป๋ เขากับเสี่ยวเย่ว์ไม่ต่างกัน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ทำร้ายเขาทั้งคู่
‘ในใจเขาคิดแต่จะให้เซียวเย่ว์ชดใช้ แต่เขาล่ะ เขาก็เป็นหนึ่งในเพชฌฆาต เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้เหรอ’
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว มั่วไป๋รู้ว่าเขาไม่ควรจะต่อล้อต่อเถียงกับไป๋จิ่งต่อไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือไปดึงประตูเปิด “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ออกไปเถอะ”
ไป๋จิ่งเองก็โต้แย้งกลับไม่ไหวต่อไปไม่ไหวแล้ว อ้าปากแต่พูดไม่ออกสักคำ
ภายใต้สายตาเย็นชาของมั่วไป๋ เขาได้ทำเพียงเดินทีละก้าวออกไปจากห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋
เขาเพิ่งจะเดินออกไป มั่วไป๋ก็ยื่นมือไปปิดประตูลงทันที
มั่วไป๋พิงประตูหลับตาหอบหายใจเล็กน้อย เขายกมือขึ้นมากดที่ขมับ เหมือนมีตรงไหนจะแตกแยกออกจากกัน เหมือนสมองทั้งก้อนจะระเบิดแตกตัวออกมา
เขาไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องข้างนอกแล้ว ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไถลลงมาตามประตูอย่างช้าๆ เขากอดเข่าเอาไว้ หลับตาอย่างไร้ที่พึ่งพา