ตอนนี้เองจูหลินเห็นตัวเองอีกคนเดินมาไกลๆ ข้างกายมีคนสองคน มองเห็นไม่ชัด แต่เดินไปพลางคุยไปพลาง ดูเธอมีความสุขมาก…
สองคนข้างกายเห็นใบหน้าเลือนรางมาก แต่ในความเลือนรางมีเอกลักษณ์เล็กน้อย จูหลินเรียนศิลปะ เลยชำนาญเรื่องการเก็บรายละเอียดมาก มองไม่กี่ทีก็ร่างหน้าตาคร่าวๆ ของคนออกมาได้
ตอนที่เธอเห็นอย่างละเอียดนั้น ภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ…
จูหลินรู้สึกแค่ว่าแสงตะวันแยงตาจึงใช้มือบังแสงโดยจิตใต้สำนึก จนปรับตัวได้แล้วถึงพบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว! หลวงจีนน้อยที่หันหลังให้แสงตะวัน แฝงไว้ด้วยความสิริมงคลและลึกลับหลายส่วนหายไปแบบนี้เลย!
จูหลินมองท่าเรืออยู่ไกลๆ พลางทอดถอนใจ เป็นผู้วิเศษจริงๆ ด้วย…เมื่อกี้เป็นภาพหลอนหรือความฝันกัน รู้สึกสมจริงมาก
จูหลินประนมสองมือไปทางไกลๆ ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะมาก จากนี้ถ้าเจอแบบนี้จะระวังอย่างแน่นอน
พูดจบจูหลินก็หมุนตัวเดินไป
ตอนนี้เองฟางเจิ้งอยู่ไหน? หายไปราวกับผู้วิเศษนอกโลกจริงๆ? แน่นอนว่าไม่ใช่…
ใครมันชั่วขนาดนี้ ฝาท่อล่ะ?! ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความกลัดกลุ้มมาก ไม่ผิด หลังใช้อภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างแล้ว เพื่อไม่ต้องอธิบายเรื่องยุ่งยากต่างๆ เลยคิดจะย่องหนีไป ทว่ารีบไปหน่อย ก้าวเท้ายาวตกลงไปในท่อน้ำ
ดีที่ท่อน้ำแห้ง ดูแล้วน่าจะทิ้งร้าง ส่วนเขามีจีวรขาวจันทร์ปกป้องเลยไม่ได้มีจุดจบเหม็นเน่าทั้งตัว
พอปีนขึ้นมาก็เห็นเงาแผ่นหลังจูหลินเดินไปไกลพอดี จึงส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วไปยังท่าเรือ
ขอโทษนะ ไม่มีที่แล้ว ท่านรอเรือลำต่อไปเถอะ ชายร่างกำยำขวางฟางเจิ้งไว้
ฟางเจิ้งมองเรือที่ยังมีที่ว่างพลางตอบกลับ อมิตาพุทธ โยม บนเรือก็ยังมีที่อยู่นี่?
ขอโทษ เรือพวกเรานั่งกันแค่นี้ ท่านรอลำต่อไปเถอะ ผู้ชายพูดจบก็กระโดดขึ้นเรือ ติดเครื่องยนต์แล่นไป
ฟางเจิ้งเหงื่อซึม นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทว่าเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ เล็กน้อย
ฟางเจิ้งรออยู่ครู่หนึ่งเรือลำต่อไปก็มาถึง แต่พอเขาจะขึ้นเรือก็ยังถูกขวางเอาไว้ สุดท้ายคนที่ขึ้นเรือพูดกับฟางเจิ้งตรงๆ ว่า เณร ท่านอย่าเสียแรงเปล่าเลย จะบอกให้นะ ท่านไปทำให้ใครไม่พอใจมาก เรือพวกเราไม่ต้อนรับท่าน ถ้าแน่จริงก็ว่ายน้ำไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็คิดเอาว่าจะแก้ปัญหายังไง
ฟางเจิ้งมึนงงกว่าเดิม ตลอดทางมานี้นอกจากโจรพวกนั้นแล้วก็ไม่ได้ล่วงเกินใครนี่?
คิดไปคิดมาก็นึกออกอยู่บ้าง ดูท่าเขาคงไม่มีทางนั่งเรือข้ามไปได้แล้ว จึงร้อนใจเล็กน้อย
ถึงพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิจะจัดวันมะรืน แต่วันนี้เป็นวันที่นักบวชจากวัดจำนวนมากรวมตัวกัน ถึงยังไงพิธีใหญ่ขนาดนี้รวมนักบวชจากวัดต่างกันมากมาย จึงต้องจัดเตรียมก่อนล่วงหน้าเป็นธรรมดา ตามกฎแล้ววัดที่ไม่มาในวันนี้จะถูกยกเลิกสิทธิ์เข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิ นี่ยังเบา ที่สำคัญคือวัดเมฆาขาวเชิญคุณด้วยตัวเอง แต่คุณไม่มา? นี่เรียกว่าตบหน้าวัดเมฆาขาวรึเปล่า? จะต้องเป็นการล่วงเกินอย่างแน่นอน วันข้างหน้าอย่าหวังจะได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวอีก
กระทั่งตอนที่วัดอื่นมีกิจกรรมอะไรก็จะไม่เชิญไปด้วย คนที่ไม่ให้เกียรติคนอื่นก็จงอยู่กับความกลัดกลุ้มไปเถอะ ดังนั้นแล้วถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้ ได้มีปัญญาตามมาไม่ขาดสายแน่!
ฟางเจิ้งร้อนใจเล็กน้อย เดินไปมาข้างแม่น้ำ ตรึกตรองว่าจะข้ามฟากไปยังไง…
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเป็นชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งดูดยาสูบอยู่บนตอไม้
ข้างๆ เป็นหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่ ยิ้มกล่าว ตู้เหล่า ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากนะ
หึ พวกทำพุทธศาสนาเสื่อมเสียคิดเหรอว่าจะได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิ?! วางใจเถอะอู้หมิง ไม่หลวงจีนนี่ว่ายน้ำมาก็ต้องดูอยู่ฝั่งตรงข้ามแหละ เรือแม่น้ำขาวให้เกียรติฉันอยู่บ้าง ถ้าฉันไม่บอกก็ไม่มีใครรับเขาหรอก! ตู้เหล่าเคาะยาสูบแล้วยิ้มเยาะ
อู้หมิงยิ้ม ถูก ตู้เหล่าทำแบบนี้มีคุณธรรมและบารมีสูง ส่วนฟางเจิ้งนั่น เฮ้อ…ไม่พูดถึงเขาแล้ว ในใจคงลนลาน เด็กดี ไม่ชะล้างร่างกายให้บริสุทธิ์แต่ดันออกบวช พวกลวงโลกจริงๆ…เฮ้อ…
อู้หมิง ท่านบอกว่าเขาหลอกสีกาแถมยังแอบวางเพลิงเพื่อให้คนเชื่อเขาด้วยนี่จริงไหม? ตู้เหล่ายังสงสัยเล็กน้อย
อู้หมิงตอบ ตู้เหล่า อาตมาไม่กล้าบอกว่าจริงหรือไม่จริงหรอก เพียงแค่ท้องถิ่นมีข่าวลือแว่วมานานแล้ว ต้นไม้ย่อมมีร่มเงา คนเราย่อมมีชื่อเสียง ต่างกันตรงไหน?
ตู้เหล่าพยักหน้า ก็ใช่ หลวงจีนนั่นฉันไม่คุ้นหน้าเลย แต่เจ้าหนูอย่างท่านใช้ได้
อู้หมิงกล่าว แน่นอน ตู้เหล่า อาตมาขึ้นเขาไปก่อนนะ ทางนี้ฝากท่านด้วย
ไปเถอะ เห็นว่าจะรวมกันที่ผามองภูมิลำเนา ท่านเห็นตรงนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรฉันจะไปหาท่าน ตู้เหล่ากล่าว
อู้หมิงดีใจใหญ่ รีบบอกลาไป
‘รวมที่ผามองภูมิลำเนาจริงๆ ฮ่าๆ…ดีมาก ร่วมพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิพลางได้เห็นเจ้าเด็กทึ่มยืนเหม่ออยู่ริมฝั่งแม่น้ำด้วย ฮ่าๆ…ประเสริฐๆ! ระบายความแค้นแล้วโว้ย!’ อู้หมิงดีใจ ฮัมเพลงเบาๆ พลางขึ้นเขาไป เขาเหมือนเห็นวัดเอกดรรชนีหงอยเหงา จากนั้นปิดวัด
อู้หมิงขึ้นเขามาก็เจอกับคนจากวัดต่างๆ พอสมควร เขากระซิบข้างหูหงเสียงว่า นายไปดูตรงตีนเขา อย่าให้เกิดความผิดพลาดเรื่องฟางเจิ้งอย่างเด็ดขาด
วางใจเถอะศิษย์พี่อู้หมิง ตู้เหล่าเป็นอาผมเอง รับรองว่าช่วยท่านจัดการได้แน่! พูดจบหงเสียงก็ลงเขาไป
หงเสียงลงเขามาแล้วนั่งข้างตู้เหล่า มองฟางเจิ้งอีกฟากของแม่น้ำที่วนไปวนมาไม่ไปไหน ก่อนหัวเราะเยาะในใจ ‘ไอ้หนู แกทำให้คนมาจุดธูปวัดพวกเราน้อยลง ฉันก็จะให้วัดแกเปิดต่อไปไม่ได้เหมือนกัน…หึๆ…’
ตอนนี้ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มจริงๆ แล้ว เรือไม่รับเขา จะข้ามแม่น้ำยังไง
ชั่วขณะที่กำลังจนตรอกนั้น ผิวน้ำพลันหมุนม้วนเกิดฟองอากาศ ฟางเจิ้งปิ๊งไอเดีย ยิ้มกล่าว มีสิ!
ฟางเจิ้งนั่งยองลงพูดข้างแม่น้ำ มีปลาไหม?
หงเสียงอีกฟากเห็นฟางเจิ้งพลันนั่งยองลงข้างแม่น้ำ พูดพึมพำบางอย่างจึงเกาหัว อา เจ้านั่นทำอะไร?
อาอะไร? ไม่ได้ตระหนักอะไรเลยใช่ไหม มิน่าวัดเมฆาขาวไม่รับแก จำเอาไว้ จากนี้เรียกฉันว่าโยม! แกบวชแล้วเข้าใจไหม? ตู้เหล่าต่อว่า
หงเสียงรีบเปลี่ยนคำ อมิตาพุทธ อาตมารู้แล้ว โยม ฟางเจิ้งนั่นกำลังทำอะไร?
ใครจะรู้ล่ะว่าทำอะไร พึมพำอยู่ข้างแม่น้ำ บ้าล่ะมั้ง… ตู้เหล่าไม่คิดอย่างนั้น
ตอนนี้เองตู้เหล่าตาตั้งตรง เขาเป็นชาวประมง ไม่เข้าใจอย่างอื่น ทว่าพายเรือ ดูน้ำ ดูปลาเขาชำนาญที่สุดแล้ว! เขามั่นใจมากว่าข้างหลวงจีนนั่นมีฝูงปลาอยู่!
‘ทำไมฝูงปลาถึงมารวมกันตรงท่าเรือตอนนี้? ท่าเรือไม่น่ามีปลาสิ…’ ตู้เหล่าสงสัย ส่วนจะเรียกคนไปตกปลา? วัดเมฆาขาวห้ามตกปลาในแม่น้ำขาว ปลาพวกนี้เลยไม่มีอันตราย
หงเสียงข้างๆ ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เห็นแค่ผิวน้ำเกิดฟองอากาศก็เลยแปลกใจเล็กน้อย
…………………………
สวัสดีค่ะหลวงพี่ฟางเจิ้ง ไปนั่งด้วยกันเถอะ แม่จูหลินมีใบหน้าเมตตา มองฟางเจิ้งยิ้มๆ
ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ ก่อนเดินเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกัน
เพราะความสัมพันธ์กับวัดเมฆาขาว หมู่บ้านเมฆาขาวเลยพัฒนาการท่องเที่ยวตามไปด้วย ชาวบ้านค่อนข้างร่ำรวย ทุกบ้านมีรถเล็กๆ แต่ละคนดูมีความสุข ขณะเดียวกันทุกครอบครัวล้วนมีของเกี่ยวกับพุทธศาสนาไม่มากก็น้อย จึงมีบรรยากาศของวัฒนธรรมเข้มข้นมาก
เพิ่งฉลองปีใหม่มา ยังไม่ได้เอาคำกลอนคู่และโคมไฟลง จึงยังออกเป็นสีแดงเพลิง
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าทำไมหวังโอ้วกุ้ยที่ได้ยินว่าวัดเมฆาขาวเชิญแล้วถึงดีใจขนาดนั้น ถ้าวัดเอกดรรชนีใหญ่โต จะมีแต่ประโยชน์ให้กับชาวบ้าน อย่างน้อยสำหรับหมู่บ้านเอกดรรชนีที่ยากจนแล้วก็เป็นลู่ทางที่ดีจริงๆ
บ้านจูหลินเป็นบ้านกว้างขวาง ข้างหลังมีลานบ้าน ตรงกลางมีบ้านมุงหลังคากระเบื้องสามห้อง บ้านช่องสะอาดสะอ้าน แสงไฟสว่างไสว
จูหลินพุ่งเข้าไปเร็วสุด มารดาจูหลินรีบตามเข้ามา ฟางเจิ้งถือสัมภาระเดินตามมาหลังสุด ได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ แม่จูหลินไม่ไหวจริงๆ นะ วันๆ ว่างไม่มีอะไรทำก็ไปเฝ้ายืนรอที่หน้าหมู่บ้าน พอรถมาก็เข้าไปดู วันนี้ลูกสาวก็กลับมาสักทีนะ…
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นในใจสั่นไหว มองมารดาจูหลินที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่เร็วนัก ในใจเกิดความอบอุ่น นี่คือความรักของแม่เหรอ?
ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้า นึกถึงภาพที่เขาปิดเทอมกลับภูเขาเอกดรรชนีตอนยังเด็ก ทุกครั้งหลวงจีนหนึ่งนิ้วจะยืนรอรับเขาตรงตีนเขาเหมือนรู้ว่าเขาจะกลับมา ตอนนั้นฟางเจิ้งยังคิดจริงๆ ว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วรู้อนาคต พระพุทธองค์เป็นคนบอกเขา ตอนนี้ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วน่าจะรอเขาตรงตีนเขาทุกวัน…
ไต้ซือ? เร็วหน่อย! มีของอร่อยๆ นะ! เสียงจูหลินดังแว่วมาไกลๆ ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ แล้วรีบเดินไปประคองมารดาจูหลินที่เหยียบบนไม้ตะบองแทบจะล้มลง
ขอบคุณค่ะ มารดาจูหลินกล่าว
ฟางเจิ้งส่ายหน้า อาตมาต่างหากที่ต้องขอบคุณโยม โยมทำให้อาตมารู้บางอย่างซึ่งอาตมาไม่เคยรู้มาก่อน
มารดาจูหลินมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย ฟางเจิ้งยิ้ม จูหลินอีกด้านก็เร่งรัด สองคนจึงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่รีบตามเข้าไป
มารดาจูหลินกับบิดาจูหลินเป็นคนซื่อตรง ไม่เก่งเรื่องการพูด จูหลินก็เหนื่อยแล้ว คุยกันไม่กี่ประโยคก็จัดให้ฟางเจิ้งไปนอนห้องข้างๆ
หนึ่งคืนผ่านไป วันที่สองฟ้าสาง ไก่ตัวผู้ยังไม่ทำงาน ฟางเจิ้งก็ตื่นนอนแล้ว
ฟางเจิ้งที่ชินกับการตื่นเช้าเพิ่งพบว่าไม่มีอุโบสถให้ทำความสะอาด เขาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนนั่งขัดสมาธิบนเตียง สวดมนต์
ตอนนี้เองจูหลินเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้าสงสัย ไต้ซือ รองเท้าท่านล่ะ?
จีวรขาวจันทร์ปกปิดเท้าได้ จูหลินเลยไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไม่สวมรองเท้า
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ อาตมาไม่เคยสวมรองเท้า ชินกับเท้าเปล่าแล้ว
เท้าเปล่า?! จูหลินเบิกตาโต หน้าตาดูเหลือเชื่อ
ฟางเจิ้งยิ้ม แปลกมากเหรอ? ก่อนหน้านี้โยม…
ชู่ว!… จูหลินรีบทำท่าทางให้เงียบ จากนั้นพูดเสียงเบา อย่าพูดเรื่องนี้ ถ้าแม่รู้เข้าตีฉันตายเลย ไต้ซือ ท่านไปวัดเมฆาขาววันนี้เหรอ?
ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ? ฟางเจิ้งถาม
ไม่มีอะไร แค่เสียดายน่ะ ฉันไปไม่ได้ ได้แค่ส่งท่านที่ท่าเรือ ถึงตอนนั้นแค่ขึ้นเรือก็ไม่มีปัญหาแล้ว จูหลินกล่าว
อ้อ แล้วต้องซื้อตั๋วไหม? ฟางเจิ้งกังวลเล็กน้อย เขามีเงินไม่มาก
นั่นเรือของวัดเมฆาขาวจะไปเก็บเงินได้ยังไง แต่ท่าเรือมีกล่องบริจาคนะ ถ้าจะทำบุญก็ใส่เงินไปนิดหน่อย ถ้าไม่อยากก็ขึ้นเรือได้เลย จูหลินอธิบาย จากนั้นจ้องฟางเจิ้ง ไต้ซือไม่สวมรองเท้าจริงๆ เหรอ?
ฟางเจิ้งลงมาบนพื้น อาตมาไม่สวมจริงๆ
จึ๊ๆ…เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ! จูหลินยกนิ้วโป้งให้
ฟางเจิ้งจะพูดบางอย่าง ทว่าหน้าเปลี่ยนสี! ภาพตรงหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง…มาอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกตา จูหลินรับโทรศัพท์เดินไปพลางพูดไปพลาง ‘จริงเหรอ?! ฉันได้ถ่ายหนังจริงๆ เหรอ? ดีเลยค่ะ แล้วสัมภาษณ์ที่ไหนคะ?’
ภาพเปลี่ยนไป เป็นพื้นที่เล็กๆ ชายคนหนึ่งรับจูหลินเข้าไปในตึก จากนั้นมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น ตามด้วยเสียงดังปังๆ ก่อนจูหลินจะกระโดดออกมาจากหน้าต่าง…
ภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ…
ไต้ซือ? ไต้ซือ?! จูหลินเห็นฟางเจิ้งเหม่อจึงถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งได้สติกลับมา แต่ในใจหนาวเยือก! แม้เนตรสวรรค์จะควบคุมเปิดปิดได้ตามอำเภอใจ แต่ฟางเจิ้งอยู่บนเขาตลอดจึงชินกับการเปิดตลอดเวลา ตลอดทางมานี้เขาเจอกับผู้คนไม่น้อย แต่ไม่เจอเรื่องที่ไม่ดีเลย ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นภัยนองเลือดกับตัวจูหลิน!
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ส่ายหน้าตอบกลับ ไม่มีอะไร เมื่อกี้อาตมาเหม่อน่ะ โยม เร็วๆ นี้มีเรื่องดีอะไรเข้ามารึเปล่า?
จูหลินส่ายหน้า ไม่นี่ มีแต่เรื่องแย่เป็นกอง ทำไมเหรอ?
ฟางเจิ้งตอบ ไม่มีอะไร โยม ในสัปดาห์นี้ถ้าเจอเรื่องดีเข้ามาอย่างกะทันหัน จะต้องคิดให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ! จำเอาไว้ๆ!
ไต้ซือหมายความว่าไงคะ? พูดให้ชัดๆ หน่อยสิ? จูหลินเห็นฟางเจิ้งทำหน้าเคร่งขรึมเลยถามต่อ
ฟางเจิ้งก็อยากพูดเหมือนกัน แต่จะเปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ บางคำแค่ชี้แนะก็พอ พูดมากไปจะเป็นปัญหา
ฟางเจิ้งตรึกตรองแล้วก็ส่ายหน้าไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เองมารดาจูหลินเรียกทุกคนกินข้าว จูหลินจึงไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่คิดอยู่ตลอดว่าคำพูดฟางเจิ้งหมายความว่ายังไงกันแน่ ฟางเจิ้งเป็นหลวงจีนธรรมดา? แน่นอนจูหลินไม่คิดแบบนั้น เธอเคยเห็นความสามารถของฟางเจิ้งมาแล้ว ใช้มือบิดมีดได้ย่อมเป็นคนเหนือมนุษย์ จูหลินที่ได้รับผลกระทบจากโลกอินเทอร์เน็ตมาเยอะจึงมองว่าฟางเจิ้งเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรือไม่ก็ยอดมนุษย์ไปแล้ว
ฉะนั้นแม้ฟางเจิ้งจะเอ่ยมาแค่นี้ แต่เธอกลับเก็บไว้ในใจ
กินข้าวแล้วจูหลินก็ส่งฟางเจิ้งไปท่าเรือ พอถึงท่าเรือจูหลินกล่าวขึ้น ไต้ซือ ข้างหน้านี่เป็นท่าเรือแล้ว ขึ้นเรือไปกับทุกคนก็พอ อีกสองวันจะเริ่มพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ฉันก็จะไปเหมือนกัน ถึงตอนนั้นไลฟ์สดจะเชิญท่านมาออกกล้องด้วยนะ
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ อมิตาพุทธ ถึงตอนนั้นแล้วเจอกัน โยม ก่อนไปอาตมาจะให้ภาพโยม ถ้าเจอจะต้องระวังนะ
ภาพ? ภาพอะไรคะ? จูหลินมองฟางเจิ้งอย่างงุนงง
ฟางเจิ้งหันหลังให้แสงตะวัน แสงแดดอาบไล้บนตัวเขา มีความเป็นสิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาหลายส่วน ตอนนี้เอง
อมิตาพุทธ!
โลกตรงหน้าจูหลินแตกดังโครม ต่อมาเธอมาอยู่กลางเมืองเฮยซาน! จูหลินมองไปรอบๆ พลางร้องด้วยความตกใจ นี่เป็นไปได้ยังไง? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?
จูหลินทั้งคุ้นเคยและแปลกตากับที่นี่ ที่แปลกตาก็เพราะไม่เคยมาที่นี่ และที่คุ้นเคยก็เพราะเคยเห็นในโทรทัศน์กับอินเทอร์เน็ต นี่คือเขตเล็กชนชั้นสูง
…………………………
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก คนขับรถทำถึงขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วจริงๆ จึงไม่ได้พูดอะไร
ดีที่หลังทุกคนตรวจทรัพย์สินของตนแล้วไม่มีอะไรหายเลยวางใจ ก่อนทุกคนจะสนทนากันว่าทำไมโจรพวกนั้นยังไม่ได้อะไรก็หนีไป? ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่มีใครรู้เรื่องมีดเป็นขนมหมาฮวา
คึกคักแบบนี้ไป คนที่หลับก็ไม่กล้าหลับแล้ว ต่างเบิกตาโต พอไม่มีอะไรทำก็เริ่มคุยโม้ไปเรื่อยเปื่อย คึกคักตลอดทาง
ยามเย็น ในที่สุดรถก็มาถึงพื้นที่อำเภอไป๋อวิ๋น จากอำเภอไป๋อวิ๋นไปนี้ง่ายแล้ว มีรถไปโดยเฉพาะ
ฟางเจิ้งลงรถก็งงเล็กน้อย เขาไม่รู้เลยว่าควรจะไปยังไงต่อ
ตอนนี้เองมีเสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง
ไต้ซือจะไปไหนคะ? วัดเมฆาขาวเหรอ?
ฟางเจิ้งหันไปมองก็เห็นจูหลินแบกกระเป๋าเล็กสีดำข้างหลัง สวมที่ครอบหูขนสัตว์สีชมพูยิ้มมองเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้สวมกางเกงขายาวแล้ว ดูน่าจะอบอุ่นมาก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็หัวเราะในใจ ‘ที่แท้เธอก็กลัวหนาวนี่…’ แต่เอ่ยไปว่า อมิตาพุทธ อาตมาจะไปวัดเมฆาขาว อุบาสิกามีอะไรรึเปล่า?
บังเอิญจัง ถ้าไปวัดเมฆาขาวต้องไปท่าเรือเมฆาขาวก่อน ท่าเรือเมฆาขาวเป็นบ้านเกิดฉันเอง ฉันก็จะไปเหมือนกัน ไปด้วยกันไหมคะ? จูหลินถาม
อ๋อ ขอบคุณอุบาสิกามาก อาตมาไปเองดีกว่า ฟางเจิ้งรู้สึกว่าจูหลินพึ่งพาไม่ได้ วันๆ เอาแต่เล่น มองยังไงก็ไม่เหมือนเป็นห่วงเขา ผู้หญิงคิดไม่ซื่อแบบนี้ควรรักษาระยะห่างถึงจะถูก
ไต้ซือ ท่านมั่นใจนะว่าจะไม่ไปด้วยกัน? ฉันจะบอกให้ อำเภอไป๋อวิ๋นเป็นเมืองที่ต้อนรับแขกดีมาก ท่านเห็นรถแท็กซี่แถวนั้นไหม? จูหลินชี้ไปยังรถแท็กซี่
ฟางเจิ้งพยักหน้า จะไม่เห็นได้ด้วยเหรอ? เขายังสำนึกเสียใจเลยที่ไม่มีเงิน ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องฟุ่มเฟือยแล้ว
จูหลินกล่าว ไต้ซือ ถ้าท่านไม่มีเงินพันแปดร้อยก็อย่านั่ง รถนี่มีปัญญาถ้าไม่บอกให้ดีนะ ถ้าท่านไปใกล้ๆ เขาจะพาอ้อมเมืองสามรอบ แล้วก็พูดสวยๆ ว่าพาท่านชมวิว ถ้าไม่ได้เงินหลายร้อยหยวนก็จะไม่ยอมให้ลง
ถึงฟางเจิ้งจะไม่เคยออกมาไกล แต่ก็มีมือถือ อ่านข่าวทุกวัน แน่นอนว่าเข้าใจความหมายของจูหลิน เข้าใจว่าพวกนี้เป็นรถมืดทั้งหมด!
จูหลินเอ่ยต่อ แล้วยังมีโรงแรมอะไรพวกนี้อีก ถ้าท่านไม่คิดว่าเป็นคุ้นเคยท้องถิ่น ห้องละร้อยหยวนท่านต้องจ่ายสามถึงห้าร้อยหยวน! แล้วก็นะ ถ้าไปวัดเมฆาขาวจะต้องไปร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแน่ๆ ตอนนี้เป็นช่วงที่คนเยอะมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะ ดังนั้นของทุกอย่างขึ้นราคาหมด โดยเฉพาะที่พัก เฮ้อ…สามถึงห้าร้อยหยวนถึงพักโรงแรมได้ ท่านต้องขอบคุณพระพุทธองค์ล่ะนะ
ฟางเจิ้งยิ่งฟังยิ่งรู้สึกผิดปกติ ทำไมรู้สึกว่าจูหลินจะบอกว่าอำเภอไป๋อวิ๋นไม่มีคนดีเลย?
จูหลินเห็นฟางเจิ้งระแวงเหมือนจะกลัวๆ เล็กน้อย เลยรู้ว่าคำพูดโกหกของตนได้ผล จึงคิดในใจอย่างภูมิใจ ‘ทำไมฉันฉลาดอย่างนี้! เสียดายไม่ได้เป็นนักแสดง ไม่อย่างนั้นคงได้รางวัลออสก้ามาหลายอันแล้ว…’
ไต้ซือ ฉันบอกสิ่งที่ควรจะบอกแล้วนะ ท่านอย่าคิดว่าฉันหลอกเลย ฉันเห็นหมดแล้วที่ท่านทำบนรถ ฉันขอบคุณจริงๆ เลยชี้ทางให้ ไม่อย่างนั้นฉันที่เป็นดาวไลฟ์สดหาเงินได้หลายร้อยหยวนทุกนาทีจะหยุดไลฟ์สดแล้วลากหลวงจีนอย่างท่านมาคุยทำไม? จูหลินพูดเสริม
ถึงยังไงฟางเจิ้งก็ยังอ่อนต่อประสบการณ์ทางสังคม เขานึกถึงสถิติที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเล็กน้อยจากในอินเทอร์เน็ต ก็เลยเชื่อคำพูดจูหลิน ที่สำคัญที่สุดคือถึงเขาจะมีเงิน แต่เงินส่วนใหญ่เป็นเงินจุดธูป! และกฎของระบบคือเงินจุดธูปใช้ซื้อของทางโลกไม่ได้!
ดังนั้นเงินติดตัวเขาจึงใช้ได้ไม่มาก ซื้อตั๋วรถก็เป็นขีดจำกัดแล้ว! กระทั่งยังขบคิดว่าขากลับจะต้องเดินกลับหรือไม่…
ไต้ซือ ท่านเก่งขนาดนี้จะกลัวอะไร? หรือกลัวฉันจับท่านกิน? วางใจเถอะ บ้านฉันมีพ่อแม่นะ ต่อให้ฉันจะกินท่านจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องหาถ้ำแมงมุมนั่นแหละ… จูหลินหมดคำจะพูด นี่เป็นครั้งแรกที่ชวนคุย เป็นครั้งแรกที่เชื้อเชิญเพศตรงข้าม ไม่อยากเชื่อว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ เธอสาบานว่าจากนี้จะไม่ชวนเพศตรงข้ามคุยก่อนอีก! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำ!
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวยิ้มๆ อมิตาพุทธ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนโยมแล้ว
นักบวชออกมาอยู่ข้างนอก บิณฑบาตหรือที่พักไม่ใช่ปัญหา เขาแค่กังวลว่าจะถูกจูหลินกินก็เท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายจะเอาจริงๆ เขาจะตะโกนเสียงดังว่าปีศาจจงตาย แต่ถ้าตบเธอทีเดียวตายล่ะ? หรือจะนอนสวดมนต์ ยอมโดนเงียบๆ? นี่ก็เป็นปัญญาอีก…
จูหลินได้ยินก็ดีใจ เรียกฟางเจิ้งให้เดินออกไปนอกสถานีรถ แล้วเรียกรถแท็กซี่มา
ฟางเจิ้งงง ถามไปว่า โยม นี่…
ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนพื้นที่! อืมๆ?! จูหลินยักคิ้วด้วยท่าทางขบขัน เหมือนกับปีศาจที่ใช้อุบายหลอกพระถังซัมจั๋งเข้าไปในถ้ำหลายส่วน
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง กล่าวในใจ ‘เธอเป็นผู้หญิงยังไม่กลัว ฉันจะกลัวอะไร? สถานการณ์แปลกๆ ต้องรีบชิ่งแล้ว’
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งเข้าไปนั่ง เป็นครั้งแรกเลยที่นั่งแท็กซี่ ความรู้สึกแรกคือเบาะนั่งนุ่มมาก พิงหลังก็สบายสุดๆ แต่คุณภาพอากาศแย่เล็กน้อย…
รถแท็กซี่ขับไปท่าเรือเมฆาขาว ทว่าตอนที่มาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเมฆาขาวข้างๆ ท่าเรือ จูหลินพลันร้องขึ้น จอด จอด จอด!
หลังจากรถจอด จูหลินจ่ายเงิน จากนั้นเปิดประตูรถพุ่งลงไป
ฟางเจิ้งลงรถตามด้วยสีหน้าสงสัย หางตาเห็นแบงก์สีแดงสองใบในมือคนขับแท็กซี่! เจ้านี่นี่ นั่งแปบเดียวสองร้อยหยวนเลยเหรอ? ฟางเจิ้งแอบดุนลิ้น ทั้งยังสาบานว่าจากนี้จะไม่นั่งแท็กซี่อีก เว้นแต่จะมีคนออกเงินให้! แพงเกินไปแล้ว!
แม่! มายังไงเนี่ย? จูหลินลงรถก็เห็นตรงว่าทางเข้าหมู่บ้านมีผู้หญิงยืนอยู่คนหนึ่ง จึงตะโกนพลางวิ่งเข้าไป
ฟางเจิ้งช่วยจูหลินถือสัมภาระเดินตามไป
แม่มีลางสังหรณ์ว่าลูกสาวแม่จะกลับบ้าน เลยมารอที่ทางเข้าหมู่บ้าน ไม่นึกเลยว่าลางสังหรณ์จะแม่นจริงๆ! ฮ่าๆ กลับมาก็ดี แล้วท่านนี้ใคร? ผู้หญิงคนนี้สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย เส้นผมสีขาวดอกเลาบางๆ ดวงตาขุ่นมัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าดวงตาไม่ค่อยดี อย่างน้อยฟางเจิ้งที่หัวโล้น สวมจีวรอยู่ไกลๆ เธอก็ยังเห็นไม่ชัด
นี่ไต้ซือที่จะไปร่วมพิธีสวดมนต์ที่วัดเมฆาขาวที่หนูเจอระหว่างทาง หนูเชิญให้เขามาพักที่บ้านเราด้วย แม่ แม่เชื่อพุทธศาสนาที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ หนูเชิญไต้ซือท่านนี้มาให้แม่ด้วย ไหนจะพูดขอบคุณหนูยังไงนะ? เอาล่ะๆ ไม่พูดแล้ว รีบกลับบ้านกัน หนูหิวจะแย่ แม่ แม่ทำอะไรอร่อยๆ ไว้รึเปล่า? จูหลินพูดและเริ่มวิ่งกลับบ้านไป
ฟางเจิ้งเดินเข้ามาแสดงความเคารพ อมิตาพุทธ อาตมาฟางเจิ้ง สวัสดีอุบาสิกา
………………
จูหลินพิมพ์กลับไปทันที ไสหัวไปๆๆๆ…
จูหลินเห็นว่าทำอะไรฟางเจิ้งไม่ได้ กระทั่งอีกฝ่ายไม่มีพิรุธเผยธาตุแท้อะไรเลย พลันเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ ทว่าก็ไม่ยอม ชนฟางเจิ้งอีกครั้งจนฟางเจิ้งไม่พอใจเล็กน้อย สีกาท่านนี้ ไม่มีอะไรจะมาชนอะไรกันนักหนา? ไม่มีมารยาทรึไง?
แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป เพียงแค่มองจูหลินอย่างจนปัญญา
จูหลินกล่าว ไต้ซือ ขอถามหน่อยสิ
ฟางเจิ้ง อุบาสิกา ถามมา ถ้าอาตมารู้จะตอบ แต่อาตมาเรียนรู้มาน้อย มีหลายสิ่งที่ยังไม่รู้
จูหลินไม่สนคำพูดข้างหลังของฟางเจิ้ง พูดยิ้มๆ ท่านว่ายังไงกับเรื่องพระถังซัมจั๋งกว่าจะสำเร็จพระอรหันต์ต้องเดินทางไปเอาพระไตรปิฎกอย่างยากลำบาก แต่ราชาปีศาจกระทิงจะสำเร็จพระอรหันต์ แค่วางดาบก็สำเร็จแล้ว ทำไมคนดีสำเร็จพระอรหันต์ยากจัง? แต่ทำไมคนเลวถึงง่ายขนาดนั้น? ท่านว่าเท่าเทียมกันเหรอ?
ฟางเจิ้งไม่นึกเลยว่าจูหลินจะถามแบบนี้ ตอนแรกคิดว่าเธอจะพูดไร้สาระต่อซะอีก
ฟางเจิ้งยังไม่ทันตอบ พลันมีคนกล่าวขึ้นมาข้างหลัง ก็เขาถือดาบมาด้วยนี่ เป็นเธอจะกล้าจู้จี้จุกจิกกับเขาเหรอ ถึงบอกให้วางดาบลงก่อนค่อยคุยกันไง…
ฟางเจิ้งหงุดหงิดแล้ว
มีคนกล่าวต่ออีกทันที ราชาปีศาจกระทิงไปหาพระยูไลแล้วพูดว่า ‘ฉันจะสำเร็จพระอรหันต์ได้ไหม?’ พระยูไลตอบว่า ‘พวกเราวางดาบกันลงก่อน ค่อยๆ คุยกัน…’
สองคนพูดแทรกมา หัวข้อคำถามพลันบิดเบี้ยว คนในรถก็พากันจินตนาการตาม
ไม่อยากถูกฆ่าเลยให้เขาวางดาบลง
ดาบอยู่ในมือ ใครจะกล้าไม่ให้นายสำเร็จพระอรหันต์?
………
ฟางเจิ้ง จูหลินมองตากันแล้วอึ้งไป พวกยอดฝีมือแต่งเรื่องตลกอยู่บนรถหมดแล้ว!
พอมีคนพูดแทรกแบบนี้ สองคนจึงคุยกันไม่ได้ ประกอบกับรถแล่นเข้าอุโมงค์เลยไม่มีสัญญาณ จูหลินเห็นว่าไม่ว่าจะแหย่ฟางเจิ้งยังไง อีกฝ่ายก็จะยิ้มอบอุ่นและนอบน้อม รักษาระยะห่างตลอดเวลา จึงไม่มีอารมณ์หยอกล้อฟางเจิ้งต่อ เลยนอนหลับไป
รถแล่นออกจากเขตเมือง เริ่มมีคนขึ้นรถมาเรื่อยๆ คนมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟางเจิ้งพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ตรึกตรองถึงภาพหลังไปวัดเมฆาขาว น่าเสียดายไม่เคยไป ได้แต่นึกถึงเรื่องลามก
ตอนนี้เองมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาเงียบๆ คลำที่กระเป๋าถือใบเล็กข้างจูหลิน
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเห็นชายร่างกำยำกำลังมองเขาเหมือนกัน ดวงตาถลึงโตราวกับดวงตาวัว ปาดมือตรงปาก วางมาดว่าฉันโหดมากพร้อมพูดเบาๆ ดูวิวข้างนอกไป!
ฟางเจิ้งเข้าใจทันทีว่าเจอกับโจรเข้าแล้ว! แถมยังเป็นโจรที่โหดมากด้วย! มองไปรอบๆ บางคนหลับ บางคนขวางอยู่ข้างชายร่างกำยำ ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นทางนี้ เห็นได้ชัดว่านี่ทำกันเป็นขบวนการ!
มองวิวข้างนอก! ชายร่างกำยำกล่าวอีกครั้ง
ฟางเจิ้งมองจูหลินที่ยังคงหลับพลางถอนหายใจ ประนมสองมือ อมิตาพุทธ โยมเบาเสียงหน่อย อย่ารบกวนฝันหวานคนอื่น
ไอ้ห่าไม่เข้าใจภาษาคนรึไงวะ? หันไป ไม่อย่างนั้นฉันจะหั่นแกซะ! ชายร่างกำยำทำหน้าโหดกว่าเดิม ขณะเดียวกันยังควักมีดปลายแหลมออกมาตวัดตรงหน้าฟางเจิ้ง
ในมุมมองชายร่างกำยำ ปกติถ้าเรื่องเป็นแบบนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายโหดหรือไม่ก็ควรจะหันหน้าไปอย่างว่าง่าย ชื่อฟังทำตาม โดยเฉพาะเณรขาวอ่อนเยาว์แบบนี้ ไม่ควรจะกล้าขัดขืนหรือสร้างปัญหาสิ
ทว่ามือขาวสะอาดยื่นออกมา จากนั้นคว้าคมมีดปลายแหลมภายใต้สายตาตะลึงงันของเขา!
แกจะทำอะไร?! ชายร่างกำยำถามไปโดยจิตใต้สำนึก
อมิตาพุทธ ไม่มีอะไร มีดนี่ไม่สวย เลยจะช่วยเปลี่ยนรูปให้ ฟางเจิ้งออกแรงบีบเล็กน้อย…
ปล่อยมือ! ถ้าไม่ปล่อยฉันจะแทงแกให้ตาย! ชายร่างกำยำถลึงตามองด้วยความโมโห พูดข่มขู่เสียงเบา
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย อมิตาพุทธ
ฟางเจิ้งคลายมือออกเบาๆ ชายร่างกำยำตาค้าง มีดปลายแหลมที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ต เป็นงานฝีมือดั้งเดิมยี่สิบห้าแขนง หลอมขึ้นมาจากเหล็กดั้งเดิม มีมูลค่าสูงมากกลับกลายเป็นขนมหมาฮวา[1]แล้ว!
นะ…นี่… ชายร่างกำยำมองหลวงจีนที่ยังคงหัวเราะ พูดไม่ออก ริมฝีปากสั่นไหว
หูจื่อแกทำอะไรอยู่? เร็วๆ สิ คนร่างผอมสูงอีกคนข้างๆ พูดเบาๆ โดยไม่หันมามอง
หูจื่อตอบกลับเศร้าๆ เอามีดนายมาให้ฉันลองหน่อย
หมายความว่าไง? นายก็เอามาไม่ใช่เหรอ? พวกเราเป็นโจรนะ แค่ขู่ให้กลัวก็พอแล้ว นายจะแทงคนจริงๆ รึไง… คนผอมสูงกดเสียงเบาลงพูดข้างหูหูจื่อ
ฉันเอามา แต่ฉันสงสัยว่าจะเป็นมีดปลอม ไอ้พ่อค้าหน้าเลือดนั่นให้มีดปอกแตงโมฉันมา… หูจื่อพูดจบก็ยัดมีดขนมหมาฮวาให้คนผอมสูง
คนผอมสูงรับไปดูก็ตกใจจนแทบกระโดด ดีที่รู้สึกตัวเร็ว จึงตะโกนคำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากในใจแทน ‘นี่มันห่าอะไรวะเนี่ย’
คนผอมสูงส่งมีดปอกแตงโมให้หูจื่อ หูจื่อจึงชี้ฟางเจิ้งอีกครั้งพร้อมพูดเหี้ยมๆ แน่จริงแกก็บีบให้เป็นขนมหมาฮวาอีกสิ!
สิ้นเสียง ดวงตาพร่าเลือน มีดไปอยู่ในมือเณรตรงหน้าแล้ว จากนั้นเณรยิ้ม ออกแรงสองมือบีบ!
เอี๊ยด เสียงโลหะบิดเบี้ยวดังขึ้น จากนั้นมีดปอกแตงโมกลายเป็นขนมหมาฮวา ก่อนเณรจะยัดใส่มือหูจื่ออีกครั้ง ยิ้มน้อยๆ โยม ยังต้องการอะไรอีกไหม? หรืออยากได้เป็นเงื่อนผีเสื้อ?
คนขับรถ! จอดรถ! ฉันจะลง!
ร้องอะไรวะ จะมาลงรถอะไรในป่าเขาแบบนี้?
จอด จอด! ฉันจะลง! ถ้าไม่จอด ฉันจะใช้ขนมหมาฮวานี่แทงแกให้ตาย!
เอี๊ยด…
รถโดยสารทางไกลจอดข้างทาง จากนั้นชายสามคนวิ่งลงรถไปอย่างคลุ้มคลั่ง วิ่งมั่วซั่วไปในทุ่งนากลางหิมะ ราวกับเป็นวัยหนุ่มสาวที่ผ่านไป
คนขับรถเพิ่งได้สติกลับมา ขนมหมาฮวาแทงคนตายได้ด้วยเหรอ? ไอ้พวกนี้ล้อเล่นกันรึไง?
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย พิงข้างหน้าต่าง หรี่ตาลงงีบไป ส่วนการเปลี่ยนใจโจรพวกนั้น? เขาก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะ การดึงพวกเข้าเข้าฝันแล้วรถโยกเยก มันยากจะรับประกันความปลอดภัยให้ได้…เลยได้แต่ทำแบบนี้
แต่ทุกคนไม่มีใครรู้ เด็กสาวข้างๆ ลืมตาเล็กน้อยแล้ว จากนั้นถอนหายใจยาวโล่งอก…ที่แท้จูหลินไม่ได้หลับ แต่ตกใจไม่กล้าขยับ คิดว่าจะมีคนมาฮีโร่มาช่วยหญิงงามหรือไม่ก็ยอมให้ปล้นไปเลยแกล้งหลับ
แต่เธอไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นภาพที่น่าตกใจมาก ใช้มือบิดมีด? นี่…มหัศจรรย์ไปรึเปล่า เป็นไปได้หรือ?
ตอนนี้เองเสียงคนขับรถดังขึ้น ทุกคนดูว่ามีของอะไรหายไหมนะครับ ถ้ามีให้รีบแจ้งตำรวจ พวกเขายังไปไม่ไกล
เวร คนขับรถนายรู้ว่าพวกนั้นเป็นโจร แต่ทำไมไม่บอกล่ะ? มีคนบนรถโวยขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็เริ่มตรวจสิ่งของ
ทำไมผมไม่บอกแต่แรก? ผมวิ่งเส้นนี้ทุกวัน เจ้าพวกนี้ถูกจับเข้าคุกและปล่อยออกมาแล้ว ปล่อยออกมาก็จับเข้าไปอีก ไปๆ มาๆ เส้นนี้ ถ้าผมบอกผมก็ไม่ต้องขับรถแล้วมั้ง? อีกอย่าง ตอนที่พวกเขามา ผมประกาศให้ระวังแล้วไม่ใช่เหรอ? คนขับรถไม่พอใจ
ทว่ามีคนพอใจ
ศิษย์พี่อู้หมิง สำเร็จแล้ว! จัดการทุกอย่างเรียบร้อย แค่ฟางเจิ้งไปท่าเรือวัดเมฆาขาว รับรองว่ามันได้เข้าใจแน่ว่าอะไรที่เรียกว่าผู้อื่นยิ่งใหญ่แต่ตนต่ำต้อย! หงเสียงพูดผ่านโทรศัพท์
อู้หมิงพยักหน้าอย่างพอใจ ทำดี หึหึ ครั้งนี้มันได้เห็นดีกันแน่
…………………….
[1] ขนมหมาฮวา ทำจากนวดแป้งและทอดแบบง่ายๆ เหมือนปาท่องโก๋ ลักษณะเป็นเกลียว กรอบและแข็ง เนื้อแน่น
ฟางเจิ้งมองไปนอกหน้าต่าง หิมะสะสมหนาขนาดนั้น ก่อนมองขาเรียวยาวข้างๆ ที่นั่งตน…
ฟางเจิ้งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจโลกนี้เล็กน้อย! หรือว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวหนาว?
วันนี้จูหลินอารมณ์ดี ทำไลฟ์สดมานานขนาดนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเล็กน้อย เธอเริ่มชอบการไลฟ์สดตามอำเภอใจ ไปไหนก็ไลฟ์ตลอด อาศัยหน้าตาสวยภายนอกประกอบกับการไม่ปกปิดนิสัยจริงๆ เลยได้ฉายาว่าราชินีราคี มีจำนวนแฟนคลับถึงสามหมื่นคน ชีวิตก็ถือว่าดีมาก
วันนี้จูหลินกลับบ้าน ขณะเดียวกันก็อยากเล่นบ้าง สวมกางเกงขาสั้นท้าฤดูหนาวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ! ทว่าผลคือ…
ฟู่วๆ…ฉันสาบานว่าจากนี้จะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว หนาวจนขาเหมือนกับอะไรเลย… จูหลินถูขาสองข้าง ให้เสียดสีจะได้เกิดความร้อน
‘อึก! หนาวจนเหมือนกับอะไรเลยนะ…สมกับเป็นราชินีราคี ฉันมีราคีเลย!’
‘ฮ่าๆ…’
‘ราชินีราคี เดี๋ยวให้เฟอรารีสักคันไหม เอาอุ่นๆ เลย ฮ่าๆ…’
‘จรวดใหญ่พุ่งมาแล้ว หลบๆ…’
จูหลินเห็นดังนั้นก็ร้องเฮ้ย ด่ายิ้มๆ ไอ้ปัญญาอ่อน! ไอ้พวกหมูอ้วน! แต่ก็ต้องขอบใจสำหรับของรางวัลของที่รักทั้งหลายนะ อบอุ่นกันจริงๆ ทุกคนดูสิ ฉันกำลังนั่งรถโดยสารทางไกลกลับบ้าน เป็นยังไง? รถของภาคตะวันตกเฉียงเหนือใหม่กิ๊กใช่ไหมล่ะ? ใช่แล้ว ทุกคนเดาดูซิว่าข้างๆ ฉันวันนี้จะเป็นคนแบบไหน น้องสาว? พวกคุณปู่? คุณลุง? คุณย่า หรือจะเป็นสาวๆ น่ารัก? เดาถูกมีรางวัลนะ จะโชว์ให้ดูสักรอบ!
‘จะต้องเป็นสาวน้อยน่ารักที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายแน่!’
‘เป็นสาวน่ารัก!’
‘รู้สึกว่าราชินีราคีจะมีความต้องการนะ เธออย่าหวังจะได้คนหล่อหรือเนื้ออ่อนๆ เลย ไม่แน่อาจจะเป็นหลวงจีน!’
ถุย! หุบปากอัปมงคลของพวกแกไปเลย ต่อให้เป็นหลวงจีนก็ต้องเป็นหลวงจีนที่หล่อ! เหมือน…เหมือน…หืม? เหมือนแบบนั้นน่ะ! ทุกคนดูเร็ว จับภาพไปที่เณรขาวสะอาด สดใหม่ หล่อเหลานั่น! จูหลินปรับเลนส์กล้องเล็งไปนอกกระจกรถ นั่นคือฟางเจิ้งที่มึนงงอยู่เล็กน้อย
‘ว้าว หลวงจีนนี่ดีงามมาก!’
‘หลวงจีนจริงรึเปล่า? ไม่ใช่นักแสดงหรอกนะ?’
‘ขาเรียวยาว ริมฝีปากหนา รูปร่างดี…จิ๊ๆ ราชินี บวกเลย! พวกเราอยากเห็นฉากเลือดสาด!’
พวกปากปีจอ พูดให้มันน่าฟังหน่อยจะได้ไหม? เอ่อ…เขาเหมือนจะเดินมาทางนี้จริงๆ อ้อมหลังรถไปแล้ว ขึ้นรถแล้ว! จูหลินอึ้งไป คิดในใจว่า ‘ไม่บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง ฉันแค่พูดไปอย่างนั้นเอง…’
‘ราชินีราคีเขากำลังมองเธออยู่…’
ฉันรู้ คนทั้งรถก็มองฉันทั้งนั้นแหละ เหมือนกำลังมองคนป่วยโรคประสาท จูหลินเย้ยเยาะตัวเอง
‘ราชินีราคีเขามาแล้ว คงไม่นั่งข้างเธอจริงๆ หรอกใช่ไหม?’
‘ถ้านั่งข้างเธอ ฉันจะให้จรวดหนึ่งลูก! จากนี้เธอจะไม่ใช่ราชินีราคีแล้ว แต่จะเป็นนักพยากรณ์…ราชินีราคี!’
อมิตาพุทธ โยมหลบหน่อยได้ไหม? นี่ที่นั่งของอาตมา ฟางเจิ้งมาอยู่ตรงหน้าจูหลิน เขางงเล็กน้อย อากาศหนาวแบบนี้ ขายาวใส่สั้นแบบนี้ ไม่กลัวหนาวจริงๆ เหรอ? ที่สำคัญคือฟางเจิ้งไม่ได้เจอผู้หญิงสวยที่สบายๆ แบบนี้มานานมากแล้ว ในใจเลยตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็เก้อเขินมากกว่า…
หา? หา! อ้อ… จูหลินก็งงเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งหล่อ แต่…นี่มันบังเอิญเกินไป!
จูหลินเอียงข้างหลีกทางให้
ฟางเจิ้งกลับไม่ขยับ ทางแคบแบบนี้เธอยังเอียงข้าง เดินไปถ้าถูกแซวว่าเป็นคนหยาบคายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถูกมองว่าหยาบคายจริงๆ ก็สนุกล่ะทีนี้
ไม่พอเหรอ? จูหลินถาม
ฟางเจิ้งตอบ อมิตาพุทธ โยม เอ่อ มันแคบไปหน่อย
‘พรวด…ฮ่าๆ…ราชินีราคี หลวงจีนรังเกียจเธอน่ะ!’
‘เหอะๆ ราชินีราคี ฉันว่าหลวงจีนคงไม่อยากใกล้เธอ…’
พวกนายหุบปากไปเลย! จูหลินอ่านข้อความของพวกปากปีจอเหล่านั้นแล้วตะโกนเสียงดัง
ทำให้คนบนรถตกใจจนมองมา จูหลินถึงรีบยิ้ม ทุกคนอย่าเข้าใจผิดนะคะ คือไลฟ์สดอยู่ ในนี้มีพวกปากหมาเยอะ
ทุกคนเงียบไป เห็นว่าจูหลินเป็นผู้หญิงสวย ขอโทษแล้วแถมยังจริงใจ เลยไม่มีใครว่าอะไร
ฟางเจิ้งพลันพบว่าการนั่งรถครั้งนี้อย่าหวังว่าจะสงบเลย…
จูหลินเห็นว่าฟางเจิ้งไม่เข้าไปจริงๆ จึงยืนขึ้นอย่างจำใจ โอเคยัง?! เธอลากเสียงยาวมาก มีความไม่พอใจเล็กน้อย
ปกติที่นั่งรถถ้าเธอหลีกทางแบบนี้ มีผู้ชายคนไหนบ้างที่จะไม่เบียดเข้าไปอย่างดีอกดีใจ? มีอย่างที่ไหนที่วางมาดถ้าเธอไม่หลบฉันก็ไม่นั่งแบบนี้ จูหลินไม่พอใจ พึมพำว่า หลวงจีนน้อยนี่จะอะไรกันนักหนา ทำเป็นพระอาจารย์ไปได้…ฉันอยากรู้นักว่าจะสุภาพแบบนี้จริงๆ รึเปล่า
ฟางเจิ้งนั่งลง จูหลินนั่งตาม จงใจหันกล้องไปทางฟางเจิ้ง ดวงตาโตกลอกไปมา กล่าวเบาๆ ว่า ที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวจะเล่าเรื่องตลกให้ฟังนะ
‘ราชินีราคีจะเอาอีกแล้ว นั่งรอเลย!’
มีของชนิดหนึ่ง หลวงจีนมีแต่ใช้มันไม่ได้ พวกนายเดาซิว่าอะไร? พูดจบจูหลินชำเลืองมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง
ฟางเจิ้งได้ยินก็ไม่พอใจ ทำพูดอย่างนี้ต่อหน้าเขา…ผู้หญิงคนนี้…พูดได้น่าสนใจจริงๆ
แม้ฟางเจิ้งจะเป็นนักบวช แต่ก็ยังเป็นวัยรุ่น ยามว่างจะเข้าอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มองว่าตนจะเป็นหลวงจีนตลอดชีวิตอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เจอผู้หญิงมาไม่กี่คน แต่พลันเจอผู้หญิงที่น่าสนใจแบบนี้เข้า เขารู้สึกแปลกใหม่ ดังนั้นเลยมองจูหลินพลางหัวเราะเหอะๆ
จูหลินเห็นแบบนั้นก็พูดไม่ออก หรือว่าหลวงจีนนี่จะไม่เข้าใจความหมายของเธอ? หรือว่าเขาจะเป็นหลวงจีนอันธพาลเหม็นโฉ่ ไม่ก็หลวงจีนปลอม?
จูหลินเงียบไป ในไลฟ์สดก็ทะเลาะกันแล้ว
‘ฉันไม่สน ใครก็อย่ามาขวางฉัน ฉันรู้ว่าคืออะไร! แต่ฉันไม่บอก!’
‘ฉันรู้แต่ไม่บอกเหมือนกัน ให้ราชินีราคีอึดอัดตายไปเลย’
‘ฉันรู้ ไอ้คอมเมนต์ข้างบนรู้แต่ไม่บอก ฉันก็จะไม่บอกเหมือนกัน’
‘แต่ฉันอยากบอกว่าให้ฉันดูหลวงจีนนั่นหน่อยได้ไหม หล่อมากเลย…’
จูหลินดูเพศไอดีของอีกฝ่าย เป็นผู้ชาย…
จูหลินเห็นฟางเจิ้งนิ่งเลยปิ๊งความคิดอย่างหนึ่ง ใช้แขนดันฟางเจิ้ง ไต้ซือ ชื่ออะไรเหรอ?
ฟางเจิ้งประนมสองมือ อาตมาฟางเจิ้ง
อ๋อ…ไต้ซือฟางเจิ้ง รู้ไหมคะว่าคำเฉลยที่ฉันถามเมื่อกี้คืออะไร? จูหลินยิ้มหยีตา
ฟางเจิ้งงุนงง ถามเขาเหรอ เขาจะรู้ไหมเนี่ยว่าคืออะไร! ถึงจะมีคำตอบ แต่จะพูดไปได้ยังไง? ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมพูด ดังนั้นเลยยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้
เดาสิ คิดดู ใช้สมองหน่อย หืมๆ?! จูหลินใช้มือปาดหนังตา ดวงตางามปล่อยกระแสไฟ
น่าเสียดายฟางเจิ้งมีภูมิคุ้มกันต่อกระแสไฟในแววตาหญิงงามแล้ว เขากล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง อาตมาไม่รู้จริงๆ
‘ฮ่าๆ ราชินีราคีปล่อยกระแสไฟพลาด!’
‘หลวงจีนน้อยตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ราชินีราคีพ่ายแพ้!’
‘ราชินี เต็มที่หน่อยสิ!’
………………………
ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ เอ่อ ผมจะเข้าไปจุดธูปนะ เดี๋ยวต้องรีบกลับ ถ้าไต้ซือยุ่งอยู่ก็เชิญก่อนเลยครับ ไม่ต้องสนใจผม หูทั่นกล่าวจบก็เดินเข้าอุโบสถ เงยหน้าขึ้นพบว่าไม่มีพระพุทธรูป แต่มีภาพสีทองสว่างไสวเพิ่มมา ด้านบนมีพระโพธิสัตว์สององค์ เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมทั้งคู่
หลังจากเรื่องราวครั้งก่อน หูทั่นตั้งใจหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธ รู้ว่านี่คือพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร มีอภินิหารกว้างขวาง ขอพรได้มากกว่าพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรเยอะ หูทั่นก็ไม่โลภ ภาวนาอยู่เงียบๆ หวังว่าตนกับครอบครัวจะสงบสุข จากนั้นเข้าไปจุดธูปธรรมดาแล้วขอตัวลา
ฟางเจิ้งส่งหูทั่นแล้วถึงเปิดซองจดหมาย ข้างในไม่ใช่จดหมาย แต่เป็นบัตรเชิญ
พอเปิดอ่าน ฟางเจิ้งตะลึงงัน…
วัดเมฆาขาวจะจัดพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้นเดือนหน้า จะเชิญฉันไปด้วย? ฟางเจิ้งตกใจจริงๆ!
วัดเมฆาขาวเป็นวัดใหญ่ขนาดกลาง มีพื้นที่ไม่น้อย ตั้งอยู่บนเขาเมฆาขาว วัดเมฆาขาวจะจัดพิธีบ่อยครั้ง มีแทบทุกเดือน ทว่าปีนี้พิธีของปีใหม่ใหญ่ที่สุด และเป็นครั้งที่อลังการที่สุด เรียกว่าพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
พิธีนี้จะเป็นการอวยพรให้ปุถุชน ดังนั้นหนึ่งวัดจะรับผิดชอบผลกรรมในนั้นไม่ไหว เลยมักจะเชิญวัดอื่นๆ มาร่วมด้วย ทุกวัดที่ร่วมงานจะถูกพิมพ์เป็นสมุดรายชื่อ และยังมีประกาศผืนใหญ่แขวนไว้ข้างนอก ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นสื่อข่าว ฆราวาสหรือญาติโยมจะเห็นประกาศเหล่านี้ เป็นการประกาศชื่อเสียงให้กับทุกวัด
พูดได้ว่าวัดที่ได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวเทียบได้กับเป็นที่ยอมรับของรัฐบาล ส่งประกาศนียบัตรให้เป็นวัดมาตรฐานมาให้ แต่วัดที่ไม่มีสิทธิ์ได้ไปจะเป็นเหมือนวัดเถื่อน แม้จะไม่ได้พูด แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นคือการยอมรับอย่างถูกต้อง ปุถุชนก็เป็นแบบนี้ วัดเมฆาขาวไม่ได้เชิญคุณ คุณจะหน้าด้านบอกว่าคุณเป็นวัดเหรอ? ของปลอมรึเปล่า? พวกหลอกลวงรึเปล่า?
นี่คือพลังจากผลกระทบของวัดเมฆาขาว!
และเพราะประโยชน์เหล่านี้เอง พิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวทุกปีจะมีวัดมากมายแก่งแย่งกันเข้าร่วม แต่หลวงจีนไป๋อวิ๋นแห่งวัดเมฆาขาวไม่ใช่คนเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ว่าวัดใหญ่หรือเล็ก ปกติคือขอแค่เขารู้จักก็จะเชิญมา ดังนั้นหลวงจีนไป๋อวิ๋นจึงเป็นที่เคารพของทั้งเมืองเฮยซาน ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์คุณลักษณะของเขา
ทว่าตอนแรกวัดเอกดรรชนียังไม่ได้ถูกเชิญ ถึงยังไงก็กันดารเกินไป ประกอบกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนรักสันโดษ วัดเมฆาขาวเลยไม่รู้ว่ามีวัดเอกดรรชนีอยู่ ดังนั้นแล้ว วัดเอกดรรชนีเลยไม่เคยได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิมาก่อน
พอนึกขึ้นได้ว่าทุกปีตอนนี้ หลวงจีนหนึ่งนิ้วจะมองไปทางวัดเมฆาขาวพลางพึมพำช่วยสวดมนต์อวยพรอยู่เงียบๆ แล้ว ฟางเจิ้งถึงกับยิ้ม หลวงตาหนึ่งนิ้วไม่เคยไปมาก่อนเลยนี่ ครั้งนี้พวกเราได้รับเชิญแล้ว ท่านน่าจะดีใจใช่ไหม? เหอะๆ…
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนเก็บบัตรเชิญไป พิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิจะจัดเดือนหน้า ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน เขาเองก็ไม่รีบ
ช่วงเวลาต่อมาฟางเจิ้งทำความสะอาดอุโบสถทุกวัน สวดมนต์ เขียนอักษร เล่นกับหมา หยอกกระรอก ใช้ชีวิตสบายๆ…
แต่มีคนกลับไม่เป็นสุข
อะไรนะ? วัดเมฆาขาวเชิญวัดเอกดรรชนีเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ? อู้หมิงมองหลวงจีนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ศิษย์พี่ ผมก็เพิ่งได้ข่าวมา ยืนยันแล้วว่าเชิญจริงๆ ผมรู้ว่าท่านไม่ถูกกับวัดเอกดรรชนีเลยเอามาบอกเป็นคนแรกเลย หงเสียงกล่าว
หงเสียง ท่านทำดี จากนี้ท่านจะได้รับผลประโยชน์ เรื่องนี้จบที่อาตมานี่แหละ อย่าพูดกับใครรู้ไหม? โดยเฉพาะศิษย์พี่อู้ซิน เขาเป็นคนซื่อสัตย์เกินไป ทั้งยังมีอคติกับอาตมาตลอด เดี๋ยวจะเกิดปัญหาเอา อู้หมิงกำชับ
วางใจเถอะศิษย์พี่ ผมอยู่ข้างท่าน ศิษย์พี่อู้ซินหัวแข็งเกินไป หงเสียงตบหน้าอกรับปาก
อู้หมิงพยักหน้า ก่อนตรึกตรองว่าจะจัดการปัญหาของฟางเจิ้งยังไง เสียหน้าเพราะฟางเจิ้งมาสองครั้งติดกันแล้ว โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ถูกฟางเจิ้งว่าต่อหน้าคนมากมาย ไม่มีเกียรติหลงเหลือแล้ว ยังไงก็ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้!
ตอนนี้เองหงเสียงพูดเสียงเบา ศิษย์พี่อู้หมิง ความจริงแล้วจะจัดการฟางเจิ้งนั่นไม่ยากเลย
อ้อ? ท่านมีวิธียังไง? พูดมาสิ! อู้หมิงตาเปล่งประกาย
หงเสียงเข้ามาใกล้ พูดเสียงเบา วัดเมฆาขาวตั้งอยู่บนเขาเมฆาขาว ถึงเขาเมฆาขาวจะอยู่ในเขตภูเขาฉางไป๋ แต่เป็นภูเขากลางแม่น้ำ มีน้ำโอบล้อมตลอดทั้งปี ถ้าจะขึ้นเขาก็ต้องนั่งเรือข้ามไป…โธ่เอ๊ย!
อู้หมิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง อันดีนี้ๆ…หึๆ ถึงตอนนั้นจะให้ฟางเจิ้งขายหน้าจนไม่เหลือ ดูซิว่าเขาจะยังมีหน้าไปร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิอีกไหม! ไม่แน่กลับมาอาจจะรับไม่ได้สึกไปเลยก็ได้ ฮ่าๆ…
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่ามีคนกำลังวางแผนต่อตน วันเวลายังคงผ่านไปอย่างเงียบสงบ
บางครั้งจะมีญาติโยมขึ้นเขามาจุดธูปขอพร
กาลเวลาบนเขาวูบผ่านไปเกือบครึ่งเดือน เห็นใกล้จะเริ่มพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฟางเจิ้งเลยต้องลงเขาไปหาให้หวังโอ้วกุ้ยช่วย
อะไรนะ? วัดเมฆาขาวเชิญแกไปเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ? หวังโอ้วกุ้ยได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นมาก
ฟางเจิ้งแบะปาก ทำไมเขารู้สึกว่าหวังโอ้วกุ้ยดีใจกว่าเขาอีก! ใครเป็นเจ้าอาวาสกันแน่เนี่ย?
หวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งพยักหน้าก็หัวเราะดังลั่น เป็นเรื่องดีสิ! เป็นเรื่องดีมากด้วย วัดเอกดรรชนีจะมีชื่อเสียงจริงๆ แล้ว! ถ้ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวล่ะก็ ในเมืองจะให้การสนับสนุน หมู่บ้านเราก็จะดังตามไปด้วย ฮ่าๆ…
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นผู้ใหญ่บ้านจริงๆ ความคิดไม่ไปทางเดียวกับเขาเลย
เอาเถอะ วางใจ ตอนที่แกไม่อยู่ฉันจะให้คนผลัดกันไปดูแลวัดให้ รับรองแกกลับมาไม่มีฝุ่นสักนิด ขนไม่หายแม้แต่เส้นเดียว หวังโอ้วกุ้ยตบหน้าอกรับประกัน
หวังโอ้วกุ้ยรับปากแล้วฟางเจิ้งถึงวางใจ หวังโอ้วกุ้ยยังถามอีกว่าเงินไปข้างนอกพอไหม ไม่พอเขาจะให้ ถึงฟางเจิ้งจะอยากรับไว้มาก แต่เงินนี่ไม่ใช่เงินค่าจุดธูปเลยรับไว้ไม่ได้ ดังนั้นได้แต่ปฏิเสธไป ก่อนหิ้วกระเป๋าออกจากหมู่บ้าน ในกระเป๋ามีอาหารระหว่างทางไปวัดเมฆาขาว จนขนาดนี้เดาว่าคงกินร้านอาหารไม่ได้
พอออกจากหมู่บ้าน ในที่สุดฟางเจิ้งก็อยู่บนเส้นทางไปยังวัดเมฆาขาว ส่วนกระรอกกับหมาป่าเดียวดายให้อยู่ดูแลวัด
ตั้งแต่ฟางเจิ้งโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ออกไปไหนไกลขนาดนี้คนเดียว มีความกลัวในใจเล็กน้อย แต่พอนึกถึงที่ที่จะไปก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ที่กังวลมีอย่างเดียวคือเงินไม่พอ…
หมู่บ้านเอกดรรชนีมีรถโดยสารตามเวลา วิ่งระหว่างหมู่บ้าน ทุกวันจะไปกลับหลายหมู่บ้าน จากนั้นจะขับไปยังอำเภอซงอู่ทั้งหมด ตอนบ่ายถึงกลับมาพร้อมกันอีกที หนึ่งวันหนึ่งเที่ยว ยิ่งเช้ายิ่งมีที่นั่ง ถ้าสายก็ได้แต่รอวันพรุ่งนี้
ฟางเจิ้งขึ้นรถประจำทาง ในรถมีคนรู้จัก ทุกคนก็รู้จักฟางเจิ้งเหมือนกัน จึงดึงไปคุยทางนู้นทีทางนี้ที…
เมื่อถึงอำเภอซงอู่ ฟางเจิ้งซื้อตั๋วรถเรียบร้อยแล้ว พอมองที่นั่งก็เก้อเขินเล็กน้อย…
……………………………………………..……….
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังสงสัยหนักมากว่าพ่อแม่เด็กนี่คงไม่สบายใจ กลัวว่าลูกจะถูกแกล้ง เลยให้พกประทัดมาทั้งตัว!
ในหมู่บ้าน พวกเด็กๆ จะโยนประทัดใส่กันสร้างความตกใจเป็นเรื่องปกติ แต่ในตัวเจ้าเด็กนี่มันอาวุธสังหารชัดๆ!
เหมิงเหมิง ขอบคุณนะ พี่ใหญ่อยากได้สองกล่องนี่ มา พี่ใหญ่ให้เงินร้อยหยวน นายเอาไปซื้อของกินเถอะ อีกอย่างนะ ซื้อประทัดโยนมาให้พี่อีกหน่อยด้วย ฟางเจิ้งไม่มีทางเอาของเด็กนี่ฟรีๆ ดึงเปียเขาแกะของเด็กนี่แล้วยัดเงินให้ไปร้อยหยวน
ยัดเสร็จ ฟางเจิ้งก็ได้ยินเสียงเตือนจากระบบ ติ๊ง ขอเตือนอย่างเป็นมิตร เงินในตัวนายส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคจุดธูป เงินนี่ซื้อของทางโลกไม่ได้ รวมถึงให้คนอื่นไปซื้อของให้นายไม่ได้ด้วย แต่นายมีทุนเดินอยู่เล็กน้อย สองร้อยสามสิบหกหยวนห้าเหมาพอดี! ตอนนี้ให้เหมิงเหมิงไปร้อยหยวน นายใช้เงินนี่ซื้อของทางโลกได้ เหลือเงินหนึ่งร้อยสามสิบหกหยวนห้าเหมา
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป มองแบงก์ร้อยหยวนในมือเหมิงเหมิงด้วยความปวดใจ! เขาดีใจเลยลืมกฎไป เดี๋ยวเดียวเงินเหลือครึ่งหนึ่ง…
แต่ให้ก็ให้ไปแล้ว เขาจะพูดอะไรได้อีก? ถึงยังไงเขาก็ไม่มีค่าใช้จ่าย ให้ก็ให้ไปเถอะ เอากลับมาไม่ได้แล้วนี่? เขาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน…
เหมิงเหมิงยิ้มเบิกบานใจ ขอบคุณพี่ใหญ่ฟางเจิ้ง พี่รอหนูเดี๋ยวนะ…
เหมิงเหมิงพูดจบก็วิ่งไป
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังที่มีความสุขของเด็กน้อยพลางยิ้มอย่างรู้ใจ นี่คือช่วงเวลาของหมู่บ้าน บรรยากาศมีแต่ความสุข!
ฟางเจิ้งจุดไฟบนถนนต่อ ไม่นานเหมิงเหมิงกลับมา หิ้วถุงผ้าสีแดงมาด้วย ก่อนชูขึ้นสูง พี่ใหญ่ ดูสิ หนูซื้อมาเยอะเลยพอไหม?
ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่ง เจ้านี่เอามาถุงเดียวจริงๆ! แม้จะปวดใจจนแทบจะหลั่งเลือด แต่เขาก็ยังตามน้ำไป ตนเสแสร้งไปแล้ว ต้องซ่อนน้ำตาเสแสร้งให้จบ เป็นตายยังไงจะแสดงสีหน้าปวดใจไม่ได้! ดังนั้นจึงยิ้มกล่าว พอสิ ใช้เป็นกองทัพประทัดได้เลย ขอบคุณนะเหมิงเหมิง เงินที่เหลือเธอเอาไปเลย
ขอบคุณพี่ใหญ่ฟางเจิ้ง! เหมิงเหมิงโบกเงินห้าสิบหยวนที่เหลือในมืออย่างเบิกบานใจ กระโดดโลดเต้นวิ่งไป ฟางเจิ้งมองปู่เหมาสีเขียว[1]ลอยจากไป จิตใจซับซ้อนเป็นพิเศษ…
กระรอกน้อยเข้ามาใกล้ มองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
ฟางเจิ้งหยิบประทัดมาปาบนพื้นพร้อมกัน ส่งเสียงดังปัง เข้าใจไหม? ถ้าเอาเจ้านี่ปาใส่พื้นแข็งๆ จะเกิดเสียง อีกเดี๋ยวพวกนาย…บราๆๆ
ตอนนี้เองฟางเจิ้งเปลี่ยนจากหลวงจีนเป็นราชาปีศาจชั้นยอดแล้ว…
แต่พวกปีศาจน้อยที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้นไม่รู้เลยว่าราชาปีศาจจะจัดการพวกเขา…
พวกเด็กเวร หยุดเดี๋ยวนี้! หวังโอ้วกุ้ยตะโกนด้วยความโมโหไม่หยุด
กลุ่มเด็กร้องเสียงดังวิ่งหนีไป…
หวังโอ้วกุ้ยเห็นดังนั้นก็จนปัญญา รีบปลอบแม่หมูแก่ที่ร้องด้วยความตกใจในบ้านตน ขณะจะออกไปคิดบัญชีกับพวกเด็กซนก็เห็นเด็กพวกนี้วิ่งกลับมาพร้อมกับควันตลอดทาง!
อาหวังช่วยด้วย! มีกระรอกไล่ล่าพวกเรา โหดมากด้วย! หลิวลุ่ยวิ่งไปพลางร้องไปพลาง เด็กคนอื่นๆ วิ่งมาทางนี้เช่นกัน
หวังโอ้วกุ้ยงง กระรอกไล่ล่าพวกเธอ? แถมยังโหดมากด้วย? ไอ้เด็กพวกนี้ พูดจาอะไรให้มันน่าเชื่อถือหน่อยได้ไหม?
ปังๆๆๆ!
ขณะกล่าวเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นต่อเนื่องกัน หวังโอ้วกุ้ยตกใจจนกระโดดอยู่กับที่ กำลังจะด่าทอกลับตะลึงค้าง!
เห็นหมาป่าสีขาววิ่งตามอยู่ข้างหลังพวกเด็กๆ บนตัวแขวนถุงผ้าใบหนึ่ง ตรงคอมีกระรอกยืนอยู่ กระรอกหยิบประทัดโยนปาไปข้างนอก ไล่ไปพลางโยนไปพลางตลอดทาง ระเบิดจนพวกเด็กร้องเสียงดัง วิ่งหนีไปทั่ว…
นะ…นี่มันหมาป่าตัวนั้นกับกระรอกของฟางเจิ้งนี่? เจ้าสองตัวนี้เปิดภูมิปัญญา? หวังโอ้วกุ้ยรู้ว่าหมาป่าเดียวดายฉลาดมาก เพียงแค่ไม่รู้ว่ากระรอกก็ฉลาดเหมือนกัน ขี่หมาป่าปาประทัดใส่พวกเด็กๆ ได้…
ดีที่เจ้ากระรอกใช้ประทัดโยน โยนลงพื้นไม่ทำร้ายคน ดูจากท่าทางแล้วคงก่อความวุ่นวายไปอย่างนั้น เขาจึงไม่สนใจ
ตอนนี้เองฟางเจิ้งเข็นรถเข้ามา โยนเปลวไฟไว้ตลอดทาง ลากเป็นเส้นยาวส่องแสงในหมู่บ้าน
โยมหวัง จะไปไหนเหรอ? ฟางเจิ้งหัวเราะเหอะๆ ไม่มีพวกเด็กซนก่อกวนกลุ่มนั้นแล้ว การจุดไฟบนถนนเลยสบายขึ้น
ฟางเจิ้ง ทำไมแกถึงจุดไฟบนถนน? วันนี้ให้ซ่งเอ้อโก่วทำไม่ใช่เหรอ? นี่ฉันว่างเลยออกมาเดินเล่น หวังโอ้วกุ้ยตอบ
ฟางเจิ้งยิ้ม อาตมามาดูอะไรสนุกๆ พอดี ว่างเลยถือโอกาสทำน่ะ
หวังโอ้วกุ้ยพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นแกต้องเร็วหน่อยนะ อีกเดี๋ยวต้องกองไฟแล้ว แล้วก็ปีนี้หมู่บ้านเราล้าหลังไม่ได้ อย่าให้หมู่บ้านอื่นจุดไฟไปถึงหน้าหมู่บ้านก่อน เดี๋ยวจะขายหน้าเอา
ฟางเจิ้งเพิ่งนึกได้ การจุดไฟบนถนนไม่ใช่แค่จุดในหมู่บ้านตัวเองก็เสร็จ แต่ยังมีการแข่งขันภายในด้วย หมู่บ้านในระยะสิบลี้จะจุดไฟบนถนนกัน สุดท้ายก็จะเอามาเชื่อมกัน
และตอนนี้ถ้าหมู่บ้านตนช้า หมู่บ้านตรงข้ามก็จะจุดไฟเข้ามา คนโบราณบอกไว้ว่าแบบนั้นดวงชะตาบ้านเราจะไปหมู่บ้านตรงข้าม แม้จะมีความงมงายอยู่ข้างใน แต่ที่มากกว่านั้นคือความกระตือรือร้นของคนจุดไฟบนถนนรวมถึงของทุกคนที่เข้าร่วม ดังนั้นนี่จึงเป็นการแข่งขันเล็กๆ ที่ไม่เป็นทางการ
แน่นอนการแข่งขันนี้จำกัดจำนวนคน ไม่อย่างนั้นคนมากก็จะเกิดความวุ่นวายง่าย และเกิดอันตรายได้ง่าย ฉะนั้นเลยหนึ่งคนต่อหนึ่งหมู่บ้าน
ฟางเจิ้งกล่าวทันที โยมหวัง วางใจเถอะ รับประกันเลยว่าสำเร็จแน่
ฟางเจิ้งหัวเราะเหอะๆ แล้วเข็นรถไป ตัวเขามีศิลปะวิทยายุทธ์ มีกำลังน่าตกใจ สองมือมั่นคงอย่างยิ่ง มือหนึ่งเข็นรถ อีกมือโยนไฟไม่ได้เร็วเกินไป! ไม่นานก็โยนเสร็จทั้งหมู่บ้าน เชื่อมไปยังถนนหมู่บ้านอื่น มองไกลๆ ไฟหมู่บ้านตรงข้ามก็เริ่มขยับมาทางปากทางหมู่บ้านแล้ว
ฟางเจิ้งเร็วกว่าเดิม โยนไฟตลอดทาง อีกฝ่ายเพิ่งถึงประตูหมู่บ้าน แต่เขามาถึงส่วนกลางแล้ว อีกฝ่ายดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด บ่นพึมพำบางอย่างได้ยินไม่ชัด
ฟางเจิ้งหัวเราะก่อนเดินกลับหมู่บ้าน นี่เป็นความสุขเล็กๆ ถ้าจะทับถมจริงๆ นั่นก็ไม่สนุกแล้ว
อีกฝ่ายเห็นฟางเจิ้งหันหน้ากลับก็ตะโกนบางอย่าง ได้ยินเบาๆ ว่าจะเลี้ยงเหล้า…
คนจากหลายหมู่บ้านกำลังยุ่ง ไฟบนถนนเชื่อมกันเป็นปึกแผ่น เปลวไฟนำพาความอบอุ่นและแสงสว่างมาให้กับคนในหมู่บ้านในหน้าหนาว ตอนนี้พวกผู้ใหญ่เสร็จงานกันแล้วจึงพากันวิ่งออกมา วางฟืนเป็นกองไฟใหญ่กลางสี่แยก ผิงไฟคุยกันอย่างออกรส จุดดอกไม้ไฟ บรรยากาศคึกคักของวันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งก็ผ่านไป…
วันที่สองฟางเจิ้งตื่นมาในวัดอันเงียบสงบ นึกถึงความครึกครื้นเมื่อคืนวาน นั่นราวกับความฝัน
เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนไปล้างหน้า ทำความสะอาดอุโบสถ กินข้าว…เป็นอีกวันที่ฟ้าใส
ทว่าตอนนี้เองมีเสียงคุ้นเคยดังแว่วมาจากข้างนอก ไต้ซืออยู่ไหม?
ฟางเจิ้งเดินออกมาดู ยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือ อมิตาพุทธ โยมมาอีกแล้วเหรอ? หรือว่าครั้งนี้มีพัสดุของอาตมา?
ฟางเจิ้งกังวลเหมือนกัน ใครส่งพัสดุให้เขาอีก? หรือว่าจะเป็นพวกจ้าวต้าถง? น่าจะไม่ใช่…
ผู้มาคือหูทั่นคนส่งของบริษัทส่งเร็วตลอดทาง วัดเอกดรรชนีกันดารเกินไป จึงไม่มีใครยอมมาส่ง ทว่าหูทั่นรู้ถึงความเก่งกาจของฟางเจิ้ง เลยมาให้ไต้ซือเห็นหน่อย ไม่แน่อาจรอดพ้นจากภัยอีกก็ได้ ดังนั้นเลยประกาศไว้ว่าถ้าเป็นพัสดุส่งวัดเอกดรรชนีเขาจะรับไว้ทั้งหมดเอง
แต่รออยู่นาน ผ่านปีใหม่แล้วก็ยังไม่มีพัสดุส่ง วันนี้พลันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เลยรีบเอามาส่งทันที
ฟางเจิ้งรับจดหมายไปอ่านก็ตะลึงค้าง วัดเมฆาขาว? วัดเมฆาขาวส่งให้อาตมา?
เอ่อ ใช่ครับ เขียนที่อยู่ข้างบนไว้ชัดเจน น่าจะไม่มีปัญหา หูทั่นตอบ
ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วเซ็นรับ ขอบใจโยมนะ
……………………………..
[1] ปู่เหมาสีเขียว หมายถึงรูปเหมาเจ๋อตุงบนธนบัตรจีนห้าสิบหยวน ซึ่งเป็นแบงก์สีเขียว
ดังนั้นแล้วดอกไม้ไฟจึงจุดหลายทิศทาง หมาป่าเดียวดายวิ่งไปทันที นั่งมองตรงจุดที่ดีที่สุด เจ้ากระรอกนอนหมอบอยู่บนหลังมันตลอด ดึงขนไว้นั่งเป็นรถ…เจ้าสองตัวนี้เล่นกันอย่างสนุกสนาน
แต่ฟางเจิ้งไม่แปลกตากับดอกไม้ไฟ แต่ชอบการจุดไฟบนท้องถนนมากกว่า…
เขายืนอยู่บนยอดเขามองไปลง เห็นมีคนเข็นรถเข็นที่มีแสงสว่างออกมา
ฟางเจิ้งพลันหัวเราะ กระโดดโลดเต้น อาตมาจะลงเขา พวกนายจะไปไหม?
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกมองดอกไม้ไฟอยู่ไกลๆ ทว่าจุดสองครั้งแล้วก็ไม่มีอีก! เลยพากันวิ่งมาสื่อว่าจะไปด้วย
ฟางเจิ้งพาเจ้าสองตัวนี้ลงเขาไป
การจุดไฟบนถนนเป็นประเพณีประจำปีอย่างหนึ่งของหมู่บ้านเอกดรรชนี ปีก่อนๆ แต่ละครอบครัวเตรียมของจำพวกลูกสำลีและข้าวเปลือกรวมกันเป็นก้อนแล้วราดน้ำมัน พอออกจากบ้านก็จะจุดไฟแล้วโยนไปบนถนน
ช่วงแรกๆ ทุกคนใช้น้ำมันถั่ว อีกทั้งยังล้อมรอบบ้านตัวเองเพื่อขอพรให้ปีใหม่มีชีวิตที่สว่างสดใส แต่ว่าราคาของการทำแบบนี้มีโอกาสไฟไหม้ค่อนข้างสูง
ประกอบกับวัยรุ่นเข้าเมืองกัน ของที่เป็นประเพณีมากมายเริ่มถูกเปลี่ยน ดังนั้นในหมู่บ้านจึงหยุดจุดไฟบนถนน ทุกปีจะเลือกครอบครัวหนึ่ง ให้เงินที่มากพอ จากนั้นให้ครอบครัวนี้จุดไฟบนถนนโดยเฉพาะ
การจุดไฟบนถนนครั้งนี้ต่างไปเล็กน้อย ตอนนี้ข้าวโพดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเยอะมาก ทุกครอบครัวมีเปลือกข้าวโพดจำนวนมาก หลังเอาเปลือกมาตากให้แห้งแล้ว ราดน้ำมันจะจุดไฟได้นานกว่า
ฟางเจิ้งลงเขามาก็เห็นซ่งเอ้อโก่วเข็นรถเข็นเหล็กมาพอดี บนรถเข็นมีไฟลุกโชตช่วง ในนั้นบรรจุเปลือกข้าวโพดราดน้ำมันเต็มคันรถ เดินทุกสองก้าวจะใช้พลั่วตักกองเล็กๆ มาสาดกลางถนน ดังนั้นกองไฟเล็กๆ จึงขยับไหวกลางสายลม ดูสวยงามมาก
ฟางเจิ้งยิ้ม โยมซ่ง ปีนี้บ้านโยมจุดไฟบนถนนเหรอ?
ซ่งเอ้อโก่วหันมา เห็นเป็นฟางเจิ้งก็หัวเราะ ใช่! ปีก่อนๆ ฉันเป็นพวกไม่เอาไหน ปีนี้ได้เรียนรู้แล้ว หมู่บ้านดูแลฉัน ให้ฉันทำงาน เจ้าอาวาส ทำไมท่านถึงลงมาล่ะ?
ฟางเจิ้งมองซ่งเอ้อโก่วที่กลับตัวกลับใจด้วยรอยยิ้ม สิบห้าค่ำเดือนหนึ่งแล้ว เลยลงเขามาสัมผัสบรรยากาศดีๆ บ้าง
ฉันว่านะ ท่านควรลงเขามาตั้งนานแล้ว บนเขาน่าเบื่อจะตาย ซ่งเอ้อโก่วกล่าวพลางสาดเปลวไฟอีกกลุ่ม ขณะเดียวกันก็หัวเราะเอ่ยขึ้น เฮ้ย ปีก่อนๆ เห็นผู้ใหญ่บ้านทำแบบนี้ไม่เห็นรู้สึกอะไร พอมาทำเองยากจริงๆ ไฟนี่มัน…
ฟางเจิ้งปิ๊งไอเดียขึ้นมา อยากจะเล่นบ้าง ให้อาตมาลองดีไหม?
ท่านเหรอ? ซ่งเอ้อโก่วอึ้งไป
ฟางเจิ้งยิ้ม มีปัญญาเหรอ?
รถนี่มันหนักมาก ท่านไหวเหรอ…เอ่อ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน ซ่งเอ้อโก่วยังไม่ทันพูดจบก็เห็นฟางเจิ้งเข็นรถไป จังหวะก้าวเบาและเร็ว ดูสบายๆ ดูเท่กว่าเขาที่มีท่าทีกลัวสะเก็ดไฟกระเด็นมาก
ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็รีบตามไป ยิ้มเอ่ย หูว! มีแรงเยอะขนาดนี้เลย
ฟางเจิ้งยิ้ม บนเขาไม่มีอะไรทำ นี่ถือว่าฝึกพละกำลัง พลั่วเหล็กนี่ให้อาตมาเถอะ เดี๋ยวอาตมาทำที่เหลือเอง
ซ่งเอ้อโก่วพยักหน้า หลังกำชับฟางเจิ้งถึงเรื่องที่ต้องระวังอีกเล็กน้อยแล้วก็มีคนหามา เขาเลยวิ่งไป
ฟางเจิ้งไม่คิดอย่างนั้น เขาผลักรถเดินหน้าไป หมาป่าเดียวดายข้างหลังกลัวไฟเล็กน้อย เลยออกห่างหน่อย แต่กระรอกไม่พอใจ กระโดดลงมาปีนขึ้นไปบนบ่าฟางเจิ้ง มองเปลวไฟสีแดง เจ้าตัวเล็กนี่ไม่กลัวไฟ แต่ตื่นเต้นมากกว่า ถูกรงเล็บไปมา ดวงตาโตสดใส…
ตอนนี้เองมีสิ่งหนึ่งลอยเข้าไปในรถ
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนั้นฟางเจิ้งก็ทำแบบนี้เลยไม่กลัว ทว่ากระรอกน้อยกลับตกใจจนขนตั้ง แทบจะตกลงจากบ่าฟางเจิ้ง
ต่อมามีเสียงหัวเราะคิกๆ ดังแว่วมาไกลๆ เป็นเด็กกลุ่มใหญ่ถือโคมไฟ ในนั้นมีเด็กซนหลายคน แถมยังทำหน้าผีใส่ฟางเจิ้ง พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง ตกใจไหม?
ฟางเจิ้งมองบน หลิวลุ่ย โยมอยากขึ้นสวรรค์เหรอ? ตอนนั้นอาตมาพาพวกโยมไปปราบปีศาจนี่ แถมอาตมายังถูกตีแทนด้วย วันนี้กล้าหลอกอาตมา? เชื่อไหมอีกเดี๋ยวโยมจะร้องไห้?
พี่ใหญ่ฟางเจิ้งอย่าหลอกผมเลย แม่ผมบอกว่าพี่บวชแล้ว จะมาเล่นแผลงๆ กับพวกเราไม่ได้แล้ว แม่ให้ผมเรียนเหมือนพี่… หลิวลุ่ยตาเปล่งประกายมาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวาและเจ้าปัญหา
ฟางเจิ้งยิ้ม ไม่คิดเลยว่าตัวอย่างด้านลบในหมู่บ้านตอนนั้นจะกลายเป็นแบบอย่างที่ดีในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจไหม บางทีอาจไปหาหวังโอ้วกุ้ยเพื่อขอต้นดอกแดงเป็นการแสดงความยินดีสักหน่อย?
ตอนนี้เองมีประทัดอีกหลายอันถูกโยนเข้ามา นี่คือประทัดมัน จุดไฟแล้วอีกครู่หนึ่งถึงระเบิด เป็นอาวุธให้คนตกใจ
ฟางเจิ้งไม่ใช่เด็กซนในตอนนั้นแล้ว เห็นประทัดมันโยนเข้ามาก็เตะไปทีหนึ่ง ส่งกลับไป
ทำให้หลิวลุ่ยตกใจรีบหลบ
แต่หลิวลุ่ยก็ไม่ยอม ร้องโวยขึ้น กว่าพี่ใหญ่ฟางเจิ้งจะลงเขามานี่ไม่ง่ายเลย พวกพี่น้องทุกคนทักทายเขาหน่อย!
เด็กสิบกว่าคนจุดประทัดมันโยนไปพร้อมกัน ฟางเจิ้งวุ่นวายเล็กน้อย นี่จะก่อกบฏกันเรอะ! เขาจึงโบกมือม้วนประทัดเป็นส่วนหนึ่ง ก่อนพลิกมือสะบัดส่งกลับไปทั้งหมด เวลานี้ประทัดระเบิดดังปุงปัง พวกเด็กๆ ร้องว๊าก แต่ที่มากกว่าคือเสียงหัวเราะ
ฟางเจิ้งไม่มีทางโยนประทัดกลับไปทั้งหมด ยังมีประทัดส่วนหนึ่งใส่เข้าไปในรถ ดังปุงปังระเบิดสะเก็ดไฟกระเด็นสะเก็ดไฟสองอันถูกลมพัด หนึ่งไปตกบนหัวกระรอกน้อย อีกหนึ่งตกบนตัวหมาป่าเดียวดาย เวลานี้ขนไหม้จนกลิ่นโชยมา
ฟางเจิ้งตั้งใจดม กลิ่นนี่หอมมาก กลับไปพวกนายสองคนโกนขนเถอะ?
แต่กระรอกกับหมาป่าเดียวดายมองค้อน ทว่ามีความโกรธมากกว่า พวกมันเคยไปหาเรื่องใครไหม? แถมยังต้องถูกเด็กเวรแกล้ง?
เด็กพวกนั้นเห็นฟางเจิ้งไม่กลัวเลยรีบแยกย้ายกันไป เสียงหัวเราะกับเสียงประทัดค่อยๆ ไกลออกไป
ตอนนี้เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เงยหน้ามองฟางเจิ้ง พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง ให้ หลิวลุ่ยชอบแกล้งคนอื่น พี่จุดไอ้นี่ใส่เขาสิ
ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่ง เด็กคนนี้ให้ประทัดคู่กับเขา! พอรับมามองข้างบนเขียนตัวใหญ่ไว้ว่าสายฟ้าระเบิดฟ้า! ฟางเจิ้งไม่รู้จะดีใจหรือร้องไห้ดี ใช้ไอ้นี่แกล้งกลับ? นี่ทำให้ฟางเจิ้งนึกถึงสุภาษิตของแม่ทัพคนหนึ่ง ‘เอ้ออิ๋งฉาง? จุดประทัดใส่กองทัพศัตรู?’
ถ้าจุดกลับไปจริงๆ พ่อแม่หลิวลุ่ยต้องบ้าแน่…
พี่ใหญ่จะรับไว้แล้วกัน เอ่อ มีเล็กหน่อยไหม? อันนี้มันใหญ่ไป ฟางเจิ้งยิ้ม
เด็กน้อยหยิบประทัดมันกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และยังมีประทัดโยนอีกกล่องหนึ่ง
ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็พูดไม่ออก ประทัดมันเสริมความใหญ่ความหนาและความแรง! หนึ่งนัดโดนหลิวลุ่ยแล้วจะแตกเป็นสามสี่นัด! ประทัดโยนมีขนาดเท่านิ้วก้อย แต่ประทัดโยนของเด็กนี่มีขนาดเท่านิ้วโป้ง! โยนลงบนพื้นจะดังปังราวกับเสียงฟ้าผ่า! ดีที่เด็กนี่โยนได้แค่บนพื้นแข็ง ข้างนอกมีกระดาษห่อหนึ่งชั้น ไม่มีการห่อด้วยของแข็งเลยทำอะไรคนไม่ได้
………………………..….
จนกระทั่งพาเสียวหมี่ลี่ลงเขาไป หลู่ซวงซวงยังตั้งสติไม่ทันอยู่เล็กน้อย
หันไปมองวัดเล็กกลางสายลมหิมะก่อนถอดถอนใจ ใครจะไปคิดว่าวัดเล็กแบบนี้จะมียอดฝีมืออย่างหลวงพี่ฟางเจิ้ง! มิน่าหานเซี่ยวกั๋วถึงให้เรามาหาเขา มิน่าหลังหานเซี่ยวกั๋วมาแล้วถึงคิดอะไรได้มากมาย โลกกว้างใหญ่มีสิ่งมหัศจรรย์ ก่อนหน้านี้เรามองแค่สั้นๆ
แม่คะ จากนี้หนูจะมาเล่นกับต้าไป๋และเสี่ยวฮุยฮุยอีกได้ไหมคะ? เสียวหมี่ลี่มองไปทางวัดอย่างอาลัยอาวรณ์พลางเอ่ยถาม
ได้สิ ถ้าว่างแม่จะพาหนูมานะ ดีไหม? หลู่ซวงซวงตอบ
เสียวหมี่ลี่ยิ้มเบิกบานใจ แม่ดีที่สุดเลย! แม่วางใจนะ รอหมี่ลี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะต้องปกป้องแม่ให้เหมือนกับพ่อให้ได้เลย!
อืม หมี่ลี่บ้านเราเก่งที่สุดอยู่แล้ว หลู่ซวงซวงอุ้มเสียวหมี่ลี่ลงเขาไป
ต้าไป๋ เสี่ยวฮุยฮุย? ฮ่าๆ… ฟางเจิ้งกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ เห็นๆ อยู่ว่ามันขนเงิน ทำไมถึงกลายเป็นต้าไป๋(ขาวใหญ่)ไปได้?
กระรอกก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน มันมีลวดลาย แต่ทำไมกลายเป็นเสี่ยวฮุยฮุย(เทาเล็ก)? ฟังจากชื่อแล้วไม่งดงาม! ไม่ยอม!
น่าเสียดายตอนที่เสียวหมี่ลี่ตั้งชื่อมั่วๆ ให้พวกมัน พวกมันฟังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ากำลังเรียกพวกมัน ฟางเจิ้งแปลให้ฟังเลยเข้าใจ พวกมันจึงไม่พอใจ…
ฟางเจิ้งไม่สนใจพวกมัน เพิ่งช่วยหลู่ซวงซวงไป เหนื่อยจนสมองจะระเบิด จึงตบหัวเจ้าสองตัวนี้แล้วรีบกลับไปนอนหลับพักผ่อนในห้อง
พอตื่นขึ้นฟางเจิ้งก็พบว่าเย็นแล้ว งีบนิดเดียวแทบจะหลับถึงเช้า!
ระบบ ทำไมครั้งนี้ใช้พลังงานไปเยอะจังล่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลย ฟางเจิ้งถาม
ปมในใจหลู่ซวงซวงมากกว่าหลายคนก่อนหน้ามาก ความเจ็บปวดจากการเสียสามีจะไปรักษาง่ายๆ ได้ยังไง? แต่เพราะว่ามันยากที่แหละ ดังนั้น… ระบบลากเสียงยาว
ฟางเจิ้งตาเป็นประกาย ถามขึ้นอย่างเฝ้ารอคอย ได้จับรางวัลอีกเหรอ?
เปล่า แค่ชมเชยทางวาจาน่ะ สู้ๆ ทำได้ดีมาก ระบบตอบ
ฟางเจิ้ง นายจะต้องเป็นระบบปลอมแน่ๆ ไม่ได้มาตรฐานเอาซะเลย!
การชมเชยทางวาจาเพิ่มคะแนนการประเมินภารกิจของนายได้ อีกทั้งถ้าสะสมการชมเชยสองครั้งจะมีโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง นายมั่นใจนะว่าจะไม่เอา? ระบบถาม
นายนี่ได้มาตรฐานจริงๆ เลย ฟางเจิ้งรีบเปลี่ยนคำอย่างไร้ศักดิ์ศรี
ฟางเจิ้งตุ๋นหัวไชเท้าหนึ่งหม้อ ข้าวผลึกหนึ่งชาม กินจนสุขสบายไปทั้งตัว จากนั้นอ่านคัมภีร์ ชมจันทร์ ชมหิมะ หนึ่งวันก็ผ่านไปแบบนี้
วันที่สองหิมะตกหนักอีกครั้ง หิมะตกหนักหลายวันติดกัน เส้นทางภูเขาถูกปิดอีกครั้ง วัดเอกดรรชนีกลับมาอยู่ในความสงบไร้ผู้คนรบกวนอีกครั้ง
ฟางเจิ้งอ่านคัมภีร์ทุกวัน กวาดหิมะ วันเวลาผ่านไปอย่างชุ่มชื้น
ยามเย็น ตะวันลาลับทางตะวันตก ฟางเจิ้งว่างเลยพาหมาป่าเดียวดายไปกะเทาะเมล็ดสนจนกระรอกโกรธ ออกไปเดินเล่นด้วยกัน
กระรอกน้อยนั่งบนบ่าฟางเจิ้งด้วยความโมโห ฟังเสียงฟางเจิ้งกะเทาะเมล็ดสนพลางดึงหูสองข้างของเขาเพื่อระบายความโกรธตลอดเวลา
ถึงบนเขาจะสงบ แต่ก็น่าเบื่อจริงๆ… ฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหน้าผา มองทอดไกล หิมะหยุดตกแล้ว วันนี้อากาศดีอย่างพบเห็นได้ยาก ไม่มีพายุ ไม่มีหิมะ บนฟ้ายังมีเมฆรูปร่างต่างๆ ประทับไว้รางๆ
ดวงตะวันสาดแสงสุดท้ายก่อนหายไปจากเส้นขอบฟ้า ดวงจันทร์กลับลอยขึ้นช้าๆ แสงจันทร์สีขาวเงินสาดส่องบนพื้นดิน สะท้อนทั้งภูเขาให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ฟางเจิ้งยืนอยู่บนหน้าผา เห็นแสงไฟในหมู่บ้านใต้ภูเขา เห็นรางๆ ว่ามีร่างเงาคนเดิน แต่ไม่นานก็มองเห็นไม่ชัด
ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่ละวันผ่านไปเหมือนกับเหาะเลย พวกนายว่าจะมีวันหนึ่งที่ฉันตื่นมาก็แก่เลยไหม? ฟางเจิ้งพึมพำไปอย่างนั้น
กระรอกทำเสียงหึหึ เดินไม่ไหวสิดี ประหยัดจนมาขโมยเมล็ดสนฉันบ่อยๆ…นายมันไอ้คนไม่ทำงาน รู้จักแต่กิน
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที ถ้าอย่างนั้นฉันยังมีข้าวกินอยู่ไหม?
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดกับเจ้าโง่สองตัวที่ตอบไม่ตรงคำถาม คนกับสัตว์มีช่องว่างระหว่างกันอยู่จริงๆ…
วี๊ด!
ปัง!
ตอนนี้เองเกิดเสียงดังสนั่นฟ้า ต่อมาเป็นดอกไม้ไฟมหึมาระเบิดออกตรงหน้าฟางเจิ้ง ส่องแสงไปทั้งฟ้า
เอ๋งๆๆ… หมาป่าเดียวดายตกใจจนร้องและวิ่งหนีไป
กระรอกมุดเข้าไปในจีวรฟางเจิ้ง ตกใจจนฟางเจิ้งร้องเสียงดัง นี่ๆๆ ออกมาเลย มุดไปไหนน่ะ! กางเกง…กางเกง…ไข่!
เสียเวลาอยู่นานถึงดึงกระรอกออกมาจากจีวรได้ เพียงแต่ราคาต้องจ่ายค่อนข้างมาก เจ็บไข่…
วี๊ด!
เสียงดังสนั่นอีกครั้ง
ฟางเจิ้งคว้ากระรอกไว้แน่นเดี๋ยวมันจะมุดเข้าไปอีก จากนั้นถอยไป หันไปมองก็เห็นหมาป่าเดียวดายนอนอยู่ข้างกองหิมะ เอาหัวมุดเข้าไปข้างใน ก้นใหญ่และเนื้อแน่นโผล่มาข้างนอก หางยังพยายามแนบเข้าไประหว่างขา แทบจะยัดเข้าไปในรูก้นอยู่แล้ว
ปัง! ดอกไม้ไฟสวยงามอีกดอกระเบิดกลางฟ้า ทำเอากระรอกตกใจจนกอดมือฟางเจิ้งไว้ หดตัวเป็นก้อน…
ฟางเจิ้งส่ายหน้าก่อนเตะก้นหมาป่าเดียวดายไปทีหนึ่ง เจ้าโง่ กลัวอะไร? นี่มันดอกไม้ไฟ ยิงบนฟ้าไม่มีอันตรายหรอก สวยออก แล้วก็นะแกมันหมาขี้ขลาด จะเป็นผู้ปกปักวัดฉันได้ยังไง? ฉันกำลังคิดอยู่นะว่าจะไล่แกออกดีไหม…
สิ้นเสียง หมาป่าเดียวดายดึงหัวออกมาจากในกองหิมะทันที เชิดหน้ายืดอกขึ้น ทำท่าทางว่าฉันยังไหว
วี๊ด!
เกิดเสียงดังสนั่น หมาป่าเดียวดายขาอ่อน อยากจะวิ่ง ทว่าฟางเจิ้งวางท่าข่มขู่ว่าถ้านายวิ่งจะไม่ให้ข้าวกิน เลยอดทนเอาไว้
ปัง!
ดอกไม้ไฟอีกดอกกระจายออกข้างหน้าผา ดอกไม้ไฟสีสันหลากสีระเบิดกลางฟ้า พริบตานั้นเองดวงตาหมาป่าเดียวดายตั้งตรง…อ้าปากกว้าง แลบลิ้น เห็นได้ว่ายอมให้กับภาพงดงาม
ครั้งนี้กระรอกแอบชำเลืองตามอง จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีอันตรายและสวยงามมากจริงๆ แล้วถึงมายืนอยู่ในมือฟางเจิ้ง เมล็ดสนที่มันถืออยู่ในมือร่วงหล่น ปากเล็กอ้าออก ดวงตาโตแวววาว ดูน่ารักมาก
แชะ!
ฟางเจิ้งถ่ายรูปหมู่ทันที เก็บไว้เป็นที่ระลึก หน้าตาเจ้าสองตัวที่เห็นดอกไม้ไฟครั้งแรกก็ไม่เลว…เลยตรึกตรองว่าจะหาเวลาลงในอินเทอร์เน็ต แชร์สัตว์เลี้ยงตัวเองบ้าง
เฮ้อ เกือบลืมเลย สิบห้าค่ำเดือนหนึ่งแล้ว ฟางเจิ้งมองดอกไม้ไฟพลางปลงอนิจจัง
หมู่บ้านเอกดรรชนีจะจุดประทัดตอนปีใหม่ วันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งจะจุดดอกไม้ไฟ นี่คือประเพณี เทียบกับปีใหม่แล้ว วันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งต่างหากเป็นช่วงที่หมู่บ้านเอกดรรชนีคึกคักที่สุด แขวนโคมไฟ จุดดอกไม้ไฟ ทว่าที่สนุกที่สุดก็ยังเป็นการจุดไฟบนท้องถนน!
พอนึกถึงการจุดไฟบนถนน ฟางเจิ้งพลันวิ่งมาข้างหน้าผา ก้มหน้ามองลงไป…
จุดดอกไม้ไฟเสร็จแล้ว หมู่บ้านเอกดรรชนีไม่ถือว่าร่ำรวย คนที่จุดดอกไม้ไฟชนิดนี้ได้มีไม่มาก และดอกไม้ไฟที่พุ่งถึงยอดเขาน้อยยิ่งกว่า ฟางเจิ้งคำนวณคุณภาพแล้ว จะต้องเป็นบ้านคนมีเงินจุดแน่ๆ
ส่วนถ้าอยากดูดอกไม้ไฟมากกว่านี้ก็ได้แต่มองไกลๆ ทุกหมู่บ้านจะจุดดอกไม้ไฟในเวลาที่ไม่แน่นอน…
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกดูจนติดแล้ว แต่ดอกไม้ไฟก็ไม่ได้จุดแค่ด้านเดียว ในมุมสองร้อยกว่าองศาด้านหน้าภูเขาเอกดรรชนีล้วนมีหมู่บ้าน มีแค่ข้างหลังที่เป็นเทือกเขาฉางไป๋จริงๆ เป็นป่าใหญ่เก่าแก่ ตรงนั้นไม่มีคน
………………
ประตูโรงเรียนที่คุ้นเคย ถนนคุ้นเคย ต้นไม้ดอกไม้ สำคัญคือยังมีคนที่คุ้นเคย!
ที่นี่คือ? หลู่ซวงซวงหันไปมอง ดอกบัวหายไปแล้ว เธอมาอยู่กลางเมือง
ซวงซวงมาแล้วเหรอ หานเซี่ยวกั๋วเดินมา มองหลู่ซวงซวงด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
หลู่ซวงซวงมองภาพนี้น้ำตาพลันไหลพราก ถาม เซี่ยวกั๋ว ทุกอย่างเป็นของจริงเหรอ?
จริงปลอมสำคัญเหรอ? ที่สำคัญคือพวกเราพบกันไม่ใช่หรือ? หานเซี่ยวกั๋วถาม
หลู่ซวงซวงพยักหน้า ขยับเข้าไปในอ้อมกอดหานเซี่ยวกั๋วแล้วถามเบาๆ เซี่ยวกั๋ว คุณไปแล้ว ฉันเหงามาก กลัวมาก…ภาระหนักมาก เหมือนฟ้าถล่มลงมาเลย…เหนื่อย
ผมรู้ ผมเห็นความลำบากของคุณแล้วล่ะ แต่ว่าซวงซวง คุณเคยรับปากผมแล้วนี่ว่าจะดูแลเสียวหมี่ลี่ให้ดี ให้เธอเติบโตแข็งแรง แล้วตัวเธอก็ต้องมีความสุขด้วยไม่ใช่เหรอ? หานเซี่ยวกั๋วกล่าว
หลู่ซวงซวงตอบด้วยความขมฝาด ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ฉันทำไม่ได้…ฮือๆ…คุณไม่อยู่ข้างฉัน ฉันเสียใจ…
มา หานเซี่ยวกั๋วจูงมือหลู่ซวงซวงเดินมายังใต้ต้นไม้ นั่งลงแล้วเอ่ยเบาๆ รู้ไหม? ผมไม่เคยไปจากคุณเลย ผมอยู่ข้างคุณตลอด จริงๆ แค่คุณสงบใจลงจะรู้สึกถึงผม ผมคือดาวดวงหนึ่งบนฟ้า มองคุณไปตลอดกาล ปกป้องคุณ คุณจะไม่เหงา ไม่มีวันตลอดกาล
หลู่ซวงซวงถาม จริงเหรอ?
หานเซี่ยวกั๋วยิ้ม ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อพุทธศาสนา ไม่เชื่อผีสางเทวดา แค่คุณน่าจะเข้าใจนะว่าจิตใจคนแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด คุณเก็บผมไว้ในใจ ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป แต่ว่าถ้าคุณยังเจ็บปวด นั่นจะไล่ผมไป ฝังผมทั้งเป็น คุณจะให้ผมอยู่กับคุณไหม? ถ้าคุณเจ็บผมก็เจ็บ ภาระที่คุณแบกก็กดทับตัวผมเหมือนกัน ซวงซวง เพื่อคุณ เพื่อผม เพื่อหมี่ลี่ เพื่อครอบครัวเรา คุณจะต้องมีความสุขรู้ไหม?
คุณ…คุณพูดจริงๆ เหรอ? หลู่ซวงซวงเบิกตาโตมองหานเซี่ยวกั๋ว
หานเซี่ยวกั๋วมองดวงตาหลู่ซวงซวงอย่างแน่วแน่ จริง! จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีก!
ฮ่าๆ…ฉันเชื่อคุณ คุณหลอกฉันแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้วนี่… หลู่ซวงซวงโผไปในอ้อมกอดหานเซี่ยวกั๋ว หัวราะทั้งน้ำตา
แต่หลู่ซวงซวงไม่รู้ว่าตอนนี้ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว!
‘พอถึงเวลาต้องใช้ความรู้ดันมีไม่พอจริงๆ! ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ดูละครรักเยอะๆ นะ…’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ ใช้อภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างพลางหยิบมือถือออกมาค้นหารายการละครรักที่คล้ายๆ กับสถานการณ์ของหลู่ซวงซวงในตอนนี้ จากนั้นใส่บทพูดละครเข้าไปในความฝันหลู่ซวงซวง
ต้องใช้สมาธิจดจ่อกับหลายอย่างทำให้ฟางเจิ้งเหนื่อยจนเหงื่อเต็มหน้าผากไม่ว่า ที่ยิ่งกว่านั้นคือของพวกนี้ไม่มีอยู่ในความคิดเขาเลย!
ดีที่มีพระโพธิสัตว์เหนี่ยวนำ กระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับหานเซี่ยวกั๋วตรงส่วนลึกความทรงจำหลู่ซวงซวง หลอมรวมกับบทละครพูดคุยที่ฟางเจิ้งเพิ่งเรียนรู้มา รวมถึงผลเสริมความแกร่งของอภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างกับพระพุทธรูป เลยพอถูๆ ไถๆ ได้ผลตามที่ฟางเจิ้งต้องการ
ในที่สุดหลู่ซวงซวงก็คิดได้…ไม่ถือว่าเหนื่อยเปล่า!
หลายนาทีต่อมาหลู่ซวงซวงไม่ร้องไห้แล้ว แต่ฟางเจิ้งกลับตาแดง ใช้กำลังวังชามากเกินไป! จะตายอยู่แล้ว! ภาวนาในใจไม่หยุด ‘ย่าแม่งเอ๊ย เธอรีบออกมาจากปมในใจสักที ไม่อย่างนั้นฉันจะมรณภาพแล้วนะ! ละครรักนี่มันเป็นพิษร้ายแรงมาก…’
สุดท้ายภายใต้การปลอบโยนของหานเซียวกั๋ว ในที่สุดหลู่ซวงซวงก็คิดได้ กลับมาสดใสอีกครั้ง เอ่ยด้วยความมั่นใจ วางใจ ฉันจะให้คุณมีความสุขไปด้วย จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข! คุณจะได้อยู่ในใจฉันตลอดไป ไม่ว่าตอนไหน ไม่ว่าทุกอย่างนี้เป็นความฝันหรือความจริง ฉันเชื่อว่าคุณอยู่ในใจฉัน!
หานเซี่ยวกั๋วอึ้ง
ฟางเจิ้งก็อึ้ง จากนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น
หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะตาม…
ต่อมาภาพโดยรอบแตกออก ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง อมิตาพุทธ ยินดีด้วยโยม!
หลู่ซวงซวงเห็นว่าทุกอย่างตรงหน้าหายไป แค่หนึ่งพริบตาทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว! เมืองหายไป เธอยังคุกเข่าอยู่กลางอุโบสถ โดยรอบเงียบสงบ มีเพียงเสียงลม กลิ่นหอมจางๆ ทำให้จิตใจสงบ
ได้ยินเสียงสวดของฟางเจิ้ง หลู่ซวงซวงจึงยืนขึ้นหันไปมองฟางเจิ้ง กล่าวด้วยความเคารพ ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชี้แนะมากค่ะ!
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เป็นโยมที่เป็นคนเข้าใจง่าย อาตมาเพียงแค่ช่วยเล็กน้อยเท่านั้น
ไต้ซือ ท่านไม่โกรธที่ฉันไม่เชื่อพุทธศาสนาเหรอคะ? หลู่ซวงซวงยิ้ม สุดท้ายเธอก็ยังเห็นพิรุธ เลยนึกถึงสิ่งต่างๆ มากมาย กระทั่งตระหนักว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นของปลอม ทว่าเธอกลับยึดมั่นในเจตนาเดิม ขอเพียงในใจเธอมีหานเซี่ยวกั๋วที่เป็นของจริง ที่เหลือสำคัญหรือ? หานเซี่ยวกั๋วมีชีวิตอยู่ในใจ อยู่กับเธอตลอดกาล อย่างอื่นสำคัญหรือ?
ฟางเจิ้งส่ายหน้า พุทธศาสนาชี้นำให้เป็นคนดี จะเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ โยมเดินออกมาจากปมในใจได้ อาตมาก็ได้บุญกุศล จริงๆ แล้วอาตมาต้องขอบคุณโยมด้วยซ้ำ
เหอะ…ไต้ซือพูดหยอกเถอะ ท่านเป็นไต้ซือที่คู่ควรแก่การเคารพคนหนึ่งเลย! หลู่ซวงซวงพูดด้วยความนับถือ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า อาตมาไม่กล้ารับเป็นไต้ซือหรอก โยมเรียกว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งเถอะ ให้ทุกคนใช้พระธรรมเป็นสิ่งเตือนใจ
ไต้…หลวงพี่ฟางเจิ้งถ่อมตัวไปแล้วค่ะ หลู่ซวงซวงเพิ่งกล่าวก็ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของเสียวหมี่ลี่ดังแว่วมาจากข้างนอก ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มสดใส หมี่ลี่เล่นกับใครคะ?
เป็นญาติโยมคนพิเศษสองท่านในวัด ฟางเจิ้งตอบ
หลู่ซวงซวงงงงวย ฟางเจิ้งส่งลูกที่ตนฝากไว้ให้เขาดูแลให้กับคนอื่น? นี่ได้ยังไงกัน? ถ้าถูกคนลักพาตัวไปจะทำยังไง? หลู่ซวงซวงร้อนใจแล้ว ขณะจะออกไปตรวจดูก็เห็นหัวหมาป่าสีขาวตัวใหญ่โผล่เข้ามา หมาป่านี่เหมือนกับลูกวัว ดวงตาแคบยาว มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมาป่า ไม่ใช่หมา!
หมาป่าอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้?! หลู่ซวงซวงตกใจสะดุ้ง เกิดความกังวลในใจยิ่งกว่าเดิม! เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าหมาป่านี่เหมือนมีความกลัดกลุ้มเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลู่ซวงซวงมองไปข้างหลังก็เห็นเสียวหมี่ลี่จับหางหมาป่าสีขาวไว้ เหยียบบนแผ่นไม้เล็กลากไปบนหิมะ! บนบ่าเธอยังมีกระรอกน้อยยืนอยู่ตัวหนึ่ง ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ราวกับจะให้หมาป่าขาววิ่งเร็วกว่านี้หน่อย อย่าขี้เกียจ…
เห็นดังนั้นหลู่ซวงซวงตะลึงค้าง นี่สัตว์เหรอ? สีหน้าแบบนี้ กระทำแบบนี้ นี่มันคนเลยนี่! หรือว่าจะมีสติปัญญา?!
อมิตาพุทธ นี่คือโยมคนพิเศษสองท่านที่อาตมาพูดถึง อืม เป็นแขกที่มาวัดเหมือนกับโยมนั่นแหละ หมาป่ากับกระรอก วางใจได้พวกมันจิตใจดีมาก ฟางเจิ้งพลันเดินมาพูดข้างหลู่ซวงซวง
หลู่ซวงซวงพยักหน้าอึ้งๆ ตอนนี้สมองเป็นเครื่องจักรแล้ว เธอพบว่าหลังขึ้นเขามาในวันนี้ได้พบเรื่องปาฏิหาริย์ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังท้าทายเส้นตายความรู้ของเธอขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แต่ว่าเรื่องพวกนี้ดันเป็นความจริง…
……………………………
ทว่าเสียวหมี่ลี่ไม่เข้าใจ คิดว่ากระรอกน้อยมาเล่นกับเธอเลยหัวเราะจนปากปิดไม่ลง
ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายกลับมาด้วยความขี้เกียจ เสียวหมี่ลี่ตาเปล่งประกาย ชี้หมาป่าเดียวดายพลางถามฟางเจิ้ง หัวโล้นใหญ่ นั่นหมาเหรอคะ?
อืม…คิดซะว่าเป็นบรรพบุรุษของหมาแล้วกัน เธออย่าดูแค่มันตัวใหญ่ จริงๆ มันอ่อนโยนนะ ฟางเจิ้งหัวเราะให้เสียวหมี่ลี่
หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นสูง มองเมล็ดสนในมือเสียวหมี่ลี่กับกระรอกบนบ่า พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เมล็ดสนของเจ้าตัวหวงของอยู่ในมือเด็กน้อย จะต้องไม่ใช่เรื่องดี! ดังนั้นเจ้านี่จึงยกขาบิดก้นเตรียมจะหนีไป!
แต่ว่า…
ฟางเจิ้งลากมันกลับมา แล้ววางเสียวหมี่ลี่ลงบนหลังมัน ภายใต้การข่มขู่และหลอกล่อ ในที่สุดหมาป่าเดียวดายก็กลายเป็นเพื่อนเล่นตัวที่สองของเสียวหมี่ลี่อย่างขมขื่น พาเสียวหมี่ลี่ไปนอกวัด วิ่งเล่นไปทั่ว
มีหมาป่าเดียวดายกับกระรอกดูเสียวหมี่ลี่ ฟางเจิ้งเลยไม่กังวล เจ้าสองตัวนี้มีสติปัญญาสูงขึ้นเรื่อยๆ เขามักรู้สึกว่าพวกมันใกล้จะเปิดภูมิปัญญาได้แล้ว
ขณะเดียวกันมีเสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาจากในอุโบสถ!
ฟางเจิ้งมาถึงหน้าประตูอุโบสถ มองไปข้างในก็เห็นหลู่ซวงซวงคุกเข่าบนพื้น ร้องไห้หนักมาก
ฟางเจิ้งงงเล็กน้อย ในพุทธคัมภีร์ที่เขาเคยอ่านไม่ได้สอนว่าจะปลอบผู้หญิงร้องไห้ยังไง เข้าไป? หรือไม่เข้าไป?
ฟางเจิ้งลูบหัวโล้น ไม่มีความคิดอะไรเลย
ติ๊ง! ต้องการความช่วยเหลือไหม? ระบบถาม
นายว่าไงล่ะ? ถ้าฉันมีผม ตอนนี้คงดึงจนหมดหัวไปแล้ว…ผู้หญิงร้องไห้น่ากลัวมาก แต่เธอก็เสียใจมากจริงๆ เหมือนกับ…เหมือนกับฉันตอนที่หลวงตาหนึ่งนิ้วมรณภาพ ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในใจเธอ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะปลอบยังไง ฟางเจิ้งตอบในใจ
พระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรคือการขอพรสำหรับคนอื่น แต่สำหรับนายแล้วเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ดีที่สุด บางทีนายควรจะขอให้เธอช่วย ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งงง ขอให้พระโพธิสัตว์กวนอิมช่วย? ดะ…ได้เหรอ?
ถึงระบบจะมหัศจรรย์ แต่ขอให้พระโพธิสัตว์ช่วย ฟางเจิ้งงงกับเรื่องนี้เล็กน้อย…นี่เป็นไปได้เหรอ?
ไม่ใช่ขอร้องพระโพธิสัตว์ แต่เป็นความสามารถที่มากับภาพพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรบนป้ายอุโบสถหมื่นพุทธต่างหาก ก็เหมือนกับพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรที่ให้นายให้ลูกคนอื่นได้ นี่เป็นเพียงการเหนี่ยวนำอภินิหารแบบพิเศษ ระบบตอบ
แล้วจะใช้ยังไง? ฟางเจิ้งไม่รู้อะไรเลย
ขอแค่นายอยู่ในวัดก็จะยืมพลังของภาพวาดมาทำเรื่องที่นายทำไม่ได้ให้สำเร็จได้ บางทีอาจเสริมความแกร่งของอภินิหารบางชนิดของนายก็ได้ อย่างเช่นการช่วยคนตั้งครรภ์ เนตรสวรรค์เป็นต้น แต่ของพวกนี้ต้องให้นายเป็นตัวหลัก พลังของภาพวัดเพียงแค่ช่วยเท่านั้น ใช้อภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างของนายดูเดี๋ยวจะเข้าใจเอง… ระบบว่า
ฟางเจิ้งพยักหน้า มองหลู่ซวงซวงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ประนมสองมือ อมิตาพุทธ!
ตั้งแต่ที่หลู่ซวงซวงเข้ามาในอุโบสถก็คุกเข่าไม่ยอมขยับ ตอนแรกเธอคิดว่าทุกอย่างเป็นเหมือนที่เธอคิด เป็นแค่การหลอกตัวเอง หรือไม่ก็ได้แอบร้องไห้ระบายสักครั้งเท่านั้น
จากนั้นตอนที่เธอคุกเข่าบนเบาะนั่งและเอ่ยถึงความฉงนและเจ็บปวดในใจนั้น ป้ายหมื่นพุทธตรงหน้าพลันเปล่งแสงทอง แสงทองอ่อนมาก วูบเดียวก็หายไปราวกับภาพหลอน
หลู่ซวงซวงคิดว่ามันเป็นภาพหลอน แต่ตอนที่เหลือบไปมองป้ายหมื่นพุทธ ดวงตาพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรเหมือนขยับ แววตาน่าสงสารและน่าเศร้าทำให้เธอใจสั่นไหว! พลันเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าพระแม่กวนอิมบนป้ายหมื่นพุทธยังคงเดิม ไม่เคยขยับ
จะต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ หลู่ซวงซวงถอนหายใจ ตอนนี้เองเสียงสวดดังมาจากข้างหลัง อมิตาพุทธ!
หลู่ซวงซวงหันไปมองตามจิตใต้สำนึก พบว่าฟางเจิ้งกับเสียวหมี่ลี่หายไป ที่แปลกกว่านั้นคือต้นโพธิ์ในวัดออกดอก! หิมะละลาย ต่อมาดอกบัวเบ่งบานในวัด บนสันกำแพง ในลาน มีแต่ดอกบัวจำนวนมาก!
นี่… หลู่ซวงซวงมีสีหน้าตื่นตกใจ รีบวิ่งออกจากอุโบสถ ย่ำน้ำดังจั๊กๆ
เธอก้มหน้ามอง ใต้เท้าไม่ใช่ดิน แต่เป็นน้ำ! เงยหน้าอีกครั้งวัดหายไปแล้ว เหลือเพียงต้นโพธิ์ที่เบ่งบานอย่างยิ่ง!
หันไปมองอุโบสถก็หายไปเหมือนกัน! เหลือเพียงสระดอกบัวมองไปสุดลูกหูลูกตา…
ฉันอยู่ที่ไหน? หลู่ซวงซวงมองไปรอบๆ ถามขึ้นด้วยความสับสนซึ่งแฝงด้วยความเครียดและหวาดกลัวหลายส่วน
ทว่ารอบๆ มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครตอบ หลู่ซวงซวงหวาดกลัวกว่าเดิม…
ตอนนี้เองเสียงน้ำไหลดังขึ้น ต่อมาเส้นทางลอยขึ้นมาจากใต้เท้าเธอ เส้นทางยาวเหยียดไปยังส่วนลึกของสระบัว และเพราะมีดอกบัวบังอยู่เลยมองไม่เห็นของข้างใน
หลู่ซวงซวงเดินหน้าไปอย่างกล้าหาญ แหวกว่ายดอกบัวเดินไปเรื่อยๆ ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไป…ดอกบัวเริ่มน้อยลง ข้างหน้าเหมือนมีคนกำลังคุยกัน
มีคน! หลู่ซวงซวงจะเดินหน้าไป พลันปรากฏเณรหัวโล้นอยู่ข้างหน้า สวมจีวรขาวสะอาด ทั่วร่างแผ่กระจายความสะอาดเชื่อมหาถึงกันหมด มองปราดเดียวจิตใจที่กลัดกลุ้มและหวาดกลัวสงบลง
ไต้ซือฟางเจิ้ง? หลู่ซวงซวงถาม
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าและก็ส่ายหน้า ก่อนเงยหน้ามองฟ้า
หลู่ซวงซวงเงยหน้ามองฟ้าตามฟางเจิ้งแล้วก็ตาค้าง!
เห็นว่าบนบัลลังก์ดอกบัวสีทองบนฟ้ามีนักบวชชุดคลุมขาวนั่งอยู่รูปหนึ่ง ข้างหลังมีมือพันมือทำปางมือต่างกัน ถือของล้ำค่าต่างกัน มีความเป็นธรรมะปะปนความน่าเกรงขาม ซ้ำยังมีความเมตตา! คนนี้ใหญ่ยักษ์ยิ่ง ปกคลุมไปครึ่งฟ้า!
พระโพธิสัตว์กวนอิม?! หลู่ซวงซวงถามอย่างเหลือเชื่อ
อมิตาพุทธ อาตมาเอง หลู่ซวงซวง โยมเข้ามาที่วัดเอกดรรชนี ไหว้อาตมาด้วยความเคารพ บูชาด้วยธูป ในใจมีคำร้องขอ อาตมาย่อมช่วยโยม แต่ว่าปมในใจโยมต้องแก้ด้วยตัวเอง พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าว
หลู่ซวงซวงเงยหน้ามองฟ้า ไม่ได้เห็นเลยว่าฟางเจิ้งข้างล่างกำลังขบคิดอย่างหนัก คิดว่าจะพูดยังไงต่อดี
ทุกอย่างเป็นภาพที่เขาสร้างขึ้นโดยการใช้พระพุทธรูปเหนี่ยวนำจริงๆ กระทั่งเขาเองยังไม่รู้เลยว่าควรทำยังไง แต่การเหนี่ยวนำของพระพุทธรูปเลือนรางมาก มีหลายอย่างที่เขาต้องคิดขึ้นเอง ตรึกตรองเอง ตระหนักรู้เองถึงจะสำเร็จ
พระพุทธรูปบนฟ้าไม่ใช่มายา แต่เป็นร่างแยกที่แสดงออกมาจากเงาสะท้อนพระพุทธรูปพระแม่กวนอิมของจริง ไม่มีจิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ ฟางเจิ้งต้องควบคุมด้วยตัวเอง และร่างแยกนี้ไม่ใช่แค่เหนี่ยวนำมาได้ แต่ยังมีกลิ่นอายของพระโพธิสัตว์ด้วย มีผลให้คนจิตใจสงบลง
หลู่ซวงซวงมองพระโพธิสัตว์กวนอิมบนฟ้า รู้สึกถึงกลิ่นอายเมตตาที่แผ่มาจากพระโพธิสัตว์ เหมือนว่าได้เข้าใกล้ความอบอุ่นและจิตสงบตรงข้อพับแขนของหานเซี่ยวกั๋ว ราวกับหาอ่าวท่าเรือไว้หลบพายุพบ
หลู่ซวงซวงประนมสองมือแสดงความเคารพ ได้โปรดพระโพธิสัตว์ช่วยฉันด้วย
คนที่โยมจะได้พบอยู่ข้างหน้า ไปเถอะ… พระโพธิสัตว์กวนอิมชี้ไปข้างหน้า
หลู่ซวงซวงพยักหน้าแล้วเดินไป ผ่านหย่อมดอกบัวแน่นขนัด เธออึ้ง! ไม่มีสระดอกบัว แต่เป็นเมืองรุ่งเรืองอยู่ข้างหน้า!
……………………………….
ฟางเจิ้งโดนเด็กหญิงน้อยน่ารักหยอกล้อ เพียงแต่ตอนนี้เด็กหญิงขาดหายรอยยิ้มในตอนแรกไป มีความเศร้าเพิ่มมาหลายส่วน เห็นได้ชัดเธอรู้เรื่องบิดาถูกตัดสินประหาร เขาจึงลูบหัวเสียวหมี่ลี่ ไม่เป็นไร โยมทั้งสอง ถ้าจิตใจว้าวุ่นจริงๆ ก็ไปหาพระโพธิสัตว์ที่อุโบสถดู ไม่แน่พระโพธิสัตว์อาจจะช่วยพวกโยมขจัดความทุกข์ได้ อย่างน้อยๆ พระโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ฟังที่ดีที่สุด
หลู่ซวงซวงพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณไต้ซือที่ให้การต้อนรับนะคะ ยังไงไต้ซือช่วยพาหมี่ลี่ไปหน่อยค่ะ
ฟางเจิ้งมองหมี่ลี่ที่ตาโตน่ารักพลางพยักหน้าเล็กน้อย โยมวางใจ
อืม หลู่ซวงซวงพยักหน้า ยืนขึ้นเดินไปอุโบสถ
เพียงแต่ว่าในใจหลู่ซวงซวงไม่คิดอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่ใช่คนเชื่อเรื่องศาสนา แต่เป็นนักศึกษาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในมุมมองเธอ พุทธะก็ดี เทพก็ดี ล้วนเป็นความหวังที่จิตใจคนสร้างขึ้นมา ของเหล่านี้ เชื่อก็จะมีอยู่ ทว่าที่มีอยู่นี้เป็นการมีอยู่แบบปลอมๆ เพียงแต่แสร้งว่ามีคนคนหนึ่ง จากนั้นนำความลับและถูกผิดยัดใส่อีกฝ่าย อีกทั้งยังได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายด้วย ทว่านี่เป็นการหลอกตัวเอง ความจริงเป็นการให้อภัยตัวเองก็เท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเรื่องการขอพรหรือเล่าเรื่อง เธอเข้าอุโบสถก็ไม่คิดว่าพระพุทธจะช่วยเธอได้ เพียงแค่อยากหาโอกาสให้ตนอยู่เงียบๆ แล้วร้องไห้เท่านั้น…
ตอนนี้ขาดแขนหนักแน่นไว้พึ่งพิงไปแล้ว แถมบนบ่าแขนอ่อนแอของเธอยังมีลูกสาวกับทุกอย่างของครอบครัว กดดันเธอจนเหนื่อยมาก ล้ามาก กระทั่งสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทางไหน มีที่ยึดเหนี่ยวอย่างเดียวคืออยากดูแลลูกสาวให้เติบใหญ่ ที่เหลือไม่รู้อะไรเลย…
เธออยากร้องไห้ แต่เธอที่เป็นเสาหลักครอบครัวจะร้องไห้ต่อหน้าลูกสาวไม่ได้เด็ดขาด เลยได้แต่อดกลั้นไว้
โทษของหานเซี่ยวกั๋วหนักเกินไป ถึงขั้นญาติพี่น้องก็ให้อภัยเขาไม่ได้ แม้แต่หลู่ซวงซวงกับหานเสียวหมี่ยังแบ่งเส้นกับเขา ตอนนี้ทั้งโลกเธอหาที่รับฟังคนที่สองไม่เจอเลย หาสถานที่และคนที่ทำให้เธอวางใจอยู่เงียบๆ ร้องไห้ไม่ได้
สุดท้ายเธอก็มาที่นี่ ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมา…
แต่เป้าหมายที่มาที่นี่แค่อยากร้องไห้เท่านั้น…จากนั้นยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป แม้โลกนี้จะกลายเป็นมืดครึ้มก็ตาม
ทว่าทันทีที่หลู่ซวงซวงเดินเข้าอุโบสถ จิตใจเธอผ่อนคลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความคิดที่กดดันอารมณ์ความรู้สึกลดน้อยลงมาก ราวกับประตูกักน้ำปล่อยฟางเส้นสุดท้าย ความเศร้าหลั่งทะลักออกมา หลู่ซวงซวงคุกเข่าลงบนเบาะนั่ง ร้องไห้เป็นสาวเจ้าน้ำตา
ฟางเจิ้งพาหานเสียวหมี่มายืนหน้าประตู หลู่ซวงซวงหันหลังให้สองคน หานเสียวหมี่จึงไม่รู้ว่าหลู่ซวงซวงร้องไห้ แต่ฟางเจิ้งรู้ บ่าสั่นแบบนั้นอธิบายทุกอย่างแล้ว
หัวโล้นใหญ่คะ แม่หนูทำอะไรอยู่? หานเสียวหมี่ถาม
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ขยี้หัวเธอ กำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง เรื่องที่สำคัญ หัวโล้นน้อยมีผมแล้ว จากนี้จะเรียกเสียวหมี่ลี่แล้วกัน เสียวหมี่ลี่ เธอชอบสัตว์ตัวน้อยไหม
ชอบค่ะ…ตอนพ่อยังอยู่จะพาหนูไปสวนสัตว์บ่อยๆ แต่สวนสัตว์อำเภอซงอู่เล็กมากเลย มีแค่กิ้งก่าที่ไม่เคยขยับเลย แล้วก็มีหมาป่าที่ไม่รู้ว่าเป็นหมาหรือเปล่าอีกสองตัว อืม…แล้วก็มี… เสียวหมี่ลี่บ่น
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เขาเคยไปสวนสัตว์นั้นตอนเด็กเหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงมีสัตว์แก่ๆ แค่สามชนิด…หลอกลวงไปแล้ว โดยเฉพาะกิ้งก่านั่น ตอนแรกเขาคิดว่ามันมีชีวิต เพียงแค่ขี้เกียจขยับก็เท่านั้น ต่อมาถึงรู้ว่าเจ้านั่นเป็นหุ่นสตาฟ ชาตินี้อย่าหวังให้มันขยับเลย
แต่ฟางเจิ้งไม่ได้บอกเสียวหมี่ลี่ เขาพาเธอไปยังใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นเคาะลำต้น
ต่อมากระรอกมุดหัวออกมาจากโพรงไม้ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ อย่าเคาะ วันนี้ไม่มีเมล็ดสน!
ฟางเจิ้งพลันเก้อเขิน ดีที่เสียวหมี่ลี่ไม่เข้าใจภาษากระรอก เลยขจัดความเขินของเขาได้ จากนั้นเขากวักมือเรียกกระรอก อมิตาพุทธ เจ้าตัวน้อยลงมาหน่อย มาเล่นกับโยมน้อยสักเดี๋ยว
ไม่ไป นายอย่าคิดหลอกให้ฉันออกมาเพื่อขโมยเมล็ดสนเลย! กระรอกน้อยตอบด้วยท่าทีว่าฉันฉลาดมาก
ฟางเจิ้งตาเปล่งประกาย เจ้านี่มีของอยู่จริงๆ!
กระรอกน้อยรู้ว่าตนหลุดปากจึงมองฟางเจิ้งเหมือนระวังโจรอย่างไรอย่างนั้น
ฟางเจิ้งกล่าว นายลงมาเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่ต้องกินข้าว
ช่วงแรกกระรอกส่ายหน้า แต่พอได้ยินว่าไม่ได้กินข้าวก็รับไม่ได้! ตอนนี้ข้าวผลึกกลายเป็นอาหารชั้นหนึ่งของมันไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ขาดไม่ได้!
ดังนั้นกระรอกน้อยจึงลงมาภายใต้ความหลงระเริงในอำนาจของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งกระซิบข้างหูกระรอกบอกเรื่องราวชีวิตของเสียวหมี่ลี่ กระรอกน้อยเกาหัว มองฟางเจิ้งอย่างระแวง ฉันจะเล่นกับเธอ แต่นายห้ามขโมยเมล็ดสนของฉัน!
ขี้งกจริงๆ ใจกว้างหน่อยไม่ได้รึไง? เอามาสองอันดูแลแขกหน่อยไม่ได้เหรอ? ถือว่าฉันยืมก็ได้ แล้วเดี๋ยวสักวันเราไปเก็บใหม่ด้วยกันดีไหม? ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด เจ้าตัวน้อยหวงของนี่ทำให้เขาหมดคำจะพูดจริงๆ
กระรอกเอียงศีรษะตรึกตรอง ไม่รู้ว่าคำนวณอะไรอยู่ สุดท้ายก็ทำหน้าไม่แยแส นายนี่โง่นัก ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
จากนั้นเจ้าตัวน้อยขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่นานก็เอาเมล็ดสนออกมาจริงๆ ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็พูดไม่ออก เจ้าขี้งกเอาเมล็ดสนออกมาแค่สองเมล็ดจริงๆ!
ส่วนเสียวหมี่ลี่มองฟางเจิ้งกับกระรอกตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ พูดให้ชัดคือกำลังมองกระรอกน้อย! เห็นฟางเจิ้งคุยกับกระรอกได้ดวงตาโตของเธอเปล่งประกายไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากเห็นความฉลาดของกระรอกแล้ว ก็ชอบยิ่งกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าเด็กน้อยมีความกลัวและอาย ไม่กล้าตะโกนเรียกกระรอก เพียงแค่ใช้ดวงตาโตสดใสมองกระรอกด้วยความปรารถนาและเฝ้าหวังอย่างมาก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็เคาะกระรอกน้อย จะให้ฉันดูของขวัญทำไม? ยังไม่ให้ไปอีก?
กระรอกน้อยไต่ไปตามจีวรฟางเจิ้ง จนเมื่ออยู่ระดับความสูงเท่าเสียวหมี่ลี่แล้วถึงส่งเมล็ดสนสองเมล็ดให้เธอ
เสียวหมี่ลี่ร้องด้วยความดีใจและตื่นเต้นมาก นายให้ฉันเหรอ?
กระรอกน้อยมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งทำหน้าประมาณว่าถ้านายไม่ให้ฉันจะหักมื้อเย็นนาย กระรอกน้อยมองเสียวหมี่ลี่อีกครั้ง จากนั้นกลั้นความเจ็บปวดวางเมล็ดสนสองเมล็ดลงบนมือเสียวหมี่ลี่
เสียวหมี่ลี่พลันดีใจใหญ่ ถือมันในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ก่อนพูดกับกระรอกน้อย ขอบคุณนะ!
จากนั้นเสียวหมี่ลี่ยกเมล็ดสนสองเมล็ดนั้นขึ้นสูง ให้ฟางเจิ้งดู หัวโล้นใหญ่คะ ดูสิว่ากระรอกน้อยให้หนูด้วย! สวยมาก! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ของขวัญจากสัตว์…
ฟางเจิ้งยิ้ม เสียวหมี่ลี่ กระรอกน้อยให้เธอ เป็นตัวแทนมิตรภาพระหว่างพวกเธอ ใช้ไหมเจ้าตัวน้อย…
ฟางเจิ้งจิ้มพุงกระรอกน้อย ตั้งแต่เจ้านี่เข้าวัดมาก็อ้วนขึ้นทุกวัน…
กระรอกน้อยสะบัดหางใส่ฟางเจิ้ง ก่อนวิ่งไปอยู่บนบ่าเสียวหมี่ลี่ ร้องจี๊ดๆ พูดจาไม่ดีถึงฟางเจิ้งว่าจู่ๆ ก็จะหักมื้อเย็นอย่างไร้เหตุผลอะไรทำนองนี้…
…………………………….
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็รับมาอย่างสุภาพเหมาะสม เปิดดูแวบหนึ่งก็ยิ้ม ‘โห! ผักสดเยอะขนาดนี้เลย เอาไปห่อเกี๊ยวกินได้สักมื้อหนึ่ง เหอะๆ…’
พอเห็นรอยยิ้มฟางเจิ้งรวมถึงในมุมของเด็ก พวกซูหงก็ยิ้มเหมือนกัน พริบตานั้นช่องว่างระหว่างฐานะไต้ซือกับคนธรรมดาพลันหายไป เหมือนกลับไปในตอนนั้น ฟางเจิ้งก็คือฟางเจิ้ง พวกเขาก็คือพวกเขา บรรยากาศกลมกลืนกันอย่างดี…
แกอยากกินเกี๊ยวเหรอ? เดี๋ยวอาจะทำแป้งหมี่มาให้ ห่อเกี๊ยวแช่แข็งพันลูกไว้ให้! อยากกินเมื่อไรก็กิน! ซูหงเอ่ยต่อทันที
ฟางเจิ้งยิ้มเบิกบานใจ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณโยมมาก แต่อาตมาไม่รีบ พวกโยมจัดการเรื่องหลังจากไฟไหม้ก่อนเถอะ ถ้าต้องการจริงๆ อาตมาจะช่วยอย่างเต็มที่
เฉินจินกล่าว ไม่ต้องสนใจหรอก เรื่องบ้านเดี๋ยวไอ้เด็กเหม็นโฉ่นี่จัดการเอง!
เฉินจินเตะเฉินหลงไปทีหนึ่ง
เฉินหลงหัวเราะแหะๆ มีพ่อแบบนี้ ก็คงไม่มีใคร…
แต่แลกกลับมาเป็นโดนตบไปทีหนึ่ง…
หลังทะเลาะกันเสร็จ คนเหล่านี้เดินเข้าไปจุดธูปในวัด พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าไม่มีพระพุทธรูปพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรแล้ว แต่มีผ้าใหญ่สีแดงเพิ่มมา ด้านบนวาดเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรกับพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร พวกเขาต่างดีใจใหญ่ เดิมทีจะมาจุดธูปไปอย่างนั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินค่าธูปให้ฟางเจิ้ง ถึงยังไงพวกเขาก็มีลูกแล้ว ไม่ได้จะมาขออะไรอีก
ตอนนี้มีพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรจึงต่างออกไป สามารถขออะไรได้มากมาย!
เฉินจินกับซูหงขอให้ครอบครัวปลอดภัย เฉินหลงขอให้การงานราบรื่น ภรรยาเฉินหลงขอให้ลูกเติบโตแข็งแรง ส่วนลูกขอขนมเยอะๆ…
หนึ่งคนธูปหนึ่งดอก เสร็จแล้วก็ลากลับ บ้านตนถูกไฟไหม้หนัก จากนี้คงมีอะไรให้ต้องทำอีกเยอะ พวกเขาต้องจัดการด้วยตัวเองทั้งนั้น ไม่เหมาะจะอยู่บนเขานานเกินไป
หลังส่งพวกเขาแล้ว ฟางเจิ้งมองหัวไชเท้า ผักกาดขาวและขึ้นฉ่ายถุงใหญ่…ก่อนเผยรอยยิ้ม จึ๊ๆ ในที่สุดก็ได้กินผักใบเขียวสักที ถ้าไม่ได้กินก็จะลืมว่าผักพวกนี้รสชาติเป็นยังไง ระบบ ตอนนี้ฉันลงเขาได้อย่างอิสระแล้วใช่ไหม?
ได้ แต่ว่า นายมั่นใจนะว่าจะไม่ให้ใครเฝ้าวัด? ระบบถาม
ฟางเจิ้งตอบ ก็มีนายไม่ใช่เหรอ?
ฉันดูแลเรื่องพวกนี้ไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าวัดถูกปล้นหรือถูกทำลาย จะหักคะแนนบุญกุศลของนาย อีกทั้งยังส่งผลถึงการประเมินทุกภารกิจของนายด้วย ดังนั้น คิดให้ดีๆ ก่อนค่อยลงเขา ระบบว่า
ฟางเจิ้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ถึงวัดฉันจะมีของมีค่าเพิ่มมา แต่คนที่มาก็เป็นคนในหมู่บ้านกันทั้งนั้น ใครจะมาขโมยของ? อีกอย่างวัดเราก็มีผู้ปกปักด้วย
แม้จะพูดแบบนี้ แต่หมาป่าเดียวดายเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิ่งเล่นไปทั่วทั้งวัน มักจะไม่อยู่บ้าน ดังนั้นจะหวังพึ่งมัน? ฟางเจิ้งคิดว่ากระรอกน่าพึ่งพากว่าอีก พอเงยหน้ากระรอกก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน ไม่รู้ไปวิ่งเล่นที่ไหน
ฟางเจิ้งเก็บคำพูดที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่กลับมา ตัวเขาเองพึ่งพาได้ที่สุดแล้ว!
ตรงตีนเขา เฉินจินกลับมาอยู่หน้าซากบ้าน มองซากพลางขมวดคิ้วเป็นปม
เฉินหลงกล่าว พ่อ ไหม้ก็ไหม้ไปแล้ว อย่าเสียใจเลย เดี๋ยวผมจะหาบ้านที่ดีกว่านี้ให้
แกจะรู้อะไร ปู่ย่าแกเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ ในนั้นมีของต่างหน้าเยอะเลย ฉันถึงทำใจรื้อสร้างใหม่ไม่ได้ไง ตอนนี้ไปหมดแล้ว…เฮ้อ… เฉินจินถอนหายใจ บนใบหน้ามีความแก่ชราเพิ่มมาหลายส่วน
ซูหงจับมือเฉินจิน ไหม้ก็ไหม้ไปแล้ว อย่าคิดมากน่า
ให้หยุดคิดได้เหรอ? ไฟไหม้นี่มันผิดปกติเกินไปรึเปล่า? คนในหมู่บ้านขึ้นเขากันหมด แล้วไฟจะมาจากไหน? เฉินจินแค่นเสียงขึ้นจมูก
เฉินหลงร้องด้วยความตกใจ พ่อจะบอกว่ามีคนวางเพลิงเหรอ?
ไม่รู้ แต่ก็มีความเป็นไปได้! ก่อนหน้านี้ที่ไฟไหม้เป็นเพราะพวกเด็กซนจุดประทัด แต่ครั้งนี้ฉันว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น พวกแกรออยู่นี่ ฉันจะไปคุยกับเสมียนและผู้ใหญ่บ้าน ไม่ว่ายังไงจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ จะต้องมีคำอธิบาย! กล่าวจบเฉินจินก็เดินไป
พวกซูหงมองหน้ากัน สีหน้ามืดทะมึนลงเล็กน้อยพร้อมกัน ถ้ามีคนวางเพลิงจริงๆ นั่นก็…
ฟางเจิ้งไม่รู้เรื่องตรงตีนเขา ตอนบ่ายเขานำผักสดออกมา เด็ดล้างให้สะอาดแล้วทำซุปผักสดหม้อหนึ่ง ใส่น้ำบริสุทธิ์เข้าไป ฟางเจิ้ง หมาป่าเดียวดายและกระรอกที่ซดน้ำซุปที่ตุ๋นเสร็จต่างอยากหยุดแต่ไม่อาจรั้งไว้ได้ สุดท้ายนอนแผ่ขี้เกียจบนพื้น
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ…
วันที่สองฟางเจิ้งตื่นเช้ามาทำความสะอาดอุโบสถ ขณะเดียวกันก็ตรึกตรองถึงเรื่องราวหลังจากนี้ ตอนนี้ลงเขาได้แล้ว เขาก็อยากออกไปบ้าง พอกรงเปิด นกน้อยย่อมอยากบิน
ตอนนี้เอง…
ไต้ซือ สวัสดีค่ะ ตอนนี้เองมีเสียงแฝงไว้ด้วยความเศร้าหลายส่วนดังแว่วมาจากประตู
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็ตะลึงงัน คนที่มาเป็นคนรู้จัก! เป็นผู้หญิงหน้าเศร้าหมองอุ้มเด็กหญิงผมสั้น เด็กหญิงผมสั้นมีสีหน้าเศร้าบางๆ เหมือนกัน
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ เดินมาอยู่หน้าสองคน ประนมสองมือ อมิตพุทธ โยมทั้งสอง ระงับความโศกเถอะ
ไต้ซือ ต้องมารบกวนท่านแล้ว หลู่ซวงซวงตาแดง
ฟางเจิ้งส่ายหน้า โยมทั้งสองเข้ามา
หลู่ซวงซวงอุ้มเด็กหญิงหมี่ลี่เข้ามา ตอนนี้ฟางเจิ้งก็เป็นคนที่มีม้านั่งแล้ว ย่อมไม่ให้แขกนั่งบนหินหรือพื้นอีก เขายกกระถางไฟมาวางไว้ ก่อนพวกเขานั่งลง
หลู่ซวงซวงส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ฟางเจิ้ง ตอนหานเซี่ยวกั๋วไปได้ฝากจดหมายฉบับนี้ไว้ให้ฉัน ให้ฉันเอามาให้ไต้ซือ
นั่นคือซองจดหมายหนัง ด้านบนไม่มีแสตมป์ มีเพียงอักษรหกตัวใหญ่ ‘ไต้ซือฟางเจิ้งเปิดด้วยตัวเอง’!
ฟางเจิ้งเปิดดูก็เห็นกระดาษไร้อักษร! เขาจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ประนมสองมือ อมิตาพุทธ
ไร้อักษรคือไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้พูดอะไรก็คือไม่เสียใจ
ทว่าหลู่ซวงซวงพาเสียวหมี่ลี่มา นี่อธิบายได้ว่าหานเซี่ยวกั๋วไม่ได้ไม่เสียใจจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่วางใจเรื่องสองคนนี้
ไต้ซือ เซี่ยวกั๋วไปแล้ว จิตใจฉันว้าวุ่นไปหมด อยากจะอยู่วัดบนเขาสักสองสามวันเงียบๆ ได้ไหมคะ? หลู่ซวงซวงถาม
ฟางเจิ้งตะลึงงัน จากนั้นส่ายหน้ายิ้มๆ ขอโทษด้วยโยม โยมก็เห็นวัดอาตมาแล้ว เป็นเพียงวัดเล็ก อีกอย่างที่นี่มีแค่อาตมาคนเดียว ไม่เหมาะจะต้อนรับสีกา
อย่างนั้นเองเหรอ… หลู่ซวงซวงดวงตามัวหมอง เห็นได้ชัดว่าหลังหานเซี่ยวกั๋วถูกตัดสินประหารแล้ว จิตใจเธอแย่มาก
ฟางเจิ้งถอนหายใจ โยม ถ้าไม่กลัวเหนื่อย อาตมาจัดให้โยมพักอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนีตรงตีนเขาได้ชั่วคราว ถ้าอยากมาไหว้พระ ก็มาช่วงกลางวันได้ตลอด
ขอบคุณค่ะไต้ซือ หลู่ซวงซวงได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย มีราศีขึ้นมา
เสียวหมี่ลี่พูดตาม ขอบคุณค่ะหัวโล้นใหญ่
…………………………
ป้ายนี้ต่างกับป้ายที่เพิ่งหายไป นี่คือป้ายวัดตอนแรกที่เบี้ยวๆ พังๆ!
ระบบ ฉันคิดว่านายทิ้งมันไปแล้วซะอีก… ฟางเจิ้งถามด้วยความซาบซึ้งใจ
ในป้ายนี้รวมบุญกุศลครั้งใหญ่ไว้ และยังมีข้อผูกมัดของคน ดังนั้นเลยเก็บไว้ให้นาย ถ้านายไม่ได้เรื่องฉันจะคืนให้นาย นายจะกลับไปจุดเริ่มต้น ถ้านายผ่านการฝึกจิตใจก็จะคืนให้นายเหมือนกัน ระบบกล่าว
ขอบคุณ ฟางเจิ้งขอบคุณระบบเป็นครั้งแรก หลังสวดไปบทหนึ่งแล้วก็แขวนป้ายนี้ไว้บนผนังห้องอย่างระมัดระวัง นี่คือป้ายที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วสร้างด้วยมือตัวเอง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรฟางเจิ้งก็พบว่าเขาคิดถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วมากขึ้นเท่านั้น วัดสร้างใหม่อยู่เรื่อยๆ ของในอดีตลดน้อยลง ในใจย่อมไม่เป็นสุขยิ่ง
ตอนนี้แขวนป้ายไว้ในห้องแล้ว ฟางเจิ้งเกิดความรู้สึกเหมือนหลวงจีนหนึ่งนิ้วอยู่กับเขา อารมณ์ดีขึ้นเยอะ ตอนนี้เองมีเสียงตะโกนดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งออกไปดู เดินไปหน้าวัดก็อึ้งไปโดยพลัน เห็นพวกเฉินจิน เฉินหลง ซูหงถือถุงเล็กถุงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูวัด พอเห็นเขาก็ยิ้มเบิกบาน ยิ้มจนฟางเจิ้งขนลุกเล็กน้อย
หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขอบคุณนะ! พอเห็นฟางเจิ้งซูหงก็ร้องไห้ วิ่งเข้ามาคุกเข่าบนพื้น ซูหงเป็นคนสมัยเก่า แม้จะเรียนหนังสือไปได้ไม่กี่ปี แต่กลับรู้จักทดแทนบุญคุณคน ฟางเจิ้งช่วยชีวิตครอบครัวตนไว้ จึงแค่อยากขอบคุณจากใจจริงเท่านั้น ทว่าเธอไม่รู้จะทำยังไง การคุกเข่าเป็นการกระทำโดยจิตใต้สำนึก แค่อยากบอกฟางเจิ้งว่าเธอขอบคุณจากใจจริง
เฉินหลงกับภรรยาเป็นคนสมัยใหม่ จะให้คุกเข่าก็ทำไม่ลง ทว่าก็พาลูกมาขอบคุณตรงหน้าฟางเจิ้ง
เฉินจินตามมาข้างหลัง ไม่ออกเสียง ใบหน้าแดงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมั่วไปหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นคนหัวแข็งแถมยังเกิดการต่อสู้ดิ้นรนในใจ เขาไม่ยอมพูดเพราะศักดิ์ศรี จะให้อ้าปากขอโทษเหรอ…นี่ล่ะปัญหา
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้งที่ซูหงคุกเข่า จึงจะเบี่ยงตัวหลบ แต่ว่า…
ติ๊ง! ช่วยคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นายช่วยคนก็ต้องรับการคุกเข่า ทำเรื่องดีนั้นสำคัญ แต่ทำเรื่องดีก็ต้องได้รับผลตอบแทน นี่ต่างหากคือเหตุและผล การให้โดยไม่รับผลตอบแทนใดๆ เท่ากับมอบคัมภีร์ให้ไปง่ายๆ ผลที่ตามมาจะตรงข้ามกัน
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของระบบจึงไม่หลบ แต่ประนมสองมือสวดบทหนึ่ง อมิตพุทธ โยมอย่าทำแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ กล่าวจบ ฟางเจิ้งประคองซูหงขึ้นมา
ไต้ซือ เป็นนายจริงๆ เหรอ? เฉินหลงมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ แม้ตอนนั้นเขาก็เห็นฟางเจิ้งเหมือนกัน แต่ว่าฟางเจิ้งไม่ยอมรับ เขาเลยไม่แน่ใจ ถ้าเป็นภาพหลอนจริงๆ ล่ะ? แม้ความเป็นไปได้จะไม่มากก็เถอะ…
ฟางเจิ้งส่ายหน้า อาตมาไม่ใช่ไต้ซือ เป็นเพียงนักบวชเท่านั้น ส่วนเรื่องเมื่อวาน นั่นคือผลตอบแทนความดีของโยม
ฟางเจิ้งไม่ปริปากเด็ดขาด ไม่ได้บอกว่าเขาทำเรื่องเมื่อวานหรือไม่ ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ บางเรื่องเขาไม่อยากอธิบาย เพราะอธิบายยาก ต่อให้อธิบายเข้าใจก็มีปัญหาเยอะอีก
ภรรยาเฉินหลงตกใจเหมือนกัน การวิเคราะห์ของเฉินจินมีเหตุผล ทว่าฟางเจิ้งลงเขายังไง? เหาะลงเขา? ขณะจะเอ่ยถาม…
กลับได้ยินเฉินจินต่อว่า จะถามอะไร?!
ภรรยาเฉินหลงตกใจสะดุ้งและเงียบไป เฉินจินตรงเข้าไปจ้องฟางเจิ้ง แววตาเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ฟางเจิ้งไร้กังวล แน่นอนว่าไม่กลัวจ้องตาอีกฝ่าย ซ้ำประนมสองมือ รอยยิ้มอ่อนโยนและโปร่งใส จ้องตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
หลายนาทีต่อมาเฉินจินถอนหายใจ ฟางเจิ้ง ขอโทษ ก่อนหน้านี้ฉันสับสน หน้าด้านหน้าทนเพราะเงินและชื่อเสียงนิดหน่อย ติดตามไอ้หลวงจีนสารเลวอู้หมิงก่อความวุ่นวายไปทั่ว ทำลายชื่อเสียงแก แทบจะทำลายความดีของแก ฉันยอมรับผิดเรื่องนี้ ถ้าแกไม่พอใจก็ต่อยฉันเถอะ…
ฟางเจิ้งมองตาแก่หัวแข็งตรงหน้าแล้วพลันยิ้ม เขาสนิทกับเฉินจินไม่มาก แต่ก็รู้นิสัยตาแก่หัวแข็งนี่ ทั้งหัวแข็งและมีความโลภในเงินทองกับชื่อเสียง ไม่อย่างนั้นตอนนั้นคงไม่โยนจอบทิ้งแล้วตามกระแสน้ำลงทะเลไป ตอนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมกลับหมู่บ้าน จนกระทั่งสำเร็จอายุก็มากแล้วถึงกลับมา
อีกอย่างเฉินจินมีชื่อเสียงเรื่องตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมรับผิด ฟ้าผิด ดินผิด แต่เขาไม่มีผิด ดังนั้นเลยเกิดความขัดแย้งหลายครั้ง
ฟางเจิ้งไม่คาดคิดเลยว่าเฉินจินจะมาสำนึกผิดกับเขาเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นประวัติการณ์จริงๆ เลยยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้างเป็นธรรมดา! ทว่าฟางเจิ้งก็ยังประนมสองมือ โยม ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก โลกมีความทุกข์ยากมากมาย กิเลสบดบังดวงตา ยากจะเลี่ยงช่วงที่มองเห็นไม่ชัด
เฉินจินพยักหน้า แกเป็นเด็กดีนะ รู้ว่าฉันไม่ใช่คนดีแต่ก็ยังช่วยครอบครัวฉัน ชีวิตนี้ฉันไม่เคยติดค้างบุญคุณใคร นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด
ซูหงด่ายิ้มๆ คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากตาแก่อย่างคุณได้นี่ หายากจริงๆ นะ เหอะๆ…
เฉินจินแบะปาก นั่นเพราะฉันไม่ยอมคนอื่นหรอก?!
เฉินหลงรีบกล่าว ใช่ๆๆ พ่อเราเจ๋งที่สุด หลวงพี่ฟางเจิ้ง เอ่อ ขอถามหน่อยสิ นายลงเขายังไง? ทำไมถึงเร็ว…
อะไรๆๆ…มีอะไร? ควรถามก็ถาม ไม่ควรถามก็อย่าถาม เฉินจินต่อว่าทันที เฉินหลงยิ้มหน้าเหยเกย เข้าใจความหมายของเฉินจิน
เห็นได้ชัดว่าฟางเจิ้งไม่อยากพูด พวกเขาก็จะไม่ถาม อย่างเช่นทำไมฟางเจิ้งถึงไม่กลัวไฟ ทำไมถึงแบกคานบ้านได้…คำถามเหล่านี้ถามไปจะรังแต่สร้างปัญหามากมาย
ส่วนเฉินจิน ตอนอยู่ตีนเขาเอะอะโวยวายอยู่ตลอดว่าจะขึ้นภูเขามาถาม ความจริงแล้วเขาก็พูดไปอย่างนั้น คนอื่นไม่เชื่อ แต่ภรรยาลูกตนเขาจะไม่เชื่อได้เหรอ? ไฟเผาไม่ตาย คนที่เขียนอักษรปกป้องคนได้ จะเป็นคนธรรมดาได้เหรอ? บินลงเขามาก็ถือว่าไม่แปลก
เขาคิดอะไรหลายอย่างระหว่างทาง คิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย ฟางเจิ้งเป็นคนมีความสามารถอย่างแท้จริง และยังเป็นผู้มีพระคุณกับเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องปกป้อง จะไปสร้างปัญหาให้ฟางเจิ้งอีกได้ยังไง? ถ้าอย่างนั้นเขาคงเป็นตาแก่เลอะเลือนที่แยกแยะถูกผิดอะไรไม่ได้จริงๆ!
นี่ถึงได้มีคำพูดอย่างตอนนี้
ถึงเฉินหลงจะตำหนิเฉินจินอยู่เล็กน้อยที่ตอนอยู่ตีนเขาอีกอย่าง บนเขาเปลี่ยนไปอีกอย่างก็ตาม แต่พอเห็นว่าในที่สุดพ่อตนตาสว่างสักทีก็ดีใจมากกว่า
ซูหงกล่าว เอาละๆๆ เรื่องผ่านไปแล้ว หลวงพี่ฟางเจิ้ง เอ่อ…ข้าวของบ้านอาถูกเผาไปหมดแล้ว เลยเอาของดีๆ มาให้แกไม่ได้ พวกเราก็เลยรีบไปซื้อของมาให้น่ะ เป็นสินน้ำใจช่วยรับไว้เถอะนะ ซูหงพูดจบ เฉินหลงรีบส่งถุงผักสดกับของจำเป็นในชีวิตต่างๆ ให้ฟางเจิ้ง
……………………
“ติ๊ง! ยินดีด้วย นายได้รับห่อของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับวัด! วัดได้รับการสร้างใหม่หนึ่งครั้ง นายจะมีที่สำหรับบูชาพระพุทธมากขึ้น อีกทั้งยังสุ่มได้รับพระพุทธรูปหนึ่งองค์ด้วย!”
“สร้างใหม่? พระพุทธรูป?” ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออก! เขากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะขยายวัดยังไง ระบบทำแทนเฉย! แถมยังมีพระพุทธรูป ในวัดมีแค่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรองค์เดียว ออกจะโดดเดี่ยวไปหน่อย! ตอนนี้ในที่สุดก็มีพระพุทธรูปองค์ใหม่มา! ความไม่พอใจเล็กน้อยในใจพลันหายไปจนหมด! เหลือเพียงความฟิน!
“ระบบ ครั้งนี้นายเชิญองค์ไหนมาล่ะ?” ฟางเจิ้งตื่นเต้น
“ไม่รู้ ตอนสร้างวัดใหม่จะสุ่มพระพุทธรูปทองคำลงมา จะได้องค์ไหนไม่แน่นอน” ระบบตอบ
“แล้วจะรออะไรล่ะ สร้างใหม่เลย!” ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง จากนั้นรีบออกจากวัด เขายังจำภาพสร้างวัดใหม่ครั้งแรกได้ นั่นเหมือนกับหนังฮอลลีวู้ด!
“มั่นใจนะว่าจะเริ่มสร้างใหม่ตอนนี้?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งขบคิด ครั้งก่อนที่สร้างใหม่ ของส่วนตัวเขาถูกระบบโยนทิ้งไปไม่น้อย จึงรีบวิ่งกลับไป ย้ายโต๊ะเก้าอี้ม้านั่งและตั่งออกมา จะได้ไม่ถูกจัดการ
เมื่อจัดการหมดแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เริ่มสร้างใหม่ได้!”
ฟางเจิ้งทาบอก รู้สึกตื่นเต้นและซับซ้อนอย่างยิ่ง มองทุกอย่างตรงหน้าอย่างตึงเครียดและเคร่งขรึม! จินตนาการว่าหลังวัดสร้างใหม่แล้วจะเป็นสภาพแบบไหน!
ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังร้อนรนดั่งไฟรนก้น ภายในวัดกลับไม่มีการเคลื่อนไหว รออยู่สิบกว่านาทีก็ยังไร้การเคลื่อนไหว ฟางเจิ้งร้อนใจจึงถาม “ระบบ ทำไมนายไม่เริ่มล่ะ?”
“เริ่มอะไร?” ระบบถามกลับ
“เริ่มสร้างวัดใหม่ไง!” ฟางเจิ้งร้องโวย
“สร้างใหม่เสร็จแล้ว ยังจะสร้างอะไรอีก?” ระบบตอบอย่างมีเหตุผล
‘เอือก!’ ฟางเจิ้งแทบจะกระอักเลือด ต่อว่าด้วยความโมโห “เสร็จแล้วเหรอ? ก่อสร้างบ้านนายชุ่ยเกินไปรึเปล่า? คิดว่าฉันโง่รึไง? ฉันน่ะกวาดวัดทุกวัน วัดเป็นแบบไหนคิดว่าฉันไม่รู้? วัดไม่เห็นเปลี่ยนไปเลย!”
“ถ้าอย่างนั้นนายอยากเปลี่ยนยังไง? นี่แค่สร้างใหม่ นายคิดว่าจะขยายวัดทันทีเลยรึไง? ตอนแรกการสร้างใหม่คือการช่วยนายซ่อมแซม ครั้งนี้เพียงแค่ประดับตกแต่ง เปลี่ยนของบางอย่างเท่านั้น อีกอย่างพระพุทธรูปองค์ใหม่มาถึงแล้ว อยู่กลางอุโบสถ นอกจากนี้ระบบช่วยนายขยายวัดไม่ได้ ถ้าจู่ๆ มีห้องเพิ่มมาเลยจะสร้างปัญหาไม่รู้จบสิ้นให้นาย ดังนั้นให้ดีที่สุดคือนายคิดวิธีขยายวัดเอาเอง” ระบบกล่าวเนิบๆ
ฟางเจิ้ง “#¥@…”
ฟางเจิ้งอยากด่าแม่จริงๆ แต่ระบบก็พูดถูก ถ้าระบบให้อุโบสถอะไรพวกนี้ เขามีร้อยปากก็อธิบายไม่ได้ จะบอกว่าสวรรค์แสดงอภินิหาร? เดาว่าต่อให้ประเทศไม่สนใจ ก็จะมีปัญหามาไม่ขาดสาย
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เขาเงยหน้าขึ้น ในที่สุดก็พบจุดที่ต่างออกไป! คำว่าศาลเจ้าเอกดรรชนีเปลี่ยนเป็นวัดเอกดรรชนี! อีกทั้งสามคำใหญ่นี้ยังน่าเกรงขามกว่าเมื่อก่อน มีพลังยิ่งใหญ่กว่าเดิม มองปราดเดียวราวกับมีมังกรนอนขดอยู่ข้างบน! ฟางเจิ้งตาโต นั่นคืออักษรพุทธองค์มังกร! เป็นอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริง!
“นี่คือสวัสดิการของการสร้างใหม่ พระพุทธองค์เขียนป้ายอักษรพุทธองค์มังกรด้วยมือท่านเอง ใช้กำราบมาร ช่วยจิตใจสงบ ยิงแทงไม่เข้า กันน้ำกันไฟ เป็นยังไง?” ระบบถามด้วยความลำพองใจเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองบน “ยอดเยี่ยมตรงไหน? นายเป็นคนเขียนไม่ใช่รึไง!”
ทว่าฟางเจิ้งก็พอใจมาก ตอนนั้นศาลเจ้าเอกดรรชนีไม่ได้บูชาพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร แต่บูชาผีสางเทวดา! ในสมัยนั้นผีสางเทวดาแพร่หลายกว่าพุทธศาสนา! ต่อมาเกิดการพิฆาตสี่เก่า[1] ศาลเจ้าเอกดรรชนีถูกทุบทิ้ง!
ต่อมาหลวงจีนหนึ่งนิ้วมาถึง ส่งผีสางเทวดาออกไป ก่อนเชิญพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรมา กลายเป็นศาลเจ้าเอกดรรชนีอย่างทุกวันนี้ ทว่าเรื่องนี้เป็นเพียงตำนาน รายละเอียดเป็นยังไงไม่ชัดเจน ถึงยังไงก็นานมาแล้ว อีกทั้งเรื่องราวสมัยนั้นยังไม่มีใครอยากเอ่ยถึง ฟางเจิ้งถามหลายครั้งยังไม่ได้คำตอบ เลยเลิกถามไป
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางเจิ้งรู้แน่ชัดคือถ้าบูชาพระโพธิสัตว์จะเรียกว่าวัด ถ้าบูชาผีสางเทวดาจะเรียกว่าศาลเจ้า เพียงแต่ฟางเจิ้งไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงจีนหนึ่งนิ้วถึงแขวนป้ายวัดว่าศาลเจ้าเอกดรรชนีมาตลอด ไม่ได้เปลี่ยนสักที บางทีอาจจะเพราะจน…ถ้าเปลี่ยนก็ไม่มีอันใหม่…
แต่ตอนนี้ได้ทำการเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะดูได้มาตรฐานกว่าเดิม แต่ฟางเจิ้งก็รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย ป้ายอันนั้นเป็นถือเป็นของดูต่างหน้า
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เดินเข้าไปในวัด มาอยู่หน้าประตูอุโบสถ
บนอุโบสถมีป้ายเพิ่มมาเหมือนกัน เขียนด้วยอักษรใหญ่สีทองราวกับมังกรเทพหลายตัว นั่นคืออักษรพุทธองค์มังกร…อุโบสถหมื่นพุทธ!
‘อุโบสถหมื่นพุทธ? ชื่อบ้าอำนาจจังเลยนะ แต่อุโบสถเล็กแบบนี้บูชาพระโพธิสัตว์องค์เดียวก็แน่นแล้ว หมื่นพุทธไหวเหรอ? จึ๊ๆ พระโพธิสัตว์คงต้องถูกเบียดให้อยู่ในท้องแล้วล่ะ’ ฟางเจิ้งเกิดความคิดชั่วช้าขึ้น
เขาเดินเข้าไปในอุโบสถพลันอึ้งไป! จากนั้นร้องด้วยความตกใจ!
“ระบบ! นายออกมาเดี๋ยวนี้เลย! พระพุทธรูปของวัดฉันล่ะ? พระพุทธรูปล่ะๆ? นายกินไปแล้วใช่ไหม?!” ฟางเจิ้งร้องโวย
“จะโวยวายอะไรนักหนา อุโบสถเล็กเกินไป เลยยกเลิกพระพุทธรูปไปแล้ว แต่แขวนป้ายหมื่นพุทธให้นายแทน” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งมองซ้ายแลขวา มองบนมองล่าง สุดท้ายมองไปบนผ้าผืนใหญ่สีทองที่แขวนบนผนังข้างหลังโต๊ะหมู่บูชา! บนผ้า ด้านข้างมีภาพเหมือนสามคนเพิ่มมา ตรงกลางเป็นคนสวมชุดคลุมขาว ใบหน้ามีเมตตามาก ในอ้อมกอดอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่ง นี่คือพระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตร! ข้างพระแม่กวนอิมเป็นชายหญิงยืนอยู่ อากัปกิริยาสมจริงดั่งมีชีวิต ผิวหนังสีขาวอมแดง สง่างาม ผู้หญิงก็สวยและท่วงท่าสง่า นั่นคือกุมารทองกุมารีหยก
แต่ข้างๆ พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตรยังมีอีกภาพหนึ่ง! คนนี้มีพันมือพันเนตร ทั่วร่างเปล่งแสงสว่างไม่มีสิ้นสุด ใบหน้ายังคงเมตตาราวกับจะปกป้องพันหมื่นชีวิต! ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็รู้ฐานะของเทวรูปองค์นี้…พระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันเนตรพันกร!
“ระบบ ฉันว่าอุโบสถควรเปลี่ยนชื่อเป็นอุโบสถกวนอิมนะ…” ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง ไม่นึกเลยว่าจะสุ่มได้พระแม่กวนอิมอีกปางมา พระแม่กวนอิมมีทั้งหมดสามสิบสามปาง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฟางเจิ้งเดาว่าเขาจะรวมพระโพธิสัตว์กวนอิมให้อัญเชิญพระพุทธองค์มาได้…
เพียงแค่ความคิดนี้วูบผ่าน ฟางเจิ้งก็รู้สึกดีกับพระโพธิสัตว์กวนอิมมาก พระโพธิสัตว์กวนอิมคือหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่มีคนบูชามากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือตัวแทนต่างๆ ล้วนดีหมด
พระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันเนตรพันกรมีชื่อย่อว่าพระโพธิสัตว์กวนอิม เทียบกับพระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตรแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันเนตรพันกรมีความสามารถเยอะมาก โดยพื้นฐานแล้วจะทำตามความปรารถนาของทุกชีวิตได้! ทว่าหลักๆ แล้วคือการปกป้องทุกชีวิต
ฟางเจิ้งประนมสองมือสวดอมิตาพุทธไปบทหนึ่ง จากนั้นมองอุโบสถ พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก จึงออกจากอุโบสถหมื่นพุทธ ฟางเจิ้งยิ้ม
วัดเอกดรรชนีก่อนหน้ามีเพียงพระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตร มีคนมาขอไม่สัมฤทธิผลมากมาย ตอนนี้มีพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันเนตรพันกรมาแล้ว น่าจะแก้ไขปัญหาน่าอึดอัดนี่ได้
ฟางเจิ้งไปหลังวัด หลังวัดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าตอนที่กลับไปถึงกุฏิก็อึ้งไป บนเตียงมีป้ายวางไว้อันหนึ่ง! เดินเข้าไปดูด้านบนเขียนอักษรใหญ่ไว้ว่า…ศาลเจ้าเอกดรรชนี
…………………………………………
[1] พิฆาตสี่เก่า เป็นการปฏิวัติสี่เก่าเช่น ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่าและนิสัยเก่าโดยเหมาเจ๋อตุง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
“ปู่ ไม่โกรธนะ ย่าพูดถูก”
เอื้อก!
เฉินจินแทบกระอักเลือด
“พ่อ อย่าเถียงเลยน่า เรื่องนี้พวกเราไม่ยอมเด็ดขาด” เฉินหลงเอ่ย
เฉินจินถลึงตามองเฉินหลงแวบหนึ่ง “ถ้าไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุผลกับฉัน วันนี้ฉันจะไม่ยอมจบ! ฉันอุฒส่าห์กลิ้งลงเขามา แต่ทุกคนกลับลืมบุญคุณเนี่ยนะ”
พวกซูหงยิ้มแห้ง ก่อนดึงเฉินจินไปข้างๆ แล้วเล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง
เฉินจินได้ยินดังนั้นแล้วก็เงียบ…
“ตาแก่ ฉันรู้นะว่าคุณดื้อ แต่อย่าดื้อเรื่องฟางเจิ้งได้ไหม ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไปด้วยกันไม่ได้ คุณจะดื้อก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าลืมบุญคุณคน! ถ้าไม่ใช่เพราะฟางเจิ้ง ครอบครัวเรากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว” ซูหงกล่าว
เฉินจินหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบเงียบๆ สูบไปสองทีแล้วถาม “พวกเธอไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
“ตาฝาด? พ่อ เห็นคานบ้านนั่นตรงประตูไหม! อย่างอื่นอาจจะตาฝาด แต่นี่น่ะตาฝาดได้เหรอ?” เฉินหลงตอบ
เฉินจินพูดด้วยความสงสัย “ก็มันเป็นไปไม่ค่อยได้นี้ ตอนฉันลงเขาฟางเจิ้งยังอยู่บนเขาอยู่เลย ลงเขามีทางเดียว ถ้าเขาลงมาไม่มีทางที่ฉันจะไม่เห็น แต่ว่า ไม่เห็นเขาเลย! แล้วก็เรื่องคำกลอนคู่นั่น เรื่องนี้มันพิลึกเกินไป…แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง”
“เรื่องคำกลอนเป็นความจริง พวกเราเห็นกันหมด ตาแก่ คุณคิดดูสิ พวกเราไม่อยู่บ้านตลอดทั้งปี บ้านก็เก่าแล้ว ทั้งหมู่บ้านเขาเป็นบ้านปูนกันหมดแล้ว คุณบอกว่าชอบบ้านเก่า แค่เปลี่ยนหน้าต่างก็พอ บ้านไม้คละดินแบบนี้จะทนไฟได้นานแค่ไหน? คนลงเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงไม่ใช่เหรอ? ชั่วโมงหนึ่ง มีบ้านไหนไม่ถูกเผาจนเกลี้ยงบ้าน?
แต่บ้านพวกเราแค่ไหม้ข้างนอก ในบ้านไม่มีไฟเข้ามาเลย เรื่องนี้มันปกติเหรอ? คุณบอกว่าภาพหลอนก็ได้นะ แต่ถ้าควันเข้ามา พวกเราจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ?” ซูหงกล่าว
เฉินหลงก็เสริมด้วย “ใช่ พ่อ พ่อมีเหตุผลบ้างสิ อู้หมิงอะไรนั่น พ่อเดินตามอย่างว่าง่ายยังกับเด็ก ทีฟางเจิ้งแสดงปาฏิหาริย์แบบนี้ พ่อกลับอยากใส่ร้ายเขา นี่พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่?”
ป้าบ!
เฉินจินตบเข้าที่หัวเฉินหลงแล้วต่อว่า “ทำไมพูดกับพ่ออย่างนี้? ฉันจะเป็นยังไงไม่ต้องให้แกมาสอน!”
“จะรุนแรงทำไม พวกเราเห็นจริงๆ ไหนคุณบอกมาสิว่าคุณจะทำยังไง!” ซูหงว่า
เฉินจินโยนบุหรี่ทิ้ง ยืนขึ้น “ฉันเฉินจินไม่ใช่ไอ้สารเลว! ไม่ลืมบุญคุณคนหรอก แต่เรื่องนี้มันพิลึกไปหน่อยจริงๆ ฉันอยากขึ้นเขาไปดูว่าฟางเจิ้งจะว่ายังไง…ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอม แต่พวกเธอวางใจ พอเกิดเรื่องวันนี้แล้ว จากนี้ฉันจะตัดขาดกับอู้หมิง! พอใจไหม? เอ่อ ไม่มีบ้านแล้วจากนี้จะทำยังไงล่ะ?”
“ทำยังไงเหรอ? ก็ไปกับพวกผมสิ บ้านใหญ่ขนาดนั้นในอำเภอจะไม่พอสำหรับพ่อกับแม่ได้ยังไง?” เฉินหลงกล่าว
“ไอ้เวร! ใครจะอยู่กับแก ฉันชอบหมู่บ้านเอกดรรชนี” เฉินจินตอบ
“ถ้าอย่างนั้นสร้างบ้านใหม่ให้เอาไหม?” เฉินหลงยิ้ม
“แกนี่ใจดีนะ ไปดีกว่า!” ในที่สุดเฉินจินก็มีสีหน้าอ่อนโยน
“ไปไหน?” ซูหงถาม
“ไปตลาด” เฉินจินโบกมือ
“ไปทำไม?” เฉินหลงถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉินจินถลึงตามอง “ถ้าแกมือว่างนักก็ขึ้นเขาไปหาผู้มีบุญคุณสิ? แกจะเอาหน้าไหม?! ถ้าไม่เอาพ่อเอาเอง!”
พวกเฉินหลง ซูหงต่างหัวเราะ…
ลูกชายเฉินหลงวิ่งเข้ามาร้องเรียก “ผมอยากกินลูกอม!”
………………..
บนเขา ฟางเจิ้งกลับไม่ดีใจ! ไม่ดีใจเอามากๆ!
“ระบบนายพูดอีกครั้งซิ! จับรางวัลกี่ครั้ง?” ฟางเจิ้งร้องด้วยสีหน้าเศร้าโศก!
“หนึ่งครั้ง! นายถามมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้งแล้วนะ ต่อให้นายถามเป็นร้อยครั้งฉันก็ไม่เปลี่ยนคำตอบ! หนึ่งครั้งก็คือหนึ่งครั้ง!” ระบบตอบ
“ฉัน…” ฟางเจิ้งอยากด่าคนอีกแล้ว แต่ก็อดกลั้นไว้ หนึ่งวันด่าได้ครั้งเดียว จะต้องใช้ยามจำเป็นเท่านั้นจะสิ้นเปลืองไม่ได้ ฟางเจิ้งชี้ฟ้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ใช่ว่านายไม่มีร่างจริงล่ะก็ ฉันจะสอนนายให้เป็นคนทุกๆ นาทีเลย! ให้นายเข้าใจ ในสมัยโบราณมีหลู่จื้อเซิน[1]ถอนต้นหลิว แต่สมัยนี้ฉันจะคืนสนองหัวระบบ!”
“จะจับรางวัลไหม? ไม่จับฉันจะไปแล้ว”
“จับสิ! ทำไมจะไม่จับ? แต่นายติดค้างคำอธิบายที่สมเหตุผลกับฉันนะ! ถ้านายไม่อธิบายฉันไม่ยอม! ฉันช่วยสี่ชีวิต แต่ได้จับครั้งเดียว? ไหนบอกหนึ่งคนหนึ่งครั้งไง? พูดความจริงมาเถอะ นายหักสามครั้งนั้นไปกินเองใช่ไหม? ฉันแลกมาอย่างสุดชีวิต แต่นายกินไปใช่ไหม? ก้นฉันยังเจ็บอยู่เลย…” ฟางเจิ้งร้องโวยวาย
ระบบตอบ “คำอธิบายสมเหตุผล? ได้ ครั้งนี้นายช่วยไว้สี่คน เป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่จริงๆ ถ้าครอบครัวเฉินจินตายไปในทะเลเพลิง เฉินจินอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ พ่อแม่ภรรยาเฉินหลงก็อาจจะเศร้าเสียใจ ชีวิตครึ่งหลังอยู่ในความเจ็บปวดทรมาน”
“ใช่ไหมล่ะ บุญกุศลใหญ่ขนาดนี้เลย! นายกลับให้ฉันจับรางวัลครั้งเดียว ขี้เหนียวเกินไปแล้ว…” ฟางเจิ้งพึมพำ
ระบบไม่สนใจฟางเจิ้ง แต่พูดต่อ “แต่ว่า การกระทำของนายครั้งนี้แค่ช่วยสี่คนเท่านั้น ได้บุญกุศลไปไม่น้อย แต่ได้จับรางวัลแค่ครั้งเดียว กระทำหนึ่งครั้งได้จับครั้งเดียว! ไม่มีมากกว่านี้ ถ้านายอยากได้ก็ปรับแก้ด้วยตัวเองได้ แต่ว่าการจับรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่การจับแบบธรรมดา บุญกุศลสี่คนมากพอจะให้นายจับได้ของดีชิ้นหนึ่ง พูดกลับกันก็คือจับรางวัลเล็กสี่ครั้งของสี่คนแลกเป็นการจับรางวัลใหญ่หนึ่งครั้ง!
ตอนแรกนายจะนับได้ลูกปัดสี่ลูก ตอนนี้นายจับได้ไข่มุกทองคำแล้ว จะเอาแบบไหนล่ะ? ถ้านายโง่ก็ถือว่าฉันไม่ได้พูด”
ดวงตาฟางเจิ้งพลันเปล่งประกาย แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนโง่ ลูกปัดก็ยังไงก็เป็นลูกปัด แต่ไข่มุกทองคำคือการเปลี่ยนคุณภาพไปเลย! ดังนั้นฟางเจิ้งจึงตอบไปว่า “อธิบายได้สมเหตุผลมาก อาตมารับได้”
“ตอนนี้จะจับได้รึยัง?”
“จับ! ต้องจับสิ! เอ่อ…ใช่ ตอนฉันลงเขานายบอกว่าได้รางวัลนี่ จับพร้อมกันเลยได้ไหม?” ฟางเจิ้งพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาจึงถาม
“ได้ จับพร้อมกัน? หมายถึงบุญกุศลสองครั้งรวมกันจับหนึ่งรางวัลใหญ่?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งอึ้งไป “สั่งสมบุญกุศลมาจับพร้อมกันได้ด้วย?”
“แน่นอน แม้บุญกุศลจะแตะต้องไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้บุญกุศลใหม่ ขอแค่ไม่จับรางวัลก็จะไม่ถูกใส่ไว้ในคะแนนบุญกุศลเก่า แต่จะคำนวณแยกไว้! ถ้านายจับรางวัล บุญกุศลเหล่านี้จะใช้สำหรับวัดระดับ ยิ่งบุญกุศลสูง โอกาสที่จะจับรางวัลได้ของดีก็จะสูงขึ้นด้วย นี่เป็นวิธีตัดสินอย่างหนึ่งของระบบ เอาล่ะ จะเอาลูกปัดสองลูกหรือไข่มุกทองคำหนึ่งลูก?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งมองบน “ระบบ ฉันว่านายทำเกินไปนะ! สี่ครั้งหดให้ฉันเหลือครั้งเดียว สองครั้งยังหดให้เหลือครั้งเดียวอีก…”
“นายเลือกเป็นสองครั้งได้” ระบบตอบอย่างมีเหตุผล
“นายพูดแบบนั้นไปแล้ว ถ้าฉันเลือกสองครั้งจะไม่เป็นคนปัญญาอ่อนรึไง? ครั้งเดียว! จับเลย! อย่าพูดถึงจำนวนกับฉันอีก มันอึดอัดใจ” ฟางเจิ้งพูด
…………………………
[1] หลู่จื้อเซิน ฉายาหลวงจีนลายบุปผา เล่าลือว่ามีกำลังมหาศาล ถอนต้นไม้ใหญ่ได้ด้วยมือเปล่า
“ออกมาไกลๆ แล้ว” เฉินหลงตะโกน
โครม!
แทบเป็นพริบตาเดียวประตูห้องถูกแรงระเบิดออก อากาศถ่ายเทเข้ามา ไฟลุกท่วมรุนแรงกว่าเดิม!
ไฟมากขนาดนี้ ข้างนอกจะมีคนเข้ามาได้ยังไง? จบสิ้นแล้ว
พวกเฉินหลงกับซูหงมีความคิดนี้วูบผ่านในใจ
ทว่ากลางเฟลวเพลิงปรากฏร่างเงาหนึ่ง ต่อมาร่างเงานั้นเดินออกมาจากกลางทะเลเพลิง ใช้กำปั้นชกใช้เท้าถีบวัตถุที่ไหม้ตรงปากประตูออกไปทั้งหมด ในนั้นเป็นคานบ้านไม้ที่ไฟเผาไหม้จนหมด เขาแบกคานบ้านแล้วโยนออกไป!
“ฮีโร่เหรอ? ไม้นั่นใช้สามสี่คนยังแบกไม่ไหวเลยนี่?” เฉินหลงตาต้าง
ซูหงได้สติกลับมา พอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดก็ตะโกนทันที “ฟางเจิ้ง?! นั่นแกเหรอ?”
“อมิตาพุทธ โยม อาตมาเอง ไม่ต้องพูดแล้ว รีบออกไปเถอะ บ้านจะถล่มลงแล้ว” ฟางเจิ้งพูดพร้อมเดินเข้าไป จัดการกับเปลวเพลิงตามเส้นทาง แบกโอ่งน้ำมา ดึงผ้าห่มมาคลุมคนพวกนี้ แล้วยกโอ่งน้ำเทไปทั้งหมด
คนเหล่านี้ห่อด้วยผ้าห่ม ก้มตัวก้มหน้าวิ่งออกไป
ฟางเจิ้งถึงวางโอ่งน้ำลง คนเหล่านี้เพิ่งวิ่งไปข้างนอก อักษรคำกลอนคู่สุดท้ายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ต่อมาได้ยินเสียงดังสนั่น บ้านถล่มลง!
ซูหงหันกลับไปมอง ฟางเจิ้งยังไม่ออกมา! จึงตกใจร้อง “ฟางเจิ้ง?! ฟางเจิ้ง?! แกโอเคไหม ฮือๆๆ อาทำร้ายแก! ฮือๆ…”
เฉินหลงกับภรรยาตาแดงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งปรากฏตัว ตอนนี้คนที่ถูกฝังข้างในคือพวกเขา! คนที่ตายคือพวกเขา! ผู้มีพระคุณดันสิ้นชีวิต จึงเสียใจ ร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น
แต่ตอนนี้เอง มีเงาคนหนึ่งหนีไปข้างหลังบ้านแล้ว
บ้านถล่มลงสร้างความตกใจแก่ผู้คนก็จริง แต่ฟางเจิ้งมีพละกำลังไม่น้อย ประกอบกับมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง แล้วมันจะฆ่าเขาได้ยังไง? พอเจ้านี่มั่นใจแล้วว่าพวกซูหงไม่เห็นไรก็อาศัยจังหวะวุ่นวายหนีไป ช่วยคนเป็นเรื่องดี แต่เมื่อรวมกับเรื่องที่อธิบายไม่ได้มากขนาดนี้คงจะพูดยากแล้ว
ฟางเจิ้งคิดไว้แล้วว่าหลังกลับไป ไม่ว่าใครถามจะไม่พูดอะไร! พวกคุณจะคิดยังไงก็คิดไป…
ตอนที่ฟางเจิ้งออกจากบ้านสกุลเฉิน รถดับเพลิงแล่นเข้ามา ฟางเจิ้งเองก็จัดการกับไฟมากขนาดนี้ไม่ได้เหมือนกัน เขาไปดูบ้านใกล้เรือนเคียงจนมั่นใจว่าไม่มีคนแล้วถึงวิ่งขึ้นเขาไป นั่งยองอยู่ในหิมะตรงปากทางขึ้นเขาอยู่นาน รอจนทุกคนลงเขาไปดับไฟหมดแล้วถึงเดินขึ้นเขาไปอย่างสงบนิ่ง
กลับขึ้นเขามา ฟางเจิ้งปิดประตูวัด เดินเข้าอุโบสถ เทียนไขยังติดไฟ เขานั่งขัดสมาธิลง สวดมนต์ อวยพรสำหรับปีใหม่ อวรพรให้ชาวบ้านตรงตีนเขา หวังว่าปีนี้ทุกคนจะปลอดภัย…
ตีนเขากลับคึกคัก รถดับเพลิงมาก่อนแล้ว ได้ยินว่ามีคนติดอยู่ข้างใน! พนักงานดับเพลิงกลุ่มหนึ่งจึงฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปทำการค้นหา ฝ่าเปลวเพลิง แถมแทบจะขุดดินอีกสามสิบนิ้วก็ยังไม่เจอร่างคน!
“หรือว่าถูกเผาเป็นจุณไปแล้ว?” ซูหงร้องไห้
“คุณผู้หญิงอย่าเพิ่งร้องไห้ครับ ไหนหลวงจีน ไหนคน…คุณดูข้างในสิ เอาเฟอร์นิเจอร์ออกมาแล้ว แม้แต่กระดูกยังไม่มีเลย” พนักงานดับเพลิงเขี่ยซากให้ดู
ซูหงมองตามไป ในนั้นไม่มีกระดูกคนจริงๆ และยังไม่มีศพ…เห็นดังนั้นเธอจึงสงสัย เห็นๆ อยู่ว่าฟางเจิ้งไม่ได้ออกมาตอนที่บ้านถล่มลง?
พนักงานดับเพลิงตบบ่าซูหง “คุณผู้หญิงครับ คุณน่าจะตกใจน่ะ เลยเกิดภาพหลอน”
“พวกเราเห็นกันทั้งหมดเลยนะ” ภรรยาเฉินหลงกล่าว
“นั่นคงจะเป็นภาพหลอนร่วมกัน” พนักงานดับเพลิงตอบ
ซูหงยังจะพูดบางอย่าง แต่เฉินหลงพลันดึงเธอไว้แล้วพูดเบาๆ “แม่ แม่เห็นภาพหลอนแล้วล่ะ เรื่องนี้น่ะมันแปลกเกินไป แม่ลองนึกถึงภาพคำกลอนคู่ ใช้มือเปล่าแบกคานบ้าน เดินออกมาจากทะเลเพลิงสิ คนทำแบบนั้นได้เหรอ? เรื่องนี้มันพูดยาก อธิบายไม่ได้ด้วย ยิ่งพูดยิ่งเป็นปัญหานะ…ผมว่าไต้ซือคงกลัวจะมีปัญหาเลยไปแล้ว ถึงไฟนี่จะแรง แต่ไต้ซือไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ พอฟ้าสางแล้วพวกเราขึ้นเขาไปดูกัน เดี๋ยวก็จะรู้เอง”
ซูหงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง พยักหน้า ไม่ดื้อดึงให้ช่วยฟางเจิ้งออกมาอีก แต่บอกว่าตนอาจจะเห็นภาพหลอน เหมือนเห็นบางอย่างแต่จำไม่ได้แล้ว
ซูหงไม่วุ่นวายอีก เลยจัดการเรื่องง่ายขึ้น
ตอนนี้เองชาวบ้านต่างรีบกลับมา เฉินจินเห็นซูหง เฉินหลงรวมถึงภรรยาซูหงกับลูกชายเฉินหลงแล้วก็กระโจนเข้าไปกอดร้องห่มร้องไห้ เขากังวลมาตลอดทาง ตกใจจนแทบแย่!
เดิมทีซูหงยังโกรธอยู่ แต่เห็นเฉินจินในสภาพย่ำแย่แบบนี้ก็มีสีหน้าห่วงใยและกังวล ทันใดนั้นเองเปลวไฟมอดดับหมดแล้ว ทุกคนรอดชีวิต อยู่พร้อมหน้ากันก็ดีแล้ว…ส่วนบ้านถูกเผาจนหมดสิ้นก็สร้างใหม่! คนอยู่ก็มีทุกอย่างแล้ว!
หลังพนักงานดับเพลิงจัดการเรื่องทางนี่เสร็จก็แยกย้ายไป
หวังโอ้วกุ้ยรวมแรงงานคนช่วยกันชำระสะสางบ้านสกุลเฉิน ดูว่ายังมีของที่ใช้ได้อีกไหม
ครอบครัวเฉินจินก็ช่วยด้วยเหมือนกัน ยุ่งจนถึงช่วงบ่ายก็ส่งชาวบ้านด้วยความกระตือรือร้น
ครอบครัวเฉินจินมองซากบ้านพลางถอดถอนใจ
เฉินจินด่าทอเบาๆ “ต้องโทษฟางเจิ้ง ปีใหม่มัวธูปดอกแรกอะไรอยู่ได้…”
ป๊าบ!
เฉินจินถูกตบหัว!
เฉินจินถามด้วยความโมโห “ซูหง คุณทำอะไรเนี่ย?”
“ทำอะไรเหรอ?! ก็ตีคุณไง! จะฟาดคุณด้วย! ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม? ลองด่าฟางเจิ้งอีกทีดูสิ? จะบอกให้นะเฉินจิน นับจากนี้ไปถ้าฉันได้ยินคุณด่าฟางเจิ้งอีก จะไม่ใช่แค่ตบแน่! ฉันจะเอารองเท้าฟาดคุณด้วย!” ซูหงยืนเท้าสะเอวด้วยท่าทีเหมือนกับมารดาผู้โหดร้าย
เฉินจินถูกข่มจนตะลึงค้าง สองคนอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นซูหงโหดแบบนี้! นี่ภรรยาเขาเหรอ? ปกติเขาว่ายังไงก็ว่าตามนั้นนี่? ทำไมวันนี้ถึงคัดค้าน?
เฉินจินรีบมองไปทางเฉินหลงลูกชายเขา “ลูกไม่สนใจหน่อยเหรอ? แม่ลูกกำลังเข้าข้างคนอื่นนะ!”
เฉินหลงตบบ่าเฉินจิน “พ่อ อย่าโกรธเลยน่า”
ในใจเฉินจินขยายออก คิดในใจว่า ‘ลูกก็ยังให้อภัยเรา เป็นห่วงเรา…”
“แม่พูดถูกแล้ว! แม่ รองเท้าไม่พอหรอก ผมจะช่วยด้วย!” เฉินหลงกล่าวต่อ จากนั้นยืนอยู่ข้างหลังซูหง
เฉินจินตะลึงงัน นี่มันอะไรกัน? ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้ทุกคนก่อกบฏอย่างนั้นเหรอ?
เฉินจินมองภรรยาเฉินหลง แต่เธอยืนอยู่ข้างหลังซูหงแล้ว พูดเก้ๆ กังๆ “พ่อ แม่พูดถูกนะ”
“พะ…พวกเธอ…จะก่อกบฏกันเหรอ? โถชีวิต…” เฉินจินโกรธจนกระทืบเท้า ตอนนี้เองกางเกงตึง พอก้มหน้ามองก็เห็นหลานชายกอดเขาไว้
หลานชายพูดขึ้น “ปู่ ไม่โกรธ…”
เฉินจินอุ้มหลานขึ้นมา “ก็มีหลานที่ดีกับฉัน รู้จักเป็นห่วงปู่”
………………………
“ระบบ จีวรขาวจันทร์ปกป้องฉันให้ไม่ตายได้จริงๆ ใช่ไหม?” ฟางเจิ้งถามระบบ
ระบบตอบ “กันน้ำกันไฟ ดาบปืนไม่เข้า แค่ไม่ถอดจีวร ตามหลักแล้วบนโลกนี้ไม่มีอะไรฆ่านายได้”
“ถ้าฉันกระโดดลงไปล่ะ?” ฟางเจิ้งมองข้างล่างที่มีเมฆหมอกโอบล้อมพลางถาม
“ไม่ตาย แต่ก็เจ็บมาก อีกอย่างนายลงเขาไม่ได้!” ระบบว่า
“อย่าพูดไร้สาระ ฉันจะลงเขา! ช่วยคนน่ะรู้จักไหม? ฉันจะไปช่วยคน!” ฟางเจิ้งได้ยินเสียงร้องจากปลายสาย โดยเฉพาะเสียงร้องไห้ของเด็กก็ร้อนใจดั่งไฟรนก้น จึงตะโกนออกมา ดีที่แถวนี้ไม่มีคน ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ลงเขาไปหมดแล้ว
ฟางเจิ้งเพิ่งเริ่มด่าสายฟ้าก็ผ่าลงตรงหน้าเขา ทว่าเขาทำเหมือนมองไม่เห็น “ฉันขอถามว่าฉันลงเขาได้ไหม!”
“นายก็ลองดู!” เสียงระบบพลันเย็นเยียบขึ้น แถมยังมีความเคร่งขรึมเพิ่มมาหลายส่วน ราวกับว่าฟางเจิ้งกำลังยั่วยุเส้นตายเขา!
“แม่ช่วยด้วย หนูเจ็บ!” เสียงเด็กร้องแว่วมา
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นดวงตาพลันแดงก่ำ! เขาไม่แปลกตากับอัคคีภัย ตอนนั้นที่เขาอยู่บ้านถานจวี่กั๋วก็เคยผ่านไฟไหม้ครั้งใหญ่มา ตอนนั้นพวกชาวบ้านฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยเขาออกมา ทว่าหลายคนนั้นถูกไฟคลอกจนเข้าโรงพยาบาล ไม่มีพวกเขาก็ไม่มีฟางเจิ้งในวันนี้
ตอนนี้กลับฝั่งกัน ฟางเจิ้งไม่สนแล้วว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นใคร แต่จะต้องรีบช่วยคน!
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ด่าทอไปยกใหญ่ “กฎระยำ ฉันจะช่วยคน!” ขณะเดียวกันฟางเจิ้งพุ่งออกไปปานลูกธนู กระโดดลงหน้าผาไป!
ทว่า ทันทีที่ฟางเจิ้งกระโดดลงไป…
“ติ๊ง! จิตใจผ่านการฝึกฝน! ยินดีด้วย ได้เป็นร่างสถิตของระบบพระพุทธองค์อย่างเป็นทางการ!”
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งอึ้งอยู่กับที่ ถาม “ระบบ นายพูดอีกทีซิ! เกิดอะไรขึ้น?”
“ตามกฎระบบแล้ว ถ้าก่อนนายลงเขาจิตใจยังไม่ตรงตามเป้าของภิกษุ ระบบจะเลือกร่างสถิตใหม่ แต่ข้อนี้มีกฎซ่อนไว้อยู่ ห้ามฉันบอกกับนายไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม” ระบบพูดอย่างเอ้อระเหย
“ระบบ ฉันล่ะอยากด่านัก!” ฟางเจิ้งอยากด่าจริงๆ ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้แต่แรกเขาควรจะกระโดดลงเขาไปแล้ว! แบบนั้นจะได้สึกทันที! ทว่ากลับถูกระบบต้ม…
ระบบเข้าใจความคิดเขามากเลยกล่าวเรียบๆ “ด่าสิ”
“ฉันด่านาย นายจะให้ฟ้าผ่าฉันรึเปล่า?” ฟางเจิ้งถาม
“ต้องสิ! แต่ขอเตือนอย่างเป็นมิตร นายเป็นภิกษุแล้ว และก็เป็นนักบวชอย่างแท้จริง โอกาสด่าได้สามครั้งต่อวันเหลือครั้งเดียว” ระบบกล่าวอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งกลืนคำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากกลับไป ก่อนคิดในใจ ‘ไอ้เวร รอฉันช่วยคนก่อนเถอะแล้วจะมาคิดบัญชีกับแก!’
“นายมองลงไปข้างล่างสิ” ระบบเอ่ย
ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง หน้าผา ตกจากที่สูง ตาลาย ขาอ่อน…เขากลัวความสูง!
“อ๊าก!”
เมื่อครู่เอาหัวดิ่งลงไป ตอนนี้กรีดร้องโดยจิตใต้สำนึก…
บนเส้นทางลงเขา พวกหวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงวิ่งเร็วที่สุด ตอนนี้เหมือนได้ยินเสียงคนร้อง
หยางผิงกล่าว “ผู้ใหญ่บ้าน จะมีใครเป็นอะไรรึเปล่า?”
หวังโอ้วกุ้ยใจเต้นระรัว รีบให้หยางผิงกลับไปดูว่ามีใครเป็นไปอะไรไหม
ตอนนี้เองเฉินจินตามมาทันแล้ว ดวงตาแดงก่ำ กัดฟันแน่น วิ่งลงเขามาอย่างคลุ้มคลั่ง บนหัวมีเลือดไหล เสื้อผ้าก็ขาดไปหลายแห่ง เห็นได้ว่าเขากลิ้งลงเขามา
หวังโอ้วกุ้ยถามไปโดยพลัน “เฉินจินเป็นยังไงบ้าง?”
“บ้านฉันไฟไหม้ ไฟไหม้…ช่วยด้วย!” เฉินจินวิ่งลงเขาพลางร้องเสียงดัง ตอนนี้เขาสำนึกเสียใจจริงๆ เขาไม่ควรห้ามไม่ให้ซูหงตามขึ้นเขาไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ไฟไหม้บ้านคนก็ไม่เป็นไร! สำนึกเสียใจภายหลัง…
โครม!
เกิดเสียงดังสนั่นข้างหน้าผานอกหมู่บ้าน ฝุ่นฟุ้งกระจาย พื้นที่ราบเป็นหลุมใหญ่!
กลางหมอกฝุ่นนั้นมีเสียงคนร้องพร้อมกับวิ่งออกมา “เจ็บๆๆ…เจ็บจังโว้ย…ระบบ ทำไมนายไม่บอกให้ชัดล่ะ เฮ้อ เกือบตาย! เจ็บ…”
เดิมทีฟางเจิ้งตกลงพื้นอย่างวีรบุรุษชั้นยอดได้ ทว่ายืนไม่ไหวจึงเอาก้นล้มลงกับพื้น บนพื้นก็ไม่ได้ดีนัก มีหินนูนขึ้นมาก้อนหนึ่ง พอเอาก้นนั่งลงไป น้ำตาไหลเป็นทาง กุมก้นไว้พลางร้องโอ๊ยและวิ่งไปข้างหน้า
“บอกนายแล้วนี่ว่าเจ็บ” ระบบตอบเรียบๆ
ฟางเจิ้งไม่มีเวลามาเถียงกับเขา ที่คุยก็แค่เพื่อเบนความสนใจไปเท่านั้น จะได้ไม่เจ็บมากเกินไป!
บ้านเฉินจิน ซูหงใกล้จะบ้าแล้ว รอบๆ เป็นเพลิง ออกไปไม่ได้เลย! ในบ้านนอกจากซูหงยังมีลูกชายของเฉินจิน ลูกสะใภ้รวมถึงหลานอายุเพิ่งสามขวบ
คนในครอบครัวถูกขังอยู่ในบ้าน เด็กร้องไห้เสียงดัง ลูกชายเฉินจินจะออกไป ทว่าไฟร้อนแรงเกินไป ประตูนิรภัยถูกเผาจนเปลี่ยนรูป คานบ้านยังตกลงมาขวางหน้าต่างนิรภัยไว้ ทำให้ออกไปไม่ได้! นอกหน้าต่างก็เป็นไฟทั้งหมด ครอบครัวนี้ตระหนกกันมาก ขาดสติทำอะไรไม่ถูกกันไปนานแล้ว
“แม่ เป็นไงบ้าง ไฟแรงขนาดนี้ ตามหลักควรจะเผาไปแล้วสิ” ลูกชายเฉินจินพลันเห็นว่าสถานการณ์แปลกไปเล็กน้อยเลยถาม
“แกยังสงสัยว่าไฟไม่แรงพออีกเหรอ? ต้องให้เผาพวกเราตายแกถึงจะดีใจใช่ไหม?” ภรรยาเฉินจินกอดลูกไว้พลางร้องเสียงดัง
ซูหงตั้งสติได้ จริงๆ แล้วไฟแรงขนาดนี้ ทำไมไฟยังไม่เผามาถึงในห้อง? พอกวาดสายตามองก็พบภาพที่น่าแปลกใจ! นั่นคือคำกลอนคู่ที่ขอมาตอนเสี่ยวเหนียน เพราะอักษรมันสวยเกินไป แถมยังมีนักเขียนพู่กันจีนมากขนาดนั้นไปขออักษร เฉินจินจึงเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ รู้ว่าอักษรนี่ล้ำค่า ทำใจแขวนตากลมตากฝนข้างนอกไม่ได้ เลยแปะไว้ในห้อง
ตอนนี้ไฟลุกหนัก ทว่าอักษรบนคำกลอนคู่บนประตูห้องกลับกำลังสะท้อนแสง อักษรสีดำเหล่านั้นกลายเป็นสีทอง! ขณะเดียวกันนอกตัวคำกลอนติดไฟ แต่คำกลอนกลับไม่ติดไฟ! ที่แปลกกว่านั้นคือแม้จะไม่ติดไฟ แต่คำกลอนก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านช้าๆ!
“คำกลอน! คำกลอนที่ฟางเจิ้งเขียน!” ซูหงชี้คำกลอน
เฉินหลงลูกชายเฉินจินมองไป ก็พบความประหลาดของคำกลอนจริงๆ! จึงปิ๊งความคิด “ไม่ว่าจริงหรือเปล่า ผมจะลองดู!”
เฉินหลงวิ่งเข้าไปจะฉีกคำกลอน จากนั้นตะโกน “ถือคำกลอนออกไป อาจจะช่วยได้!” แต่เพิ่งสัมผัสคำกลอน มันพลันกลายเป็นเถ้าธุลี! เพลิงมากมายหลั่งทะลักเข้ามา!
เฉินหลงถูกไฟโถมใส่จนกลิ้งกลับมา ซูหงกับภรรยาเฉินหลงรีบเข้ามาประคองเขา ซูหงร้องขึ้น “อย่าแตะคำกลอน อย่าแตะ”
ยังเหลือคำกลอนคู่ล่างอยู่ แต่ความเร็วในการเป็นเถ้าถ่านมากขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนจึงสิ้นหวังจริงๆ แล้ว
ซูหงด่าไปยกใหญ่ “ต้องโทษพ่อบ้าแกนั่นแหละ! ถ้าให้พวกเราขึ้นเขาไปด้วยกัน จะต้องถูกไฟคลอกอยู่แบบนี้เหรอ…ถ้าเขาไม่หูเบาไปช่วยอู้หมิงใส่ร้ายวัดเอกดรรชนี บ้านพวกเราคงไม่ถูกพระโพธิสัตว์ลงโทษ เวรกรรม…”
“จบสิ้นแล้วๆ…” เฉินหลงก็มีสีหน้าสิ้นหวังเหมือนกัน
มองคำกลอนคู่ที่กำลังจะมอดไหม้จนสิ้น…
พลันมีเสียงตะโกนดังมาจากนอกหน้าต่าง “ข้างในมีคนไหม?”
“มี! มีคน! มีคน! ช่วยด้วย!” เฉินหลง ซูหงและภรรยาเฉินหลงตะโกนไปพร้อมกัน
ต่อมาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากข้างนอก “ถอยออกจากประตูไกลๆ หน่อย!”
…………………………
สิ้นเสียง พวกชาวบ้านอึ้งไป
อู้หมิงเห็นทุกคนเงียบก็คิดว่าในที่สุดตนก็ชนะ รอแค่ฟางเจิ้งตอบ แล้วอาศัยจังหวะลงมือกดอยู่เหนืออีกฝ่าย!
ทว่า…
“อู้หมิง นายเป็นบ้าอะไร? ทำไมพูดอะไรแบบนั้น?”
“พวกเราเห็นฟางเจิ้งมาตั้งแต่เล็ก คิดว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นเด็กแบบไหนเหรอ?”
“ไอ้ลาหัวล้าน ไม่ชอบหน้าแกมานานละ ไอ้สารเลว!”
“อู้หมิง ไสหัวไปไอ้สารเลว ที่นี่คือวัด ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงกระทืบแกพิการไปแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วกล่าว
ถานหย่งก็เอ่ยเช่นกัน “คนอื่นเป็นยังไงฉันไม่กล้าพูดหรอกนะ แต่เทียบกับนายแล้ว ฉันเชื่อฟางเจิ้งมากกว่า!”
ถานหมิงเสริมด้วย “ใช่ ฉันเคยเห็นหลวงจีนปลอมมาเยอะแล้ว ฉันว่านะนายไม่ใช่คนดีหรอก! แถมยังมาใส่ร้ายฟางเจิ้งอีก? นายหัดดูตัวเองซะบ้างว่าน่าระอาแค่ไหน!”
อู้หมิงพลันอึ้งไป คิดคำนวณอย่างหนัก แต่ลืมความสัมพันธ์ระหว่างฟางเจิ้งกับพวกชาวบ้านไป! นี่ไม่ใช่ญาติโยมธรรมดา นี่คือญาติพี่น้องของฟางเจิ้ง!
ประโยคเดียวจุดถังดินปืน อู้หมิงสำนึกเสียใจแล้ว! น่าเสียดายไม่มียาสำนึกเสียใจให้กิน ทว่าจะจบสิ้นแล้วก็ยังดิ้นรน “ไร้ปัญญา! พวกโยมจะต้องเสียใจ!”
ทุกคนจะด่าทอต่อ ทว่าฟางเจิ้งประนมสองมือกล่าวเสียงก้อง “อมิตาพุทธ พวกโยมใจเย็นลงก่อน อาตมาบอกว่าธูปดอกแรกไม่สำคัญ หลวงพี่อู้หมิงบอกว่าสำคัญ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ง่าย ให้อาจารย์ของหลวงพี่อู้หมิงออกมาพูดสิ ก็จะรู้ทุกอย่างเอง! อาตมาก็เคยได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของหลวงจีนหงเหยียนมาก่อน เขาเป็นพระอาจารย์ อาตมาเชื่อว่าหลวงจีนหงเหยียนจะให้คำตอบที่พอใจกับทุกคน”
“อาจารย์อายุเยอะแล้ว ไม่สะดวกจะขึ้นเขา พวกโยมจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ! อาตมาแค่อยากทำความดี สั่งสมบุญกุศล ในเมื่อพวกโยมไม่เชื่อก็ช่าง!” พูดจบอู้หมิงผลักกลุ่มคนออก รีบเดินลงเขาไป
“ชิ!” ทุกคนไม่ใช่คนโง่ อู้หมิงจากไปอย่างเหงาหงอยแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวจะถูกจับได้ว่าโกหก ตอนนี้เองมีคนมากมายส่งนิ้วกลางให้!
อู้หมิงรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงรีบเดินเร็วกว่าเดิม ทว่าไม่ระวังเหยียบบนน้ำแข็งลื่นล้มกับพื้น ทุกคนหัวเราะเสียงดัง เขายิ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ไปใหญ่…
ในกลุ่มคน เฉินจินเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าอู้หมิงจบสิ้นแล้ว อย่างน้อยหมู่บ้านเอกดรรชนีก็ไม่มีที่ให้เขาพูดแล้ว ส่วนเฉินจินเองก็เข้าใจแล้วว่าอู้หมิงไม่ใช่คนดีอะไร ทว่าไม่มีอู้หมิง เขาจะหารายได้พิเศษยังไง? ตัดช่องทางรวยเรียบร้อย ฉะนั้นเฉินจินจึงยังไม่ชอบฟางเจิ้ง! พอนึกถึงว่าก่อนหน้านี้มาขอโจ๊กล่าปาแล้วถูกปฏิเสธ เขากับอู้หมิงขายหน้าเหมือนกันเลย!
ในใจเฉินจินมีความแค้น แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะจะเผยออกมา ส่วนจะให้ลงเขาตอนนี้? บอกคนอื่นไปแล้วไม่ใช่หรือว่าเขากับอู้หมิงมาด้วยกัน? เขาไม่อยากขายหน้าอีก ดังนั้นเลยตามกลุ่มคนไปอย่างสงบ คิดว่าจะตามเข้าไปจุดธูป จากนั้นกลับบ้านพร้อมกัน พอนึกถึงซูหงภรรยาที่บ้านและยังมีลูกที่รีบกลับมาช่วงปลายปีกับหลานชาย ในใจจึงเกิดความอบอุ่น
อู้หมิงไปแล้ว แต่ฟางเจิ้งก็ยังปวดหัวอยู่เล็กน้อย แม้พุทธศาสนาจะบอกว่าธูปดอกแรกคือธูปดอกแรกของทุกคนก็ตาม ทว่าทุกวัด ธูปดอกแรกของปีใหม่เป็นการยอมรับอย่างหนึ่งของชาวบ้าน! โดยเฉพาะคนจีน ผูกใจกับคำว่าอันดับหนึ่งลุ่มลึกมาก จึงจัดการยากมาก
ตอนนี้เอง ใต้ภูเขาไกลออกไปพลันมีเสียงประทัดดังขึ้น ได้ยินเสียงคนโห่ร้องรางๆ เสียงประทัดดังขนาดนี้ หมายความว่าปีใหม่มาถึงแล้ว!
แต่แม้พวกชาวบ้านจะเชื่อฟางเจิ้ง ทว่าก็ยังกระตือรือร้นอยากลอง
ฟางเจิ้งปิ๊งความคิดขึ้นมา หมุนตัวกลับไหว้อุโบสถ “นักบวชฟางเจิ้ง พาชาวบ้านภูเขาเอกดรรชนีใต้ภูเขามาไหว้พระโพธิสัตว์ด้วยความเคารพ!”
พูดจบฟางเจิ้งเดินเข้าไปหยิบธูปธรรมดามาดอกหนึ่ง จุดไฟสะบัดไปมา แล้วปักไว้บนกระถางธูป!
ทุกคนเห็นฟางเจิ้งเอาธูปดอกแรกไปไหว้แล้วก็มองหน้ากัน จากนั้นคิดเหมือนแบบนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาวาสวัด ไปจุดธูปก็สมเหตุผล…
ไม่มีธูปดอกแรกแล้ว ทุกคนเลยผ่อนคลายลงมาก แต่ละคนเรียงแถวเข้าไปจุดธูปขอพร
ฟางเจิ้งมองอุโบสถที่ครึกครื้นพลางรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย แต่ก็มีความกลุ้มใจมากกว่า “ระบบ พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรองค์เดียวไม่พอจริงๆ! มีผลกระทบถึงการพัฒนาวัดอย่างหนักเลย!”
“ติ๊ง ดังนั้นนายจะต้องพยายามแล้วล่ะ”
“ให้คำแนะนำที่สร้างสรรค์หน่อยได้ไหม?” ฟางเจิ้งถาม
“ได้!”
“พูดมา”
“นายจะต้องพยายาม!”
ฟางเจิ้ง “2#Y#@)”
อุโบสถคึกคักถึงประมาณตีสองก็จบลง ทุกคนเข้าไปจุดธูปแล้ว เด็กวิ่งเล่น คนชรายิ้ม คุยกันอยู่ทุกที่ แต่ฟางเจิ้งแทบจะยิ้มหยีตา เขาเห็นชัดเจนว่าอาจเป็นเพราะปีใหม่ทุกคนจึงใจกว้างมาก! ครั้งนี้จุดธูปชั้นดีกันหมด! แม้ระบบจะเก็บรายได้ฟางเจิ้งไปครึ่งหนึ่ง แต่รายได้ก็ยังมากพอดูทีเดียว!
การขยายวัดเข้าใกล้มาอีกแล้ว!
ขณะที่ฟางเจิ้งกำลังแอบยิ้มอยู่นั้น…
“ทำไมตีนเขาถึงเป็นสีแดงล่ะ?” มีคนพลันถามขึ้น
พอเข้าไปดูใกล้ๆ หน้าผา ก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “แย่แล้ว หมู่บ้านไฟไหม้! รีบดับไฟเร็ว!”
พวกหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วร้อนรนโดยพลัน วิ่งไปมองข้างล่างตรงหน้าผา ไฟไหม้จริงๆ หวังโอ้วกุ้ยจึงรีบให้หยางผิงแจ้งรถดับเพลิง ส่วนตนร้องเรียก “พวกผู้ใหญ่ตามฉันลงเขา ช่วยกันดับไฟ”
ตอนนี้เองชายหญิงวัยผู้ใหญ่วิ่งลงเขาไป
ฟางเจิ้งได้ยินข้างนอกเกิดความวุ่นวายเหมือนว่าจะไฟไหม้เลยออกมาดูสถานการณ์ ยืนมองอยู่ตรงริมหน้าผา ไม่รู้ว่ากองฟางบ้านใครตรงตีนเขาไฟไหม้! แม้หน้าหนาวจะมีหิมะ แต่หิมะไม่ใช่ฝน ด้วยสภาพอากาศกับวัตถุแห้งๆ แถมยังมีลมแรง ไฟจึงลุกลามเร็วมาก! แปปเดียวก็ลุกไหม้ถึงบ้าน หน้าหลังติดไฟพร้อมกัน…
เฉินจินข้างหลังเห็นทุกคนร้อนรนก็กล่าวอย่างมีเจตนาไม่ดี “หึหึ ปีใหม่ไม่อยู่บ้าน เป็นไงล่ะไฟไหม้เลย? ภูเขาสูงขนาดนี้ต่อให้ลงไปก็ไหม้จนหมดแล้ว…”
ตอนนี้เองมือถือเฉินจินดังขึ้น
เฉินจินหยิบขึ้นมาดู เป็นซูหงภรรยาเขาโทรมา พอรับสายก็พูดทันที ไม่รอให้ปลายสายพูด “ในหมู่บ้านเหมือนจะไฟไหม้นะ เมฆหมอกหนามองเห็นไม่ชัด คุณระวังด้วยล่ะ”
“ช่วยด้วย! บ้านเราไฟไหม้ ออกไปไม่ได้!” เสียงร้องของซูหงจากปลายสายดังเข้ามา
เฉินจินอึ้ง ร้องเสียงดัง “บ้านฉัน! บ้านฉัน! บ้านฉัน!”
เฉินจินวิ่งลงเขา…ตอนนี้เขาไม่เยาะเย้ยแล้ว ล้มลุกคลุกคลานตลอดทาง ใช้ขาไม่ได้แล้ว มือถือก็โยนทิ้งไปแล้ว
ฟางเจิ้งหยิบมือถือขึ้นมาก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจจากปลายสาย รวมถึงเสียงเปลวไฟดังเปาะแปะ เสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงร้องของผู้หญิงดังไม่ขาดสาย…แย่แล้ว จะมีคนเสียชีวิต!
เดิมทีฟางเจิ้งคิดว่าชาวบ้านขึ้นเขามากันหมดเลยไม่น่าเป็นห่วง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว! มีคนถูกขัง!
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งก็ร้อนใจ ทว่าจะวิ่งลงเขาก็ไม่ทันกาลแล้ว!
……………………
ไม่อย่างนั้นด้วยความเคยชินของทุกคน แม้ธูปดอกแรกจะดี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแย่งกัน ถึงยังไงปีก่อนๆ ก็ไม่ได้มีคนไปแย่งธูปดอกแรกที่วัดผาแดงเยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะจุดประทัดที่บ้าน กินเกี๊ยว ดูงานราตรีสังสรรค์ร่วมกันวันปีใหม่
ในเมื่อรู้เจตนาของทุกคนที่มาแล้ว ฟางเจิ้งเลยต้องจัดการให้เรียบร้อย เขาประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ พวกโยม ทุกคนไม่ต้องแย่งกัน เรื่องธูปดอกแรกไม่มีอยู่จริงหรอก วัดไหนๆ ก็ไม่มีประกาศเรื่องธูปดอกแรก ธูปดอกแรกที่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนสร้างขึ้น มันไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่นักหรอก
ถ้าจะพูดถึงธูปดอกแรกจริงๆ ธูปดอกแรกที่พวกเราคิดคือธูปดอกแรกในปีใหม่ของทุกคน ธูปนี้จะไม่เปลี่ยนไปเพราะจุดเป็นคนที่สอง สามหรือจุดคนสุดท้าย มันยังคงเป็นธูปของโยม
แค่มีความจริงใจก็จะสัมฤทธิผล แย่งที่หนึ่งกันไม่มีความหมายมากนักหรอก แค่จริงใจ พุทธศาสนาย่อมปกป้องพวกโยม อวยพรให้พวกโยม”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน มีคำพูดแบบนี้ด้วย?
ตอนนี้เอง ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ไม่ใช่มั้ง? หลวงพี่อู้หมิงบอกว่าธูปดอกแรกสำคัญมาก”
“ใช่ๆ หลวงพี่อู้หมิงบอกว่าถ้าแย่งธูปดอกแรกในปีใหม่ได้จะเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่ ปกป้องให้ปลอดภัยและร่ำรวย!”
“หลวงพี่อู้หมิงเคยพูดไว้จริงๆ เมื่อกี้ยังพูดเรื่องบุญกุศลของธูปดอกแรกอยู่เลย”
พอได้ยินดังนั้นมีหลายคนมองอู้หมิง อู้หมิงร้องทุกข์ในใจ ไม่นึกเลยว่าจะถูกขายเร็วขนาดนี้ แน่นอนเขารู้ว่าฟางเจิ้งพูดถูก เพราะไต้ซือหงเหยียนเคยพูดไว้หลายครั้ง และห้ามนักบวชไปเผยแพร่เรื่องธูปดอกแรกด้วย เพียงแต่ว่าไต้ซือหงเหยียนอายุเยอะแล้ว สนใจเรื่องข้างนอกน้อยมาก อีกทั้งชาวปุถุชนยังมีประเพณีแย่งกัน เขาก็จะไล่คนไม่ได้อีก ได้แต่ปล่อยผ่าน
ตอนนี้ฟางเจิ้งพูดแบบนี้ไม่อะไร ถึงยังไงก็เป็นนักบวชเหมือนกัน แถมยังจัดธูปดอกแรกครั้งแรก…
เพียงแต่ว่าในใจอู้หมิงทั้งเสียใจและดีใจ เสียใจที่ถูกขาย ขบคิดว่าควรจะรับมือกับปัญหายังไง และที่ดีใจคือเณรไม่รู้จักการทำกิจการ ธูปดอกแรกเป็นตัวช่วยดึงแสงไฟธูปได้ดีขนาดนี้ยังปฏิเสธ โง่รึเปล่า? มีคนโง่เป็นคู่ต่อสู้แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี
อู้หมิงตรึกตรองอย่างรวดเร็ว รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้เลยเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาเคยพูดไว้จริงๆ”
สิ้นเสียงทุกคนต่างเงียบ พากันมองฟางเจิ้งกับอู้หมิง ชาวบ้านไม่รู้ว่าธูปดอกแรกดีหรือไม่ แต่อู้หมิงกับฟางเจิ้งเป็นนักบวช ต่างมีคำพูดของตัวเอง แค่ต้องดูว่าใครดีกว่าก็จะฟังคนนั้น
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ธูปดอกแรกคือธูปดอกแรกของทุกคน เปลี่ยนเป็นธูปดอกแรกที่รวมกับทุกคนตั้งแต่เมื่อไร? นี่ไม่ใช่การพูดลวงหลอกคนอื่นเหรอ? เขาไม่พอใจ จึงประนมสองมือแสดงความเคารพ “ขอถามหน่อยว่าท่านบำเพ็ญเพียรที่วัดใด?”
อู้หมิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มตอบ “อาตมาบำเพ็ญเพียรที่วัดผาแดง นับดูแล้วบำเพ็ญเพียรมาสิบกว่าปี หลวงพี่ฟางเจิ้ง นับจากพรรษาแล้ว เราสองคนพอๆ กัน แต่อาตมาบวชก่อน ท่านต้องเรียกอาตมาว่าศิษย์พี่”
ฟางเจิ้งกลอกตาด่าทอในใจ ‘ไอ้ห่านี่ แค่อ้าปากก็จะเอาเปรียบกันแล้ว! ได้ อยากเล่นใช่ไหม จะเล่นกับแกเอง!’
ฟางเจิ้งจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม ยิ้มเอ่ย “หลวงพี่อู้หมิงดำรงตำแหน่งใดที่วัดผาแดง? ตอนนี้อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี”
สิ้นเสียง รอยยิ้มอู้หมิงแข็งค้าง เขามีตำแหน่งเล็กน้อยในวัดผาแดงจริงๆ แต่วัดผาแดงก็เป็นเพียงวัดเล็กเท่านั้น…พูดตำแหน่งไปก็น่าขายหน้าเปล่าๆ! แม้วัดเอกดรรชนีของฟางเจิ้งจะเล็ก แต่อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาวาส! ดึงเข้าไปเทียบได้กับระดับหลวงจีนหงเหยียน! เทียบกันแบบนี้แล้ว อู้หมิงพลันเตี้ยกว่าฟางเจิ้ง
อู้หมิงยิ้มแต่ภายในไม่ยิ้ม “เป็นนักบวช ไม่จำเป็นต้องพูดถึงภาระเหล่านี้หรอก หลวงพี่ฟางเจิ้ง ธูปดอกแรกเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญ ทำไมท่านกลับพูดไม่ให้ความสำคัญแบบนี้ อีกอย่างท่านก็เตรียมธูปดอกแรกไว้ให้ใครแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว อู้หมิงจงใจมาหาเรื่องเขา! คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งก็ไม่เกรงใจแล้ว ยืดหลังตรง ลดสองมือลง! ดวงตาเป็นประกายวาว วัดได้รับการเสริมอิทธิฤทธิ์มาแล้ว พระธรรมก็เสริมอิทธิฤทธิ์มาแล้ว ฝึกฝนอักษรพุทธองค์มังกรจนน่าเกรงขาม จีวรขาวจันทร์ขยายกลิ่นอายและเอกลักษณ์ให้ใหญ่ขึ้น! พริบตานั้นเอง ฟางเจิ้งในสายตาทุกคนเหมือนสูงใหญ่กว่าเดิม ในตัวเหมือนมีแสงแห่งพุทธสว่างไสว มองแวบแรกจะเกิดความรู้สึกถูกตาสบายใจ!
อู้หมิงรู้สึกชัดเจนเป็นพิเศษ กลิ่นอายของฟางเจิ้งพุ่งมาหาเขาทั้งหมด เขาร้อนตัวขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ตัวเขาลดต่ำลง แต่อีกฝ่ายสูงขึ้น จึงถูกกดดันจนเหงื่อเย็นๆ ซึมตรงหน้าผาก!
ฟางเจิ้งแค่นเสียงขึ้นจมูก “หลวงพี่อู้หมิง ถ้าท่านไม่พูดเรื่องนี้ก็ช่าง ในเมื่อพูดแล้ว อาตมาต้องถามท่านหน่อย”
“เชิญ” อู้หมิงคิดว่าฝีปากตนย่อมเหนือกว่าเณรที่ไม่เคยผ่านโลกมาอย่างแน่นอน มีคนหนุนหลังอยู่จึงไม่เกรงกลัว!
ฟางเจิ้งพูดด้วยความโอหัง “อาจารย์ท่านสอนความหมายของพุทธศาสนาแบบนี้เหรอ?! บิดเบือนความหมายแท้จริงของพุทธศาสนา ท่านรู้สำนึกไหม?!” เสียงฟางเจิ้งดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ถึงที่สุดเหมือนพระพุทธองค์ตะโกนด้วยความโกรธ ดวงตาถลึงกลมโต พลังอำนาจเปี่ยมล้นกว่าเดิม!
พลังอำนาจเหลือล้นกดทับเข้าไป อู้หมิงรู้สึกว่าสองขาอ่อนยวบ ปากสั่น คำพูดที่เตรียมไว้มากมายอึ้งจนพูดไม่ออก!
ฟางเจิ้งเอ่ยต่อ “พูดจาเหลวไหลในวัดต่อหน้าพุทธศาสนา ต่อหน้าอุโบสถ บิดเบือนความจริง บิดเบือนความหมายแท้จริงของพุทธศาสนา โกหกหลอกลวงชาวบ้านเรื่องแย่งธูปดอกแรก ท่านรู้สำนึกไหม!”
ความผิดต่างๆ ถูกยกออกมาทีละข้อ แต่ละประโยคดังก้องกังวาน มีพลังอำนาจมากขึ้นทีละประโยค! กดจนอู้หมิงซวนเซ สองขาอ่อนยวบ ต้องจับหยางผิงข้างๆ ไว้โดยจิตใต้สำนึก
หยางผิงเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว การโต้ตอบของอู้หมิงอธิบายทุกอย่างแล้ว นัยน์ตาพลันมีประกายรังเกียจวูบผ่าน!
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “ทางภูเขาแคบ วัดเล็ก อุโบสถมีหลังเดียว! ท่านให้ทุกคนแย่งจุดธูปดอกแรก ถ้าไม่ระวังเกิดการเหยียบกันจะทำยังไง? พุทธศาสนาแย่งธูปดอกแรก แต่ไม่แย่งชีวิตคน! ชีวิตคนใหญ่กว่าฟ้า ท่านกลับเมินเฉย มีเจตนาอะไรกันแน่?!”
ฟางเจิ้งถามอีก อู้หมิงปากสั่น พูดไม่ออก
พวกชาวบ้านได้ยินดังนั้นพลันรู้สำนึก
ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ไอ้สารเลวนี่ให้ฉันอุ้มลูกส่งไปข้างหน้า นี่ถ้าแย่งได้มาลูกฉันจะไม่เป็นอันตรายเหรอ?”
“ฉันอายุปูนนี้แล้วเขายังให้ฉันไปเบียดข้างใน บอกว่าธูปดอกแรกจะปกป้องฉันให้ปลอดภัย! เจ้าเด็กนี่มีเจตนาไม่ดี!”
“ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหลวงพี่ แต่นี่มันคนไม่รู้จักบุญคุณ คนหิวโซนี่หว่า!”
“ไม่ได้เรื่องเลย!”
………
กลุ่มคนฮึกเหิมขึ้นมา คนเหลือคณานับประณาม อู้หมิงหน้าตาย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้จะถอยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงได้เหม็นโฉ่ไปหมดแน่! ถ้าเรื่องนี้ดังออกไป เขาคงขายหน้าตาย! แล้วทีนี้เขาคงอดเป็นเจ้าอาวาสแล้วแน่ๆ!
ดังนั้นอู้หมิงจึงต้านแรงกดดันไว้ พูดขึ้น “ฟางเจิ้ง ท่านอย่ามาใส่ร้ายคนอื่น ทุกคนต่างรู้ความสำคัญของธูปดอกแรกกันทั้งนั้น! หรือท่านไม่รู้? อีกอย่างแค่จุดธูปก็มีก่อนหลังแล้ว ท่านว่าธูปดอกแรกไม่สำคัญแล้วใครจะมาจุดธูปดอกแรก? หรือว่าท่านมีคนที่จะให้ธูปดอกแรกแล้ว? ตามที่อาตมารู้มา วัดใจดำบางแห่งเป็นพวกแอบขายธูปดอกแรก หึๆ…”
……………………
เฉินจินหน้าแดง แต่ไม่โต้ตอบ
อู้หมิงยิ้ม “เฉินจินพูดก็มีเหตุผล แต่ลงเขาตอนนี้มันเสียเวลานะ อาตมาคิดว่าในเมื่อทุกคนมาแล้วก็ไปวัดเอกดรรชนีด้วยกันเลยเถอะ”
สิ้นเสียง หวังโอ้วกุ้ย หยางผิง เฉินจินต่างอึ้งงัน ไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าอู้หมิงมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่กันแน่
อู้หมิงกล่าว “โยมหวัง โยมหยางอย่าเข้าใจผิด อาตมารีบมาเพียงแค่คิดว่าคนชราและเด็กไปกันเยอะมาก เลยตั้งใจมาช่วย ส่วนทุกคนจะไปจุดธูปดอกแรกที่ไหนก็เหมือนกัน พวกเราบูชาพุทธศาสนา ไม่ใช่วัดใดวัดหนึ่ง บางคน ไม่ว่าอยู่ไหนแค่มีความจริงใจก็สัมฤทธิผล”
หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงที่ได้ยินดังนั้นรู้สึกโล่งมาก บรรยากาศไม่อึดอัดอีก คนพวกนี้เลยเดินขึ้นเขาไป มีความเร่าร้อนเพิ่มขึ้นมาก
ขณะเดียวกันคำพูดอู้หมิงก็แพร่งพรายไป เดิมทีพวกชาวบ้านรู้สึกดีกับอู้หมิงอยู่แล้ว ถึงยังไงก็เป็นหลวงจีนที่ใกล้ชิดมากที่สุด ตอนนี้ได้ยินอู้หมิงพูดแบบนี้อีก จึงรู้สึกว่าอู้หมิงยอดเยี่ยม มีความเข้าใจ มีพุทธะ
ทุกคนขึ้นเขาไป อู้หมิงเดินไปข้างหน้าทีข้างหลังที ช่วยคนแก่และดูแลเด็กจริงๆ หวังโอ้วกุ้ยที่มองอยู่แอบพยักหน้า “อู้หมิงนี่ก็พอได้…”
แต่กลับไม่รู้ว่าอู้หมิงที่เดินไปเดินมาในกลุ่มคนมักจะพูดเบาๆ กับพวกชาวบ้านสองประโยค
“โยมท่านนี้ก็มาแย่งจุดธูปดอกแรกเหมือนกันหรือ?”
“ร่างกายฉันแบบนี้ยังจะแย่งอะไร แค่มาเที่ยวเล่นก็เท่านั้น”
“ไม่ได้นะ ธูปดอกแรกสำคัญ ถ้าได้จุดก่อนจะดวงชะตาพลิกดีขึ้น ปีหน้าไปไหนมาไหนปลอดภัย ลูกหลานร่ำรวยมีความสุข”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน! อาตมาเป็นนักบวชวัดผาแดง นักบวชไม่โกหก จะไปหลอกโยมได้ยังไง?”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองแย่งดู…ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมาล่ะก็”
“โยมผู้หญิงท่านนี้ โยมก็มาแย่งจุดธูปดอกแรกเหมือนกันหรือ?”
“หา? ใช่ค่ะ! แต่มันก็ยากหน่อยๆ นะ”
“ให้ลูกไปแย่งสิ อุ้มลูกไว้สูงๆ ตอนที่แย่งให้ส่งไปข้างหน้าก็ถึงแล้วนี่ ชู่ว นี่คือประสบการณ์ที่พวกเราวัดผาแดงจุดธูปดอกแรกมาหลายปี อย่าบอกใครล่ะว่าอาตมาบอกโยม”
…………
หวังโอ้วกุ้ยดึงถานจวี่กั๋วไปคุยบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้เรื่องที่อู้หมิงบอกความสำคัญของการจุดธูปดอกแรก ปลุกเร้าให้ทุกคนต้องแย่งมาให้ได้ไปทั่ว
ตอนนี้เอง…
“ระวัง! หมาชั่วร้ายนั่นมาจากไหน?!”
“โฮ่ง!”
เสียงอู้หมิงพลันดังด้วยความโกรธมาจากข้างหน้า และยังมีเสียงเห่าของหมาป่าเดียวดาย
พวกหวังโอ้วกุ้ยรีบวิ่งไปดูสถานการณ์ เห็นอู้หมิงอุ้มเด็กคนหนึ่ง หมาป่าเดียวดายที่อยู่ไม่ไกลมองอู้หมิง บนตัวมีรอยดิน เห็นได้ชัดว่าอู้หมิงปาดินใส่
พอหมาป่าเดียวดายมั่นใจว่าไม่รู้จักอู้หมิงก็เห่าทันที
ฟางเจิ้งได้ยินพอดี ทว่าไม่สนใจ…
หวังโอ้วกุ้ยขมวดคิ้ว ดึงอู้หมิงไว้ “นี่คือหมาป่าบนเขา ไม่ดุร้าย แต่สุภาพมาก”
อู้หมิงทำท่าทางว่าเข้าใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอ่ย “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ อาตมาพรวดพราดไปเอง หวังว่าจะไม่โทษกันนะ”
เป็นอย่างที่ว่าไว้ผู้ไม่รู้ไม่ผิด อู้หมิงพูดแบบนี้ หวังโอ้วกุ้ยจะพูดอะไรได้? ก็เลยต้องช่างมัน ถึงยังไงอู้หมิงก็ปกป้องเด็ก
ถานจวี่กั๋วที่ตามมาข้างหลังเห็นดังนั้น นัยน์ตาซ่อนลึกลงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ระหว่างที่คนพวกนี้เสียเวลาอยู่ตรงนี้ ทางด้านฟางเจิ้งสวดมนต์จบ เลยออกมาดูสถานการณ์
เห็นนอกวัดมีคนมากลุ่มใหญ่! เขาเลยงุนงงเล็กน้อย นี่มันอะไร? พระยูไลแสดงอภินิหารแล้ว ให้คนมามากขนาดนี้ แถมมากลางดึกทำเอาเขาตกใจเล่น?
ฟางเจิ้งเพ่งตามองก็เห็นว่าเป็นชาวบ้านตรงตีนเขาทั้งหมด! ครอบครัวหวังโอ้วกุ้ย ครอบครัวหยางผิง ครอบครัวหยางหวา พวกถานหย่ง ถานหมิง ซ่งเอ้อโก่วก็มา! และยังมีเด็กๆ วิ่งกันไปทั่ว ตอนนี้คึกคัก เพียงแต่ลาหัวล้านที่ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยน แต่แววตากลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยนี่ใคร?
‘เฮ้ยๆ…พวกหัวโล้นเหมือนกัน…ไม่ควรถือสาเด็กน้อย ปล่อยผ่านไปดีกว่า’ ฟางเจิ้งรีบพูดเสริมในใจ
ยังไม่ทันที่ฟางเจิ้งจะพูดถามอะไรให้ชัดเจน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้น “ไป! แย่งจุดธูปดอกแรก!”
ฟางเจิ้งเห็นหลายร้อยคนพุ่งเข้าไป ถ้าไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ดูตื่นเต้นกันมาก ฟางเจิ้งคงจะคิดว่าโดนปล้น! เขาไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เอียงตัวหลีกทาง เดี๋ยวจะโดนเหยียบตาย…
กลุ่มคนหลั่งไหลเข้าไปในวัด จากนั้นก็เบียดเข้าไปในอุโบสถ
หวังโอ้วกุ้ยเห็นดังนั้นจึงด่าทอในใจ วัดเอกดรรชนีไม่ใหญ่ ทุกคนเบียดเข้าไปแบบนั้นเกิดอุบัติเหตุง่ายมาก! เขาจึงกล่าวขึ้น “หยุด! หยุด! ยังไม่เที่ยงคืนเลย จะรีบไปไหน?”
ผู้ใหญ่บ้านกระโดดออกมา ทุกคนถึงสงบลงไม่น้อย แต่สถานการณ์ก็ยังคึกคักอยู่บ้าง ทุกคนต่างแสดงความเห็นกันใหญ่ รวมกันเป็นกลุ่ม ทว่าก็ยังมีคนตะโกนว่าให้แย่ง…
พวกชาวบ้านยังคงกระสับกระส่าย หวังโอ้วกุ้ยก็แทบจะระงับไว้ไม่อยู่แล้ว
“อมิตาพุทธ!” ตอนนี้เองเสียงสวดที่มีความมั่นใจเต็บสิบดังขึ้น เสียงดังก้องอย่างยิ่ง พริบตาเดียวดังเหนือกว่าเสียงของทุกคน!
ต่อมาฟางเจิ้งโบกมือ ปะทุพละกำลังแหวกกลุ่มคนออก เดินมาอยู่หน้าประตูอุโบสถ! เขาเข้าใจแล้ว ไม่ว่าคนพวกนี้มาทำอะไร ถ้ายังมั่วต่อไปจะต้องเกิดเรื่องแน่! ดังนั้นเมื่อเอ่ยแล้วจึงฝ่าเข้ามา!
ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูอุโบสถ จีวรขาวภายใต้แสงจันทร์ดูเด่นตาเป็นพิเศษ! หัวโล้นเงาวาว! ธรรมะยิ่งใหญ่ สีหน้าเรียบเฉยแต่น่าเกรงขาม!
ทุกอย่างที่ฟางเจิ้งกระทำก่อนหน้าทำให้พวกชาวบ้านยอมรับเขาในฐานะเจ้าอาวาสแล้ว ตอนนี้ฟางเจิ้งออกมา ทุกคนเลยสงบลงอีกไม่น้อย
จากนั้นถานจวี่กั๋วออกมายืน ความน่าเกรงขามของเสมียนหมู่บ้านแผ่กระจาย ตอนนี้จึงสงบลงทั้งหมด
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก ถามหวังโอ้วกุ้ย “โยม นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ฟางเจิ้งมึนงงจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพวกชาวบ้านขึ้นเขามาฉลองปีใหม่! ปีที่แล้วๆ มาบนเขามีแค่ฟางเจิ้งกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วสองคนเลยเงียบเหงา
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง คือแบบนี้ นี่จะปีใหม่แล้ว ทุกคนอยากจุดธูปดอกแรกเพื่ออวยพรให้ตัวเอง ตอนแรกก็คุยกันดีแล้วในหมู่บ้าน ขึ้นเขามาเป็นระเบียบ ไม่มีใครวุ่นวายเลย แต่…เฮ้อ เจ้าพวกไม่ยอมคนพวกนี้” หวังโอ้วกุ้ยด่ายิ้มๆ
ฟางเจิ้งงง จุดธูปดอกแรก? ถ้าไม่ได้ยินหวังโอ้วกุ้ยเขาก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว! ไม่เพียงแค่วัดเอกดรรชนี วัดต่างๆ มากมายล้วนพูดถึงธูปดอกแรก โดยเฉพาะวัดใหญ่เหล่านั้น ช่วงปีใหม่มีการเบียดกันจนหัวแตกเพราะธูปดอกแรกมาแล้ว และยังมีคนครองตำแหน่ง ขายตำแหน่งสร้างเงินกัน
เพียงแต่ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าวัดเอกดรรชนีจะมีคนมาแย่งธูปดอกแรกกัน ถือว่าพบเห็นได้ยาก! ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นกับพอใจเล็กน้อย! ในที่สุดวัดเอกดรรชนีก็เหมือนวัดขึ้นมาบ้างสักที!
ฟางเจิ้งจะรู้ได้ยังไงว่าถ้าเป็นปกติทุกคนจะไม่กระตือรือร้นขนาดนี้ ทว่าก่อนหน้ามีพวกหยางหวามาขอลูก ใครขอก็ได้ ต่อมามีโจ๊กล่าปารักษาโรค สรงน้ำพระรู้แจ้งจิตใจ ตอนนี้ทุกคนเชื่อถือและศรัทธาวัดเอกดรรชนีจริงๆ ถึงได้มีโอกาสครึกครื้นครั้งใหญ่ในวันนี้!
…………….
ฟางอวิ๋นจิ้งฝากข้อความไว้ให้ฟางเจิ้ง ‘ไต้ซือ ท่านเขียนอักษรสวยจริงๆ อ้อ ขอภาพแบบแอ๊บแบ๊วด้วยค่ะ!’
ฟางเจิ้งเห็นข้อความที่คนพวกนี้ฝากไว้ให้ก็พูดไม่ออกเล็กน้อย หลวงจีนสง่างามอย่างเขาจะมีแต่ภาพแอ๊บแบ๊วรึไง? ไม่มีใครขอภาพที่หล่อเหลาเลยหรือ? ไร้ระดับจริงๆ ไม่มีความหมาย!
จากนั้นฟางเจิ้งชูสองนิ้ว ขยิบตาถ่ายภาพแอ๊บแบ๊วอีกรูปก่อนส่งไป พลันสร้างเสียงหัวเราะ
ฟางเจิ้งส่งภาพโคมไฟน้ำแข็งบนเขาไปอีกด้วย…
‘ว้าว! สวยมาก!’
‘พระเจ้า! ไต้ซือ ท่านทำคนเดียวเหรอ? นี่พระราชวังพญามังกร? บ้านผู้หญิง?’
ฟางเจิ้ง ‘@#Y…’
สี่คนนี้แชร์ภาพเหล่านี้ของฟางเจิ้งไปอีกครั้ง เรียกเสียงร้องด้วยความตกใจและคำถามต่างๆ หลังรู้ว่าเป็นเขาเอกดรรชนี แต่ละคนต่างค้นหาในแผนที่จนหาเจออย่างยากลำบาก ดูเส้นทางแล้วทุกคนล้วนล้มเลิกไป…
แต่ชื่อเสียงของวัดเอกดรรชนีกลับกระจายออกไปเล็กน้อย
ฟางเจิ้งเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็ออฟไลน์ไป วัดต้องฉลองปีใหม่เหมือนกัน แต่จะมีแค่คำกลอนกับโคมไฟน้ำแข็งไม่ได้…
ฟางเจิ้งมาถึงอุโบสถ ปีนขึ้นที่สูงประดับตะเกียงน้ำมันไว้ข้างบนอุโบสถ ตะเกียงน้ำมันนี้มีแค่ตอนเทศกาลสำคัญเท่านั้นถึงจะประดับไว้ เวลาปกติฟางเจิ้งจะทำใจใช้ไม่ลง ก็น้ำมันตะเกียงมันแพงนี่…
จากนั้นเขาไปหลังลาน หยิบฐานดอกบัวที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ไปวางไว้หน้าพระพุทธรูปในอุโบสถ ก่อนจะหยิบเทียนไปวางไว้เล่มหนึ่ง
ที่นี่ใช้น้ำมันตะเกียงไม่ได้ ได้แต่ใช้เทียน ซึ่งมีอยู่สองความหมายแฝง หนึ่งคือจุดไฟตัวเอง ส่องแสงคนอื่น เตือนผู้บำเพ็ญตนว่าต้องนึกถึงทุกสรรพสัตว์และควรพยายามบำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่ จะเหลวแหลกไม่ได้ สองคือมีแสงไฟสยบความมืด สติปัญญาของพระโพธิสัตว์สยบความกลัดกลุ้มได้ ผู้บำเพ็ญตนต้องหยั่งลึกถึงพระสุตตันตปิฎก[1] เรียนรู้สติปัญญาของพระโพธิสัตว์ คำนึงถึงทุกสรรพสัตว์
ฟางเจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแสงไฟ สวดมนต์อวยพร
ยังสวดมนต์ไม่จบ เสียงหมาป่าเดียวดายดังมาจากข้างนอก ทว่าฟางเจิ้งไม่สนใจ วัดเล็กขนาดนี้ จนแบบนี้ น่าจะไม่มีใครขึ้นเขามาปล้นหรอก ต่อให้มี จะผ่านด่านหมาป่าเดียวดายมาได้เหรอ?
หมาป่าเดียวดายอยู่ในวัดมานานขนาดนี้ กินข้าวผลึกทุกคืนวัน ดื่มน้ำบริสุทธิ์ คุณสมบัติร่างกายยกระดับขึ้นสูงมากแล้ว ถ้ากลับไปในพื้นที่ป่าเขาคงจะแย่งตำแหน่งจ่าฝูงกลับมาอย่างง่ายดาย เป็นจ่าฝูงหมาป่า แถมยังมีสติปัญญา คนธรรมดาจะเอาชนะได้ยังไง?
หมาป่าเดียวดายไม่ทำร้ายคนอื่นตามอำเภอใจด้วย ดังนั้นฟางเจิ้งเลยเบาใจมาก สวดมนต์อย่างสงบ!
ฟางเจิ้งสงบ แต่มีคนไม่สงบ!
“เฉินจิน พูดจริงเหรอ?” อู้หมิงได้ยินเสียงจากปลายสายก็แทบจะตะโกน
“จริงครับ! ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นถูกอะไรมอมเมากันถึงได้รวมกันไปแย่งจุดธูปดอกแรกที่เขาเอกดรรชนี ไต้ซืออู้หมิง เอ่อ…ท่านจะจัดการรึเปล่าครับ?” ตอนนี้เฉินจินไม่พอใจฟางเจิ้งมาก เห็นชาวบ้านจะขึ้นเขาไปจุดธูปจึงรายงานอู้หมิงทันที
อู้หมิงได้ยินดังนั้นก็โกรธ! ตอนล่าปาวัดผาแดงถูกแย่งแสงไฟธูปไปยังพอว่า วันนี้จะมาแย่งคนจุดธูปไปอีกหรือ? วัดเอกดรรชนีจงใจทำแบบนี้กับวัดผาแดง!
ทว่าอู้หมิงโกรธไปก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนจะไปไหนก็ได้ เขาจะจัดการได้ยังไง?
ทว่าอู้หมิงตรึกตรอง เณรรูปหนึ่งจะมีบุญกุศลพอที่ทุกคนจะกราบไหว้? ในนี้มีแปดส่วนที่มีเรื่องแอบแฝง! ตอนเทศกาลล่าปาเขาตกลงไปในหลุม ตอนนี้ยังไม่ทันขึ้นมา ไต้ซือหงเหยียนเรียกเขาไปคุยน้อยครั้งลง เขาจึงร้อนใจอย่างที่เห็น…
ดังนั้นอู้หมิงจึงเงียบ แต่ออกจากวัด ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าลมบึ่งไปเขาเอกดรรชนี!
เฉินจินรออยู่ที่นี่นานแล้ว
อู้หมิงลงรถก็ถาม “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ขึ้นเขาไปแล้ว ตอนนี้ยังตามทัน!” เฉินจินตอบ
อู้หมิงพยักหน้า รีบเดินขึ้นเขากับเฉินจิน ตามชาวบ้านไป
ส่วนตามทันไหมอู้หมิงยังไม่ได้คิด แค่ขึ้นไปดูลงมือตามโอกาสก็พอ สรุป ฟางเจิ้งไม่ให้เขาฉลองปีใหม่สงบๆ เขาก็จะไม่ให้ฟางเจิ้งสงบเหมือนกัน!
ในเวลาปกติอู้หมิงซ้อมร่างกายไม่น้อย จึงไม่ต้องพูดถึงการขึ้นเขา แต่พวกชาวบ้านมีคนชราและเด็ก พูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง ไม่นานอู้หมิงก็ตามทัน
“หลวงพี่อู้หมิง ท่านมาทำไมกัน?” หยางผิงที่อยู่ข้างหลังเห็นอู้หมิงเลยถามขึ้นอย่างตกใจ
อู้หมิงปาดเหงื่อตรงหน้าผาก ประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง จากนั้นทำหน้าเศร้าสลดน่าสงสาร กล่าวด้วยความอบอุ่นและมีเมตตา “โยมหยาง ไม่ได้เจอกันนานนะ”
“นานจริงๆ ครับ หลวงพี่อู้หมิง ท่านเอ่อ?” หยางผิงเป็นนักบัญชี แตกฉานเข้าใจโลกและนิสัยคน พอเห็นอู้หมิงกับเฉินจินจึงร้องเวรในใจ นี่คงจะเกิดเรื่องแล้ว! ดังนั้นเลยรีบเรียกอู้หมิงไว้
อู้หมิงหัวเราะเหอะๆ “ไม่มีอะไร แค่เร็วๆ นี้ได้ยินว่าวัดเอกดรรชนีเกิดเรื่องมากมาย ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วกับอาจารย์รู้จักกัน เลยตั้งใจมาเยี่ยมเยือน” ปากบอกแบบนี้ แต่ในใจไม่ใช่เลย ก่อนหน้านี้หยางผิงเรียกเขาไต้ซืออู้หมิง! วันนี้กลับเรียกหลวงพี่ รู้สึกว่าตัวเตี้ยลง ในใจย่อมไม่สุขสบาย!
แม้อู้หมิงจะรู้ว่าใครที่เป็นไต้ซือได้ แต่เขาที่หยิ่งยโสมากยังหวังจะให้ชาวบ้านโง่เขลาในสายตาตนเรียกเขาว่าไต้ซือ…
“เป็นอย่างนี้เอง หลวงพี่อู้หมิง ผู้ใหญ่บ้านอยู่ข้างหน้า ให้ผมพาไปไหม?” หยางผิงกล่าว
อู้หมิงพยักหน้า “ก็ดี รบกวนโยมด้วย”
หยางผิงให้ภรรยากับลูกตนเดินช้าหน่อย ส่วนตนพาอู้หมิงขึ้นไป เฉินจินตามอยู่ข้างหลัง เงียบกันตลอดทาง
“อ้าว หลวงพี่อู้หมิง ท่านมายังไงล่ะ?” หวังโอ้วกุ้ยเห็นอู้หมิง คิ้วก็ขมวดเป็นปม อู้หมิงเป็นหลวงจีนที่ต่างกับรูปอื่นในวัดผาแดง พวกหลวงจีนหงเหยียนจะลงเขาน้อยครั้งมาก ทว่าอู้หมิงกลับลงเขาประจำ ไปเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่บ้าน เสมียนอะไรพวกนี้ตามที่ต่างๆ ทุกครั้งที่วัดมีงาน เขาจะไปป่าวประกาศ และมักจะมีเหตุผลให้ทุกคนเกรงใจเขา ช่วยกันป่าวประกาศด้วย
ในสายตาหวังโอ้วกุ้ย อู้หมิงไม่เหมือนนักบวช แต่เหมือนพ่อค้า! ทว่าเขาพูดไปไม่ได้ ถึงยังไงอู้หมิงก็ยังไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไร แค่ประกาศวัดตนเท่านั้น เลยได้แต่ปล่อยผ่าน
“โยมหวัง พวกโยมขึ้นเขากลางคืนแบบนี้จะไปไหนกันหรือ?” อู้หมิงไม่ตอบ แต่แสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
“จะปีใหม่แล้ว ทุกคนอยากจะแย่งจุดธูปดอกแรกกัน อวยพรให้ปีหน้าฝนตกมาทันช่วงฤดูเพาะปลูก พวกเราเลยขึ้นเขาไปด้วยกัน” หวังโอ้วกุ้ยตอบ
“เป็นแบบนี้เอง…เส้นทางเขาเดินยาก มีคนชราและเด็ก ไม่มีไฟ มันอันตรายไปหน่อยไหม” อู้หมิงพูดต่อทันที
หวังโอ้วกุ้ยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่อู้หมิงว่ายังไงล่ะครับ?”
อู้หมิงยิ้มไม่ตอบ แต่เฉินจินข้างหลังตอบแทน “ฉันว่านะ ภูเขาเอกดรรชนีสูงเดินยาก ไม่เหมาะจะเดินกลางคืนหรอก กลับกันไหมยังทันนะ ไปวัดผาแดงด้วยกัน ที่นั่นน่ะเดินง่าย แถมขับรถไปได้ด้วย”
หวังโอ้วกุ้ยถลึงตามองเจ้านี่ที่ไม่หันเข้ามากันเองแต่หันหาคนนอก “ช่างเถอะ ในหมู่บ้านไม่มีรถใหญ่ ทุกคนต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป อากาศหนาวแบบนี้ไม่ไหวหรอก อีกอย่างมันอยู่ไกลขนาดนั้น เรามีทั้งคนแก่และเด็กเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาง่ายๆ”
หยางผิงพูดเสริม “ใช่ เดินมาครึ่งทางแล้ว มีเหตุผลอะไรต้องถอยล่ะ เฉินจิน ถ้านายคิดว่าวัดผาแดงสะดวกสบายก็ไปสิ ขับรถเล็กที่บ้านนายไปก็สะดวกดี”
……………………………………………………
[1] พระสุตตันตปิฎก เป็นบันทึกเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล
ฟางเจิ้งพลันหัวเราะ สะบัดมือ แชะ! ถ่ายมาหนึ่งรูป
เขาดูรูปที่ถ่าย เห็นว่าแปลกดี! ถ่ายต่อ!
กระรอกน้อยเหมือนรู้ว่าฟางเจิ้งคิดอะไรอยู่ มันดึงหูเขา อ้าปากกว้างทำท่าทางจะงับ แถมยังทำสีหน้าโหดเหี้ยมมาก
ฟางเจิ้งส่งไปในหน้าฟีดโซเชี่ยว เขียนแนบไปหนึ่งข้อความ ‘โอ๊ย ถูกกระรอกโหดรังแก หูจะหายไปแล้ว ช่วยด้วย!’
แล้วก็ส่งไปอย่างนั้น ไม่หวังว่าจะมีใครมาตอบ ถึงยังไงหน้าฟีดโซเชี่ยวของเขาก็เล็กมาก มีแค่จ้าวต้าถง หูหาน ฟางอวิ๋นจิ้งและหม่าเจวียนสี่คน
ทว่า…
ตอนนี้เองหม่าเจวียนที่กำลังเตรียมไปจุดประทัดอ่านโพสต์ในโซเชี่ยว ก็เห็นภาพนี้ของฟางเจิ้งพอดี
หม่าเจวียนหัวเราะ ไม่คิดเลยว่าไต้ซือจะมีมุมแบ๊วแบบนี้ ส่วนกระรอกนั่น เธอไม่กังวล ไต้ซือสยบหมาป่าหิวโหยได้จะจัดการกระรอกตัวเดียวไม่ได้? เธอเลยคอมเม้นไปว่า ‘ไต้ซือ ถ้าหูหาย ปีใหม่ฉันจะส่งเครื่องช่วยฟังไปให้นะคะ ฮ่าๆ’
ฟางเจิ้งก็หัวเราะ ถ่ายภาพให้เจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยนอนหมอบอยู่บนหัวหมาป่าเดียวดาย ห่มด้วยขนสีเงิน ทำหน้าตาสุขสบาย
หม่าเจวียนเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะก๊าก ตอบกลับไปทันที ‘เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักจัง! หมาป่าก็หล่อขึ้นด้วย ไต้ซือ มีภาพอื่นอีกไหมคะ! เอาภาพสวยๆ’
ขณะเดียวกัน
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หูหานพาเด็กชายกลุ่มใหญ่ถือโคมไฟจีนวิ่งไปทั่วหมู่บ้าน บางครั้งจะโยนประทัดใส่คนอื่น ทำเอาคนตกใจจนวิ่งหนี เล่นกันอย่างสนุกสนาน ว่างก็จะมองมือถือแวบหนึ่ง เห็นสองโพสต์ที่ฟางเจิ้งลงไว้ในหน้าฟีดโซเชี่ยวพอดีก็ขำให้กับความฉลาดของกระรอกน้อย ซ้ำตอบกลับไปว่า ‘ไต้ซือ ขอภาพเยอะกว่านี้อีกสิครับ กระรอกนี่ฉลาดจัง น่ารักมากด้วย!’
จากนั้นหูหานยังแท็กฟางอวิ๋นจิ้งกับจ้าวต้าถง ‘อวิ๋นจิ้ง ต้าถง มาดูไต้ซือแอ๊บแบ๊วสิ!’
ในย่านหลินเจียง เขตหลงสุ่ย เมืองจี๋หลิน จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือถ้วยซีอิ๊วกระเทียมสับ มืออีกข้างถือตะเกียบ เห็นได้ชัดว่าอิ่มจนกินไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังยัดเกี๊ยวไปคำใหญ่
เด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงข้างๆ ก็กินอย่างมูมมากเหมือนกัน ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยกินเกี๊ยว
ตอนนี้เองเด็กคนหนึ่งหัวเราะดังลั่น หยิบเหรียญห้าเหมาสว่างไสวหนึ่งเหรียญออกมาจากปาก ก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆ…ฉันกินได้! ปีนี้ฉันจะรวยแล้ว!”
“ไอ้เด็กโกหก เอามาจากรอยเย็บเป้ากางเกงจะร่ำรวยอะไร? เสียไปเหรียญหนึ่งสิไม่ว่า ไม่ได้การ ยังเหลืออีกอัน ฉันต้องสู้” จ้าวต้าถงด่าทอแล้วก็กินต่อ
เด็กคนอื่นๆ ก็เริ่มติดเครื่องตาม จ้าวต้าถงกินไปพลาง พึมพำในใจไปพลาง ‘ฉันไม่เชื่อหรอก ดีที่ฉันป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย โชคปีนี้ของฉันจะสู้ไอ้เด็กพวกนี้ไม่ได้เหรอ?’
ขณะกล่าวอยู่นี้ เด็กชายตัวใหญ่ที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงไม่เท่าไรร้องโอ๊ย ทุกคนได้ยินเสียงฟันกระทบโลหะอย่างชัดเจน เด็กชายทั้งเจ็บทั้งดีใจ หยิบเหรียญห้าเหมาออกมาจากปาก
พวกจ้าวต้าถงเห็นดังนั้นก็โยนตะเกียบทิ้ง นอนนิ่งไม่ขยับ ทุกคนต่างลูบหนังท้อง เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมขยับ ในเวลาเดียวกันยังบ่นสารพัดไม่หยุด พวกผู้ใหญ่ยิ้มตาม รวมกับเสียงหัวเราะในงานสังสรรค์ตรุษจีนเป็นปึกเดียวกัน
จ้าวต้าถงว่างแล้วถึงหยิบมือถือออกมาดู เห็นที่หูหานแท็กพอดี ก่อนจะมองภาพที่ฟางเจิ้งโพสต์ไว้ พลันหัวเราะ ‘ไต้ซือ ลงอีกสองภาพสิครับ! เอาแบ๊วๆ นะ!’
ส่วนฟางอวิ๋นจิ้งไม่ได้บ้าเท่าจ้าวต้าถง แต่นั่งอย่างสงบร่วมงานสังสรรค์ภายในครอบครัว ในบ้านยังมีญาติพี่น้อง เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไปทั่วบนพื้น บางครั้งฟางอวิ๋นจิ้งจะเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน ที่มากกว่านั้นคือเธอชอบดูมือถือฆ่าเวลา เธอไม่ค่อยชอบช่วงตอนนี้สักเท่าไร
พอเห็นภาพฟางเจิ้ง ฟางอวิ๋นจิ้งตาเปล่งประกาย กดแชร์ไปทันที จากนั้นตอบไปว่า ‘ไต้ซือยังมีภาพที่ดูสนุกกว่านี้ไหมคะ? ดึกมากแล้วง่วงมาก แต่ก็ต้องอยู่เคาต์ดาว ขอภาพทำให้สดชื่นหน่อยค่ะ’
ฟางเจิ้งมองสี่คนที่ขอภาพตน ในใจเงียบเหงาพลันได้รับการเติมเต็ม จึงหัวเราะแล้วส่งภาพที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ไปเล็กน้อย ในนั้นมีรังของกระรอกน้อยและยังมีคำกลอนคู่ที่เขาเขียนด้วย
พอเห็นรังกระรอกน้อย จ้าวต้าถงหัวเราะก๊าก ‘ไต้ซือ นี่รังกระรอกหรือครับ? นี่มันกระถางดอกไม้ชัดๆ…ฮ่าๆ…ท่านมีฝีมือด้อยเกินไปแล้ว’
ลูกคุณหนูอย่างหม่าเจวียนตอบไปเช่นกัน “น่าสงสารจัง ไต้ซือโหดร้ายกับสัตว์อ่ะ รังกระรอกน้อยดูแย่มาก กลับไปฉันจะส่งอันดีๆ ไปให้ท่านนะ!’
ฟางเจิ้งหน้าแดง ตอบกลับไป ‘อาตมาอยู่บนเขาไม่มีขวานหรืออะไรหรอก และก็ทำของประณีตไม่เป็นด้วย กระถางดอกไม้นี้คือขีดจำกัดแล้ว อย่างน้อยเจ้าตัวน้อยก็ชอบมากนะ’
แต่แลกมาเป็นเสียงหัวเราะของทุกคน…
ฟางอวิ๋นจิ้งกับหูหานกลับสนใจอักษรข้างบน ฟางอวิ๋นจิ้งเม้นไปด้วยความตกใจมาก ‘ไต้ซือ คำกลอนนี่ซื้อมาจากไหนคะ?’
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาเขียนเอง ทำไมเหรอ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ร้องด้วยความตกใจ “ไต้ซือเขียนเอง?”
“อวิ๋นจิ้ง ตกใจอะไร?” ฟางชิวมารดาฟางอวิ๋นจิ้งที่อยู่ข้างๆ ต่อว่า
ฟางอวิ๋นจิ้งแลบลิ้น จากนั้นนำอักษรของฟางเจิ้งเข้าไปใกล้ราวกับมอบของล้ำค่า “แม่ดูสิ อักษรนี่เป็นไง?”
ฟางชิวขมวดคิ้ว “ลูกเล่นอะไรอีกล่ะ? คงไม่ใช่อักษรของลูกหรอกใช่ไหม? อย่าให้มันน่าเกลียดนักล่ะ…”
“โอ๊ย หนูรู้ว่าแม่เป็นนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง แต่ช่วยดูหน่อย” ฟางอวิ๋นจิ้งออดอ้อน
ฟางชิวยอมจำนน รับมือถือมาดู ใบหน้ายิ้มในตอนแรกแข็งค้าง จ้องอักษรด้านบนเขม็ง ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นฟางชิวเป็นแบบนี้ก็ไม่รบกวน
ผ่านไปพักหนึ่ง ฟางชิวพ่นลมหายใจยาว “นี่อักษรของใคร? ลูกรู้จักไต้ซือที่เขียนอักษรนี่เหรอ?”
“แม่ ทำไมน้ำเสียงน่ากลัวจัง อักษรนี่ทำไมเหรอ?” ฟางอวิ๋นจิ้งถาม
“อักษรนี่ดีมากๆ แม่เคยเห็นอักษรของนักเขียนพู่กันจีนมาเยอะ อักษรนี่เป็นอันดับหนึ่งอย่างคู่ควรเลย!” ฟางชิวเอ่ยชม
“สุดยอดขนาดนั้นเลย?” ฟางอวิ๋นจิ้งปิดปาก มีสีหน้าเหลือเชื่อ
“แน่นอน อย่าลืมล่ะว่าแม่เป็นนักวิจารณ์ศิลปะพู่กันจีน เคยตัดสินงานประลองใหญ่ๆ ระดับมลฑลมาหลายครั้งแล้ว” ฟางชิวทะนงตนขึ้นมาทันใด จากนั้นถาม “เอาล่ะ อย่าเปลี่ยนเรื่อง ตกลงลูกรู้ไหมว่าไต้ซือที่เขียนอักษรนี่เป็นใคร?”
ฟางอวิ๋นจิ้ง “รู้จักสิ เขาอยู่วัดเอกดรรชนีบนเขาเอกดรรชนีของหมู่บ้านเอกดรรชนี เป็นผลงานของไต้ซือฟางเจิ้ง”
“ไต้ซือฟางเจิ้ง? ภูเขาเอกดรรชนี?” ฟางชิวนึกคิด เหมือนว่าจะไม่มีที่แบบนี้ แต่ก็ยังกล่าวต่อ “ช่างเถอะ รอใบไม้ผลิก่อน พวกเราไปดูกัน แม่จะไปเยือนไต้ซือศิลปะพู่กันจีนท่านนี้หน่อย…”
ฟางอวิ๋นจิ้งได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ อักษรของฟางเจิ้งเจ๋งขนาดนั้นเลย? ถึงเธอเองก็รู้สึกว่ามันเจ๋งเหมือนกันก็ตาม…
………………
แม้ว่าจะมีคนมาสามร้อยกว่าคนบนเขา แต่ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นที่เขียนจริงๆ คือร้อยกว่าชุด!
ฟางเจิ้งเขียน หวังโอ้วกุ้ยพลิก แต่ไม่นานหวังโอ้วกุ้ยก็พบว่าเขาตามความเร็วฟางเจิ้งไม่ทัน! โอวหยางเฟิงหวารีบเข้ามาช่วย คนหนึ่งพลิกหน้าอย่างรวดเร็ว อีกคนถือกระดาษสีแดงที่เตรียมไว้เขียนคำกลอนคู่ล่วงหน้า รอแค่ฟางเจิ้งมาเขียน ส่วนฟางเจิ้งก็เขียนจากทางนี้ไปทางนั้น ยุ่งแต่ก็มีความสุข
ไม่นานก็เขียนเสร็จร้อยกว่าชุด!
ชาวบ้าน สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนมองอักษรในมือด้วยรอยยิ้มมีความสุข อักษรดีแบบนี้ยากจะได้ครองทั้งชีวิต พูดตรงๆ คือร่ำรวยแล้ว!
ฟางเจิ้งก็เขียนจนคุ้นชินและมีความสุขเหมือนกัน! กล่าวปลงอนิจจังภายในใจ ‘การเขียนอักษรยังต้องใช้พู่กันหมึกกระดาษจานฝนหมึก การเขียนบนหิมะจะมีอะไรขาดหายไป’
เขียนคำกลอนคู่เสร็จ ทุกคนก็เอ่ยลาอย่างคึกคักดีใจ เห็นจะเที่ยงแล้วเลยจะกลับไปเตรียมทำอาหาร
ฟางเจิ้งส่งทุกคนแล้วหันหน้ากลับ พบว่ายังมีคนไม่ไป!
โอวหยางเฟิงหวายืนสูงโปร่งอยู่หน้าประตู มองฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งเดินเข้าไปถาม “อมิตาพุทธ โยมมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“หลวงพี่ คือแบบนี้ พ่อฉันให้มาบอกท่านว่าถ้าจะขยายวัด ครอบครัวพวกเราจะช่วยเอง” โอวหยางเฟิงหวากล่าว
ฟางเจิ้งอึ้งงัน ไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายแบบนี้! แต่ใบหน้ายังคงยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือ “ขอบคุณความหวังดีของโยมมากนะ”
“เอาล่ะ ฉันพูดเรื่องของพ่อจบแล้ว มาพูดเรื่องของฉันดีกว่า” โอวหยางเฟิงหวากลอกตาไปมา พูดยิ้มๆ
ฟางเจิ้งกังวลแล้ว เด็กคนนี้มีเรื่องอะไรกัน?
โอวหยางเฟิงหวาเอ่ยต่อ “หลวงพี่ ฉันอยากเรียนการเขียนพู่กันจีนของท่าน เอ่อ…ได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีจริงๆ การขยายวัดยังมีเงื่อนไข…แม้เงื่อนไขนี้จะไม่เกินไปก็เถอะ
แต่ฟางเจิ้งก็ยังปฏิเสธ “โยม อาตมาเป็นนักบวช จะไปสอนโยมได้ยังไง? อีกอย่างที่นี่วัด ชายหญิงอยู่ด้วยกันไม่เหมาะสม ถ้าโยมไม่มีธุระอะไรแล้วเชิญลงเขาเถอะ”
โอวหยางเฟิงหวาสวยไหม? คำตอบของฟางเจิ้งคือแน่นอน มีความร่าเริง สวย แต่ยิ่งสวยเท่าไรฟางเจิ้งก็ยิ่งปฏิเสธ! มองได้แต่กินไม่ได้ นั่นต่างหากคือทุกข์ยากแท้จริง! เขาไม่อยากหาเรื่องทุกข์ให้ตัวเอง มิหนำซ้ำวัดก็ไม่เหมาะจะให้ผู้หญิงอยู่จริงๆ ทั้งวัดมีเขาคนเดียวเป็นชายโสดโดดเดี่ยวก็มีเรื่องยุ่งยากมากพอแล้ว
โอวหยางเฟิงหวาไม่คิดเลยว่าฟางเจิ้งจะปฏิเสธตรงไปตรงมาแบบนี้ อีกทั้งยังเดินหนีไป ไม่คิดจะหันกลับมาเลยจึงร้อนใจ ร้องเรียก “หลวงพี่ ฉันอยู่ใต้เขาได้! ขึ้นเขามาเรียนทุกวันไม่ได้เหรอ? รับประกันว่าจะไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่านอย่างเด็ดขาด!”
ฟางเจิ้งโบกมือสื่อว่าไม่ได้เลย น่าตลก อธิบายก็ไม่ตรงจุดสำคัญ แล้วจะไปรับได้ยังไง?
ประตูใหญ่ปิดลง โอวหยางเฟิงหวายืนโกรธอยู่นอกประตู รออยู่นานฟางเจิ้งใจแข็งไม่รับเธอเป็นศิษย์จริงๆ ถึงกระทืบเท้าเดินลงเขาไป
เธอกลับไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไม่ได้ไป แต่นั่งยองฟังเสียงข้างนอกอยู่ตรงประตู
พอได้ยินเสียงฝีเท้าไปไกล ฟางเจิ้งถึงนอนหมอบอยู่บนสันกำแพง โผล่หัวออกไปมองเงาแผ่นหลังเล็กๆ ของโอวหยางเฟิงหวาพลางส่ายหน้าเล็กน้อย สวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ ประเสริฐๆ อาตมามีความแน่วแน่ใช้ได้เลย”
พูดจบเขาก็หัวเราะ ทำสิ่งที่ควรแล้ว ไม่ใส่ใจเรื่องโอวหยางเฟิงหวาเลย เรื่องชายหญิง? เขาไม่คิดถึงเลย…
ใต้ภูเขา อำเภอซงอู่
พวกนักเขียนพู่กันจีนยังไม่กลับบ้าน แต่ไปยังบริษัทติดกรอบภาพทันที เมื่อใส่กรอบคำกลอนที่ฟางเจิ้งเขียนให้แล้วก็แขวนเอาไว้หน้าประตูบ้าน…
“ตาแก่ ไปเอาวัตถุโบราณนี่มาจากไหน? ไม่ได้ถูกหลอกมาใช่ไหม?” หลัวผิงภรรยาซุนก้วนอิงที่กำลังล้างผักเห็นซุนก้วนอิงกลับมาแล้วก็ขยับคำกลอนคู่นั้นไปมา จึงยิ้มถามขึ้น
“วัตถุโบราณอะไร นี่คืออักษรที่ไปขอมาในวันนี้ อักษรดีจริงๆ! มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ” ซุนก้วนอิงมองอักษรหน้าประตูอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
“ที่ไปขอมาวันนี้? คุณไปขออักษร? เฮ้ย หายากนะเนี่ย คุณเป็นพวกมองตัวเองสูงมาตลอด คิดว่าอักษรตัวเองดีที่สุดไม่ใช่เหรอ? ทำไม? เปลี่ยนนิสัยแล้ว?” หลัวผิงพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ มองอักษร
“เฮ้ยตาแก่ ทำไมอักษรนี่สวยขนาดนี้ล่ะ! แค่มองความว้าวุ่นในใจฉันสงบลงเยอะเลย เหมือนกับมีพระพุทธอยู่ในนั้นเลย…คุณคงไม่ได้ไปขอมาจากวัดไหนหรอกใช่ไหม?” หลัวผิงร้องด้วยความตกใจ
ซุนก้วนอิงหัวเราะ “ใช้ได้นี่! คุณมองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่ามาจากมือพระอาจารย์จากวัด เดี๋ยวนี้เข้าใจวัฒนธรรมกับเขาด้วยแล้วเหรอ เหอะๆ…” ซุนก้วนอิงหัวเราะเสียงดัง แต่ในใจกลับตกตะลึงมาก การที่อักษรแฝงข้อมูลของผู้เขียนเล็กน้อยได้ถือว่าปกติมาก ทว่าทำให้คนที่ไม่เข้าใจอักษรมองเห็นเสน่ห์ในนั้นได้นี่ไม่ธรรมดาเลย!
ซุนก้วนอิงคิดได้ดังนั้น ก็วางแผนไว้ในใจแล้ว…บางทีปีหน้า…
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านนักเขียนพู่กันจีนคนอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน แต่ละคนแขวนภาพไว้ดั่งสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่าต้องดึงดูดสายตาคน แขกที่มาหรือเพื่อนสนิทเห็นแล้วต่างพากันเอ่ยชม ทุกคนได้หน้ากันพอดู ขณะเดียวกันในใจยังเกิดความเคารพต่อฟางเจิ้ง นี่เพิ่งจะอายุสิบกว่าๆ ก็มีความสามารถแบบนี้แล้ว ถ้าให้เวลาเขาอีกล่ะจะเป็นยังไง…
‘อำเภอซงอู่ของฉันจะมีนักเขียนพู่กันจีนชื่อดังแล้ว!’ นี่คือความปลงในใจของทุกคน! พร้อมกันนั้นยังนึกถึงความบุ่มบ่ามของตัวเอง จึงหน้าแดง…
ขณะทุกคนแสดงผลงานคำกลอนคู่ ในกลุ่มวีแชตก็เกิดการปะทุขึ้น คนมากมายพูดคุยกันถึงคำกลอนคู่ของฟางเจิ้ง เพียงแต่ว่าในเนื้อหาไม่มีใครพูดถึงคน แต่พูดถึงอักษรทั้งหมด!
พวกนักเขียนพู่กันจีนก็ไม่ได้ปิดบัง แต่ช่วยกันแนะนำฟางเจิ้งกับวัดเอกดรรชนี ตอนนี้วัดเอกดรรชนีมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น!
วันที่สองเป็นข่าวในท้องถิ่น! น่าเสียดาย ข่าวท้องถิ่นได้รับความสนใจน้อยเกินไป…ทว่าชื่อเสียงก็เพิ่มขึ้นตามมาไม่น้อย
ฟางเจิ้งในตอนนี้กำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ทำโคมไฟน้ำแข็งอย่างจริงจัง! เขาว่างไม่มีอะไรทำ ว่างก็ว่างอีก เลยทำโคมไฟน้ำแข็งประดับไว้ทั้งวัด กลายเป็นภารกิจสำคัญของเขาตอนนี้
หลายวันต่อมาฟางเจิ้งทำโคมไฟทำแข็งจำนวนมากในรอบเดียว ทุกวันจะทำเล็กน้อย เริ่มจากประตูวัด ทุกช่วงระยะห่างจะมีตุ๊กตาหิมะ ตรงหัวมันจะวางโคมไฟน้ำแข็งใหญ่ไว้ และจะวางไว้ตลอดทางจนถึงทางขึ้นเขา ใช้เป็นไฟส่องทาง…
เห็นจะปีใหม่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยขึ้นเขามาครั้งหนึ่ง ได้เห็นฟางเจิ้งทำโคมไฟน้ำแข็งจำนวนมาก วันที่สองก็ให้หยางผิงเอาเทียนมัดใหญ่มาให้ ซึ่งพอจะให้ฟางเจิ้งใช้ตามอำเภอใจ
นี่ทำให้ฟางเจิ้งมีความสุขมาก ทำโคมไฟน้ำแข็งเพิ่มอีกเยอะ วางไว้ตามพื้นที่โล่งเป็นกองใหญ่
ปีหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ตรุษจีนหนึ่งครั้งในหนึ่งปีจะมีเสียงประทัดคู่ดังสนั่นตามมา ในที่สุดฟางเจิ้งก็ใส่เทียนในโคมไฟน้ำแข็งทั้งหมด ส่องแสงบนยอดเขา มองไกลๆ ราวกับว่าบนเขาเอกดรรชนีมีแสงพระธรรมสว่างไสว ดูสวยงามเป็นพิเศษ
สวบ!
เสียงแหลมดังขึ้น
ปัง!
ดอกไม้ไฟแตกกระจายออกบนฟ้า หมายถึงการมาของเที่ยงคืน
ฟางเจิ้งมองดอกไม้ไฟบนฟ้าพลางควักมือถือออกมาถ่ายรูปอย่างสำราญใจ! ทว่ารู้สึกแน่นๆ ข้างหลัง เป็นกระรอกน้อยปีนขึ้นมา แยกเขี้ยวทำสีหน้าว่าฉันโหดมากใส่กล้อง
……………
หวังโอ้วกุ้ยอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “แบบนี้ก็ดี หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันจะไม่พูดวกไปวนมาแล้วกันนะ คือแบบนี้ นี่ก็จะปีใหม่แล้ว ตอนนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก ทุกคนต่างติดคำกลอนคู่กัน ปีที่แล้วๆ มาทุกคนออกไปซื้อ ตอนนี้หมู่บ้านเรามีนักเขียนพู่กันจีน ทุกคนเลยไม่อยากออกไปซื้อ อยากให้แกเขียนคำกลอนให้ทุกคน…ดูสิ…” หวังโอ้วกุ้ยแบมือ ความหมายคือเรื่องเป็นแบบนี้ แกดูสิ
ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้อีก? นี่คือคนในหมู่บ้าน ไม่มีทางปฏิเสธได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้หวังโอ้วกุ้ยก็เคยพูดถึงเรื่องนี้มาแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ถือว่ามาอย่างกะทันหัน ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตกลงอย่างยินดี
เห็นฟางเจิ้งตกลง พวกชาวบ้านต่างดีใจ กลัวจริงๆ ว่าฟางเจิ้งจะมีกฎแปลกๆ อะไรอีกไหมที่จะปฏิเสธพวกเขา
พวกชาวบ้านดีใจ พวกซุนก้วนอิง โอวหยางเฟิงหวาก็เห็นความหวัง พาคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเข้ามาทักทาย
ฟางเจิ้งจำซุนก้วนอิงได้ เห็นซุนก้วนอิงแวบแรกก็ตกใจสะดุ้ง รีบกล่าว “อมิตพุมธ โยม ถ้าจะมาประลองพู่กันจีนอีกก็เชิญกลับเถอะ จากนี้อาตมาจะไม่ประลองกับใครอีกแล้ว”
“ไต้…หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้มาประลอง แต่มาขออักษร” ประลองศิลปะพู่กันจีน? หลังเห็นอักษรพุทธองค์มังกรของฟางเจิ้งแล้ว เขาจะมีความมั่นใจจากไหนมาท้าประลองกับฟางเจิ้ง! เว้นแต่ไม่มีสมอง!
ฟางเจิ้งงงงัน ชาวบ้านขออักษรเข้าใจ แต่นักเขียนพู่กันจีนเหล่านี้มาขออักษร ไม่เข้าใจเลย! ก็แค่คำกลอนคู่บทเดียวไม่ใช่หรือ? เขียนเองก็ได้นี่?
ฟางเจิ้งไม่ตอบ พวกซุนก้วนอิงรู้สึกใจคอไม่ดี หรือว่าเรื่องนี้จะคว้าน้ำเหลว? ถ้าฟางเจิ้งปฏิเสธจะทำยังไง? แต่ละคนจึงมองฟางเจิ้งอย่างร้อนรนไม่เป็นสุข
โอวหยางเฟิงหวาเข้ามาใกล้ กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “หลวงพี่ ท่านคงยังไม่โกรธพวกเราอยู่ใช่ไหม? เอ่อถ้าอย่างนั้นฉันขอโทษท่านดีไหม?”
“ใช่ๆๆ พวกเราก็จะขอโทษท่านด้วย ครั้งก่อนมาก่อความวุ่นวายบนเขา ทำผิดกฎ” มีคนขานรับทันที
ฟางเจิ้งรับส่ายหน้า “อมิตพุทธ พวกโยมเข้าใจผิดแล้ว แค่อาตมาคิดไม่ถึงว่าทุกคนจะมาขออักษรก็เท่านั้นเอง ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็เขียนให้ด้วยกันเลย” ฟางเจิ้งขบคิด ของชาวบ้านเขียน ของคนพวกนี้ก็เขียน ยังไงก็ได้! วันนี้ฉลองวันปีใหม่เล็ก ทุกคนมีความสุขก็ดีแล้ว
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันดีใจใหญ่!
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าอักษรของเขาล้ำค่าขนาดไหน แต่พวกเขารู้! อักษรดีแบบนี้ขอไม่พูดว่าหนึ่งตัวเท่าทองคำจำนวนมาก แต่หนึ่งตัวหนึ่งพันหยวนอันนี้ได้! เอาไปแปะไว้ที่บ้าน ใส่กลิ่นหอมของกระดาษเข้าไป ถ้าวันใดอักษรของฟางเจิ้งดังขึ้นมาจะทำเงินได้! ที่สำคัญคือมองจากอักษรดีๆ เหล่านี้แล้วรู้สึกสบาย ถ้าตระหนักผิวเผินจะได้รับคุณความรู้ไม่น้อย!
เดิมทีหลิวซูชิงอยู่ท้ายสุด ทิวทัศน์บนเขาเอกดรรชนีก็ไม่เลว ถ่ายภาพไปเล็กน้อยเอาไปวาดภาพ แถมยังแต่งกลอนหนึ่งบท นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวครั้งหนึ่ง ส่วนคนข้างหน้าคุยอะไรเขาไม่สนใจ
พอฟางเจิ้งมา หลิวซูชิงเพียงแค่กวาดสายตามองแล้วส่ายหน้า ทั้งยังคิดว่าไม่เห็นด้วย ‘หลวงจีนอายุน้อยแบบนี้เขียนอักษรอะไรออกมาได้? ต่อให้เริ่มเขียนจากท้องแม่ก็มีความชำนาญไม่เกินสิบกว่าปี? หรือว่าจะเขียนดีกว่าซุนเหล่า? เฮ้อ…ไม่รู้จริงๆ ว่าหลวงจีนนี่มีเบื้องหลังอะไร อยากจะให้ทุกคนชมกับสร้างกระแสแบบนี้’
หลิวซูชิงพึมพำใจ เดินอ้อมทุกคนไป ไม่สนว่าทุกคนจะพูดอะไร เขาสนแค่ตัวเองเท่านั้น
มาถึงหน้าประตูวัดก็หยิบมือถือมาจะถ่ายรูป แต่กลับอึ้งอยู่ที่เดิม!
วางมือถือลง หลิวซูชิงมองคำกลอนหน้าประตูวัดราวกับเห็นผี! มองแวบแรกเขาเหมือนเห็นพระพุทธองค์ขี่มังกรเทพ เหลือไว้เพียงเหมือนรอยประทับ!
อักษรที่แข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ คนที่มองจะเลือดร้อน แต่กลับรู้สึกว่ามีกลิ่นอายมโหฬารลงมาจากฟ้า ชะล้างทั่วร่าง กวาดความกลุ้มในใจจนหายไป! จิตใจสงบ!
“นะ…นี่มันอักษรอะไร?” หลิวซูชิงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา
“อาหลิว นี่คืออักษรของไต้ซือ เป็นยังไง? น่าตะลึงใช่ไหมล่ะ?” โอวหยางเฟิงหวาไม่รู้มาอยู่ข้างหลิวซูชิงตั้งแต่เมื่อไร เห็นสีหน้าหลิวซูชิงแล้วก็ยิ้มพอใจมาก
หลิวซูชิงพยักหน้ารัวๆ “น่าตะลึงมาก! มิน่าพวกเธอถึงประจบเขาแบบนี้ อักษรนี่ดีจริงๆ!”
“อาหลิวคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่ได้ประจบไต้ซือ แต่ไต้ซือมีความสามารถจริงๆ ต่างหาก! เพียงแต่เขาเป็นคนถ่อมตัวก็เท่านั้น” โอวหยางเฟิงหวามองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหลงใหลและเลื่อมใส เธอเกิดในตระกูลนักเขียนพู่กันจีน ภายใต้การถูกหล่อหลอมโดยสภาพแวดล้อมตั้งแต่เล็ก คนธรรมดาจึงเทียบความรักต่อศิลปะพู่กันจีนกับเธอไม่ได้!
เธอเป็นนักเขียนพู่กันจีนอันดับหนึ่งในชั้นเรียนและโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก ได้ใบรับรองมาทุกใบ ได้รับการยอมรับจากทุกที่ ประหนึ่งดาราในอนาคตวงการศิลปะพู่กันจีน! เธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาจะต้องเป็นไต้ซือศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศให้ได้!
เธอที่ได้รับการยอมรับท้าประลองกับนักเขียนพู่กันจีนอายุเดียวกันมาตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนสู้กับเธอได้! ทว่าพอได้เห็นอักษรของฟางเจิ้งแล้วก็รู้เลยว่าอักษรของเธอเป็นเรื่องตลก!
อายุเท่ากันทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้? เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเณร ทำไมหัวเราะแล้วถึงเปล่งแสงสว่างจ้าขนาดนั้น จะทำอะไรก็ทำให้คนรู้สึกสบายไปหมด?
พูดตามหลักแล้ว เธอควรจะมองคนที่กดอยู่เหนือเธอทุกด้านเป็นศัตรูถึงจะถูก ทว่าพออยู่ต่อหน้าฟางเจิ้ง เธอกลับเกิดความเลื่อมใส…นี่ทำให้เธอตกใจ! คิดว่าควรจะเกิดความรู้สึกนี้กับบิดาถึงจะถูก…
“อัจฉริยะจริงๆ แต่ไม่เคยเห็นเขาเขียนอักษรด้วยตัวเองมาก่อน ฉันยังไม่ยอมรับหรอก! ไป ไปดูกัน!” หลิวซูชิงอยากรู้อยากเห็นมากว่าเณรจะเขียนอักษรแบบนี้ได้จริงๆ หรือ?
แต่ตอนนี้เองภายใต้การช่วยงานของทุกคน โต๊ะจึงวางเรียบร้อย ปูด้วยกระดาษสีแดงไว้เขียนคำกลอน ซุนก้วนอิงถึงกับบดหมึกให้ฟางเจิ้งด้วยตัวเอง
หวังโอ้วกุ้ยหยิบสมุดเล็กวางไว้ตรงหน้าฟางเจิ้ง “ทุกคนอยากได้คำกลอนแบบไหนก็เขียนลงไปข้างบน แกแค่ดูและเขียนเถอะ ส่วนของใครก็มาเอาเองแล้วกัน”
ฟางเจิ้งพยักหน้า โบกพู่กัน ตวัดเป็นลายมังกร อักษรเลิศล้ำยิ่งใหญ่เต้นยิกๆ บนกระดาษราวกับมีชีวิต!
ระหว่างเขียน เหมือนมีเสียงฟ้าผ่ากับมังกรโลดแล่นดังขึ้น แต่เป็นเพียงความรู้สึกไปเอง ความจริงไม่มีผลแบบนี้
หลิวซูชิงมองอักษรไม่กี่ตัวก็ยอมจำนนจนหมดสิ้น จ้องไปไม่กล้าใจลอยอีก! อักษรดีแบบนี้ ถ้าได้เห็นน้อยลงจะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!
ฟางเจิ้งไม่เขียนก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเขียนกลับมีความรู้สึกที่วางมือไม่ลง! ตั้งแต่เรียนอักษรพุทธองค์มังกรก็ไม่มีพู่กันกับหมึกพอจะเขียนบนกระดาษมาตลอด วันนี้มีพู่กันหมึกและกระดาษใช้อย่างเต็มที่เลยวางมือไม่ลงเลย!
ประกอบกับวันนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก บนเขาคึกคักจิตใจก็สบายไปด้วย ย่อมสำราญใจกว่าเดิม โบกพู่กันใหญ่ เขียนเร็วขึ้นเรื่อยๆ อักษรก็ดีขึ้น มีความยิ่งใหญ่ทรงพลังมากขึ้น!
อีกทั้งทั่วร่างฟางเจิ้งยังแผ่เอกลักษณ์ของพุทธองค์มังกรออกมา ในความน่าเกรงขามและเคร่งขรึมกลับมีความเมตตาในใต้หล้า ไม่ว่าใครมองจะติดเชื้อกลิ่นอายของฟางเจิ้ง ไม่กล้าคิดเรื่อยเปื่อยในใจ
………………
ซ่งเอ้อโก่วมองวัยรุ่นคนนั้นแล้วก็มองวัยรุ่นที่กำลังยุ่งอยู่อีกหลายคนข้างๆ ก่อนส่ายศีรษะ “เป็นเรื่องดี แต่ว่าอาจจะใช้ไม่ได้กับหมู่บ้านพวกเรา พวกนายกลับบ้านไปเถอะ ฉันจะกวาดถนน” พูดจบซ่งเอ้อโก่วก็จะเดินไป
วัยรุ่นไม่เข้าใจจึงรีบถาม “คุณอาหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงใช้ไม่ได้ล่ะ? หรือว่าทุกคนซื้อคำกลอนกันแล้ว? วางใจเถอะ พวกเราทำให้ฟรี ไม่คิดเงิน”
ซ่งเอ้อโก่วมองวัยรุ่นคนนั้น “ไอ้หนุ่ม นายไม่ได้ยินข่าวก่อนหน้านี้เหรอ? ในหมู่บ้านพวกเรามีไต้ซือพู่กันจีน ทุกคนนัดกันไว้แล้วว่าวันนี้จะขึ้นเขาไปเขียนคำกลอน ดังนั้นนะ วันนี้พวกนายมาเสียเที่ยวแล้ว ฉันว่ากลับไปเถอะ จะรับความหวังดีไว้แล้วกัน”
“ไต้ซือพู่กันจีน? ที่นี่?” วัยรุ่นงง
วัยรุ่นอีกคนข้างหลังได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม เดินเข้ามาใกล้ “คุณอา พวกเราเป็นนักศึกษาเพิ่งปิดเทอม คุณอาพูดจริงเหรอครับ?”
ซ่งเอ้อโก่วตอบ “มิน่าล่ะ พวกนายไม่รู้ก็ไม่แปลก ยังไงดีล่ะ คนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนของพวกนายเคยมาประลองกันที่นี่ แต่แพ้ไป”
“จริงหรือครับ?” วัยรุ่นสองคนไม่โกรธ แต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จริงแน่นอน จะไม่เชื่อก็ช่าง…เฮ้อ ดูท่าพวกนายเป็นพวกหน้าใหม่ จะต้องถูกหลอกแน่ๆ นักเขียนพู่กันจีนพวกนั้นในอำเภอพวกนาย เหอะๆ…คงไม่มีหน้ากล้ามาที่หมู่บ้านของเราจริงๆ” ซ่งเอ้อโก่วกล่าวถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น ราวกับว่าเขาเป็นคนที่ชนะการประลอง
พวกวัยรุ่นได้ยินดังนั้นต่างก็ร้องด้วยความแปลกใจ หรือว่าจะมียอดฝีมือซ่อนอยู่ในหมู่บ้านจริงๆ?
ขณะที่พวกเขากำลังสงสัย รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด จากนั้นผู้สูงอายุคนหนึ่งเดินลงมา ซ่งเอ้อโก่วมองแวบแรกก็แบะปากแล้วเดินหนีไป
นั่นคือซุนก้วนอิงหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอเมืองซงอู่ ข้างหลังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หน้าตาสะสวย และก็เป็นคนคุ้นเคย นั่นคือโอวหยางเฟิงหวาลูกสาวโอวหยางหวาไจ
พอเห็นซุนก้วนอิง พวกวัยรุ่นพลันวิ่งเข้ามาเล่าเรื่องที่ซ่งเอ้อโก่วบอกให้ฟัง นักศึกษาที่มีสิววัยรุ่นเต็มหน้าคนหนึ่งยิ้ม “ซุนเหล่า ในหมู่บ้านมีไต้ซือจริงๆ หรอครับ? ที่กันดารแบบนี้มีไต้ซืออยู่จริงๆ เหรอครับ?”
ซุนก้วนอิงได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาโต ต่อว่า “จากนี้ไปอย่าพูดแบบนี้อีก! ไต้ซือชอบอยู่ที่ไหน เธอต้องสนใจด้วยเรอะ?”
“เอ่อ ซุนเหล่า แล้วตกลงที่นี่มีไต้ซือจริงๆ ใช่ไหมครับ?” นักศึกษาที่มีสิววัยรุ่นถามด้วยความตกใจ
“มี เป็นไต้ซือที่สุดยอดท่านหนึ่งเลย! เอาล่ะ ในเมื่อชาวบ้านจัดการกันแล้ว เก็บของซะ ถ้าพวกเธอมีธุระจะกลับก่อนก็ได้ ถ้ายังอยากไปหมู่บ้านอื่นก็ไป” ซุนก้วนอิงกล่าว
ทุกคนได้ยินก็ร้องเฮด้วยความดีใจ แม้อาสาสมัครจะดี แต่หน้าหนาวแบบนี้ใครจะยอมทนหนาวกัน จึงรีบเก็บของ…
ทว่าก็มีคนที่หลักแหลมอยู่เหมือนกัน เดินเข้ามาใกล้ “ซุนเหล่า แล้วท่านล่ะ?”
“พวกเราต้องไปดูไต้ซือเขียนอักษรอยู่แล้ว พวกนายไม่รู้หรอกว่าอักษรของไต้ซือท่านนั้นน่ะ…อืม จะพูดยังไงดี? ถ้าจะต้องบรรยายล่ะก็ต้องใช้คำว่าตกตะลึง! เห็นครั้งเดียวไม่พอ!” โอวหยางเฟิงหวากล่าว
ทุกคนงงกว่าเดิม โอวหยางเฟิงหวาเป็นใคร? ลูกสาวนักวาดพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงโอวหยางหวาไจ แม้แต่เธอยังกล่าวชมไต้ซือแบบนี้ อักษรนั้นจะดีขนาดไหน? ดังนั้นแต่ละคนเลยถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
ตอนนี้เองเสียงรถแล่นเข้ามา เป็นขบวนรถ มีทั้งรถเล็กรถใหญ่ ไม่ต่ำกว่าหลายสิบคน!
คนพวกนี้ลงรถแล้ว พวกอาสาสมัครต่างมึนงง นักวาดพู่กันจีนทั้งมีชื่อและไม่มีชื่อในอำเภอซงอู่มากันหมดเลย! นี่มาทำอะไรกัน? รวมทีมเตะฟุตบอลหรือรวมกลุ่มมาเที่ยว?
ซุนก้วนอิงก็งงเหมือนกัน จึงหันหน้าไปถาม “พวกคุณมากันหมดเลยเหรอ? อย่าบอกนะว่ายังไม่ยอมแพ้เรื่องครั้งก่อน! ถ้าเป็นอย่างนั้นไสหัวกลับไปเลย! ใครก็ห้ามรบกวนไต้ซือ!”
“เดี๋ยวๆ ซุนเหล่า ท่านอย่าพูดแบบนี้สิ ครั้งก่อนพวกเรามันกบในกะลา มองเขาเป็นพวกลวงโลก ครั้งนี้พวกเรามาตั้งใจจะขออักษรจริงๆ” ชายหน้าเหลี่ยมยิ้มแห้งๆ เดินเข้ามา
“พวกคุณก็มาขออักษรเหมือนกันเหรอ?” โอวหยางเฟิงหวาอึ้งงัน ถามไปโดยจิตใต้สำนึก
“เอ่อ…หรือว่าคุณก็ด้วย?” ทุกคนต่างงงวย บ้านโอวหยางเฟิงหวามีนักวาดพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วจะมาขออักษรอีกเหรอ?
เห็นโอวหยางเฟิงหวาพยักหน้า ทุกคนพลันเงียบกริบ…
หลิวซูชิงเป็นสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่ ทว่าจะอยู่ต่างจังหวัดตลอดปี ปีนี้กลับมาฉลองปีใหม่ เพื่อนชวนให้มาขออักษร ตอนแรกสงสัยและไม่เข้าใจ จะมาขออักษรในป่าเขาทำไม? หรือว่าเณรจะเขียนภาพของเหยียนเจินชิงออกมาได้? เขารู้สึกว่าเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ สงสัยมากว่าจะสร้างกระแส!
แม้จะเห็นโอวหยางเฟิงหวา เห็นซุนก้วนอิง แต่หลิวซูชิงก็ยังคิดว่านี่เป็นแผนการสร้างกระแส ใช้ของพวกนี้สร้างกระแสให้ไต้ซือ ให้อำเภอซงอู่มีชื่อเสียงก็เท่านั้น ถึงยังไงเขาก็เคยเห็นวิธีแบบนี้มาแล้ว…
ดังนั้นหลิวซูชิงจึงไม่เห็นด้วยกันการขึ้นเขาไปขออักษรมากๆ แค่ไปดูเรื่องสนุกๆ แก้เซ็งเท่านั้น
“ถ้าเป็นแบบนี้ ทุกคนก็ไปด้วยกันเถอะ จำไว้ ขึ้นเขาแล้วอย่าวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนอย่างเด็ดขาด รักษากฎไว้ด้วย เราจะขึ้นเขาไปพร้อมกับชาวบ้านจะได้ดูคึกคัก” ซุนก้วนอิงเอ่ย
ทุกคนพากันขานรับ…
ตอนที่ซุนก้วนอิงหาหวังโอ้วกุ้ยพบ หวังโอ้วกุ้ยยังคิดว่าจะมาหาเรื่องอีกแล้ว พอฟังคำพูดซุนก้วนอิงถึงวางใจลง เลยรวมทุกคนขึ้นเขาไปพร้อมกับชาวบ้าน…
“อมิตพุทธ พวกโยมมาทำอะไรกัน?” ฟางเจิ้งมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง แต่ก็เดินเข้าไปต้อนรับ
ฟางเจิ้งชนะนักเขียนพู่กันจีนก่อน จากนั้นเป็นโจ๊กล่าปา พระโพธิสัตว์ในวัดศักดิ์สิทธิ์อีก ในที่สุดก็ค่อยๆ สร้างเป็นบารมีความน่าเชื่อถือในหมู่บ้าน นอกจากนี้ถานจวี่กั๋วกับหวังโอ้วกุ้ยยังเปลี่ยนความคิดของทุกคน ตอนนี้ทุกคนยอมรับฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการแล้ว ฟางเจิ้งเรียกทุกคนว่าโยมจนทุกคนคุ้นชินแล้ว
หวังโอ้วกุ้ยยิ้ม “ฟาง…” หวังโอ้วกุ้ยชะงักไป…
จะเรียกฟางเจิ้งหวังโอ้วกุ้ยก็ปวดใจ จะเรียกเจ้าอาวาสหรือสมภารเดิมทีก็ไม่มีอะไร ทว่าทุกคนคิดว่าควรจะเรียกหลวงจีนชรามากกว่า เรียกหลวงจีนน้อยแบบนี้มันไม่รื่นหู
เรียกชื่อฟางเจิ้ง? นี่คือนามทางธรรม เรียกไปก็ไม่มีอะไร แต่ปัญหาคือทุกคนคิดว่าเรียกแบบนี้ไม่เคารพฟางเจิ้ง โดยเฉพาะตอนที่มีคนนอกอยู่จะไม่ดีเอา
คิดไปคิดมา หวังโอ้วกุ้ยเอ่ยต่อ “ไต้ซือฟางเจิ้ง เอ่อ…”
“อมิตพุทธ โยมอย่าเรียกอาตมาว่าไต้ซือเลย อาตมารับไว้ไม่ได้” ฟางเจิ้งพูดจริง คนนอกพูดเขายังยอมรับผ่านๆ ไปได้ แต่คำว่าไต้ซือ คนธรรมดายังไม่ควรค่าแก่การรับไว้จริงๆ ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยบอกไว้ว่าไต้ซือมีแรงกดดันหนักหนาเกินไป ถ้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรตามหลักพุทธศาสนาก็ไม่มีใครกล้ารับ
ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งยังไม่คิดอะไร แต่เร็วๆ นี้พอได้เห็นของพวกนั้นที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณทางพุทธศาสนาแล้วก็ได้ตระหนัก จะไปกล้าให้คนอื่นเรียกตนว่าไต้ซืออีกได้ยังไง?
หวังโอ้วกุ้ยกลุ้มใจ “นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี แล้วจะให้เรียกว่ายังไง?”
ฟางเจิ้งตอบเบาๆ “โยมเรียกอาตมาว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งก็ได้ ใช้พระธรรมเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ใช้อาตมาเป็นแบบอย่าง”
……………
มาถึงหน้าประตูใหญ่ก็กดเมล็ดข้าวเป็นก้อน ทำเป็นกาวเหนียว จากนั้นคลึงให้กลมแล้วส่งให้กระรอก กระรอกอุ้มไว้ ขี่อยู่บนหัวหมาป่าเดียวดาย ส่วนฟางเจิ้งถือคำกลอนคู่ วาดพู่กันอยู่หน้าประตูใหญ่เสร็จแล้วถึงถาม “มองจากมุมสูงเป็นยังไง? เบี้ยวรึเปล่า?”
กระรอกมองอย่างแม่นยำ ตอบกลับ “ไปซ้ายหน่อย ขึ้นมุมขวาหน่อย ดี! แบบนี้ล่ะ”
ฟางเจิ้งใช้ก้อนข้าวแปะคำขวัญไว้กับประตู
คำกลอนบน เจตนาดีเป็นเรื่องของนักบวชโดยแท้จริง
คำกลอนล่าง จิตใจเมตตาคืออาณาบริเวณประกอบพิธีทางศาสนา
คำกลอนขวาง ไม่ใช่นักบวช!
คำกลอนคู่เป็นของคนอื่น แต่คำกลอนขวางเป็นของเขาเอง ช่วงเวลาบนเขายากลำบาก เงียบเหงา เขายังหนุ่ม จิตใจเลยยากจะสงบลง เขาก็อยากมีชีวิตใต้ภูเขา โลดแล่นในทางโลกอย่างอิสระ ไม่ใช่หลวงจีนเฝ้าวัด ดังนั้นคำกลอนขวางสุดท้ายเขาเพิ่มไว้ให้ตัวเอง ถือว่าเป็นการเยาะเย้ยตัวเอง
ฟางเจิ้งมองคำกลอนคู่บทนี้ ในที่สุดก็รู้สึกถึงรสชาติของปีใหม่ จึงหัวเราะ “สวยมาก”
“จี๊ดๆๆ!” ตอนนี้เองกระรอกร้องขึ้น
ฟางเจิ้งงุนงง “นายก็อยากได้กลอนคู่เหมือนกัน? บ้านนายอยู่ไหนฉันไม่รู้ จะติดกลอนให้นายได้ยังไง?”
กระรอก “จี๊ดๆๆ…”
“อะไรนะ? นายจะย้ายมาเหรอ? เลือกรังเรียบร้อยแล้ว? อะไรนะ? นายจะอยู่บนต้นโพธิ์? เอ่อ…บนนั้นไม่มีโพรงไม้ให้นายอยู่นี่? เดี๋ยวฉันเลือกบ้านให้นายเองว่าไง?” ฟางเจิ้งถามอย่างไม่พอใจ
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังเอากระถางดอกไม้ยาวผูกไว้กับกิ่งไม้บนต้นโพธิ์
ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีค้อน ตะปูและแผ่นไม้ เลยสร้างรังเล็กสวยๆ ให้กระรอกน้อยไม่ได้ ทว่าในเมื่อเจ้านี่อาศัยในโพรง ใช้กระป๋องแทนก็น่าจะไม่เป็นอะไร
เพียงแต่ว่าทำไมพอเจ้าตัวเล็กเห็นบ้านใหม่แล้วถึงถลึงตามองเขา ไม่เห็นจะต้องจ้องแบบนั้นเลยนี่? ฟางเจิ้งตบป้าบเข้าที่หัวพลันนึกขึ้นได้ หยิบมาผิด นี่ไม่ใช่กระถางดอกไม้ แต่เป็นที่รองปัสสาวะ…นานมากแล้วก็แทบจะลืมไป ตอนที่หาของเห็นมันคุ้นตาเลยเอามาใช้
ทว่าฟางเจิ้งจะไม่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกระรอกจะต้องข่วนหัวโล้นเขาแน่ๆ
แต่ว่าเขาก็เปลี่ยนกระถางดอกไม้ที่ใหญ่กว่าสวยกว่าให้กระรอก เจ้าตัวน้อยถึงมุดเข้าไปอย่างพอใจ จากนั้นมากระโดดบนบ่าเขา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาหัวโล้นลื่นเกินไป เดาว่าคงมากระโดดบนหัว
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหัวโล้นของตนมีประโยชน์…
หลังจัดการบ้านเสร็จก็เขียนคำกลอนคู่!
เขาฉีกกระดาษสีแดงขนาดเท่านิ้วโป้งเล็กสองชิ้น ใช้พู่กันเขียนอักษรไปแถวหนึ่งอย่างชัดเจนบนกระดาษแคบเล็ก ก็ยังคงใช้อักษรพุทธองค์มังกร อักษรยิ่งใหญ่มีพลัง มีกลิ่นอายนักบวชครบสิบส่วน
คำกลอนบน มนุษย์ชอบโลกรุ่งเรือง
คำกลอนล่าง หนูทำนายปีที่ผลเก็บเกี่ยวดี
คำกลอนขวาง บ้านมีกระรอก
เจ้าตัวเล็กอ่านไม่เข้าใจ แต่ก็มีความสุขมาก
หมาป่าเดียวดายเห็นดังนั้นก็ไม่ยินดีนัก อยากจะได้คำกลอนคู่บ้าง
หมาป่าเดียวดายมาเร็ว ฟางเจิ้งใช้ไม้เก่าสร้างรังหมาป่าให้มัน ดังนั้นจึงไม่ต้องเปลืองแรงสร้างรังให้มันอีก
ถ้าอย่างนั้นเขียนคำกลอนล่ะ?
แต่ฟางเจิ้งค้นหาดูแล้วก็ยาก! ในอินเทอร์เน็ตที่พูดถึงหมาป่าจะเป็นการด่าหมาป่าทั้งหมด ไม่มีคำดีๆ แล้วจะทำยังไง?
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองหมาป่าเดียวดายที่ทำหน้าแบ๊วพลางหัวเราะ “นายเข้าใจอักษรไหม?”
หมาป่าเดียวดายส่ายหน้า
ฟางเจิ้งดีดนิ้ว ง่ายล่ะทีนี้! จึงตวัดพู่กัน…
คำกลอนบน โคมไฟประดับแดนพุทธ
คำกลอนล่าง สุนัขหยกเฝ้าห้องโถงกลาง
คำกลอนขวาง มีสุนัขไม่มีขโมย
พอแปะทั้งหมด กระดาษแดงก็หมดเหมือนกัน
แทบเป็นขณะเดียวกัน พู่กันกับหมึกในมือพลันกลายเป็นแสงทองหายไป
ฟางเจิ้งมองบนพลางคิดในใจ “นายรีบไปรึเปล่า? ขี้งก…”
ด่าไปสองประโยค ในใจกลับสุขสบายมาก ทว่าปีใหม่จะมีแค่กลอนคู่ยังไม่พอ ต้องมีโคมไฟสีด้วย! แต่เขาจะเอาโคมไฟมาจากไหน?
ฟางเจิ้งปิ๊งความคิด นึกถึงโคมไฟน้ำแข็งของหลวงจีนหนึ่งนิ้วในตอนนั้น! เลยวิ่งไปหลังลาน เอาถังเหล็กใหญ่ไปตักน้ำจนเต็มสองถัง!
มีแก้วน้ำก็ตักน้ำ แล้ววางไว้ในลาน
ผ่านไปหลายชั่วโมง น้ำในถังน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ฟางเจิ้งเคาะดูแข็งมากแล้ว ใช้ได้!
เขาแบกถังใหญ่เข้าไปในครัวอีกครั้ง วางไว้ข้างไฟ หมุนถังใหญ่ไปรอบๆ เป็นการอุ่น ไม่นานน้ำแข็งละลายออกจากถัง ขยับได้ง่ายขึ้น
ฟางเจิ้งหิ้วถังออกไปข้างนอกอีกครั้ง เจาะน้ำแข็งในถังเป็นรู ก่อนจะเทน้ำที่ไม่แข็งในนั้นออกมา จากนั้นเอาถังใหญ่คว่ำลงกับพื้นแล้วยกขึ้นเบาๆ!
ถังใหญ่ลอยขึ้น โคมไฟน้ำแข็งรูปถังน้ำปรากฎขึ้น! น้ำบริสุทธิ์สะอาดมาก หลังแข็งตัวแล้วยังไม่มีสิ่งปนเปื้อนแม้แต่นิด ราวกับก้อนผลึก สวยมากๆ! เพียงแต่ว่าไม่มีขอบและมุม เป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนขัดเงาจนเป็นเพรช ฟางเจิ้งลูบดูแล้วไม่แย่กว่าเพรชเลย!
ฟางเจิ้งเจาะรูอีกรูบนโคมไฟน้ำแข็งให้ลมผ่าน จากนั้นแขวนโคมไฟน้ำแข็งขึ้นไปอย่างสำราญใจ แขวนไว้ตรงหัวกำแพงวัด จากนั้นหาเทียนสักเล่มจุดไฟใส่เข้าไปในโคมไฟน้ำแข็ง และเพราะข้างบนมีลมผ่านเลยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอากาศและเทียนจะดับ ขณะเดียวกันรอบๆ โคมไฟน้ำแข็งยังมีน้ำแข็งปกป้อง เลยไม่ต้องกลัวว่าลมจะดับไฟ
แม้แสงเทียนจะไม่สวย แต่เมื่อสะท้อนออกมาจากผลึกถังน้ำทรงกลมแล้วก็ดูสวยงามอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งมีลมเบาๆ เข้าไป พัดแสงเทียนสว่างวูบวาบ สั่นไหว แสงข้างนอกก็ขยับไหวและสั่นตาม ราวกับไฟนีออน ดูสวยจริงๆ!
ทว่าพอเห็นโคมไฟน้ำแข็งแล้ว กระรอกน้อยกับหมาป่าก็ทนไม่ไหวอีก กระโดดไปมา อยากจะได้โคมไฟน้ำแข็งของตัวเองบ้าง
ฟางเจิ้งด่าทอยิ้มๆ “พวกนายสองคนอยากได้โคมไฟน้ำแข็ง? ได้ ไปตักน้ำมาเอง!”
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกวิ่งไปตักน้ำทันที ไม่นานตรงรังเล็กของกระรอกมีโคมไฟน้ำแข็งเท่าแก้วน้ำเพิ่มมา ตรงหน้าบ้านหมาป่าเดียวดายก็มีโคมไฟน้ำแข็งใหญ่ๆ เช่นกัน ทว่าในโคมไฟเจ้าสองตัวนี้ไม่มีเทียน ช่วยไม่ได้ ฟางเจิ้งมีเทียนไม่กี่เล่ม จะสิ้นเปลืองไม่ได้
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่กระรอกกับหมาป่าก็มีความสุข
ฟางเจิ้งเล่นจนสนุกใหญ่ คิดว่าจะทำโคมไฟน้ำแข็งเพิ่มอีกไว้บนเขา ถึงยังไงก็ว่าง!
ตอนนี้เองเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วจำนวนคนไม่น้อย
ฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อออกไปดูสถานการณ์ เห็นกลุ่มคนพวกหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋ว หยางผิง หยางหวา ซ่งเอ้อโก่ว มีชายหญิง มือถือไหล่หามข้าวของขึ้นเขามา
ฟางเจิ้งมึนงงเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ย้อนเวลากลับไปตอนเช้า…
“พวกนายจะทำอะไรน่ะ?” ซ่งเอ้อโก่ววางไม้กวาดลง ปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองโต๊ะยาวที่วางไว้หน้าหมู่บ้าน ก่อนเดินเข้าไปถามด้วยความกังวล
“คุณอา คือแบบนี้ รัฐบาลส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านน่ะ ตอนนี้ปีใหม่เล็กไม่ใช่เหรอ ทุกคนต้องติดคำกลอนคู่ ปีก่อนๆ ทุกคนต้องไปซื้อ เสียบรรยากาศวัฒนธรรมไปเยอะ พวกเราเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนในอำเภอ มาที่นี่เพื่อช่วยทุกคนเขียนคำกลอน ถือว่ามาอวยพรให้ด้วยวัฒนธรรมพื้นบ้าน” วัยรุ่นคนหนึ่งลูบดวงตา ตอบกลับยิ้มๆ
………………
เฉินจินดึงซูหงเดินไปข้างนอก ซูหงได้แต่ยิ้มอย่างจำใจ พูดกับฟางเจิ้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ปีหน้าอาจะมาอีก! ตอนนั้นเก็บไว้ให้อาชามหนึ่งด้วย!”
ฟางเจิ้งประนมมือ “โยมวางใจ”
เฉินจินดึงซูหงเดินไปไกล แต่ฟางเจิ้งกลับมีสีหน้าพิลึก เขาไปหาเรื่องใครรึเปล่า? ทำไมถึงรู้สึกว่าสายตาที่เฉินจินมองเขาถึงเหมือนมีความแค้น? ทว่าฟางเจิ้งขี้เกียจจะสนใจ เลยกลับไปเตรียมอาหารเย็น
ส่วนเฉินจินกับซูหง ฟางเจิ้งไม่ค่อยใกล้ชิดกับพวกเขามาก รู้แค่ว่าเฉินจินมีลูกเยอะ จะออกข้างนอกทุกวัน ซูหงก็ตามออกไปบ่อยๆ สุดท้ายถึงกลับมาอยู่ที่หมู่บ้าน…
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดต่อเรื่องที่สองคนนี้ไม่ได้กินโจ๊กล่าปาเลย อีกอย่างรู้สึกผิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เขาไม่มีจริงๆ!
พอกลับหมู่บ้าน เฉินจินพบว่าเดินไปที่ไหนก็จะได้ยินทุกคนคุยกันเรื่องโจ๊กล่าปา ผู้ใหญ่ เด็กต่างมีสีหน้าตื่นเต้น ทว่าในใจเขากลับย่ำแย่ยิ่ง! อิจฉาริษยาคละปนกันเป็นความเกลียดชัง!
‘ไอ้ห่าฟางเจิ้ง นี่มันเกินไปแล้ว! แย่งคนของฉันแล้วยังทำให้ฉันขายหน้าอีก!’ เฉินจินกลับไปด้วยความโมโห ไม่ออกจากบ้านอีก ถ้าไม่เห็นก็จะไม่หงุดหงิด
เข้าสู่กลางคืน ฟ้ามืดลง หิมะตกหนักอีกรอบ…
ครั้งนี้หิมะตกต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์ สั่งสมจนหนาหนึ่งเมตร ถือว่าเป็นหิมะกองใหญ่ที่พบเห็นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีมานี้
หลายวันมานี้ฟางเจิ้งไม่ต้องกวาดฝุ่นแล้ว แต่ลำบากกว่านั้น!
หิมะทางภาคเหนือสะอาดมาก ไม่มีฝุ่นและใบไม้ ทั้งยังไม่มีอุจจาระนก ที่ต้องจัดการมีอย่างเดียวคือหิมะ! หิมะที่กวาดยังไงก็ไม่หมด!
หิมะตก ลมพัดพาหิมะ ในวัดมีกำแพง หิมะจึงตกกองขวางทางเดินง่ายมาก ถ้าจัดการไม่ทันเวลา หากคิดจะจัดการจะยากแล้ว…
ฟางเจิ้งใช้ทุกวิถีทางจัดการกับกองหิมะ ทั้งกวาด ทั้งพลั่วเหล็กโกย หมาป่าเดียวดายก็ใช้แผ่นไม้ผลักหิมะ สรุปทุกๆ หนึ่งถึงสองชั่วโมงจะออกมาทำความสะอาดหนึ่งครั้ง ต่อให้เป็นกระรอกก็ไม่ว่างงาน มันช่วยจัดการกับกองหิมะบนหลังคาเป็นบางครั้ง อย่างเช่นตอนที่หมาป่าเดียวดายเดินผ่าน มันจะผลักกองหิมะตกลงไปโดนหมาป่าบางตัว…
เพราะหิมะตกหนัก หลายวันมานี้เลยไม่มีคนขึ้นเขามาไหว้พระ วูบเดียวผ่านไปอีกหลายวัน…
ฟางเจิ้งยืนอยู่บนยอดเขา มองสายลมรุนแรงส่งเสียงมาแต่ไกล เห็นหมู่ภูเขารางๆ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มีสีหน้าเจ็บปวดน่าสงสาร ทั้งยังมีความลึกซึ้งราวกับตระหนักในสัจธรรมว่ามันว่างเปล่านัก…
แชะ!
สีหน้าเมื่อครู่หายไป ก่อนเอามือถือกลับมาดู ยิ้ม “รูปนี้ไม่เลว หล่อมาก!”
ไม่ผิด เจ้านี่ไม่ได้กำลังตระหนักรู้ฟ้าดิน แต่กำลังถ่ายรูปตัวเอง…
ฟางเจิ้งแชร์ภาพที่ถ่ายมาลงในหน้าโซเชี่ยวตัวเอง หลังจากครั้งก่อนที่ฟางอวิ๋นจิ้งวานให้เขาถ่ายภาพ เขาก็ติดนิสัยว่างๆ ชอบมาถ่ายภาพสวยๆ สักสองรูป
ขณะที่ฟางเจิ้งเตรียมจะกลับวัดนั้น พลันมีเสียงประทัดแว่วมาจากตีนเขา ตามด้วยเสียงประทัดคู่ดังต่อเนื่อง!
ฟางเจิ้งมองไปใต้เขา ตรงนี้เห็นหมู่บ้านเอกดรรชนีพอดี วันนี้หิมะไม่ตก แค่ลมแรงหน่อย เลยเห็นคร่าวๆ
เห็นว่าเมื่อเสียงประทัดดังขึ้นตีนเขาก็เริ่มมีคนขยับ ควันหุงอาหารลอยโชย ทำให้ภูเขาใหญ่อันเงียบเชียบมีกลิ่นอายคนกับความอบอุ่นเล็กน้อย ทว่าพอหันไปมองวัดอันเงียบเหงาของตัวเอง เทียบกันชัดๆ แล้ว ฟางเจิ้งได้แต่ส่ายหน้าอย่างจำใจ ทอดถอนใจ ไม่พูดอะไร แต่ยกมือถือขึ้นมา ปลดล๊อคหน้าจอ ทว่า…ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปแล้ว!
ตุ๊กตานำโชคสีแดงตัวใหญ่ถือประทัด ใบหน้ารอยยิ้มราวกับดอกไม้ ด้านบนยังมีตัวอักษรใหญ่แถวหนึ่ง
‘ถึงวันปีใหม่เล็ก[1]แล้ว ปีใหม่ยังอีกไกลไหม?’
ฟางเจิ้งอึ้งงัน “ปีใหม่เล็กแล้ว? มิน่าทุกคนถึงจุดประทัดกันเร็วขนาดนี้…ปีใหม่เหรอ…”
หมู่บ้านทางภาคตะวันออกและเหนือ พอถึงปีใหม่เล็กจะจุดประทัดคู่ก่อนกินข้าว หนึ่งเพื่อแสดงความยินดี สองส่งเทพ ส่งเทพเจ้าแห่งเตาขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันจะเตรียมพร้อมสำหรับปีใหม่ สถานที่ต่างกันวิธีการจะต่างกันด้วย…สรุป ในมุมมองฟางเจิ้ง แค่คึกคัก ปีติยินดีก็พอแล้ว!
ขากลับในใจฟางเจิ้งรู้สึกไม่ค่อยดี ในความคิดมักจะมีภาพตอนปีใหม่เมื่อปีก่อน ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วยังอยู่ แม้จะมีคนเพิ่มมาคนเดียว แต่วัดไม่ใหญ่ ไม่เงียบเหงา ตอนนี้เหลือเขาคนเดียว ความอบอุ่นพลันลดน้อยลงมาก ลมก็แรง อากาศก็หนาว…
พอกลับมาถึงประตูวัดเห็นหมาป่าเดียวดายดันหิมะทั้งพื้นมั่วไปหมด รวมเป็นหิมะกองใหญ่ตรงหน้าประตู! กระรอกกลิ้งบนกองหิมะ เล่นอย่างสนุกสนาน…
เห็นเจ้าตัวตลกสองตัวนี้แล้ว ความเหงาในใจฟางเจิ้งถึงละลายไปไม่น้อย ผ่อนหายใจยาวโล่งอก คิดในใจว่า ‘ฉันก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวมากเสียทีเดียว อย่างน้อยๆ ปีนี้ก็ยังมีเจ้าสองตัวนี้ฉลองปีใหม่ด้วยกัน นับตามจำนวนคนแล้ว ปีนี้ยังมีเพิ่มมาอีกคน เหอะๆ…’
ฟางเจิ้งปลอบใจตัวเอง ก่อนจะปั้นก้อนหิมะพุ่งเข้าไปตบหัวหมาป่าเดียวดายดังแปะ พร้อมกันนั้นยังยัดกระรอกเข้าไปในกองหิมะ
จากนั้นหมาป่าเดียวเห่าพลางพุ่งเข้ามา กระโจนฟางเจิ้งล้มลงกับพื้น กระรอกขี่บนหัวเขา เอาหิมะยัดใส่จีวร ทำเอาเขาหนาวจนร้อง…พันกันจนเป็นก้อน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ความอัดอั้นในใจฟางเจิ้งหายไปจนหมด
ปีใหม่เล็กในจีนมีความหมายต่างกัน อย่างน้อยก็มีเรื่องที่ต้องทำเยอะ
เขียนคำขวัญ แนบคำอวยพร เมื่อวันนี้เริ่มขึ้น จนกระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดทางจันทรคติ จะเป็นวันที่มีรสชาติของปีใหม่! ขึ้นเขาลงเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความยินดี
ฟางเจิ้งได้รับห่อของขวัญชิ้นใหญ่จากระบบอีกครั้ง!
“ติ๊ง! ร่างสถิต ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ระบบจะมอบของตกแต่งปีใหม่ให้เล็กน้อย จะรับหรือไม่?”
“เฮ้ย วันปีใหม่เล็กยังมีของขวัญด้วยเหรอ? ก็ดี เหอะๆ…พุทธศาสนาก็ฉลองวันปีใหม่เล็กกันด้วยเหรอ?” ฟางเจิ้งพยักหน้ารับทันที แถมยังถามด้วยความแปลกใจ
“ฉลองปีใหม่ใหญ่ แต่พุทธศาสนาอยู่ที่ไหนก็ควรปฏิบัติตามธรรมเนียมของที่นั่น ต้องพัฒนาไปตามยุคสมัยไม่ใช่หรือ” ระบบตอบอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งหัวเราะ เขารู้สึกว่ายิ่งไม่เข้าใจระบบมากขึ้นเรื่อยๆ มีแสงสีเหลืองสว่างวาบตรงหน้า ปรากฎกองเพิ่มมาเล็กน้อย มีพู่กันหมึก และยังมีกระดาษสีแดงใหญ่ที่ใช้เขียนคำขวัญอีกหลายใบ! นอกจากนี้แล้วไม่มีอะไรอีก
“ระบบ นายยังขี้เหนียวกว่านี้ได้อีกไหม?” ฟางเจิ้งถามอย่างจนปัญญา
“พู่กันกับน้ำหมึกให้นายยืม ใช้เสร็จแล้วคืนด้วย” ระบบกล่าวเรียบๆ
ตอนนี้ฟางเจิ้งแค่อยากด่าแม่! นี่งกเกินไปแล้ว! บนโลกยังมีระบบที่ขี้งกกว่าเจ้านี่อีกไหม? ดีที่อู๋ฉางสี่ให้พู่กันเขาไว้ หมึกก็ยังมีอีกก้อน น่าเสียดาย ไม่มีกระดาษแดง…ดังนั้นเขาเลยคิดไว้ต้องใช้อย่างประหยัดๆ
แม้จะเป็นการยืม ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ถือว่าเป็นของขวัญ ดีกว่าไม่มี ได้รับของขวัญปีใหม่ใหญ่ ฟางเจิ้งก็ดีใจแล้ว
เมื่อได้รับของขวัญ ในใจเขาโยกไหวขึ้นมา เกิดความหวังในการฉลองปีใหม่ ดังนั้นจึงตรึกตรองว่าจะฉลองปีใหม่ยังไงดี
อันดับแรกคือการเขียนคำขวัญ เขาค้นในอินเทอร์เน็ตอยู่นานก็เจอคำขวัญที่ไม่เลว จากนั้นสะบัดพู่กัน เขียนลงไปโดยมีอักษรพุทธองค์มังกรอยู่ในมือ!
…………………………………………
[1] ปีใหม่เล็ก หรือเสี่ยวเหนียน ตรงกับแรมแปดค่ำเดือนสิบสองของปี
“ไอ้เวรพวกนี้เป็นบ้าอะไรกัน? จะให้คนอื่นเขานอนกันไหมเนี่ย?!” เฉินจินเปิดผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาแดงก่ำพลางร้องโวยวาย! กว่าจะได้นอนไม่ง่าย เดิมทีคิดจะนอนต่ออีกสักพัก แต่ไก่บินหมาเห่า เด็กร้องไห้ ผู้ใหญ่หัวเราะ แล้วจะให้นอนยังไง?
ข้างกายเฉินจินว่างเปล่า! มองไปภรรยาหายไปนานแล้ว! ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากข้างนอกว่าภรรยาเขาคุยกับคนอื่น
“เช้าขนาดนี้เธอจะออกไปทำไมกันนะ?” เฉินจินพึมพำด้วยความไม่พอใจ
เฉินจินได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดังมาจากข้างนอก เลยอดใจอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ใส่รองเท้าออกไปดู
ลานของหมู่บ้านทางภาคเหนือกว้างมาก ปกติกำแพงไม่สูงจะอยู่ราวๆ เมตรกว่า ดังนั้นเฉินจินเลยยืนอยู่ในลานก็เห็นสถานการณ์บนถนนข้างนอก เห็นกลุ่มคนยิ้มแย้ม เหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่
“เฉินจิน เมื่อวานนายไม่ขึ้นเขา อดเลย! ฮ่าๆ…” ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง
“ก็แค่ไม่ได้กินโจ๊กล่าปาคำสองคำเองไม่ใช่เรอะ? ต่อให้อร่อยแล้วยังไง? หอมปากแต่เหม็นทางก้น ไม่มีอะไรวิเศษวิโสนักหรอก!” ชั่วขณะที่เฉินจินกล่าวก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย คนหนึ่งบอกโจ๊กล่าปาบนเขาอร่อย อีกคนก็บอกอย่างนั้น ในใจเขาก็ไม่ได้แน่วแน่ขนาดนั้น ทว่าตอนที่ทุกคนบอกว่าโจ๊กล่าปาบนเขาอร่อย เขาเชื่อสนิทแล้ว แค่ปากแข็งเท่านั้น ไม่ยอมละศักดิ์ศรียอมรับ
“เฮ้อ มันไม่ใช่แค่หอมปาก เหม็นก้นอย่างที่ว่าจริงๆ หรอกนะ ฉันบอกให้ โรคไขข้ออักเสบเรื้อรังของฉันหายดีแล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นเตะขาโชว์ด้วยความตื่นเต้น
“ไร้สาระ…กินโจ๊กรักษาโรคได้ด้วยรึไง?” เฉินจินไม่เชื่อ เขาออกจากลานมาก็เห็นพวกถานหย่งมาเข้ามาใกล้
ถานหย่งถาม “ทุกคนรู้สึกมีอะไรพิเศษไหม?”
“ใช่ โรคไขข้ออักเสบเรื้อรังฉันหายแล้ว!”
“โรคข้อไหล่ติดของฉันไม่ปวดแล้ว!”
“ฉันรู้สึกโล่งปอด ไม่ไอแล้ว”
“ไม่ปวดเอวแล้ว ไม่เมื่อยขาด้วย มีแรงอุ้มหลานแล้วล่ะ” คุณยายผมขาวทั้งศีรษะหัวเราะเสียงดัง
ทุกคนต่างหัวเราะ ตอนนี้ซ่งเอ้อโก่วมาแล้ว ตะโกนมาแต่ไกล “นี่ ฉันยังคิดว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่ดีขึ้น ที่แท้ทุกคนก็ดีขึ้นเหมือนกัน จึ๊ๆ…มหัศจรรย์จริงๆ โจ๊กล่าปาอร่อยด้วย ฮ่าๆ…ถานหย่ง นายล่ะ? เป็นไงบ้าง?”
ถานหย่งหน้าแดง “เอ่อ ก็ดีขึ้นเหมือนกัน แต่พวกนายอย่าถามเลย”
“ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรนั่นเหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วใช้สายตาที่ทุกคนเข้าใจมองถานหย่ง
ถานหย่งโกรธขึ้นมาทันที “อะไรๆๆ? ริดสีดวงทวารฉันหายแล้ว พอใจรึยัง? จริงๆ นะ ใครก็เป็นริดสีดวงทวารกันทั้งนั้น อย่าบอกฉันนะว่าพวกนายไม่คิดอย่างนั้น?”
“แหะๆ…ก็จริง ของฉันก็หายแล้ว…” ซ่งเอ้อโก่วหัวเราะแหะๆ
คนอื่นก็หัวเราะตาม เห็นได้ชัดว่าทุกคนหายดีแล้ว
เห็นดังนั้น เฉินจินพลันรู้สึกว่าเขาเหมือนพลาดอะไรไปจริงๆ…
ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วกับหวังโอ้วกุ้ยมาแล้ว
เฉินจินกล่าวขึ้นในทันใด “ผู้ใหญ่บ้าน เสมียนมาก็ดี คนพวกนี้แกล้งผมแต่เช้าเลย! แถมยังบอกโจ๊กรักษาโรคอีก แต่ละคนดูก็รู้ว่าวางแผนกันมาแกล้งผม! ผู้ใหญ่บ้านต้องตัดสินให้ผมนะ”
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะดังลั่น “เฉินจิน เรื่องนี้น่ะพูดยากจริงๆ อาจจะเป็นผลจากโจ๊กล่าปาหรือไม่ใช่ก็ได้ ไม่ว่ายังไงโรคต่างๆ มากมายของทุกคนก็หายดีจริงๆ ใครป่วยก็หาย ไม่ป่วยร่างกายแข็งแรงขึ้น นายดูอาถานจะเดินเร็วกว่าฉันแล้ว”
ถานจวี่กั๋วยิ้ม “เฉินจิน บอกแกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าให้ตามพวกเราขึ้นเขา แต่ก็ไม่ฟัง เฮ้อ แกพลาดแล้วล่ะ…”
เฉินจินไม่เชื่อคำพูดคนอื่น แต่เชื่อคำพูดถานจวี่กั๋ว ถานจวี่กั๋วไม่เคยโกหกสักครั้งในชีวิต! คิดได้ดังนั้นเฉินจินก็อึ้งไป โจ๊กล่าปาชามเดียวมีผลขนาดนี้เลย? นะ…นี่เป็นไปได้หรือ?
ยังไม่ทันที่เฉินจินจะตอบกลับ ซูหงภรรยาเฉินจินร้อนใจแล้ว ตบเข้าที่หัวเฉินจินไปทีหนึ่ง “คุณนะคุณ! เพราะคุณมันไร้เหตุผล ให้คุณขึ้นเขาก็ไม่ไป พอฉันจะไปก็ไม่ให้ไป เห็นแก่ตัว…ไม่คุยด้วยแล้ว!” พูดจบซูหงก็เดินไป
เฉินจินรีบถาม “คุณจะไปไหน?”
“ขึ้นเขา! ดูว่าฟางเจิ้งยังมีโจ๊กล่าปาเหลือไหม ไม่ได้การ ฉันต้องกินสักคำ! ไม่อย่างนั้นไม่ยอมแน่!” ซูหงกล่าวพลางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เฉินจินเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงตะโกนเสียงดัง “กลับมาเดี๋ยวนี้! จะไปทำไม เมื่อวานไม่ไป วันนี้ยังมีหน้าไปอีกเหรอ?”
“เฉินจิน จะตายแล้วยังรักหน้าตาอีก แต่วันนี้ขึ้นเขาไปก็คงหมดหวังจริงๆ ฟางเจิ้งบอกแล้วว่าจะแจกโจ๊กล่าปาแค่วันเดียว วันที่สองไม่แจกแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้เรียนพระธรรมมาเยอะเท่าไร แต่เรียนนิสัยหัวแข็งของหลวงจีนหนึ่งนิ้วมาแปดส่วน บอกว่าไม่ให้ก็ไม่ให้ กฎเป็นกฎ พวกเธอขึ้นเขาไปก็ไม่มีประโยชน์” หวังโอ้วกุ้ยบอก
เฉินจินยิ้มแห้ง “ผมรู้ แต่ก็ต้องให้ซูหงกลับมานี่ครับ?”
พูดจบเฉินจินก็ตามไป
ตอนนี้เองฟางเจิ้งกำลังทำความสะอาดวัด จากนั้นเดินเตร่บนเขา เขาก็ควรจะตรึกตรองปัญหาของวัดได้แล้ว แม้วัดเอกดรรชนีจะสูงชัน แต่พื้นที่บนยอดเขาไม่น้อย ใหญ่แค่ไหนฟางเจิ้งไม่ได้วัด แต่ที่นี่ก็ใหญ่จริงๆ! ครึ่งหน้าวัดเอกดรรชนีเป็นพื้นราบแผ่ออก ที่นี่มีแค่หญ้ารกครึ้ม ต้นไม้เล็กๆ กับวัด
ข้างหลังเป็นยอดเขานูนขึ้นเหมือนกับหนึ่งนิ้วคน ตรงนั้นเป็นต้นไม่สูงป่ารก ต้นสนตั้งตระหง่านราวกับกระบอกปืนยาว ตอนนี้หิมะตกจึงเป็นผืนขาว ทว่ากลางป่ากลับเป็นสีดำ ตรงนั้นนอกจากฟางเจิ้งใช้ตัดฟืนแล้ว เวลาปกติจะไม่ไป
ฟางเจิ้งมองพื้นที่นี้พลางลูบคาง “ไม่รู้ว่าวัดเมฆาขาวใหญ่แค่ไหน สร้างวัดใหญ่บนยอดเขานี่ไม่น่ามีปัญหา…อืม ขาดแค่เงิน แค่มีเงิน ฉันอดข้าวได้ ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา เรามีเงินไม่น้อยแต่ก็ยังไม่พอจ่าย…”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า พาหมาป่าเดียวดายกับกระรอกเดินวนรอบหนึ่งแล้วกลับวัด
แต่เห็นมีคนหนึ่งรออยู่ตรงประตู พอเดินเข้าไปแล้ว ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตพุทธ โยมสองท่าน ทำไมถึงนั่งอยู่หน้าประตู? จะจุดธูปไหว้พระก็เชิญที่อุโบสถ…”
“ฟางเจิ้งแกกลับมาแล้ว อาถามหน่อยว่ายังมีโจ๊กอีกไหม?” ซูหงเห็นฟางเจิ้งในแวบแรกก็คึกคักขึ้นมา ไม่สนเฉินจินที่ฉุดดึง แต่รีบถาม
ฟางเจิ้งงุนงง มองซูหง ก่อนมองเฉินจินที่หน้าแดง ก้มหน้าไม่ออกเสียง จากนั้นยิ้มเจื่อนๆ “โยมทั้งสองท่าน โจ๊กล่าปาของอาตมาหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ไม่เหลือสักนิดเลยเหรอ?” ซูหงไม่ยอม
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ มี? เขาก็อยากให้มีเหมือนกัน แต่ปัญหาคือระบบไม่เหลือข้าวไว้ให้เขาสักเม็ด! ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตอบไปว่า “ไม่มีจริงๆ ถ้าโยมทั้งสองอยากกินก็ต้องรอปีหน้าเท่านั้น ทำไมเมื่อวานโยมสองคนไม่มาล่ะ?”
ซูหงจะพูดบางอย่าง เฉินจินหายใจออกพร้อมยืนขึ้น ดึงซูหงไว้ “กลับ กลับ! เขาไม่ให้ คุณจะหน้าด้านขอทำไม? น่าขายหน้า! กลับ!”
…………
น่าเสียดาย เงินพวกนี้ไม่เหลือเลยในหลายปีมานี้ ปกติหลวงจีนหงเหยียนจะเก็บไว้ซ่อมแซมวัด ที่เหลือถ้าไม่ให้หมู่บ้านซ่อมทางก็บริจาค ทำจนวัดผาแดงไม่เคยได้พัฒนาใหญ่โตเลย
ดังนั้นอู้หมิงจึงไม่เข้าใจวิธีการของหลวงจีนหงเหยียนมาก! ในมุมมองเขา มีเงินก็ควรจะขยายวัด กระทั่งสร้างให้สูงยิ่งกว่า ใหญ่กว่า ขึ้นไปบนเขาที่ทิวทัศน์ดีกว่า! มีเงินพวกนี้เขามั่นใจว่าในช่วงหลายปีสั้นๆ จะพัฒนาวัดผาแดงให้เป็นวัดใหญ่! สิบปีไล่ตามวัดเมฆาขาวทัน!
อู้หมิงไม่เห็นด้วยกับการที่หลวงจีนหงเหยียนลำบากซ่อมถนน ในมุมมองเขา ความรุ่งเรืองของวัดกับความรุ่งเรืองของศาสนาต่างกันอย่างสิ้นเชิง! เขาแค่อยากมีชื่อเสียงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สืบต่อไป เป็นไต้ซือที่ปุถุชนยอมรับเหมือนกับไต้ซือไป๋อวิ๋น!
หลวงจีนหงเหยียนคิดว่าพระธรรมถึง ก็จะถึงเองโดยธรรมชาติ
แต่อู้หมิงคิดว่าทุกอย่างเป็นเงิน! ขอแค่มีเงินวัดจะใหญ่พอ ติดโฆษณา พระธรรมก็ไม่ใช่ปัญหา! ส่วนตัวเขาจะห่อตัวเองเป็นไต้ซือที่มีชื่อเสียงถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!
ฉะนั้นแม้อู้หมิงจะเคารพหลวงจีนหงเหยียน แต่กลับไม่พอใจอยู่ข้างในมาก ขณะเดียวกันก็ยังเป็นคนหยิ่งยโส ตอนนี้ถูกหลวงจีนหงเหยียนตำหนิต่อหน้าทุกคนจึงย่อมไม่พอใจ ทว่าเขาไม่กล้าทำอะไรหลวงจีนหงเหยียน ได้แต่ย้ายเพลิงโทสะไปยังฟางเจิ้งแห่งวัดเอกดรรชนีที่ทำให้เขาขายหน้า…
‘เณร รอก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วแกได้เห็นดีแน่’ อู้หมิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แต่กลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งราวกับกำลังตั้งใจฟัง…
“ติ๊ง! ประกาศภารกิจที่สี่ คือมีชื่อเสียงเล็กน้อย ชื่อเสียงดังห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในระดับท้องถิ่น แถมยังมั่นคง! ตอนนี้มีชื่อเสียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อภารกิจสำเร็จจะสุ่มรางวัลหนึ่งชิ้น”
“เอ่อ ระบบ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้วเหรอ? ทำไมถึงมีภารกิจแบบนี้อีก?” ถ้าฟางเจิ้งจำไม่ผิด การประลองศิลปะพู่กันจีนทำให้เขามีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้วนี่
“ครั้งก่อนแค่ชั่วคราว แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ วัดเอกดรรชนีถูกลืมไปแล้ว ถ้านายไม่คิดหาวิธี ชื่อเสียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่าไม่ยั่งยืนหรอกนะ ชื่อเสียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แค่เริ่มต้น ความยั่งยืนต่างหากที่ยากที่สุด สู้ๆ ฉันเชียร์นายอยู่”
“เหอะๆ นายเชียร์ฉัน แต่ฉันไม่อยากจะเชียร์ตัวเองเลย หรือว่าจะหาคนมาประลองดี? ช่างเถอะ ยุ่งยากไป! อยากทำอะไรก็ทำดีกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ฟางเจิ้งส่ายหน้า ชี้เกียจจะคิดแล้ว
พูดจบก็เก็บข้าวของ เล่นกับหมาป่าแล้วกลับเข้าไปในวัด อาบน้ำ แต่กลับมีคนนอนไม่หลับ นั่นคือเฉินจิน!
“ฮ่าๆ…”
“ทำไมร้อนแบบนี้!”
“ฉันก็ร้อน! แต่สบายนะ รู้สึกมีแรง แค่นอนไม่หลับ!”
“ข้อต่อกระดูกฉันร้อน”
“กระดูกสันหลังฉันร้อน…”
“ฉันร้อนตรงหน้าอก…”
“ฉันร้อนปอด…”
……………
พอได้ยินเสียงข้างนอก เฉินจินพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ สุดท้ายลุกขึ้นด่าไป “ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมพวกแกยังไม่นอน? กินโจ๊กล่าปาแค่ชามสองชามอิ่มรึไง?”
“เฉินจิน ถ้านายนอนไม่หลับก็ช่วยออกมาคุยกันหน่อย มัวนั่งอยู่ในนั้นทำไม? ฉันจะบอกให้นะ โจ๊กล่าปานั้น จึ๊ๆ…หอมจริงๆ!” เสียงซ่งเอ้อโก่วดังแว่วมา
“อย่าไร้สาระ แค่โจ๊กล่าปาจะดีแค่ไหน?” เฉินจินกล่าว
“เฮ้ นายยังไม่เชื่ออีกเหรอ? ไม่เชื่อก็ถามทุกคนดู คนที่เคยกินน่ะไม่มีใครบอกว่าไม่อร่อย!” ซ่งเอ้อโก่วตอบ
“จริงๆ! เฉินจิน ซ่งเอ้อโก่วไม่ได้หลอกนายนะ! รสชาตินั่นสุดยอดมาก! ฉันโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยกินโจ๊กที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน! ไม่ใช่สิ อาหารเลิศรสอะไรพวกนั้นเทียบไม่ได้กับโจ๊กชามนี้เลย” มีคนพูดเสริม
เฉินจินโต้ตอบ “ไร้สาระ นายเคยกินอาหารเลิศรสกับเขาด้วยเหรอ? แค่ปลาในแม่น้ำก็ใช้ฉลองปีใหม่นายได้แล้ว! เจ้าฟางเจิ้งยังมีปัญหาเรื่องปากท้องอยู่เลย จะแจกจ่ายโจ๊กล่าปา? อย่าไร้สาระ!”
“นี่! นายยังไม่เชื่ออีก? ไม่เชื่อก็ช่าง! พวกเรากินกันเอร็ดอร่อยก็พอแล้ว นายนอนบนเตียงคิดถึงปลาของนายไปเถอะ!” อีกฝ่ายเอ่ย
พูดจบ ด้วยความที่อีกฝ่ายตะโกนกับเฉินจิน ข้างนอกเลยส่งไปปากต่อปาก คุยกันว่าทำไมร้อนแบบนี้? เพราะอะไร?
เฉินจินพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ทรมานจนหลังเที่ยงคืนถึงสะลึมสะลือหลับไป
วันที่สอง ฟ้าสาง
“นี่…ตาแก่! ตาแก่! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมฉันรู้สึกว่าตื่นนอนมาแล้วตัวเบาสบายแบบนี้ล่ะ?” หลู่เสียนคนรักของถานจวี่กั๋วตื่นนอนมาแล้วก็กระโดดไปมากับพื้น
ถานจวี่กั๋วที่ยังไม่ตื่นนอนลืมตาขึ้น กวาดสายตามองหลู่เสียน ก่อนหัวเราะ “เอาเถอะ เช้าขนาดนี้เป็นลมบ้าหมูรึไง แถมยังตัวเบาอีก…หืม? เฮ้ย!”
ถานจวี่กั๋วลืมตาขึ้น รู้สึกแปลกๆ ปกติตื่นนอนเวลานี้แล้วจะสมองเบลอๆ เล็กน้อย แต่วันนี้ชัดเจนเป็นพิเศษ! ลุกขึ้นนั่งแกว่งแขน เบาสบาย! จึงเอ่ยด้วยความตกใจระคนดีใจ “จริงด้วย! เฮ้ย สบาย! เหมือนกับอะไหล่ขึ้นสนิมได้ชโลมน้ำมันหล่อลื่นเลย สบาย!”
“ตาแก่ คุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนี่? ทำไมจู่ๆ ถึงดีแบบนี้?” หลู่เสียนเป็นกังวล
ถานจวี่กั๋วหรี่ตาลง “สองวันนี้ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ใช้ชีวิตปกติตามเดิม มีอย่างเดียวคือขึ้นเขา กินโจ๊กล่าปา สรงน้ำพระ ถ้าบอกว่ามีปัญหาก็คงอยู่ที่ตรงนี้ล่ะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง? แค่โจ๊กชามเดียวกับสรงน้ำพระเป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ? ปีก่อนๆ พวกเราหลายคนก็ไปกินโจ๊กที่วัดผาแดงแล้วก็สรงน้ำพระด้วยนี่” หลู่เสียนกล่าว
ถานจวี่กั๋วส่ายหน้า “ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เอาเถอะ ร่างกายคุณดีแล้ว ไปทำกับข้าวเถอะ ผมจะออกไปเดินข้างนอก ดูว่าทุกคนเป็นยังไงบ้าง เอ่อ เรื่องตัวเบาสบายนี่อย่าไปพูดมั่วซั่วล่ะ ให้รอข่าวจากผมก่อน”
ถานจวี่กั๋วรีบสวมเสื้อผ้าพร้อมกับกำชับหลู่เสียน
หลู่เสียนยิ้ม “เอาเถอะ อย่ามัวพูดมาก จะฟังคุณทุกอย่างเลยพอใจไหม”
ถานจวี่กั๋วหัวเราะเหอะๆ แล้วออกจากบ้านไป
อีกห้อง
“ที่รัก ผะ…ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ” ถานหมิงพลันดึงตัวภรรยา
“อะไร? ฝัน? ฝันว่ากินโจ๊กล่าปาอีก?” ภรรยาถานหมิงพลิกตัว ถามขึ้นอย่างรำคาญ
ถานหมิงตอบ “ไม่ใช่ เอ่อ…ริดสีดวงทวารผมหายไปแล้ว”
“อะไรนะ? เล่นอะไร?” ภรรยาถานหมิงลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นด่ายิ้มๆ “คุณนอนจนสับสนรึเปล่า? พูดถึงความฝันเหรอ?” สิ้นเสียง ภรรยาถานหมิงหน้าเปลี่ยนสี “ของฉันก็เหมือนหายไปเหมือนกัน…”
บ้านหยางผิง
“ที่รัก กลากเกลื้อนที่เท้าผมเหมือนจะหายไปแล้วล่ะ…”
“เป็นไปได้ยังไง? หืม? จริงๆ ด้วย…”
……
เหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก ตอนนี้ทุกคนไม่นอนกันแล้ว พากันตื่นขึ้น
ไก่ตัวผู้ข้างนอกยังไม่ขัน แต่ชาวบ้านพวกนี้รบกวนจนคนอื่นตื่น จึงพากันไม่พอใจ ตะคอกต่อว่า…ตามด้วยเสียงหมาเห่า หมาก็เห่าจนเด็กร้องไห้ เวลานี้หมู่บ้านเล็กๆ เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
…………
มีเพียงสิ่งเดียวที่ฟางเจิ้งดีใจคือหลังสรงน้ำพระแล้ว จิตใจทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลุ่มลึก เข้าวัดด้วยความเคารพ ไม่มีใครทิ้งของมั่วซั่ว ในวัดยังคงสะอาด
หลังทำงานเสร็จก็ไปตักน้ำเต็มโอ่ง หนึ่งวันผ่านไปแบบนี้ มองตะวันลาลับขอบฟ้า กินโจ๊กล่าปาสุดท้ายจนหมด ถึงถอนหายใจโล่งอก
ฟางเจิ้งเดินมากลางอุโบสถด้วยความพอใจ พูดเบาๆ “ระบบ รับกล่องบริจาค!”
วิ้ง!
แสงทองขยับวูบผ่าน ในอุโบสถมีกล่องบริจาคสีแดงเพิ่มมา ด้านบนเขียนว่าบริจาค
กล่องบริจาคเหมือนทำขึ้นจากไม้ แต่สัมผัสแล้วกลับมีความเย็นเล็กน้อย ไม่ใช่หนาว สัมผัสมือดีมาก ด้านบนยังมีช่องเล็กๆ ไว้ใส่เงินค่าจุดธูป
“มีกล่องบริจาคแล้วไม่ต้องหาเงินไปทั่วห้องแล้ว…เอ่อ เกือบลืมไปเลย! วันนี้น่าจะมีเงินจุดธูปเยอะเลยนี่!” ฟางเจิ้งรีบค้นหาในห้อง บนโต๊ะหมู่บูชามีเงินจุดธูปปึกหนึ่งจริงๆ มีเป็นเศษเล็กเศษน้อย บ้างหนึ่งหยวน บ้างห้าเหมา บ้างสิบหยวน และยังมีใบร้อยหยวนอีกหลายใบ! ทว่าที่สะดุดตาที่สุดก็ยังเป็นเงินปึกนั้น!
ฟางเจิ้งเอามานับดูมีสองพันกว่าหยวน! ในนั้นยังมีเศษเงิน อีกฝ่ายน่าจะใช้เงินในกระเป๋าทั้งหมด
ฟางเจิ้งถูจมูก คาดเดาว่าคนที่ทำแบบนี้น่าจะเป็นถานหมิง
“ทำดีได้ดีจริงๆ…อืม อาตมาก็ถือว่าเป็นคนดี อมิตพุทธ” ฟางเจิ้งสวดบทหนึ่งก่อนเดินออกจากอุโบสถ โบกมือเรียกกระรอก หมาป่าเดียวดาย “ไปเถอะ ไปเล่นไป!”
ขณะเดียวกันหมู่บ้านผาแดงที่ถือว่าไม่ห่างจากหมู่บ้านเอกดรรชนีไกลนัก หลังหมู่บ้านมีภูเขาเล็กลูกหนึ่ง ไม่สูง ยังอยู่ระดับน้ำทะเล ทิวทัศน์สวยงาม ทั้งยังมีถนนลาดยางคดเคี้ยวขึ้นไปถึงยอดเขา บนเขามีวัดแห่งหนึ่งนามว่าวัดผาแดง
“เป็นไปได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง? คนวัดผาแดงของเราถูกวัดเล็กแย่งไป? เฉินจิน ฉันบอกนายแล้วนะว่าฉันจะได้เป็นเจ้าอาวาสคนต่อไปหรือไม่ก็ต้องดูที่ตรงนี้ นายทำเรื่องพังหมดแล้ว…ช่างเถอะ ไม่มีอะไรต้องพูด มิตรภาพเราจบกันแค่นี้!” หลวงจีนหัวโล้นรูปหนึ่งตะคอกแล้ววางสายไป
ตอนนี้เองหลวงจีนวัยกลางคนรูปหนึ่งเดินเข้ามา “อมิตพุทธ ศิษย์น้องอู้หมิง เจ้าอาวาสเรียกทุกคนไปพบ”
“ครับ ศิษย์พี่ อาตมาจะไปเดี๋ยวนี้” ความไม่พอใจทางสีหน้าอู้หมิงพลันหายไป กลับมากล่าวอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่ ท่านรู้ไหมว่าเจ้าอาวาสเรียกพวกเราไปทำอะไร?” อู้หมิงถาม
อู้ซินถอนหายใจ “ถึงพิธีสรงน้ำพระปีก่อนวัดผาแดงของเราจะเทียบกับวัดใหญ่ไม่ได้ แต่ก็มีคนมากันเป็นพัน แต่ปีนี้กลับหายไปเยอะอย่างกะทันหัน แสงธูปไม่เหมือนเมื่อก่อน เจ้าอาวาสจะต้องเรียกไปถามแน่ๆ”
อู้หมิงได้ยินดังนั้นก็หน้ามืดทะมึน เขาเป็นคนขอจัดพิธีสรงน้ำพระครั้งนี้ด้วยตัวคนเดียวเอง แต่ผลเป็นแบบนี้ เขารู้สึกใจเต้นระรัว! กลัวว่าจะอนาถา…
เดินข้ามอุโบสถผ่านกุฏิจนมาถึงพื้นที่กว้างโล่ง ตอนนี้เองมีหลวงจีนยี่สิบกว่ารูปนั่งประจำตำแหน่ง หลวงจีนเฒ่าสวมจีวรสีแดงนั่งอยู่ข้างหน้า สองมือคลึงลูกประคำราวกับนักบวชชราเข้าฌาน
อู้หมิงกับอู้ซินเตรียมใจมาแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งหลวงจีนเฒ่าลืมตาขึ้น
ตอนนี้เองหลวงจีนรูปหนึ่งยืนขึ้น “เจ้าอาวาส พิธีสรงน้ำพระปีนี้มีผู้มีศรัทธาหายไปเยอะ แสงธูปไม่สว่างไสวดั่งวันวาน ไม่รู้ทำไม”
“ปีที่แล้วๆ มาศิษย์พี่อู้ซินเป็นคนควบคุมดูแล ปีนี้อู้หมิงอวดเก่ง ควบคุมดูแลไม่ได้ ผลเลยเป็นแบบนี้” หลวงจีนอีกรูปแค่นยิ้ม
อู้หมิงหน้าอึมครึมจนแทบจะหยดออกมาแล้ว
ทว่าอู้หมิงไม่ยอมให้ถูกกระทำแบบนี้เลยยืนขึ้น “เจ้าอาวาสครับ เรื่องนี้โทษอาตมาเถอะ อย่าโทษนักบวชทุกท่าน ปีนี้วัดเอกดรรชนีที่ควรจะยุบกลับมีชีวิตขึ้นมาไม่รู้ว่าเพราะอะไร เณรรูปหนึ่งสืบทอดต่อจากหลวงจีนหนึ่งนิ้ว เปิดวัดเอกดรรชนีต่อ เณรนั่นเป็นคนหมู่บ้านเอกดรรชนี เติบโตที่หมู่บ้านเอกดรรชนีตั้งแต่ยังเล็ก ปีนี้จัดพิธีสรงน้ำพระ คนในหมู่บ้านก็เป็นผู้อาวุโส เป็นญาติพี่น้องเขา แน่นอนว่าต้องไปร่วมงาน อีกอย่างยังจัดกลุ่มคนกันในหมู่บ้าน…
ผู้มีศรัทธาของวัดผาแดงเราหลักๆ แล้วมีหมู่บ้านผาแดง หมู่บ้านเอกดรรชนีรวมถึงหมู่บ้านดอกไม้แดง ขาดชาวบ้านไปหมู่บ้านหนึ่งเลยต้องน้อยเป็นธรรมดา”
“นี่ไม่ใช่เหตุผล พวกเราต่างรู้สถานการณ์ของวัดเอกดรรชนีว่าเป็นยังไง ตอนหลวงจีนหนึ่งนิ้วอยู่ยังถือว่าเป็นวัด แต่กลับทรุดโทรมอย่างหนัก จะไปจัดพิธีสรงน้ำพระได้ยังไง? ไม่มีโจ๊กล่าปาพวกเขาก็ไม่หนีกันกลับเรอะ?” มีคนถาม
อู้หมิงกังวลแล้ว วัดจนขนาดนั้นทำไมถึงจัดพิธีสรงน้ำพระได้? ตอนแรกที่เขารับทำเรื่องนี้ทุกอย่างยังเคยคิดว่าวัดเอกดรรชนีก็แค่วัดเล็ก ทรุดโทรม ยากจนเหมือนแค่เหยียบก็จะพัง ให้ตายยังไงเขาก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาที่วัดเอกดรรชนี แต่ดันเกิดปัญหาจริงๆ…แต่จะสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว!
“อมิตาพุทธ” ตอนนี้เองหลวงจีนเฒ่าพลันสวดบทหนึ่ง ทุกคนเงียบลง
หลวงจีนหงเหยียนมองอู้หมิง “วัดเอกดรรชนีมีคนสืบทอดต่อแล้วรึ?”
อู้หมิงไม่เข้าใจว่าหลวงจีนหงเหยียนหมายความว่ายังไง จึงพยักหน้า “ครับ เป็นเณรชื่อว่าฟางเจิ้ง”
“อมิตพุทธ ประเสริฐๆ หลวงจีนหนึ่งนิ้วมีพระธรรมลึกล้ำ ฝึกใจไม่ฝึกกาย ตอนนี้มีผู้สืบทอดถือเป็นเรื่องน่ายินดีมาก ทำไมพวกท่านต้องทำหน้าไม่พอใจ? ฟางเจิ้ง…เจ้าเด็กคนนี้ตอนนั้นยังเคยมาวัดผาแดง อาตมาเคยเห็น เป็นเด็กที่มีไหวพริบ”
ทุกคนคาดไม่ถึงว่าหลวงจีนหงเหยียนจะไม่โกรธ แต่กลับยิ้ม จึงพากันมองหน้ากัน หรือว่าคนจุดธูปน้อยจะเป็นเรื่องดี?
ตอนนี้เองอู้ซินถาม “ที่แท้เจ้าอาวาสก็มีชะตาได้พบกับฟางเจิ้ง ถือว่าเป็นวาสนาที่ได้มาพบกัน”
หลวงจีนหงเหยียนพยักหน้า ยิ้มกล่าว “ตอนนั้นอาตมาเคยสังเกตฟางเจิ้ง ในแววตาเด็กคนนี้มีความดื้อรั้นไม่เชื่อฟังเหมือนกับลิงน้อยซน ดังนั้นเลยพูดกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วว่า ‘ฟางเจิ้งไม่เหมาะจะออกบวช ไม่มีชะตาต้องกับพุทธศาสนา’ แต่หลวงจีนหนึ่งนิ้วกลับตอบว่าเขามีชะตาต้องกับพุทธศาสนา วันนี้มาดูแล้วอาตมามองผิดไปเอง เด็กคนนี้ค้ำยันวัดเอกดรรชนีได้จริงๆ ทำเรื่องยากสำเร็จนับว่ามีค่ามาก”
“เจ้าอาวาส แต่ว่าเขาแย่งผู้มีศรัทธากับแสงธูปของเราไป” อู้หมิงกล่าว
หลวงจีนหงเหยียนส่ายหน้า “แสงธูปไว้บูชาพระ อยู่ที่อื่นก็ไม่ใช่การบูชาหรือ? พิธีสรงน้ำพระไว้ชะล้างจิตใจตัวเอง ไม่ใช่สร้างภาพให้นักบวช ชาวบ้านหมู่บ้านเอกดรรชนีไปพิธีสรงน้ำพระที่วัดเอกดรรชนีหรือมาสรงน้ำพระที่วัดผาแดงมันต่างกันยังไง? อู้หมิง จิตใจชิงดีชิงเด่นของท่านหนักเกินไปแล้ว วันหลังจำไว้ว่าอย่าคิดเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมแบบนี้อีก”
พูดจบหลวงจีนหงเหยียนยืนขึ้น “เรื่องนี้ให้เป็นแบบนี้แหละ วันนี้เรียกทุกท่านมาก็เพราะจะหารือกับทุกท่านเรื่องงานนั้นตอนปลายปี…”
หลวงจีนหงเหยียนจะพูดอะไรอีก อู้หมิงก็ไม่ได้ยินแล้ว เขารู้ว่าหนังหน้ากำลังร้อนเป็นไฟ ในความอับอายละอายใจมีความโกรธมากกว่า! เขาเป็นศิษย์ของอู้จื้อเป้ยที่เข้าวัดผาแดงแรกสุด ถ้าทำดี มีโอกาสสูงมากที่เมื่อหลวงจีนหงเหยียนลงจากตำแหน่งแล้วเขาจะได้รับดูแลวัดผาแดง! วัดผาแดงคืออะไร? แม้จะเป็นวัดเล็ก แต่เงินบริจาคจุดธูปทุกปี การสนับสนุนจากรัฐบาล รวมถึงการบริจาคต่างๆ…แค่คิดอู้หมิงก็ตาแดงน้อยๆ แล้ว!
…………
‘แปลก ตอนวัดเมฆาขาวสรงน้ำพระไม่เห็นคนเป็นแบบนี้เลย หรือว่าวัดเอกดรรชนีจะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ?’ ถานหมิงพึมพำในใจ ก่อนเดินเข้าไปหยิบกระบวยขึ้นมาตักน้ำอบ รู้สึกว่ากลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้าจมูก จิตใจทั่วร่างสั่นสะท้าน สมองตื่นขึ้นไม่น้อย
‘น้ำอบนี่มีสารอยู่บ้างแน่ๆ ทำให้กะปรี้กระเปล่า ต้องถามฟางเจิ้งแล้วว่าทำยังไง จะขอเอากลับไปด้วยหน่อย’ ถานหมิงคิดในใจ ขณะเดียวกันก็ราดน้ำอบบนพระพุทธรูป ตอนนี้เอง!
โครม!
“นะโมอมิตาพุทธ!” เสียงสวดเหมือนดังขึ้นข้างหูเขา เกิดเสียงดังโครมในความคิด ทั้งยังเหมือนเสียงฟ้าผ่า! เรื่องราวในอดีตมากมายวูบผ่านดวงตา ภาพที่ยากจนเลยถูกคนที่โรงเรียนเยาะเย้ย ภาพมารดาขอร้องโรงเรียนว่าจะจ่ายค่าเทอมล่าช้าหลายวัน ภาพที่เขาแทะหมั่นโถวอดหลับอดนอนเรียนหนังสือสมัยมหาวิทยาลัย ภาพที่เขาฝ่าพายุฝนไปส่งเอกสารให้ลูกค้า….ทุกอย่างวูบผ่านดวงตา แต่สุดท้ายภาพเหล่านี้กลายเป็นเถ้าธุลีไปท่ามกลางเสียงสวดมนต์!
ตรงส่วนลึกในใจ สิ่งที่เขาปกคลุมไว้หลายชั้นถูกขุดออกมา!
นั่นคือตอนที่ยังเป็นเด็ก ภาพที่บิดาถือไม้ฟาดเขาพลางด่าทอ ‘เป็นคนต้องเหยียบอยู่กับพื้น ไม่มีก็ขโมยอย่างนั้นเหรอ? ไร้จิตสำนึกไปขโมยเงินคนอื่นได้เหรอ? พวกเราจน แต่ปณิธานไม่จน!’
นั่นคือภาพตอนที่อาจารย์ออกเงินส่วนตัวช่วยค่าเทอมเขา ‘ครอบครัวเธอไม่ต้องมาคืนนะ แค่หวังให้เธอล้ำหน้าเหนือคนอื่น’
นั่นคือภาพหลังจากที่เขารีบไปบ้านลูกค้า แล้วลูกค้าส่งผ้าขนหนูให้เขาเช็ดหัว ต้มน้ำร้อนให้
นั่นคือภาพที่เขากลับบ้าน ภรรยาช่วยเขาล้างเท้า เช็ดเท้า…
นั่นคือภาพตอนกลับบ้าน บิดามารดาผมดอกเลา!
นั่นคือข้อความที่อาจารย์ชราเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายส่งมาให้เขาก่อนสิ้นใจ ‘ลูกเอ๋ย เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด คนต่างหากที่สำคัญ ชีวิตคนเราจะให้เงินมาเป็นภาระไม่ได้…’
ปึก!
ถานหมิงพลันคุกเข่าลงกับพื้น คุกเข่าอยู่หน้าประตูวัด น้ำตานองหน้า…
เหลียงอวี่เห็นดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง รีบวิ่งเข้ามากอดถานหมิง “ที่รัก คุณเป็นอะไร? อย่าทำให้ฉันตกใจสิ ฉันผิดไปแล้ว จากนี้จะไม่พูดแล้วดีไหม?”
พวกชาวบ้านเห็นเลยงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ฟางเจิ้งเห็นก็ยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปประนมสองมือกล่าวกังวาน “อมิตพุทธ โยม ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขปรับตัว ประเสริฐๆ!”
คำพูดฟางเจิ้งเหมือนกับรดน้ำมนต์!
โครม ถานหมิงตื่นขึ้น
บิดามารดาถานหมิงวิ่งเข้ามาจะพูด แต่ถานหมิงผละเหลียงอวี่ออก เอาหัวโขกพื้นให้บิดามารดาสามครั้ง “พ่อ แม่ ผมสำนึกผิดแล้ว! จากนี้ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนจะกลับมาหาพ่อแม่ทุกปี! เงินไม่ใช่ทุกอย่างจริงๆ…”
จากนั้นถานหมิงจับมือเหลียงอวี่ “เสียวอวี่ ฉันผิดไปแล้ว…”
เหลียงอวี่เห็นแบบนั้นก็ร้องไห้ตาม กอดถานหมิงไว้ “ฉันก็ผิดเหมือนกัน…”
ถานจวี่กั๋วมองมาก็ไม่เข้าใจ เลยเดินไปถามฟางเจิ้ง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “สรงน้ำพระๆ ไม่ใช่แค่สรงน้ำพระ แม้จะบูชาพระ แต่ความจริงแล้วชะล้างตัวเอง สรงน้ำพระพร้อมกับชะล้างจิตใจตัวเองไปด้วย ดูท่าโยมท่านนี้จะเข้าใจแล้วเลยเป็นแบบนี้”
ถานจวี่กั๋วมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ “จะ…จริงเหรอ?”
ถานหมิงกล่าว “ปู่ จริงๆ เมื่อกี้ผมแค่ราดน้ำอบไปหน่อยเดียวเอง แต่มีภาพในความคิดเต็มไปหมด ทำผมสะเทือนใจมาก นึกถึงเรื่องต่างๆ ในอดีตแล้วก็ผิดจริงๆ ฟาง…เจ้าอาวาส วัดนายยอดเยี่ยมมาก! ดีกว่าทุกวัดที่ฉันเคยไปมา! ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย สบาย!”
ถานหมิงจับมือเหลียงอวี่ “ไปเถอะเสียวอวี่ พวกเราเข้าไปไหว้พระกัน”
เหลียงอวี่ตกใจ “ไหว้พระ? ที่นี่มีแต่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรนี่ ไหนคุณว่าจะไม่มีลูกนี่…”
“ใครบอกว่าไม่ล่ะ? มีสิ! ฉันจะมีสักสองคน!” ถานหมิงตอบ
“จะ…จริงเหรอ?” เหลียงอวี่ปิดปากเล็ก ถามด้วยความตื่นเต้น
ถานหมิงยิ้มเจื่อนๆ “ก่อนหน้านี้ฉันทำแต่งาน คิดว่าลูกจะเป็นภาระ ตัวฉันยังสนุกไม่พอเลยไม่อยากมีลูก ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วคนเราไม่ได้มีชีวิตกันแบบนั้น…เพื่อคุณ เพื่อพ่อแม่ เพื่อทั้งครอบครัว ผู้ชายต้องเสียสละไม่ใช่เหรอ”
กล่าวจบถานหมิงก็ดึงเหลียงอวี่เข้าไปในวัด แต่เหลียงอวี่สะบัดมือถานหมิง ประนมสองมือ แสดงความเคารพต่อพระพุทธรูปตรงปากประตู โน้มศีรษะติดพื้น จากนั้นสรงน้ำพระ
หลังสรงน้ำพระ เหลียงอวี่ก็นึกถึงปมในใจมากมาย แววตาที่มองถานหมิงมีความรักมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนสองคนจะจับมือเดินเข้าไปในวัด
ชาวบ้านจำนวนมากเห็นดังนั้นต่างพูดชมเป็นเสียงเดียวกัน
“ฮ่าๆ…ในที่สุดเจ้าเสี่ยวหมิงก็เข้าใจสักที ตาถาน คุณนี่มีบุญนะ!”
“ฮ่าๆ…” บิดาถานหมิงยิ้มจนน้ำตาร่ายรำ สื่อความปรารถนาในใจออกมา ในที่สุดลูกก็โตสักที ในที่สุดเขาจะได้อุ้มหลานสักที…
……………..
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ถานหมิงสำนึกผิดกลับใจ ได้ช่วยเหลือหนึ่งครอบครัว”
ฟางเจิ้งหัวเราะแหะๆ “ไม่มีให้จับรางวัลเหรอ?”
“นายคิดมากไปแล้ว ตั้งใจแจกโจ๊กเถอะ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจำใจ แจกจ่ายโจ๊กให้คนต่อไป หนึ่งคนหนึ่งชาม กำลังดีจริงๆ
แต่อีกด้านหนึ่ง หวังโอ้วกุ้ยกลับพบปัญหา คนอื่นทำเพื่อความสะดวกสบาย และไม่หวังว่าบนเขาเอกดรรชนีจะมีของอร่อยด้วยเลยเอาชามเล็กมา ไม่กินไม่รู้ พอกินแล้ววางไม่ลง! จะต่อชามที่สองฟางเจิ้งไม่ให้แล้ว!
ดังนั้นเศรษฐีชามที่แบกอ่างขึ้นมาจึงถูกรุม กลุ่มคนต่างพูดจาดี ส่งสายตา หมายจะขอแบ่งจากเขาสักถ้วย
แต่หวังโอ้วกุ้ยปกป้องโจ๊กสุดชีวิต ใครมาก็ไม่ได้ จึงทะเลาะกันอยู่พักหนึ่ง
ไม่นานถานหมิงกับเหลียงอวี่ออกมาแล้ว เหลียงอวี่ส่งโจ๊กที่เหลือไว้มากกว่าครึ่งชามให้ถานหมิง “จะกินไหม?”
“กิน!” ถานหมิงยิ้ม หลังชิมไปคำหนึ่งก็ร้องว่าอร่อย ก่อนซดอึกเดียวหมดดังอึกๆ แล้วพูดว่าอร่อยอีกที น่าเสียดายถ้าอยากกินอีก? ไม่มีแล้ว
เดิมทีฟางเจิ้งคิดว่าจะสวดมนต์ แต่พอนึกถึงฝีมือตัวเองแล้วก็ช่างเถอะ นี่คือการจัดพิธีสรงน้ำพระครั้งแรก เขาไม่ได้เตรียมการอะไร ได้แต่ครั้งหน้าค่อยว่ากัน
ทุกคนก็อยากสบายๆ เป็นอิสระ กินโจ๊กล่าปาแล้วรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว ถึงจะไม่ขอลูก แต่ก็เข้าไปจุดธูปในวัด ถึงส่วนใหญ่จะเป็นธูปธรรมดาก็เถอะ แต่ฟางเจิ้งก็ยังดีใจ!
เพราะว่า…
“ติ๊ง! ภารกิจธูปร้อยดอกสำเร็จแล้ว ได้รับกล่องบริจาค จะรับหรือไม่?”
“ขอไม่รับชั่วคราว” ฟางเจิ้งรีบปฏิเสธ น่าตลก ถ้าเขารับเลยในอุโบสถจะปรากฎกล่องบริจาคอย่างกะทันหัน เขามีสิบปากก็คงไม่รู้จะอธิบายยังไง
หลังวุ่นวายช่วงเช้าแล้ว ทุกคนก็ทยอยกันแยกย้ายไป
ฟางเจิ้งกินโจ๊กที่เหลือคนเดียวสองชาม จากนั้นแบ่งให้หมาป่าเดียวดายกับกระรอกกินจนอิ่ม ต่อมาถึงพาเจ้าสองตัวนี้ถือไม้กวาดทำความสะอาด เริ่มจัดการสนามรบ
คนมากันเยอะเกินไป ฟางเจิ้งก็ไม่หวังว่าทุกคนจะทำตามกฎอย่างเช่นไม่ทิ้งขยะอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นการทำความสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
………………
หลิวเหยี่ยนเป่าก็ได้กลิ่นหอมโจ๊กล่าปา เห็นลูกบัวน่าทาน พระพุทธองค์ พระอรหันต์ต่างๆ ในนั้น นัยน์ตาพลันเต็มไปด้วยความตกใจระคนแปลกใจ! โตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นโจ๊กที่พิถีพิถันแบบนี้มาก่อน! อีกอย่างกลิ่นนี่ อย่าว่าแต่กินเลย แค่ดมกลิ่นหนอนตะกละในท้องก็แทบจะคลานออกมา
ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วยิ้ม “เอาล่ะ ไม่ต้องมองแล้ว กินเถอะ เอาชามมาพอ ทุกคนอย่ามอง กินกันเถอะ ไม่คิดจริงๆ ว่าเจ้าหนูฟางเจิ้งจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ จึ๊ๆ…”
หลิวเหยี่ยนได้ยินแบบนั้นก็หน้าแดง แม้จะอยากกินแต่กลับกระดากใจ รีบส่งให้ถานจวี่กั๋ว ส่วนตนก็วิ่งไปเอาชามมาตักโจ๊ก
เวลานี้คนอื่นๆ มาถึงแล้ว ทุกคนได้กลิ่นหอม ความสงสัยในใจก่อนหน้าหายไปจนหมด ทุกคนต่างวิ่งมาตักโจ๊กกิน พอกินเข้าไปต่างพูดชมไม่หยุด ทว่าพอได้ยินว่าหนึ่งคนกินได้หนึ่งชามเสียงต่อว่าก็มีไม่น้อย…
และยังมีคนสำนึกเสียใจ…
“เฮ้อ รู้อย่างนี้กินช้าๆ ดีกว่า กินคำเดียวหมดอึดอัดชะมัด ได้แค่ดมกลิ่นแล้ว” ซ่งเอ้อโก่วร้องโอดครวญไม่หยุด เขาดันใจแคบ รีบกินให้หมดแล้วไปตักใหม่ กินเยอะหน่อยจะได้ไม่เสียเปรียบ!
ทว่าพอเขากินหมด คนข้างๆ ยังไม่ได้กินเลย กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ได้ยินเพียงเสียงท้องร้องจ๊อกๆ น้ำลายไหลเป็นสาย จะหันไปไม่มอง? แต่ข้างๆ ก็มีคนกินโจ๊กอยู่เหมือนกัน หันไปอีกก็มีคน! ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นฟ้า…แต่กลิ่นหอมนี่…
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนกำลังชดใช้กรรมอยู่เลยนะ” ถานหย่งมาอยู่ข้างซ่งเอ้อโก่ว ถอนหายใจกล่าว
ซ่งเอ้อโก่วตอบกลับ “อย่าพูดกับฉัน กำลังกลั้นหายใจอยู่!”
ถานหย่ง “@¥#…”
ขณะเดียวกันอีกด้านก็มีคนซวย
“ถานหมิง นายบอกว่าขึ้นเขาจะไม่ได้กินของอร่อยไม่ใช่เหรอ? ไหนบอกว่าตอนเช้ากินมาเยอะแล้ว ขึ้นเขายังต้องกินอีกทำไมไม่ใช่เหรอ? ชามล่ะ? ชามของบ้านเราล่ะ?” เหลียงอวี่จ้องถานหมิงด้วยความโกรธ
ถานหมิงที่ก่อนหน้านี้คุยโม้กับหม่าหยวน ตอนนี้กลับมีสีหน้าเก้อเขิน “เหลียงอวี่ เอ่อ…ใครจะรู้ล่ะว่าวัดเล็กจะทำโจ๊กล่าปาหอมแบบนี้ ไม่แน่นะอาจจะหอม แต่ไม่อร่อยก็ได้”
“ถานหมิง ผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีกนะ! ได้ ไม่อร่อยใช่ไหม? คุณดูอยู่นี่ละกัน!” พูดจบเหลียงอวี่เดินไป ไม่นานก็ไปยืมชามใหญ่จากบ้านหม่าหยวน ตักโจ๊กมาชามหนึ่งนั่งข้างถานหมิง เป่าควันร้อนพลางดมกลิ่นหอม ก่อนใช้ตะเกียบคีบลูกบัวราวกับหยกขึ้นมา เอ่ยด้วยความแปลกใจ “สวยจริงๆ ถานหมิง คุณดูสิ พระพุทธองค์ข้างบนนี่แกะสลักสวยแค่ไหน”
ถานหมิงเหลือบตามองโจ๊กในชามเหลียงอวี่ มองลูกบัวนั้น กลืนน้ำลายลงคอ กลั้นใจแล้วทำเสียงเหอะๆ “แค่หอม น่ามองเท่านั้น จะต้องไม่อร่อยแน่”
จ๊อกๆ…
“ไม่อร่อยเหรอ? จิ๊ๆ ท้องใครดังน้า?” เหลียงอวี่ถาม
ถานหมิงเบนหน้าหนี เดาว่ากบร้อง ไม่เกี่ยวกับเขา
เหลียงอวี่พลันยกชามไปอีกทาง เอาลูกบัวเข้าไปใกล้หน้าถานหมิง “ไม่กินจริงๆ เหรอ? ไม่กินจริงๆ? งั้นฉันกินนะ!”
พูดจบเหลียงอวี่ก็ใส่ปาก ลูกบัวไม่ใช่ลูกบัวธรรมดา แต่เป็นลูกบัวใต้เขาคุนหลุน เข้าปากไปหอมสดชื่น กัดคำเดียวแตก เสียงดังวนเวียนปลายลิ้น ความรู้สึกโออ่านั้นทำเอาเหลียงอวี่หรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว กล่าวปลงอนิจจัง “ถานหมิง ฉันรับประกันเลยนะว่านี่คือลูกบัวที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาในชีวิต! อีกอย่าง ขอบคุณคุณด้วยนะ…”
“ขอบคุณฉันทำไม?” ถานหมิงกลัดกลุ้ม ภรรยาตนบ้ารึเปล่า? แต่เห็นเหลียงอวี่กินอย่างเอร็ดอร่อยเขาก็อยากกินเหมือนกัน แต่คุยโม้ไปแล้ว จะกระดากใจกลับไปกิน? ถานหมิงที่ตายได้แต่เสียหน้าไม่ได้เลยอดกลั้นไว้!
เหลียงอวี่ก็ไม่อธิบาย เอาแต่กินโจ๊กที่มีอยู่น้อยนิด โจ๊กเข้าปาก รสชาติของวัตถุดิบสิบแปดชนิดรวมกันช่างยอดเยี่ยมกว่ารสของลูกบัวเม็ดเดียว เข้มข้นกว่า หอมหวานอร่อย หยุดกินไม่ได้เลย เหลียงอวี่ที่กินข้าวอย่างกุลสตรีมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรแล้ว กินคำเดียวหมด!
จากนั้นยังทำปากชนกันดังแจ๊บๆ เป่าปากใส่ถานหมิง จากนั้นหัวเราะ “คิกๆ สบายจัง! นายนั่งไปแล้วกัน”
พูดจบเหลียงอวี่ก็วิ่งไป
ทิ้งถานหมิงให้ลูบหนังท้อง น้ำลายติดตรงริมฝีปาก จินตนาการว่าโจ๊กนี่รสชาติเป็นยังไง
ตอนนี้เองเหลียงอวี่ไปเอามาอีกชาม กลับมาแล้วนั่งลงข้างถานหมิง หัวเราะคิกคัก “ถานหมิง ดูสินี่อะไร? ถั่วเขียว! ดูสิ โปร่งแสงใต้แสงอาทิตย์ด้วย สวยจริงๆ!”
“อาหารดัดแปรพันธุกรรมรึเปล่า” ถานหมิงอยากกินจริงๆ แล้ว แม้เหลียงอวี่จะชอบกิน แต่เขาก็เห็นปฏิกิริยาของชาวบ้านอย่างชัดเจน ไม่มีใครไม่ชม แต่ชมไม่หยุดปาก เสียงร้องขอชามที่สองดังขึ้นเรื่อยๆ แทบจะยกเณรนั่นคว่ำ! ภาพนี้ไม่ใช่ของปลอมแน่ คนโง่ก็รู้ว่าโจ๊กนี่จะต้องอร่อยอย่างแน่นอน เฮ้อ! อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่วัดเมฆาขาว!
แต่ว่า หน้าตา หน้าตา หน้าตา! เพื่อหน้าตาแล้ว ถานหมิง อดกลั้น!
ทว่าเหลียงอวี่เข้าใจถานหมิงที่สุด เลยเข้ามาอยู่ข้างๆ เขา หัวเราะหึหึ “อาหารดัดแปรพันธุกรรมเหรอ? ฉันจะบอกให้นะ พ่อแม่เราบอกมาว่าฟางเจิ้งไม่เคยลงเขาเลย อาหารบนเขาที่มีก็พวกชาวบ้านให้ทั้งหมด แถมวัดยังมีที่ดินเล็กๆ ถ้าจะบอกว่าอาหารดัดแปรพันธุกรรม ต่อให้ขายไปทั่วประเทศก็มาไม่ถึงที่นี่หรอก แน่นอนที่สำคัญคือมันอร่อยจริงๆ! ของอร่อยแบบนี้ ถ้าเป็นอาหารดัดแปรพันธุกรรมจริงๆ ฉันก็จะกิน…”
“คุณผู้หญิง จะกินก็กินเถอะ อย่ามาเปลี่ยนใจฉันได้ไหม?” ถานหมิงโกรธเล็กน้อย
เหลียงอวี่ไม่กลัวเขา แถมยังพูดต่อ คีบพุทราจีนลูกหนึ่งส่งไปที่ริมฝีปากถานหมิง “ดมสิ หอมไหม?”
ถานหมิงดมกลิ่น ท้องก็ร้องจ๊อกๆ ดวงตาแดงก่ำแล้ว กัดฟันด้วยความโกรธ “เหลียงอวี่ คุณกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ!”
“คิกๆ แน่จริงก็กัดฉันสิ!” เหลียงอวี่ยั่วยุ
“พ่อมา!” ถานหมิงพูด
เหลียงอวี่หันไปมองก็รู้สึกมือเบาๆ จึงหันกลับ ถานหมืงยืนขึ้น ปัดก้น “ไม่สนุกเลย ไปที่อื่นดีกว่า”
เหลียงอวี่เห็นพุทราแดงในมือหายไปแล้ว จึงด่ายิ้มๆ “ไหนคุณว่าตายได้เสียหน้าไม่ได้ไง! เมื่อกี้ยังคุยโม้เลยนี่ว่าวัดเมฆาขาวอย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้กินโจ๊กไม่กระดากใจเลยรึไง? ถานหมิง อย่าคิดถึงแต่หน้าตากับเงินทั้งวันสิ ที่นี่คือบ้านเกิดคุณ คนที่เห็นคุณมาแต่เล็กเขาไม่สนใจของพวกนี้กันหรอก ใช้ชีวิตให้สบายๆ หน่อยไม่ได้เหรอ?”
เงาแผ่นหลังถานหมิงสั่นไหวเบาๆ จากนั้นโบกมือ “แบบนี้แหละ เปลี่ยนไม่ได้หรอก ผมจะดูไปในวัดหน่อย”
พูดจบถานหมิงก็มาที่หน้าประตูวัด เห็นโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น ด้านบนวางถาดกลม กลางถาดมีดอกบัว และยังมีพระพุทธรูปทองคำหนึ่งองค์ พอพวกชาวบ้านกินโจ๊กล่าปาเสร็จก็จะใช้กระบวยข้างๆ ตักน้ำหอมขึ้นมาสรงน้ำพระพุทธรูป
สิ่งที่ถานหมิงตกใจคือ ไม่ว่าข้างนอกจะคึกคักแค่ไหน แต่คนที่เดินเข้ามาสรงน้ำพระในวัดแล้วจะสงบลงทันที มีสีหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาเหมือนตระหนักบางอย่าง และยังเหมือนมองเห็นบางอย่าง ไม่ก็ไขข้อสงสัยบางสิ่ง จึงมีสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ
……………
หวังโอ้วกุ้ยอยู่หน้าสุด ข้างหลังคือครอบครัวถานจวี่กั๋ว และยังมีครอบครัวหยางผิง โดยเฉพาะถานจวี่กั๋ว แม้อายุเยอะแล้วแต่ยังเดินราวกับเหาะเหิน
“ปู่ ทำไมเดินเร็วจัง? ผมจะตามไม่ทันแล้วนะ” เด็กอ้วนคนหนึ่งร้องขึ้น
ถานจวี่กั๋วหัวเราะเสียงดัง “นั่นเพราะแกไม่มีแรงขับเคลื่อนยังไงล่ะ! ดูเจ้าเด็กเหม็นโฉ่อย่าหวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิง แต่ละคนเดินเร็วกันทั้งนั้น ถ้าพวกเราไม่รีบกลัวว่าจะไม่ได้ดื่มกระทั่งซุปน่ะสิ”
“พ่อ เอ่อ…แค่โจ๊กล่าปาชามเดียวพ่อทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ” ชายวัยกลางคนยิ้ม
ผู้หญิงข้างผู้ชายพูดขึ้น “ใช่ ถึงร่างกายพ่อจะแข็งแรง แต่ไม่มีทางสู้คนหนุ่มสาวได้หรอก ถานหย่ง พ่ออยากกินโจ๊กล่าปา คุณเดินเร็วหน่อย ไปตักกลับมาให้พ่อดีไหม?”
ถานหย่งอึ้งไป ก่อนหัวเราะแห้งๆ “ได้ๆๆ พวกคุณรออยู่นี่นะ ผมจะรีบไป”
พูดจบถานหย่งก็วิ่งขึ้นไป ไล่ตามหวังโอ้วกุ้ย
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะ “ถานหย่ง ตาแก่บ้านนายให้รีบเดินรึไง?”
ถานหย่งยิ้มแห้ง “พี่หวัง พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย? แต่ละคนเดินเร็วยังกับมีลมใต้เท้า เดินกันเร็วไปแล้ว”
หวังโอ้วกุ้ยตอบกลับอย่างลึกลับ “นายอย่าถามเลย ข้างหน้าเป็นวัดแล้ว พอถึงแล้วเดี๋ยวนายจะได้เห็นเอง”
สิ้นเสียง ถานหย่งก็ได้กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล ดวงตาพลันเปล่งประกาย “นี่มันกลิ่นอะไร? หอมจัง?”
“เหอะ! เจ้าเด็กนี่มีฝีมือจริงๆ หอม!” หวังโอ้วกุ้ยกล่าวจบก็อุ้มลูก จูงภรรยาเร่งความเร็วราวกับดาวตก! ถานหย่งก็ไม่โง่ รีบตามไปทันที
หวังโอ้วกุ้ยตะโกนอยู่ไกลๆ “ฟาง…เจ้าอาวาส! พวกเรามาแล้ว แกตุ๋นอะไรน่ะ? หอมเชียว?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่โจ๊กล่าปา”
“หอมจริงๆ เร็วๆๆ เอามาให้ฉันลองสักชาม” หวังโอ้วกุ้ยวางลูกลง เอาสามชามใหญ่ออกมาวางตรงหน้าฟางเจิ้ง
ถานหย่งเห็นดังนั้นก็ร้องด้วยความตกใจ “พี่หวัง นี่พี่เอากะละมังบ้านพี่มาเลยเหรอเนี่ย? ไม่ใช่สิ นี่มันอ่างอาบน้ำ?”
“ไอ้เวร! อ่างอาบน้ำบ้านแกเล็กแค่นี้เหรอ? เดี๋ยวจะอาบให้นายเอาไหม?” หวังโอ้วกุ้ยหน้าแดง ด่าไปยิ้มๆ
ถานหย่งหัวเราะแห้งๆ
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก หวังโอ้วกุ้ยฉลาดจริงๆ รู้ว่าข้าวผลึกของเขาอร่อย โจ๊กจะต้องพอๆ กัน เลยเอาชามใหญ่ยาวเท่าแขนเล็กมาสามใบ! จึงยิ้มเจื่อนๆ “โยมหวัง นี่มัน…ชามน้ำซุปเหรอ?”
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเขินๆ “เอ่อ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าวัดไม่ได้มีกฎอะไรซับซ้อน ฉันก็เลยเอาชามมาใหญ่หน่อย”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เขาไม่เคยถามระบบจริงๆ จึงถามไปทันใด “ระบบ โจ๊กล่าปาต้องให้กินจนอิ่มเลยไหม?”
“หนึ่งคนหนึ่งชาม เพิ่มไม่ได้ แม้โจ๊กล่าปาจะฟรี แต่จะฟุ่มเฟือยไม่ได้ และก็จะให้อย่างไร้มารยาทไม่ได้ เหมือนกับพุทธคัมภีร์ที่จะให้จำนวนน้อยไม่ได้ ทุกเรื่องต้องมีระดับ”
ฟางเจิ้งมองหวังโอ้วกุ้ยอีกครั้ง พลันพบว่าสมกับเป็นผู้ใหญ่บ้าน ฉลาดจริงๆ! คำนวณแม้แต่กฎของระบบ ยอดเยี่ยม!
ฟางเจิ้งถาม “ชามใหญ่แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
“โอกาสมีไว้ให้คนที่เตรียมพร้อม ทุกคนเท่าเทียมกัน โอกาสเท่ากัน ไม่ได้หมายความว่าผลสุดท้ายจะเท่ากัน ผู้มีความพยายามย่อมได้มากกว่า ผู้ขี้เกียจย่อมได้น้อยกว่า”
ฟางเจิ้งเข้าใจแจ่มแจ้ง ดังนั้นเลยตักชามใหญ่ให้หวังโอ้วกุ้ยอย่างไม่ลังเล จากนั้นยิ้ม “โยมหวัง เข้าวัดไปสรงน้ำพระแล้วที่เหลือก็ตามสบาย วัดนี้เล็ก ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากนัก”
หวังโอ้วกุ้ยมองโจ๊กล่าปาสามชามใหญ่เต็มๆ ขณะจะขอบคุณนั้น กลับเห็นของในนั้น จึงร้องด้วยความตกใจ “นะ…ในนี้มันอะไร?”
ถานหย่งก็เห็นเหมือนกันจึงเข้าไปดูใกล้ๆ “มีรูปแกะสลักบนถั่วเขียว! แกนกลางพุทราจีนเหมือนกับพระพุทธองค์! พระเจ้า ฟางเจิ้งนายทำเหรอ?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือยิ้มเล็กน้อย ในเมื่อพูดไม่ได้ก็จะไม่พูด เรื่องนี้ไม่ควรตอบ เลยหมิ่นเหม่คลุมเครือเสียเลย
หวังโอ้วกุ้ยมองพระพุทธองค์ พระวัชรสัตว์ พระอรหันต์และดอกบัวรวมถึงสัตว์อย่างเช่นสิงโตที่สมจริงราวกับมีชีวิตพลางกล่าวด้วยความแปลกใจ “โตมาขนาดนี้ กินโจ๊กล่าปามาหลายวัด ครั้งแรกเลยที่เห็นงานฝีมือที่ลึกซึ้งขนาดนี้! ฟางเจิ้ง ข้ามอย่างอื่นไปก่อนนะ แค่กลิ่นกับงานฝีมือก็สุดยอดแล้ว!”
ภรรยาหวังโอ้วกุ้ยก็ชมเหมือนกัน “ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นแกมีฝีมือแบบนี้เลยนะ เฮ้อ คนมีฝีมือออกบวช น่าเสียดาย ถ้าออกไปเปิดร้านคงร่ำรวยไปนานแล้ว”
หวังโอ้วกุ้ยถลึงตามองภรรยา “พูดจาไร้สาระอะไรอย่างนั้น?”
อีกฝ่ายหัวเราะแหยๆ เงียบไป
ฟางเจิ้งประนมสองมือ พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไร”
ภรรยาหวังโอ้วกุ้ยเห็นดังนั้นก็ถลึงตามองหวังโอ้วกุ้ยเหมือนกัน “เห็นเขาบอกไหม ดูตัวคุณเถอะ มีคุณธรรมรึเกินนะ! ไป กินโจ๊ก! แต่โจ๊กนี่ก็หอมจริงๆ”
หวังโอ้วกุ้ยถูกภรรยาลากไป ถานหย่งก็อดไม่ไหวรีบส่งชามไป “ฟางเจิ้งเร็วๆ หน่อย ตักให้ฉันชามสิ”
ฟางเจิ้งหัวเราะ ตักให้เต็มชาม ถานหย่งชิมไปคำหนึ่งทันที เดิมทีว่าจะแค่ชิมรสชาติ แต่พอคำนึงลงท้องกลับซดอย่างมูมมามดังซู้ดๆ กินโจ๊กชามใหญ่หมดเกลี้ยง!
ปึก! วางชามใหญ่ลง ถานหย่งรู้สึกแค่ว่าทั่วร่างร้อนๆ อุ่นๆ สบายมาก! กลิ่นหอมในปากยังอยู่ รสชาติดีเยี่ยมมาก!
ถานหย่งรีบกล่าวต่อ “ขออีกชามสิ!”
แต่ฟางเจิ้งกลับส่ายหน้ายิ้มๆ “หนึ่งคนหนึ่งชามเท่านั้น โยม นี่คือกฎ”
“มีกฎนี่ด้วยเหรอ?” ถานหย่งอึ้งไป เดิมทีคิดว่าหวังโอ้วกุ้ยพูดเล่น ไม่นึกเลยว่าจะจำกัดจริงๆ แต่ถานหย่งก็ไม่ยอม เข้าไปใกล้ ดึงฟางเจิ้งไว้ “ฟางเจิ้ง แกคิดดูนะ แกโตในหมู่บ้านเรา แถมยังกินข้าวบ้านพวกเราไปไม่น้อย เอ่อ…ให้ฉันอีกชามได้ไหม?”
“อมิตพุทธ โยม นี่คือกฎ จะทำลายกฎไม่ได้เด็ดขาด หนึ่งคนหนึ่งชาม เพิ่มไม่ได้ ได้แต่น้อย” ฟางเจิ้งส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ถานหย่งพลันไม่พอใจ “ฟางเจิ้ง ทำแบบนี้ไม่มีคุณธรรมเลยนะ…”
“ถานหย่ง ให้คุณมาตักโจ๊กไปให้พ่อ ทำไมกินเองล่ะ?” ภรรยาถานหย่งมาถึงแล้ว
ถานหย่งเพิ่งนึกได้ เขาไม่ได้จะกินเองนี่ เลยตอบ “ฉันไม่กินชามต่อไป แต่จะเอาไปให้พ่อโอเคไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า ตักให้เต็มชาม ถานหย่งมองผลไม้แห้งนานาชนิดในชามพลางเลียริมฝีปาก อยากกินจริงๆ! ทว่าถานจวี่กั๋วอยู่ข้างหลัง ถ้าเขากิน บิดาก็จะไม่ได้กิน อย่างนั้นเขาต้องอนาถาแน่
ถานหย่งสูดลมหายใจเข้ากลั้นใจ ไม่ดม ไม่มอง ก็ได้นี่?
ถานหย่งถือโจ๊กล่าปาเข้ามา หลิวเหยี่ยนภรรยาถานหย่งรับมาเป่า ถานจวี่กั๋วจะได้ไม่ร้อน ถานหย่งเห็นแบบนั้นก็หยุดกลั้นใจ จะพูดบางอย่าง แต่หลิวเหยี่ยนเป่าทีหนึ่ง กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก!
ถานหย่งกลืนคำพูดตรงริมฝีปากกลับไป ก่อนหมุนตัวกลับไม่มอง! ดูมากๆ เดี๋ยวน้ำตาร่วง!
……………
“เข้าใจก็บ้าแล้ว! ไม่เคยได้ยินเลยนะว่ามีวัดไหนลงเขามาเกณฑ์คนขึ้นเขา ฉันว่านะถ้าไต้ซือหงเหยียนรู้เรื่องนี้เข้า หึหึ…ถึงตอนนั้นคุณต่างหากที่ขายหน้า” ผู้หญิงกล่าว
“ซูหง!” เฉินจินโกรธแล้ว “ระวังหน่อยนะ! ไต้ซืออู้หมิงไม่ใช่คนเลว!”
“เหอะๆ…” ซูหงหัวเราะแห้งๆ สองที เห็นเฉินจินหน้าตาย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ จึงถอนหายใจ “เอาเถอะๆ ไม่ไปก็ไม่ไป เฮ้อ ไม่รู้ว่าฟางเจิ้งจะจัดพิธีเป็นยังไงบ้าง”
ซูหงยอมประนีประนอม ความโกรธเฉินจินจึงลดน้อยลงมาก พูดตอบอย่างเย็นชา “มีข้าวหรือไม่มีก็ช่างเถอะ ไม่แน่นะอาจจะไม่อร่อย ยากจะกระเดือกลงคอก็ได้”
……
บนเขา หวังโอ้วกุ้ยนำหน้า เด็กน้อยข้างๆ วิ่งกันเร็ว แต่หวังโอ้วกุ้ยไม่ยอมแพ้ มักจะไล่ตามไปอยู่ข้างหน้าเสมอ…
ในกลุ่มคนมีคนค่อนข้างหลากหลาย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส เดินไปพลางเล่นมือถือไปพลาง ถ่ายเซลฟี่กับเล่นวีแชตตลอด พูดคุยกันไม่หยุด
“หม่าหยวน ได้ยินว่าบ้านพวกนายขึ้นเขาไปขอลูกกันเหรอ?” วัยรุ่นไว้เคราน้อยๆ ดูเซ็กซี่ ถือว่าไม่สูง สวมเสื้อขนนกสีดำลูบแว่นตากรอบดำพลางถาม
“ใช่ ถานหมิง ฉันจะบอกให้นะ วัดเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ฉันรู้มาถ้าขึ้นเขาไปขอลูกจะไม่ได้กลับมามือเปล่า หมู่บ้านในละแวกสิบลี้ต่างรู้กันทั้งนั้น” หม่าหยวนยิ้มตอบ
“เหอะๆ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหรอ?” ถานหมิงถามด้วยความตกใจเล็กน้อย
“แน่นอน นายรู้จักบ้านอาหยางหวาไหม? โรงพยาบาลหลายแห่งวินิจฉัยขาดเลยว่าไม่มีลูกแน่ แต่พอขึ้นเขาไปขอลูกกลับได้ลูกแฝดชายหญิง!” หม่าหยวนตอบ
ถานหมิงกล่าว “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง…ก่อนหน้านี้วินิจฉัยผิดรึเปล่า”
ข้างกายถานหมิงเป็นหญิงสวมเสื้อคลุมขนมิ้งตัวใหญ่ จับมือถานหมิงพลางพูดยิ้มๆ “ฉันก็ว่าอย่างนั้นนะ ผู้เชี่ยวชาญเคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ทุกคนมีลูกได้ ถ้ามีไม่ได้นั่นเป็นเพราะอย่างอื่น ขึ้นเขาไปไหว้พระ ขอเยอะได้ลูกเยอะไม่ได้อธิบายอะไรเลย ถึงยังไงคนส่วนใหญ่ก็มีลูกได้ แต่เรื่องอาหยางก็มหัศจรรย์อยู่นะ”
หม่าหยวนยิ้ม “เธอพูดก็มีเหตุผลนะ แต่ชาวบ้านทุกคนเชื่อเรื่องนี้ อีกอย่างพวกเราไปขอแล้วก็ได้จริงๆ เลยเชื่อ ขอบคุณพระพุทธองค์ พระพุทธองค์คงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง? ยอมเชื่อแล้วได้ดีกว่าไม่เชื่อแล้วไม่ได้นะ”
ถานหมิงส่ายหน้า “นายนี่นะ ในหมู่บ้านก็ได้ผลอยู่หรอก ลอกไปเมืองใหญ่สิ มีคนจุดธูปไหว้พระเยอะแยะ แต่ไม่มีใครเชื่อจริงๆ สักคน ตอนนี้โลกเชื่ออยู่อย่างเดียว! เงิน! มีเงินก็มีทุกอย่าง…”
“เอาเถอะๆ นายเก็บทฤษฎีนี่ไปเถอะ เดี๋ยวคนในหมู่บ้านจะถูกนายชักพาให้เสียคน นั่นน่ะบาปหนักเลยล่ะ” เหลียงอวี่ภรรยาถานหมิงรีบให้ถานหมิงหุบปาก
ถานหมิงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ว่าอะไรวัดสักหน่อย พูดความจริงจะทำไม? แล้วนี่เรียกชักพาให้เสียคนได้เหรอ? ฉันให้เห็นคุณค่าของชีวิตจริงๆ ต่างหาก! ปีนี้ถ้าไม่หาเงินก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เหลียงอวี่ตอบ “เงินๆๆ นายทำเงินตกไปในดวงตาแล้ว พูดอย่างอื่นบ้างเถอะ หม่าหยวน ได้ยินว่าวัดเอกดรรชนีเพิ่งสร้างใหม่ แต่ฉันจำได้ว่าวัดนี่น่าจะยากจนมากนี่? อีกอย่างได้ยินพวกป้าๆ เขาคุยกันว่าในวัดมีแค่เณรเป็นเจ้าอาวาส จัดพิธีสรงน้ำพระคนเดียว? จะทำได้ยังไงกัน?”
หม่าหยวนอธิบายสถานการณ์ของวัดเอกดรรชนี ก่อนหัวเราะแห้งๆ “พูดจริงๆ นะ ฉันเองก็ว่าฟางเจิ้งไม่ไหว วัดเอกดรรชนียากจนจริงๆ จนถึงขั้นจะกินข้าวต้องลงเขามาขอช่วยความช่วยเหลือ พิธีสรงน้ำพระเหรอ…ฉันว่าอย่าไปหวังกินโจ๊กเลย ทุกคนมาช่วยรวมกันให้ครึกครื้นก็พอ อีกอย่างผู้ใหญ่บ้านบอกแล้วนี่ว่าไปวัดเอกดรรชนีครั้งนี้หลักๆ คือสนับสนุนวัด ไม่ใช่ไปกินโจ๊ก”
“ดังนั้นฉันถึงฉลาดไง ไม่เอาชามไปให้เปลืองแรง ขึ้นเขาแล้วไปจุดธูปไหว้พระแค่นั้น หลักๆ คือไปเที่ยวบนเขา” ถานหมิงกล่าว
เหลียงอวี่เอ่ย “ถ้า…หากมีโจ๊กจริงๆ ล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าฟางเจิ้งชนะการประลองศิลปะพู่กันจีน ชนะนักเขียนพู่กันจีนในเมืองเลยนะ หรือไม่ก็ถ้าเถ้าแก่ที่ไหนถูกใจเข้า ให้เงินมาบ้างก็พอจะจัดพิธีสรงน้ำพระได้แล้ว”
“มีก็มีสิ ใช่ว่าไม่เคยกินซะที่ไหน หม่าหยวน ฉันว่านะถ้าพูดถึงโจ๊กล่าปาก็ต้องเป็นต้นตำรับของวัดเมฆาขาว! เฮ้อ นั่นคือโจ๊กล่าปาที่เคี่ยวจากวัตถุดิบสิบแปดชนิดชั้นดี! ทางพุทธศาสนาเรียกว่าอะไรนะ? ใช่ โจ๊กเจ็ดสิ่งเลอค่าห้ารสชาติ เฮ้อ รสชาตินั้นสุดยอดเลย! ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ว่าพ่อฉันเรียกกลับมา วันนี้คงไปวัดเมฆาขาวแล้ว” ถานหมิงดึงหม่าหยวนชวนคุยตลอดทาง
หม่าหยวนตอบ “วัดเมฆาขาวเหรอ ไกลไป ฉันไม่เคยไปจริงๆ หรอก ได้ยินนายว่าแบบนี้ถ้ามีโอกาสต้องไปจริงๆ แล้ว แต่พูดถึงโจ๊กล่าปา ของวัดผาแดงก็ไม่เลวนะ แถมมีน้อย แต่ก็เข้าใจ ทุกปีคนที่ไปกินโจ๊กล่าปาที่วัดผาแดงมีพันกว่าคน วัดเขาก็ไม่ได้เก็บเงินอะไรด้วย ถ้าจะกินเอาอิ่มจริงๆ คงดูแลไม่ไหว”
ถานหมิงหัวเราะ “นี่ก็เป็นความน่าเศร้าของวัดเล็กแหละนะ วัดเมฆาขาวเป็นวัดใหญ่! พิธีสรงน้ำพระมีคนไปแค่พันกว่าคนที่ไหน? เป็นหลักหมื่นนู่น! นั่นน่ะถึงเรียกว่าพิธีจริงๆ!”
หม่าหยวนได้ยินแบบนั้นในใจก็เฝ้าใฝ่หา…
เหลียงอวี่ข้างกายส่ายหน้าเบาๆ ขี้เกียจจะสนใจถานหมิง จึงเดินไปคุยกับอาคนอื่น
ตอนนี้เองฟางเจิ้งกำลังเหม่อมองถาดขนาดเท่ากระถางตรงหน้า! ตรงกลางถาดวางพระพุทธรูป และก็ไม่รู้ว่าพระพุทธรูปสร้างขึ้นจากอะไร ส่องแสงทองสว่างไสว ภายใต้แสงตะวันดูเด่นตาเป็นพิเศษ รอบพระพุทธรูปเป็นดอกบัวแกะสลักที่สมจริงราวกับมีชีวิต ข้างถาดวางแก้วน้ำสวยงามไว้หนึ่งใบ ด้านข้างไปอีกวางอ่างเล็ก ภายในอ่างส่งกลิ่นหอมดอกไม้จางๆ กลิ่นซึมซาบเข้าไปในจิตใจ คนที่ดอมดมจะสุขสบายยิ่ง
“ระบบ นี่ก็ให้ฟรีเหรอ?” ฟางเจิ้งมองของตรงหน้าพลางถาม
“พิธีสรงน้ำพระก็ต้องมีพระพุทธรูปให้สรงน้ำสิ ใช้น้ำอบสรงน้ำพระพุทธองค์ หนึ่งเพื่อบูชาพุทธศาสนา สองเพื่อชะล้างตัวเอง”
ฟางเจิ้งพยักหน้าแสดงความเข้าใจ แต่ก็เข้าใจไปอย่างนั้น เขาไม่เคยจัดพิธีสรงน้ำพระมาก่อน และก็ไม่เคยเห็น ตอนนี้มาลงสนามจริงเลยทำอะไรไม่ถูก แต่พอตรึกตรองว่าคนที่มาเป็นชาวบ้านจึงผ่อนคลายลงเยอะ
วางพระพุทธรูปให้ดี จากนั้นให้กระรอกอยู่ข้างๆ พระพุทธรูป “ดูของพวกนี้ให้ดีนะ อีกเดี๋ยวโจ๊กจะเสร็จแล้ว มีของนายชามใหญ่เลย! กินให้อิ่ม! ถ้าไม่อย่างนั้นต้องอดนะ”
กระรอกแบกกระบวยเล็กที่ใส่น้ำขึ้น ทำท่าทางเหมือนว่าฉันคือนักรบ ตบหน้าอกดังปึกๆ สื่อว่าให้ผู้บัญชาการวางใจได้
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ เคาะกระรอกไปทีหนึ่ง ก่อนให้หมาป่าเดียวดายแบกฟืนมา เขาหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปหลายรูป ถือว่าเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ตอนนี้เองมีเสียงคนดังแว่วมาไกลๆ จากนั้นกลุ่มคนปรากฎขึ้นในสายตา ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ระงับความตื่นเต้นในใจ ประนมสองมือกล่าวเบาๆ “หลวงตาหนึ่งนิ้ว ความปรารถนาของท่านเป็นจริงแล้วนะ แต่นี่แค่เริ่มต้น จากนี้ผมจะต้องจัดพิธีสรงน้ำพระครั้งใหญ่ที่แท้จริงอย่างแน่นอน! ให้ท่านได้มีความสุขไปด้วยกัน!”
………………
“ติ๊ง! วัตถุดิบส่งมาถึงหมดแล้ว! จะตรวจรับเลยหรือไม่?”
“รับ…ไม่รับ!” ฟางเจิ้งแทบจะตะโกนไปว่ารับ พอมองห้องเล็กๆ ของตน ถ้ารับเดาว่าในห้องคงไม่มีที่ของเขา เลยลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปในลานแล้วเอ่ยขึ้น “รับ!”
“ปึก!” ถุงผูกเล็กตกลงตรงหน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งก้มหน้ามองก็พบว่าเป็นถุงขนาดเท่าฝ่ามือ ผูกด้วยเชือกพันรอบไว้ นับจำนวนอย่างถี่ถ้วนแล้วมีสิบแปดถุงพอดี!
“จำนวนใช้ได้ แต่ว่าระบบ นายมั่นใจนะว่าไม่ได้เอาถุงผิดมา? ถุงเล็กแค่นี้จะใส่ของได้เท่าไรเชียว? คนสามร้อยกว่าคนเลยนะ นายคิดว่าเป็นกระรอกสามร้อยตัวรึเปล่า?” ฟางเจิ้งกล่าวอย่างจำใจ
“นายลองดูได้ ถ้านายใช้หมดจะถือว่าฉันแพ้”
“มหัศจรรย์ขนาดนั้นเลย?” ฟางเจิ้งพลันแปลกใจ
“นี่คือถุงพระสุเมร มิติข้างในบรรจุสิ่งของในหนึ่งห้อง อีกอย่างยังรักษาความสดได้ตลอดไป สิบแปดถุงเท่ากับวัตถุดิบสิบแปดห้อง นายคิดว่าไม่พอหรอ?” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งตอบ “พอ! เลี้ยงหมูยังพอเลย!” ขณะเดียวกันก็ตรึกตรองในใจ จะเก็บไว้ให้ตัวเองก่อนสักหน่อยดีไหม?
ทว่าระบบพูดเสริมขึ้น “ขอเตือนอย่างเป็นมิตร นี่คือของขวัญวันเทศกาลที่ระบบมอบให้ หลังผ่านเทศกาลไปแล้ว ของทั้งหมดที่ใช้ไม่หมดจะถูกเก็บไปโดยอัตโนมัติ แน่นอนถ้าไม่พอจริงๆ ระบบจะให้วัตถุดิบเพิ่มได้ตลอดเวลา”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็เงียบเหงา เก็บไว้ไม่ได้ ใช้ได้แค่วันนั้น รับไม่ได้!
ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนหิ้วถุงสิบแปดถุงออกไป
“ระบบ มีวัตถุดิบแล้ว ว่าแต่จะทำยังไง?” ฟางเจิ้งถาม
สิ้นเสียง มีกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงตรงหน้า หยิบขึ้นมาดูฟางเจิ้งก็หน้าเขียวคล้ำ “ระบบ ไหนบอกว่าเป็นสูตรลับ?”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?” ระบบถามอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้ง “เหอะๆ…ไม่มีปัญหา…ไม่มีปัญหาก็บ้าแล้ว! ด้านบนมีแค่สี่ตัวเอง ใส่หม้อ เติมน้ำ! นี่มันสูตรลับตรงไหน? นายยังบอกฉันไม่หมดใช่ไหม? แสร้งทำให้ดูลึกลับใช่ไหม?”
“เดิมทีโจ๊กล่าปามาจากอาหารที่ภิกษุถวายแก่พระพุทธองค์ จะทิ้งก็เสียดายเลยเอามาต้มรวมกันกลายเป็นโจ๊กพิเศษ หรือนายคิดว่าต้องมีสูตรอื่นๆ ด้วยรึไง? ถ้าใส่สูตรอื่นๆ รวมเข้าไปก็ไม่ใช่โจ๊กล่าปาแล้ว ส่วนสูตรลับ วัตถุดิบจากเขาคุนหลุนคือสูตรลับที่ดีที่สุด! คิดถึงข้าวผลึกที่นายกินสิ”
ฟางเจิ้งคิดแล้วก็มีเหตุผล แค่หุงข้าวผลึกสุกก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทำให้อยากอาหารแล้ว มิหนำซ้ำวัตถุดิบเหล่านี้ก็ดีกว่า?
แต่ว่าฟางเจิ้งก็ไม่ได้เชื่อระบบทั้งหมด ถึงยังไงบางครั้งระบบก็เชื่อถือไม่ได้ เขาเปิดถุงเล็กดู มองไปข้างหน้าพลันอึ้งงัน “ระบบ นายมั่นใจนะว่าไม่ได้ให้ผิด นี่ใช่วัตถุดิบที่ไหน นี่มันงานศิลปะชัดๆ!”
ฟางเจิ้งตกใจจริงๆ เปิดดูถุงแรก ในนั้นเป็นถั่วเขียวมรกตทั้งหมด! ที่สำคัญคือถั่วเขียวมรกตราวกับหยกแข็งไม่เท่าไร แต่ด้านบนยังแกะสลักภาพพระพุทธองค์! สมจริงราวกับมีชีวิต! แม้แต่บนถั่วเขียวเม็ดเล็กๆ ยังมีการแกะสลัก นี่มันน่าเหลือเชื่อ!
“เจ้าเด็กไร้ความรู้ โจ๊กล่าปาทางพุทธศาสนาไม่ใช่โจ๊กล่าปาของปุถุชน ย่อมมีความพิถีพิถัน ถั่วเขียวแกะสลักพระอรหันต์แปดร้อยรูป ต่อไปยังมีสิงโตสัตว์มงคลที่ทำขึ้นจากพุทราจีน มังกรแท้จริงที่ทำจากถั่ววอลนัท พระอรหันต์สิบแปดรูปที่ทำจากลูกพุทราทุบเป็นต้น…” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งเปิดดู แม้จะมีสิบแปดถุง ทว่าไม่ใช่วัตถุดิบสิบแปดชนิด แต่เป็นวัตถุดิบสิบแปดรูปลักษณ์! บ้างรวมกันจากวัตถุดิบหลายชนิด บ้างเป็นรูปแกะสลักเดี่ยวๆ หรือรวมกัน บ้างก็บีบรวมกันเป็นรูปแกะสลักต่างๆ เป็นสีส้ม
ฟางเจิ้งปลงอยู่ในใจ “ระบบ นะ…นี่เท่ากับกินพระอรหันต์รึเปล่า? โหดร้ายไปหน่อยไหม?”
ระบบตอบกลับมา “ไม่รู้”
ฟางเจิ้งมองค้อนและไม่สนใจระบบเหมือนกัน เขาให้หมาป่าเดียวดายดูแลน้ำห้าหม้อใหญ่ไว้ จุดไฟ จากนั้นใส่ผลไม้แห้งกับวัตถุดิบที่ค่อนข้างสุกยากเข้าไปตามลำดับ ต้มด้วยไฟแรงสักพักถึงปรับเป็นไฟอ่อน รอจนผลไม้แห้งสุกยากสุกแล้วถึงใส่วัตถุดิบสุกง่ายตามไป…
สุดท้ายใช้ไฟอ่อนเคี่ยวช้า…
ส่วนหมาป่าเดียวดายขึ้นลงเขาไปตักน้ำตลอด กระรอกวิ่งไปมาดูตื่นเต้นมาก แถมยังไปเอากิ่งไม้แห้งกลับมาตลอด ถือว่าออกแรงช่วยวัด
ข้ามเรื่องฟางเจิ้งบนเขาไปก่อน…
เมื่อเสียงไก่ขัน ชาวบ้านทางภาคเหนือต่างตื่นนอน ควันอาหารลอยโชย จุดประทัดดังปุงปัง เมื่อเสียงดังขึ้น! ปัง! ประทัดไฟระเบิดหมดแล้ว เป็นการแสดงล่วงหน้าว่าในที่สุดก็ใกล้จะถึงปีใหม่!
หมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบคึกคักขึ้นตาม ทุกบ้านพากันตื่นนอน จุดไฟทำอาหาร อวยพรกันให้การงานเจริญก้าวหน้า
กินอาหารเช้าเสร็จ ทุกคนก็พากันออกเดินทาง ขึ้นเขา ไหว้พระ กินโจ๊กล่าปา ร่วมพิธีสรงน้ำพระ
พวกหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วและหยางผิงตื่นนอนนานแล้ว รวมทุกคนขึ้นเขาพร้อมกัน เส้นทางภูเขาเอกดรรชนีเดินยาก เนินลาดชันเยอะ อีกอย่างข้างๆ เป็นหน้าผาตัดลงไป ถ้าไมมีวินัยเป็นกลุ่มจะเกิดอันตรายง่ายมาก โดยเฉพาะพวกคนชราและเด็ก จะต้องดูแลเป็นพิเศษ
กลุ่มคนคึกคัก พูดคุยพลางขึ้นเขาไปพลาง ทำให้ภูเขาเอกดรรชนีที่เงียบเหงาครึกครื้นขึ้นมา
แต่ว่ามักจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น…
“คุณจะไม่ไปจริงๆ เหรอ?” ในครอบครัวหนึ่ง ผู้หญิงวัยกลางคนเตรียมตัวทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงเรียกผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงเตา
“ไม่ไป มีอะไรให้น่าไปล่ะ ทุกคนเหมือนกับผีหิวโหยกันทั้งนั้น ทำไม? ไม่เคยกินข้าวรึไง? อีกอย่างฟางเจิ้งนั่นจะมีฝีมือจัดพิธีสรงน้ำพระได้เหรอ? เขาคิดจริงๆ หรือว่าเป็นเจ้าอาวาสไม่กี่วันแล้วจะเป็นเจ้าอาวาสจริงๆ? ไม่ไป!” ผู้ชายพูดด้วยความโมโห
“นี่ ทำไมคุณพูดอย่างนี้ล่ะ? ฟางเจิ้งไม่เคยทำอะไรให้คุณไม่พอใจเลยนี่? เอาเถอะ! ถ้าคุณไม่ไป ฉันไปเอง!” ผู้หญิงพูดจบก็จะออกไปข้างนอก
ผู้ชายไม่พอใจ ลุกขึ้นมา “คุณจะไปไหน? ผมบอกเลยนะว่าไม่ให้ไป บ้านเราห้ามมีใครไปทั้งนั้น!”
“เฉินจิน!” ผู้หญิงโกรธแล้ว มองผู้ชายด้วยความโมโห “คุณยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม? ทำไม ปีนี้คุณไม่รวมคนไปพิธีสรงน้ำพระที่วัดผาแดงแล้วบ้านเราจะไปวัดเอกดรรชนีไม่ได้? ทุกคนไปวัดเอกดรรชนี นั่นก็เพื่อช่วยสนับสนุนฟางเจิ้ง ทุกคนจะไปวัดผาแดงกับคุณทำไม? ไม่สรงน้ำพระก็ไปกินโจ๊กล่าปาก็ได้ รวมกันครึกครื้นดีออกไม่ใช่เหรอ? ทำไมจะต้องตามคุณไปด้วย? แล้วก็ผู้ใหญ่บ้านบอกแล้วนี่ว่าปีหน้าให้ทุกคนตามคุณไป?”
เฉินจินตอบด้วยความไม่พอใจ “พวกผู้หญิงจะเข้าใจอะไร? ไต้ซืออู้หมิงมอบเรื่องสำคัญขนาดนี้ให้ฉัน นั่นเพราะเขาไว้ใจฉัน! ก่อนหน้านี้คุยโม้กับเขาไปแล้ว ตอนนี้ดูสิไม่ได้พาใครไปเลย! แถมยังไปวัดเอกดรรชนีไปร่วมพิธีสรงน้ำพระของฟางเจิ้งอย่างดีอกดีใจกันอีก? จะให้ฉันหน้าแตกรึไง? จากนี้จะมีหน้าไปพบไต้ซืออู้หมิงได้ยังไง?! คนเราต้องมีหน้าตา ต้นไม้ต้องมีเปลือก เข้าใจไหม?”
……………
สีสวย กลิ่นหอมยิ่งกว่า!
กลิ่นหอมข้าว กลิ่นหอมสดชื่นของลูกบัว ความหวานข้นของพุทราจีน กลิ่นของวัตถุดิบมากกว่าสิบแปดอย่างโชยมา แต่ฟางเจิ้งกลับดมแยกออกมาได้อย่างละเอียด! หลังรวมกันแล้วยังกลายเป็นกลิ่นหอมสดชื่นพิเศษ ดมไปจะช่วยให้กระปรี้กระเปล่า รู้สึกสบายอย่างยิ่ง!
“ดี ดี ดี!” ฟางเจิ้งแค่มองกับดมก็มั่นใจแล้วว่านี่คือของชั้นดีที่สุดในโลกมนุษย์!
ตอนนี้เองบนบ่าฟางเจิ้งมีเงาเล็กๆ พุ่งกระโจนไปยังโจ๊กล่าปา ฟางเจิ้งไหวตัวทันคว้าไว้ เป็นกระรอก!
เจ้าตัวน้อยถูกจับไว้ แถมยังไม่พอใจ เอาแต่ดิ้นไปมา ทำท่าทางเหมือนกับว่า ‘ถ้านายไม่ให้ฉันกิน ฉันจะสู้กับนายสุดชีวิต!’
ฟางเจิ้งมองค้อนเจ้าตัวน้อยแวบหนึ่ง “นี่ นายยังกล้าโวยวายใส่เจ้าอาวาสอีกนะ? เชื่อไหมว่าฉันจะขังนาย?”
เจ้าตัวน้อยไม่ยอม เอาแต่ร้องจี๊ดๆ
ฟางเจิ้งลูบหัวโล้น “กินเมล็ดสนไปสองเมล็ดแล้วยังจะกินโจ๊กล่าปาของอาตมาอีกเหรอ? คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองไปรึเปล่า? นายอยากกินก็ได้ แต่รออาตมาชิมเสร็จก่อน จากนั้นถึงตานาย”
“จี๊ดๆๆ…”
“ไม่เอาเหรอ? ถ้าอย่างนั้นขังนาย!” พูดจบก็วางกระรอกลงบนฐานเตา ควานหาหม้อใหญ่มาครอบกระรอกเอาไว้! “จะแย่งอาหารอาตมา? พิจารณาตัวเองก่อนเถอะ!”
ฟางเจิ้งจัดการเจ้าตัวน้อยแล้วก็ก้มหน้าเตรียมจะดื่มโจ๊ก พอก้มหน้าเขาก็หน้าคล้ำ! โจ๊กล่ะ? โจ๊กล่ะ? โจ๊กล่ะ?!
ฟางเจิ้งหันไปมองก็เห็นก้นหมาป่าเพิ่งวิ่งออกจากประตูห้องครัว!
“อยากตายรึไง เอามา คืนอาตมา! เย็นวันนี้ฉันจะกินเนื้อสุนัข!” ฟางเจิ้งโกรธแล้ว ระวังป้องกันขโมยอย่างดี! ขวางขโมยน้อยได้แล้ว แต่กลับถูกหมาป่าเดียวดายชิงไปในช่วงที่เขาทะเลาะกับกระรอก! สายฟ้าผ่าลงมาข้างหลัง ฟางเจิ้งชินแล้วจึงไม่สนใจ!
ฟางเจิ้งถือไม่กวาดไล่ตามไป…หมาป่าเดียวดายเห็นดังนั้นก็วิ่งหนีสุดชีวิต เรื่องที่มันทำในวันนี้มันรู้ว่าต้องอนาถา แต่คิดถึงรสชาติโจ๊กล่าปาแล้วจึงไม่สำนึกเสียใจ! รสชาติ! อร่อยกว่าเนื้อ! อร่อยกว่าข้าวผลึก! อร่อยกว่าอะไร!
“หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่หยุด เย็นนี้อย่าหวังได้กินข้าว!” ฟางเจิ้งไล่ตามหมาป่าเดียวดายไม่ทัน เลยพูดข่มขู่
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
“นี่! นายยังอยากขึ้นสวรรค์งั้นเหรอ? กินข้าวสามมื้อยังไม่อิ่ม? ได้ จะให้นายอดข้าวสามวัน! พรุ่งนี้อาตมาจะหุงโจ๊กล่าปาจำนวนมาก แต่ไม่มีส่วนของนาย!” ฟางเจิ้งกล่าว
หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นก็นึกถึงรสชาติแสนอร่อยนั้น ขาอ่อนยวบหยุดลงทันที จากนั้นส่ายหาง แลบลิ้นเดินก้าวสั้นและเร็วกลับมา ทำท่าทางก้มหน้าลงแสดงความเคารพอีก เป็นการประจบสอพลอ ขณะเดียวกันยังเห่าไม่หยุด
“เพี๊ยะๆๆๆ!” ฟางเจิ้งกระหน่ำไม้กวาดลงไป แต่หมาป่าเดียวดายหนังหนา ฟางเจิ้งก็ทำใจออกแรงตีมันหนักๆ ไม่ลง ดังนั้นเจ้านี่จึงไม่เจ็บเลย แค่กระโดดอยู่กับที่เหมือนกับกระต่าย ซ้ำยังเห่าราวกับกำลังอธิบายบางอย่าง
“หึ! นายแค่อยากชิมรสชาติเหรอ ชิม! ชิม?! ชิมคำเดียว นายกินโจ๊กชามใหญ่ขนาดนั้นหมด? ยั้งใจไม่ไหว? ยั้งไม่ไหวยังกล้าชิมอีกนะ? คอยดูเถอะ! เย็นวันนี้ไม่ต้องกินข้าว!”
ฟางเจิ้งรู้แล้วว่าภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ความรุนแรงไม่ได้ ตีหมาป่าเดียวดายไม่เจ็บ กลับกันไม้กวาดใกล้จะพังแล้ว เขาปวดใจ ในวัดมีไม้กวาดไม่กี่อัน หักอันหนึ่งก็เสียไปอันหนึ่ง!
ดังนั้นหมาป่าเดียวดายจึงรอดไป สะบัดหางหัวเราะเหอะตามตูดฟางเจิ้ง กินก็กินไปแล้ว ถูกตีก็ไม่เป็นไร…
ขณะเดียวกันเกิดเสียงแก๊งดังขึ้น กระรอกพลิกชามใหญ่วิ่งออกมา เห็นชามเล็กถูกหมาป่าเดียวดายกินจนหมดก็โกรธจนร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด แต่มันที่ไม่ยอมยังคงพุ่งไปยังข้างชามเล็กนั้น แต่ก็ต้องตกใจระคนดีใจ ในนั้นยังมีลูกบัวอีกเม็ด! เจ้าตัวเล็กตาเปล่งประกาย ตื่นเต้นจนวิ่งวนรอบชามเล็กสามรอบ ร้องจี๊ดๆ เหมือนกำลังเฉลิมฉลองบางอย่าง จากนั้นเตรียมเริ่มมื้ออาหาร!
เจ้าตัวเล็กกระโดดขึ้นเตรียมจะกิน!
แต่ว่า!
วิ้ง!
แสงทองวูบผ่าน ชามหายไป!
“จี๊ด!” เจ้าตัวน้อยร้องอย่างเศร้าสร้อยด้วยสีหน้าโกรธ
ปัง!
หัวมันดิ่งลงชนเข้ากับฐานเตา เจ้าตัวน้อยกุมหัว โกรธร้องเสียงดัง! กระโดดไปบนพื้น คว้าหินก้อนเล็กวางท่าเหมือนจะออกไปฆ่าเพื่อล้างแค้น
แต่พอออกประตู ก็เห็นฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายกลับมาแล้ว
“นี่ๆ เจ้าตัวน้อย ทำไมทำท่าทางเหมือนจะฆ่าคนอย่างนั้นล่ะ ในมือถืออาวุธอีก ทำไม จะก่อกบฏรึไง?” ฟางเจิ้งเห็นกระรอกน้อยเงยหน้าเชิดอกขึ้น มือถือก้อนหิน วางมาดจะสู้กับใครสักคนก็เลยหัวเราะ
กระรอกได้ยินดังนั้นก็โกรธร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด กระโดดไปมากับที่ ทำท่าทางโกรธจนจะเป็นบ้า
“เอาเถอะ นายอย่าโกรธอาตมาเลย อาตมาก็ไม่ได้กินโจ๊กเหมือนกัน เจ้านี่กินหมดแล้ว ถ้านายไม่พอใจก็ซัดเต็มที่ ถ้ามันกล้าสวนกลับอาตมาจะช่วยนายจัดการมันเอง” ฟางเจิ้งกล่าว
พอกระรอกได้ยินก็หันหน้าไปจ้องหมาป่าเดียวดาย
หมาป่าเดียวดายมองฟ้า ทำเป็นไม่รับรู้อะไร
“จี๊ดๆๆ!” หลังกระรอกมั่นใจแล้วว่าฟางเจิ้งหนุนหลังจึงกระโดดพุ่งเข้าไปด้วยแรงวัว ขว้างหินก้อนเล็กพุ่งทะยานเข้าไป แต่ว่า…หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่กับพื้น กำลังเกาอย่างเอ้อระเหย ส่วนแรงของกระรอก? ไม่รู้สึก…
แต่ไม่นานนักหมาป่าเดียวดายก็เอ้อระเหยไม่ได้
เริ่มกินอาหารแล้ว ฟางเจิ้งย้ายโต๊ะเขียนอักษรไปไว้หลังลาน หลังจากโต๊ะตัวนี้ถูกยกขึ้นเขามาก็ไม่ได้เอาลงไป ถือว่าให้ฟางเจิ้งไปเลย
ตอนนี้ฟางเจิ้งเป็นคนที่มีโต๊ะกินข้าวแล้ว
เขานั่งอยู่ข้างๆ กระรอกนั่งอยู่บนโต๊ะ ถือก้อนข้าวหนึ่งก้อน ฟางเจิ้งกินข้าวผลึก ดื่มน้ำบริสุทธิ์ด้วยท่าทีสุขสบาย
กระรอกก็เลียนแบบท่าทางเหมือนกัน ทำริมฝีปากขมุบขมิบ
หมาป่าเดียวดายยืนเหมือนคนอยู่ข้างๆ โต๊ะ สองอุ้งมือเกาะขอบโต๊ะ แลบลิ้น ทำหน้ากระหาย แต่ฟางเจิ้งกับกระรอกเมินเฉย
“โฮ่งๆ…”
“นายกินโจ๊กไปแล้วนี่จะกินอะไรอีก? วันนี้จะสั่งสอนให้นายรู้กฏของวัดเรา! การขโมยกินมันน่าละอาย!” ฟางเจิ้งกล่าว
กระรอกก็พูดด้วยสองประโยค แม้หมาป่าเดียวดายจะไม่เข้าใจ แต่ก็แสดงท่าทีของตนอย่างชัดเจน
หมาป่าเดียวดายหันหน้าวิ่งไปอีกทาง ถ้าไม่เห็นใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทว่า…
“แจ๊บๆ…”
ฟางเจิ้งกินไปพลางขยับปากดังแจ๊บๆ ไปพลาง ทั้งยังตะโกนตลอดเวลา “หอมจริงๆ หอม!”
กระรอกก็ทำเกินไปเหมือนกัน หยิบก้อนข้าวขึ้นมานั่งบนหัวหมาป่าเดียวดาย ไม่ยอมกิน แต่เป่าไปทางหมาป่าเดียวดาย กลิ่นหอมข้าวผลึกโชยไปยังจมูกมัน ทำเอาหมาป่าเดียวดายสะบัดหน้า! กระรอกจึงเปลี่ยนทิศทางการเป่า…
เห็นเจ้าสองคนนี้ทะเลาะกันฟางเจิ้งจึงหัวเราะ
ฟางเจิ้งกินเสร็จก็ถือว่าลงโทษหมาป่าเดียวดายจอมตะกละได้แล้ว เลยเคาะโต๊ะ “นายไม่กินจริงๆ เหรอ?”
หมาป่าเดียวดายเงยหน้าขึ้นเห็นว่าในชามใหญ่กระถางดอกไม้ของมันมีข้าวเพิ่มมา! มันที่เมื่อครู่ยังหงอยเหงาเศร้าซึมพลันวิ่งมากินข้าวอย่างมีความสุข ส่วนความไม่พอใจที่ถูกแกล้งเมื่อครู่ลืมไปนานแล้ว
ตกดึง เที่ยงคืน ในที่สุดฟางเจิ้งก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบ
…………………
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงพูดอย่างมีเหตุผล “โยม โจ๊กล่าปาต้องเป็นภิกษุทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะมีความหมาย ไม่ควรยืมมือคนอื่น”
หยางหวาตอบ “มีอย่างนี้ด้วยเหรอ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า หยางหวายอมแพ้ “ได้ ในเมื่อท่านจะจัดพิธีสรงน้ำพระ ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับไปช่วยประกาศแล้วกัน จะได้มีคนมากันเยอะๆ อืม…อย่างน้อยครอบครัวฉันมาแน่!”
ฟางเจิ้งขอบคุณ จากนั้นส่งหยางหวา
“เอาเถอะ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว วันนั้นคงมากันไม่กี่คนจริงๆ” ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปห้องครัว หุงโจ๊กล่าปาไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อเตา ย้ายหม้ออะไรพวกนี้ยุ่งยากมาก
ฟางเจิ้งกำลังยุ่งกับงาน…
ทว่าตรงตีนเขา เมื่อหยางหวากลับมาก็เกิดการปะทุขึ้น
“อะไรนะ? ฟางเจิ้งจะจัดพิธีสรงน้ำพระ? จึ๊ เจ้าเด็กนี่เป็นไปได้! ไม่ได้การแล้ว ฉันจะไปวัดเขา!”
“เหล่าหลี่ นายเตรียมไปวัดผาแดงไม่ใช่รึไง?”
“ไปวัดผาแดงทำบ้าไรล่ะ! ถ้าไม่สนับสนุนเด็กบ้านเราแล้วจะสนับสนุนใคร! อีกอย่างไต้ซือวัดผาแดงบอกแล้วไม่ใช่เรอะว่าแค่มีความจริงใจก็จะศักดิ์สิทธิ์! ที่ไหนก็เหมือนกัน”
คนพวกนี้ป่าวประกาศไป ไม่นานคนในหมู่บ้านรับรู้ ทว่าทุกคนต่างพูดคุยกัน ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน ตอนนี้เองเสียงลำโพงดังในหมู่บ้าน!
“ประกาศ ประกาศ! เทศกาลล่าปา วัดเอกดรรชนีจะจัดพิธีสรงน้ำพระ หมู่บ้านตัดสินใจแล้วว่าจะสนับสนุนวัดเอกดรรชนี สนับสนุนความก้าวหน้าของวัดบ้านเรา ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะไปร่วมพิธีสรงน้ำพระที่วัดเอกดรรชนี แน่นอนทุกอย่างอยู่ที่ความสมัครใจ! คนที่จะไปให้รวมกลุ่มกันในหมู่บ้านไปด้วยกัน มาลงชื่อที่บ้านฉัน แล้วก็นะเอาชามไปเองด้วย เจ้าฟางเจิ้งยากจนแค่ไหนคงไม่ต้องบอกนะ” เสียงหวังโอ้วกุ้ยดังแว่วมา
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมา
เวลานี้เองมีเสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นตาม “ทุกคนก็เห็นเจ้าฟางเจิ้งโตมาแต่เล็ก ทุกคนไปร่วมพิธีสรงน้ำพระครั้งแรกของวัดเอกดรรชนีเถอะ รวมคนกันไปเยอะๆ”
นี่คือเสียงของเสมียนหมู่บ้านถานจวี่กั๋ว
ชาวบ้านที่เดิมทีแค่คุยกันได้ฟังดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านกับเสมียนพูดแล้ว เจ้าฟางเจิ้งก็ไม่เลว เอาเถอะ ไปด้วยกัน!
หวังโอ้วกุ้ยตะโกนเหมือนกัน ไม่คิดว่าพวกชาวบ้านจะสนับสนุนขนาดนี้ หนึ่งวันผ่านไปเขานับจำนวนแล้วก็ตบที่หน้าขาสำนึกเสียใจภายหลัง ตะโกนดังลั่น “แย่แล้วๆ!”
“อะไรครับ? อะไรแย่?” หยางผิงถามด้วยความไม่เข้าใจ
หวังโอ้วกุ้ยยิ้มแห้ง “มัวแต่คิดจะช่วยเจ้าฟางเจิ้งดึงคน แต่ตอนนี้มีสามร้อยสามสิบหกคนแล้ว!”
หยางผิงได้ยินแบบนั้นก็งงเล็กน้อย “เหมือนว่าตอนนี้ทั้งหมู่บ้านไม่ได้มีคนมากขนาดนั้นนี่?”
“ใกล้จะปีใหม่แล้ว ลูกหลานต่างกลับมา มีลูกกันเป็นโขยง จำนวนเท่านี้ก็ไม่แปลกหรอก คนในหมู่บ้านต่างสนับสนุน อีกอย่างเด็กพวกนั้นจะไปเที่ยวกันมากกว่า เฮ้อ…คนเยอะขนาดนี้ แกว่าฟางเจิ้งจะเตรียมโจ๊กล่าปาเยอะขนาดนั้นไหวไหม?” หวังโอ้วกุ้ยพูดด้วยความกังวล
หยางผิงกลอกตา ยิ้มกล่าว “เตรียมไม่ไหวก็ใช้น้ำแทนสิ…เหอะๆ ถึงยังไงน้ำเขาก็อร่อยดี”
หวังโอ้วกุ้ยอึ้งไปจากนั้นยิ้ม “ก็ใช่…อีกเดี๋ยวจะโทรไปหาเขาให้เตรียมตัวล่วงหน้า ถึงตอนนั้นถ้าทุกคนไปแล้วไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำจะแย่เอาจริงๆ”
พูดจบหวังโอ้วกุ้ยก็โทรไปหาฟางเจิ้ง บอกจำนวนคนไปแล้วถือโอกาสถามด้วยเลยว่าวัตถุดิบโจ๊กล่าปาพอหรือไม่ ไม่พอเขาจะช่วยจัดการให้
เดิมทีฟางเจิ้งคิดว่าจะมากันสิบยี่สิบคนก็ถือว่าไม่เลว พอได้ยินว่าสามร้อยกว่าคน! เขาพลันตาเหลือกแทบจะหมดสติ! ต้องเตรียมโจ๊กล่าปาจำนวนคนขนาดนี้เชียว?
ฟางเจิ้งสำนึกเสียใจที่ให้หยางหวาไปแล้ว ทำคนเดียวมากขนาดนี้เป็นไปได้เหรอ?
ทว่าพอตรึกตรอง ญาติพี่น้องเหล่านี้ไม่ไปวัดใหญ่ แต่มาวัดเล็กของเขา นี่ก็เพราะความผูกพัน! ทุกคนต่างรักและเอ็นดูเขา เขาก็ไม่ควรจะเยือกเย็นไร้ใจไหม? โจ๊กล่าปานี่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวต้องใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด แต่ต้องทำให้ดีที่สุดด้วย!
คิดได้ดังนั้นจึงตอบหวังโอ้วกุ้ย “โยมหวัง อาตมาไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แค่ขอหม้อสักสองใบได้ไหม? แล้วก็เตรียมชามกันมาเอง!”
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะ กล่าวรับปากวางใจให้เขาจัดการทุกอย่างเอง
วันที่สอง หวังโอ้วกุ้ยให้คนส่งหม้อเหล็กใบใหญ่มาห้าใบ ขณะเดียวกันก็ช่วยฟางเจิ้งก่อฐานเตาห้าแห่ง หยางหวาพาคนไปหาฟืนมาจำนวนมาก รวมกับที่ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายไปเก็บมาแล้วก็น่าจะพอใช้
หลังส่งทุกคนกลับ ฟางเจิ้งมองแถวหม้อใบใหญ่ตรงปากประตู ก่อนเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจด้วยความเศร้า “นี่ฉันฆ่าตัวตายรึเปล่าเนี่ย?”
แก๊ง…
ตอนนี้เองฝาหม้อใบหนึ่งขยับ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วพลางคิดในใจ ‘อะไรวิ่งเข้าไปในหม้อ’
พอเข้าไปดูก็หัวเราะ เห็นกระรอกมุดเข้าไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แถมยังซ่อนเมล็ดสนไว้ไม่น้อย!
“เจ้าตัวน้อย เมล็ดสนแค่นี้ยังซ่อนอีกนะ ทำไมแกขี้งกขนาดนี้? เอาเถอะ เมล็ดสนพวกนี้ถือเป็นค่าอาหารแล้วกัน” ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดังด้วยความหน้าด้าน เจ้าตัวน้อยมีท่าทีโกรธ แยกเขี้ยวตวัดกรงเล็บไปมา ขบฟันข่มขู่จนแก้มป่อง เหมือนลวงเอาของส่วนตัวของมันไป
แม้จะอร่อย แต่แน่นอนว่าเมล็ดสนอร่อยสู้ข้าวผลึกไม่ได้ แต่กินข้าวผลึกทุกวัน ของว่างกลางภูเขาแบบนี้ถือว่าล้ำค่า อีกอย่างกระรอกน้อยเจ้าเล่ห์มาก มันไม่สนใจเมล็ดสนธรรมดา ดังนั้นที่มันเอากลับมาจะต้องเป็นเมล็ดที่อวบอิ่บ กินไปในปากจะเต็มไปด้วยความหอมมัน! นี่ก็เป็นหนึ่งในของว่างที่ฟางเจิ้งชอบที่สุด ทำให้กระรอกตัวน้อยซ่อนเมล็ดสนไว้ตามที่ต่างๆ ทุกวันราวกับหัวขโมย…
ส่วนฟางเจิ้งมีอีกเหตุผลที่จะปัดกวาดวัดแล้ว…หาของว่าง!
ฟางเจิ้งเก็บเมล็ดสนไว้เป็นของตัวเอง กระรอกโกรธจนไล่ตามไป ดึงใบหูเขา แต่ฟางเจิ้งไม่เจ็บ…
“ระบบ เตรียมหม้อแล้ว วัตถุดิบล่ะ? สูตรลับล่ะ?” ฟางเจิ้งยืนอยู่ในครัว ลูบท้องที่หิวอยู่นิดๆ พลางถาม รู้สึกเห็นแก่ตัวเล็กน้อย สินค้าจากระบบจะต้องวิเศษแน่ โจ๊กคุณภาพดีขนาดนี้ไม่มีเหตุผลที่ตนจะไม่ลองก่อน!
“ยังไม่ให้ตอนนี้ แต่จะให้ตัวอย่างโจ๊กล่าปาชามเล็กกับนาย ให้ลองชิมดูก่อนได้”
พูดจบมีชามเล็กปรากฏตรงหน้าฟางเจิ้ง! มันชามเล็กจริงๆ เท่าฝ่ามือเล็ก!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็พึมพำ “ระบบ นายมันขี้เหนียวจริงๆ!”
เพิ่งกล่าวแสงทองจากโจ๊กล่าปาหายไป ต่อมาฟางเจิ้งตาค้าง!
เห็นข้าวสีขาวในชามเล็ก ลูกเดือยสีเหลือง ลูกบัวแวววาว พุทราจีนใหญ่สีแดง…วัตถุดิบต่างๆ รวมเข้าด้วยกัน แต่กลับแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แดงก็แดงเพลิง ขาวก็แพรวพราว เหลืองอร่าม…วัตถุดิบทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันนี่มันใช่โจ๊กที่ไหน เป็นภาพวาดต่างหาก! วัตถุดิบในนั้นก็ไม่ใช่วัตถุดิบ แต่เป็นอัญมณีสดใส หยกและทองคำ สวยจนฟางเจิ้งทำใจกินไม่ลง!
…………………
อีกฝ่ายจะคิดยังไงฟางเจิ้งไม่สนใจแล้ว ทำการบล๊อกเบอร์อีกฝ่ายไปจริงๆ เขาเป็นหลวงจีนจะขับรถทำไม? ถ้ามีเครื่องบินเขาจะลองตรึกตรองดู
อีกสองวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ สามวันผ่านไปแล้ว ฟางเจิ้งกลับมามองเห็นจริงๆ อีกทั้งยังเห็นชัดเป็นพิเศษ! ความรู้สึกนั้นเหมือนกับทีวีขาวดำพลันกลายเป็นทีวีชัดระดับ4k รู้สึกดีสุดๆ!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นเพราะการประลองศิลปะพู่กันจีน หรือเพราะคู่รักที่ขึ้นเขามาขอลูกสัมฤทธิผล อีกทั้งคิดสิ่งใดก็สำเร็จ เลยทำให้ชื่อเสียงวัดเอกดรรชนีเริ่มขยายออกไป
สรุปวัดเล็กของฟางเจิ้งเริ่มมีคนทยอยกันมา! แม้จะเป็นหน้าหนาว อากาศหนาว หิมะตกหนัก เส้นทางภูเขาเดินยาก คนที่มาเป็นชาวบ้านใกล้เคียง แต่ฟางเจิ้งก็ดีใจมาก
เขาปัดกวาดวัดทุกวัน คอยดูแขกที่มาโดยบังเอิญ หลังพูดคุยกันเล็กน้อยแล้วก็เข้าไปจุดธูปขอพร
ทุกวันฟางเจิ้งจะมองอีกฝ่ายลากลับไปอย่างมีความสุขมาก จากนั้นปิดประตูวัด พลิกเบาะนั่งดูว่ามีอะไรอยู่ไหม…
แต่ส่วนใหญ่ฟางเจิ้งจะต้องผิดหวัง ไม่มีเงิน! ไม่มีสักนิดเดียว!
อีกอย่างธูปชั้นดีขายไม่ออก มีแต่ธูปธรรมดา ฟางเจิ้งจึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ทว่าไม่มีคนจุดธูปชั้นดีแล้วเขาจะไปบังคับได้ยังไง? ดังนั้นนอกจากส่ายหน้าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้
หนึ่งเดือนผ่านไปแบบนี้ ธูปจุดถึงยี่สิบดอกเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ ฟางเจิ้งมองธูปเหล่านี้พลางยกยิ้มมุมปาก! นี่คือผลของหนึ่งปีก่อนของวัดเอกดรรชนี! แต่ตอนนี้กลับทำสำเร็จในเดือนเดียว เขารู้แล้วว่าภารกิจธูปร้อยดอกก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
เล่นกับหมาป่า เย้าแหย่กับกระรอกทุกวัน วันเวลาผ่านไปแบบสบายๆ
เดือนสิบสอง ในหมู่บ้านชอบเรียกกันว่าเดือนสิบสองของปีจันทรคติ
เข้าสู่เดือนสิบสอง ธูปในวัดฟางเจิ้งสว่างไสวกว่าเดิม แทบจะมีคนมาทุกวัน! เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าอาวาส ยืนอยู่ทางเข้าประตูทุกวัน ทักทายทุกคน มันก็ต้องสุขสบายใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เองหยางหวาขึ้นเขามา เห็นฟางเจิ้งแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “ฟาง…เจ้าอาวาส! เอ่อ จะเรียกยังไงดี?”
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “โยมหยาง โยมอยากเรียกยังไงก็เรียกเถอะ ฟังโยมเรียกเจ้าอาวาสแล้วมันไม่รื่นหู”
หยางหวาหัวเราะแหะๆ “คืออย่างนี้ อาท่านท้องยังไม่ถึงสามเดือนเลยขึ้นเขามาไม่ได้ เลยให้ฉันมาถามว่าอีกเดี๋ยวจะเทศกาลล่าปา[1]แล้ว วัดผาแดงข้างๆ ประกาศไว้นานแล้วว่าเทศกาลล่าปาปีนี้จะจัดพิธีสรงน้ำพระ แจกจ่ายโจ๊กล่าปา วัดเอกดรรชนีจัดไหม? ถ้าจัดอาท่านกลัวว่าท่านคนเดียวจะไม่ไหว เลยให้ฉันมาช่วย”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ชะงักงัน!
เทศกาลล่าปา? พิธีสรงน้ำพระ!
จากนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง หลายวันมานี้ธูปสว่างไสวจนเขาแทบจะลืมไปเลย!
พิธีสรงน้ำพระเป็นพิธีอย่างหนึ่งทางพุทธศาสนา ปกติวันงานจะจัดวันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสอง วันนี้ทุกคนเรียกว่าเทศกาลล่าปา พุทธศาสนากล่าวไว้ว่าเป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะหรือพระโคตมพุทธเจ้าตรัสรู้ ดูจากความหมายของชื่อแล้ว นี่เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ดังนั้นทุกวันในโลกจะร่วมเฉลิมฉลองกัน!
แต่วันวิสาขบูชาจะขาดไม่ได้เลยคือนอกจากสรงน้ำพระแล้ว จะมีการเชิญทุกคนมากินโจ๊กล่าปา ทุกคนเรียกกันว่าโจ๊กล่าปา[2] แต่ทางพุทธศาสนาเรียกว่าโจ๊กเจ็ดสิ่งเลอค่าห้ารสชาติ
ต่อมาพุทธศาสนาส่งผลถึงทางโลก เลยมีประเพณีกินโจ๊กล่าปาในเทศกาลล่าปาวันนี้
แต่วัดเอกดรรชนีเป็นวัดเล็ก เมื่อก่อนวันนี้จะกินข้าวยังลำบาก แน่นอนว่าไม่มีทางจัดพิธีสรงน้ำพระได้ หลายปีมานี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่เคยจัดพิธีสรงน้ำพระมาก่อน แต่ทุกครั้งในวันนี้จะพึมพำว่า ‘ถ้าสักวันหนึ่งวัดเอกดรรชนีจัดพิธีสรงน้ำพระสักครั้งก็คงจะดี…เฮ้อ…’
พอนึกถึงเสียงถอนหายใจยาวของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ฟางเจิ้งก็ไม่คิดอะไรอีก “เทศกาลล่าปาในปีนี้อาตมาจะไม่แจกจ่ายแค่โจ๊กล่าปา แต่จะจัดพิธีสรงน้ำพระด้วย ชะล้างจิตใจร่วมกับปุถุชน ทำให้ร่างกายบริสุทธิ์!”
“อะไรนะ? ท่านจะจัดพิธีสรงน้ำพระ? คือ…เหมือนว่าท่านจะไม่เคยจัดสักครั้งเลยนี่?” หยางหวาถลึงตามองฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งยิ้ม “แน่นอนว่าอาตมาไม่เคยจัด แต่ไม่เคยกินเนื้อหมู จะไม่เคยเห็นหมูวิ่งหรือ? พิธีสรงน้ำพระไม่ได้ยากอะไร”
“ฟะ…ฟางเจิ้ง รู้เหรอว่าแจกโจ๊กล่าปาต้องใช้เงินเท่าไหร่?” หยางหวาถาม
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน! เกือบลืมไปเลย นี่ไม่ได้จัดกันฟรีๆ การแจกโจ๊กล่าปาถ้ามากันสองสามคนไม่เป็นไร แต่ถ้ามากันเป็นสิบเป็นร้อยเขาคำนวณแล้วว่าเงินอาจจะไม่พอ!
ขณะที่ฟางเจิ้งกำลังขลาดกลัวอยู่นั้น…
“ติ๊ง! ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ระบบจะมอบวัตถุดิบให้ด้วย ให้สูตรลับกัลป์วิธีทำโจ๊กเจ็ดสิ่งเลอค่าห้ารสชาติให้ด้วย วัตถุดิบทั้งหมดคัดสรรใต้ภูเขาคุณหลุน ปลูกโดยพระอรหันต์! ดังนั้นนายไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องวัตถุดิบโจ๊กล่าปา ที่นายควรกังวลคือวันนั้นจะมีคนมารึเปล่าเถอะ”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็แทบจะร้องไห้ กล่าวในใจ “ระบบ มีน้ำใจจริงๆ! รอฉันสึกก่อนจะให้ผู้หญิงนายสักคน!”
ระบบ “@+#…”
มีระบบหนุนหลังแล้วฟางเจิ้งจะกลัวอะไรอีก พลันร่ำรวยขึ้นมาในฉับพลัน แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ยังคงทำท่าทีสูงส่งและลึกลับ ยิ้มตอบ “โยมไม่ต้องกังวล อาตมามีวิธี”
“เอ่อ จริงหรือเล่นเนี่ย?! ได้! ฉันสนับสนุนท่าน! แต่ว่าฉันคนเดียวไม่มีทางไหว กลับไปแล้วเดี๋ยวจะเรียกหยางผิงกับเมียมาช่วย คอยดูนะถ้าใครว่างจะลากมาให้หมดเลย!” หยางหวาเห็นว่าฟางเจิ้งจริงจังจึงตื่นเต้นดีใจใหญ่
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ตรึกตรองในใจ วัตถุดิบอาหารเตรียมพร้อมเรียบร้อย แค่สอนวิธีหุงข้าวแล้วตนก็ว่างไม่ใช่เหรอ? ฟางเจิ้งที่มะเร็งขี้เกียจกำเริบจึงพยักหน้าทันที
แต่ว่า…
“ติ๊ง! นายจะต้องทำพิธีสรงน้ำพระ แจกจ่ายโจ๊กล่าปา นายต้องเป็นคนทำโจ๊กล่าปาเองถึงจะมีความหมาย” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งมองค้อน “พี่ใหญ่ นายรู้ไหมว่าถึงตอนนั้นแล้วจะมีคนมาเท่าไร? ถ้ามากันหลายร้อยคนนายมั่นใจนะว่าจะหุงข้าวไม่ได้ตุ๋นฉัน? ถ้าฉันเหนื่อยตาย นายก็จะตบตูดหนีไป แล้วฉันล่ะ?’
ระบบกล่าวต่อ “ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร นายให้พวกเขาช่วยได้ แต่ฉันขอเตือนนะ โจ๊กล่าปาที่ระบบให้นายไม่ได้แค่ใช้กินอย่างเดียว แต่ยังชะล้างจิตใจคนได้ด้วย ขณะเดียวกันเป็นการจัดระเบียบเส้นเลือดและกำลังวังชา ให้คนหน้าตาสดใส ขจัดโรคภัยแฝงเร้น! ถ้าป่วยก็หายป่วย ไม่ป่วยจะมีภูมิคุ้มกัน! แต่ว่าถ้าให้คนอื่นทำ จะไม่มีผลพวกนี้ ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกนายนะ แต่หวังว่านายจะเห็นสถานการณ์ความจริงตอนนี้ มองจากชื่อเสียงวัดเอกดรรชนีแล้ว วันนั้นคงจะมากันไม่กี่คนจริงๆ”
ฟางเจิ้งคิดแล้วก็น่าจะเป็นแบบนั้น อีกอย่างคนที่มาอาจจะเป็นชาวบ้านตรงตีนเขา ทุกคนมีบุญคุณกับเขา ถ้าไม่ได้กินโจ๊กล่าปาดั้งเดิมสักมื้อก็อาจจะเกินไปหน่อย
…………………………………………..
[1] เทศกาลล่าปา คือวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ในสมัยดึกดําบรรพ์ คําว่า ‘ล่า’ (腊) เป็นชื่อของพิธีกรรมเซ่นไหว้ มาจากคําที่หมายถึงการล่าสัตว์ เนื่องเพราะช่วงท้ายปีพืชผลถูกเก็บเกี่ยวตากแห้งเสร็จเรียบร้อย ผู้คนจึงเข้าป่าไปล่าสัตว์มาบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและเป็นสิริมงคล
[2] โจ๊กล่าปา มีสูตรแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น โดยทั่วไปแล้วมีข้าวเป็นส่วนประกอบหลัก ในค่ำคืนวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 12 แต่ละครอบครัวจะล้างข้าวสาร พุทราแห้ง องุ่นแห้ง ธัญพืชต่างๆ ถึงเที่ยงคืนแล้วค่อยนําส่วนผสมทั้งหมดมาต้มรวมกัน จากนั้นต้มด้วยไฟอ่อนข้ามคืนถึงเช้าตรู่ของวันใหม่ จึงถือว่าทําเสร็จเรียบร้อย
ฟางเจิ้งกล่าว “ในนี้มีเงินอยู่สามล้าน โยมเอาไปสิ จำเอาไว้นะ โยมเอาไปหนึ่งล้าน อาตมาเอาอายุขัยโยมเท่าๆ กัน รวมถึงสุขภาพและสติปัญญาด้วย”
หม่าขุยไม่คาดคิดจริงๆ ว่าหลวงจีนตรงหน้าจะมีเงินขนาดนี้ จะเอาเงินออกมาจริงๆ! จึงยิ้มโดยพลัน คิดในใจว่า ‘เจอกับคนโง่จริงๆ! เงินเป็นรูปธรรม แต่สุขภาพ อายุขัย สติปัญญาเป็นรูปธรรมเหรอ? ฉันเอาเงินไปได้ แต่หลวงจีนนี่จะเอาของนามธรรมแบบนั้นไปได้ยังไง?’
ดังนั้นหม่าขุยจึงหยิบเงินไปปึกหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ พอตรวจดูแล้วก็เป็นเงินสกุลหยวนใหม่ทั้งหมด เป็นของจริงแน่นอน! ความรู้สึกสัมผัสดีจริงๆ! เขาถือเงินหมื่นปึกหนึ่งอย่างมีความสุข
แต่หยิบไปหยิบมาหม่าขุยกลับพบสิ่งที่น่าตื่นกลัว มือเขามีรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมาจำนวนมาก! ผิวหนังที่เดิมทีเต่งตึงเปลี่ยนเป็นหย่อนยาน!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หม่าขุยรีบตรวจดูสองมือตัวเอง ก็รู้ว่าตนแก่ชรา!
หม่าขุยร้องลั่นราวกับเห็นผี “ไต้ซือ นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “โยม อาตมาบอกแล้วไงว่าจะใช้เงินหนึ่งล้านซื้ออายุขัยโยม หนึ่งล้านซื้อสุขภาพโยม แล้วก็หนึ่งล้านซื้อสติปัญญาโยม นี่คือล้านแรกสำหรับซื้ออายุขัยโยม! โยมเพิ่งเอาเงินไปสามแสน หนึ่งหมื่นเท่ากับหนึ่งปี ตอนนี้โยมอายุหกสิบสองแล้ว ยังจะเอาอีกไหม?”
“ผมไม่เชื่อ! บนโลกนี้ใครจะเอาอายุขัยคนอื่นไปได้? ท่านหลอกผม!” หม่าขุยแทบจะบ้าแล้ว เหตุการณ์ตอนนี้น่าตกใจ! น่าเหลือเชื่อราวกับฝันร้าย!
ฟางเจิ้งพลิกมือ มีกระจกเพิ่มมาบานหนึ่ง ก่อนส่งให้หม่าขุย “อาตมาหลอกโยมได้ แต่กระจกหลอกไม่ได้ โยมดูเองสิ”
หม่าขุยรับไปก็ตะลึงค้าง เขาในกระจกมีรอยย่นเต็มหน้า ดูแก่ชราจนไม่มีอะไรเหลือ! เขาทำหน้าหลายแบบก็ตรงตามนั้นหมด นี่คือเขาจริงๆ!
หม่าขุยหยั่งเชิงหยิบเงินไปอีกหมื่น ใบหน้าเขาพลันแก่ลงเล็กน้อยจริงๆ!
หม่าขุยตกใจจนรีบโยนเงินทิ้งไป “ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาหมดนี่แล้ว คืนให้! เอาอายุขัยผมคืนมา!”
ทว่าเขาพบว่าเขาขยับเงินไม่ได้ โยนกลับไปก็ไม่ได้!
ฟางเจิ้งกล่าว “โยม โยมอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ? ไหนว่ายอมใช้ความหนุ่มแลก? คิดว่ามีเงินแล้วจะมีความสุขไม่ใช่หรือไง? ทำไมไม่แลกล่ะ?”
“ท่านมันหลวงจีนปีศาจ…ไม่สิ ท่านมันปีศาจ คืนอายุขัยผมมา! คืนมา! ถึงเงินจะดี แต่อายุขัยสำคัญกว่า ไม่มีเงินก็หาเงินได้! ไม่มีชีวิตจะหาเงินยังไง?” หม่าขุยร้องโวยวาย
ฟางเจิ้งหัวเราะเหอะๆ “ดูท่าโยมจะไม่อยากแลกแล้วถูกไหม?”
หม่าขุยพยักหน้ารัวๆ “ไม่แลกแล้ว ไม่แลกแล้ว!”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตพุทธ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แลก!”
หม่าขุยมองเงินลอยเข้าไปในกล่องตรงหน้าฟางเจิ้ง กล่องปิดลง ก่อนฟางเจิ้งจะโยนหายไปข้างหลัง
ลมหนาวพัดมา หม่าขุยหนาวสั่นถึงพบว่าตนไม่ได้ยืนขึ้น แต่นั่งอยู่กับพื้น ก้นเย็นๆ เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านั่งมาพักหนึ่งแล้ว
เขามองหลวงจีนตรงหน้าอีกครั้ง หม่าขุยหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนอย่างยิ่ง
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “โยม เข้าใจรึยัง?”
หม่าขุยถอนหายใจ ยืนขึ้นโค้งตัวแสดงความเคารพ “คนเราดูที่หน้าตาภายนอกไม่ได้ น้ำทะเลไม่อาจวัดได้จริงๆ ไต้ซือมีกลอุบายที่ร้ายกาจมาก! ผมสำนึกผิดแล้ว จากนี้จะไม่ทำแบบนี้อีก ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะมากครับ!”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย
หม่าขุยขอตัวลาไป แต่ในอุโบสถมีเงินจุดธูปใหม่เอี่ยมปึกหนึ่ง
หมาป่าเดียวดายวิ่งเข้าไปคาบมาวางในมือฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหัวเราะแหะๆ “ดูแล้วน่าจะหนึ่งหมื่น เป็นคนรวยจริงๆ นะ”
พูดจบฟางเจิ้งยืนขึ้น กระรอกเริ่มบังคับอีกครั้ง พาเขาไปข้างหลัง คนหมาป่ากระรอกร่วมมือกันทำอาหารอีกครั้ง
หม่าขุยลงเขาไปแล้ว ขึ้นรถหรูที่ผลิตในประเทศคันหนึ่ง
“เณรเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนบนรถถาม
หม่าขุยตอบ “เทพ! น่าเสียดายตาบอด”
“เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“จริงๆ ฉันหม่าขุยโตมาขนาดนี้ไม่เคยเจอไต้ซือเก่งกาจแบบนี้มาก่อน! พี่ใหญ่ ผมคิดมาตลอดว่าผมรักเงิน ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าไม่ใช่! พี่ใหญ่ หลังกลับไปแล้วพี่หาคนมาขับรถให้พี่เถอะ ผมจะกลับบ้าน…เฮ้อ คิดถึงลูกเมีย” หม่าขุยถอนหายใจ
“นายคิดอย่างนี้ได้ก็แปลว่าเขามีความสามารถจริงๆ ส่วนคนขับรถ ถ้าไม่มีคนขับ ฉันขับเองไม่ได้รึไง? ให้นายขับรถให้ฉันก็เพราะเห็นว่านายเอ้อระเหยไปมา ช่วยน้องๆ ดูนายก็เท่านั้น! คนประหยัดอย่างนายเนี่ยเอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ…” ชายคนนั้นกล่าว
หม่าขุยแบะปาก เหยียบคันเร่งเดินหน้าไป
แต่ทางด้านฟางเจิ้ง…
“แค่กๆ…”
จี๊ดๆๆ…
โฮ่ง…
ฟางเจิ้งไอสำลักควันติดต่อกันหลายครั้ง กระรอกตรงหัวก็กลายเป็นกระรอกแก่ ตัวดำทั้งตัว…
หมาป่าเดียวดายเต็มไปด้วยฝุ่น เอาหัวมุดไปในกองหิมะบิดไปมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าฉุนไปจนถึงดวงตา
“ระบบ นายจะกวนให้ฉันหิวตายใช่ไหม!” ฟางเจิ้งกล่าวในใจ…ครั้งนี้หมาป่าเดียวดายหาฟืนมาชื้นเกินไป พอติดไฟแล้วควันท่วม คน หมาป่า กระรอกเลยยอมจำนน
“ผู้เชี่ยวชาญพวกนายเคยบอกว่า คนไม่กินข้าวสามวันไม่ตาย นายจะได้ลดความอ้วนพอดีเลย” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งมองค้อน อยากจะด่า! นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว! ไม่กินข้าวสามวันไม่ตาย? ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนบอก ไหนออกมาสิ เขารับรองว่าจะไม่ทุบมันให้ตาย!
ตอนนี้เองมือถือฟางเจิ้งดังขึ้น
“หืม? มีคนโทรหาฉันเหรอ? ปาฏิหาริย์” ฟางเจิ้งหยิบมือถือขึ้นมาอย่างประหลาดใจ แต่มองไม่เห็นเลยกดรับเลย
รับสาย!
“สวัสดีคุณลูกค้าที่เคารพ จากโชว์รูมรถพอร์เชอในเมืองเฮยซาน ที่ปรึกษาเรื่องรถของท่านเสี่ยวหรง โชว์รูมพวกเราเพิ่งมีรถพอร์เชอมาใหม่ 991 คัน ราคาตลอดอยู่ที่ 2.45 ล้าน ถ้าจองวันนี้ ท่านใช้เงินแค่2.40 ล้านก็จะได้ขับรถที่ท่านรัก”
“แค่กๆ เดี๋ยว โยมรู้เบอร์มือถืออาตมาได้ยังไง?” ฟางเจิ้งได้ยินว่าขายรถก็งงเล็กน้อย เขาเป็นหลวงจีน วันๆ อยู่บนเขา ขึ้นลงต้องขับรถด้วยเหรอ? ตลก อีกอย่างเขาแปลกใจมาก มีคนรู้เบอร์มือถือเขาน้อยมาก ต่อให้เป็นพวกฟางอวิ๋นจิ้งก็ยังไม่รู้ พวกเธอติดต่อกับเขาทางวีแชตเท่านั้น
“เอ่อ…ลูกค้าเก่าแนะนำมาค่ะ” อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองค้อน เด็กนี่โกหกไม่มีฝีมือเอาซะเลย ลูกค้าเก่าแนะนำมา? คนที่เขารู้จักยากจนถึงขั้นซื้อรถจักรยานยังต้องผ่อน แล้วจะมีปัญญาซื้อพอร์เชอ? ฟางเจิ้งรู้ว่าอาจจะเป็นเพราะเงินห้าแสน ส่วนข่าวรั่วไปได้ยังไงเขาก็ขี้คร้านจะถาม ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ตอบกลับด้วยความโมโหและเคร่งขรึม “โยมดูถูกอาตมาหรือ? คิดว่าอาตมาขาดเงินส่วนลดห้าแสนตรงนั้นรึไง? ขอบล็อกล่ะ ไม่อธิบาย วางสายแล้ว!”
ฟางเจิ้งพูดจบก็วางสาย ตลก เขาขาดเงิน 2.4 ล้านต่างหาก!
พนักงานขายอีกฝั่งตะลึงงัน มองข้อมูลในมือแล้วก็มองเบอร์มือถืออีกรอบ ก่อนพึมพำราวกับเห็นผี “หลวงจีนหนุ่มนี่มีเงินขนาดนั้นเลย?”
………………………
“พี่ใหญ่ พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว ไม่เล่นแล้วไม่ได้เหรอ? นายบอกทีว่าเจ็บไหม!” ฟางเจิ้งกล่าว
“ไม่เจ็บ!” ระบบตอบ
“เร็วไหม!” ฟางเจิ้งถามอย่างเด็ดขาด
“เร็วมาก” ระบบตอบ
“แล้วจะรออะไรล่ะ? ยกระดับ!” ฟางเจิ้งเอ่ย
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายยกระดับเนตรสวรรค์เป็นระดับสอง สามารถมองเห็นโชคภัยในหนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งคน!”
“เดี๋ยวๆๆ…นายอย่าเพิ่งพูด ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะ!” ฟางเจิ้งพลันร้องขึ้น
“นายมีกายเนื้อธรรมดา ยกระดับเนตรสวรรค์ง่าย แต่ก็ต้องหล่อหลอมกับเนตรสวรรค์ ต้องใช้เวลาสามวัน! ในสามวันนี้นายจะมองไม่เห็นอะไรเลย!” ระบบพูดขึ้นด้วยความกังวล
“ฉัน…” ฟางเจิ้งอยากจะด่าออกไปตามจิตใต้สำนึก แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ อยู่กับระบบมานานเลยเปลี่ยนคำพูดติดปากไปโดยไม่รู้ตัว เขาชี้ขึ้นฟ้าพลางพูดด้วยความโกรธ “ฉันไม่เห็นอะไรเลย แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงเนี่ย? จะหุงข้าวยังไง? จะกวาดอุโบสถยังไง?”
“นี่เป็นปัญหาจริงๆ” ระบบกล่าว
“เป็นปัญหาหนักมากด้วย” ฟางเจิ้งเสริม
“ดังนั้นนายต้องคิดให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นจะหิวแย่ อืม หิวสามวันยังไม่ตาย นายดื่มน้ำเยอะหน่อยได้” จากนั้นระบบก็หายไป
ฟางเจิ้งเหม่ออยู่กับที่ ตะโกนด้วยความโมโห “นี่คือคำแนะนำที่นายให้ฉันเหรอ? นายยังเป็นคนอยู่ไหม? เอ่อ…นายไม่ใช่คนจริงๆ เหรอ!”
ครืน!
“ฉันไม่ได้ด่าสักหน่อย นี่คือความจริง! หรือว่านายเป็นคน?” ฟางเจิ้งพลันเกิดคำถาม จึงเงยหน้ามองฟ้า
ไม่มีฟ้าผ่าลงมา ฟางเจิ้งลูบคางพลางหรี่ตาลงตรึกตรอง น่าเสียดายดวงตามืดบอด มองไม่เห็นอะไรเลย
เอาเถอะ มองไม่เห็นก็มองไม่เห็น ถึงยังไงวัดก็ใหญ่ขนาดนี้ เขาจะเดินหลงออกจากวัดไปได้ยังไง?
ปัง!
เฮ้ย ทำไมประตูอยู่ใกล้ขนาดนี้?
ตึง!
‘อะไรน่ะ? เอ่อเหมือนกับหมา…หืม? หมาป่าเดียวดายมา!’
หลายนาทีต่อมา หมาป่าตัวใหญ่สีเงินก้มหน้าคอตกอยู่ข้างหน้า หางถูกหลวงจีนหัวโล้นข้างหลังจับเอาไว้ หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าเริ่มทำความคุ้นชินกับระยะทางไปห้องครัว แน่นอนว่าเพื่อของกิน ต่อให้หมาป่าเดียวดายไม่ยินยอมยังไงก็ต้องอดทน
กระรอกก็ไม่ว่าง ทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ตักข้าวใส่กระบวยกับน้ำไม่ใช่ปัญหา
เป็นแบบนี้ไป ฟางเจิ้งเปิดฝาหม้อ กระรอกใส่ข้าว ฟางเจิ้งเติมน้ำ จากนั้นใช้นิ้ววัดระดับน้ำ หมาป่าเดียวดายก็เติมฟืนในเตา ฟางเจิ้งพยักหน้า…
คนหมาป่ากระรอกร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ!
เสร็จแล้วแปะมือกันฉลอง!
จากนั้นหุงข้าวจนเหลว…
จ๊อกๆๆ…
โฮ่งๆ…
“เงียบ! นายยังมีหน้ามาบอกว่าหิวอีกนะ? นายเป็นคนจุดไฟใช่ไหม? ฉันให้นายใช้หญ้ากองหนึ่ง แต่นายดันยัดกองใหญ่เข้าไป! หิวไปเถอะ!” ฟางเจิ้งตะคอก
“จี๊ดๆๆ!” กระรอกก็กระโดดเหมือนกัน ต่อว่าพลางลูบหนังท้อง แอบหยิบผลไม้เปลือกแข็งออกมาแทะกิน
จ๊อกๆ…
ฟางเจิ้งลูบท้องแล้วดื่มน้ำ ก่อนไปเข้านอน!
วันที่สองฟ้าสางรึยังฟางเจิ้งไม่รู้ แต่กระรอกมานอนเกาบนหน้าปลุกเขา พอตื่นมาก็ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ จึงถอนหายใจ “หมาป่าเดียวดาย เมื่อวานนายจุดฟืน วันนี้ไปเก็บฟืนมา ถ้าฟืนไม่พอก็หิวไป”
หมาป่าเดียวดายได้ยินแบบนั้นก็วิ่งออกไปทันที สำหรับมันแล้วความหิวเหมือนเป็นเรื่องที่เคยประสบมาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว แม้หมาป่าจะทนหิวได้ แต่มันที่ชินกับการกินข้าว วันนี้จึงหิวจริงๆ!
ตอนที่ฟางเจิ้งหิวจนเซอยู่กับที่ไปรอบๆ นั้น มีคนมา
“มีคนไหม?” เสียงผู้ชายดังแว่วมา ฟางเจิ้งตบบ่ากระรอกให้มันไปนำทาง
ความจริงเขาจัดการของในลานทุกวัน วัดใหญ่ขนาดนี้เลยจำได้ขึ้นใจนานแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ตาบอด ในใจก็ไม่มีแผนผัง กระรอกนั่งยองบนบ่าเขา ถ้าเดินเอียงก็จะดึงใบหู ถ้าดึงไปข้างหน้าจะเลี้ยวซ้าย ดึงข้างหลังเลี้ยวขวา!
ดังนั้นในที่สุดฟางเจิ้งก็ออกมาจากหลังลาน มาที่ข้างหน้า ประนมสองมือ “อมิตพุทธ โยมมีเรื่องอะไรหรือ?”
“ไต้ซือ ท่าน…” คนที่มาเป็นชายร่างกำยำซื่อๆ เห็นฟางเจิ้งดวงตากลมโตแต่กลับไม่มีประกายวาว แถมยังประนมสองมือกับอากาศ จึงรู้สึกว่าพึ่งพาไม่ได้อยู่เล็กน้อย
ฟางเจิ้งได้ยินเสียงก็รู้ว่าพบปัญหาเรื่องทิศทาง แต่เขาไม่รีบร้อน หมุนตัวกลับมา “สองวันมานี้อาตมามองไม่เห็น โยมมีเรื่องอะไรหรือ?”
“มองไม่เห็นมาสองวัน? มองไม่เห็นยังนับเป็นวันได้ด้วย?” ชายร่างกำยำอึ้งตาค้าง หลวงจีนนี่เล่นอะไรกับเขา?
แต่ชายร่างกำยำก็ยังอดกลั้นไว้ เกาหัวกล่าว “ไต้ซือ คือหม่าเจวียนแนะนำผมมา เธอบอกว่าท่านเก่งกาจมาก เอ่อ ท่านช่วยไขข้อสงสัยให้ผมได้รึเปล่า?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “โยมลองพูดมาเถอะ ถ้าอาตมาช่วยได้ก็จะช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ โยมก็ไปเสีย”
ชายร่างกำยำเห็นฟางเจิ้งไม่รับปากจึงพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนหมุนตัวมองก็ไม่เจอที่ที่นั่งได้ “ไต้ซือ พวกเรานั่งคุยกันได้ไหมครับ?”
ฟางเจิ้งนั่งลงกับพื้น “โยมเชิญ”
เขาไม่อยากเดินจริงๆ ถูกกระรอกดึงจนเจ็บหูแล้ว!
ชายร่างกำยำก็ทึ่มเหมือนกัน หัวเราะแห้งๆ แล้วนั่งลง แม้จะหนาวอยู่บ้าง แต่ก็ทนไหว…
ชายกำยำ “ผมหม่าขุย เป็นคนเมืองชุน ทำงานเป็นคนขับรถแท็กซี่ ไม่มีอะไรเลย ถูกลดเงินเดือน รู้สึกว่าชีวิตหลงทางไปหมด เสียความมั่นใจไป เฮ้อ…”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “โยมมีความสุขอยู่กับตัวแต่ไม่รู้”
หม่าขุยไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งถาม “ปีนี้โยมอายุเท่าไรแล้ว?”
“สามสิบสองครับ” หม่าขุยตอบ
“โยมยังหนุ่ม ยังมีเวลาอีกมากที่จะใช้ฟันฝ่า แต่บางคนแม้จะหนุ่มเหมือนกัน แต่กลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขา โยมคิดว่ามีความสุขกว่าเขาไหม?” ฟางเจิ้งถาม
หม่าขุยดวงตาเปล่งประกาย “ไต้ซือ ที่ท่านพูดน่ะคือคนติดคุกนะ มันเทียบกันไม่ได้เลย”
ฟางเจิ้งแทบจะตบอีกฝ่ายให้ตายคามือ หรือว่าเจ้าบื่อนี่ไม่รู้ว่าเขากำลังถากถาง?
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก สงบจิตใจลง “อย่างเช่นอาตมาให้เงินโยมหนึ่งล้าน ซื้อสุขภาพโยม ให้หนึ่งล้านซื้อความหนุ่มของโยม ให้หนึ่งล้านซื้อสติปัญญาของโยม โยมยอมไหม? ยอมรับความสำเร็จแบบนี้ไหม?”
ฟางเจิ้งยิ้มเยาะในใจ ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมแลก’
ทว่า…
“ผมเอา! ผมแลก!” หม่าขุยตอบกลับทันที
ฟางเจิ้งอึ้งงัน เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย! ทว่าเขาก็ไม่โกรธ แต่ยิ้มน้อยๆ “โยมมั่นใจนะ?”
“มั่นใจ!” หม่าขุยจ้องฟางเจิ้ง แม้เขาจะรู้ว่าฟางเจิ้งกำลังพูดมั่วซั่ว แต่เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดยังไงต่อไป! เดิมทีคิดว่าเป็นไต้ซือ แต่กลับพูดอะไรที่มันไร้สาระแบบนี้ เขาไม่ชอบเอามากๆ! ดังนั้นเลยให้คำถามยากกับฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “ได้ตามที่โยมต้องการ อมิตพุทธ!”
หม่าขุยงงงวย เห็นฟางเจิ้งหยิบกล่องออกมาจากข้างหลังใบหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินทั้งหมด!
……………………
ฟางเจิ้งตบหัวหมาป่าเดียวดายพลางหัวเราะ “ก็ว่าใครมาขโมยข้าวอาตมา ที่แท้ก็เจ้าตัวน้อยนี่เอง”
กระรอกได้ยินดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง จ้องฟางเจิ้ง “นายพูดได้เหรอ?”
ฟางเจิ้งพลันถูกคำพูดกระแทกรัวๆ เขาพูดได้เหรอ? แล้วเขาพูดไม่ได้ตั้งเมื่อไรกัน?
ฟางเจิ้งกล่าว “แน่นอนว่าอาตมาพูดได้ กระรอกก็มีภาษาของกระรอก หมาป่าก็มีภาษาของหมาป่า คนก็มีภาษาของคน ทุกชีวิตต่างมีภาษาตัวเอง มีเพียงบางคนที่ไม่เข้าใจเท่านั้น เจ้าตัวน้อย นายขโมยข้าวอาตมาใช้ไม่ได้เลยจริงไหม? หรือนายไม่มีอาหารพอสำหรับผ่านฤดูหนาว?”
“ข้าวของนายอะไร? ฉันเก็บมาจากตรงนั้นต่างหาก ส่วนอาหารที่กักตุนไว้ฉันทิ้งไปแล้ว ผลไม้เปลือกแข็งพวกนั้นอร่อยสู้ข้าวนี่ไม่ได้เลย” กระรอกกล่าวอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งถูกกระรอกเจ้าเล่ห์หยอกล้อ เจ้านี่พูดมีเหตุผล หน้าอกเล็กๆ ยืดขึ้นสูง ทว่าดวงตากลับกลอกไปมา เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ช่างเถอะ นายอย่าขโมยอีก ถ้าหิวก็มากินกับฉัน”
เจ้ากระรอกงุนงง ก่อนถามด้วยความระแวง “นายพูดจริงเหรอ?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือโดยจิตใต้สำนึก “อมิตพุทธ จริงแน่นอน ข้าวแค่นิดหน่อยอาตมาไม่เสียดายหรอก แต่ว่านายห้ามขโมยไปเก็บไว้ อยากกินเมื่อไรก็กินเข้าใจไหม?”
เจ้ากระรอกส่ายหางอันใหญ่พลางเกาหัว “ถ้าอย่างนั้น…ฉันกินเท่าไรก็ได้เลยเหรอ?”
“จนอิ่มเลย” ตอนนี้ฟางเจิ้งมีข้าวผลึกร้อยจิน มากพอให้เขาผ่านฤดูหนาวแล้ว การเลี้ยงกระรอกน้อยตัวหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เจ้าตัวน้อยดีใจใหญ่ กระโดดตีลังกาอยู่กับที่ “ดีๆๆ…ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อนายให้ฉันกิน พวกนายช่วยหลีกทางได้ไหม?”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน จากนั้นส่ายหน้า รู้สึกว่าเจ้าตัวนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ยังคิดจะใช้ลูกไม้ให้ฟางเจิ้งหลบ ก่อนอาศัยจังหวะหนีไป
แต่ฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากให้มันจริงๆ จึงเดินกลับไปนอนในห้อง
ส่วนหมาป่าเดียวดายไม่ต้องรับผิดแทนแล้ว ฟางเจิ้งให้กระรอกกินแล้วมันจะพูดอะไรได้? จึงสะบัดหางวิ่งออกไป เข้าไปในป่าข้างหลังภูเขา
หลายวันต่อมากระรอกมาทุกวัน ทว่าไม่ได้มาตอนกินข้าว แต่รอฟางเจิ้งออกไปแล้วถึงมากิน เห็นฟางเจิ้งไม่สนใจมันจริงๆ เจ้านี่ถึงเริ่มกล้ามากขึ้น
โดยเฉพาะช่วงหลายวันมานี้ ตอนฟางเจิ้งกินข้าวก็มักจะเห็นเงากระรอกบ่อยๆ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมากระรอกไว้ใจฟางเจิ้งมากขึ้น มันเริ่มเข้ามาใกล้ตอนฟางเจิ้งกินข้าว ซึ่งกลิ่นหอมกว่าข้าวที่ยังไม่สุกอีก จนในที่สุดมันก็ทนความตะกละไม่ไหว ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นเลยยิ้มน้อยๆ ตักข้าวผลึกมาปั้นเป็นก้อนเล็กแล้ววางไว้บนโต๊ะ กระรอกเห็นจึงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
“เอาไปกินสิ” ฟางเจิ้งกล่าว
กระรอกมองหมาป่าเดียวดายด้วยความระแวงอีกแวบหนึ่ง แต่หมาป่าเดียวดายกลับขี้เกียจจะสนใจมัน แต่แลบลิ้นไปทางข้าวก้อนนั้นด้วยมาดว่าถ้านายไม่กินฉันจะจัดการเอง
กระรอกรีบกระโดดขึ้นโต๊ะ อุ้มก้อนข้าวไว้พลางถลึงตามองหมาป่าเดียวดาย ก่อนโค้งตัวลงชิมข้าวผลึก จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็เหมือนกับมอเตอร์ทำงาน ทำการกินข้าวอย่างว่องไว อิ่มจนนอนกับพื้นไม่ยอมขยับตัว
ฟางเจิ้งอาศัยจังหวะนี้บีบหัวเจ้าตัวเล็กพลางพูดยิ้มๆ “นายตะกละชะมัด จากนี้กินน้อยๆ หน่อย กินมากเดี๋ยวจะอิ่มจนช๊อค”
กระรอกน้อยพลันตึงเครียดขึ้นมา แต่ฟางเจิ้งแค่จับมัน ไม่ได้คิดจะทำร้ายจึงผ่อนคลายลง แต่หรี่ตาลงสบายจากการที่ฟางเจิ้งคลึงเคล้า
ตั้งแต่วันนี้ไปฟางเจิ้งกินข้าวไม่เหงาอีก เขากินข้าว หมาป่านั่งกินบนพื้น บนหัวหมาป่าเป็นกระรอกอุ้มก้อนข้าวกินอยู่ กินเสร็จหมาป่าก็เริ่มวิ่งไล่จับกันไปทั่ว ก่อความวุ่นวายกันใหญ่…
แต่ฟางเจิ้งไม่เคยห้าม ตรงกันข้ามเขากลับพอใจกับชีวิตเงียบสงบแบบนี้มาก
เวลาผ่านไปทีละวัน หิมะพลันตกหนักจนขวางเส้นทางขึ้นเขา เลยไม่มีญาติโยมมาอีก ในที่สุดก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ต้อนรับเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ ในที่สุดก็มีเสียงเคาะประตูใหญ่วัดเอกดรรชนี
หม่าหยวนเดินเข้ามาก่อนพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง วัดพี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ! หลิวเซียงท้องแล้ว! ฮ่าๆ…”
“อมิตพุทธ ยินดีด้วยๆ” ฟางเจิ้งดีใจแทนหม่าหยวน เพียงแต่ในใจมีความขมขื่นเล็กน้อย อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาแต่แต่งงานมีลูกแล้ว แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ก็ใกล้แล้ว ตนยังครองโสด อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่คนยังยากจะได้เจอ! มีแต่สัตว์สองตัวแถมยังเป็นตัวผู้อีก! คงจะผ่านช่วงเวลานี้ไปไม่ได้แล้ว…
หม่าหยวนมาแจ้งข่าวดี แถมยังเอาหัวไชเท้า ผักกาดขาว ถั่วมาให้ด้วย ของพวกนี้คือผักที่คนในหมู่บ้านต้องเตรียมไว้ผ่านฤดูหนาว
ฟางเจิ้งขอบคุณหม่าหยวนอีกครั้ง หม่าหยวนเข้าไปจุดธูปชั้นดีด้วยความยึดมั่น จากนั้นอยากเชิญฟางเจิ้งลงเขาไปดื่มสุรา แต่ฟางเจิ้งลงเขาไม่ได้จึงปฏิเสธ พอส่งหม่าหยวนแล้วบนเขาก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง…
“เฮ้อ…” ฟางเจิ้งมองวัดกว้างโล่งและยอดเขา ก่อนปิดประตูใหญ่ด้วยความเบื่อหน่าย แล้วกลับไปเล่นอินเทอร์เน็ต
พอว่างๆ ฟางเจิ้งจึงเข้าเว็บท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก ลงทะเบียน จากนั้นลงรูปภาพวัดที่ตนถ่ายไปแบบส่งๆ และยังมีรูปภาพตัวเอง รวมถึงจุดเช็คอินก็ลงไปด้วย เขารู้ว่าเมื่อเทียบกับแม่น้ำภูเขาในมาตุภูมิกับเขตท่องเที่ยวใหญ่ๆ พวกนั้นแล้ว ภูเขาเอกดรรชนีเล็กจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง และไม่ได้ทำอะไรอีกด้วย เขาเขียนโฆษณาไม่เป็นเลยทำได้แค่ใช้วิธีเขียนไปคร่าวๆ จากนั้นส่งไป ส่วนจะมีประโยชน์ไหม เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว
ผ่านไปหลายวันฟางเจิ้งเข้าอินเทอร์เน็ตไปดู แต่ก็มีคุยตอบสามคอมเมนต์ แถมยังมีแต่น้ำเล่าถึงประสบการณ์
ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่เอาแล้ว
เขามองเงินในมือพลางเริ่มวางแผนอนาคต วัดเอกดรรชนีเล็กเกินไปจะต้องขยายวัด! แต่ว่าค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ การสร้างวัดใช้วัสดุที่ละเอียดมาก อีกทั้งต้องส่งวัสดุจากตีนเขาขึ้นมา แถมใช้ได้แต่แรงคน เครื่องจักรขึ้นมาไม่ได้ ส่วนเครื่องบิน?
ฟางเจิ้งคำนวณเงินอันน้อยนิดแล้วก็ยังไม่พอค่าน้ำมัน…
ใช้คนแบก แรงงานคนก็ต้องใช้เงินมาก พอค้นหาข้อมูลราคาวัสดุมากมายแล้วก็พบว่าเงินเขาไม่พอจริงๆ!
“ช่างเถอะ ซื้อวัสดุดีๆ แล้วเราก็ลงเขาไปแบกขึ้นมาทุกวันก็ได้ ประหยัดได้ก็ประหยัดดีกว่า รอแบกขึ้นมาแล้วค่อยหาช่างมาสร้าง แบบนี้น่าจะสร้างอุโบสถให้วัดได้อีกหลัง” ฟางเจิ้งวางแผนอนาคต
“ระบบ ยกระดับเนตรสวรรค์ต้องใช้เงินเท่าไร?” ฟางเจิ้งถาม
“เงินค่าธูปหนึ่งหมื่น” ระบบตอบ
“ยกระดับเนตรสวรรค์หนึ่งขั้นก่อนแล้วกัน” ฟางเจิ้งเอ่ยต่อทันที
“นายมั่นใจนะว่าจะยกระดับตอนนี้?”
…………………
เฉินจิ้งแทบจะเป็นบ้า ตอนแรกคิดจะรอพวกคนที่มาไหว้พระ ว่าจะอาศัยข้อได้เปรียบจากการวิจารณ์มาบีบฟางเจิ้งให้ยอมจำนน แต่รอมาวันหนึ่งไม่มีใครมาเลย ฟ้าใกล้จะมืดแล้วก็นึกถึงเรื่องราวที่ประสบเมื่อคืนวาน เฉินจิ้งรับไม่ไหวจริงๆ
ท้องร้องดังจ๊อกๆ ไม่เท่าไร เดินเร็วหน่อยก็เจ็บ เหมือนมีแผ่นกระเบื้องกลิ้งไปมาในท้อง
ขยับเจ็บ ไม่ขยับ หิว หนาว!
ดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า เฉินจิ้งรู้สึกแค่ว่าของในท้องเริ่มขยับลงข้างล่าง ทำเอาตกใจจนเกร็งรูทวาร หรือว่าจะคลอดแล้ว?
พอคิดได้ดังนั้นเฉินจิ้งก็แทบจะวิญญาณออกจากร่าง การคลอดเด็กปกติต้องมีผู้ทำคลอดกับการเตรียมพร้อมต่างๆ ในวันหิมะตกแบบนี้ เขาจะคลอดจริงๆ เหรอ…ถ้าหาก…แท้งล่ะจะทำยังไง?
เฉินจิ้งยิ่งคิดยิ่งกลัว…
พอกลัวก็หมดแรงล้มลงนั่งกับพื้น วัตถุในท้องขยับลงมาตลอด มีความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม เฉินจิ้งรู้สึกว่าในความคิดขุ่นมัว ไม่คิดอะไรแล้ว เกิดความรู้สึกอยากระเบิดตัวตาย ไม่เห็นความหวังสักนิด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เฉินจิ้งพลันถอนหายใจ “ช่างเถอะ ตอนแรกไม่มีความแค้นต่อกัน ฉันกลับจะทำลายชื่อเสียงเขา…บางทีนี่คงเป็นกรรมของเรา ทำชั่วก็ได้ชั่ว…คลอดลูก? คลอดก็คลอดเถอะ ยอมรับเวรกรรมที่ทำไว้…” พอคิดได้ดังนั้นเฉินจิ้งกัดฟันลุกขึ้นเตรียมจะลงเขา
ตอนนี้เองมีเสียงสวดดังมาจากในวัด “อมิตพุทธ ประเสริฐๆ โยมหันกลับมา น่ายินดีจริงๆ”
สิ้นเสียงเฉินจิ้งรู้สึกว่าท้องเบาลง ก้มหน้ามองหน้าท้องแบนราบแล้ว!
“นี่…” เฉินจิ้งมองภาพที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อย่างอึ้งๆ ก่อนหันไปมองวัดเอกดรรชนีเล็กๆ พลันรู้สึกว่าวัดเอกดรรชนีสูงมาก สูงใหญ่! น่าเกรงขามอย่างยิ่ง เหนือกว่าวัดทุกแห่งหน!
เฉินจิ้งหันไปมองก่อนโค้งตัวคารวะวัดเอกดรรชนีสามครั้ง “ขอบคุณมากครับ ไต้ซือ!”
พูดแค่ขอบคุณ แต่ไม่ได้บอกว่าขอบคุณอะไร แต่เฉินจิ้งกับฟางเจิ้งเข้าใจความหมายของกันและกัน สองคนต่างยิ้มพร้อมกัน
ฟางเจิ้งมองตนเองที่บุญกุศลเพิ่มมาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่พอใจมีอย่างเดียวคือเหตุผลของเฉินจิ้งอยู่ที่ตัวเขาเอง ดังนั้นเลยไม่มีโอกาสจับรางวัล
เฉินจิ้งบินสูงและตกต่ำลงจึงมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าของที่เสียไปไม่มีทางเอากลับมาได้ อีกทั้งไปไกลและอยู่สูงมากกว่าเดิมด้วย!
ทว่าปัญหาของเฉินจิ้งยังไม่จบลง เพิ่งกลับบ้านพ่อแม่ก็มาหา ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็จะบังคับให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลให้ได้…
จากนั้นนักข่าวที่มา หมอซุน ผู้เชี่ยวชาญอู๋ ผู้อำนวยการจ้าวเป็นต้นตาค้างทั้งหมด!
“เด็กล่ะ? แผ่นกระเบื้องล่ะ?” ทุกคนมองภาพอัลตราซาวด์สีอันใหม่ ในความคิดมีแต่เครื่องหมายคำถาม
“พ่อแม่เห็นไหม…ผมบอกแล้วว่าจะมาทำไม? บอกแล้วว่าไม่ได้ท้อง! ผมเป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไง? เครื่องตรวจพวกคุณต่างหากที่เสีย!” พูดจบเฉินจิ้งก็ดึงบิดามารดาไป
หมอซุนมองไปรอบๆ ถังถังไม่อยู่จึงถอนหายใจโล่งอก ไม่ต้องกินเครื่องตรวจแล้ว…
ผู้เชี่ยวชาญอู๋พูดด้วยความโมโห “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หมอซุนมองฟ้า “บางที เครื่องอาจจะเสีย…”
ผู้อำนวยการจ้าวหนีไปนานแล้ว เขาไม่อยากรับผิดชอบไปมากกว่านี้ ส่วนนักข่าวที่มาทำข่าวต่างแยกย้ายกันอย่างผิดหวัง
ผู้อำนวยการจ้าวยังไม่ได้กลับบ้านแต่ตามเฉินจิ้งไป ดึงเฉินจิ้งไปข้างๆ กล่าวเสียงเบา “เมื่อวานตอนดึกคุณไปไหนมา?”
เฉินจิ้งแสร้งไม่รู้เรื่อง “ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น สภาพจิตใจผมไม่ดีน่ะเลยไปดื่มแก้กลุ้ม ทำไมเหรอ?”
“ดื่ม? ดื่มกับหลวงจีนใช่ไหมครับ?” ผู้อำนวยการจ้าวปิ๊งความคิดขึ้นมา
เฉินจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตึงเครียด แทบจะหลุดปากออกไป “คุณรู้ได้ยังไง?” แต่ถึงยังไงเขาเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบากในสังคมมาก่อน จึงเปลี่ยนคำในช่วงเวลาสำคัญได้ “ผู้อำนวยการ ผมจะไปดื่มกับหลวงจีนทำไม? อีกอย่างนะในอำเภอมีหลวงจีนที่ไหน คุณคิดอะไรอยู่กันแน่?”
ผู้อำนวยการจ้าวมองเฉินจิ้งอย่างสงสัย น่าเสียดายเฉินจิ้งไม่แสดงพิรุธทางสีหน้าเลย จึงได้แต่ปล่อยผ่าน
ทว่าผู้อำนวยการจ้าวก็ยังไม่ยอม เขามักรู้สึกว่เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับภูเขาเอกดรรชนี! เขารู้ว่าเฉินจิ้งเกี่ยวข้องยังไงกับภูเขาเอกดรรชนี ก็ไอ้หนูนี่เขียนข่าวสาดโคลนหลวงจีนที่วัดเอกดรรชนีซะเยอะเลย…
“ต้องหาเวลาขึ้นไปดูสักหน่อยว่ามันเป็นที่แบบไหนกันแน่…” ผู้อำนวยการจ้าวพึมพำก่อนกลับเข้าโรงพยาบาล
วันที่สองฟ้าสาง ฟางเจิ้งตื่นนอนแต่เช้า ปัดกวาดอุโบสถ วันใหม่เริ่มอีกครั้ง
ยามว่างเขาจะดูเงินในบัญชี และจะรู้สึกว่าตนใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์
บางทีอาจเป็นผลจากการประลองศิลปะพู่กันจีนหรืออะไรสักอย่าง สองวันนี้เริ่มมีคนมาไหว้พระเยอะขึ้น น่าเสียดายเนื่องจากหน้าหนาว ถนนลื่น คนบนเขาเลยน้อยมาก ปกติจะเป็นวัยหนุ่มแน่น คนที่มาส่วนมากจะขอลูก
เวลาขยับผ่านไปเกือบครึ่งเดือน ฟางเจิ้งมองคะแนนจุดธูปสามสิบดอกอย่างพอใจมาก ตามอัตราความก้าวหน้าแบบนี้ เดาว่าตอนเริ่มฤดูใบไม้ผลิคงใกล้จะสำเร็จภารกิจ! และก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ระบบจะให้รางวัลอะไร
แต่สองวันนี้ฟางเจิ้งกลับไม่สบายใจ สาเหตุก็ธรรมดามาก วัดมีขโมย!
“แปลก! ข้าวผลึกฉันน้อยลงอีกแล้ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? หมาป่าเดียวดาย! มานี่ บอกความจริงมา นายขโมยใช่ไหม?” ฟางเจิ้งจ้องหมาป่าเดียวดาย
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที…
“ไม่ใช่นาย? นอกจากฉันกับนายแล้วในวัดจะมีใครแตะต้องข้าวผลึกได้อีก? สารภาพมาเถอะ พอให้อภัยได้ แต่ถ้ายังปฏิเสธจะจัดการขั้นเด็ดขาด” ฟางเจิ้งกล่าว
หมาป่าเดียวดายเห่าด้วยความคับอกคับใจ
“ไม่ใช่นายจริงๆ เหรอ?”
“โฮ่งๆ…”
“เฮ้ย…แปลกจริงๆ แล้วใครขโมย?” ฟางเจิ้งพึมพำพลางกดหมาป่าเดียวดายข้างโอ่งข้าว “จะให้ภารกิจนาย คอยดูโอ่งข้าวไว้! ถ้าพรุ่งนี้ข้าวยังหาย จะลดข้าวนายลง!”
หมาป่าเดียวดายพยักหน้ารัวๆ ข้าวในบ้านหาย และก็เป็นข้าวของมันด้วย จึงเก็บความโมโหไว้! มันก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้สารเลวตัวไหนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกล้าขโมยข้าวของท่านหมาป่า แถมยังต้องรับผิดแทนอีก!
ตกดึก ฟางเจิ้งกำลังนอนหลับปุ๋ย พลันได้ยินเสียงเห่าของหมาป่าเดียวดายจึงรีบลุกขึ้นตะโกน “จับได้แล้วเหรอ?”
ฟางเจิ้งวิ่งไปจนถึงห้องครัวก็ต้องตะลึงค้าง!
เห็นหมาป่าเดียวดายขวางอยู่ที่ประตู เงยหน้ามองกันสาดด้วยหน้าโมโหและจนปัญญา
ฟางเจิ้งมองกันสาด เห็นบนกันสาดมีกระรอกหางใหญ่ตัวหนึ่งเคี้ยวแก้มตุ่ยๆ นั่งยองอยู่บนคานห้อง กำลังก้มหน้าสบตากับหมาป่าเดียวดาย! อย่ามองว่ามันตัวเล็ก เพราะมันไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย แถมยังวาดกงเล็บเล็กๆ ให้หมาป่าเดียวดายพลางร้องเสียงจี๊ดๆ “เห่าอะไรอยู่ได้? นี่ของฉัน! ข้าวที่ฉันได้มาด้วยความสามารถ ทำไมต้องให้นายล่ะ? เก่งจริงก็ขึ้นมาสิ! ขึ้นมาแล้วจะให้!”
หมาป่าเดียวดายเห่าเสียงดัง “ไอ้ชั่ว ขโมยของฉัน ลงมาสิ คอยดูว่าฉันจะกินแกไหม!”
เจ้าสองตัวนี้โต้ตอบกัน แต่ว่าภาษาต่างกันทั้งหมด ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว เจ้าสองตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวกันเลยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แค่เห่าไปมั่วๆ เท่านั้น
……………
โดยเฉพาะวันนี้เที่ยงคืน เขาได้รับข้อความจากเบอร์แปลก ‘ใครทำอะไรสวรรค์มองอยู่ตลอด กฏแห่งกรรมชัดเจน นายจะหลบไปได้จนถึงเมื่อไร?’
เฉินจิ้งนึกถึงหลี่เฟิ่งเซียนจึงส่งข้อความกลับ แต่ก็เงียบหายไป ทว่าเขารู้สึกบางอย่างว่าหลี่เฟิ่งเซียนเป็นคนส่งให้เขา! จากนั้นอีกสักครู่ก็ติดต่อไป พอนึกถึงเณรที่จับหมาป่าด้วยมือเดียวในวัดเอกดรรชนีแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าปัญหาอยู่ที่วัดเอกดรรชนี
ดังนั้นเฉินจิ้งจึงมา
ขึ้นเขากลางดึกไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่พอมองท้องที่นูนขึ้นเรื่อยๆ เฉินจิ้งจึงกัดฟันปีนต่อไป
คืนนี้ฟางเจิ้งไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในสังคม ไม่รู้ว่าใต้ภูเขาเกิดอะไรขึ้น รู้สึกแค่ว่าอภินิหารนี่ไม่มีประโยชน์! หลังใช้ไปแล้วไม่มีแสงทองสว่างวาบหรือมีมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้า กระทั่งใช้สำเร็จหรือไม่ยังไม่มีการแจ้งผล
คิดไปคิดมาก็นอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมานั่งใต้ต้นโพธิ์ เหม่อมองดวงจันทร์บนฟ้า ดวงจันทร์สีขาวสาดแสงเรืองรองสีเงิน ผ่านใบไม้เขียวของต้นโพธิ์ลงบนตัวฟางเจิ้งเป็นจุดๆ ทำให้ตัวเขามีเอกลักษณ์คราบละอองเพิ่มมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งกำลังเหม่อก็ได้ยินเสียงดังก๊อกๆๆ ประตูใหญ่ถูกเคาะเสียงดัง
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ดึกดื่นป่านนี้ใครมาเคาะประตู? หรือว่าจะเป็นผี?
ถ้าปกติเขาจะกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่กลัว! ระบบพระพุทธองค์อยู่กับเขา ในอุโบสถก็มีพระพุทธรูป ผีต่ำช้าที่ไหนจะมาพาลเกเรที่นี่ได้?
ขณะฟางเจิ้งกำลังสงสัยก็มีเสียงอ่อนแรงดังแว่วมา “ไต้ซือ ไต้ซือ ไต้ซือ…เปิดประตูหน่อย….”
แอ๊ด!
ฟางเจิ้งเปิดประตู ไม่มีใคร!
ฟางเจิ้งนึกถึงเสียงลอยล่องเมื่อครู่พลันสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด ขนแทบจะลุกชูชัน หรือว่ามีผีจริงๆ?
ตอนนี้เองขากางเกงฟางเจิ้งตึง!
“อ๊าก!” ฟางเจิ้งตกใจจนยกเท้าถีบไป!
โครม!
“โอ๊ย!” เสียงน่าเวทนาดังแว่วมา ฟางเจิ้งก้มหน้ามองก็เห็นคนถูกถีบลอยไป กระเด็นเข้าไปในกองหิมะที่เขาเพิ่งกวาดรวมไว้
“หืม…คนนี่!” ฟางเจิ้งตบหน้าผาก ก่อนรีบวิ่งเข้าไปดึงคนขึ้นมา!
หลายนาทีต่อมา ในห้องหลังวัด ข้างเตาไฟ เฉินจิ้งอุ้มท้องใหญ่บนม้านั่งที่มีอยู่ตัวเดียว ตรงมุมปากมีรอยเลือดสีแดง ร้องโอดครวญไม่หยุด…
ฟางเจิ้งนั่งบนหินข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไต้ซือ เอ่อ…ท่านเป็นคนทำใช่ไหม?” เฉินจิ้งชี้ท้องใหญ่
ฟางเจิ้งไม่พูดอะไร เอาแต่มองเฉินจิ้งนิ่งๆ
เฉินจิ้งเห็นอย่างนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง ร้องไห้ฟูมฟาย “ไต้ซือผมผิดไปแล้ว! ท่านปล่อยผมไปเถอะ…เรื่องท้องผมยังไงก็ได้ แต่ท้องแผ่นกระเบื้องนี่มันยังไง? ฮือๆๆๆ ไต้ซือผมสำนึกผิดแล้ว ท่านให้อภัยผมเถอะ”
ฟางเจิ้งกล่าว “โลกมีเหตุและผล ไม่ใช่ว่าไม่มีกรรม แค่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น โยม สำนึกผิดจริงๆ หรือ?”
“สำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้ว โอ๊ย…เจ็บ ไต้ซือ ท่านให้อภัยผมเถอะ ผมใกล้จะคลอดแล้ว” เฉินจิ้งร้อง
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “รอจนโยมรู้จริงๆ ก่อนว่าผิดตรงไหนแล้วอยากจะปรับปรุงเท่านั้นค่อยว่ากันอีกที”
พูดจบฟางเจิ้งยืนขึ้น โยนเฉินจิ้งไว้นอกประตูใหญ่ ไม่รอให้เฉินจิ้งกล่าวก็ปิดประตูดังปัง!
เฉินจิ้งมองประตูที่ปิดลงพลางกุมท้องโย้ ร้องโอดครวญไม่หยุด เขากังวลแล้ว หลวงจีนนี่รู้ได้ยังไงว่าเขายังไม่สำนึกผิดจริงๆ?
ฟางเจิ้งยิ้มเยาะอยู่หลังประตู “ตอนแรกคิดว่าเจ้านี่รู้แล้วว่าผิดตรงไหน แต่ระบบกลับไม่แจ้งเลยสักนิด คิดจะหลอกฉันเหรอ? เอาเถอะ คลอดลูกเล่นไปแล้วกัน!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปสวดมนต์ที่อุโบสถ
เวลาผ่านไปทีละนาที เฉินจิ้งอยู่ข้างนอกหนาวจนกระโดดไปมา เจ็บท้องจวนจะตายอยู่แล้ว ในความคิดนึกหาวิธีหลอกหลวงจีนนี่ไม่หยุด หลอกเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่คิดไปคิดมาก็หาวิธีไม่ได้…
เห็นวัตถุในท้องไหลลงไปข้างล่างเขาก็เกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ!
แต่จะให้เขาละทิ้งทุกอย่างไปแบบนี้เหรอ? แล้วคนที่เขาสูญเสียไปก่อนหน้าล่ะ? เขาล่ะกลัวจริงๆ
แต่พอนึกถึงอภินิหารที่เสกให้เขาตั้งครรภ์จากระยะไกลได้เขาพลันพบว่าการที่ตนเป็นอริกับอีกฝ่ายช่างน่าหัวเราะ! ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ทำงานอย่างมั่นคง อนาคตสวยงามดั่งผ้าไหม ถ้าจีบจิ่งเหยียนสำเร็จจะก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่เพราะหลวงจีนนี่ทำลายทุกอย่าง ตอนนี้ถ้าคลอดแผ่นกระเบื้องออกมา เดาว่าชีวิตเขาคงพังพินาศ
ทว่าจะให้เขาสำนึกผิด เขากลับไม่คิดว่าตนผิดตรงไหน เขาคิดจะทำร้ายหลวงจีนนี่จริงๆ แต่ปัญหาคือยังทำไม่สำเร็จไม่ใช่เหรอ?
เป็นแบบนี้ไป สำนึกเสียใจพลางไม่ยอมไปพลาง อารมณ์ซับซ้อนวนเวียนในใจ นั่งอยู่คืนหนึ่ง หนาวจนเฉินจิ้งริมฝีปากม่วง สุดท้ายก็ต้องเอาหญ้าใต้หิมะออกมาจุดไฟสร้างความอบอุ่น
แน่นอนว่าฟางเจิ้งย่อมสังเกตเฉินจิ้งนอกประตูทุกฝีก้าว นี่คือวัดเขา ไม่ใช่หอประกอบฌาปนกิจ ถ้าเฉินจิ้งหนาวจนตายไปจริงๆ เขาคงมีปัญหาไม่น้อย อีกอย่างโทษเฉินจิ้งก็ยังไม่ถึงกับตาย…
หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่ตรงประตูใหญ่ ถ้าข้างนอกมีการเคลื่อนไหวมันจะแจ้งฟางเจิ้งเป็นอันดับแรก ฟางเจิ้งเห็นว่าพอดึกแล้วเฉินจิ้งยังไม่หนาวตายก็เคารพพลังชีวิตของอีกฝ่าย
ไม่ว่านอกประตูจะเป็นยังไง ฟางเจิ้งก็ยังกินข้าว ดื่มน้ำ กวาดอุโบสถ…เหมือนว่าข้างนอกไม่มีคน
เฉินจิ้งอยู่นอกประตู ทั้งหิวทั้งหนาวปะปนกันก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือท้องเขาเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!
ทว่าประตูใหญ่ก็ยังไม่เปิดออก ปีนกำแพงไปดูก็ไม่ได้ เฉินจิ้งจึงได้แต่จำใจทุบกระเบื้องตรงประตูพลางร้องเรียก “ไต้ซือ ทำยังไงท่านถึงจะยกโทษให้ผม?”
แต่ไม่มีเสียงคนขานรับ
เฉินจิ้งกัดฟันคุกเข่าหน้าประตู “ไต้ซือ ถ้าท่านไม่ยกโทษให้ผม ผมจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้แหละ!”
ทว่าตอนนี้เองฟางเจิ้งไม่ได้นั่งฌานเหมือนนักบวชเฒ่าอย่างที่เฉินจิ้งคิด แต่นอนหมอบอยู่ตรงซอกประตู กระดกก้นคอยแอบมอง เห็นเฉินจิ้งมาไม้นี้ก็ตกใจสะดุ้ง จากนั้นหัวเราะเฝื่อนๆ ในใจ ‘เจ้านี่ใช้แผนยอมเจ็บตัวก็ถือว่าไหลลื่นใช้ได้ ถ้าเป็นหลวงจีนคนอื่นไม่แน่อาจจะยกโทษให้เขาไปแล้ว น่าเสียดายระบบไม่ส่งเสียงเลย โยมหลอกอาตมาไม่ได้หรอก! ชอบคุกเข่าก็ทำไป คิดออกเมื่อไรค่อยว่ากัน!’
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านพุทธคัมภีร์
เวลาผ่านไปช้าๆ เฉินจิ้งคุกเข่าจนเจ็บหัวเข่าไปหมด คิดในใจว่า ‘ไอ้หลวงจีนบ้า ทำไมใจดำแบบนี้วะ? ฉันทำขนาดนี้แล้ว จะให้ทำถึงขนาดไหน? ดี ฉันจะเล่นกับแกเอง! รอจนคนอื่นๆ มาก่อน พอทุกคนเห็นแบบนี้แล้ว คอยดูซิว่าแกจะอายที่ให้ฉันคุกเข่าแบบนี้ต่อไปไหม! ถึงตอนนั้น หึหึ…’
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
‘เจ็บเข่าจังโว้ย…ทำไมไม่มีคนมาสักที?’
สองชั่วโมงผ่านไป
‘ไม่ไหวแล้ว นั่งสักเดี๋ยว บ้าจริง ทำไมไม่มีคนมาเลย?’
สามชั่วโมงผ่าน
‘พระเจ้า วัดนี่จะเงียบเหงาไปถึงไหนวะ? ไม่ใช่ว่าวันนี้จะไม่มีคนมานะ?’
กลางวัน
‘ไม่มีคนมาจริงๆ เหรอเนี่ย?’
ยามเย็น…
“วัดห่าอะไรวะเนี่ย? ไม่มีใครมาเลย หลวงจีนสารเลวนั่นโตมายังไงเนี่ย? ไม่หิวตายไปแล้วรึไง?!”
……………
“อะไรนะ?!” เฉินจิ้งหยุดร้องไห้ อึ้งอยู่ที่เดิม
หมอซุนไม่รู้จะทำยังไงเลยกระซิบข้างหูเฉินจิ้งอีกรอบ “คุณตั้งครรภ์ ไม่ใช่มะเร็ง ในท้องคุณมีบางอย่างดูไม่เหมือนเด็ก”
“อะไรนะ? ตั้งครรภ์?!” เฉินจิ้งร้องด้วยความตกใจ เสียงดังลั่นกว่าเสียงร้องไห้เมื่อครู่อีก เวลานี้ทุกสายตารอบๆ มองมา! แววตานั้นเต็มไปด้วยความเห็นใจมากกว่ามองผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่มีคนที่มากกว่ายังคิดว่าเจ้านี่เป็นโรคประสาท…
หลายคนอดไม่ไหวแอบหัวเราะ “ผู้ชายตั้งครรภ์? ฮ่าๆ…เป็นไปไม่ได้มั้ง?”
“ฮ่าๆ…”
เสียงหัวเราะรอบๆ ประหนึ่งสายฟ้าฟาด เฉินจิ้งเห็นหมอซุนพยักหน้าก็เหม่อลอย
ถังถังก็งงเหมือนกัน เธออยู่ใกล้เลยได้ยินชัดเจน ขณะเดียวกันยังมองหมอซุนด้วยความฉงน
หมอซุนหยิบภาพอัลตราซาวด์ออกมาอย่างจำใจ “ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่ว่าคุณดูเองเถอะ ผมกังวลมาก ทำไมในท้องคุณถึงมีเจ้านี่อยู่!”
เฉินจิ้งลุกขึ้นมองไป ตาสองข้างมืดมิดหมดสติไป
ถังถังปิดปากพูดขึ้น “หมอคะ มั่นใจนะว่าเครื่องไม่ได้เสียน่ะ?”
หมอซุนได้ยินแบบนั้นก็ร้อนใจ ตอนนี้พอเขาได้ยินคำว่าเครื่องเสียจะรู้สึกโกรธ! เมื่อไม่นานมานี้สองคนนั้นที่เครื่องตรวจว่าไม่ท้อง แต่ดันท้อง เครื่องถูกส่งคืนโรงงานไป ส่วนเขาไปพักผ่อน! เร็วๆ นี้ได้ยินมาอีกว่าเด็กที่เครื่องยืนยันว่าเป็นเนื้องอกในสมองกลับหายเป็นปกติ หมออีกคนก็ไปพักผ่อนเหมือนกัน เครื่องถูกส่งคืนโรงงานเหมือนเดิม
ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้อีก หมอซุนคาดการณ์ว่าเขาคงได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แน่
ดังนั้นหมอซุนจึงรีบพูด “ชู่ว์ๆ อย่าพูดมั่วสิครับ ผมรับประกันว่าครั้งนี้เครื่องไม่ได้เสียแน่!”
“ครั้งนี้? แล้วก่อนหน้านี้เคยเสียเหรอคะ?” ถังถังถามต่อ
หมอซุนอยากจะร้องไห้ จะอธิบายยังไงดี? โรงงานบอกว่าไม่เสีย แถมยังต่อว่าพวกเขายกใหญ่…ดังนั้นหมอซุนจึงส่ายหน้า “เปล่าครับ สรุปคือคุณอย่าถามเลย มันไม่ต่างกันหรอกครับ ไม่เชื่อคุณก็พาเขาไปตรวจโรงพยาบาลอื่นดู”
“ฉันพาเขา? ฉันจะพาเขาไปทำไมล่ะคะ? ไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย เดี๋ยวจะติดต่อครอบครัวเขาให้ บายค่ะ!” ถังถังหมุนตัวเดินไป ผู้ชายท้องเธอไม่แปลกใจ บนโลกนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กคนนี้! พอนึกถึงภาพนั้นก็คลื่นไส้จนโบกมือลาไม่หยุด ราวกับว่าจะสลัดความซวยออกไปให้หมด แต่ว่าถังถังก็ยังติดต่อครอบครัวเฉินจิ้งให้ เมื่อถึงตอนเย็น พ่อแม่เฉินจิ้งรีบมาดูแลเขา
แต่พอเฉินจิ้งตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ทำคือคว้าไปข้างๆ ถาม “หมอ คุณมั่นใจนะว่าไม่ได้หลอกผม? ผมท้องจริงๆ เหรอ?”
“จริงแน่นอนครับ ทำอัลตราซาวด์แล้ว ข้างในมีบางสิ่งจริงๆ มีรก มีสายสะดือ มีทุกอย่าง…ที่แปลกอย่างเดียวคือมันควรจะเป็นเด็กไม่ใช่สิ่งของ อีกอย่างยังเติบโตเร็วมากด้วย…” หมอซุนพูดหมดเปลือกอย่างไม่เกรงกลัว แถมยังเอาผลตรวจอัลตราซาวด์แบบสีให้เฉินจิ้งดู
เฉินจิ้งมองแวบเดียวก็ตาเหลือก หมดสติไปอีกรอบ
“หมอ ถ้าอย่างนั้น…จะทำยังไงดี?” บิดาเฉินจิ้งดึงหมอซุน
หมอซุนตอบ “ยังจะทำอะไรได้ล่ะครับ ไม่ให้คลอดก็ทำแท้ง แต่สมัยนี้ทำแท้งยาก ของในท้องก็แปลกเกินจนไม่รู้ว่าจะเอาออกได้ไหม ผมติดต่อหมอไปหลายท่านเลย แต่ไม่มีใครผ่าตัดให้เขา…”
“กินยาล่ะ?” บิดาเฉินจิ้งถาม
“พวกคุณต้องถามพ่อของเด็ก…เอ่อ แม่…เอ่อ…พ่อแม่ครับ” หมอซุนพลันพบว่าเขาไม่รู้จะเรียกเฉินจิ้งว่ายังไง
รอจนเฉินจิ้งตื่นมาอีกครั้งก็ยังถามแบบเดิม “พ่อ แม่ ผมท้องจริงๆ เหรอ?”
“เด็กดี ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พ่อกับแม่ไม่โทษลูกหรอก บอกแม่มาว่าไอ้สารเลวคนไหนมันทำลูกท้อง ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องรับผิดชอบ” มารดาเฉินจิ้งจับมือเขาไว้ พูดพลางน้ำตาไหลเป็นสาย
เฉินจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ตาเหลือกแทบจะหมดสติไปอีกรอบ รับผิดชอบเขา? ใครทำเขาท้อง? พระเจ้า เขาไม่เคยมีอะไรกับใครเลย! เพิ่งจะจีบสาวมหาวิทยาลัยอย่างยากลำบาก เพิ่งเริ่มก็เป็นแบบนี้…พอนึกถึงถังถังก็เศร้าใจ ครั้งนี้ความรักยังไม่ทันเริ่มก็จบแล้ว! จีบจิ่งเหยียนไม่ติด จีบผู้หญิงธรรมดาๆ ยังไม่ติดด้วยอีกเหรอ? จะผ่านช่วงนี้ไปได้ไหมเนี่ย?
พอนึกถึงลูกในท้อง เฉินจิ้งก็รู้ว่าผ่านช่วงนี้ไปไม่ได้!
เฉินจิ้งได้ยินคำว่าไก่ตุ๋น บำรุงร่างกายก็รู้สึกว่าฟ้าหมุน นี่ท้องจริงๆ เหรอเนี่ย! นึกถึงของในภาพอัลตราซาวด์เขารู้สึกสิ้นหวัง! ผู้ชายท้องไม่ใช่เรื่องแปลก ปีนี้มีคนตั้งใจท้องโดยเฉพาะ สร้างกระแส มีชื่อเสียง ปัญหาคืออีกฝ่ายท้องจริงๆ เป็นเด็ก แต่เขาไม่ได้ท้องเด็ก!
“นี่มันอะไรกัน?” ผู้เชี่ยวชาญที่รีบมาจากในเมืองมองภาพอัลตราซาวด์สีตรงหน้า เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“ผู้เชี่ยวชาญอู๋ เอ่อพวกเราก็ไม่แน่ใจ ดูแล้วมีมุมเหมือนกับกระเบื้องแผ่น หรือว่าจะเป็นนิ่วยักษ์แบบใหม่?” หมอซุนถาม
“แผ่นกระเบื้องเหรอ…แผ่นกระเบื้องบ้านคุณมีสายสะดือด้วยรึไง?” ผู้เชี่ยวชาญอู๋มองค้อนหมอซุนแวบหนึ่ง แต่ดูจากภายนอกก็เหมือนกับแผ่นกระเบื้องจริงๆ
“ลองยาขับเลือดแล้วไม่มีประโยชน์” ผู้อำนวยการจ้าวกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญอู๋พูด “ผ่าตัดก็ยาก แผ่นกระเบื้องนี่…อะแห่ม เด็กแปลกมาก ติดอยู่ที่กระดูกสันหลัง ถ้าผ่าตัดจะเกิดปัญหาเอาง่ายๆ ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคือสังเกตระยะยาว แล้วค่อยหาวิธีอีกที”
“ผู้เชี่ยวชาญครับ ปัญหาคือแผ่น…เอ่อ วันนี้ตอนที่มาเด็กมีขนาดเท่ากำปั้น ตอนนี้ใหญ่เท่าสองกำปั้นแล้ว อีกไม่กี่วันผมว่าน่าจะคลอดแล้ว” หมอซุนกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญอู๋มองผู้อำนวยการจ้าวด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดหมอซุนเลย
ผู้อำนวยการจ้าวเอ่ยอย่างจนปัญญา “หมอซุนไม่ได้โกหก เป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้แปลกมาก…”
ผู้เชี่ยวชาญอู๋ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ทำงานแผนกสูตินรีเวชมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเรื่องแบบนี้! เลยมึนงงอยู่บ้างจริงๆ…
แต่ไม่นานนักพวกเขาก็อึ้งไป เพราะเฉินจิ้งหนีไปในกลางดึก!
เฉินจิ้งออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืน ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
ตอนนี้คนในโรงพยาบาลหากันทุกซอกทุกมุม ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ สื่อไม่น้อยตามมาสืบหา เป็นกรณีแรกระดับประเทศที่ผู้ชายตั้งครรภ์ แถมยังตั้งครรภ์เป็นแผ่นกระเบื้อง!
ตอนนี้เองเฉินจิ้งขับรถไปที่ตีนภูเขาเอกดรรชนี
เฉินจิ้งคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าอาการของตนมากะทันหันเกินไป มันแปลกเกินไป!
หลี่เฟิ่งเซียนหายตัวไป ส่วนเขาตั้งครรภ์ นี่เรื่องบังเอิญหรือ?
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หรือเกิดขึ้นกับคนอื่นเขาจะต้องคิดว่าบังเอิญแน่ แต่นี่เกิดกับตัวเขา เขาต้องหาสาเหตุให้พบ หลายวันมานี้เขาทำทุกอย่างตามขั้นตอน กินดื่มปกติไม่มีปัญหา ถ้าจะมีปัญหาก็ต้องเป็นวัดเอกดรรชนี!
……………
หลี่เฟิ่งเซียนยืนขึ้น โค้งตัวแสดงความเคารพฟางเจิ้ง “ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะ ฉันหาพบแล้ว อีกเดี๋ยวจะลงเขา จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ฉันหลี่เฟิ่งเซียนมีคุณค่าในตัวเอง!”
พูดถึงตรงนี้หลี่เฟิ่งเซียนมีราศีจับ ราวกับเซียนหงส์ในความฝัน!
ฟางเจิ้งมองหลี่เฟิ่งเซียนที่ราศีจับพลางยิ้มอย่างพอใจ เขาพบว่าการช่วยคนมันไม่ได้รู้สึกฟินธรรมดาจริงๆ! ความรู้สึกพอใจแบบนี้เป็นรองแค่การนับเงิน…
“ไต้ซือ พูดจริงๆ นะ ฉันขึ้นเขามาครั้งนี้เพื่อใส่ร้ายท่าน คนที่ชื่อเฉินจิ้งจ้างให้ฉันมาใส่ร้ายท่าน บันทึกวิดีโอส่งให้เขา ส่วนไปใช้ยังไงเขาไม่บอก แต่ฉันคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจ” หลี่เฟิ่งเซียนบอก
ฟางเจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเฉินจิ้งคิดจะใส่ร้ายเขา! และคาดไม่ถึงอีกว่าเจ้านี่จะใช้กลยุทธ์หญิงงาม…ฟางเจิ้งโกรธแล้ว เฉินจิ้งทำเกินไปหน่อยมั้ง! พูดจาไม่เคารพบนเขา หาเรื่องต่างๆ มากมาย ปีนกำแพงวัด ยั่วยุอะไรพวกนี้ยังพอปล่อยวางได้ ลงเขาไปแล้วเขียนข่าวสาดโคลนเขาก็ทนไหว ตอนนี้ยังหาผู้หญิงมาใส่ร้ายเขาอีก!
หลังส่งหลี่เฟิ่งเซียนไปแล้ว ฟางเจิ้งถูจมูก หรี่ตาลง “ระบบ ฉันโกรธแล้ว! ทำไมครั้งนี้นายไม่มาขวางล่ะ”
“ผู้รับทุกเรื่องได้ไม่ได้แปลว่าไม่มีความโกรธ” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งงงงวย จากนั้นยิ้ม “ระบบ ฉันชักชอบนายแล้วสิ”
“น่าเกลียด ฉันไม่นัดเดทกับนายหรอกนะ!” ระบบตอบเล่นๆ เป็นครั้งแรก
ฟางเจิ้งงงไปอีกรอบ…
“ยินดีด้วย ช่วยคนให้เดินบนทางถูกต้อง จับรางวัลไหม?”
“แบบนี้ก็ได้จับเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งงัน เดิมทีคิดว่าอย่างมากสุดก็ได้คะแนนบุญกุศลเล็กน้อยเท่านั้น ถึงยังไงตอนเรื่องซ่งเอ้อโก่วเขาไม่ได้โอกาสจับรางวัล
“ซ่งเอ้อโก่วไม่ใช่คนเลวอะไร นายแค่ชักนำให้เขาเดินบนเส้นทางถูกต้องเท่านั้น แต่หลี่เฟิ่งเซียน ครึ่งก้าวเข้าไปในนรกแล้ว นายดึงเธอกลับมาเท่ากับเป็นคนใหม่ บุญกุศลมากกว่า ดังนั้นเลยมีรางวัล” ระบบตอบ
“แล้วมัวพูดมากอะไรอยู่ล่ะ จับสิ!” ฟางเจิ้งพูด
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับอภินิหารปลุกเสก!”
“อภินิหารปลุกเสก อะไรน่ะ? หรือว่าฉันปลุกเสกสิ่งของธรรมดาให้มีพลังเหนือมนุษย์ได้เหรอ?” ฟางเจิ้งคิดขึ้นตามจิตใต้สำนึก จับผีมาตัดชิ้นส่วน ของที่ไต้ซือปลุกเสกแล้วจะใช้สยบมารปีศาจได้
ระบบตอบ “อภินิหารปลุกเสกจะทำให้นายมีความสามารถบางอย่างของเทพที่บูชาในวัดนายได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้านายบูชาเทพแห่งความมั่งคั่ง นายจะเปลี่ยนดวงชะตาคนคนหนึ่งให้มีโชคลาภเงินทองราบรื่นได้”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที วัดเขาบูชาอะไรก็จะมีความสามารถแบบที่เทพมีได้ และตอนนี้เขาบูชาพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร…
ฟางเจิ้งถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ระบบ ถ้าอย่างนั้นฉัน…ก็ให้ลูกคนอื่นได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ นายจะให้ลูกใครก็ได้ที่นายเคยเห็นเข้ามาในวัด!” ระบบตอบ
“ผู้ชายได้ไหม?” ฟางเจิ้งเกิดสงสัย
“ได้!”
“นอกจากให้ลูกแล้วยังให้อย่างอื่นได้ไหม?”
“ได้!”
“อมิตพุทธ ประเสริฐแท้! ฮ่าๆ…” ฟางเจิ้งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ชี้ท้องฟ้าพลางตะโกนเสียงดัง “ถ้าฉันโกรธรับรองว่าหนักแน่!”
บรู้ว! หมาป่าเดียวดายหอนร่วมด้วย…
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้’ เฉินจิ้งโทรศัพท์ไปสิบกว่าสาย แต่สุดท้ายก็ปิดเครื่องไป
เฉินจิ้งอดไม่ได้ด่าทอออกไป “ไอ้เวรเอ๊ย เธอทำบ้าอะไรเนี่ย? เมื่อวานยังโทรติดอยู่เลย วันนี้ปิดเครื่อง?”
ขณะเดียวกันหลี่เฟิ่งเซียนลงเขามาแล้วก็โยนซิมการ์ดในถุงขยะ จากนั้นซื้อซิมใหม่ ล้างเครื่องสำอางหนาออก หลังแต่งหน้าเบาๆ แล้วก็ขึ้นรถโดยสารทางไกลออกจากอำเภอซงอู่
“เฉินจิ้งนายโทรหาใครน่ะ? แฟนเหรอ?” ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเฉินจิ้งถามหยอกล้อ
เฉินจิ้งมองค้อน “ไม่ใช่ แค่ไอ้คนสารเลวเท่านั้นแหละ อย่าพูดถึงเธอเลย ถังถัง เอ่อ เธอว่าพวกเรา…”
“อ่า เอ่อ พวกเราดื่มก่อนดีกว่า” ผู้หญิงพลันขัดคำพูดเฉินจิ้ง ยกแก้วสุราขึ้น
เฉินจิ้งเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ดื่มเป็นเพื่อน เงยหน้าขึ้นยกซดอึกใหญ่ ตอนนี้เองเฉินจิ้งพ่นสุราใส่หน้าผู้หญิงคนนั้น!
ถังถังกำลังจะโกรธก็เห็นเฉินจิ้งกุมท้องล้มลงกับพื้น ร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนา
ถังถังตกใจสะดุ้ง รีบเรียกรถแท็กซี่พาเฉินจิ้งไปส่งโรงพยาบาล
สิบนาทีต่อมา…
ในห้องฉุกเฉิน เฉินจิ้งไม่เจ็บแล้ว แต่พยาบาลสองคนตาค้าง
“หมอซุน นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันรู้สึกว่าเขา…เหมือนเอ่อ…ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม?” พยาบาลคนหนึ่งพูดด้วยความตึงเครียด
หมอซุนมีสีหน้างงเหมือนกัน ดูผลตรวจอัลตราซาวด์แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ไม่ได้ตาฝาด…นี่มันปาฏิหาริย์จริง”
เฉินจิ้งร้องถาม “หมอ ทำไมเหรอ?”
หมอซุนก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับเฉินจิ้งยังไง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ กล้ามเนื้อหดตัวน่ะ ไปห้องผู้ป่วยก่อนเถอะ”
พูดจบหมอซุนเดินออกจากประตูไป ข้างนอกมีคนมารอแล้ว นั่นคือถังถังที่กินข้าวกับเฉินจิ้งก่อนหน้า
“หมอคะอาการเป็นยังไงบ้าง?” ถังถังถาม
หมอซุนยิ้มแห้ง “เอ่อ…คุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ?”
“เพื่อนค่ะ” ถังถังตอบ
“ให้ครอบครัวเขามาเถอะ อาการคนไข้พิเศษอยู่เล็กน้อย” หมอซุนกล่าว เรื่องนี้เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี เลยเลือกปกปิดความลับไว้
“มะเร็งเหรอคะ?” ถังถังเห็นดังนั้นก็จิตตก หยั่งเชิงถามไปโดยจิตใต้สำนึก
ตอนนี้เองเฉินจิ้งถูกเข็นออกมา ได้ฟังสองคำนี้พอดีก็ตกใจจนแทบจะกลิ้งตกเตียง “มะเร็ง? มะเร็งอะไร? ถังถังพูดให้ชัดซิ!”
ถังถังรีบบอก “อย่าๆๆ…นายอย่าใจร้อน ฉันแค่เดาเอง”
หมอซุนพูดต่อ “ใจเย็นๆ ครับ เธอคาดเดาไปเองจริงๆ คุณไม่ได้เป็นมะเร็ง”
ไม่อธิบายยังพอว่า พออธิบายเฉินจิ้งรู้สึกว่าโลกดำมืด หัวเราะแห้งๆ สองที “เหอะๆ…พวกคุณหลอกผม! รวมหัวกันหลอกผม! กลัวว่าผมรู้ความจริงใช่ไหม? วางใจเถอะ ใจผมแข็งพอ…แข็ง….ฮือๆๆ…ว๊าก…ทำไมฉันถึงเป็นมะเร็ง….อ๊าก…” ยังพูดไม่จบ เฉินจิ้งก็ร้องไห้ฟูมฟาย
ถังถังรีบเข้ามากดเขาไม่ให้ขยับมั่วซั่ว หมอซุนก็อธิบายไม่หยุด แต่เฉินจิ้งไม่เชื่อ! เอาแต่ร้องไม่หยุด “อย่าหลอกผม….ฮือๆๆ ผมเข้าใจ! ฮือๆๆๆ ชีวิตผมจะมีความหมายอะไรอีก ผมจะไม่อยู่ที่นี่ ผมจะออกจากโรงพยาบาล!”
เหตุการณ์ร้องไห้ฟูมฟายดึงดูดความสนใจของผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วยในโรงพยาบาลนับไม่ถ้วน พอได้ยินคำว่ามะเร็งที่เฉินจิ้งตะโกน ทุกคนต่างมองมาด้วยแววตาเห็นใจ
เฉินจิ้งเห็นดังนั้นก็ถูกกระแทกเจ็บหนักกว่าเดิม ร้องไห้เสียใจกว่าเดิม
หมอซุนไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เลยกดเฉินจิ้งแล้วกระซิบข้างหูเขา “คุณไม่ได้เป็นมะเร็ง แต่คุณตั้งครรภ์!”
……………
“ต้นไม้สูงกว่าหญ้า นั่นเพราะมันกระหายแสงตะวัน? ดอกไม้สวยกว่าหญ้า เพราะมันอยากงดงามกว่าเดิม?” หลี่เฟิ่งเซียนตะลึงงัน
ฟางเจิ้งมองหลี่เฟิ่งเซียน ความรู้สึกไม่ดีในตอนแรกหายไปมากกว่าครึ่ง ถามว่า “พ่อแม่โยมเป็นคนตั้งชื่อให้โยมหรือ? อาจารย์อาตมาเป็นคนตั้งชื่อให้ ความจริงแล้วควรจะเรียกว่านามทางธรรมถึงจะถูก แต่อาจารย์อาตมาไม่รู้ว่าพ่อแม่อาตมาชื่อแซ่อะไร ท่านบอกว่าตั้งชื่อแทนพ่อแม่อาตมาไม่ได้เลยเรียกนามทางธรรมมาตลอด ความจริงท่านก็ไม่รู้ว่าอาตมาไม่สนใจว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร ในสายตาอาตมาพระอาจารย์คือพ่อ และก็เป็นแม่เช่นกัน แต่จนถึงตอนที่ท่านจากไป อาตมาก็ไม่มีโอกาสได้บอก…เฮ้อ…”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีความสุขกว่าท่านสิ ฉันมีชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ชื่อเดิมคือหลี่หลินเยวี่ย แต่ฉันคิดว่าดวงจันทร์ในป่า (หลินเยวี่ย) ไม่เหมาะกับฉัน ฉันอยากเป็นหงส์อยากเป็นเซียน (เฟิ่งเซียน) บนฟ้าชั้นเก้า น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ความฝัน…”
“ความฝัน?” ฟางเจิ้งอึ้งไป จากนั้นนึกอะไรออก จึงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าว “โยม ความฝันของโยมคือแค่อยากเป็นเซียนเป็นหงส์ใช่ไหม?”
“ใช่! ถ้ามีโอกาสฉันอยากบินขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นเก้า! ไม่อยากอยู่ในร่างเน่าๆ แบบนี้แล้ว!” หลี่เฟิ่งเซียนกัดฟันพูด นัยน์ตามีความไม่พอใจต่อสภาพในตอนนี้ฉายวาบอยู่ลึกๆ
ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “อาตมาจะให้โชควาสนาโยมเป็นเซียนเป็นหงส์ คิดว่ายังไง?”
“ท่าน? ทำได้เหรอ? อย่าล้อเล่นน่า ไม่ตลกเลยสักนิดนะ” ถึงหลี่เฟิ่งเซียนจะพูดแบบนี้ แต่ใจกลับเต้นระรัว เธอมีความรู้สึกบางอย่าง รู้สึกถึงความหวัง รู้สึกว่าความฝันอาจจะเป็นจริง!
ฟางเจิ้งประนมสองมือก่อนเอ่ย “อมิตาพุทธ!”
โครม!
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกเพียงโลกตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เฟิ่งเซียนตื่นกลัว โดยรอบมืดมิด มองไม่เห็นแสงสว่าง มีแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด พื้นที่ปิด อากาศหายใจน้อย เหมือนจะตายไปได้ทุกเมื่อ
“มีใครอยู่ไหมๆ?” สิ่งที่คนกลัวมากที่สุดคือความไม่รู้! ความมืดมิดรอบๆ เงียบสงัดไร้เสียง ทำให้เธอหวาดกลัวสุดขีด
ตอนนี้เองมีแสงสว่างสายหนึ่งส่องลงมา สว่างจนหลี่เฟิ่งเซียนลืมตาไม่ขึ้น มองเห็นอะไรไม่ชัดไปหมด ก่อนจะได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
ต่อมาเมื่อเธอตื่นขึ้น ก็พบว่าตนกลับกลายเป็นเด็กทารกไปแล้ว!
บิดาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่และเย็นชา มารดาเป็นผู้หญิงสวยและมีเมตตา
ตระกูลหลี่เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองผานหลง ทุกคนในตระกูลหลี่เป็นอัจฉริยะในหมู่คน ทว่าหลี่เฟิ่งเซียนกลับถูกพบว่าที่แท้เธอฝึกฝนไม่ได้! มารดาทุกข์ตรมใจ สุดท้ายลาจากโลกนี้ไป บิดาจึงเอาความโกรธทั้งหมดมาลงที่หลี่เฟิ่งเซียน หลี่เฟิ่งเซียนจึงถูกไล่ออกจากตระกูลหลี่ในท้ายที่สุด
“ข้าหลี่เฟิ่งเซียน นับจากนี้ขอตัดขาดจากตระกูลหลี่ ไม่ขอเกี่ยวดองกันชั่วชีวิต!” หลี่เฟิ่งเซียนพูดจบก็หมุนตัวจากไป
ตอนหลี่เฟิ่งเซียนอายุสิบหกได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ เปิดเผยความลับในตัวเธอเอง ไม่เพียงแค่ฝึกฝนได้แล้ว แต่ยังก้าวกระโดดขึ้นกลายเป็นอัจฉริยะสุดยอดของโลก! หนึ่งปีบรรลุขั้นรากฐาน สิบปีบรรลุขั้นโอสถทองคำ ยี่สิบปีบรรลุขั้นวิญญาณแรกเริ่ม ห้าสิบปีบรรลุขั้นผ่านภัยพิบัติ หนึ่งร้อยปีทะยานขึ้นสูงสุด!
ถึงตอนนี้ปุถุชนจึงเพิ่งรู้ว่าเธอมีกายแท้หงส์เพลิง หากไม่มีเพลิงแห่งหงส์เพลิง จะอาบเพลิงจุติใหม่ได้อย่างไร?
พอทะยานขึ้นฟ้า หลี่เฟิ่งเซียนกลับหยุดฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงตาพร่าเลือน! เธอมีศักยภาพแล้ว มีทุกอย่างแล้ว แต่เธอมักรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
“อมิตาพุทธ สีกาฉงนอะไรหรือ?” ตอนนี้เอง มีนักบวชรูปหนึ่งปรากฏกายอยู่ข้างๆ
“ท่านเองหรือ?” หลี่เฟิ่งเซียนจำได้ในแวบแรก นี่คือนักบวชที่ชี้แนะแนวทางให้เธอ! จึงโค้งตัวคารวะทันที “คารวะไต้ซือ! ขอให้ไต้ซือช่วยชี้แนะด้วย”
“ในใจโยมมีความฉงน รู้สึกขาดอะไรไปหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้า
ฟางเจิ้งชี้ที่แผ่นดินใต้เท้า “ในเมื่อขาดบางอย่างไป เช่นนั้นก็ลงไปหาดูข้างล่าง บางทีอาจจะหาพบก็ได้”
หลี่เฟิ่งเซียนมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย ก่อนมองแผ่นดินกว้างใหญ่ข้างล่าง เธอคิดไม่ออกว่าลงไปเดินแล้วจะหาอะไรพบได้จริง? แต่เธอเชื่อมั่นในฟางเจิ้งจึงลงไปอย่างเชื่อฟัง
ระหว่างที่หลี่เฟิ่งเซียนลงมายังโลกมนุษย์ ก็เดินหน้าไปตลอด และตามหาสิ่งที่ขาดหาย
การเดินครั้งนี้คือพันปี! เธอเดินไปทั่วโลกในหนึ่งพันปี แต่กลับหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ จนกระทั่งวันหนึ่งกลับมาที่เมืองผานหลงอีกครั้ง
เมืองผานหลงในตอนนี้ทรุดโทรมลงแล้ว พังพินาศจากไฟสงคราม หลี่เฟิ่งเซียนมองเมืองที่คุ้นเคยในวันวาน พอเห็นสภาพแบบนี้ก็ถอนหายใจ สุดท้ายจึงเดินเข้าไป
ขณะยืนอยู่หน้าประตูตระกูลหลี่ หลี่เฟิ่งเซียนพบว่าตระกูลหลี่ถูกทำลายไปแล้ว! ตระกูลใหญ่ถูกทำลายไปในช่วงเวลาหนึ่ง เหลือเพียงศาลบรรพบุรุษเท่านั้น…
หลี่เฟิ่งเซียนเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษที่เหมือนจะถล่มลงมา ตอนนี้เอง ป้ายหลุมศพหนึ่งดึงดูดความสนใจ เธอจึงหยิบขึ้นมา ปัดฝุ่นมองแล้วก็พลันอึ้งไป!
นั่นเป็นป้ายหลุมศพของหลี่เฟิ่งเซียนเอง!
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นดังนั้น นัยน์ตาฉายแววเข้าใจ ยิ้มเล็กน้อยแล้ววางป้ายหลุมศพไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวจากไป แสงเรืองรองสายหนึ่งพุ่งลงมา ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว บินขึ้นฟ้าไปโดยพลัน
“อมิตาพุทธ โยมหาสิ่งที่ต้องการเจอแล้วหรือ?” ฟางเจิ้งปรากฏตัวอีกครั้ง
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้าเล็กน้อย “หาเจอแล้ว ข้าเสียครอบครัวไป…ความถูกผิดในตอนนั้นไม่สำคัญแล้ว บ้านในตอนนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ข้าแค่อยากมีครอบครัวของตัวเองก็เท่านั้น”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ประนมสองมือเอ่ย “อมิตาพุทธ!”
โครม!
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกแค่ว่ารอบๆ มืดมิด เธอร้องด้วยความตกใจ เมื่อพลันลืมตาขึ้นก็ตะลึงงัน เธออยู่ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง เณรในชุดคลุมขาวยืนอยู่ตรงหน้า…หลวงจีนนี่ไม่ใช่ไต้ซือที่ชี้แนะแนวทางให้เธอหรอกเหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? หรือว่าตนจะตายไปแล้ว?
ชั่วขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนสงสัย ความทรงจำเธอกลับมา คราวนี้ถึงค่อยเข้าใจแจ่มแจ้งว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน จึงมองฟางเจิ้งราวกับเห็นผี “นะ…นี่ท่านเป็นคนทำเหรอ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “โยม ใครทำไม่สำคัญ ที่สำคัญคือโยมหาอะไรพบ”
หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเงียบงัน
ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่เฟิ่งเซียนถึงถาม “ไต้ซือ ทะ…ท่านรู้ประสบการณ์จริงของฉันได้ยังไง?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่รู้ เป็นใจโยมที่สร้างความฝันของโยมเอง ไม่ใช่อาตมา” ความจริงแล้วตอนที่ฟางเจิ้งเหนี่ยวนำหลี่เฟิ่งเซียนเข้าสู่โลกความฝัน เขาถึงพบว่าในใจหลี่เฟิ่งเซียนมีความคิดหนึ่งที่เด่นชัดมาก ดังนั้นเขาจึงใช้ความคิดนี้เป็นหัวใจหลักทำให้จิตใต้สำนึกของหลี่เฟิ่งเซียนสร้างฝันขึ้นมาเอง! ส่วนฟางเจิ้งแค่รั้งเธอในช่วงเวลาสำคัญ และชี้นำแนวทางให้เท่านั้น
หลี่เฟิ่งเซียนถอนหายใจบอก “ขอโทษค่ะไต้ซือ ฉันเพิ่งหลอกท่านไปอีกแล้ว”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร โยมคิดให้ดีนะว่าหาของที่ขาดหายไปพบแล้ว?”
……………………
ฟางเจิ้งลากรถลากเลื่อนออกมาอีกครั้ง คล้องบนหมาป่าเดียวดายที่ไม่ยินยอมอย่างมาก จากนั้นก็พุ่งทะยาน หมาป่าเดียวดายลากรถเลื่อนวิ่งไป
เมื่อเข้าสู่กลางดึก ฟางเจิ้งเปิดวีแชตอีกครั้ง คุยกับพวกฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน และจ้าวต้าถงอีกเดี๋ยวก็เข้านอน
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันที่สอง ฟางเจิ้งทำกิจวัตรประจำวันต่อ กินข้าวกวาดอุโบสถ จากนั้นก็ว่าง
แต่ไม่นานความเงียบก็ถูกเสียงฝีเท้าทำลายลง เขาเงยหน้าขึ้น คิ้วขมวดโดยพลัน หลี่เฟิ่งเซียนมาอีกแล้ว!
“เณร ฉันมาอีกแล้วค่ะ” หลี่เฟิ่งเซียนมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง พลันยิ้มแย้มมีความสุข
ฟางเจิ้งยืนขึ้นประนมสองมือเอ่ย “อมิตาภพุทธ สีกา วันนี้มาไหว้พระหรือเรื่องอื่น?”
หลี่เฟิ่งเซียนส่ายหน้าบอก “วันนี้มาขอบคุณสำหรับบุญคุณที่ไต้ซือช่วยชีวิตไว้”
ฟางเจิ้งจะไปเชื่อได้ยังไง ถ้าเป็นบุญคุณช่วยชีวิตจริงๆ ระบบต้องให้รางวัลเขานานแล้ว ยังต้องให้ผู้หญิงขึ้นมาขอบคุณอีกเหรอ ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาแค่ทำในสิ่งที่ควร ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณหรอก”
หลี่เฟิ่งเซียนว่าต่อ “ไม่ได้ เมื่อวานท่านเรียกคนขึ้นมาพาฉันลงเขานี่ โรคเก่ากำเริบด้วย อาจถึงตายได้เลย ดังนั้นนะ วันนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาขอบคุณด้วยตัวเองให้ได้”
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาพุทธ โยมพูดจาจริงจังเกินไปแล้ว”
‘ทำไมเณรนี่ถึงอ้อมค้อมนักนะ? ไม่แปลกใจเลยหรอว่าฉันจะใช้อะไรมาขอบคุณแกน่ะ?’ หลี่เฟิ่งเซียนกลอกตาคู่งาม ดวงตาเหมือนพูดได้ ความหมายนั้นคือเธอคิดว่าผู้ชายน่าจะเข้าใจความหมาย!
ฟางเจิ้งเห็นเพียงแววตาหลี่เฟิ่งเซียนวูบไหว ราวกับว่าข้างในติดตั้งเครื่องปั่นไฟเอาไว้ ประกายในแววตาสะท้อนออกมา ทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วตาม แต่ฟางเจิ้งก็ยังส่ายหน้า “แค่ทำไปตามมูลเหตุเท่านั้น ได้หรือเสียยังไงอาตมาไม่มองว่าสำคัญหรอก” แต่กลับคิดในใจว่า ‘พูดเป็นอย่างเดียวไม่เหนื่อยรึไง? จะให้เงินหรือทำอะไรก็เร็วๆ หน่อยเถอะ…ลนจนจะแย่แล้ว’
“ทำไมเณรถึงไม่เข้าใจอะไรเลยนะ ท่านลองเดาดูสิ?’ หลี่เฟิ่งเซียนถามขึ้นด้วยความยั่วยวน
ฟางเจิ้งหันท้ายทอยขาวสะอาดให้เธอ หมุนตัวเดินไปพลางคิดในใจ ‘ยังไม่ได้ทำความสะอาดวัดเลย มีงานกองใหญ่รออยู่ ไม่มีเวลามาเดากับเธอหรอกนะ…’ แต่เอ่ยไปว่า “โยมค่อยๆ เดาล่ะ อาตมามีธุระ ขอตัวก่อน”
“เณร…เณร หยุดก่อน!” หลี่เฟิ่งเซียนร้อนใจแล้ว รีบเรียกเอาไว้
ฟางเจิ้งหันมามอง “สีกามีอะไรหรือ?”
“เณรคะ ฉันได้ยินมาว่าวัดท่านศักดิ์สิทธิ์มากเลยนี่” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า “วัดไหนก็ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น ความจริงใจคือจิตวิญญาณ แต่ว่าวัดนี้มีเพียงพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร ถ้าจะขอลูกก็จุดธูปข้างในได้ อวยพรด้วยความจริงใจจะสัมฤทธิ์ผล ถ้าไม่ขอลูกเข้าไปก็ไม่มีความหมาย”
หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออก เธอคิดจะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายผ่านการขอพรพระอะไรพวกนี้ แต่ในนั้นมีเพียงพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร จะเข้าไปทำไม? เธอไม่ได้อยากมีลูกซะหน่อย…
ทว่าหลี่เฟิ่งเซียนพูดต่อในฉับพลัน “เณร พูดจริงๆ นะคะ ชีวิตฉันเจอกับปัญหาใหญ่มา อยากให้ท่านช่วยแก้ปัญหาให้หน่อยได้ไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ตัวเขายังไม่แน่ใจเลย จะแก้ปัญหาให้คนอื่นเหรอ ตลกรึเปล่า! ฉะนั้นเขาเลยตอบไป “อาตมาความรู้ยังน้อย เกรงว่าจะช่วยอะไรโยมไม่ได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วอาตมาขอตัวก่อน”
“เดี๋ยว ท่านจะรีบร้อนไปไหน ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องของฉันเลย รู้ได้ยังไงว่าช่วยไม่ได้ เหมือนอย่างที่ว่าไว้ คนรอบข้างจะเห็นปัญหาชัดเจนกว่า แล้วท่านล่ะ? หรืออยากให้ฉันเสียใจต่อไปจริงๆ สุดท้ายก็หมดหนทาง?” พอพูดว่าหมดหนทาง หลี่เฟิ่งเซียนแอบหยิกเอวตัวเองอย่างแรง น้ำตาพลันเอ่อคลอ ท่าทางดูน่าสงสาร
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหลี่เฟิ่งเซียนแกล้งทำให้ตัวเองเจ็บ อีกฝ่ายร้องไห้แล้ว เช่นนั้นก็ฟังหน่อยแล้วกัน
ฟางเจิ้งนั่งกับหลี่เฟิ่งเซียนอีกครั้ง เพียงแต่สิ่งที่หลี่เฟิ่งเซียนกังวลคือวัดนี้ยากจนถึงขั้นได้แต่นั่งบนหิน กลัดกลุ้มจริงๆ เมื่อวานหนาวมาทั้งวัน วันนี้ยังต้องมาหนาวอีก ไม่สบายเลย!
หลี่เฟิ่งเซียนกล่าว “เณรคะ ฉันน่ะน่าสงสารนะ…” จากนั้นมองฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งไม่ขยับเขยื้อน
หลี่เฟิ่งเซียนพูดต่อ “เฮ้อ ฉันน่ะเสียแม่ไปตั้งแต่เล็กๆ พ่อก็ขายฉัน ท่านจินตนาการไม่ออกหรอก ตอนฉันสิบขวบ พ่อฉันพาฉันไปตลาด แล้วก็ขายฉันในตรอกเล็กๆ! ฉันยังจำได้แม่นว่าตอนนั้นร้องไห้จนเสียงแหบไปหมด เอาแต่อ้อนวอนเขาว่าอย่าขายฉัน ฉันร้องไห้…ร้องไห้…
จากนั้นก็ร้องไห้จนเป็นลมไป ในความฝันฉันเห็นพ่อกลับมาพากลับบ้าน ตอนนั้นฉันไม่เกลียดเขาเลย แต่กลับดีใจ แต่พอฉันตื่นก็พบว่าเรื่องราวไม่ใช่แบบนั้น ฉันถูกขาย! ถูกขายจริงๆ! ถูกพ่อแท้ๆ ขาย!
คนที่ซื้อฉันเป็นตาแก่ที่ยังโสดในเมือง…ดีที่ตาแก่นั่นไม่ได้คิดจะเลี้ยงฉันเป็นเมีย แต่เลี้ยงเป็นลูกสาว ตั้งแต่นั้นมาชีวิตฉันก็ไม่ถือว่าน่าเวทนามากอีก แค่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่เท่านั้น
ตอนฉันอายุสิบสี่ ตาแก่ป่วยหนักใช้เงินในครอบครัวไปจนหมด ต่อมาเขาก็เสียไป
ฉันฝังศพเขา จากนั้น…เดินไปบนถนนคนเดียว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนคนเดียว ต่อมาฉันได้พบกับคนที่สูงค่าในชีวิตฉัน ถึงเธอจะไม่ใช่คนดี แต่กลับสอนให้ฉันเป็นผู้หญิง สอนว่าใช้ชีวิตต่อไปยังไง
ฉันใช้วิธีที่เธอสอนให้มีชีวิตรอดต่อมา ถึงจะใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่บ้าง โดนดูถูกบ้าง แต่ฉันก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ เณรคะ พูดจริงๆ นะ ฉันหลอกท่าน ฉันไม่ใช่หมอ ฉันเป็น…ช่างเถอะ แม้แต่ฉันเองยังไม่มีหน้าพูดออกไปเลย
ฉันรู้ ท่านสะอาด ฉันสกปรก ท่านดูถูกฉัน ฉันก็ไม่หวังให้ท่านมองว่าฉันมีเกียรติอยู่แล้ว กลับกันบนโลกนี้ไม่มีใครมองว่าฉันมีเกียรติหรอก…ตัวฉันเองยังดูถูกตัวเองเลย แต่ฉันต้องมีชีวิตต่อไป…จนวันหนึ่ง ฉันได้เจอกับไอ้คนที่ไร้หัวจิตหัวใจนั่นอีกครั้ง แล้วก็ชูนิ้วกลางให้มัน! ให้นิ้วกลางบอกมันว่าไม่มีมันฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้!”
พูดถึงตรงนี้ หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไป แผนการเดิมของเธอไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ดันไม่ได้ใช้เรื่องที่แต่งไว้ก่อนแล้วเลย พอพูดแล้วก็ออกนอกเรื่องไป แต่เมื่อเธอมองหลวงจีนที่ใบหน้าเรียบนิ่ง ประดับรอยยิ้มบาง สะอาดสะอ้านจนเหมือนไร้มลทินแล้ว ในใจกลับสงบลงอย่างไม่มีเหตุผล ความกลัดกลุ้มในใจบางส่วนหายไป…พอนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ความเศร้าก็แผ่ลามมาจากหัวใจ น้ำตาหยดลงดังแปะๆ
ฟางเจิ้งถอนหายใจ กล่าวไปประโยคหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อส่งให้
“ผ้าเช็ดหน้า?” หลี่เฟิ่งเซียนงุนงง สมัยนี้ยังมีคนใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกเหรอ?
ฟางเจิ้งกล่าว “นี่คือของเพียงสิ่งเดียวที่โยมแม่อาตมาให้เอาไว้ แม้แต่โยมพ่อ อาตมายังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ตั้งแต่เล็กก็โตมากับหลวงจีนเฒ่าในวัดนี้ กินข้าวจากชาวบ้าน นอนเตียงตั่งบ้านคนอื่น แต่อาตมารู้ เหตุที่ต้นไม้สูงกว่าหญ้านั่นเพราะมันกระหายในแสงตะวัน เหตุที่ดอกไม้สวยกว่าหญ้าเพราะมันอยากงดงามขึ้น ให้คนชื่นชมมันมากกว่าเดิม อาตมาเรียนมาน้อย คำพูดนี่ก็เอามาจากพระอาจารย์หรือไม่ก็โยมพ่อ วันนี้ อาตมามอบให้โยม”
……………………
ฟางเจิ้งไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เข้าอินเทอร์เน็ตตลอด เร็วๆ นี้มีการถกเถียงกันเรื่องปัญหาภาวะสุขภาพพร่องอย่างร้อนแรง เขาย่อมรู้ว่าหลี่เฟิ่งเซียนโกหก เพียงแต่แสร้งโง่เท่านั้น เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกันแน่
ฟางเจิ้งถาม “เอ่อ ขอถามหน่อย แล้วภาวะสุขภาพพร่องของอาตมาหลักๆ แล้วไปทางด้านไหน? แล้วควรทำยังไง?”
“หลักๆ ของท่านคือมีธาตุไฟล้น ต้องจัดการธาตุไฟออก” หลี่เฟิ่งเซียนตอบอย่างเคร่งขรึม เพียงแต่ดวงตาใกล้จะมีไฟลุกโชน
ฟางเจิ้งมึนงง ธาตุไฟล้น? นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลี่เฟิ่งเซียนเลียนแบบท่าทางของปรมาจารย์หมอดูทันที ทำหน้าตาเหมือนผู้สูงส่งมากความสามารถ “เณร ฉันขอถามหน่อยนะคะ ตอนตื่นนอนตอนเช้ารู้สึกร้อนที่ช่องท้องจนทรมานมากรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งหน้าแดง พยักหน้ารับเบาๆ
‘เฮ้ย! เณรนี่หน้าแดงด้วย! ฮ่าๆ…ผิวขาวแบบนี้ พอแดงแล้วเหมือนกับแอปเปิลเลย เป็นผู้ชายซิงจริงๆ ด้วย’ หลี่เฟิ่งเซียนยิ้มเบิกบานในใจ ยิ่งมองฟางเจิ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าสนุกและน่ารัก เลยถามต่อว่า “ถูกแล้ว ธาตุไฟล้นมักจะระบายไม่ได้ พอสั่งสมนานเข้าย่อมเป็นทุกข์อยู่แล้ว เณร ให้ฉันรักษาให้เอาไหม?”
ฟางเจิ้งไม่ใช่คนโง่ พอได้ยินดังนั้นก็เข้าใจ! เดิมทีคิดว่าเจอสีกาคนหนึ่ง แต่ที่ไหนได้มาเจอกับนักยั่วสวาทญาติหมาป่าเดียวดาย!
ฟางเจิ้งคิดในใจ ‘ผู้หญิงสวยๆ ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ด้วย จากนี้ต้องหาผู้หญิงบ้านใกล้เรือนเคียงมาแต่งงานด้วยแล้ว จะได้ใจสงบลง…’ แต่ปากกลับพูดไปว่า “อมิตาพุทธ ถ้าสีกาจะจุดธูปอธิษฐานก็เชิญข้างใน ถ้าไม่มีธุระอะไร อาตมาขอตัวก่อน”
เขาจะสึก แค่เพราะอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตเท่านั้น!
เห็นฟางเจิ้งเดินไป หลี่เฟิ่งเซียนใจฝ่อแล้ว ตนรีบร้อนเกินไปทำให้เณรตกใจจนหนี
แต่เธอก็เกิดความคิดขึ้นมา ร้องว่า “โอ๊ย น้ำตาลในเลือดต่ำ โอ๊ย เวียนหัว โอ๊ย…”
ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นหลี่เฟิ่งเซียนหมดสติล้มลงพอดี นอนแน่นิ่งกับพื้นไปแล้ว
เขาเห็นแบบนั้นจึงถอนหายใจ เอ่ยอยู่ในใจว่า ‘ไม่รู้ว่าสีกาคนนี้เส้นเอ็นไหนผิดปกติรึเปล่า คิดว่าเล่นพ่อแม่ลูกอยู่เหรอ? ลูกที่ไหนแกล้งเป็นลมแล้วยังแอบเกาอีก…คิดว่าอาตมาไม่เห็นการกระทำเล็กๆ รึไง?’
แต่ฟางเจิ้งไม่อยากวุ่นวายกับหลี่เฟิ่งเซียนแล้ว หนึ่งคือไม่อยาก สองคือกลัวการกระทำ สามคือกลัวคะแนนประเมินลดลง ส่งผลถึงผลประโยชน์ข้างหน้า สี่คือกลัวว่าตนจะไม่ได้สึก ดังนั้นเขาจึงเดินจากไป
หลี่เฟิ่งเซียนแอบเหลือบมองฟางเจิ้งพลางคิดในใจ ‘หลวงจีนโง่นี่ ฉันเป็นแบบนี้แล้วยังไม่อาศัยจังหวะเข้ามาอุ้มหรือจุ๊บสักหน่อย แค่สัมผัสก็ยังดี…อุตส่าห์ติดกล้องสอดแนมไว้แล้ว ดันเปล่าประโยชน์ซะได้ เอาเถอะ รออีกเดี๋ยวไม่แน่เณรนั่นอาจจะหยั่งเชิงอยู่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าด้วยหน้าตาเราแล้วจะสยบเณรไม่ได้…’
หลี่เฟิ่งเซียนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รออยู่นานก็ไม่เห็นฟางเจิ้งออกมา เสื้อคลุมขนมิ้งตัวใหญ่คลุมได้แค่ครึ่งบน แต่ครึ่งล่างนอนบนพื้นเย็นจึงหนาวอยู่เล็กน้อย พอนานเข้าก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ…
‘หึๆ ลาหัวล้านตัวน้อยจะแข่งความอดทนกับฉันเหรอ? ฉันจะเล่นกับนาย ดูซิว่าสุดท้ายจะมาแตะต้องตัวฉันไหม!’ หลี่เฟิ่งเซียนนึกโกรธ ตรงส่วนลึกในแววตามีความดื้อรั้นอยู่ลึกๆ
และตอนนี้เอง ฟางเจิ้งกำลังจุดไฟอยู่หลังลาน หมาป่าเดียวดายวิ่งไปมาตลอด คอยรายงานสถานการณ์
“เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้จริงๆ เลย เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้เป็นลม แต่ดันแกล้งเป็นลม อาการป่วยน่าจะหนักทีเดียว ช่างเถอะ เธอชอบนอนก็ให้นอนไป นายไปดูซิ ถ้าเธอทนไม่ไหวจนไปแล้วก็มาบอกฉันด้วย” ฟางเจิ้งพูดจบ หมาป่าเดียวดายสะบัดหางเดินออกไป ฟางเจิ้งเอ่ยเสริมไปอีกว่า “ถ้าหนาวจนแข็งก็มาแจ้งฉันด้วยนะ”
เวลาผ่านไปทีละนาที หลี่เฟิ่งเซียนหนาวจนฟันสั่นกระทบกันกึกๆ เห็นทีจะทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นมา
ทว่ามีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา หลี่เฟิ่งเซียนคิดในใจ ‘มาแล้ว! ฮ่าๆ…เณรทนสู้ฉันไม่ได้จริงๆ หึๆ ดูซิว่าจะอุ้มฉันขึ้นไปไหม! แค่กล้าอุ้มฉัน ฉันก็จะฉวยโอกาสโผเข้าไป มีกล้องอยู่หลายตัวด้วย หึๆ…ภารกิจสำเร็จสิ้นก็รับเงินแล้วชิ่งหนี! หลวงจีนเน่าเอ๊ย ช่วยตัวเองเถอะ! หืม ทำไมทิศทางเสียงเท้าไม่ถูกต้อง จำนวนมากกว่าเดิมด้วย…’
“ฟางเจิ้ง เกิดอะไรขึ้น ใครหมดสติเหรอ?” เสียงซ่งเอ้อโก่วดังแว่วมาจากนอกประตูใหญ่ จากนั้นซ่งเอ้อโก่วกับหยางหวาสองคนก็วิ่งเข้ามา
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ ด่าทอในใจยกใหญ่ ‘ไอ้หลวงจีนบ้า ถึงว่านานขนาดนี้ยังไม่มา ที่แท้โทรศัพท์เรียกคนนี่เอง! ไม่ได้การแล้ว จะรอไม่ได้แล้ว รีบลุกสิ! โอ๊ย…ขาชา…’
หลี่เฟิ่งเซียนขยับ แต่ขาสองข้างชาไปแล้ว ทั้งตัวไม่มีแรง ลุกไม่ขึ้น พอลืมตาก็เห็นฟางเจิ้งสวมชุดคลุมขาวเดินเข้ามาเนิบๆ ประนมมือพูดกับซ่งเอ้อโก่วและหยางหวาว่า “อมิตาพุทธ โยมทั้งสอง สีกาท่านนี้ไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ก็ล้มลงหมดสติ ไป ขอให้โยมทั้งสองช่วยแบกเธอลงเขาไปรักษาที”
“นี่ฟางเจิ้ง นายอย่าพูดใส่เต็มแบบนี้ได้ไหม ทำเอาฉันขนลุกไปหมด” หยางหวายิ้มแห้งๆ
ซ่งเอ้อโก่วรับไม่ได้เลยต่อว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? ตอนนี้ฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาส คำพูดก็ต้องต่างกับทุกคนอยู่แล้ว ฉันว่าแบบนี้ก็มีเหมือนกัน…อีกอย่างฟางเจิ้งชนะพวกปัญญาชนกลุ่มใหญ่ พูดสุภาพแบบนี้ต่างหากถึงถูกต้อง”
ฟางเจิ้งช่วยเปลี่ยนเขาให้เป็นคนใหม่ ตอนนี้ซ่งเอ้อโก่วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก รู้สึกสบายกว่าครึ่งชีวิตก่อน รู้สึกว่าทุกคนชื่นชมราวกับเขาเป็นวีรบุรุษเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขาซาบซึ้งใจต่อฟางเจิ้งมาก พูดถึงแต่ฟางเจิ้งไปทุกที่
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย “ช่วยไม่ได้ แต่ว่าช่วยคนก่อนเถอะ พวกโยมดูสิ สีกาลุกไม่ขึ้นแล้ว”
หยางหวามองไปก็เป็นแบบนี้จริงๆ จึงรีบเรียกซ่งเอ้อโก่ว สองคนพาเธอขึ้นเตียงเดี่ยวที่เอามาด้วย ระหว่างทางหลี่เฟิ่งเซียนร้องตะโกนเสียงดังไม่หยุด “ฉันไม่เป็นไร ปล่อยลง” แต่ก็ยังลงเขาไปท่ามกลางเสียงตะโกนโวยวาย
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังพวกเขา ประนมสองมือพลางยิ้มให้หลี่เฟิ่งเซียนเล็กน้อย และสวดไปประโยคหนึ่ง “อมิตาพุทธ”
หลี่เฟิ่งเซียนกัดฟันจ้องฟางเจิ้งด้วยความโกรธ เธอรู้ว่าหลวงจีนนี่ต้องมองออกแน่ๆ ถึงจงใจให้คนมาแบกเธอลงเขา! เธอโกรธจนกัดฟันแน่น แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากับฟางเจิ้ง แต่รอบแรกเธอแพ้ ได้แต่คิดหาวิธีอื่นแทน ส่วนตอนนี้อยู่อย่างสงบเถอะ เธอหนาวจนแย่แล้วจริงๆ ข้อเท้าชาจนไร้ความรู้สึก ลงเขาไปสร้างความอบอุ่นก่อนค่อยว่ากันอีกที
หลังจากส่งหลี่เฟิ่งเซียนกลับ ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หลี่เฟิ่งเซียนไม่เหมือนมาไหว้พระ แต่มาข่มขืนเขามากกว่า แต่ข่มขืนเขาไปจะมีประโยชน์อะไร? คนที่ได้ประโยชน์เหมือนจะมีแต่เขานี่…
คิดไปคิดมา ฟางเจิ้งก็คิดไม่ออกเลยเลิกคิดไปซะ ขอแค่ใจตั้งมั่นในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะมาลูกไม้ไหนก็ไม่กลัว! ถ้าตัวตรงก็ไม่หวั่นว่าเงาจะเฉียง!
…………………
ดังนั้นพยาบาลกับหมอในภาพจำฟางเจิ้งจึงน่าจะสวย สะอาด และศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับดาราภาพยนตร์
แต่ผู้หญิงตรงหน้า เขามองยังไงก็เหมือนผู้หญิงรุ่นใหญ่ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูโรงเรียนทุกวัน คอยเท้าสะเอว รอไถตังพวกดวงซวย…
ฟางเจิ้งเลยจับตามองไว้ ถามว่า “โยมมั่นใจนะว่ายืนเองไม่ไหว?”
หลี่เฟิ่งเซียนตอบกลับอย่างน่าสงสาร “ยืนไม่ไหวจริงๆ”
“โยม บนเขามีหมาป่า” ฟางเจิ้งกล่าว
หลี่เฟิ่งเซียนหัวเราะเยาะในใจ เธอทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าในวัดมีหมาป่าออกมาไหม? ดังนั้นจึงไม่กลัว “รู้ แต่ฉันไม่กลัว”
ฟางเจิ้งส่งสายตาให้หมาป่าเดียวดายที่เพิ่งกลับมาอยู่ไกลๆ มันนอนหมอบกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ขนสีเงินเปื้อนสีเทาหนึ่งชั้นกลายเป็นสีดิน จากนั้นจึงหอนเสียงดังแล้ววิ่งเข้ามา
ฟางเจิ้งทำท่าปิดประตู บอกว่า “โยม โยมไม่กลัวแต่อาตมากลัว อมิตาพุทธ บายนะ”
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกกลัวเล็กน้อย พอได้ยินเสียงหอนของหมาป่าข้างหลังจึงหมุนตัวกลับไป เห็นหมาป่าดุร้ายกระโจนเข้ามา! ขนสีเทาเหมือนกำลังบอกเธอว่านี่ไม่ใช่หมาป่าเงินที่เคยอ่านมาในข่าว! นี่คือหมาป่าเทา!
หลี่เฟิ่งเซียนตกใจจนหน้าถอดสี ลุกขึ้นวิ่งหนีไป ซ้ำยังสะบัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง พร้อมกับตะโกนในขณะเดียวกัน “เณรเปิดประตูนะ!”
หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งมาที่หน้าประตู ประตูใหญ่ถูกเปิดออก ฟางเจิ้งยิ้มตาหยีอยู่หลังประตูนั้น ประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ สีกา วิชาแพทย์ของโยมร้ายกาจจริงๆ รักษาหายแล้วเหรอ?”
หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไป มองฟางเจิ้งที่ดูสบายๆ และไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ก่อนหันกลับไป หมาป่าสีเทาที่ไล่ตามมาหยุดแล้ว แถมคาบรองเท้าส้นสูงไปเล่นอย่างสนุกสนาน พอมองดีๆ มันใช่หมาป่าขนเทาที่ไหน แต่เป็นหมาป่าเงินคลุกฝุ่นต่างหาก! กวาดสายตามองไปแวบแรกจะเป็นสีเทา แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นสีขาวในนั้น
หลี่เฟิ่งเซียนรู้ตัวแล้วว่าถูกเณรตรงหน้าหลอกเข้า โกรธจนแทบจะด่าออกไป!
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “สีกา ในเมื่อขาไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ไปสวมรองเท้าเถอะ บนเขามันหนาว”
หลี่เฟิ่งเซียนจ้องฟางเจิ้ง กัดฟันบอก “โอ๊ย…เจ็บ!”
หลี่เฟิ่งเซียนล้มลงนั่งกับพื้น คลึงข้อเท้าพลางร้องเสียงดัง “เมื่อกี้อยู่ในช่วงเป็นตาย อะดรีนาลีนเลยพุ่งสูง ตอนนี้เจ็บเหมือนเดิมแล้วค่ะ แถมยังต้องวิ่งอีก เจ็บเข้าไปใหญ่เลย! ฮือๆๆ…”
ฟางเจิ้งมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างหมดคำจะพูด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเธอมาทำอะไรที่วัดเอกดรรชนี เขาเพิ่งเคยเจอผู้หญิงวุ่นวายแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงรำคาญอยู่เล็กน้อย…
แต่สิ่งที่ทำให้ฟางเจิ้งพูดไม่ออกว่าเดิมคือ “สีกา เมื่อกี้โยมเจ็บข้อเท้าซ้าย ทำไมตอนนี้คลึงข้อเท้าขวาล่ะ? ความเจ็บมันย้ายที่ได้เหรอ?”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็งงงัน ก้มหน้ามอง ปรากฏว่าคลึงเท้าผิดจริงๆ! เธอหน้าแดงพูดขึ้น “เจ็บจนฉันจำสับสนไปแล้ง…โอ๊ย เจ็บจัง”
หลี่เฟิ่งเซียนคลึงเท้าซ้ายอีกครั้ง
ฟางเจิ้งกล่าว “อาตมาสับสนจริงๆ เมื่อกี้โยมคลึงเท้าขวา ไม่ใช่เท้าซ้าย”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินแบบนั้นก็เก้อเขิน ก่อนหน้านี้แสดงๆ ไปอย่างนั้น จำไม่ได้แล้วว่าคลึงข้างไหน! เมื่อฟางเจิ้งสับสน เธอก็มึนงงแล้ว จึงถามไปว่า “ตกลงเจ็บข้างไหนกันแน่?”
“สีกา โยมเจ็บข้างไหนตัวเองยังไม่รู้เหรอ?” ฟางเจิ้งถามกลับ
หลี่เฟิ่งเซียนเลยคลึงเท้าซ้ายซะเลย “ฉันเจ็บจนสับสนไปหมด เจ็บสองข้างเลย”
“เอาแบบนี้ โยมรอสักครู่” ฟางเจิ้งหมุนตัวเดินกลับไป
“เณร ท่านจะทำอะไรอีกน่ะ?” หลี่เฟิ่งเซียนร้องขึ้น
ฟางเจิ้งตอบ “โทรศัพท์ให้ผู้ใหญ่บ้านเรียกคนขึ้นมาพาโยมไปรักษาไง”
“เดี๋ยวๆ เณรโง่รึเปล่าเนี่ย? ฉันบอกแล้วนี่ ฉันเป็นหมอ! เณรมาประคองฉันเถอะ พาไปนั่งตรงนั้น ฉันรักษาเองได้!” หลี่เฟิ่งเซียนพุ่งเป้าไปที่ฟางเจิ้ง มีอย่างที่ไหน เพิ่งพบหน้ากันยังไม่ได้ทำอะไรเลยจะถูกหามลงเขาแล้ว?
ฟางเจิ้งมองหลี่เฟิ่งเซียนด้วยความสงสัย “สีกา หญิงชายสัมผัสกันไม่ได้ อีกอย่างเหล่านักบวชพุทธศาสนาไม่ควรประคองโยม”
“เณรพูดอะไรน่ะ? พูดเหมือนว่าฉันจะทำอะไรท่าน…” พูดจบหลี่เฟิ่งเซียนหน้าแดงเล็กน้อย ถ้าไม่ระวังอาจจะหลุดปากไปได้ แต่เธอหน้าหนาพอจึงเอ่ยต่อทันที “พูดเหมือนว่าท่านจะทำอะไรฉันอย่างนั้นแหละ วางใจเถอะ ฉันไม่โทษท่านหรอก”
“แต่พระพุทธองค์โทษอาตมา” ฟางเจิ้งตอบอย่างเคร่งขรึม
“พระพุทธองค์ไม่โทษท่านหรอก ท่านทำความดีจะโทษท่านทำไม? อีกอย่าง ฉันเจ็บจริงๆ ไม่รังเกียจท่านหรอก ท่านจะกลัวอะไรกัน?” หลี่เฟิ่งเซียนให้เหตุผล
ฟางเจิ้งกล่าว “สีกา อาตมามีวิธีประคองโยมขึ้นมาแล้ว”
“จะวิธีไหนก็ช่างเถอะ เร็วๆ หน่อย บนพื้นหนาวจริงๆ…” ครั้งนี้หลี่เฟิ่งเซียนไม่ได้โกหก อากาศหนาวมาก หิมะเพิ่งตกด้วย หิมะแรกทางภาคเหนือจะหนาวมาก ทันทีที่หิมะตกจะละลายและถูกดูดซึมเข้าไปในพื้นดิน ภายใต้ความร้อนในอากาศกับการเปลี่ยนอุณหภูมิ ร่างกายคนเลยยังปรับตัวไม่ได้ โดยเฉพาะบนยอดเขาจะหนาวยิ่งกว่า
หลี่เฟิ่งเซียนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะมีเสื้อคลุมขนมิ้งตัวใหญ่รองก้น แต่ก็ยังหนาวอยู่ดี…รู้สึกว่าก้นใกล้จะแข็งแล้ว
เวลาต่อมา…
หลี่เฟิ่งเซียนแทบจะร้องไห้ เธอมองหมาตัวใหญ่ที่ประคองตัวเอง ก่อนมองฝุ่นทั้งตัวมันที่ถูกับตน ขนมิ้งแทบจะกลายเป็นเสื้อคลุมขนหมาป่าเทาตัวใหญ่ เธอพลันอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ก่อนชำเลืองตามองฟางเจิ้งตรงหน้าที่ขาวสะอาดด้วยความคับแค้น คิดในใจว่า ‘เฉินจิ้งพูดถูก แกมันอันธพาลเน่าที่คลุมหนังหลวงจีนเท่านั้นแหละ ฉันไม่เชื่อว่าจะจัดการแกไม่ได้ คอยดูซิว่าจะเสแสร้งไปได้ถึงไหน!’
หมาป่าเดียวดายประคองหลี่เฟิ่งเซียนจนไปนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นหมุนตัวกลับยกเท้าหลังเกาตัว ฝุ่นสีเทาคลุ้งในอากาศ…
หลี่เฟิ่งเซียนที่โดนฝุ่นเทาหัวเสีย “@#¥@%…”
ฟางเจิ้งไล่หมาป่าเดียวดายไป แล้วจึงถาม “สีกาดีขึ้นบ้างรึยัง?”
หลี่เฟิ่งเซียนไม่อยากคุยเรื่องเจ็บแล้ว เรื่องนี้ทำเธอเจ็บง่ายเกินไป หลี่เฟิ่งเซียนกลอกตาเปลี่ยนหัวข้อ “เณร ท่านชื่ออะไรเหรอ?”
“อาตมาฟางเจิ้ง” ฟางเจิ้งตอบ
“ฟางเจิ้ง? เป็นชื่อทางธรรมสินะ แล้วชื่อทางโลกล่ะ?” หลี่เฟิ่งเซียนถามต่อ
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อาตมาอยู่วัดเอกดรรชนีมาตั้งแต่ยังเล็ก ชื่อทางโลกกับทางธรรมคือฟางเจิ้งเหมือนกัน” ฟางเจิ้งแนะนำตัวเสร็จ กลับไม่ได้ถามความประสงค์ของหลี่เฟิ่งเซียน
หลี่เฟิ่งเซียนเองก็ไม่สนใจ พูดต่อทันที “ฉันหลี่เฟิ่งเซียน ตอนนี้เป็นหมอ เรื่องหลักๆ ที่ทำคือแก้ปัญหาภาวะสุขภาพพร่อง ท่านเข้าใจโรคนี้ไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เขาไม่รู้จักจริงๆ
“ไม่เข้าใจ? ดีจัง…เอ่อ แย่จังเลย” หลี่เฟิ่งเซียนแอบดีใจ กลัวว่าหลวงจีนนี่จะเข้าใจจริงๆ เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลงมือยังไงแล้ว เธอเอ่ยต่อ “ภาวะสุขภาพพร่องก็คือคนที่ดูสุขภาพแข็งแรงมาก แต่มีโรคแฝงไว้มากมาย อาจจะส่งผลถึงปัจจัยของสุขภาพตัวเอง ปัจจัยเหล่านี้จะไม่ปรากฏให้เห็น แต่เมื่อนานวันเข้าจะเกิดปัญหา ฉันน่ะช่วยทุกคนรักษาอันตรายที่แฝงเร้นพวกนี้โดยอาศัยการกินอาหารร่วมกันต่างๆ แล้วก็ดูแลการอยู่กินอะไรพวกนี้” หลี่เฟิ่งเซียนพูดถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองฟางเจิ้ง “เณร ถึงท่านจะแรงเยอะเหมือนวัว แต่ก็มีปัญหาภาวะสุขภาพพร่องนะ ให้ฉันช่วยตรวจให้เอาไหม?”
…………
ฟางเจิ้งลูบหัวโล้นของตนด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนแย้มยิ้ม “ดูท่าข่าวน่าจะมีผลแล้ว มีคนที่ไม่ต้องให้ฉันเปลืองน้ำลาย มาถึงก็ตรงเข้าไปจุดธูปเองเลยซะที เหอะๆ ถึงจะไม่ใช้ธูปชั้นดีแต่ก็ยังดี ช่วยเพิ่มจำนวนธูปของภารกิจไป ถ้าทุกวันมีมาสักสองคนคงดี เหอะๆ…”
ขณะฟางเจิ้งกำลังหัวเราะ มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังแว่วมาจากข้างนอก ตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงเสียงดัง
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว เช้าแบบนี้ยังมีผู้หญิงขึ้นเขามาด้วย แถมยังสวมรองเท้าส้นสูงบนเขาอีก! โหดไปรึเปล่า? เธอไม่รู้รึไงว่าบนเขาเดินยาก หินแตกหมดแล้วละมั้ง?
ฟางเจิ้งชะโงกหน้าออกไปมอง ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนมิ้ง แต่งหน้าอ่อนๆ ใบหน้ารูปไข่ ขาเรียวยาวสองข้างสวมรองเท้าส้นสูงเดินเข้ามา ลมหนาวพัดปอยผมจนยุ่ง แต่กลับบดบังรัศมีของเธอไม่ได้ นี่นับเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ บุคลิกมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่หลายส่วน และมีความยั่วยวนอยู่บ้าง แต่ดูจากรูปร่างกับใบหน้ารูปไข่แล้วเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งโดยแท้
“เณรคะ ที่นี่วัดเอกดรรชนีรึเปล่า?” เธอเดินมาอยู่ตรงหน้า แย้มยิ้มเล็กน้อยพร้อมถาม
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองป้ายวัดแผ่นใหญ่บนหัวพลางครุ่นคิด นี่ป้ายเล็กเกินหรือผู้หญิงตรงหน้าตาบอดกัน? แต่เขาก็ตอบไปว่า “อมิตาภพุทธ นี่คือวัดเอกดรรชนี สีกามีเรื่องอะไรหรือ?”
“ฮือๆ…” พอเธอได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ วิ่งเข้ามากอดฟางเจิ้งขณะร้องไห้เสียงดัง
ฟางเจิ้งอึ้งไป นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าเพราะอาตมาหล่อเกินไปจนเธอร้องไห้? แต่จะร้องก็ร้องเถอะ ทำไมต้องเอาหน้าอกมาถูแขนอาตมาด้วย? สวรรค์ ปล่อยมือเลย!
ฟางเจิ้งรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมผู้หญิงคนนี้เข้ามาแล้วก็ถลกเสื้อขึ้นล่ะ! เขาพลันร้องลั่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ผู้หญิงคนนี้ถูกฟางเจิ้งผลักจนถอยไปล้มลงนั่งกับพื้น เธอมองฟางเจิ้งด้วยความประหลาดใจ
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลี่เฟิ่งเซียนผู้หญิงที่เฉินจิ้งจ่ายเงินจ้างให้มาใส่ร้ายฟางเจิ้งนั่นเอง
หลี่เฟิ่งเซียนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฟางเจิ้งมาเล็กน้อย รู้ว่าอยู่ตรงตีนเขาตั้งแต่ยังเล็ก เติบโตโดยอาศัยกินข้าวชาวบ้าน ตอนเข้าเรียนคะแนนไม่ดีเท่าไร เรียนไม่จบมัธยมปลายก็ต้องกลับขึ้นเขามาเป็นนักบวช
สำคัญที่สุดคือฟางเจิ้งไม่เคยมีแฟน! ยังเป็นผู้ชายส่วนน้อยที่บริสุทธิ์อยู่!
ผู้ชายส่วนน้อยแบบนี้ เธอมีความมั่นใจเต็มสิบว่าจัดการได้ในพริบตา! ผู้ชายแบบนี้ขี้อาย เก้ๆ กังๆ แค่ต้องให้ฝ่ายหญิงเริ่มก่อนเท่านั้น
หลี่เฟิ่งเซียนเขียนบททั้งหมดมาอย่างดีแล้วถึงมา เพียงแต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าหลวงจีนที่หน้าตาดีอยู่บ้างในภาพตัวจริงจะหล่อขนาดนี้! ไม่ใช่แค่สดใหม่ตามแบบฉบับ แต่หัวโล้น สะอาดสะอ้าน! จีวรเหรอ นี่เป็นเครื่องแบบนี่ยั่วยวนใจซะเหลือเกิน!
ผู้หญิงมีแรงดึงดูดต่อผู้ชายโดยธรรมชาติ ขณะเดียวกันผู้ชายก็มีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงเช่นกัน ถ้าหากไม่มี นั่นหมายความว่าผู้ชายหน้าตาดีไม่พอ!
หลี่เฟิ่งเซียนมองฟางเจิ้งแล้วพลันใจเต้น แผนการในตอนแรกเปลี่ยนไป ละครเศร้าเปลี่ยนเป็นการโผเข้าไปร้องไห้ อดใจไม่ไหวแทบจะลงมืออยู่แล้ว…
เพียงแต่หลี่เฟิ่งเซียนไม่คาดคิดว่าหลวงจีนนี่จะมีความแน่วแน่ใช้ได้ ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไป เธอโผเข้าใส่แบบนี้จะต้องคล้อยตามแล้ว ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ของที่ยังไม่เคยลิ้มลองนั้นดีที่สุด ดังนั้นหลี่เฟิ่งเซียนจึงสนใจฟางเจิ้งเข้าแล้วจริงๆ
ฟางเจิ้งเห็นหลี่เฟิ่งเซียนล้มลงก็เสียใจเล็กน้อยที่ออกแรงมากไป ประนมสองมือเอ่ยว่า “อมิตาพุทธ ขอโทษด้วยนะสีกา ที่นี่คือแดนแห่งพุทธ ขอให้รักษาระยะห่างด้วย”
หลี่เฟิ่งเซียนเม้มปาก คิดในใจว่า ‘ในวัดไม่เหมาะ ข้างๆ ก็มีป่านี่…’
ทว่าหลี่เฟิ่งเซียนกลับเผยสีหน้าเหม่อลอย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดบิดเบี้ยว สุดท้ายกุมที่ข้อเท้า “โอ๊ย หลวงจีนทำไมมือหนักอย่างนี้ล่ะคะ? เท้าฉัน…โอ๊ย…ทำไมเจ็บอย่างนี้…ฮือๆๆ เมื่อกี้ฉันถูกหลอกจนเสียบ้านไปหมดแล้ว ได้ยินว่าวัดเอกดรรชนีสะอาดเลยจะมาขอให้ช่วย แต่กลับถูกทำร้าย…ฮือๆๆ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ไปต่อไม่เป็นเล็กน้อย “สีกา ขอโทษด้วยที่อาตมาเสียมารยาท”
“เสียมารยาท? ท่านดูเป็นหลวงจีนที่ดีมากนะคะ แต่ทำไมมือหนักจัง แรงเยอะเหมือนกับพวกวัวป่าเลย มิน่าถึงมีซิกแพ็ก…แค่ก โอ๊ยเจ็บเท้าจัง…” หลี่เฟิ่งเซียนนึกถึงสัมผัสที่หน้าท้องฟางเจิ้งแล้วก็เกือบหลุดปากพูด แต่ใช้วิธีตะโกนโอดโอยเก็บคำพูดไป
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาจัดกระดูกหรือนวดอะไรไม่เป็น และไม่เข้าใจวิชาแพทย์ ดูจากลักษณะของหลี่เฟิ่งเซียนแล้วเหมือนจะเท้าแพลง ถ้าเป็นในหมู่บ้านทนเอาเดี๋ยวก็หายแล้ว
แต่เขาเป็นคนทำหลี่เฟิ่งเซียนเจ็บ จึงรู้สึกผิดบาปเล็กน้อย “สีกา รอเดี๋ยวนะ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในวัด
หลี่เฟิ่งเซียนชะเง้อมองแผ่นหลังของฟางเจิ้ง พลางถาม “เณรจะทำอะไรน่ะ?”
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาจะไปโทรศัพท์ให้ผู้ใหญ่บ้านส่งคนมาแบกโยมลงไปรักษา บนเขาไม่มียารักษาหรอก…”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินก็กลอกตา ด่าทอในใจยกใหญ่ว่า ‘ไอ้หลวงจีนงั่งไม่เข้าใจอะไรเล้ย! โอกาสดีอย่างนี้ทำไมไม่เข้ามาช่วยฉันนวดข้อเท้าล่ะ?’
แต่กลับตะโกนไปว่า “รอเดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน! ไม่ต้องเรียกใครมาหรอก!”
“ทำไมล่ะ?” ฟางเจิ้งหันไปถาม
หลี่เฟิ่งเซียนพลันเกิดความคิดขึ้นมา “ฉันเป็นหมอรักษาตัวเองได้ ท่านมาช่วยประคองหน่อย หาที่นั่งพักสักเดี๋ยวก็คงหาย”
ฟางเจิ้งถามด้วยความเป็นห่วง “สีกามั่นใจนะ?”
“พูดมากจังวะ…อะแฮ่ม ค่ะ” หลี่เฟิ่งเซียนเห็นฟางเจิ้งมัวโอ้เอ้ก็แทบจะด่าทอ แต่สุดท้ายก็เก็บคำกลับไป
ฟางเจิ้งเลิกคิ้วขึ้น ถึงเขาจะไม่เคยไปโรงพยาบาล ซ้ำยังเคยเห็นหมอมาไม่มากเท่าไร แต่เขาก็เคยเรียนหนังสือ ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ผู้หญิงตรงหน้าแต่งตัวจัดจ้าน ไม่เห็นเหมือนหมอในภาพจำสักนิด!
ขอไม่นับซ่งทูจื่อในหมู่บ้าน หมอประจำหมู่บ้านคนนั้นไม่ว่าโรคอะไรก็จะใช้สายน้ำเกลือ…รักษาโรคเล็กๆ น่ะได้ แต่ถ้าใหญ่กว่านั้นต้องไปโรงพยาบาลอำเภอ ปกติซ่งทูจื่อจะเล่นไพ่นกกระจอก คุยโม้อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน น้ำลายกระเด็นเต็มฟ้า ภาพจำนั้นไม่ใช่หมอเลย และฟางเจิ้งก็ไม่เคยมองว่าเขาเป็นหมอที่ได้มาตรฐานด้วย
เขาเคยไปโรงพยาบาลอำเภอมาแล้ว หมอพยาบาลในนั้นสุภาพ สวมชุดสีขาวตัวใหญ่ ปิดใบหน้า ในมือถือเข็มอันใหญ่ เขารู้สึกมาตั้งแต่เล็กแล้วว่าคนพวกนี้น่ากลัวอยู่หน่อยๆ…
หลังเข้ามัธยมปลาย ความคิดของเขาถึงเปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ ทุกวันจะนั่งอยู่แถวหลัง ฟังเพื่อนนักเรียนหารือกันเรื่องพยาบาลชุดชมพู ถุงน่อง หรือขาวยาวอะไรพวกนี้…สรุปคือพยาบาลที่พวกเขาคุยกัน ถ้าหมอเป็นผู้หญิงก็จะเป็นนางฟ้า! สวย สะอาดบริสุทธิ์ แถมยังถ่ายภาพยนตร์บ่อยๆ ด้วย…
…………………………
“อืม ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน!” ฟางเจิ้งวิ่งเข้าห้องน้ำ แม้จะการกินข้าวผลึกดื่มน้ำบริสุทธิ์จะไม่มีของเสียใดๆ ไม่ถ่ายหนักเบา แต่เขาก็ยังตื่นเต้นจนอยากเข้าห้องน้ำ
ฟางเจิ้งวิ่งไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนให้พร้อม
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ตื่นเต้นให้สงบลง อภินิหาร! ถึงแม้เขาจะมีเนตรสวรรค์กับวิชาภาษาสัตว์แล้ว แต่ใครจะถือสาอภินิหารเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ? อีกอย่างฟังชื่อมันแล้วให้ความรู้สึกว่าเจ๋งมาก! เขาเอ่ยขึ้น “เริ่มได้แล้ว”
“นายมั่นใจนะ”
“ฉันขอคิดดูก่อน” ฟางเจิ้งรู้สึกว่าระบบถามจุกจิกหลายครั้งแล้ว เกรงว่าครั้งนี้จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ครั้งก่อนที่รับอักษรพุทธองค์มังกรมาก็ทำเขาหอบเป็นสุนัข นอนหลับไปหนึ่งวัน
ครั้งนี้เขาต้องมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้วถึงจะเริ่มได้ เขาเดินในวัดอีกหนึ่งรอบ จนมั่นใจว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ถึงกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง “เอาล่ะ เริ่มเถอะ!”
“นายมั่นใจ?”
“ทำไมนายพูดมากจัง เริ่มเลย!” ฟางเจิ้งกล่าว
จากนั้นฟางเจิ้งก็พบว่าระบบไม่มีการเคลื่อนไหว หลับตาอยู่นานก็อึ้งไปที่ไม่เกิดอะไรขึ้น เขาลุกขึ้นนั่ง “ระบบ เริ่มได้รึยัง?”
“เสร็จแล้ว” ระบบตอบกลับมานิ่งๆ
ฟางเจิ้งรู้สึกแค่ว่าในใจมีตัวเงินตัวทองวิ่งอยู่เป็นแสนตัว กระโจนไปตัวเงิน กินไปตัวทอง!
“เร็วขนาดนั้นเลย? ทำไมฉันไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แล้วถ้ามันง่ายดายแบบนี้ นายจะถามฉันว่ามั่นใจรึยังหลายครั้งทำไม?” ฟางเจิ้งถาม
“นายต้องการรู้สึกยังไงล่ะ? เจ็บ? หรือคัน? ให้ฉันช่วยไหมล่ะ? สุดท้าย ถ้านายไม่มั่นใจแล้วฉันจะถ่ายทอดความสามารถให้ได้ยังไง?”
“ช่างเถอะ ถือว่าไม่ได้พูดแล้วกัน” ฟางเจิ้งกลัวแล้ว อยู่ดีๆ จะให้เจ็บให้คัน สมองป่วยรึเปล่า?
“ระบบ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าไม่ได้เรียนอะไรเลยล่ะ?” ฟางเจิ้งถาม
“นายคิดว่าอภินิหารคืออะไร?” ระบบถามกลับ
“อภินิหารไม่ใช่มนต์คาถา ประสานมุทรา โยนของวิเศษเรียกลมเรียกฝน โปรยถั่วให้เป็นทหาร หรือตดระเบิดภูเขาแบบนั้นเหรอ?” ฟางเจิ้งพูดถึงสิ่งที่เคยอ่านมาในนิยาย
ระบบทำเสียงหึๆ “ขาดเขลา! อภินิหารคือการเดิน มอง ฟัง พูด และขยับของคนธรรมดาเท่านั้น ยกมือคืออภินิหาร หลับตาก็เป็นอภินิหาร! อภินิหารคือเปลี่ยนสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ให้เป็นความสามารถโดยสัญชาตญาณของนาย ไม่ต้องท่องคาถา ไม่ต้องมีสิ่งของช่วย แค่คิดก็ใช้อภินิหารได้แล้ว”
ฟางเจิ้งงง ไม่คิดเลยว่าอภินิหารจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่!
ตอนนี้เอง หมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามาเห่าสองที “ฟางเจิ้ง ฉันหิวแล้ว กินข้าวกัน”
ฟางเจิ้งเห็นหมาป่าเดียวดาย ในใจพลันสั่นไหว นัยน์ตามีประกายวูบผ่าน โลกตรงหน้าหมาป่าเดียวดายเปลี่ยนไปทันใด! โดยรอบว่างเปล่า ไม่มีฟ้าดิน…
ฟางเจิ้งเห็นภาพนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาเห็นหมาป่าเดียวดาย แต่มันมองไม่เห็นเขา! เขากำลังยืนอยู่บนฟ้าราวกับเทพผู้สร้างโลกมองทุกสิ่ง! แค่คิดแผ่นดินก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้า!
ทำเอาหมาป่าเดียวดายตกใจวิ่งหนี แต่แผ่นดินลอยขึ้นมา มันจะหนีไปไหนได้? สุดท้ายก็ตกใจจนหดตัวเป็นก้อน ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
ขณะมันกำลังหวาดกลัวก็พลันได้กลิ่นหอมคุ้นเคย นั่นคือกลิ่นข้าวผลึก!
มันลืมตาขึ้นมอง เห็นว่ามีภูเขาข้าวอยู่ไกลๆ เป็นภูเขาข้าวสูงเสียดฟ้า แถมเป็นข้าวผลึกที่หุงสุกแล้วด้วย!
มันแลบลิ้นโดยไม่รู้ตัว น้ำลายไหลย้อย ก่อนจะพุ่งไปยังภูเขาข้าว
แต่ไม่นานมันก็พบว่ายิ่งวิ่งเร็วเท่าไร ภูเขาข้าวยิ่งห่างไกลเท่านั้น! แต่ยิ่งไกลเท่าไรมันก็ยิ่งร้อนรน ซ้ำยังวิ่งสุดชีวิตกว่าเดิม!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มด่าในใจ ‘เจ้างั่ง เรื่องประหลาดชัดเจนแบบนี้ยังไม่รู้อีกว่าเป็นความฝัน อภินิหารฝันยามต้มข้าวฟ่างน่ากลัวจริงๆ ให้ทุกชีวิตลุ่มหลง ตกอยู่ในห้วงภวังค์ที่ถอนตัวไม่ขึ้น’
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงโบกมือ ภูเขาข้าวหยุดลง หมาป่าเดียวดายวิ่งครู่เดียวก็ตามภูเขาข้าวมาทัน มันกระโจนเข้าไป อ้าปากกว้างจะกินให้อิ่ม!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย โลกความจริงเขาไม่มีทางเติมเต็มความปรารถนาที่มันอยากกินจนจุกได้ แต่ในความฝันทำให้มันสุขสบายหน่อยแล้วกัน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ
หมาป่าเดียวดายนอนหมอบกินอยู่บนภูเขาข้าว กลิ้งไปมาอย่างดีใจสุดๆ วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว สีหน้าแบบนั้นน่าขายหน้าเป็นที่สุด…
ฟางเจิ้งทนมองไม่ได้จริงๆ จึงโบกมือ ข้างล่างปรากฏมหาสมุทรขึ้นมา หมาป่าเดียวดายกระโดดเอาหัวจุ่มลงไป ตกใจจนตะกุยตะกายอย่างบ้าคลั่ง
พรวด!
“เอ๋งๆๆ…”
ในโลกความจริง หมาป่าเดียวดายนอนอยู่บนพื้น ตะกุยกรงเล็บไม่หยุดพลางร้องเอ๋งๆ เห็นได้ชัดว่าตกใจมาก
แต่เมื่อมันพลิกตัวลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องของฟางเจิ้ง ไม่มีภูเขาข้าว ไม่มีมหาสมุทร!
หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งยิ้มตาหยี เห็นโดยรอบที่คุ้นเคยอีกครั้ง มันรู้สึกว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นฝีมือของเจ้าอาวาสคนนี้! แต่ว่ามันสู้เจ้าโล้นนี่ไม่ได้ จึงได้แต่ระงับอารมณ์เอาไว้ หมุนตัววิ่งออกไป
ไม่ว่ายังไงเมื่อครู่นี้มันก็กินจนอิ่มหนำสำราญจริงๆ!
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ทำไม? ยังโกรธอยู่เหรอ? วันนี้อาตมามีความสุข กินให้เต็มที่เลย!”
“บรู้ว!”
“ทีตอนนี้มาพูดสรรเสริญ? ฮ่าๆ…ไปกัน!” ฟางเจิ้งพอใจกับอภินิหารที่ตนได้มาใหม่มาก เขาพาหมาป่าเดียวดายไปทำกับข้าว
ดวงตะวันลาลับภูเขารวดเร็วมาก ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งของอำเภอซงอู่
“พี่ใหญ่ มั่นใจนะว่าจะทำแบบนี้?” ผู้หญิงแต่งตัวจัดสูบบุหรี่พลางมองเงินในมือ ก่อนจะมองชายตรงหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อย ชายคนนี้หล่อมาก แต่คำร้องของเขามันมากเกินไปรึเปล่า?
“ทำไมเธอพูดมากจังเลยฮะ? ฉันถามว่าจะรับเงินไหม? ถ้ารับก็ทำงานให้ดี เสร็จแล้วจะให้เพิ่มอีกเท่าตัว!” ชายคนนั้นพูดตอบ ตอนนี้เองมีรถคันหนึ่งแล่นผ่านไป แสงไฟสาดมาสะท้อนใบหน้าชายคนนั้น นั่นคือเฉินจิ้งที่เพิ่งตกงาน!
“หึๆ ได้ ฉันจัดการเรื่องนี้เอง! แต่ว่าเถ้าแก่ต้องออกเงินค่าเดินทางให้ด้วยนะ” ผู้หญิงคนนั้นว่า
“ไม่มีปัญหา แต่เธอต้องทุ่มให้ฉันหนักขึ้นนะ เอาหลวงจีนนั่นลงให้ได้ เข้าใจไหม? อย่างแย่ที่สุดต้องให้เขาเผยธาตุแท้ลงมือขย้ำเธอ จากนั้นส่งบันทึกเสียงทั้งหมดมาให้ฉัน ถ้าเป็นวิดีโอจะดีที่สุด แค่จัดการให้เรียบร้อยเธอจะได้เงินอีกเยอะ” เฉินจิ้งกล่าว
ผู้หญิงตอบ “วางใจเถอะเถ้าแก่ คนอื่นน่ะไม่ว่า แต่แค่เณรคนเดียว ฉันหลี่เฟิ่งเซียนกล้ารับประกันว่าเสร็จงานภายในสามวัน! พี่รอข่าวดีได้เลย”
“ดี ฉันจะรอข่าวดีจากเธอ! แต่ว่าเธอจำไว้นะว่าวันนี้ฉันไม่เคยพบเธอ” พูดจบเฉินจิ้งก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เฟิ่งเซียนมองแผ่นหลังของเฉินจิ้งพลางเบะปาก “เล่นอะไรกัน ใส่ร้ายกระทั่งหลวงจีน…ช่างเถอะ ตอนนี้ไปให้หลวงจีนนั่นเบิกเนตรดีกว่า อืม…หลวงจีน หลวงจีนน้อยที่บริสุทธิ์ รสชาติน่าจะไม่เลวเลยมั้ง”
พูดจบ หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกจากตรอกแล้วขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไป
วันต่อมา ยามฟ้าสว่าง มีแขกมาเยือนที่วัดของฟางเจิ้ง เป็นชาวบ้านหมู่บ้านข้างๆ ฟางเจิ้งคุ้นตาแต่ไม่รู้ชื่อ
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายร่างกายกำยำ หอบหายใจเหมือนรีบร้อนมาก ทักทายฟางเจิ้งก่อนวิ่งเข้าไปจุดธูปไหว้พระ จากนั้นลงเขาไปโดยไม่หันมามอง
……………
ส่วนเรื่องหมาป่าไหว้พระ ทางหน่วยงานราชการไม่เอ่ยถึง ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็โล่งอก คุกเข่าไหว้พระครั้งหนึ่ง หมาป่าเดียวดายได้กินข้าวเพิ่มหนึ่งเท่า เขาแทบจะเลี้ยงไม่ไหวแล้ว! ถ้าหน่วยงานราชการรายงาน แน่นอนว่าต้องมีคนขึ้นเขามาดู ถึงตอนนั้นหมาป่านี่จะมีเรื่องให้ทำทุกวัน เขาต้องอดอยากแน่นอน
“วัดไม่ได้เลี้ยงไว้เหรอ?”
“แต่ในข่าวบอกว่าวัดเลี้ยงนี่ แถมยังเคยกัดคนตายด้วย?”
ในโลกโซเชียลเกิดความฉงนสงสัยขึ้น
ตอนนี้เอง ในที่สุดต้นฉบับของไชฟางก็ถูกปล่อยออกมา รายงานของไชฟางมีจรรยาบรรณมาก ไม่มีการบรรยายเพิ่มเติมหรือใส่ความรู้สึกลงไป แค่เขียนบรรยายสถานการณ์ในวันนั้นง่ายๆ
หลังจากทุกคนอ่านก็ไม่เข้าใจ ทำไมหมาป่าถึงอยู่ในวัดได้? ส่วนเรื่องการประลองพู่กันจีนกลับไม่มีใครสนใจเลย
ต่อจากนั้นบทความของจิ่งเหยียนก็ตีพิมพ์ด้วยเช่นกัน
แต่สองวันนี้จิ่งเหยียนไม่ได้ว่างเลย เธอเดินทางไปหมู่บ้านเอกดรรชนีเพื่อศึกษาโดยเฉพาะ และแฉข้อมูลที่เฉินจิ้งใส่ร้ายพวกนั้น! มีบันทึกภาพ มีคำให้การของชาวบ้าน และสิ่งที่เธอเห็นมากับตาตัวเองด้วย…
หลังออกข่าวไป บนโลกโซเชียลก็มีกระแสด่าทอ!
“สำนักพิมพ์หน้าต่างนี่รายงานอะไรของมันวะ! ทำให้พวกเราคล้อยตามไปด้วยเลย!”
“บ้าเอ๊ย บอกว่าหมาป่าเคยกัดคน แต่ในหมู่บ้านข้างๆ หมาป่าที่กัดคนตายถูกยิงตายไปนานแล้ว! แถมนี่มันเรื่องเมื่อสิบปีก่อนอีกต่างหาก!”
“หลายปีมานี้ไม่เห็นหมาป่าเลย จะเจอสัตว์ป่าไม่ง่ายหรอกนะ เจ้านี่อยากให้พวกเราด่าจนตายรึไง! ใช้ไม่ได้จริงๆ!”
…………….
สำนักพิมพ์หน้าต่าง
“เฉินจิ้ง ไหนคุณสาบานว่าที่พูดมาทั้งหมดนี่เป็นความจริงไง?!” หัวหน้ากองบรรณาธิการฟาดกระดาษหนังสือพิมพ์ใส่หน้าเฉินจิ้ง จากนั้นด่าทอด้วยความโกรธ “คุณมันขยะ! เสียแรงที่ผมไว้ใจ แต่กลับตอบแทนผมแบบนี้เหรอ?”
“หัวหน้า ผะ…ผม…” เฉินจิ้งอยากอธิบายบางอย่าง
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว จะออกไปเองอย่างมีเกียรติหรือจะให้ผมส่ง?” หัวหน้ากองบรรณาธิการกล่าว
เฉินจิ้งได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ เขาลงแรงกับงานนี้ไปมากถึงมีตำแหน่งอย่างตอนนี้ เขาจะทำใจลาออกได้อย่างไร? ดังนั้นจึงรีบเอ่ย “หัวหน้าครับ ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ?”
“ให้โอกาสอีกครั้งเหรอ ผมให้โอกาสคุณ แล้วใครจะให้โอกาสผม? บนโลกโซเชียลเขาด่ากันจนเละ สำนักพิมพ์หน้าต่างของเราชื่อเสียงป่นปี้หมดแล้ว! นายใหญ่โกรธด้วย! ตำแหน่งของผมสั่นคลอนแล้ว คุณจะให้ผมให้โอกาสคุณอีกหรือไง? ตอนนี้ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ส่วนพั่งจื่อนั่งยองลงด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่ในสถานีตำรวจ โหวจื่อหัวเราะฮี่ๆ อยู่ข้างนอก บอกว่า “พั่งจื่อ ให้นายฝึกวิทยายุทธ์ เป็นไงสนุกไหม?”
“ไอ้เวร ก็นั่งยองแบบนี้หลายวันไม่ใช่เหรอ? นั่งก็นั่งเถอะ ใช่ว่าไม่เคยนั่งซะที่ไหน อืม…นั่งยองหลายวัน ได้เงินมาห้าแสน หึๆ คุ้มว่ะ” พั่งจื่อหัวเราะ
โหวจื่อก็หัวเราะด้วย “นายเลิกคิดถึงมันเถอะ เมียนายช่วยนายรับเงินไปแล้ว”
“อะไรนะ? ไอ้โหวจื่อบ้า ไหนว่าคุยกันแล้วไงว่าจะปกปิดบัญชีให้ฉันไง? อ๊าก…” พั่งจื่อร้องโหยหวน ตอนที่ถูกจับเข้ามาก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไร แต่ตอนนี้เสียใจจริงๆ แล้ว
ขณะเดียวกัน ในหอพักมหาวิทยาลัยจี๋หลิน ฟางอวิ๋นจิ้งยิ้มพูดว่า “หม่าเจวียน พ่อเธอเก่งจริงๆ นะ ช่วยไต้ซือแก้ปัญหาได้ขนาดนี้เลย!”
หม่าเจวียนทำเสียงหึๆ “แน่นอนอยู่แล้ว! แต่ไม่เห็นพ่อฉันทำอะไรเลย! ส่วนฉันนี่สิหนังปากแทบฉีกอยู่แล้ว พ่อฉันส่งคนไปตรวจสอบหมู่บ้านเอกดรรชนี อำเภอซงอู่ เมืองเฮยซาน จนมั่นใจว่าไม่มีหมาป่าทำร้ายคนจริงๆ ถึงกล้าช่วยหรอก ไม่อย่างนั้นเธอคิดหรอว่าคนที่เหมือนเปาบุ้นจิ้นแบบนั้นจะยอมช่วย?”
“เอาล่ะ พ่อเธอก็ยุติธรรมเที่ยงตรงแหละ หม่าเจวียน เรื่องนี้ให้ฉันช่วยเธอให้ได้ความดีความชอบเอาไหม?” ฟางอวิ๋นจิ้งถามยิ้มๆ
หม่าเจวียนรีบส่ายหน้า “อย่าเลย! ไต้ซือช่วยชีวิตฉันไว้ นี่ก็ถือว่าทดแทนกันไป อืม ถ้าใช้คำทางพุทธศาสนาก็เรียกว่าผลกรรม!”
“ว้าว พี่หม่าพูดคำว่ากรรมได้ด้วย?” ฟางอวิ๋นจิ้งหัวเราะอีก
“กล้าหัวเราะฉันเหรอ มาให้จับซะดีๆ!” หม่าเจวียนกระโจนไปหาฟางอวิ๋นจิ้ง สองคนจึงล้มกลิ้งไปด้วยกัน
ฟางเจิ้งไม่รู้สิ่งที่เฉินจิ้งพบเจอ ไม่รู้ว่าหม่าเจวียนลงมือช่วยเหลือ เรื่องของเขาถึงผ่านไปได้ง่ายๆ แถมยังคิดว่าแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองอีก ส่วนตอนนี้เขากำลังนับเงินอย่างเบิกบานใจ ดูเงินในบัญชีธนาคารตัวเองทุกวัน แม้แต่ฝันยังตื่นขึ้นมายิ้ม!
“มีเงินแล้วรู้สึกดีจริงๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวแล้ว เหอะๆ…” ฟางเจิ้งพลิกตัวอย่างสบายใจ แล้วหลับฝันต่อ
เรื่องวัดเอกดรรชนีไม่ได้ใหญ่โตขึ้น แต่ชื่อเสียงของวัดกลับขจรขจายออกไป มีคนจำนวนมากอยากรู้อยากเห็นว่าวัดเอกดรรชนีที่มีหมาป่าจะเป็นวัดแบบไหน ดังนั้นคนที่อยากรู้จำนวนหนึ่งจึงเริ่มมาดูที่วัด และเอาใส่ไว้ในแผนการเดินทางในอนาคต
นี่ถือว่าฟางเจิ้งได้โชคจากภัยกระมัง…
คนแบบนี้มาเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็มากขึ้น สุดท้าย…
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ชื่อเสียงของวัดถึงจุดที่มีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้ว ได้รับโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง จะจับเลยไหม?”
“อะไรนะ? มีชื่อเสียงก็ได้จับเหรอ?” ฟางเจิ้งงุนงง
“ใช่แล้ว หากถึงระดับที่กำหนดแล้ว จะได้จับทันที”
“ระดับที่กำหนดอะไร? ยากไหม?” ฟางเจิ้งถามต่อ
“ไม่ยาก รู้จักทั้งอำเภอก็จะบรรลุระดับมีชื่อเสียงเล็กน้อย จากนั้นจึงจะเป็นเมือง มณฑล ประเทศ ภูมิภาค ทวีป และทั่วโลกเป็นต้น ทุกครั้งที่ถึงหนึ่งระดับ นายจะได้รับโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง น่าตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ ใช่รึเปล่า?”
“ตื่นเต้น? แหะๆ…” ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ สองที อำเภอได้ เมืองก็คิดว่าได้ แต่มีชื่อเสียงทั่วมณฑล? ยาก! ทั่วประเทศ? ยากเหมือนปีนขึ้นสวรรค์! ส่วนทั่วโลก? พุทธศาสนาที่อยู่มาพันปียังทำไม่ได้เลย แล้วเขาจะทำได้เหรอ? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีหวัง!
“ระบบ พวกเรามาคุยเรื่องที่เป็นจริงกันหน่อยเถอะ จับรางวัลน่ะ” ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่ฝันกลางวันแล้ว แต่อยู่กับความเป็นจริง
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับอภินิหาร ฝันยามต้มข้าวฟ่าง[1]!”
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งงงงัน จึงถามต่อ “อะไรคือฝันยามต้มข้าวฟ่าง?”
“ฝันยามต้มข้าวฟ่าง หนึ่งแววตา หนึ่งการกระทำ ชาหนึ่งถ้วย เพลงหนึ่งบท ทุกการกระทำตามอำเภอใจจะดึงให้คนเข้าฝัน ในความฝันนายคือเทพ นายทำให้อีกฝ่ายเจอเรื่องใดก็ได้ในความฝัน ดินแดนความฝันไม่ชัดเจนเอามากๆ ต่อให้ตื่นมาแล้วเหตุการณ์ก็ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ฝันยามต้มข้าวฟ่างจะปลุกความรู้ความเข้าใจที่อยู่ลึกที่สุดของมนุษย์ จากนั้นมองผ่านคุณลักษณะของอีกฝ่าย เพียงแค่หนึ่งความคิด จากมารกลายเป็นพุทธหรือจากพุทธกลายเป็นมารได้!”
“ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว ใช้กับนายได้ไหม?” ฟางเจิ้งตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนพลันถามต่อ
“นายเดาสิ”
“เดาเหรอ…เหอะๆ…ไม่เดาดีกว่า!” ฟางเจิ้งแทบจะด่าโดยจิตใต้สำนึก สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้
“จะรับอภินิหารไปเลยไหม?”
“รับ…ไม่สิ! รอเดี๋ยว!” ฟางเจิ้งรีบออกไปดื่มน้ำ จากนั้นปิดประตูวัด นอนลงบนเตียง หลังจากกำชับหมาป่าเดียวดายให้เฝ้าวัดแล้วก็พูดขึ้น “เริ่มได้!”
“นายมั่นใจนะว่าเตรียมตัวพร้อมแล้ว นี่คือขั้นตอนการถ่ายทอดอภินิหารแขนงหนึ่ง ไม่ใช่ของธรรมดา”
…………………….
[1] ฝันยามต้มข้าวฟ่าง เป็นสำนวนเปรียบเปรย หมายถึงฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
หมาป่าเดียวดายขาอ่อน มันสาบานว่าแค่อยากหาที่นอนเท่านั้น แล้วก็มันเป็นหมาป่าไม่ใช่คนด้วย จะให้ไหว้พระทำไม?
แต่ฟางเจิ้งพูดแล้ว มันก็หลักแหลมใช่ย่อย เข้าใจความหมายของฟางเจิ้ง จึงเดินหน้าเข้าไปในอุโบสถ
หลิวเทากับอู๋ไห่มองหน้ากัน ก่อนรีบตามเข้าไป
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย เดินตามไปอย่างเอ้อระเหย
หมาป่าเดียวดายเดินเข้าอุโบสถ มันกำลังตรึกตรองดู เป็นหมาป่าควรจะไหว้พระยังไง! คิดไปคิดมาก็ไม่มีบรรพบุรุษหมาป่าตัวไหนถ่ายทอดวิชานี้ให้มันเลย ด้วยความจนปัญญาจึงถีบเท้าหน้ายืนขึ้นเหมือนคน!
หลิวเทา อู๋ไห่ รวมถึงช่างกล้องตะลึงงัน! พูดในใจพร้อมกันว่า ‘หมาป่าคงไม่ได้จะไหว้พระจริงๆ หรอกนะ?’
แทบเป็นในเวลาเดียวกัน หมาป่าเดียวดายพยายามปรับกล้ามเนื้ออย่างสุดความสามารถ ก่อนคุกเข่าลง! เพียงแต่ว่ายังยืนไม่เสถียรจึงหน้าทิ่มลงไปนอนหมอบกับพื้นดังปึก คางกระแทกพื้น น้ำตาแทบไหล…
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็แสยะยิ้ม พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้านี่ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ? เดี๋ยวเพิ่มข้าวเย็นให้!”
หลิวเทากลืนน้ำลายลงคอ “ไม่ต้องศรัทธาขนาดนั้นก็ได้มั้ง ช้าหน่อยไม่ได้เหรอ?”
หมาป่าเดียวดายชำเลืองตามองหลิวเทาแวบหนึ่ง คิดในใจว่า ‘ฉันก็อยากทำเหมือนกันแหละ…’
หมาป่าเดียวดายทรมานทำอยู่สามรอบ หลิวเทากับอู๋ไห่ตะลึงค้างไปแล้ว สุดท้ายหมาป่าเดียวดายลุกขึ้นมองธูป ธูปธรรมดาบางเกินไป มันเล่นไม่ได้ ธูปชั้นดีแพงเกินไป จากความเข้าใจที่มันมีต่อฟางเจิ้ง ถ้ามันกล้าแตะต้องธูปชั้นดีก็อาจจะถูกลดอาหาร! ดังนั้นมันจึงสะบัดหาง มันทำได้แค่นี้แหละ ที่เหลือทำไม่ได้จริงๆ
หมาป่าเดียวดายออกมาแล้ว หลิวเทากับอู๋ไห่ที่ขวางอยู่หน้าประตูเห็นแบบนั้นจึงรีบหลีกทางให้
หมาป่าเดียวดายกวาดสายตามองสองคนนี้อีกรอบ แล้ววิ่งออกจากประตูใหญ่ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิวเทา อู๋ไห่ และช่างกล้องสามคนกลืนน้ำลายพร้อมกัน นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ…
ฟางเจิ้งเดินเข้ามาเอ่ย “อมิตาพุทธ พวกโยมเห็นรึยัง หมาป่าตัวนี้ไม่เกี่ยวกับอาตมาจริงๆ มันเป็นเพียงแขกของวัดเท่านั้น ซึ่งตัวมันก็ยังเป็นสัตว์ป่าด้วย”
หลิวเทายิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ…ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมกลับไปขอคำสั่งแล้วค่อยว่ากันอีกที หลวง…ไต้ซือ ผมขอตัวก่อนล่ะครับ” หลิวเทาจะกลับไป อู๋ไห่จะพูดอะไรได้ จึงรีบร้อนกล่าวลา กลุ่มคนลงเขาไปอย่างเร่งรีบ
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังของสามคนจากไปไกลพลางขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอย่างไร้มูลเหตุ ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ ถ้าไม่อย่างนั้นหน่วยงานด้านกฎหมายคงไม่ถึงขั้นมาหา
ฟางเจิ้งเข้าวีแชตติดต่อหาโหวจื่อ เทียบกับหวังโอ้วกุ้ยในหมู่บ้านแล้ว โหวจื่อที่อยู่ในเมืองจะรู้ข่าวมากกว่าหน่อย
ฟางเจิ้งถาม โหวจื่อก็ตอบกลับทันที “ไต้ซือ ท่านไม่รู้เรื่องนี้หรอครับ? เฮ้อ ไอ้พวกบ้าในเมืองพวกนั้นก่อความวุ่นวายบนเขา พอลงเขามาก็พูดจามั่วซั่ว แถมยังมีไอ้เฉินจิ้งอีก มันส่งข่าวเขียนบทความยาวสาดโคลนใส่วัดเอกดรรชนี เจ้านี่ลงแรงไปกับเรื่องนี้มากเลยล่ะครับ”
ฟางเจิ้งหาข่าวท้องถิ่นเจอตามการชี้นำของโหวจื่อ ข่าวของเฉินจิ้งอยู่ข้างบนจริงๆ ข้างล่างก็มีคอมเมนต์ตอบหลายร้อย นักข่าวท้องถิ่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีคนคลิกเข้าไปอ่านขนาดนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ในเวลาปกติจะมีคนเข้าชมน้อยมาก
พอเปิดเข้าไปอ่าน ฟางเจิ้งสีหน้ามืดทะมึน!
เรื่องที่เฉินจิ้งเขียนไม่ได้คุยโตเกินความจริง แต่เขียนมั่วซั่ว ใส่เรื่องที่ชาวบ้านจำนวนมากถูกหมาป่าโจมตีเข้าไป กระทั่งยังมีเรื่องของศตวรรษก่อนด้วย! ตอนนี้สุมมันมาที่หัวฟางเจิ้งคนเดียว!
ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือบนเขาฟางเจิ้งมีหมาป่าจริงๆ! จุดนี้มากพอจะดึงดูดความสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ฟางเจิ้งหาข้อบังคับกฎหมายแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก ขอเพียงมั่นใจว่าหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า ทั้งไม่มีชาวบ้านตรงตีนเขาเคยถูกข่มขู่ เรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไปได้ และจะไม่มีใครมาล่าหรือจับหมาป่าไปด้วย
ถ้าฟางเจิ้งจะเลี้ยงหมาป่าจริงๆ ก็ยุ่งยากอยู่เล็กน้อย ระหว่างนี้เลี่ยงไม่โกหกยาก…แล้วต้องทำเอกสารรับรองอีก
เขาลงเขาไม่ได้ ก็ไปทำเอกสารรับรองไม่ได้ อีกอย่างขั้นตอนมากเกินเลยล้มเลิกไปซะ ให้หมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่าไปแล้วกัย…
แต่ฟางเจิ้งคิดในใจไว้แล้ว จากนี้ไม่ว่าใครถามก็จะบอกว่าเขาไม่ได้เลี้ยงหมาป่า แต่เป็นสาวกมาจุดธูปไหว้พระ! นี่ไม่ถือว่าโกหก ระหว่างเขากับหมาป่าเดียวดายไม่มีความสัมพันธ์เลี้ยงหรือไม่เลี้ยงจริงๆ แต่ซับซ้อนเล็กน้อย…
ตรงตีนเขา หลิวเทากับอู๋ไห่ช่างน่าเวทนา
“หมาป่าไหว้พระได้ด้วยเหรอ? ทำไมนายไม่บอกเลยล่ะว่าหมูปีนต้นไม้ได้?” หัวหน้าของทั้งสองคนแทบจะใช้คำพูดเดียวกันต่อว่า
หลิวเทาตอบ “ผอ.ครับ จริงๆ นะ ผมเห็นกับตาเลย”
“นายออกไปลงโทษตัวเองก่อนที่ฉันโกรธจะดีกว่านะ” ผอ.โทรศัพท์ไปพลางต่อว่าด้วยความโกรธไปพลาง สัตว์ป่ามีสติปัญญาเหมือนคนเนี่ยนะ เจ้านี่มาบอกเขาว่าหมาป่าไหว้พระ? ทุบเขาให้ตายก็ไม่เชื่อ!
“อะไรนะ คุณไหวไหมเนี่ย? ให้ฉันลงโทษตัวเองหรอ? ได้ คุณเลิกงานแล้วเอากระดานซักผ้าสามแผ่นนั้นกลับมาด้วย! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าคุณแอบทิ้งกระดานซักผ้าในบ้านเราไป!” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงดังแว่วมา
ผอ.เฉินหน้าแดง รีบสื่อว่าให้หลิงเทาออกไป ขณะเดียวกันก็รีบอธิบายให้ภรรยาฟัง
หลิวเทาจะออกไปแบบนี้หรือ ถ้าแบบนั้นก็จะไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน แถมยังต้องถูกลงโทษฟรีๆ อีก เขาจึงนำกล้องบันทึกออกมาฉายต่อหน้าผอ.เฉิน
ภาพที่หมาป่าเดียวดายคุกเข่าไหว้พระทำเอามือถือในมือผอ.เฉินแทบจะหล่นพื้น กลืนน้ำลายลงคอ ไม่สนเสียงปลายสายแล้ว แต่ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ผมขอคิดเงียบๆ”
“จิ้งจิ้ง (เงียบ) คือใคร? แถมจะไม่ให้ฉันพูดอีก? ได้ เฉินซานเฉียง คุณได้ขึ้นสวรรค์แน่!”
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดถึงจิ้งจิ้งที่คุณพูด! ผมจะบอกว่าขออยู่สงบๆ!”
“อันจิ้ง (สงบ)? ลูกสาวของตาอันเหรอ? ดี พวกคุณไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผม…ผมจะบอกว่า เฮ้อ…รอผมกลับไปก่อน!”
“ได้ ยังมีหน้ามาขู่ฉันอีก กลับมาได้เห็นดีกันว่าใครจะตีใครกันแน่…”
หลิวเทาเห็นอย่างนั้นก็รีบออกไปด้วยความเร็วแสง ขืนอยู่ต่อได้ถูกฆ่าปิดปากแน่ๆ
อีกด้านอู๋ไห่มีชะตาดีกว่าหลิวเทาเล็กน้อย หลังให้ดูภาพบันทึกแล้ว ผอ.ก็เงียบไป ให้เขารอฟังข่าว
ในโซเชี่ยวมีคนกลุ่มใหญ่ยื่นคอรอข่าว แต่วันที่สองไม่มีการเคลื่อนไหว วันที่สามก็เหมือนกัน…
รอจนวันที่สี่ ฟางเจิ้งต้อนรับแขกกลุ่มใหม่อีก
เฉินซานเฉียงพากำลังคนมาที่วัดเอกดรรชนี มีผู้เชี่ยวชาญ มีหัวหน้า ตอนที่มาถึงทุกคนต่างมีความสงสัย พุ่งเข้าไปในวัดจะสอบถามต่างๆ นานา
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะถาม หมาป่าเดียวดายพุ่งเข้าไปในอุโบสถวัด แล้วพลันคุกเข่าไหว้พระ!
ทุกคนชะงักงัน!
จากนั้นหมาป่าเดียวดายก็สะบัดหางจากไป!
ทุกคนมองหน้ากัน คำถามกองใหญ่ตรงริมฝีปากกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม! พวกเขาไม่รู้ว่าจะถามอะไรดีแล้ว
วันที่ห้า ในที่สุดหน่วยราชการก็ประกาศข่าวออกมา ‘จากการยืนยัน บนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่าตัวหนึ่งจริง แต่มันเป็นสัตว์ป่า นักบวชในวัดไม่ได้เลี้ยงไว้ ขออย่าได้ปล่อยข่าวลือ’
……………………….…………….
ตอนนี้โหวจื่อขับรถอยู่บนถนน แน่นอนว่าเล่นมือถือไม่ได้
ฟางเจิ้งเห็นโหวจื่อไม่ตอบกลับ จึงเรียกหมาป่าเดียวดายที่แอบไปเที่ยวเล่นให้ออกมาถ่ายรูปอย่างปลื้มอกปลื้มใจ เล่นกันสนุกสนาน ด้วยความอารมณ์ดี เล่นอะไรก็สนุกไปหมด!
ฟางเจิ้งเล่นสนุกใหญ่ หยิบไม้หลายท่อนมาต่อเข้าด้วยกัน ด้านล่างท่อนไม้ติดด้วยเหล็ก ทำเป็นรถลากเลื่อนบนหิมะ ก่อนจะจับหมาป่าเดียวดายที่คิดหนีกลับมา ผูกให้ดี จากนั้นก็ขี่ไป!
หมาป่าเดียวดายวิ่งไปด้วยความคับอกคับใจ วิ่งไปพลางเห่าไปพลาง “ฉันฟังเข้าใจนะ นายพูดภาษาคนไม่ได้รึไง? ฉันไม่ใช่ม้า ไม่ใช่ลา ฉันเป็นหมาป่า!”
“ดี ไปเลย!”
“ฉันเป็นหมาป่า!”
“บรู้วๆๆ!”
“นาย…”
………..
อู๋ฉางสี่กลับเข้าอำเภอแล้วก็ได้รับสายจากสำนักพิมพ์ บอกว่าให้เขากลับไปทำงาน อู๋ฉางสี่พลันหัวเราะ ทิ้งโหวจื่อกับพั่งจื่อไว้รีบกลับไปเขียนต้นฉบับ
พั่งจื่อกับโหวจื่อคุยโม้ในโซเชียลถึงความมหัศจรรย์ของหลวงจีนในวัดเอกดรรชนีอย่างสุดกำลังเพื่อของกินเหมือนกัน
จิ่งเหยียนกลับสำนักพิมพ์แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือเขียนต้นฉบับ แม้สิ่งที่ประสบมาในวันนี้จะไม่ดีนัก แต่ต้องพูดเลยว่าวันนี้เธอได้เห็นปาฏิหาริย์!
เฉินจิ้งเองแม้กำลังเขียนต้นฉบับ แต่กำลังตรึกตรองอยู่ว่าจะเขียนให้หลวงจีนนั่นเป็นนักบวชอันธพาลอย่างไร…ในมุมมองเขา จะเขียนเกี่ยวกับการประลองไม่ได้ เพราะมีศักยภาพของอีกฝ่ายอยู่ ประกอบกับโอวหยางหวาไจเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง ขืนพูดอะไรอีกก็ถือเป็นการตบหน้าตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเล็งเป้าหมายไปที่หมาป่าเดียวดาย
‘หลวงจีนปล่อยหมาป่ามากัดคน ชาวบ้านตรงตีนเขาต่างหวาดกลัว…’
ไชฟางก็กำลังกัดด้ามปากกา กำลังตรึกตรองทุกตัวอักษรว่าควรจะเขียนอย่างไรดี โดยพื้นฐานจะใช้การพรรณนาตามจริงเขียนต้นฉบับนี้…
ในเมืองอำเภอ พวกคนหน้าแบนเข้ามาชิดใกล้กัน ยังคงโมโหอยู่ไม่หาย จึงพากันเข้าไปในโซเชียลมีเดียต่างๆ แล้วเริ่มสาดโคลนใส่วัดเอกดรรชนี
อย่างไรโซเชียลมีเดียก็เร็วกว่าข่าว หลังจากคนหน้าแบนโพสต์ลงในบอร์ดกระทู้ ก็มีคนไม่น้อยออกมาแสดงความเห็น
“บอกแล้วไง นักบวชเต๋าลงเขามาช่วยโลกในกลียุค แต่หลวงจีนปิดประตูหนีภัย นักบวชเต๋ากลับเขาลึกยามโลกสงบสุข แต่หลวงจีนออกจากเขามาเรี่ยไรเงิน สมัยนี้หลวงจีนเชื่อถือไม่ได้!”
“หลวงจีนนี่ไร้ยางอายมากเลย ปล่อยหมาป่ามากัดคนอย่างไม่มีเหตุผล เกินไปแล้วจริงๆ”
“ฉันก็อยากรู้นะว่าคนธรรมดาเลี้ยงสัตว์ป่าแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีใครสนใจเลยเหรอ? ข้าราชการท้องถิ่นนี่ก็ทำงานห่วยเกินไปแล้วมั้ง”
“ถูก ไม่มีคนไปตรวจสอบเลยรึไง?”
คนหน้าแบนเห็นคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปก็ได้ความคิดขึ้นมา พลันใส่ไฟเข้าไปอีก กระทั่งแท็กตำรวจป่าไม้ท้องที่ หน่วยงานคุ้มครองสัตว์อะไรพวกนี้ด้วย กลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่มากพอ!
วันที่สอง ต้นฉบับของเฉินจิ้งถูกส่งออกไป เดิมทีหัวข้อสนทนาที่ว่าเลี้ยงหมาป่าไว้รอบวัดเหมาะสมหรือไม่ก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรง!
“อะไรนะ? หลวงจีนนั่นปล่อยหมาป่ามากัดคนจริงๆ? ข่าวออกแล้ว! ใครที่ไม่เชื่อไปดูเลย!”
“ข่าวยังบอกว่าหมาป่าตัวนี้ลงเขาไปขโมยไก่กินด้วย ชาวบ้านต่างหวาดกลัว”
“ข้างบนก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเมื่อหลายปีก่อนมีชาวบ้านขึ้นเขาไปถูกหมาป่ากัดตาย”
“และยังมีคนถูกหมาป่าโจมตีในหมู่บ้านด้วยนะ”
“หลวงจีนนี่บาปหนาจริงๆ!”
………….
แต่ต้นฉบับของจิ่งเหยียนกับไชฟางกลับติดขัดในช่วงเวลาสำคัญ!
“อะไรนะ? ออกช้าหน่อยเหรอ?” จิ่งเหยียนอึ้งไป
“ผมต้องการเหตุผล” ไชฟางพูดด้วยความโกรธ
“นี่เป็นความเห็นของพวกหัวหน้า สำนักพิมพ์ต้องการข่าวใหญ่ ตอนนี้วัดเอกดรรชนีเป็นที่รู้จักของมหาชนแล้ว ให้พวกเขาด่าไปก่อน รอจนประเด็นร้อนขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยให้ความจริงกระจ่าง ถึงตอนนั้นข่าวนี้จะเป็นข่าวใหญ่ไง!” หัวหน้าตอบกลับ
จิ่งเหยียนกับไชฟางพากันแสดงความเห็น การจะเขียนข่าวให้จริงต้องมีความตรงเวลา เป็นความจริง จะไปสร้างกระแสแบบนี้ได้ยังไง?
แต่ผลลัพธ์ก็ถูกคัดค้านทั้งหมด
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เขาเลี้ยงหมาป่ากลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เขารู้ว่ามีปัญหามาหาแล้ว!
“ฟางเจิ้งอยู่ไหม?” ตำรวจสองนายเดินเข้าประตูใหญ่มา หนึ่งคืออู๋ไห่คนรู้จักเก่า อีกคนสวมชุดกรมป่าไม้ ฟางเจิ้งไม่รู้จัก ข้างหลังยังมีอีกคนหนึ่ง ถือเครื่องมือบันทึกตามกฎหมาย
“อมิตาพุทธ โยมสองคนมีเรื่องอะไรกันหรือ?” ฟางเจิ้งประนมมือถามด้วยความกังวล
“เจอกันอีกแล้วนะไต้ซือ คือแบบนี้ ได้ยินว่าท่านเลี้ยงหมาป่าบนเขาเหรอ คนคนนี้คือเพื่อนที่กรมป่าไม้ ตามกฎหมายประเทศแล้วท่านเลี้ยงหมาป่าที่นี่ไม่ได้ ดังนั้น…” อู๋ไห่ผายมือสองข้างออกสื่อว่ามีปัญหาเล็กน้อย หลังจากเรื่องหานเซี่ยวกั๋ว อู๋ไห่ก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟางเจิ้ง เรียกไต้ซืออย่างจริงใจมาก
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจเล็กน้อย ถึงหมาป่าเดียวดายจะขี้เกียจอยู่บ้าง แถมยังเจ้าเล่ห์มาก แต่มันเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ บนเขานี้ไม่มีใคร เขาจึงให้หมาป่าอยู่เป็นเพื่อน ถ้าจะจับมันไป เขาจะต้องคุยกับก้อนหินทุกวันรึเปล่า?
ที่สำคัญที่สุดคือหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า มันไม่อยากถูกขังอยู่ในสวนสัตว์ แบบนั้นไม่มีอิสระเกินไป มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย!
แต่ฟางเจิ้งโกหกซี้ซั้วไม่ได้ ทว่าก็ปิ๊งความคิดขึ้นมา จึงส่ายหน้าบอก “โยมทั้งสองคงเข้าใจผิดแล้ว วัดนี้มีหมาป่าเดียวดายมาไหว้พระกินข้าวบ่อยๆ แต่วัดนี้ไม่ได้เลี้ยงหมาป่าไว้…”
“พรวด!” หลิวเทาจากกรมป่าไม้ได้ยินดังนั้นก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “อู๋ไห่ นี่คือไต้ซือที่นายบอกเหรอ นี่พูดจาเลอะเทอะเกินไปรึเปล่า? หมาป่ามาไหว้พระเนี่ยนะ? ทำไมไม่บอกว่ามันสวดมนต์ได้ด้วยเลยล่ะ?”
อู๋ไห่เองก็หัวเราะแห้งๆ “ไต้ซือ ผมเข้าใจความรู้สึกท่านนะ สัตว์เลี้ยงของใครถูกเอาไปก็ไม่โอเคกันทั้งนั้น แต่ว่าท่านพูดจาเชื่อถือไม่ได้เกินไปนะ”
หลิวเทาพูดเสริม “เณรอย่ากังวลเลย ถ้าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กๆ จะได้ลงประวัติมันในหนังสือพิมพ์นะ อีกอย่างเราต้องทดสอบนิสัยมันด้วย ถ้ามีนิสัยเลี้ยงข้างนอกดีกว่าพวกเราจะปล่อยมันไป ไม่ขังไว้หรอก แน่นอนว่าถ้ามันมีชีวิตข้างนอกไม่ได้ พวกเราก็ทำได้แค่ส่งมันไปที่สวนสัตว์ จะมาเลี้ยงอยู่ที่นี่มันไม่ปลอดภัยนะ ถึงยังไงตรงตีนเขาก็ยังมีชาวบ้านอีกมาก”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางใจ เดิมทีหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า มีทักษะการเอาตัวรอดข้างนอกดีกว่าฟางเจิ้งมาก แต่ว่าถูกตำรวจพาไปหรือ แบบนี้มันเป็นปัญหาอยู่เล็กน้อย
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาภพุทธ หมาป่าตัวนั้นเป็นเพียงแขกของวัดเหมือนกับพวกโยม อาตมาไม่มีสิทธิ์ตัดสินแทนมัน”
“เณรพูดแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ…เอ่อ นั่นหมาป่าตัวนั้นเหรอ?” หลิวเทาจะพูดต่อ แต่มีหมาป่าตัวใหญ่สีเงินเดินเข้ามาจากด้านหลัง ก่อนช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างดูถูก! นิสัยเหมือนคนแบบนี้ทำให้หลิวเทาตกใจจนต้องกลืนคำพูดข้างหลังกลับลงท้องไป
หมาป่าเดียวดายไม่ได้ไปไหนไกล เห็นมีคนมาก็เลยกลับมาดูสักหน่อยว่าจะให้ผู้ปกปักแห่งพุทธศาสนาหมายเลขหนึ่งอย่างตนแสดงวิชาหรือไม่ เผื่อจะได้อาหารเพิ่มตอนเย็นด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรให้มันทำ!
ฟางเจิ้งก็ไม่รู้ว่าหมาป่าเดียวดายจะรู้ไหมว่าควรทำอะไร จึงพูดเตือน “โยมมาไหว้พระอีกแล้วหรือ?”
……………………..
“แบ่งอะไร? ไต้ซือ พวกเราขอบริจาค! ท่านเป็นคนมีความสามารถจริงๆ วัดนี้ซอมซ่อเกินไปแล้ว ห้าแสนนี่พวกเราบริจาคให้ท่านให้ซ่อมแซมวัด ไต้ซือมีเลขบัญชีไหมครับ?” โหวจื่อเคยมีอุทาหรณ์มาก่อน จึงขัดคำพูดอู๋ฉางสี่ทันที
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ดีใจใหญ่ ถ้าแบ่งเขาจะรับไม่ได้ แต่ถ้าบริจาคแน่นอนว่าได้ และเขาก็มีบัตรธนาคารเหมือนกัน ใช้ได้พอดี
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาภพุทธ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณพวกโยมมาก”
“ไต้ซือ ท่านดูสิใกล้จะเที่ยงแล้ว มื้อเที่ยง…” พั่งจื่อลูบท้อง แลบลิ้นหัวเราะแหะๆ ความหมายไม่มีชัดเจนกว่านี้อีกแล้ว เจ้านี่อยากกินข้าวผลึกของฟางเจิ้ง!
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับเรียบๆ “วัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องอาหาร ถ้าโยมหิวก็รีบลงเขาเถอะ”
รอยยิ้มพั่งจื่อจางหายไป “ไต้ซือ ให้กินไม่ได้เหรอครับ? ดีชั่วยังไงพวกเราก็ตักน้ำเต็มโอ่งนะครับ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “น้ำได้ ข้าวไม่ได้ ครั้งก่อนเพราะพวกโยมใช้แรงมากเกินไป แถมไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันเลยให้กิน เดี๋ยวจะเป็นลมบนเขา ครั้งนี้พวกโยมยังลงเขาได้ ถ้าอยากกินข้าวในวัด รอวัดนี้เป็นวัดขนาดกลางก่อนค่อยมาใหม่นะ จะดูแลอย่างเต็มที่เลย”
พั่งจื่อจนปัญญา มองวัดเล็กพลางถามขึ้นว่า “ไต้ซือ แล้วเมื่อไรเลื่อนชั้นเหรอครับ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ “การเลื่อนชั้นวัดต้องดูที่แสงธูป ดูขนาด ตอนนี้อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
โหวจื่อตบบ่าพั่งจื่อ “อยากกิน กลับไปก็ช่วยไต้ซือประกาศวัดสิ”
พั่งจื่อตรึกตรองดูก็รู้ว่ามีแต่แบบนี้เท่านั้น ขณะจะเอ่ยลา เขาพลันร้องขึ้นว่า “ไต้ซือ ทำไมท่านไม่สวมรองเท้าล่ะ?”
จีวรสีขาวพระจันทร์ของฟางเจิ้งยาวมาก ประกอบกับมีหิมะ เดินลงไปเท้าจึงจมลงไป จีวรคลุมเอาไว้จึงมองไม่เห็นว่าเขาสวมรองเท้า อีกอย่างก่อนหน้านี้ทุกคนดูการประลอง ใครจะมามองเท้าเขา?
พอได้ยินพั่งจื่อตะโกน โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ก้มหน้ามอง แม้จะไม่เห็นเท้าฟางเจิ้ง แต่รอยเท้าที่ย่ำกลับชัดเจนมาก ไม่มีรอยรองเท้าแต่เป็นรอยเท้าสมบูรณ์!
“ไต้ซือ เอ่อ…ท่านฝึกวิชาอะไรครับเนี่ย?” โหวจื่อถามด้วยความตกใจ
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเฝื่อนในใจ วิชาอะไร? เขาฝึกวิชายากจนยังไงล่ะ! ไม่มีรองเท้าฝ้ายสวม ได้แต่อาศัยความสามารถคุ้มกันของจีวรขาวจันทร์เดินเท้าเปล่า…แม้ยังเย็นอยู่แต่ก็ไม่หนาวมากนัก ถือว่าดีกว่ารองเท้าพังๆ ที่สวมอยู่ ถ้าไม่มีการคุ้มกันจากจีวรคงหนาวกลายเป็นสุนัขไปแล้ว
แต่ฟางเจิ้งกลับตอบไปว่า “อมิตาพุทธ อาตมามีพลังธาตุไฟแข็งแกร่ง อุณภูมิแค่นี้ไม่เท่าไรหรอก”
“ผมรู้แล้ว หนุ่มน้อยกล้านอนบนเตียงหนาวเหน็บ อาศัยพลังธาตุไฟแข็งแกร่งล้วนๆ! เฮ้อ! ไต้ซือ ท่านอดอยากรึเปล่า? ให้ผมช่วยหาผู้หญิงมาระบายธาตุไฟหน่อยไหม? ผมรู้ว่าเรื่องนี้อดกลั้นยากมาก…เหวอๆๆ…”
พั่งจื่อยังพูดไม่จบ ฟางเจิ้งก็หมุนตัวกลับ ยกพั่งจื่อที่หนักร้อยแปดสิบกว่ากิโลฯ โยนออกไปนอกประตูใหญ่ จากนั้นสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ!” ประตูใหญ่ถูกปิดลง!
พั่งจื่อตาค้าง โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ที่เดินตามออกมาจ้องพั่งจื่อด้วยความโมโห ก่อนโหวจื่อจะพูดกับพั่งจื่ออย่างไม่เกรงใจว่า “ไอ้ห่า เมื่อกี้พูดอะไรไป? ไต้ซือเป็นพระอาจารย์ เขาต้องให้นายแนะนำผู้หญิงให้อย่างนั้นเหรอ? สมองนายปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง?”
พั่งจื่อถูจมูก ตอบกลับโดยไม่สำนึก “ก็ฉันคิดแทนไต้ซือนี่…เรื่องความต้องการน่ะ บอกว่าจะละก็ละได้เลยที่ไหน ไม่ดีต่อร่างกายนะ”
“ไม่ดี? ดูซิว่าถ้าฉันไม่ต่อยนายจะดีขึ้นไหม! ครั้งนี้จบเห่แล้ว จากนี้เข้าวัดไม่ได้แล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย!” โหวจื่อขี่อยู่บนตัวพั่งจื่อพลางรัวหมัด พั่งจื่อผลักโหวจื่อออก แล้ววิ่งหนีพลางร้องเสียงดังลงเขาไป
พวกเขาก่อความวุ่นวายตลอดทางลงเขา โหวจื่อตบเข้าที่หน้าผาก ยังไม่ได้เลขบัญชีมาเลย!
แต่โหวจื่อก็ฉลาด ใช้แอปวีแชตค้นหาคนที่อยู่ใกล้ๆ จนหาเลขวีแชตของฟางเจิ้งพบและเพิ่มเพื่อน จากนี้ไม่ต้องโอนผ่านธนาคารแล้ว แต่โอนผ่านวีแชตแทน
แต่ในตอนนี้ ฟางเจิ้งกลับมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจ
“ระบบ ฉันระบายความกำหนัดไม่ได้จริงๆ เหรอ?” ฟางเจิ้งโกรธตอนที่บอกว่าหนุ่มน้อยนอนบนเตียงหนาวมีพลังธาตุไฟเปี่ยมล้น ไม่มีใครพูดยังพอว่า แต่พั่งจื่อยกประเด็นนี้ขึ้นมา ฟางเจิ้งจะไม่หวั่นไหวสักนิดได้ยังไง? แต่หวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว เป็นไต้ซือในอนาคตต้องมีความแน่วแน่เป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะเมื่อระบบพลันพูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ระวังองคชาตเสื่อมล่ะ’ ฟางเจิ้งถึงโยนพั่งจื่อออกไปอย่างเด็ดขาด…
“ได้!” ระบบตอบกลับอย่างมั่นใจมาก
ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “แล้วจะแก้ยังไง?”
“หาผู้หญิง” ระบบตอบ
“ได้จริงๆ เหรอ?” ฟางเจิ้งดวงตาเปล่งประกาย
“ถ้านายไม่กลัวองคชาติเสื่อมไปชั่วชีวิตก็ตามสบายเลย” ระบบว่า
ฟางเจิ้งโกรธจนแทบแย่ “นายพูดให้จบเลยได้ไหม? ถ้าพักหายใจนายจะตายรึไง?”
“ไม่ตาย แต่คุยกับคนโง่ก็ต้องมีทักษะ”
ฟางเจิ้งหัวเสีย เอ่ยว่า “ไม่มีวิธีเลยสักนิดจริงๆ เหรอ”
“มี”
“นายพูดให้ถูกต้องหน่อยสิ ให้วิธีที่ได้ผลจริงๆ มาจะได้ไหม?” ฟางเจิ้งถูกระบบปั่นหัวจนใกล้จะหมดความอดทนแล้ว
“ท่องพุทธคัมภีร์ แน่นอนว่าจิตใจจะสงบ” ระบบตอบกลับอย่างจริงจังมาก
ฟางเจิ้งชูนิ้วกลางชี้ขึ้นฟ้า ตะโกนว่า “แม่งไอ้เวรเอ๊ย!”
ครืน! เปรี้ยงๆ!
สายฟ้าสองสายผ่าลงมาตรงหน้าฟางเจิ้ง เขาพูดด้วยความไม่พอใจ “ทำมือกับคำพูดด้วยกัน น่าจะนับเป็นหนึ่งครั้งสิ?”
“ฉันบอกสองครั้งก็สองครั้ง ไม่เชื่อลองด่าสองครั้งดู”
ฟางเจิ้งชี้ขึ้นฟ้าพลางตะโกนด่า “ปู่เอ็งสิ!”
ครืน! สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าอีกสายหนึ่ง
จากนั้นฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อ เดินหนีไป!
“ยังขาดอีกคำหนึ่งนะ” ระบบเตือน
ฟางเจิ้งแค่นเสียงหึ “นายให้ฉันด่าสองครั้งก็ต้องด่าสองครั้งอย่างนั้นเหรอ? ทำไมฉันต้องฟังนายด้วย?” ให้ด่าอีกเหรอ หนึ่งวันมีโอกาสสามครั้ง ครั้งที่สี่จะผ่าโดนตัวเขา เขาไม่โง่หรอกนะ
พอกลับไปหลังลาน เขาก็หยิบมือถือออกมาเลื่อนดู พบว่ามีคำขอเพิ่มเป็นเพื่อน เห็นเป็นโหวจื่อเลยกดเพิ่มไป
แต่เพิ่งเพิ่ม โหวจื่อก็โอนเงินมาให้ห้าแสน! แนบมาด้วยประโยคหนึ่งคือ ‘ไต้ซือ บัตรเครดิตมันยุ่งยากเลยโอนผ่านวีแชตเอา เป็นยังไงครับ โหวจื่อฉลาดไหม? เป็นการบังคับรับโอนไปเลยไง ฮ่าๆ…’
ทว่าฟางเจิ้งไม่ได้อ่านอักษรข้างหลังเลย เอาแต่จ้องเลขศูนย์ข้างหลังเงินห้าแสนนั่น! ทั้งยังนับนิ้วตรวจดู “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าตัว…ศูนย์ห้าตัวมันเงินเท่าไร? นับใหม่ หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน…ห้าแสน…ฮ่าๆๆ…ระบบ ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นจากความยากจนสักที ฮ่าๆ…จากนี้ฉันจะกินข้าวผลึกทุกมื้อเลย!”
แต่ระบบไม่สนใจเขาเลย
ฟางเจิ้งนับเงินดีแล้วก็ส่งข้อความไปให้โหวจื่อ “อมิตาพุทธ”
……………………………
เจียงซงอวิ๋นพูดต่อ “อักษรโอวหยางหวาไจหวัดเหมือนพายุคลั่งโถมพืชหญ้า มีพลังมหาศาล ตอนเขียนอักษรยังแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองดั่งพายุคลั่ง และก็มีบุคลิกปรมาจารย์เหมือนกัน ดังนั้นฉันคิดว่าการประลองครั้งนี้เสมอ!” พูดจบ ทั้งลานเกิดเสียงดังเกรียวกราวอีกครั้ง
คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนเขลา คนนอกวงการเป็นชาวบ้าน แต่คนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนไม่ใช่แบบนั้น มองอักษรของฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจปราดเดียวก็รู้แล้วว่าฟางเจิ้งเหนือกว่า!
ทว่าพอมองโอวหยางหวาไจ ทุกคนก็เข้าใจว่าเจียงซงอวิ๋นไว้หน้าโอวหยางหวาไจ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาแพ้ให้กับเณรไร้ชื่อเสียงคงต้องขายหน้ามากแน่ๆ
ทว่าอู๋ฉางสี่ไม่ยอม “เจียงซงอวิ๋น ยังหน้าด้านพูดแบบนี้อีก? โอวหยางหวาไจ ไม่กระดากใจที่บอกว่าเสมอบ้างเลยเหรอ?”
เจียงซงอวิ๋นขมวดคิ้ว “อู๋ฉางสี่ นายคิดจะทำอะไร พวกนายอยากมีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ เสมอกับโอวหยางหวาไจยังไม่พอใจอีกรึไง?”
“พอใจ? ถุย! ฉันล่ะอับอายแทนแกจริงๆ!” อู๋ฉางสี่ต่อว่า
เจียงซงอวิ๋นหน้าเขียวปัด กำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว
แต่กลับได้ยินโอวหยางเฟิงหวาพูดขึ้น “พ่อคะ อักษรพ่อสู้เณรเขาไม่ได้จริงๆ หรอคะ?”
โอวหยางหวาไจมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย พร้อมประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”
“นี่คือไต้ซือของจริง อักษรพ่อสู้เขาไม่ได้” พูดจบใบหน้าที่ตึงเปรี๊ยะมาตลอดของโอวหยางหวาไจพลันหลอมละลาย ก่อนพูดต่อว่า “ผมคิดว่าตัวเองเก่งกาจมาตลอด วันนี้เพิ่งรู้ว่าผมเป็นแค่กบในกะลา! ผมไม่เคยเห็นอักษรของไต้ซือมาก่อน แต่ท่วงทำนองในอักษรนั่น ผมเคยเห็นแค่จากไต้ซือเฒ่าเท่านั้น วันนี้ผมแพ้แล้ว แพ้อย่างหมดรูปด้วย! ไต้ซือ ผมขอโทษที่เสียมารยาทกับท่าน กลับไปผมจะเขียนลงเว็บเวยป๋อขอโทษท่านอย่างเป็นทางการ”
โอวหยางเฟิงหวาพูดด้วยความตกใจระคนมึนงง “พระเจ้า พ่อแพ้หรอเนี่ย?” จากนั้นมองฟางเจิ้ง พูดด้วยความเหลือเชื่อว่า “เณ…ไต้ซือ ท่านเริ่มเขียนอักษรตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เหรอ แล้วไหนบอกว่าเขียนอักษรพู่กันไม่เป็นไง บอกว่าใช้พู่กันไม่เป็นไม่ใช่เหรอ หลอกฉันนี่! ไหนว่านักบวชโกหกไม่ได้?”
ฟางเจิ้งยิ้มอย่างจนปัญญา “สีกา อาตมาใช้พู่กันครั้งแรกจริงๆ ส่วนอักษร? อาตมาเขียนยังไง ตัวอาตมาเองยังไม่รู้ แต่อาตมาเคยเห็นอักษรดีขนานแท้มาก่อน เทียบกับอักษรอาตมาแล้วต่างกันมาก! ดังนั้นอาตมาจะกล้าบอกว่าตัวเองเขียนพู่กันเป็นได้ยังไงล่ะ”
โอวหยางเฟิงหวาเงียบไป แต่โอวหยางหวาไจกลับร้องด้วยความตกใจ “ไต้ซือเคยเห็นอักษรที่ดีกว่านี้หรอครับ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “นักบวชไม่โกหก”
โอวหยางหวาไจถามต่อ “อักษรที่ท่านเห็นเป็นอักษรที่ไต้ซือเขียนใช่ไหมครับ? แล้วมันชื่ออะไร? ยังมีอักษรนั้นให้ผมมีวาสนาได้ชมสักครั้งไหมครับ?”
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ ชมเหรอ? เขายังไม่รู้ว่าจะได้ชมอีกครั้งที่ไหนเลย! จะเอาออกมาให้โอวหยางหวาไจดูได้ยังไง?
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงส่ายหน้า “อักษรนี้เรียกว่าอักษรพุทธองค์มังกร เป็นอักษรที่พระพุทธองค์เห็นมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้าแล้วจึงสร้างขึ้นมา อาตมามีวาสนาได้เห็นอักษรนี้เพียงครั้งเดียว เกรงว่าโยมคงต้องผิดหวังแล้ว”
โอวหยางเฟิงหวาไม่เชื่อเลยถามอีก “ไต้ซือน้อย เป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อท่านเคยเห็นอักษรนั่นก็น่าจะเก็บไว้บ้างสิ? ทำไมถึงมีวาสนาได้เห็นครั้งเดียวล่ะ?”
“ไต้ซือน้อยอะไร? เรียกไต้ซือสิ!” โอวหยางหวาไจตักเตือน
โอวหยางหวาไจยู่ปากเล็ก “ก็เป็นไต้ซืออายุน้อยนี่นา…”
“ผู้บรรลุก่อนมาก่อน จะไปใช้อายุเป็นเกณฑ์วัดได้ยังไง?”
โอวหยางเฟิงหวาตะโกนอย่างไม่ยอม “ไต้ซือ…”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ แสดงความเคารพตอบ ส่วนคำถามของโอวหยางหวาไจ เขาได้แต่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร ไม่อยากโกหกกลัวจะถูกฟ้าผ่า
โอวหยางหวาไจได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าผิดหวัง แสดงความเคารพแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อไต้ซือไม่บอก ผมก็จะไม่ดึงดัน” พูดจบก็มองเจียงซงอวิ๋นที่หน้าเขียวปัด ยิ้มเฝื่อนๆ ให้ “เมื่อกี้ผมอยากจะบอกว่าให้ตัดสินผมแพ้น่ะ แต่พี่เจียง…เฮ้อ”
พูดจบโอวหยางหวาไจหยิบบัตรธนาคารส่งให้เจียงซงอวิ๋น “ในนี้มีเงินเก็บมากกว่าครึ่งของผม หนึ่งล้านหยวน รหัส 959542”
พูดจบโอวหยางหวาไจก็จูงมือโอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นลงเขาไป
โอวหยางเฟิงหวาไปแล้ว ทุกคนรู้ว่าการแสดงครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว
ซ่งเอ้อโก่วพูดอย่างมีเจตนาแอบแฝง “เจ้าตัวยอมแพ้แล้ว ตาแก่เจียงยังไม่ยอมรับอีกรึไง?”
เจียงซงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก ส่งบัตรธนาคารให้อู๋ฉางสี่ “พวกคุณชนะ! พอใจรึยัง! ไม่คิดจะมีที่ยืนให้คนอื่นบ้างเลยเหรอ?” พูดจบเจียงซงอวิ๋นก็สาวเท้ายาวเดินไปเร็วๆ
ทว่าพอลงเขามาแล้ว เจียงซงอวิ๋นก็เริ่มด่าทอ “ใครมันปล่อยลมยางรถฉันวะ?!…” สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนคนอื่นๆ เห็นอย่างนั้นก็แยกย้ายกัน โดยเฉพาะสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่ที่หนาวจนจะไม่ไหวแล้ว จึงรีบลงเขาไป
“ถุย! ก่อนหน้านี้ทำอะไรไปบ้างล่ะ? ทำไมไม่คิดจะให้ไต้ซือมีที่ยืนบ้าง? พอตัวเองเสียเปรียบก็มาเรียกร้อง ชิ เป็นคนยังไงวะ!” พั่งจื่อมองเงาแผ่นหลังเจียงซงอวิ๋นพลางก่นด่า
“ไต้ซือ ผมจะมีวาสนาได้เรียนอักษรพุทธองค์มังกรบ้างไหม?” ตอนนี้เอง ซุนก้วนอิงเดินมาตรงหน้าฟางเจิ้ง ถามขึ้นอย่างเขินอายเล็กน้อย
“นี่ผู้อาวุโสซุน ท่านพูดเกรงใจไปรึเปล่า? เมื่อกี้ไม่รู้ใครนะที่ช่วยเจียงซงอวิ๋นประจบโอวหยางหวาไจ แถมยังจงใจเข้าข้างอีกฝ่ายอีก” พั่งจื่อเอ่ยถากถาง
ซุนก้วนอิงหน้าแดง แต่ก็โค้งตัวเคารพฟางเจิ้ง “เมื่อกี้เป็นความผิดผมเอง หวังว่าไต้ซือจะไม่ถือสา”
ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ “ไม่เป็นไร อาตมายังเรียนรู้ไม่แตกฉานจะไปสอนคนอื่นได้ยังไง? โยมอย่าให้อาตมาต้องลำบากใจเลย” แต่กลับคิดในใจว่า ‘อาหารบนเขากินคนเดียวยังจะแย่ ถ้าลุงมาอีกคนฉันต้องหิวตายล่ะมั้ง? อีกอย่างฉันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น!’
ซุนก้วนอิงกล่าวลาด้วยความจำใจ เพียงแต่รู้สึกไม่ยินยอมอยู่ในใจเล็กน้อย
คนเหล่านี้ลงเขาไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยย่อมตามลงไปดูแล ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเป็นยังไงก็ตาม แต่หมู่บ้านจะมีชื่อเสียงหรือไม่นั้นก็ต้องหวังพึ่งพวกเขาด้วย
ชาวบ้านคนอื่นๆ เปลี่ยนมุมมองต่อฟางเจิ้ง เอาแต่พูดชมไม่หยุด จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
พอคนเหล่านี้แยกย้าย พั่งจื่อ โหวจื่อ อู๋ฉางสี่ก็เข้ามาใกล้ ยิ้มพูดขึ้นว่า “ไต้ซือ ยินดีด้วยครับ!”
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “พวกโยม ยินดีอะไร? จากนี้ไปอย่าให้มีการประลองแบบนี้อีกนะ”
นี่คือคำพูดจากใจฟางเจิ้ง พอคนเหล่านี้มาวัดก็วุ่นวายไปหมด เหนื่อยจริงๆ อีกอย่างเขาไม่เก่งเรื่องการต้อนรับคน พอคนมากเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก
ครั้งนี้อู๋ฉางสี่ขอให้ฟางเจิ้งทำให้สิ่งที่เหลือวิสัย ทำโดยไม่ได้บอกฟางเจิ้งเลย แต่เมื่อเห็นฟางเจิ้งไม่โกรธเลยถอนหายใจโล่งอก รับปากรัวๆ ว่าจากนี้จะไม่มีครั้งที่สอง!
จากนั้นอู๋ฉางสี่เอ่ยต่อ “ไต้ซือครับ การประลองครั้งนี้มีสัญญาเดิมพันด้วย พวกเราชนะมาหนึ่งล้านหยวน แต่ไต้ซือเป็นกำลังหลัก ดังนั้นพวกเราเลยอยากแบ่งให้…”
………………………………..…………
พอนึกถึงอักษรของตัวเองแล้วมองอักษรตรงหน้า โอวหยางหวาไจพลันพบว่าเขาเหมือนจะเสียเวลาเปล่าไปหลายสิบปี! อักษรของเขาหวัดราวหญ้าที่พลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ยามมองไปก็แค่วัชพืช! แม้แต่ก้นสุนัขยังเทียบไม่ได้ ไม่มีคุณค่า! อักษรตรงหน้าต่างหากคืออักษรที่แท้จริง! หนึ่งอักษรราวกับมังกร สองอักษรเป็นทองคำมหาศาล!
โอวหยางหวาไจชะงักงันอยู่กับที่ ทุกคนเลยแปลกใจว่าอักษรนี้น่าเกลียดขนาดไหน ถึงทำให้โอวหยางหวาไจมีปฏิกิริยาแบบนี้ได้?
ทุกคนเข้ามาดูใกล้ๆ จากนั้นต่างเหมือนถูกฟ้าผ่า…นี่มันอักษรคนเขียนหรือ?
แต่ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งทำงานสุดท้ายเสร็จพอดี เขาปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “ถึงจะน่าเบื่อมากก็เถอะ แต่ชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่ทำให้เสร็จก็เหมือนโดดเรียน จิตใจจะว้าวุ่น…ของวันนี้เสร็จแล้ว ทำตัวตามสบายได้สักที”
ขณะพูดอยู่นี้ ประตูใหญ่ถูกเคาะเสียงดัง
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ประลองก็ประลองแล้ว เขียนอักษรก็เขียนแล้ว ยังมาเคาะประตูทำไมอีก? คนกลุ่มใหญ่มากันแบบนี้ไม่จุดธูปเลย รู้จักแต่ส่งเสียงดัง ไม่มีคุณสมบัติกันบ้างเลย!
ฟางเจิ้งเปิดประตูใหญ่ เห็นแต่คนกลุ่มใหญ่นอกประตูมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
ฟางเจิ้งอึ้งไปก่อน จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก “อมิตาพุทธ พวกโยมเป็นอะไรกัน?”
“เณร เณรเป็นคนเขียนอักษรนั่นจริงๆ เหรอ?” โอวหยางหวาไจถามเป็นคนแรก
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาตมาเขียนเอง ทำไมล่ะ? โยมสงสัยอะไรเหรอ? อาตมาบอกไปนานแล้วว่าอาตมาเขียนอักษรไม่เป็น อักษรที่เขียนเลยดูไม่ได้…”
พอได้ยินฟางเจิ้ง มีหลายคนแทบจะกระอักเลือดซะเดี๋ยวนั้น!
คนที่มาในวันนี้เป็นสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีน ในนี้มีใครบ้างที่ใช้พู่กันไม่เป็น? อักษรที่เขียนเสร็จถึงจะเอาไปขายไม่ได้ แต่เอาไปแลกสุรากินถือว่าไม่มีปัญหา นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาภูมิใจที่สุด…
แต่เมื่อเทียบอักษรพวกเขากับฟางเจิ้งแล้ว แม้แต่อุจจาระยังสู้ไม่ได้! และอักษรที่พวกเขามองเป็นดั่งเทพเจ้ากลับกลายเป็นขยะในสายตาฟางเจิ้ง! แล้วอย่างนั้นอักษรที่พวกเขาเขียนล่ะ? ยังสู้ขยะไม่ได้เหรอ
นี่จะทำให้ขายหน้ากันเกินไปแล้ว!
พอนึกถึงท่าทีลำพองใจของตนในตอนแรก นึกถึงท่าทีที่ดูถูกฟางเจิ้ง นึกถึงว่าเมื่อครู่เพิ่งจะเย้ยเยาะอีกฝ่าย ทุกคนต่างหน้าแดง อยากจะมุดดินหนีไปซะ…น่าขายหน้า! เจ็บปวด!
โอวหยางหวาไจจ้องฟางเจิ้งเขม็ง ส่วนฟางเจิ้งมีสีหน้าแปลกใจ คิดในใจว่า ‘เจ้านี่คงไม่ชอบผู้ชายหรอกมั้ง? ระบบ ถ้าวันนี้ฉันจะฉีกหน้าเจ้านี่ก็ไม่นับว่าผิดศีลหรอกใช่ไหม?’
ระบบตอบกลับอย่างสุภาพมากว่า “นับ!”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เอ่ยอยู่ในใจ ‘นับด้วยเหรอ? เอาเถอะ ดูท่าวันนี้อาตมาต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว…’
“ฉันไม่เชื่อ!” ตอนนี้เอง คนหน้าแบนโพล่งขึ้นมา
“นายไม่เชื่อ?” โหวจื่อโกรธแล้ว กระชากเสื้อคนหน้าแบนพลางว่า “ไหนแกพูดอีกทีซิ?”
“แชะ!” แสงสว่างวาบ โหวจื่อมองไปก็เห็นเฉินจิ้งวางกล้องถ่ายภาพลง ก่อนพูดอย่างมีนัยแอบแฝง “สมกับเป็นหลวงจีนในป่าเขา เขียนอักษรโดยที่ไม่มีใครเห็น บางทีพวกนายอาจจะอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นหยิบอักษรที่เตรียมไว้ออกมา ไม่คุยเหตุผล เอาแต่จะต่อยตี? ป่าเถื่อนจริงๆ!”
โหวจื่อโมโห ชี้หน้าเฉินจิ้ง “แกพูดอะไรระวังปากหน่อย!”
“ฉันระวังมากอยู่แล้ว ไม่ต้องให้แกมาเตือนหรอก” เฉินจิ้งทำเสียงหึๆ
อู๋ฉางสี่พูดด้วยความโกรธ “เฉินจิ้ง แกอย่ามาพูดมั่วนะ! พวกเราเตรียมไว้แล้วอะไร? หัวหน้าสมาคมเจียงซงอวิ๋นเป็นคนออกหัวข้อเอง พวกเราจะเตรียมมาก่อนได้ยังไง ถ้าเตรียมมาก่อนแกจะบอกว่าพวกเราเตี๊ยมมากับหัวหน้าสมาคมเจียงซงอวิ๋นใช่ไหม?”
เจียงซงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็หน้าเขียวปัดไปหมด
เฉินจิ้งเห็นดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ฉีกเป็นแผลแล้ว เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันบอก “หัวหน้าสมาคมเจียงไม่เตี๊ยมกับหลวงจีนในป่าเขาอยู่แล้ว แต่บนโลกก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าดวง! ทำนองรำลึกเซ็กเพ็กมีชื่อเสียงมาก เป็นไปได้ว่าพวกแกมีอักษรของนักเขียนพู่กันจีนชื่อดังอยู่ส่วนหนึ่ง”
“แก…” อู๋ฉางสี่โกรธจนแทบแย่
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เฉินจิ้งหาแต่เรื่องมาตั้งแต่เริ่ม ถูกต่อยตีไปแล้วยังไม่จดจำ น่ารังเกียจจริงๆ!
แต่ว่าเจียงซงอวิ๋นกลับถอนหายใจโล่งอก “ถึงเสี่ยวเฉินจะพูดไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เหตุผลก็ไม่ได้แย่…”
“เจียงซงอวิ๋น คุณไม่อายบ้างรึไง?” อู๋ฉางสี่ต่อว่าด้วยความโกรธ
เจียงซงอวิ๋นเอ่ย “อู๋ฉางสี่ นายระวังคำพูดหน่อย ถึงคำพูดเฉินจิ้งจะมีความน่าจะเป็นที่ต่ำมาก แต่จะตัดทิ้งไม่ได้! คนที่เห็นเณรเขียนมีแค่พวกนาย พวกนายรู้จักกับเขา แล้วฉันจะเชื่อคำพูดพวกนายได้ยังไง? เว้นแต่ให้เณรเขียนอีกครั้ง ถ้าอักษรไม่ต่างกัน ฉันก็พูดอะไรไม่ได้”
“คุณไม่เชื่อคำพูดพวกเขา แล้วถ้าฉันพูดล่ะ?” ตอนนี้เอง จิ่งเหยียนพูดขึ้นมา
“จิ่งเหยียน เธอ…” เฉินจิ้งเห็นจิ่งเหยียนก้าวออกมาพูดแทนฟางเจิ้งก็ร้อนใจ
จิ่งเหยียนไม่มองเฉินจิ้ง แต่กล่าวต่อ “ทำไมต้องให้ยุ่งยากขนาดนี้? ไต้ซือเป็นคนนอก ที่นี่เป็นวัด ไม่เหมาะจะส่งเสียงดัง ไต้ซือไม่ยอมประลองเมื่อกี้ พวกคุณก็ไม่ควรไปบังคับเขา ตอนนี้จะให้ไต้ซือเขียนใหม่อีก? ไม่เคารพผู้อื่นเกินไปหน่อยรึเปล่า พวกคุณต้องการหลักฐานเหรอ? เอากล้องมาที ช่างกล้องฉันบันทึกภาพไว้หมดแล้ว พวกคุณดูก็จะเข้าใจเอง!”
พูดจบเฉินจิ้งพลันโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ตอนแรกเขารู้สึกว่าจิ่งเหยียนแปลกไปเล็กน้อยที่คิดจะฝนหมึกให้เณรนั่น! ตอนนี้จิ่งเหยียนพูดแทนอีกฝ่าย ในใจจึงเกิดความหึงหวงเต็มสิบ
เขาใส่ร้ายฟางเจิ้งเพียงเพราะฟางเจิ้งปล่อยหมาป่ามากัดเขา ทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าจิ่งเหยียน จึงอยากจะแก้แค้นเท่านั้น แต่ตอนนี้ความหึงหวงอยู่เหนือกว่าเรื่องอื่นแล้ว…
“ฉันดูหน่อย!” ตอนนี้เอง โอวหยางหวาไจออกปาก พวกเจียงซงอวิ๋นมองตากันแล้วตามไปทันที
วิดีโอก็เป็นวิดีโอ มีหลายอย่างที่ถ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะพลังและท่วงทำนองตอนฟางเจิ้งเขียน ทว่าอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าฟางเจิ้งเขียนจริงๆ!
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่รู้จะพูดยังไงดี เจียงซงอวิ๋นหน้าแดงเล็กน้อย โดนตบหน้าไปทีหนึ่ง เจ็บนัก!
โอวหยางหวาไจมองเจียงซงอวิ๋น จากนั้นมองฟางเจิ้ง ก่อนพูดเบาๆ ข้างหูเจียงซงอวิ๋น “หัวหน้าสมาคมเจียง เรื่องนี้ผมว่า…”
“ฉันเข้าใจ วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง” เจียงซงอวิ๋นพยักหน้าโดยไม่รอให้โอวหยางหวาไจพูดจบ
“หัวหน้าสมาคมเจียง ตอนนี้ประกาศผลได้รึยัง?” อู๋ฉางสี่ถาม
เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก “อักษรของเณรยอดเยี่ยมจริงๆ มีความยิ่งใหญ่มาก มีความเป็นพุทธ อักษร หายากราวกับภาพวาด มีบุคลิกของปรมาจารย์”
พูดจบ อู๋ฉางสี่ พั่งจื่อ และโหวจื่อเลิกคิ้วขึ้น ฟางเจิ้งขมวดคิ้วเช่นกัน อักษรเขาดีขนาดนั้นเชียว? ทำไมเขาไม่รู้เลยล่ะ? เทียบกับอักษรพุทธองค์มังกรของแท้แล้ว อักษรของเขาเหมือนกับอุจจาระด้วยซ้ำ!
………………………….
ฟางเจิ้งวางพู่กันในมือลง เขาไม่รู้ว่าตนเขียนอย่างไร แต่เมื่อเขียนเสร็จที่เหลือก็ไม่เกี่ยวกับเขามากนักแล้ว แพ้ชนะก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขาสวดไปบทหนึ่ง อาศัยจังหวะที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นก้าวเท้ายาวเข้าไปในวัด จากนั้นปิดประตูใหญ่ เขายังไม่ได้ทำความสะอาดอุโบสถเลย จะมาเสียเวลาไม่ได้!
ฟางเจิ้งสวดบทหนึ่งปลุกคนเหล่านี้ ทว่าตอนที่พวกเขาได้สติกลับมาก็พบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว เหลือเพียงพู่กันกับอักษร!
พวกเขามองตากัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง!
พวกเขาเห็นตอนโอวหยางหวาไจเขียนอักษรแล้ว ภาพพายุคลั่งพัดต้นหญ้าทำให้พวกเขาตกใจ แต่ไม่นึกว่าอักษรที่ฟางเจิ้งเขียนจะแสดงออกมาเป็นม้วนภาพ!
แสดงเสน่ห์ในกวีออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกำลังดูการเขียนอักษร แต่กำลังดูภาพยนตร์จอยักษ์ที่น่าตกใจอย่างหาที่เปรียบมิได้! หลังเพลิดเพลินจบแล้วยังรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเป็นที่สุด!
พั่งจื่อกับโหวจื่อไม่เข้าใจอักษร พอเข้าใจพื้นฐานบ้าง แต่รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าฟางเจิ้งให้ความรู้สึกที่ดีกว่า!
อู๋ฉางสี่กับจิ่งเหยียนเข้าใจอักษร สองคนมองตากัน อู๋ฉางสี่หัวเราะ จิ่งเหยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พอนึกถึงคำพูดที่ตนพูดกับฟางเจิ้งเมื่อครู่ก็หน้าแดง รู้สึกอับอายจนไม่รู้จะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน! ไม่ต้องมองอักษรเธอก็รู้แล้วว่าระดับของฟางเจิ้งสูงกว่าโอวหยางหวาไจไม่ใช่แค่ระดับเดียว! เพียงแต่เธอไม่รู้จะวิจารณ์อย่างไร ทุกอย่างยังต้องดูผลในตอนท้ายสุดด้วย
อู๋ฉางสี่กับจิ่งเหยียนอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ กวาดสายตามองอักษรฟางเจิ้งแวบหนึ่ง จากนั้นดวงตาสองคนพลันเบิกกว้าง ถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เนิ่นนาน!
พั่งจื่อกับโหวจื่อเห็นดังนั้นก็เข้าไปใกล้ มองแวบหนึ่งแล้วถึงกับเหม่อลอย เขาสองคนไม่เข้าใจอักษรจีน แต่ก็ยังมองออกว่าอักษรเหล่านี้สวยงาม! ยิ่งใหญ่! น่าเกรงขาม! อักษรราวกับมังกรและพระพุทธองค์ ในความยิ่งใหญ่แฝงไว้ด้วยความสัตย์ซื่อและใจกว้าง แต่กลับซ่อนคมเอาไว้ เหมือนที่ว่ากันไว้ว่าพุทธศาสนามีเมตตาแต่จะรังแกไม่ได้!
คนเหล่านี้แข็งกลายเป็นหินอีกครั้ง
ทุกคนข้างๆ กำลังโอบล้อมพูดชมเชยโอวหยางหวาไจไม่ขาดปาก โอวหยางหวาไจพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้มาก ถึงแม้รู้ว่าแบบนี้จะทำให้เขาพึงพอใจ แต่ก็ไม่มีใครต้านกระสุนเคลือบน้ำตาลเช่นนี้ได้ ไม่มีใครไม่ชอบฟังคำพูดดีๆ ที่สำคัญที่สุดคือโอวหยางหวาไจถือว่าตนเก่งเหนือใคร เขาคิดว่าตนคู่ควรกับคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด!
โอวหยางเฟิงหวากอดแขนโอวหยางหวาไจไว้ด้วยสีหน้าลำพองใจ แววตาที่มองโอวหยางหวาไจเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
ชุยจิ่นก็เม้มปากยิ้ม พูดคุยกับทุกคนด้วยมาดบุตรสาวของครอบครัวมั่งมี
เจียงซงอวิ๋นกับซุนก้วนอิงก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาคุยกันอย่างคึกคัก ส่วนฟางเจิ้งเหมือนถูกลืมไปนานแล้ว
ตอนนี้เอง ไชฟางสัมภาษณ์ซุนก้วนอิงเสร็จสิ้น จึงคิดจะไปดูว่าของฟางเจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า…
“เณรไม่อยู่แล้ว!”
“หืม?”
“อะไรนะ?”
“หนีไปแล้วเหรอ?!” พริบตานี้ในหัวทุกคนมีความคิดแบบนี้วูบผ่านโดยสัญชาตญาณ จึงพูดออกมาพร้อมกัน
“เณรรูปนี้ไม่มีความรับผิดชอบเลย หนีไปซะอย่างงั้น?”
“เนี่ยเหรอไต้ซือ?”
“ฮ่าๆ…ฉันก็บอกแล้วไง เขาต้องยอมแพ้แน่ แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย!”
โอวหยางหวาไจเห็นดังนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย น่าขายหน้านัก!”
โอวหยางเฟิงหวาเม้มปากพูด “เจ้านี่ จริงๆ เล้ย…เมื่อกี้พูดซะสวยหรู แต่ดันหนีไปซะแล้ว”
“มันพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน จากนี้จะหาแฟนห้ามเอาขยะแบบนี้มาเด็ดขาดรู้ไหม?” โอวหยางหวาไจว่า
โอวหยางเฟิงหวาหน้าแดง พูดงอนๆ ว่า “พ่อคะ หนูยังเด็กอยู่นะ…”
“หนี? แบบนี้ได้ยังไง? ฉันจะไปจับเขาออกมา!” คนหน้าแบนพูดจบก็วิ่งไปที่ประตูวัด เคาะเสียงดังปังๆ
เสียงเคาะที่ว่าทำให้สี่คนที่กำลังมองอักษรอยู่ตื่นขึ้น
“แกจะทำอะไร?!” พั่งจื่อตะโกนด้วยความโมโห ตรงเข้าไปลากคนหน้าแบนลงมา
คนหน้าแบนเพิ่งจะโกรธก็เห็นพั่งจื่อตัวใหญ่บึกเบิกตาโต จึงฝ่อไปทันที ทว่าก็ยังรักษาหน้าไว้ “แกจะทำอะไร? หลวงจีนนั่นไม่แข่งแต่หนีไปแล้ว! ฉันเรียกเขาออกมาจะทำไม?”
“แกใช้ตาหมามองรึไงวะถึงเห็นไต้ซือหนีไป? ไต้ซือเขียนเสร็จแล้ว แกตาบอดรึไง?” พั่งจื่อต่อว่า
“อะไรนะ? เณรเขียนเสร็จแล้ว?” ทุกคนต่างอึ้งงัน คนหน้าแบนมึนงง เขาเห็นฟางเจิ้งหายไปเลยคิดว่าหนี ไม่ได้มองอักษรฟางเจิ้งเลย แต่อีกฝ่ายเขียนเสร็จแล้วต่างหาก นี่จึงน่าขายหน้าเล็กน้อย
ทว่าคนหน้าแบนก็ยังไม่ยอม “ดี ฉันว่านะเขาคงเขียนอักษรเน่าๆ เหมือนแมลงสาบตะเกียกตะกายนั่นแหละ!”
โอวหยางหวาไจได้ยินดังนั้นก็ยังไม่คิดจะมองไป นัยน์ตามีการดูถูกอยู่ลึกๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในที่สุดละครฉากนี้ก็จบสักที”
เจียงซงอวิ๋นกับซุนก้วนอิงมองตากัน ก่อนที่เจียงซงอวิ๋นจะพูดขึ้น “ในเมื่อเณรเขียนเสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอประกาศผล การประลองครั้งนี้…”
“ประกาศ? เจียงซงอวิ๋น คุณหน้าด้านรึไง? คุณยังไม่ดูอักษรของไต้ซือก็จะประกาศแล้วเหรอ?” อู๋ฉางสี่ชี้หน้าเจียงซงอวิ๋น
“อักษรนี่มีอะไรให้น่ามองกัน? คนที่ใช้พู่กันไม่เป็นจะเขียนอักษรที่ดีได้ยังไง? อู๋ฉางสี่ นายเลิกหวังซะเถอะ ครั้งนี้นายแพ้แล้ว” คนหน้าแบนมองอย่างเหยียดหยาม
“แพ้? ฉันน่ะเหรอกลัวแพ้? เจียงซงอวิ๋น ฉันขายหน้ารึเปล่าไม่รู้หรอกนะ แต่คุณจะมาตัดสินมั่วแบบนี้ไม่ได้ เชื่อไหมว่าวันหนึ่งนี้ฉันจะเขียนทุกอย่างที่นี่ส่งไปสำนักพิมพ์ใหญ่ทั่วประเทศ! ถึงตอนนั้นค่อยมาดูกันว่าใครที่จะขายหน้า!” อู๋ฉางสี่กล่าว
เจียงซงอวิ๋นมีสีหน้าเกรี้ยวโกรธทันที “ได้! อู๋ฉางสี่ ฉันจะดูอักษรของเณร แล้วให้นายยอมแพ้ซะ!”
พูดจบเจียงซงอวิ๋นก็ตรงเข้าไป ก้มหน้าลงมอง
เจียงซงอวิ๋นรู้สึกแค่ความคิดขาวโพลน ราวกับเห็นพุทธองค์เขียนอักษรบนฟ้า! พู่กันลากผ่าน มังกรเทพบินฉวัดเฉวียนบนฟ้า ภาพที่พวกโหวจื่อเห็นก่อนหน้านี้เผยขึ้นมาในความคิดเขาทั้งหมด…อักษรที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ เขาเหมือนกับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อย่างไรอย่างนั้น! ดวงตาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว…
“ฮ่าๆ…อักษรของหลวงจีนนั่นน่าเกลียดขนาดนั้นเชียว? น่าเกลียดจนหัวหน้าสมาคมเจียงร้องไห้เลย” คนหน้าแบนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันขอไปดูบ้าง” ซุนก้วนอิงพูดพลางเดินเข้ามา ก้มหน้าลงมอง…ก่อนจะร้องไห้เหมือนกัน…
“อะไรกันเนี่ย? ทำไมร้องไห้อีกคนแล้ว?” ทุกคนไม่เข้าใจ
ซ่งเอ้อโก่วเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามองแล้วร้องว้าว จากนั้นแหงนหน้าล้มไปข้างหลังนั่งลงกับพื้น แล้วพลิกตัวคุกเข่าเอาหัวโขกลงไป “ขอเข้าเฝ้าพุทธองค์! พระพุทธองค์โปรดอย่าถือโทษ…”
“เสแสร้ง! ในหมู่บ้านนี้ไม่มีคนปกติเลยรึไง?” โอวหยางหวาไจเห็นซ่งเอ้อโก่วโอ้อวดเกินจริงจึงพูดด้วยความโมโห เดินเข้าไปหนึ่งก้าว กดลงที่อักษรของฟางเจิ้ง ทำท่าจะพลิกขึ้นมาดูสักหน่อย
แต่ทันทีที่มองไป นัยน์ตาเขาพลันฉายแววตกตะลึง! ภาพอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นี่ต้องมีขอบเขตระดับไหนกันถึงจะเขียนอักษรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้?
…………………………………….….
จิ่งเหยียนชำเลืองตามองอู๋ฉางสี่อย่างดูถูกทีหนึ่ง จากนั้นมองฟางเจิ้งเหมือนกำลังยั่วยุ “เณร นายกล้ารึเปล่า?”
เฉินจิ้งเห็นดังนั้นก็แอบหัวเราะในใจ ‘จิ่งเหยียนทำได้ดีมาก ถ้าก่อกวนสักหน่อยหลวงจีนนี่จะต้องแพ้แน่ ฮ่าๆ…ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นเรื่องตลกจริงๆ! กล้าปล่อยหมาป่ามากัดฉัน? ฉันก็จะให้แกพ่ายแพ้ชื่อเสียงย่อยยับ!’
ทุกคนเช่นเจียงซงอวิ๋น ชุยจิ่น โอวหยางเฟิงหวามองฟางเจิ้งอย่างตึงเครียด แต่ไม่มีใครคิดว่าฟางเจิ้งจะให้จิ่งเหยียนฝนหมึกให้ ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ใหญ่เกินไป แต่ว่า…
ฟางเจิ้งประนมสองมือ ยิ้มบอกอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนสีกาแล้ว”
พูดจบก็พลันเกิดเสียงดังฮือฮา!
“หลวงจีนนี่บ้ารึเปล่า?”
“นี่…”
จิ่งเหยียนก็อึ้งไปเหมือนกัน เธอไม่ได้คิดจะช่วยฟางเจิ้งฝนหมึกจริงๆ แค่หาโอกาสยั่วยุหน่อยเท่านั้น แต่เธอไม่อยากเชื่อว่าฟางเจิ้งจะกล้าให้เธอฝนหมึกให้จริง
แต่ฟางเจิ้งดันตอบตกลง! ตอบรับจนทำเอาเธอตั้งตัวไม่ทัน!
เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าฟางเจิ้งก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน นอกจากจิ่งเหยียนแล้ว คนอื่นๆ ช่วยไม่ได้เลย ดังนั้นรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย อีกทั้งฟางเจิ้งยังไม่คิดว่าจิ่งเหยียนจะทำร้ายเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แบบนั้นฟางเจิ้งไม่เสียหน้า แต่จะเป็นตัวจิ่งเหยียนเอง ด้วยนิสัยหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่คนนี้ เกรงว่าคงไม่ยอมเสียหน้าแน่ๆ
จิ่งเหยียนจ้องฟางเจิ้ง เห็นอีกฝ่ายยอมให้เธอฝนหมึกจริงๆ ก็ถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก้มหน้าลงฝนหมึกให้
เติมน้ำไปเล็กน้อย ฝนเบาๆ หมุนแท่งหมึกเป็นวงกลมในมือ ไม่นานน้ำก็กลายเป็นสีดำเข้ม…
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น!
“อักษรดี!”
“คุณโอวหยาง เขียนได้สวยจริงๆ! สวยมากๆ!”
“สมบูรณ์แบบ!”
“สวย!”
จิ่งเหยียนขมวดคิ้ว ก่อนมองไปโดยจิตใต้สำนึก เห็นโอวหยางหวาไจเขียนเสร็จแล้ววางพู่กันลง โอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นยกกระดาษขึ้นแสดง อักษรข้างบนราวกับพายุคลั่งโถมพืชหญ้า แต่กลับแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและยิ่งใหญ่ในตัวเอง มีความโบราณอยู่หลายส่วน มองแวบแรกจะอ่านกวีไปโดยไม่รู้ตัว ในใจเอ่อล้นไปด้วยความหลงใหลในยุคสมัยโบราณ เลือดเร่าร้อนโหมซัด! เป็นอักษรที่ดีจริงๆ!
เจียงซงอวิ๋นตบโต๊ะยืนขึ้นมา “อักษรดี! อักษรดี! อักษรดี! อักษรดี! ฮ่าๆ…ยินดีด้วยที่คุณโอวหยางพัฒนาไปอีกขั้น ต้องโดดเด่นในงานศิลปะพู่กันจีนทั่วประเทศในปีนี้อย่างแน่นอน!”
“ขอบคุณคำชมจากหัวหน้าสมาคมครับ” โอวหยางหวาไจไม่เกรงใจ รับคำชมจากเจียงซงอวิ๋นไปตรงๆ เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจในอักษรตัวเองอย่างมาก ส่วนฟางเจิ้ง? เขาไม่มองอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เขาผู้สูงศักดิ์ไม่มองฟางเจิ้งเป็นคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ การประลองครั้งนี้ พริบตาที่เขาเขียนเสร็จ เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องชนะแน่นอน!
ไม่เพียงแค่โอวหยางหวาไจ เจียงซงอวิ๋น ซุนก้วนอิงและคนจากสมาคมพู่กันจีนก็ยังคิดแบบนี้
แต่ก็มีคนไม่พอใจเช่นกัน พั่งจื่อตะโกนเสียงดัง “หุบปากสิโว้ย!”
“สหายท่านนี้ นายทำอะไร?” เจียงซงอวิ๋นถามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
พั่งจื่อแค่นยิ้ม “ทำอะไรล่ะ? เมื่อกี้ใครบอกนะว่าตอนประลองห้ามส่งเสียงดัง เดี๋ยวจะกระทบถึงผู้ประลอง! ทำไม? ที่พูดมาเมื่อกี้กลายเป็นลมตดแล้วรึไง?”
โหวจื่อพูดเสริมทันที “สำคัญคือลมตดจากปากดันสูบกลับไปได้ด้วย เก่งกาจจริงๆ! นับถือ!”
เจียงซงอวิ๋นหน้าแดงก่ำ เมื่อครู่เขาเพิ่งด่าไป ตอนนี้ถูกยอกย้อนกลับจึงเงียบปากทันใด ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
ตอนนี้เอง คนหน้าแบนพูดขึ้นว่า “ชิ! คุณโอวหยางเขียนอักษรนั่นคือศิลปะ แต่หลวงจีนนี่ใช้พู่กันไม่เป็นเลย ยังมาบอกว่าเขียนอักษรอีกรึไง? จะเงียบหรือไม่เงียบมีประโยชน์อะไรด้วย หรือว่าพวกนายคิดว่าเขาจะชนะได้?”
สิ้นเสียง พั่งจื่อกับโหวจื่อเหมือนแรงตก พวกเขาก็ไม่คิดว่าฟางเจิ้งจะมีโอกาสชนะเหมือนกัน
คนหน้าแบนเห็นดังนั้นก็ทะนงตน “ดังนั้นนะ ถ้าพวกนายไม่อยากขายหน้าก็ให้หลวงจีนนั่นรีบไปซะ ไม่เขียนก็ถือว่าไม่ขายหน้า…”
พั่งจื่อกับโหวจื่อไม่ยอม ทว่าอีกฝ่ายพูดเหมือนจะมีเหตุผล พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบยังไง
จิ่งเหยียนกวาดสายตามองแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ ยิ่งเธอไม่ชอบหลวงจีนนี่สักเท่าไรก็ยิ่งอดใจถามไม่ได้ “เณร ทุกคนต่างนับถืออักษรของคุณโอวหยางกันทั้งนั้น แถมเขายังฝีกมาหลายปี จะต้องเป็นปรมาจารย์ระดับประเทศแน่นอน นายจะประลองต่อไหม? ขอโทษที่พูดตรงๆ นะ นายไม่มีหวังจะชนะเลย…หืม!?”
ช่วงที่จิ่งเหยียนมองฟางเจิ้งก็ตะลึงค้าง เห็นฟางเจิ้งที่ตอนแรกมองเธออย่างอบอุ่น แววตาพลันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าราวกับบึงน้ำใสโปร่งแสง! ประกอบกับจีวรขาวบนร่าง ผิวพรรณขาวเนียน หัวโล้นสว่างเกลี้ยงเกลา ฉากหิมะขาวรอบตัว ทั้งตัวเขากำลังแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์พิลึกพิลั่น!
คนหน้าแบนทางนั้นยังประจบโอวหยางหวาไจ เจียงซงอวิ๋นกำลังดึงซุนก้วนอิงให้ชมอักษรของโอวหยางหวาไจ พวกชาวบ้านไม่เข้าใจ เห็นทุกคนกำลังพูดให้ร้ายชื่อเสียงฟางเจิ้งเลยเกิดความไม่พอใจ ไม่ว่าจะพูดยังไงฟางเจิ้งก็เป็นคนบ้านพวกเขา! ดังนั้นชาวบ้านไม่น้อยจึงเริ่มโต้เถียงคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน สองฝ่ายปะทะคารมกันดุเดือดมาก จนไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของฟางเจิ้ง
มีเพียงโหวจื่อ พั่งจื่อ รวมถึงอู๋ฉางสี่ที่จ้องฟางเจิ้งตลอดที่พบการเปลี่ยนแปลง เห็นฟางเจิ้งพลันสว่างไสวอย่างยิ่ง ในใจสามคนนี้ร้องขึ้นมาพร้อมกัน แม้จะไม่เข้าใจอักษร แต่ความรู้สึกแบบนี้จากฟางเจิ้งทำให้สามคนมีความหวังเสี้ยวหนึ่งอย่างน่าประหลาด!
เวลานี้เอง ฟางเจิ้งขยับแล้ว เขากดพู่กันลง แต้มหมึกที่จิ่งเหยียนฝนก่อนจะลงพู่กัน!
พริบตานั้น โหวจื่อ พั่งจื่อ อู๋ฉางสี่รวมถึงจิ่งเหยียนเหมือนเห็นสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมาจากฟ้าดังสนั่น! ภาพตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ…
มหานทีเคลื่อนสู่บูรพา กระแสคลื่นล้างสิ้นวีรชนพันปี…
ครืน…
มวลอากาศระเบิดออก สายน้ำจากมหานทีเหมือนพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ข้ามผ่านฟ้าดิน ท่ามกลางเสียงน้ำดังกระหึ่มคลับคล้ายเห็นวีรบุรุษในสมัยสามก๊ก!
ป้อมปราการจีนโบราณ ผู้คนกล่าวว่าคือผาแดงของจิวยี่ยุคสามก๊ก!
หินดาษดาทะลวงฟ้า มหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง ม้วนกระหน่ำดั่งก้อนเมฆา!
……
ภาพตรงหน้าหลายคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง บนฝั่งมหานทีมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง สวมผ้าโพกหัวขนนก บุคลิกองอาจห้าวหาญ ยามยิ้มเอ่ยพายุหินปลิวว่อน สะเทือนกระแทกฝั่ง ลูกคลื่นประหนึ่งหิมะขาว!
เกิดสงครามขึ้น ปรากฏเรือรบ ลูกศรเพลิงเกลื่อนฟ้า ย้อมโลกจนเป็นสีแดงฉาน จุดชนวนมหาธารา…
เสียงเปลวเพลิงลุกโชตช่วง เสียงตะโกนเข่นฆ่า เสียงอาวุธกระทบกัน ร่างวีรบุรุษจำนวนมากขยับวูบผ่านดวงตา! พวกเขาต่างเกิดความรู้สึกเลือดร้อนรุ่มไปทั่วร่าง ดวงตาแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว!
แต่สุดท้ายอาการเลือดร้อนทั้งหมดถูกเสียงน้ำมหานทีกลบ สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่า จางหายไปในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์
ทว่าความตื่นตะลึง ความเสียดาย และปลงอนิจจังในใจกลับไม่จางหาย ในใจทุกข์ระทมอย่างยิ่ง แต่กลับระบายออกไม่ได้ พูดไม่ถูก และยังมีความรู้สึกหดหู่ที่วีรบุรุษสิ้นชีพไป…
“อมิตาพุทธ!”
……………………….
ฟางเจิ้งไม่สนใจคนหน้าแบน แต่พูดกับหวังโอ้วกุ้ย “อาหวัง ผมเรียนมาน้อย เคยได้ยินกลอนกวีมาบ้าง แต่ไม่ได้เรียนมาหลายปีเลยลืมไปนานแล้ว ถ้าไม่หาดูสักหน่อย อาจะให้ผมเขียนอะไรล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ยอึ้งไป โอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นก็อึ้ง เจียงซงอวิ๋นอึ้ง ซุนก้วนอิงอึ้ง…
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เหม่อลอย จากนั้นระเบิดดังโครม!
“เจ้านี่ท่องทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กไม่เป็น? ฮ่าๆ…เขาเรียนหนังสือมากี่วันกันแน่เนี่ย?”
“เรียนไม่รู้เรื่องแล้วยังอยากแสร้งเป็นปรมาจารย์อีก? วะฮ่าฮ่า…”
“อยากเป็นนักเขียนพู่กันจีนผู้โด่งดัง? ฮ่าๆ…ดึงมาตรฐานการเข้ามาเป็นนักเขียนพู่กันจีนของเราให้ตกต่ำเกินไปรึเปล่า? พอได้แล้วละ”
“นี่…น่าตลกชะมัด! ขายขี้หน้า!” ซุนก้วนอิงถอนหายใจ ไม่ว่าจะพูดยังไง วัดเอกดรรชนีก็อยู่ในอำเภอซงอู่ ฟางเจิ้งทำขายหน้า เขาก็รู้สึกขายหน้าไปด้วย
ตอนนี้เจียงซงอวิ๋นไม่มีใจแขวะฟางเจิ้งแล้ว แต่พูดด้วยความเห็นใจว่า “ไอ้หนู…ช่างมันเถอะ ขี้เกียจจะพูดแล้ว”
ฟางเจิ้งพูดแบบนี้ หวังโอ้วกุ้ยจะพูดอะไรได้อีก จึงได้แต่ไปรออยู่ข้างๆ
ทว่าตอนนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นหวังโอ้วกุ้ย ซ่งเอ้อโก่ว หรือชาวบ้านคนอื่นๆ กระทั่งพั่งจื่อและโหวจื่อก็เริ่มสงสัยแล้วว่าฟางเจิ้งเอาชนะไม่ได้ อู๋ฉางสี่ที่มั่นใจว่าฟางเจิ้งต้องชนะยังกังวลเล็กน้อย อักษรที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเทียบกับอักษรที่ฝึกเขียนมานานแล้วย่อมต่างกันอย่างแน่นอน
โอวหยางหวาไจฝึกฝนมาหลายปี รำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กก็เป็นผลงานที่มีชื่อเสียง เขียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว
เมื่อมองฟางเจิ้งอีกครั้ง อย่าว่าแต่เคยเขียนเลย เคยอ่านแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง! ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้มีพื้นฐานดีก็ต้องมีหักคะแนน เทียบกันแบบนี้ อู๋ฉางสี่เริ่มกังวลเล็กน้อยแล้ว ถ้าแพ้ก็จ่ายล้านหยวนนะ! เขาเกิดความรู้สึกเข้าตาจน ยิ่งใจคอไม่ดี นั่งไม่เป็นสุข
ฟางเจิ้งอ่านกวีทั้งหมดอย่างละเอียด จดจำไว้ในใจ สูดลมหายใจเข้าลึกและหลับตาลง เขาพบว่าจำได้ทั้งหมดแล้วในรวดเดียว!
‘เยี่ยม การทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากจริงๆ! เหอะๆ ไม่ได้กินข้าวผลึกอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ท่องพุทธคัมภีร์อย่างเสียเปล่าแล้ว ดี! ตอนนั้นถ้ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่ ถ้าผลการเรียนยังไม่ติดระดับอำเภออีก หลวงตาคงหัวเราะจนฟันร่วงแน่’ ฟางเจิ้งนึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ในใจพลันอบอุ่น คำเย้ยเยาะถากถางของคนข้างนอกเหล่านั้นกลับกลายเป็นไม่สำคัญอีกแล้ว
เมื่อหยิบพู่กันขึ้นมา ฟางเจิ้งก็ต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง เขาใช่พู่กันเป็น แต่ฝนหมึกทำยังไง? อาตมาทำไม่เป็น!
ทุกคนเห็นว่าในที่สุดฟางเจิ้งก็หยิบพู่กันเตรียมจะเขียนแล้ว! ทันใดนั้นทุกคนต่างเพ่งสมาธิ ไม่ว่าเป็นคนที่อยากดูการแสดงละครหรือคนที่มีความหวังอันน้อยนิดต่างก็ยืดคอขึ้น รอดูว่าเณรน้อยจะเขียนอักษรบ้าบออะไรออกมา
แต่ผลสุดท้ายฟางเจิ้งถือพู่กันแล้วก็นิ่งอึ้งไป ทุกคนงุนงงอีกครั้ง เจ้านี่จะใช้อุบายอะไรอีก?
อู๋ฉางสี่ที่นั่งไม่ติดพลันตรงเข้ามาถาม “ไต้ซือ เอ่อ…ทำไมไม่เขียนล่ะครับ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “คือ…ฝนหมึกยังไงนะ?”
อู๋ฉางสี่เวียนหัวจะล้มลง ก่อนถามไปตามจิตใต้สำนึก “เมื่อก่อนไต้ซือไม่เคยเขียนพู่กัน ไม่เคยฝนหมึกเลยหรือครับ?”
ฟางเจิ้งตอบอย่างสบายใจ “พูดจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนพู่กันเลย”
พรวด!
โหวจื่อที่เงียบสงบมาตลอดได้ยินดังนั้นก็พ่นน้ำออกมาเป็นสายรุ้ง พูดว่า “อะไรนะ? ไต้ซือ ไม่เคยเขียนพู่กันมาก่อน?”
เห็นฟางเจิ้งพยักหน้า ในใจโหวจื่อพลันเย็นเยือกไปครึ่งหนึ่ง! เขาเป็นคนออกเงินหนึ่งล้านเลยนะ! ถึงจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายอะไรสำหรับเขา แต่ก็ปวดใจอยู่ดี!
พวกเจียงซงอวิ๋นพูดไม่ออก หลวงจีนที่อู๋ฉางสี่โม้ไว้คนนี้ไม่เคยเขียนพู่กันจีนมาก่อน! นี่…ยังต้องประลองกันอีกหรือ? ใครก็รู้ว่าพู่กันจีนไม่ใช่ปากกาลูกลื่น ไม่ใช่ว่าใครจะเขียนก็ได้ มีความเบาหนักช้าและเร็วของการลงพู่กันตัดสินความหนาบางของอักษรเป็นต้น…การเขียนอักษรดีกับการใช้พู่กันเป็นหรือไม่นั้นมีผลอย่างมาก!
เจียงซงอวิ๋นขี้เกียจหัวเราะเยาะฟางเจิ้งแล้ว แต่กลับพูดด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “เณร จริงๆ เลย…ถ้าเขียนพู่กันไม่เป็นแล้วจะแข่งอะไร?”
อู๋ฉางสี่พลันนึกอะไรออกจึงพูดขึ้น “ไต้ซือเก่งเรื่องเขียนบนหิมะ เขียนบนหิมะได้!”
“อู๋ฉางสี่ เขียนบนหิมะกับกระดาษมันเทียบกันได้รึไง? สิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมคือตัดสินแพ้ชนะในสภาพการณ์เดียวกัน อีกอย่างระดับโลกก็ดี ในประเทศก็ดี มีการประลองที่ไหนเขียนบนหิมะตัดสินว่าอักษรใครดีกว่ากันเหรอ?” เจียงซงอวิ๋นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด โอวหยางหวาไจชนะแน่นอนในสายตาเขา สามเณรนี่ไม่มีโอกาสชนะเลย เขาไม่อยากเปลืองความคิดหาวิธีอื่น
คนอื่นๆ ก็พากันพูดขึ้น ข้อเสนอของอู๋ฉางสี่จึงถูกกลบลงไป
“ทำยังไงดี? เหล่าอู๋ ไต้ซือใช้พู่กันไม่เป็นไม่เท่าไร แต่ฝนหมึกไม่เป็นนี่สิปัญหา ไม่มีหมึกแล้วจะเขียนยังไง?” โหวจื่อพูด
“ฝนหมึกมันจะยากอะไร? ฉันฝนเอง!” พั่งจื่อรูดแขนเสื้อขึ้นจะเดินเข้าไป แต่อู๋ฉางสี่ดึงไว้เสียก่อน “นายเคยฝนเหรอ?”
พั่งจื่อกลอกตามองบน “สมัยนี้แล้วใครจะใช้พู่กันเขียนกัน ถ้าจะเขียนก็ต้องใช้น้ำหมึก ฉันไม่เคยฝนหมึกหรอก แต่ก็แค่ฝนไม่ใช่เหรอ จะยากแค่ไหนกันเชียว?”
“นาย…นายมันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ! การฝนหมึกต้องมีความพิถีพิถันมาก ถ้าออกแรงเยอะจะทำให้เสียเอาง่ายๆ ตรงมุมเสียง่าย น้ำเยอะก็เขียนออกมาจาง น้ำน้อยอักษรข้น ไม่ว่ายังไงอักษรที่เขียนออกมาก็จะไม่มีคุณค่า! ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าทำไมโอวหยางหวาไจถึงไม่ให้ลูกสาวเขาฝนหมึก หรือให้คนอื่นฝนแทน? คนที่ฝนหมึกข้อแรกต้องเชี่ยวชาญ ข้อสองต้องเข้าใจนิสัยของผู้เขียน รู้การเปลี่ยนความหนาบางของหมึก ข้อสามสำคัญที่สุด จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้!” อู๋ฉางสี่ต่อว่า
พั่งจื่อกับโหวจื่อตะลึงค้าง แบบนี้แล้วพวกเขาไม่กล้าเข้าไปจริงๆ โหวจื่อจึงพูดขึ้น “อู๋ฉางสี่ นายไป”
อู๋ฉางสี่ยิ้มแห้ง “ฉันก็รู้แค่ทฤษฎีแหละ ไม่เคยศึกษามาก่อน…หนึ่งล้านหยวนเชียวนะ ฉันไม่กล้าทำหรอก”
ฟางเจิ้งกลุ้มใจมากเหมือนกัน หยิบแท่งหมึกขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะลงมือยังไง เขาได้ยินที่อู๋ฉางสี่พูด คิดว่าฝนๆ ไปก็พอ ตอนนี้เขาลงมือไม่ได้แล้ว อักษรพุทธองค์มังกรสอนเขาแค่เขียนอักษรยังไง แต่ไม่ได้สอนเขาฝนหมึกด้วย!
“ฉันเอง” ตอนนี้เอง มีคนคนหนึ่งเดินมาอยู่หน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็นิ่งอึ้งไป นั่นคือจิ่งเหยียน!
“เณร ขอบอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ชอบหน้านาย อีกอย่างนายกล้าปล่อยหมาป่ามากัดฉัน ความแค้นครั้งนี้ฉันจะจำเอาไว้ชั่วชีวิต! ฉันออกมานี่ไม่ได้จะช่วย แค่รู้สึกว่าภูเขาร้างนี่มันหนาวเกินไป ไม่อยากเล่นกับนายแล้ว รีบจบๆ เรื่องซะ ทุกอย่างจะได้ราบรื่น ดังนั้นจะให้ฉันฝนหมึกรึเปล่าขึ้นกับอยู่นายแล้ว” จิ่งเหยียนเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยความหยิ่งยโส
“ไต้ซือ อย่าให้เธอฝนหมึก การฝนหมึกสำคัญมาก! ถ้าเธอคิดไม่ดีท่านต้องแพ้แน่!” อู๋ฉางสี่ส่งเสียงขึ้นมา
…………………………………..
พูดจบโอวหยางหวาไจสูดลมหายใจเข้าลึก พลันสงบนิ่ง จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มน้ำหมึก บิดคอ เขียนอักษรลงไป ตัวอักษรประหนึ่งลมคลั่งถาโถมพืชหญ้า เป็นหญ้าพลิ้วไหวในตัวอักษรหวัด! เขียนมาตัวหนึ่ง ผู้ชมต่างสงบลง เพ่งมองอักษรของโอวหยางหวาไจด้วยสมาธิทั้งหมด ราวกับถูกอักษรนั้นสูบวิญญาณ
พั่งจื่อกับโหวจื่อก็เข้าไปใกล้ ทว่าสองคนไม่เข้าใจอักษร แต่เห็นอักษรของโอวหยางหวาไจแล้วมีความรู้สึกฮึกเหิมเหมือนมีพายุระดับสิบสองพัดผ่าน พืชหญ้าสะบัดไหวตามแรงลม ความรู้สึกนั้นสมจริงมาก! สองคนมองตากัน ต่อให้ไม่เข้าใจอักษร แต่กลับรู้ว่าอักษรนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!
แต่พั่งจื่อก็ยังเอ่ยเหมือนแฝงคุณธรรมเอาไว้ “อะไรกัน เขียนเหมือนกับแมลงสาบตะกาย มองไม่ออกว่าเป็นอักษรสักนิด…”
“มิตรสหายท่านนี้ นี่คือการประลองศิลปะพู่กันจีน ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามรบกวนผู้ประลอง” เจียงซงอวิ๋นตำหนิทันที
พั่งจื่อถลึงตาโต จะเข้าไปโต้เถียง แต่โหวจื่อดึงไว้ อู๋ฉางสี่ยังพูดเสียงเบา “นี่คือกฏ อย่าก่อความวุ่นวาย อยากช่วยไต้ซือก็เงียบหน่อย”
พั่งจื่อถึงหุบปากลง เหลือบตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่งแล้วก็อึ้งไป เห็นฟางเจิ้งควักมือถือออกมาเล่น! ไม่ได้เขียนอักษร! พู่กันยังวางอยู่บนโต๊ะ ยังไม่ถอดปลอกพู่กันออก ส่วนหมึก? ยังไม่ขยับเลย!
“เวรเอ๊ย ไต้ซือทำอะไรน่ะ? เล่นมือถือในการประลองเนี่ยนะ? ฉันว่าแปลกๆ นะ หรือว่าไต้ซือจะยอมแพ้?” พั่งจื่อพูดโดยจิตใต้สำนึก
สิ้นเสียงทำให้ทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง มองฟางเจิ้งโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเจียงซงอวิ๋นกลับต่อว่า “มิตรสหายท่านนี้ อย่าส่งเสียงดังอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไล่นายออกไป!”
พั่งจื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ส่งเสียง
เจียงซงอวิ๋นเหลือบตามองโอวหยางหวาไจแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายเหมือนคลุ้มคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ ราวกับว่าทั้งตัวเข้าไปอยู่ในสภาวะเสียสติ ไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพั่งจื่อเลย! อักษรก็ดุจดั่งลมคลั่ง ปรากฏบนกระดาษอย่างรวดเร็ว เขียนไปทีละตัวสวยมากจริงๆ!
ซุนก้วนอิงหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่อีกฝั่งเห็นดังนั้นก็อดชมมิได้ “สมกับเป็นผู้มีชื่อเสียง! ไม่ว่าข้างนอกจะวุ่นวายแค่ไหนก็ยังไม่สะทกสะท้าน! เขียนอักษรแค่ไม่กี่สิบตัวแต่เข้าไปอยู่ในสภาวะนี้ได้ พลังของอักษรหลอมรวมกันแล้วเป็นอักษรดี สมกับเป็นนักเขียนพู่กันจีนชื่อดัง!”
เจียงซงอวิ๋นปลงอนิจจัง “อักษรของคุณโอวหยางดีจริงๆ แถมยังดีกว่าเมื่อก่อนอีก! น่าเสียดายหลายปีมานี้คุณโอวหยางเขียนอักษรให้ทุกคนชื่นชมน้อยมาก ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอู๋ฉางสี่ก่อความวุ่นวาย ฉันก็ไม่รู้ว่าอักษรเขาจะอยู่ระดับไต้ซือของประเทศแล้ว! เหอะๆ ดูท่าครั้งนี้ที่ฉันส่งเสริมการประลองจะถูก ครั้งหน้าในการประลองศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศ เมืองเฮยซานพวกเราจะต้องมีหน้ามีตาอย่างแน่นอน”
ซุนก้วนอิงพยักหน้าติดกัน “จริงๆ นะ การประลองศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศครั้งนี้เมืองเฮยซานของเราจะต้องเฉิดฉาย!”
เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า ยิ้มจนปากแทบจะไม่หุบ ก่อนมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อย “หลวงจีนนี่ไม่รู้ทำอะไร เวลาประลองไม่ประลองดันเล่นมือถือ เขาคงยอมแพ้จริงๆ แล้วแหละ”
ซุนก้วนอิงพูดต่อ “พวกที่ชอบเอาใจฝูงชนเพื่อได้รับความเชื่อถือแบบนี้จะมีความสามารถอะไร? ช่างเถอะ วันนี้โชคดีได้เห็นอักษรของคุณโอวหยางก็มาไม่เสียเที่ยวแล้ว ถือว่านี่เป็นคุณูปการเขาแล้วกัน”
เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า “จริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาก่อเรื่อง พวกเราคงไม่มีดวงได้เห็นอักษรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
คนอื่นๆ ก็เห็นในจุดนี้จึงพูดคุยกันเบาๆ
“เฮ้ย เณรนั่นไม่เขียนอักษร ทำไมเล่นมือถือล่ะ?”
“ฮ่าๆ คงรู้ว่าสู้คุณโอวหยางไม่ได้เลยยอมแพ้ล่ะสิ”
“อักษรของคุณโอวหยางเหมือนเทพเขียนเองเลย สวยมาก มีพลังมากด้วย! คงอยู่ระดับเดียวกับปรมาจารย์ระดับประเทศแล้วมั้ง?”
“อักษรแบบนี้ ถ้าเป็นฉันก็ยอมแพ้เหมือนกัน เณรก็ฉลาด รู้ว่าอักษรตนเหมือนอุจจาระสู้อักษรคุณโอวหยางไม่ได้ เลยไม่เขียนซะเลย อย่างที่เรียกกันว่าไม่มีเปรียบเทียบก็ไม่เจ็บตัว”
“ใช่ ไม่เขียนก็ยังรักษาหน้าไว้ได้ ถ้าเขียน พอเทียบกันแล้ว หึๆ…”
…………
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินทุกคนคุยกันก็แอบมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง เห็นฟางเจิ้งเล่นมือถือจริงๆ จึงส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ตอนแรกคิดว่าเณรนี่จะน่าสนใจ จะแตกต่างกับทุกคนบ้าง ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับเติงถูจื่อ[1] ดีแต่ชื่อแต่ปลอมเปลือก น่าเสียดายภายนอกก็ดูดี จิตใจทำให้พระโพธิสัตว์สกปรก มาบวชได้ยังไงกัน?’
จิ่งเหยียนขมวดคิ้วมองฟางเจิ้ง เฉินจิ้งข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “หลวงจีนนี่คงพอแล้วจริงๆ มาเล่นมือถือเวลาประลองแบบนี้ ไม่มีแม้แต่ความกล้าในการประลอง ขยะจริงๆ”
จิ่งเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยกับเฉินจิ้งเป็นครั้งแรก “ใช่ น่าเสียดายภายนอกดูดี ตอนแรกคิดว่าเขาจะต่างไปบ้าง ตอนนี้คงมีความสามารถอยู่เล็กน้อย แค่อยากเล่นตลกเพื่อสร้างชื่อเสียง! อยากให้พวกเราสร้างชื่อให้เหรอ ต่อไปจะให้เขามีชื่อเสียงแน่!”
จิ่งเหยียนพูดจบก็ตรึกตรองอยู่ในใจว่าจะขยายด้านมืดของวัดเอกดรรชนีให้ใหญ่ที่สุดยังไง! เธอจะทำให้วัดนี้เหม็นโฉ่จนถึงที่สุด!
พวกชาวบ้านไม่เข้าใจอักษร แต่ก็รู้ว่าอักษรของโอวหยางหวาไจสวยงาม แต่ฟางเจิ้งกลับเล่นมือถือ เห็นได้ว่าสถานการณ์แปลกๆ ไปเล็กน้อย ถึงคนนอกจะเป็นคนใหญ่โต ทุกคนต้องให้เกียรติก็ตาม แต่ฟางเจิ้งเป็นเด็กจากหมู่บ้าน ตอนนี้เขาเสียเปรียบย่อมร้อนใจเป็นธรรมดา
หวังโอ้วกุ้ยก็เหมือนกัน มองอยู่นานจนอดใจไม่ไหว ปรี่เข้าไปพูดด้วยความโมโห “ฟางเจิ้ง แกทำอะไรอยู่หา? ประลองสิ! แกไม่รู้เหรอ? ยังมีอารมณ์มาเล่นมือถืออีก? ต่อให้อักษรแกไม่สวยก็ต้องเขียน! เป็นลูกผู้ชายแพ้ได้ แต่จะหนีไม่ได้ จะหนีไม่ได้! เจอกับความลำบากแล้วหนีเขาเรียกว่าอะไร?!”
ฟางเจิ้งงุนงง เขาหนี? หนีการประลอง? อะไรกันเนี่ย!
“อาหวัง ผมไม่ได้หนี” ฟางเจิ้งอธิบาย
“ไม่ได้หนีแล้วแกเล่นมือถือทำไม? เอามือถือมานี่ ประลองจบแล้วเดี๋ยวคืนให้” หวังโอ้วกุ้ยทำท่าทางจะแย่งมือถือ
ฟางเจิ้งรีบหลบแล้วยิ้มแห้งๆ “อาหวัง อย่ามาแย่งมั่วซั่วสิ ผมถือมือถือไว้มันต้องมีประโยชน์”
“ประลองอักษร แกถือมือจะมีประโยชน์อะไร?” หวังโอ้วกุ้ยถาม
“ฮ่าๆ สงสัยไต้ซืออยากหาอักษรดีๆ มาเลียนแบบมั้ง” ชายหน้าแบนอีกฝั่งพูดอย่างมีนัยแอบแฝง
“เอาล่ะ คนที่กางเกงไม่เหลือแม้แต่ครึ่งเดียวอย่าพูดเลย ลมเย็นขนาดนี้ไม่หนาวไข่รึไง?” ซ่งเอ้อโก่วรีบตรงเข้ามา พูดประโยคเดียว ทำให้คนหน้าแบนอึดอัดใจจนแทบจะคลำหาอาวุธมาใช้กับซ่งเอ้อโก่ว แต่เห็นซ่งเอ้อโก่วมีท่าทีอันธพาลจึงล้มเลิกความคิดทันที คิดในใจว่า ‘ฉันเป็นปัญญาชน จะมาต่อยตีกับคนหยาบคายไม่ได้ เพราะจะเป็นที่อับอายแก่ปัญญาชน…’
………………………………….…..….
[1] เติงถูจื่อ เป็นบุคคลประวัติศาสตร์จีนที่ถูกมองว่าเป็นคนทะลึ่งลามก
“สองท่านพร้อมรึยัง?” เจียงซงอวิ๋นถาม
โอวหยางหวาไจไม่มองฟางเจิ้ง แต่เงยหน้าพูด “ไม่มีปัญหา”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตาพุทธ”
“ถ้าอย่างนั้น สองท่านประลองพู่กันจีน แน่นอนว่าต้องเขียนอักษรเหมือนกันถึงจะรู้ผลแพ้ชนะ เอาแบบนี้ สองท่านเขียนกวีของซูซื่อ ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก[1] เป็นไง?” แม้เจียงซงอวิ๋นจะถาม แต่ความจริงกลับไม่ให้โอกาสฟางเจิ้งตอบโดยการพูดต่อว่า “ในเมื่อสองท่านไม่มีความเห็นอะไร ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มได้!”
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก นี่ไม่ให้โอกาสเขาออกความเห็นเลย รังแกกันเกินไปรึเปล่า? ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก? เขาเคยอ่านตอนเรียนมาจริงๆ อีกทั้งยังเคยได้สัมผัสความน่าตื่นตกใจจากกวีอันยิ่งใหญ่นั้น แต่ไม่ได้เรียนหนังสือมาหลายปีเลยลืมไปนานแล้ว ตอนนี้ให้เขาเขียน? เขาไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไรเลย!
มองไปที่ด้านโอวหยางหวาไจ พอได้ยินว่าจะประลองกันแบบนี้ นัยน์ตาเขาขยับประกายอย่างชัดเจน มีท่าทีเตรียมพร้อมอยู่ในใจมาแล้วจึงเยือกเย็น
โอวหยางเฟิงหวายิ้มอย่างมั่นใจมาก กลับกันชุยจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไร
โอวหยางหวาไจชำเลืองตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่งก่อนยิ้มเยาะในใจ ถ้าเขียนพุทธคัมภีร์เขาคงไม่มั่นใจมากนัก แต่ให้เขียนกวี? แถมยังเป็นกวีชื่อดังอีก? เขาเลยมั่นใจมาก! นักเขียนพู่กันจีนคนไหนบ้างที่ไม่เคยเขียนกวี? เกรงว่าส่วนใหญ่จะเคยเขียนกัน เคยฝึกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แล้วเขาจะเขียนไม่ดีได้ยังไง? เขาจะแพ้ได้ยังไง? แพ้ให้กับเณรในภูเขาลึกไร้ชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ? ในมุมมองเขา นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
มิหนำซ้ำ…
“ไม่อยากเชื่อว่าจะประลองทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก? เหอะ ครั้งนี้มีของดีให้ชมแล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณโอวหยางเคยเขียนกวีนี้ได้รางวัลใหญ่จากในมลฑลมาด้วย ถึงขั้นเสนอชื่อไประดับประเทศ”
“นั่นเป็นผลงานที่มีชื่อของคุณโอวหยาง น่าตกใจจริงๆ ประลองกวีอื่นก็พูดยาก แต่ประลองกวีนี้ต้องชนะแน่!”
สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนที่รู้จักโอวหยางหวาไจต่างพูดคุยกันเงียบๆ เสียงเบามาก แค่พวกเขาหลายคนใกล้ๆ ได้ยิน แม้แต่โหวจื่อ พั่งจื่อและอู๋ฉางสี่ยังไม่ได้ยิน
ทว่าอู๋ฉางสี่ที่รู้เรื่องนี้พลันกระโดดออกมา “ฉันขอคัดค้าน! นี่ไม่ยุติธรรม! ใช้กวีที่โอวหยางหวาไจชำนาญที่สุดมาประลองกับไต้ซือแบบนี้ รังแกคนอื่นเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
เจียงซงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก “อู๋ฉางสี่ นายเป็นคนเสนอการประลองเอง เป็นคนกำหนดเวลาและสถานที่เอง ทำไม วันนี้ประธานจะเลือกกวีมาประลองก็ไม่ได้เรอะ? ส่วนความยุติธรรม? ปัญญาชนในใต้หล้ามีมากมาย คนที่ฝึกพู่กันจีนมีนับไม่ถ้วน แต่ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กกลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ใช้ในการฝึกกวีบ่อยมาก ถ้ายังเขียนอักษรนี่ไม่ได้อีกจะเขียนอะไรได้? ฉันใช้กวีที่ทุกคนเคยฝึกมาประลองนี่ก็เพื่อความยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วฟางเจิ้งเป็นหลวงจีน ชำนาญการเขียนคัมภีร์ แต่คุณโอวหยางไม่เคยเขียน ไม่เคยฝึก หรือว่าแบบนี้ยุติธรรม?”
อู๋ฉางสี่คิดว่าพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่รู้จะพูดค้านยังไง
สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนคนอื่นๆ ก็ออกมาเห็นด้วย
หนึ่งเป็นนักเขียนพู่กันจีนในเมือง ผู้คนในกลุ่มก๊วนแข็งขัน มีพลังสูง อีกหนึ่งเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีน จึงมีอิทธิพลในกลุ่มก๊วนอย่างมาก พวกเขาย่อมอาศัยจังหวะนี้ประจบประแจง
ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ยอมรับว่าคนนอกอย่างฟางเจิ้งเป็นนักเขียนพู่กันจีน! ในความคิดพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติกับฟางเจิ้งอย่างนักเขียนพู่กันจีน และไม่คิดด้วยว่าฟางเจิ้งเป็นคนในกลุ่มก๊วนพวกเขา
คนหนึ่งอยู่ในกลุ่ม อีกคนอยู่นอกกลุ่ม คนหนึ่งสนิทคนหนึ่งห่างไกล มองปราดเดียวก็เห็นชัด แน่นอนว่าต้องช่วยพูดให้โอวหยางหวาไจ!
โดยเฉพาะหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองซงอู่ที่ถูกฟางเจิ้งปิดประตูปล่อยหมาป่าออกมากัดจนอยู่ในสภาพย่ำแย่ ได้โอกาสระบายความโกรธพอดีจึงจู่โจมฟางเจิ้งเสีย
คนพูดกันเยอะขนาดนี้ อู๋ฉางสี่ไม่มีแม้แต่โอกาสอ้าปาก ถูกกดจนโงหัวไม่ขึ้น
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็จนปัญญา เขาไม่เก่งเรื่องการโต้เถียงต่อหน้า โต้ไปก็ถูกทารุณจนน่วม ในเมื่อเถียงไม่ได้ก็ไม่เถียงมันซะเลย!
ฉะนั้นฟางเจิ้งจึงพูด “อมิตาพุทธ โยมอู๋ ขอบคุณมากที่ช่วยยึดมั่นในความเป็นธรรม แต่ว่าอาตมาเขียนอักษรไม่เป็น แถมยังเอาออกมาดูไม่ได้ คงไม่ใช่เรื่องดี ถ้าอย่างนั้นเขียนอะไรก็ได้เถอะ”
“เณรถือว่ารู้ตัวเองดี! แต่ว่าครั้งนี้ฉันมั่นใจว่าเณรแพ้แน่!” โอวหยางหวาเฟิงยืดคอหงส์ขึ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าลำพองใจ
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไร
เจียงซงอวิ๋นเห็นฟางเจิ้งพูดแบบนี้ ซ้ำยังมีการยอมแพ้แฝงในคำพูด เขาจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม “เณร คนมีคุณค่าที่รู้จักตัวเอง เณรคิดได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลว น่าเสียดาย ไม่ควรสร้างชื่อเสียงด้วยวิธีที่ไม่ควรแบบนี้เลย เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เสียเวลาทุกคนไม่ว่า วันหลังทุกคนคุยกันเรื่องประลองจะกลายเป็นเรื่องตลก”
เจียงซงอวิ๋นไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดถูกจริงๆ วันหลังตอนที่ทุกคนคุยกันเรื่องการประลองพู่กันจีนบนเขาเอกดรรชนี การประลองนี่จะกลายเป็นเรื่องตลกจริงๆ! เป็นเรื่องตลกมากด้วย! เพียงแต่ว่าคนที่ถูกหัวเราะเยาะคือ…
“เณร ฉันว่านะท่านยอมแพ้ไปเถอะ”
“ใช่ รู้ว่าเขียนอักษรไม่ได้แล้วก็อย่าอวดเก่งเลย ยอมแพ้เถอะ”
“ฉันว่าไม่ต้องแข่งต่อแล้ว ใจเขายอมแพ้แล้วล่ะ แข่งไปก็ไม่มีความหมาย”
………
ทุกคนพากันพูดคุย
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแห้งเบาๆ เขามีความสามารถแค่ไหนยังไม่รู้เลย กลับกันเทียบกับอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงแล้ว อักษรเขาห่วยจนมองไม่ได้ จะชนะได้ไหมไม่มีความหมาย อีกอย่างคนพวกนี้เป็นคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน ได้ยินมาว่าพวกเขาเคยเห็นรูปศิลปะพู่กันจีนของฟางเจิ้งบนอินเทอร์เน็ตมาแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ชอบตนขนาดนี้ก็อาจจะไม่สวยจริงๆ ก็ได้
พอคิดได้ดังนั้นจึงยังไม่คิดว่าตนจะชนะได้จริงๆ แต่เขาคำนวณไว้แล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะวัดเอกดรรชนีจะต้องออกข่าวอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ให้ทุกคนรู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ ส่วนชื่อเสียงเสื่อมเสีย? ก็ให้มันเสียไปสิ…
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว คอยดูความสามารถดีกว่า! ยังไม่ได้เริ่มประลองเลยก็พูดไม่หยุดแล้ว พวกแกคิดว่ามันน่าสนุกรึไง? แล้วก็พวกที่สวมกางเกงครึ่งเดียวไม่หนาวเรอะ? ถ้าไม่หนาวก็คุยกันอีกสักชั่วโมง!” ตอนนี้เองพั่งจื่อทนมองต่อไม่ได้จึงตะโกนเสียงดัง
ถ้าเขาไม่พูดยังพอว่า แต่ถ้าพูดเมื่อไร พวกที่กางเกงถูกฉีกขาดพลันรู้สึกถึงลมหนาว ขาแทบจะเย็นเยือก รีบเข้าไปใกล้กองไฟ ขณะเดียวกันมีคนออกไปหาฟืน แต่หน้าหนาวแบบนี้ หิมะเพิ่งตกเสร็จ การจะหาฟืนไม่ใช่เรื่องง่าย ดีที่บนเขามีหญ้าเยอะและก็ไม่มีคนฟันทิ้ง พอกวาดหิมะออก หญ้าแห้งพวกนี้จึงมีประโยชน์
แต่ว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาว เห็นคนพวกนี้หนาวจะเห็นหมาแล้ว เจียงซงอวิ๋นจึงไม่พูดมากอีก แต่ยืนขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อสองฝ่ายไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ถ้าอย่างนั้นฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ เริ่มการประลองได้!”
……………………………………….
[1] ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก เซ็กเพ็กหรือเรียกอีกอย่างว่ายุทธการผาแดง เป็นสงครามสำคัญในปลายราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊ก
ซ่งเอ้อโก่วพูดต่อ “นี่เป็นโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดที่หาได้แล้ว เรียบที่สุด สะอาดที่สุด”
ฟางเจิ้งพูดอย่างจำใจ “เอ่อ ถ้าอาตมาจะเขียนอักษรอะไรก็ได้ทั้งนั้น โต๊ะนี่เป็นโต๊ะชั้นดีเลย…”
“ท่านคิดว่าดีก็ดี เอ่อคนนั้นน่ะใครนะ…คุณว่าโอเคไหม? ถ้าโอเคก็รีบๆ เข้า แต่ถึงไม่โอเคก็เปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี” ซ่งเอ้อโก่วถามต่อ
โอวหยางหวาไจไม่มองซ่งเอ้อโก่วเลย แต่ตบโต๊ะพูดกับพวกหยางผิง “ได้ ขอบคุณที่ลำบากกันนะ”
โต๊ะเตรียมพร้อมแล้ว คนในหมู่บ้านก็มาแล้ว สถานที่คึกคักกว่าเดิม แต่มีบางคนกลับไม่สบายใจ นั่นคือคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน เพราะซ่งเอ้อโก่วรู้ว่าคนพวกนี้อยู่ฝั่งโอวหยางหวาไจเลยพาชาวบ้านมาเสริมนิสัยอันธพาลของเขา ทั้งยังพูดยั่วเย้า เดี๋ยวก็พูดเปรียบกางเกงขายาวขาสั้น เดี๋ยวก็พูดเปรียบทรงผม ทำให้ปัญญาชนกลุ่มนี้แทบจะด่ากราด
แต่อีกด้าน หวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋ว และพวกเจียงซงอวิ๋นจัดสถานที่ประลอง พวกไชฟางกับจิ่งเหยียนตั้งกล้องไว้อย่างดี การประลองที่ฉุกละหุกแบบนี้จัดขึ้นบนพื้นหิมะหนาวเย็น
เดิมทีฟางเจิ้งจะเข้าไปช่วยแต่ถูกเจียงซงอวิ๋นปฏิเสธ พวกเขาว่าจะทำเอง เพื่อห้ทุกคนวางใจได้
ฟางเจิ้งมองค้อน คิดว่าเขาจะโกงการประลองพู่กันจีนได้รึไง? เป็นเช่นนี้เขาก็เลยว่าง ได้แต่มองอยู่ข้างๆ
แต่มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาใกล้ พิจารณามองฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นายเขียนอักษรได้จริงๆ เหรอ?”
ฟางเจิ้งมองเด็กสาวแล้วพยักหน้า “อมิตาพุทธ คุณโยม อาตมาเขียนอักษรไม่เป็น”
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น นายจะยังประลองกับพ่อฉันอีกเหรอ?” เด็กสาวคือโอวหยางเฟิงหวา เธอมองฟางเจิ้งอย่างอึ้งๆ
ฟางเจิ้งมึนงง ไม่นึกเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็นลูกสาวของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน เขาไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชากับโอวหยางเฟิงหวา เพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ “อักษรของอาตมาดูไม่ได้ เลยไม่อยากบอกว่าเขียนอักษรเป็นน่ะ”
ฟางเจิ้งพูดอย่างสบายใจมาก เขาเคยเห็นอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงมาแล้ว นั่นคืออักษรแห่งพุทธ มีความรู้สึกยิ่งใหญ่ นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าตกใจ! อักษรเขาเทียบกับอักษรพุทธองค์แล้วยังดูดีไม่เท่ากับอุจจาระก้อนหนึ่งเลย
โอวหยางเฟิงหวาเห็นฟางเจิ้งพูดอย่างสบายใจก็เชื่อจริงๆ เลยส่ายหน้าเล็กน้อย “นายเขียนอักษรแย่ขนาดนั้น ไม่กระดากอายที่ตัวเองสร้างกระแสเลยเหรอ? เฮ้อ…พูดจริงๆ นะ ฉันว่านายไม่ไหวหรอก พ่อฉันเป็นนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงในเมือง ได้ที่หนึ่งในการประลองพู่กันจีนในเมืองหลายครั้ง! มีลูกศิษย์หลายร้อยคน…”
โอวหยางเฟิงหวาพูดความจริงเกี่ยวกับความเก่งกาจด้านพู่กันจีนของโอวหยางหวาไจจนหมดเปลือก แต่ฟางเจิ้งก็ยังหัวเราะเบาๆ
จะชนะไหมเขาไม่รู้ แต่มีเป้าหมายเพื่อความสนุก หน้าหนาวแบบนี้น่าเบื่อจะตาย! ส่วนแพ้ชนะ? ชนะก็ดี มีชื่อเสียงโด่งดัง แพ้ก็ช่าง อีกฝ่ายเป็นนักเขียนพู่กันจีนมีชื่อ เขาเป็นเณรไร้นาม ใครจะมาหัวเราะเยาะเขาได้? ต่อให้มีอยู่เขาก็ไม่รู้ หรือว่าอีกฝ่ายจะมาด่าเขาที่หน้าวัดกัน?
โอวหยางเฟิงหวาพูดอย่างตรงไปตรงมาจนนักเขียนพู่กันจีนคนหนึ่งจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานเข้ามา “เฟิงหวา อย่าคุยกับเขาเลย หลวงจีนวัดเล็กแบบนี้จะเข้าใจพู่กันจีนได้ยังไง? ถ้าเขาชนะ ฉันจะกินโต๊ะ!”
ฟางเจิ้งชำเลืองตามอง อีกฝ่ายตัวไม่สูง อยู่ราวๆ หนึ่งเมตรเจ็ดสิบ หน้าตาธรรมดา แต่กลับมีความหยิ่งยโส ความหยิ่งที่ว่าไม่ได้มีแค่กับฟางเจิ้ง ต่อให้เป็นตอนที่เจอคนจากสมาคมเมืองซงอู่ก็ยังพกไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกคนพื้นที่เล็กๆ นี่คือคนที่มีทัศนคติเย่อหยิ่งคิดว่าตนสูงศักดิ์ ช่ำชองเรื่องการเย้ยเยาะคนอื่น
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่จำคำพูดอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว
โอวหยางเฟิงหวากลับหัวเราะ “เหลียงอวี้ควน นายพูดเองนะ ถึงตอนนั้นอย่ามาสำนึกเสียใจล่ะ”
“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ!” เหลียงอวี้ควนพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นเอ่ยกับฟางเจิ้ง “เณรน้อย ฉันว่านะนายปิดประตูไม่ร่วมการประลองจะดีกว่า ถึงจะมีชื่อเสียงเสียหายเรื่องหนีการประลอง แต่ก็ดีกว่าแพ้นะ”
ขนาดพระโพธิสัตว์ดินเหนียวยังมีไฟลุกขึ้นหัวสามจั้ง แล้วนับประสาอะไรกับหนุ่มเลือดกำลังร้อน? ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง โยมเตรียมยาแก้ท้องอืดเอาไว้เถอะ”
“ระบบย่อยฉันดี ต้องใช้ด้วยเหรอ?” เหลียงอวี้ควนถามกลับ
ฟางเจิ้งยิ้มแต่ไม่ตอบ ส่วนโอวหยางเฟิงหวาหัวเราะก่อนดึงเหลียงอวี้ควนไป
ไม่นานก็เตรียมการประลองเสร็จ เจียงซงอวิ๋นเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานย่อมมีสิทธิ์เป็นกรรมการตัดสิน ซุนก้วนอิงเป็นผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอเมืองซงอู่ จึงมีสิทธิ์เป็นกรรมการเช่นกัน
ส่วนคนอื่นเป็นผู้ชม
ฟางเจิ้งค้านอะไรกับระบบกรรมการแบบนี้ไม่ได้ ถึงพั่งจื่อจะเห็นต่างก็ไม่มีประโยชน์ นี่เป็นอาชีพเฉพาะทาง คนอื่นๆ เป็นกรรมการไม่ได้
ขณะกล่าว ฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจถูกพามาที่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะปูด้วยกระดาษ วางพู่กันและจานฝนหมึกไว้แล้ว
ทางฝั่งโอวหยางหวาไจ ชุยจิ่นรับผิดชอบการฝนหมึก โอวหยางหวาไจเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางองอาจ เงยหน้ามองฟ้าราวกับในแววตาไม่มีใครมีแค่ตัวเอง
เห็นดังนั้นก็มีคนแอบพยักหน้าไม่น้อย คุยกันว่า “สมกับเป็นปรมาจารย์พู่กันจีนในเมือง แค่การกระทำและจิตวิญญาณก็ต่างกับคนธรรมดาแล้ว ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์อยู่บ้าง”
“พวกเราจะพูดว่าเขาสูงศักดิ์ไม่ได้ ถึงยังไงก็ยังมีปรมาจารย์ที่เขียนเก่งกว่าคุณโอวหยาง แต่ที่นี่ไม่มีใครเทียบเขาได้จริงๆ”
“เหอะๆ ฉันอยากรู้ว่าพอเณรนั่นเห็นอักษรของคุณโอวหยางแล้วจะกล้าเขียนต่อไปไหม”
“เดาว่าแค่คุณโอวหยางลงพู่กันเขาก็ยอมแพ้แล้วล่ะ”
……
ทุกคนพูดพึมพำ ความจริงเสียงไม่เบาเลย ฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจได้ยินชัด ตามหลักแล้วนักเขียนพู่กันจีนจะห้ามให้เกิดเสียงดัง แต่เจียงซงอวิ๋นที่เป็นกรรมการกลับไม่ห้าม แถมยังมีสีหน้าเฉยชาราวกับไม่ได้ยิน ซุนก้วนอิงขมวดคิ้ว อยากจะปรามหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ฟางเจิ้งก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจการเขียนศิลปะพู่กันจีนเสียทีเดียว พอเห็นดังนั้นก็รู้สึกหนาวในใจ ‘การประลองเล็กๆ แบบนี้คนพวกนี้ยังไม่ยุติธรรมอีก มีจิตใจกันแบบนี้ ถ้ามีปรมาจารย์ด้วยก็แปลกน่าดู มิน่าล่ะจีนถึงไม่มีปรมาจารย์ เพราะจิตใจป่วยแบบนี้เอง!’
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ไม่มีได้มีเสียย่อมไม่มีแรงกดดัน เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง รอคอยให้การประลองเริ่มขึ้น
เขาสวมจีวรขาวจันทร์ พูดได้ว่าช่วยขยายสภาพจิตใจและบุคลิกของเขาได้ดี จิตใจเขาสงบนิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นพลางแผ่รัศมีที่ต่างกับโอวหยางหวาไจอย่างชัดเจน!
โอวหยางหวาไจก็เผยความแกร่งกล้าออกมาเหมือนกัน ส่วนฟางเจิ้งนิ่งสงบและเที่ยงธรรม ทุกคนที่มองเขาจะจิตใจสงบโดยไม่รู้ตัว เกิดความสบายและสงบจากใจจริง
………………………………………….…..
ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็ยิ้มด้วยนัยน์ตาเป็นประกายพิลึกพิลั่น หัวเราะเหอะๆ “อีกเดี๋ยวพวกแกได้กินมื้อใหญ่แน่ กล้าหาเรื่องฟางเจิ้งเหรอ? หึๆ…”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ครอบครัวโอวหยางหวาไจกับพวกเจียงซงอวิ๋นคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานก็ขึ้นเขาเอกดรรชนี แม้จะมีหิมะตก แต่ข้างหน้ามีคนเปิดทาง จึงเดินสบายขึ้นมาก
ต่อให้เป็นแบบนี้ คนที่มีตำแหน่งสูงมีชีวิตสุขสบายก็ยังเหนื่อยจนไม่ไหว ตอนที่มาถึงหน้าวัดก็หอบหายใจแรง
เจียงซงอวิ๋นยิ้มแห้ง “เห็นวัดสักที รีบเข้าไปพักเถอะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
พอเงยหน้าขึ้น ตรงประตูมีคนกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ และยังมีคนจุดไฟกำลังผิงไฟ
“พ่อคะ ทำไมมีขอทานเยอะแบบนี้ล่ะ? ทำไมไม่ลงเขาไปหาที่ผิงไฟ มาอยู่หน้าประตูวัดทำไม?” โอวหยางเฟิงหวาเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบา พวกคนหน้าแบนได้ยินเข้าก็หน้าแดง รู้สึกอับอาย
แต่พั่งจื่อกลับหัวเราะเสียงดัง “เด็กน้อย นี่ไม่ใช่ขอทานหรอก เป็นนักเขียนพู่กันจีนของอำเภอเมืองซงอู่ต่างหาก! ขึ้นเขามาแล้วเกิดแรงบันดาลใจ เลยถอดกางเกงเขียนอักษร น่าตื้นตันมากๆ”
โอวหยางเฟิงหวามองคนพวกนี้อย่างสงสัย ก่อนมองโอวหยางหวาไจที่สวมเสื้อผ้าครบและสง่าผ่าเผยพลางส่ายหน้า “ยังอีกไกลไหมคะ?”
เธอกลับไม่รู้ว่าตอนที่คนพวกนี้มามีใครบ้างที่สวมเสื้อผ้าไม่ครบ? หลายคนในนั้นไม่แย่ไปกว่าโอวหยางหวาไจ ถึงอย่างไรนักเขียนพู่กันจีนก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองภายใต้พู่กันกระดาษและจานฝนหมึก เพียงแต่ว่าเป็นใครเมื่อถูกหมาป่าไล่ตามก็ตกอยู่สภาพย่ำแย่กันทั้งนั้น จึงไม่มีเอกลักษณ์อะไรเลย
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ แถมดูมอมแมมจึงถูกชิงความมีชีวิตชีวาไป ตนจะค่อยๆ สกปรกลงจนเป็นดั่งขอทาน
แต่ว่าก็มีคนที่หมาป่าเดียวดายไม่ได้ดูแล อย่างเช่นตาเฒ่าซุนก้วนอิง เขาทำตามกฎวัดอย่างดีมากมาตลอด ฟางเจิ้งให้ทุกคนเงียบเขาก็ให้ศิษย์สองสามคนไม่พูดคุยเสียงดัง กระทั่งคล้อยหลังฟางเจิ้งยังพาศิษย์ออกมาจากวัดก่อน เลยรอดจากการโดนหมาป่าไล่ล่า
โอวหยางเฟิงหวามองแวบแรกก็จำซุนก้วนอิงได้ จึงตรงเข้าไปทัก “ซุนเหล่า นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมถึงเหมือนเพิ่งทะเลาะกันมาเลย?”
“เฮ้อ ให้พูดคงยาว” ซุนก้วนอิงหัวเราะแห้งๆ เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้จริงๆ มันน่าขายหน้า!
คนหน้าแบนก็เบี่ยงประเด็นไป “พี่โอวหยาง มาสักทีนะ รีบเข้าไปสั่งสอนเณรนั่นเถอะ เจ้านั่น…ไม่ใช่คนดีเลย! พวกเราเข้าไปชมในวัดเขาดันปล่อยหมามากัดคน แต่นี่ก็ช่างเถอะ การประลองครั้งนี้ที่ตกลงกันไว้เขาไม่ให้พวกเราเข้าไปประลองในวัด แต่ให้ประลองนอกวัด! พี่ว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ?”
“เริ่นเฉียวอัน นายพูดจริงเหรอ? เณรไม่ต้อนรับพวกนาย แถมยังปล่อยหมามากัดอีก? ซุนเหล่า จริงหรือครับ?” โอวหยางหวาไจถามติดๆ กัน นัยน์ตาฉายแววโมโห! เขาถูกชาวบ้านตรงตีนเขาหลอก เพื่อนพวกนี้ขึ้นเขามายังโดนหลวงจีนนั่นทำร้ายอีก เขารู้สึกแค่ว่ามีควันในท้อง โมโหมาก!
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังนั้นก็ปิดปากเล็ก ทำหน้าตกใจ ก่อนจะแอบขำเล็กน้อย แม้เธอไม่คิดว่าเณรนั่นจะเอาชนะพ่อเธอได้ แต่เธอเริ่มอยากรู้จักหลวงจีนคนนั้นแล้ว
ชุยจิ่นเป็นกังวล หลวงจีนนี่ไร้ศีลธรรมจริงๆ!
“ความจริงอะไร! ทำไมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองทำล่ะ? เข้าไปก่อความวุ่นวายในวัดเขา ท่องกวีหมาไม่รับประทานแบบนั้นเขาปล่อยหมามาก็ถือว่าเบาแล้ว เป็นฉันนะควรจะตบหน้าพวกแกต่างหาก!” พั่งจื่อโต้กลับ
โอวหยางหวาไจหมุนตัวกลับไปมอง เห็นอู๋ฉางสี่นั่งอยู่ข้างพั่งจื่อพอดี
โอวหยางหวาไจไม่สนพั่งจื่อ เขาไม่อยากยุ่งกับอันธพาลแบบนี้ จะได้เลี่ยงปัญหาไปได้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “อู๋ฉางสี่ นายเป็นคนเชิญให้ประลองเองนะ ทำไมล่ะ? กลัวรึไง ไม่กล้าประลอง? ถึงได้ใช้ลูกไม้เลวๆ แบบนี้อยากให้ฉันถอยรึไง?”
อู๋ฉางสี่ได้ยินสิ่งที่โอวหยางหวาไจเจอมาก่อนแล้วจึงผายมือออก “โอวหยางหวาไจ นายอย่าใส่ความคนอื่นจะดีกว่า นายเป็นคนจัดการประลองเอง ไต้ซือไม่รู้เรื่องด้วย เขาไม่ปฏิเสธก็ดีแค่ไหนแล้ว ส่วนเรื่องที่นายเจอ อาจจะเป็นฟ้าลิขิตไว้ตามนิสัยคนมั้ง”
“พูดกับนายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตกลงจะแข่งไหม?” โอวหยางหวาไจไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับอู๋ฉางสี่ บนเขาอากาศหนาว มีสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนกางเกงถูกกัดขาดไม่น้อย ถ้าไม่ได้ผิงไฟคงหนาวแย่ไปนานแล้ว ได้แต่ตัวสั่นกึกๆ ในสายลมหิมะ เหมือนกับขอทานจริงๆ น่าขายหน้าทีเดียว
อู๋ฉางสี่กล่าว “ไต้ซือก็เห็นด้วยกับการประลอง แต่จะจัดในวัดไม่ได้ ฉันไปหายืมโต๊ะไต้ซือมาสองตัว จะจัดประลองข้างนอก”
“ได้เหรอ? อากาศหนาวแบบนี้ มือแข็งพอดี ประลองพู่กันต้องใช้แรง จะเขียนได้ยังไง?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
อู๋ฉางสี่ตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ผิงไฟเอา”
พูดจบ อู๋ฉางสี่ผลักประตูวัดเดินเข้าไปหาฟางเจิ้ง
อู๋ฉางสี่พูดขึ้นว่า “อ้าว จะประลองพู่กันจีนกัน นี่เป็นสิ่งจำเป็นนะครับ”
“ไม่มี…” ฟางเจิ้งส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง ตลกละ ตัวเขายังใช้หินนั่งเป็นประจำ จะเอาโต๊ะเก้าอี้ที่ไหนมาให้คนอื่นใช้
อู๋ฉางสี่ไม่เชื่อ ฟางเจิ้งให้เขาหาก็เลยหาในวัดรอบหนึ่ง นอกจากโต๊ะหมู่บูชาแล้วก็ไม่มีอะไรเหมือนเก้าอี้เลยจริงๆ จึงรู้สึกขมขื่นในใจ
“ไต้ซือ ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอครับ?” อู๋ฉางสี่ถาม
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่มี โยมก็เห็นแล้ว วัดอาตมายากจนมาก อย่าว่าแต่เก้าอี้เลย แม้แต่พู่กันกระดาษจานฝนหมึกยังไม่มี”
อู๋ฉางสี่บอก “พู่กันกระดาษกับจานฝนหมึกผมเตรียมไว้ให้ไต้ซือแล้ว แต่ไม่มีโต๊ะนี่เป็นปัญญา”
พูดจบก็มีเสียงเกรียวกราวดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งกับอู๋ฉางสี่ออกไปดูก็เห็นผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ย เสมียนถานจวี่กั๋ว และนักบัญชีหยางพาชาวบ้านที่จะมามุงดูกลุ่มหนึ่งเข้ามา และในหมู่ชาวบ้านนั้น พวกซ่งเอ้อโก่วกับหยางหวากำลังแบกโต๊ะขึ้นมาด้วย
พอเจอหน้ากัน หวังโอ้วกุ้ยก็แสดงความเคารพโองหยางหวาไจกับพวกเจียงซงอวิ๋นก่อน คนพวกนี้เป็นปัญญาชนในเมือง มาที่กันดารแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เลยต้องใคร่ครวญ ถ้าปัญญาชนพวกนี้มาช่วยป่าวประกาศให้วัดเอกดรรชนีกับหมู่บ้านเอกดรรชนี ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยืมแรงมาพัฒนาได้
ถึงแม้โอวหยางหวาไจกับเจียงซงอวิ๋นจะเย่อหยิ่ง ทั้งยังเป็นคนในเมือง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกหวังโอ้วกุ้ยก็ไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาเกินไป ต่างแสดงความเคารพกันและกัน ถือว่าเข้ากันได้ดี
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งออกมาแล้ว หวังโอ้วกุ้ยพูดขึ้น “เจ้าฟาง…เจ้าอาวาส ได้ยินมาว่าจะจัดการประลองศิลปะพู่กันจีนบนเขากัน ฉันรู้ว่าวัดไม่มีโต๊ะเลยเอาโต๊ะมาให้สองตัว ดูซิว่าได้ไหม?”
…………………………………………..………..
ทุกคนพยายามดันประตูไว้ ฟางเจิ้งผลักหลายครั้งแล้วก็ไม่ไป ด้วยความจำใจจึงออกแรงมือตบเข้าให้!
ปัง!
ประตูเหล็กส่งเสียงดัง สิบกว่าคนล้มระเนระนาดตามกันไป กลิ้งกันเต็มพื้น พวกหน้าสุดก็คลานออกไปข้างนอกโดยไม่หันไปมอง คลานไปพลางร้องโอดครวญ “ช่วยด้วย หมาป่าออกมาแล้ว วิ่ง…”
“วิ่งก็บ้าแล้ว ไต้ซือไม่ใช่หมาป่า” พั่งจื่อกับโหวจื่อเงียบมาตลอด คอยยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างคึกคัก ตอนนี้ถึงค่อยเอ่ยปาก
คนพวกนี้หันไปมอง ตรงประตูใหญ่เป็นหลวงจีนหัวโล้นยืนอยู่จริงๆ ไม่มีเงาหมาป่านั่นเลย
“ไอ้หลวงจีนบ้า แกปิดประตูปล่อยหมาป่า วางแผนจะฆ่าคน!” ชายหน้าแบนชี้หน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งประนมมือ “อมิตาพุทธ ทำไมโยมพูดอย่างนี้ล่ะ?”
“หมาป่าอยู่ในวัดแก ยังไม่ยอมรับอีก แกปิดประตูปล่อยหมาป่ามาไล่พวกเรา ทุกคนก็เห็นแล้ว หรือไม่รู้ว่านั่นคือหมาป่า? เดรัจฉานฟังคนไม่รู้เรื่อง ยากจะฝึกให้เชื่อง มีโอกาสสูงมากที่จะกัดคนตายแกไม่รู้รึไง?” ชายหน้าแบนโต้ตอบ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยม อาตมาไม่เห็นด้วยหรอกนะ โยมบอกว่าเดรัจฉานฟังคนไม่รู้เรื่อง? แล้วถ้ามันฟังคนรู้เรื่องล่ะจะว่ายังไง?”
“ชิ ถ้าหมาป่าฟังคนรู้เรื่อง เราจะไม่ถือสาเรื่องก่อนหน้า” คนอื่นพูดขึ้น ทุกคนก็พากันขานรับ
ทุกคนต่างมองฟางเจิ้งด้วยแววตาดูถูก หมาป่าไม่ใช่หมา ขนาดหมายังต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฝึกฝนหลายปีกว่าจะเข้าใจภาษาคนเล็กน้อย พวกเขาไม่เชื่อว่าเณรตรงหน้าจะฝึกหมาป่าให้เชื่องแบบนั้นได้ มิหนำซ้ำต่อให้หมาป่านี่ถูกฝึกจนเข้าใจภาษาคนจริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ได้จะทดสอบแค่นี้
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “โยม วัดเป็นแดนอันเงียบสงบ โยมเอะอะเสียงดังในวัดไม่เคารพกฎเลยจริงๆ พ่อแม่ไม่สั่งสอน คงเป็นความผิดพ่อแม่โยม อาจารย์ไม่สอน นั่นก็เป็นความผิดของอาจารย์ โตมาขนาดนี้ ถ้าผ่านอะไรมามากมายแล้วยังไม่เข้าใจอีก นั่นก็เป็นความผิดของโยม ช่างเถอะ เห็นแก่ที่โยมเป็นเดรัจฉาน อายุยังน้อย อาตมาตจะไม่สร้างความลำบากให้ รีบออกไปเถอะ”
ชายหน้าแบนรู้สึกว่าคำพูดข้างหน้าดูไม่คล้องจองกันเลย! ไม่เหมือนคุยกับหมาป่า แต่เหมือนกำลังด่าพวกเขา?
โดยเฉพาะคำว่าเดรัจฉานข้างหลัง ทำเอาเขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากมีเรื่องด้วย
แต่พอฟางเจิ้งพูดคำว่าออกไป หมาป่าตัวใหญ่ก็ออกมาจริงๆ!
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกโยมดู แม้เดรัจฉานจะฝึกยาก แต่ก็มีเหตุผล รู้ว่าวัดจะส่งเสียงดังไม่ได้ ให้มันออกมามันก็ออกมา”
พูดจบพวกชายหน้าแบนพลันหน้าแดงก่ำ…ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งให้พวกเขาเคารพกฏ แต่ไม่มีใครฟัง ไม่สนใจ พอเทียบแบบนี้แล้ว หมายความว่าพวกเขาสู้เดรัจฉานไม่ได้รึเปล่า?
ชายหน้าแบนตะโกนด้วยความอับอายและโมโห “ไอ้ลาหัวล้าน แกด่าฉันทางอ้อมเหรอฮะ!”
“แกว่าใครลาหัวล้านหา?” พั่งจื่อกับโหวจื่อได้ยินดังนั้นก็กระโดดเข้ามา เฉินจิ้งขยับไปยืนข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าครั้งนี้ไม่ได้มาหาเรื่องตนจึงสบายใจลงไม่น้อย
ชายหน้าแบนเห็นสองคนนั้นถลึงตามองอย่างโหดเหี้ยมก็หวาดกลัวทันที เขาชี้ฟางเจิ้ง “เณร เป็นนักบวชยังด่าคนอื่นอีก…กะ…แกผิดศีล แบบนี้เรียกว่านักบวชได้เหรอ?”
ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ โยมพูดอะไรอย่างนั้น หรือว่าอาตมาสั่งสอนเดรัจฉานที่ไม่เข้าใจกฎไม่รู้เรื่อง โยมจะสนใจทำไม? อีกอย่างอาตมาพูดถึงหมาป่า ไม่ได้พูดถึงคนเลย? แน่นอนถ้าโยมจะร้อนตัวบอกว่าอาตมาพูดถึงพวกโยม อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ฟางเจิ้งมีสีหน้างงงวย มีท่าทีว่าไม่เข้าใจ
ชายหน้าแบนโกรธแทบจะบ้าตาย ชี้ฟางเจิ้ง “อย่าคิดว่าพวกเราโง่ ทำเป็นตีวัวกระทบคราด คิดว่าพวกเราไม่เข้าใจรึไง?”
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาภพุทธ โยมอยากคิดยังไงก็คิดเถอะ เป็นสิทธิ์ของพวกโยม ทุกคนมาดูนี่ ของของใครเอากลับไปด้วย”
ฟางเจิ้งพูดจบก็ถือเข่งขยะใหญ่ข้างๆ ด้วยมือเดียว ก่อนวางลงตรงหน้าดังปัง แรงทรงพลังทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนตาม!
ชายหน้าแบนเห็นฟางเจิ้งมีแรงขนาดนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่ค่อยกล้าแข็งกร้าวกับฟางเจิ้งแล้ว เขามองของในเข่งขยะใหญ่ สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม เพราะเขาเห็นขากางเกงสองข้างของตน…
คนอื่นๆ มีสีหน้าไม่ต่างกัน เศษซากของตนเองอยู่ในนั้น น่าขายหน้านัก…
ส่วนพวกจิ่งเหยียนที่เห็นมาตั้งแต่เริ่มก็เข้าใจแล้ว ฟางเจิ้งเลี้ยงหมาป่านี่ไว้! ก่อนหน้านี้ปล่อยมาไล่พวกเธอก็อาจจะเป็นฝีมือของหลวงจีนนี่! อีกอย่างถ้าลองคิดดูดีๆ แม้หมาป่าจะดุร้ายแต่กลับไม่ทำร้ายใคร เค้าลางต่างๆ สื่อว่าหลวงจีนนี่เป็นคนบงการ!
ดังนั้นจิ่งเหยียนจึงยิ่งไม่พอใจฟางเจิ้งไปใหญ่ ‘ไอ้คนโกหก หน้าด้านจริงๆ!’
ไชฟางส่ายหน้าเล็กน้อย ถึงวิธีของฟางเจิ้งจะไม่เหมาะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใคร มิหนำซ้ำพวกเขาไร้เหตุผลก่อน จึงพูดอะไรไม่ได้
พั่งจื่อ โหวจื่อ และอู๋ฉางสี่ยืนอยู่ฝั่งฟางเจิ้ง ย่อมไม่พูดอะไรเช่นกัน
ฟางเจิ้งเห็นทุกคนเงียบก็ปิดประตูใหญ่กลับเข้าวัด พอเข้ามาแล้วเขาถอนหายใจโล่งอก เงียบสักที…มียุงเยอะมันน่ารำคาญจริงๆ
ฟางเจิ้งสบายแล้วแต่กลับมีคนกำลังโมโห
“เอี๊ยด!” รถยนต์เบรกกะทันหัน หยุดอยู่ข้างซ่งเอ้อโก่ว
“ไอ้บ้า ไหนแกบอกว่าภูเขาเอกดรรชนีอยู่ทางตะวันตกไง? มันอยู่ตะวันออกนี่ ทำไมถึงหลอกเรา?” รถลดกระจกลง โอวหยางเฟิงหวาขมวดคิ้วต่อว่าด้วยความโกรธ
ซ่งเอ้อโก่วที่ยังกวาดถนนอยู่หันไปมองก็หัวเราะทันที เดิมทีเขาเป็นคนเสเพลในหมู่บ้าน แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็มีวิชาปลิ้นปล้อน เขาบอกว่าสองใครจะกล้าบอกหนึ่ง? ดังนั้นซ่งเอ้อโก่วเลยกอดอกหัวเราะเหอะๆ “เด็กน้อย ไม่เคยเรียนหนังสือรึไง?”
“แกนั่นแหละที่ไม่เคยเรียน! พ่อฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน แม่ฉันเป็นอาจารย์ ฉันอ่านหนังสือมาเยอะกว่าถนนที่แกกวาดอยู่อีก!” โอวหยางเฟิงหวาร้องเสียงดัง
ซ่งเอ้อโก่วพยักหน้า “นั่นฉันเชื่อ ฉันกวาดถนนนี่เท่ากับเธออ่านหนังสือสองเล่มใช่ไหม?”
โอวหยางเฟิงหวาโกรธจนจมูกเล็กแทบจะเบี้ยว
โอวหยางหวาไจรู้ว่าลูกสาวตัวเองฝีปากสู้ชาวบ้านคนนี้ไม่ได้ จึงพูดอย่างเย็นชา “พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน ทำไมต้องบอกทางเราผิดด้วย? นายทำแบบนี้มันใช้ไม่ได้นะ”
ซ่งเอ้อโก่วหาวหวอด “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนแต่ดันเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ อาจารย์ไม่เคยสอนรึไงว่าโลกกลม? คุณไปทางตะวันตก ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็กลับมา ทางตะวันตกรถติด ผมอุตส่าห์ใจดีชี้ทางที่รถไม่ติดให้ แต่พวกคุณมาพูดแบบนี้อีก เฮ้อ…คุยกับพวกคนไม่รู้หนังสือไม่ได้จริงๆ รีบไปเถอะ ผมยังต้องกวาดถนนอีก ไร้วัฒนธรรม ตาหามีแววไม่…”
โอวหยางหวาไจกับโอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังนั้นก็โกรธจนแทบจะลงไปกระทืบคน!
ดีที่โอวหยางเฟิงหวาระงับความโกรธไว้ได้แล้วเหยียบคันเร่งจากไป ดันมาเจอคนน่าโมโหเอาเสียได้
……………………………………….……..
ไชฟางรีบโทรหาโอวหยางหวาไจ
แต่อีกด้านของสายกลับตะคอกด้วยความโมโห “ชาวบ้านบ้านั่นบอกทางฉันผิด…”
โอวหยางหวาไจยิ่งขับยิ่งรู้สึกผิดปกติ ในที่สุดก็เจอชาวบ้านหมู่บ้านอื่นเลยถามทาง ทันใดนั้นก็โมโหใหญ่ มาผิดทาง! เสียเวลาเปล่าไปเกือบชั่วโมง!
ในตอนนี้ไชฟางโทรเข้ามา ก็ได้ยินโอวหยางหวาไจตะคอกด้วยความโมโหพอดี
ไชฟางได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นยิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาแล้วถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
ส่วนฟางเจิ้งเห็นคนมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่รู้จักอีก แววตาที่มองเขาก็เหมือนมองพวกลวงโลก แววตายั่วยุมองเขาจนรู้สึกไม่สบาย จึงเข้าไปหลังลาน เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านข่าว ไม่รู้ควรทำยังไงกับคนพวกนี้ดี เขาจะได้ยินเสียงเย้ยเยาะที่ดูเหมือนระวังแต่จงใจให้เขาได้ยินอยู่ตลอดเวลา
ฟางเจิ้งไปแล้ว พอคนที่ไม่รู้จักเพียงคนเดียวจากไป ในลานก็คึกคักกว่าเดิม ล้อมรอบต้นโพธิ์ด้วยความประหลาดใจ และล้อมรอบใบหน้าเฉินจิ้งด้วยความแปลกใจเช่นกัน…
ฟางเจิ้งรอข้างหลังสักครู่หนึ่งก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ทำไมข้างนอกถึงเสียงดังและก่อความวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ?
‘ไม่ได้การแล้ว คนพวกนี้เสียงดังไปแล้ว’ ฟางเจิ้งออกไปอีกครั้ง
พอออกมาจากประตู ฟางเจิ้งโกรธแล้ว แขกปัญญาชนที่ว่าล้อมรอบต้นโพธิ์ ชี้นู่นชี้นี่ บางคนยังร้องขานกวีเสียงดัง สีหน้าฮึกเหิมนั้นเหมือนกับตัวเองดำดิ่งเข้าไป ฟางเจิ้งฟังหลายท่อนแล้วก็…
“ต้นโพธิ์หนอต้นโพธิ์ เหตุใดเจ้าถึงเขียวชอุ่มเช่นนี้?
“เหตุใดถึงเขียวชอุ่มเช่นนี้? หรือเจ้าไม่รู้กันว่าภาคเหนือเข้าฤดูหนาวแล้ว ควรถอดใบเขียวแล้วสวมด้วยอาภรณ์ใบไม้ร่วง?…”
ฟางเจิ้งสีหน้าดำคล้ำ ถึงเขาจะเรียนมาน้อย แต่ก็เคยอ่านกวีโบราณมาบ้าง เขารู้ว่าอะไรคือกวีโบราณและก็รู้จักกวีสมัยใหม่ ทว่าเขาไม่ชอบกวีสมัยใหม่มาตลอด มักจะรู้สึกว่าคือการเอาภาษาและเนื้อหาในห้องเรียนมาเรียบเรียงใหม่ นี่คือกวีสมัยใหม่ ขาดกลิ่นอายสัมผัสในโครงกวี หรือจะพูดว่าฟางเจิ้งไม่มีรสนิยมทางนี้ก็ได้…
ตอนนี้ได้ยินคนพวกนี้แต่งกวีกันก็อดด่าทอในใจไม่ได้ ‘อะไรกันวะเนี่ย! มาขับกวีเสียงดังกันอยู่ได้!’
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยรีบเข้าไป “อมิตาพุทธ พวกโยม พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ ถ้าจะร้องกวีเชิญออกไปเถอะ”
“เฮ้ย ทำไมเณรพูดอย่างนี้? ปัญญาชนกำลังท่องกวีถือเป็นความงดงาม! ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้มีการประลองของโอวหยางหวาไจ เณรว่าพวกเราจะมาไหม? ต่อให้เชิญพวกเราก็ไม่มาหรอก!” ชายที่กำลังขับกวีไม่พอใจ คนคนนี้หน้าแบน มีรอยแผลบนหน้า บอกว่าเป็นปัญญาชน แต่ฟางเจิ้งคิดว่าถ้าสวมที่ครอบหน้าเหลี่ยมให้เขาจะให้ความรู้สึกเหมือนโจรทันที
“พวกเราขับกลอนในวัดของเณร ข้ามเรื่องเป็นเกียรติมากน้อยแค่ไหนไปก่อน ไม่แน่นะร้อยปีจากนี้อาจจะเหมือนหอคอยเยวี่ยหยางก็ได้ อาศัยกลิ่นอายของปัญญาชนจนมีชื่อเสียงโด่งดังไง” มีคนพูดต่อ
“เณรไม่เข้าใจกวีก็ไม่ต้องมายุ่ง ไปเอาน้ำหลังวัดมาดีกว่า อย่ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของพวกเราเลย”
ฟางเจิ้งฟังเจ้าพวกนี้พูดแสดงความคิดเห็นกันไม่หยุดก็โมโห แต่คงไม่ดีนักถ้าจะแสดงออกมา เขาคิดอะไรออกจึงหมุนตัวจากไป
ครั้นออกไปจากวัด ฟางเจิ้งก็ผิวปาก หมาป่าตัวใหญ่คลานออกมาจากในกองหิมะกองหนึ่ง คือหมาป่าเดียวดายนั่นเอง
“อย่าแอบอู้ ในวัดมีพวกต่ำช้าให้นายไปไล่อยู่ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว! อย่าให้ถึงตาย อย่าให้เห็นเลือด ที่เหลือนายจัดการเองด้วย”
พูดจบฟางเจิ้งก็กลับเข้าไปในวัด
ชายที่พูดจาเย้ยเยาะก่อนหน้าหัวเราะเสียงดัง “เณร ทำไมกลับมาอีกล่ะ? ไหนว่าไม่ชอบฟัง? ไม่ชอบฟังก็ออกไปเดินเล่นเถอะ”
ฟางเจิ้งมองค้อน นี่เป็นคนแบบไหนกัน? นี่มันวัดเขานะโว้ย!
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาภพุทธ พวกโยมมั่นใจนะว่าจะก่อความวุ่นวายที่นี่? อีกเดี๋ยวพระโพธิสัตว์จะลงทัณฑ์ อย่าหาว่าอาตมาไม่เตือนแล้วกัน”
“พระโพธิสัตว์ลงทัณฑ์? ฮ่าๆ ชีวิตนี้ฉันไม่เคยเห็นพระโพธิสัตว์มาก่อนเลย ถ้าได้เจอก็ดีสิ!” เขาหัวเราะเสียงดัง คนอื่นก็หัวเราะตามไปด้วย
จิ่งเหยียน เฉินจิ้ง และไชฟางมองฟางเจิ้ง จากนั้นพลันนึกอะไรได้จึงรีบออกจากวัดไป
กระทั่งไชฟางยังช่วยฟางเจิ้งโน้มน้าวคนพวกนั้นให้ออกมา แต่ไม่มีใครออกด้วย แถมยังข่มขู่ว่าไชฟางไม่ใช่ปัญญาชน ไม่มีความกล้าหาญ!
ฟางเจิ้งเห็นควรว่าจะออกมาได้แล้วจึงปิดประตูใหญ่ จากนั้นไปหลังวัดเปิดประตูหลัง ให้หมาป่าเดียวดายเข้ามา
“อมิตาพุทธ อาตมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ฟางเจิ้งพึมพำ
หมาป่าเดียวดายแสยะยิ้มก่อนเดินออกไป
ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายจากในลาน มีเสียงหมาป่าเดียวดายเห่า และก็มีเสียงปัญญาชนที่กล้าหาญเหล่านั้น ดูคึกคักเอามากๆ
“หมาป่า!”
“แม่งเอ๊ย หมาป่าจากไหนวะ!”
“หมาป่าตัวใหญ่ขนาดนี้เกิดมาจากวัวรึไง?”
“ใครมันปิดประตูวะ? เปิดประตู!”
“อ๊าก ก้นฉัน!”
แควก…
“กางเกง กางเกงฉัน…”
“รองเท้าฉันล่ะ?!”
“ช่วยด้วย…”
สามนาทีต่อมา เมื่อฟางเจิ้งออกมาอีกครั้ง ในลานก็ว่างเปล่า แต่มีเศษผ้ากับรองเท้าเต็มพื้น เหมือนกับตลาดทรุดโทรมอย่างไรอย่างนั้น
ฟางเจิ้งส่ายหน้า หยิบไม้กวาดเข้าไปกวาดมารวมเป็นกองแล้วเอาใส่ถังขยะ ก่อนจะไปเปิดประตู บ้าเอ๊ย ผลักไม่ไป!
ได้ยินเสียงคนข้างนอกดังขึ้น “หมาป่าชนประตูแล้ว! ดันประตูไว้! มาดันประตูเร็ว!”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก นี่คือความกล้าหาญของพวกเขารึ? แข็งแกร่งเกินไปไหม?
จิ่งเหยียนข้างนอกพูดอย่างมีเจตนาแอบแฝง “เฮ้ พวกนายกล้าหาญไม่ใช่รึไง? อยากเจอพระโพธิสัตว์ไม่ใช่เหรอ? เมื่อกี้โอกาสดีเลยแหละ ทำไมไม่คว้าไว้ล่ะ?”
ไชฟางยิ้มแห้ง “ทุกท่าน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไชฟาง จิ่งเหยียน พวกคุณก็รู้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ชายหน้าแบนพูดด้วยความโมโห
ไชฟางเป็นคนไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่คำพูดเขาก็หาเรื่องจริงๆ
กลับกันเฉินจิ้งมองดูอยากสบายใจ ก่อนหน้านี้เขาโดนมาเยอะ เดิมทีมีความแค้นในใจอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังถูกปัญญาชนพวกนี้ล้อมวงกันวิจารณ์อีก ฟังดูเหมือนจะพูดดี แต่มองยังไงก็เยาะเย้ยชัดๆ! ความโมโหในใจไม่มีที่ระบายจนใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว
ตอนนี้เห็นคนพวกนี้เป็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข “รู้อะไรเหรอ? พวกเรารู้แค่ว่าห้ามฝ่าฝืนกฎของคนอื่น มาก่อความวุ่นวายตามอำเภอใจแบบนี้แย่ที่สุดเลย ถูกจัดการก็ปกติแล้วนี่”
เขาพลันลืมไปว่าคนที่ไม่ทำตามกฎก่อนหน้านี้คือเขาเอง…
พวกคนหน้าแบนได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง แต่ก็ยังดื้อรั้น “ฝ่าฝืนกฎอะไร? พวกเราขับกลอน แลกเปลี่ยนวรรณกรรม นี่เป็นสิ่งสวยงาม!”
“เชอะ…พวกนายเรียกว่าวรรณกรรม? ใช้ของสมาคมยังพอว่า พวกนายแค่เขียนอักษรที่พอดูได้ก็เท่านั้นแหละ” จิ่งเหยียนพูดดูถูก
ชายหน้าแบนโมโห แต่เห็นดวงตาจิ่งเหยียนแล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่ากลัวจิ่งเหยียน
ฟางเจิ้งผลักประตูออกมาอีกครั้ง ขาชายหน้าแบนแทบจะอ่อนยวบ เมื่อครู่หมาป่าเดียวดายดูแลพวกเขาเป็นพิเศษ กางเกงถูกฉีกขาดไปครึ่งส่วน ตอนนี้กางเกงขายาวเป็นขาสั้นแล้ว ฤดูหนาวพัดพาลมจากชายหาดฮาวายเข้ามา!
ชายหน้าแบนร้องเสียงดัง “ดันประตู ดันประตูไว้! หมาป่าชนประตูอีกแล้ว!”
……………………………………….
ซ่งเอ้อโก่วมองจนเหม่อลอย ก่อนเกาหัวตอบไปว่า “ไม่ไกล ถ้าเดินไปยี่สิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว แต่ถ้าขึ้นเขายังไงก็ต้องหนึ่งชั่วโมงกว่า ทางบนเขาเดินลำบากด้วย”
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กพลันหมองลง “พ่อ นั่น…ไกลแค่ไหนคะ? พระเจ้า หนูว่าขึ้นไปตายแน่เลย ไม่ไปได้ไหมคะ?”
“คนที่รบเร้าว่าจะมาๆ ก็ลูกไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มาบอกจะไม่ไปอีก ไม่ได้ วันนี้ต้องไป” โอวหยางหวาไจแค่นเสียงหึๆ
ภรรยาโอวหยางหวาไจชุยจิ่นแย้มยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ วันนี้เป็นวันที่พ่อลูกจะประลองศิลปะพู่กันจีนนะ จะไม่ดูเหรอ?”
“เฮ้อ มีอะไรน่าดูกัน? พูดถึงความเท่ หลวงจีนนั่นสู้พ่อไม่ได้อยู่แล้ว พูดถึงความสามารถด้านศิลปะพู่กันจีนจะต้องสู้พ่อไม่ได้อีก เรื่องมั่นใจว่าจะชนะแบบนี้ดูไปก็เท่านั้น?” โอวหยางเฟิงหวาไม่คิดอย่างนั้น
ซ่งเอ้อโก่วได้ยินดังนั้นก็เข้ามาถามใกล้ๆ “พวกคุณจะขึ้นเขาไปประลองศิลปะพู่กันจีนกับฟางเจิ้งเหรอ?”
โอวหยางเฟิงหวาตอบ “ใช่ มีปัญหาอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไร ตอนแรกว่าจะจัดการเจ้านั่นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะชี้ทางสว่างให้ ไปทางนั้น ขับรถเข้าไป หนึ่งชั่วโมงก็ถึงตีนเขาแล้ว” ซ่งเอ้อโก่วชี้ไปทางตะวันตก
“หา? เมื่อกี้คุณบอกว่าไปทางตะวันออกไม่ใช่เหรอ?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
ซ่งเอ้อโก่วแค่นหัวเราะ ยิ้มตอบ “คิดว่าพวกคุณจะขึ้นเขาไปไหว้พระน่ะ เจ้าฟางเจิ้งไม่ใช่คนดีอะไร ผมเองก็ไม่ชอบหน้าเขาเลยบอกทางผิดๆ ให้พวกคุณ แถมยังให้เดินไปอีก จะให้พวกคุณลำบากจนยอมกลับไป ในเมื่อมาหาเรื่องเขา ก็ต้องชี้ทางให้ถูกอยู่แล้ว”
โอวหยางเฟิงหวากลอกตาโต “ฟางเจิ้งคนนั้นแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ พวกคุณไม่มีใครชอบกันเลย?”
“เหอะ ไม่ใช่แค่แย่เท่านั้น แต่ไม่ใช่คนดีอะไร! ลักเล็กขโมยน้อย ต้มตุ๋นคนอื่น มีชื่อเสียงเหม็นเน่าเลยละ” ซ่งเอ้อโก่วพูดเสียงดังมาก พูดตะโกนทั้งประโยคแรกและหลัง
ชาวบ้านที่มามุงดูต่างเข้าใจแล้ว ขบวนรถนี้มาหาเรื่องฟางเจิ้ง เดิมทีได้ยินซ่งเอ้อโก่วพูดไร้สาระเลยจะมีคนออกมาค้าน แต่ตอนนี้ต่างเงียบงัน คนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนอย่างพวกเจียงซงอวิ๋นข้างหลังถามทางพวกเขา ต่างก็ชี้ไปทางตะวันตก
เมื่อมีคนยืนยันมากเข้าพวกโอวหยางหวาไจก็เชื่อ เหยียบคันเร่งไปทางตะวันตก
ซ่งเอ้อโก่วกอดไม้กวาดอันใหญ่ เอียงหมวกเงยหน้าขึ้นมองเห็นขบวนรถออกจากหมู่บ้านไปแล้วถึงถอนหายใจ “บ้าอะไรกันวะ ยังมาหาเรื่องฟางเจิ้งของเราอีก ไปทางตะวันตกนู่น ไปไกลๆ เลย…”
“เหล่าซ่ง!” ตอนนี้เองตู้เหมยตะโกนมา ซ่งเอ้อโก่วตัวสั่น “อะไร?”
ตู้เหมยหัวเราะเสียงดัง “ทำได้ดีมาก เดี๋ยวหยางหวาไปซื้อเหล้ากลับมา ตอนเที่ยงไปกินที่บ้านฉันกัน”
“ดี ตกลง รอฉันกวาดถนนเสร็จก่อนแล้วจะไป” พูดจบซ่งเอ้อโก่วก็โบกไม้กวาด ทำงาน!
คนอื่นๆ เห็นซ่งเอ้อโก่วแบบนี้ก็พากันพยักหน้า หลังจากเจ้านี่ขึ้นเขาไปครั้งก่อนกลับมาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขยันขันแข็งทำเรื่องดี ใครมีปัญหาจะรีบไปทันที ทำงานเร็วปานสายฟ้า ก่อนหน้านี้ทุกคนเรียกเขาว่าซ่งเอ้อโก่ว ตอนนี้ไม่มีใครเรียกแล้ว เอาแต่เรียกกันว่าเหล่าซ่ง
ซ่งเอ้อโก่วเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แววตาทุกคนที่มองเขาก่อนหน้านี้มีการดูถูก ตอนนี้ทุกคนมองเขาด้วยความชื่นชมจากใจจริง แทบทุกวันจะมีคนเรียกเขาไปกินข้าวดื่มสุรา แม้แต่ภรรยาเขายังเร่าร้อนกับเขาขึ้นมาก ลูกๆ ยังเขียนบทความอีกว่าคุณพ่อไอดอลของฉัน
นี่ทำให้ซ่งเอ้อโก่วดีใจมาก พบว่าหลังทำความดีก็ยิ่งคุมไม่อยู่ กระทั่งเสพติดเล็กน้อย
เมื่อเขาขยันขันแข็งก็มีเรื่องดีมาหาถึงบ้าน ช่วยคนอื่นก็จะได้บุหรี่หรือสุราอะไรพวกนี้บ่อยๆ คุณภาพชีวิตสูงขึ้นมาก ดังนั้นซ่งเอ้อโก่วเลยขอบคุณฟางเจิ้งจากใจจริง ไม่ใช่แค่ให้เขาพ้นจากคุก แต่ยังได้เป็นคนใหม่! ดังนั้นแล้วพอได้ยินว่าพวกโอวหยางหวาไจมาหาเรื่องฟางเจิ้ง เจ้านี่ไม่สนว่าคุณจะสวยไหม แต่ไล่ให้ไปทางตะวันตกทันที
ในรถพวกโอวหยางหวาไจ
“หวาไจ คุณมั่นใจในการประลองครั้งนี้ไหมคะ?” ภรรยาโอวหยางหวาไจชุยจิ่นถามอย่างกังวล
โอวหยางหวาไจหัวเราะเสียงดัง “ก็แค่เณรไม่มีความรู้เท่านั้น ต้องชนะอยู่แล้ว ที่สำคัญคือจะชนะอย่างสวยงามด้วย เอาล่ะ วันนี้ทุกคนสบายๆ เถอะ คิดซะว่าพวกเราไปเที่ยวแล้วกัน!”
“ใช่ๆๆ ไปเที่ยว!” โอวหยางเฟิงหวาลูกสาวโอวหยางหวาไจยิ้ม
ชุยจิ่นส่ายหน้าอย่างจำใจ “พวกคุณนี่ เฮ้อ อีกฝ่ายเป็นแค่เณรในวัด คุณทำกับเขาเกินไปรึเปล่า?”
โอวหยางเฟิงหวาหัวเราะหึๆ “เรื่องนี้จะโทษพ่อไม่ได้ ต้องโทษอู๋ฉางสี่นั่น! แล้วก็เณรนั่นด้วย อยากมีชื่อเสียงจนบ้า เอาของปลอมมาหลอกคนอื่น! เหมือนว่าหลวงจีนนั่นจะอายุไม่ต่างกับหนูมากด้วย ต่อให้ฝึกอักษรตั้งแต่ในท้องแม่จะมีความสามารถแค่ไหนกัน? หนูเคยเห็นอักษรบนหิมะมาแล้ว เขาไม่มีทางเป็นคนเขียน! วันนี้พวกเราไม่ได้มาประลอง แต่มาเปิดโปง! ทำลายไอ้คนโกหก ทุกคนต้องรับผิดชอบ!”
“เอาเถอะๆ แม่พูดทีเดียว ลูกรัวไม่หยุดเลย หวาไจ คุณขับช้าลงหน่อย ทางหมู่บ้านมันแคบ” ชุยจิ่นยิ้ม
“รู้แล้ว ขับรถชั่วโมงหนึ่งไม่ใกล้เลยนะ” โอวหยางหวาไจพึมพำ
พวกเจียงซงอวิ๋นข้างหลังก็งงเหมือนกัน ตอนนี้เขาเสียใจเล็กน้อยที่ไม่มีคนจากสมาคมศิลปะพู่พันจีนอำเภอเมืองซงอู่มาด้วยกัน…
แต่ตอนนี้ บนเขา ช่างกล้องของจิ่งเหยียนวิ่งขึ้นมาแล้ว ในที่สุดจิ่งเหยียนก็ได้สวมกางเกงใหม่ กางเกงหนังมีขนมิ้ง ดูแล้วดุดันขึ้นมาก
จิ่งเหยียนเงยหน้าขึ้น เธอไม่เชื่อว่าครั้งนี้ฟางเจิ้งจะขวางเธอได้!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ไม่ขวางและขี้คร้านจะขวาง ดูจากเวลาใกล้จะผ่านช่วงสายแล้ว พวกโอวหยางหวาไจยังไม่มา เขาตรึกตรองว่าจะไปเตรียมข้าวกินดีไหม
ขณะพึมพำ พั่งจื่อกับโหวจื่อแบกน้ำขึ้นมาแล้ว สองคนวิ่งเข้าไปในครัวพลางหอบหายใจแรง เทน้ำ จากนั้นลงไปอีกรอบ
เห็นสองคนนี้ตักน้ำกันเหมือนคนบ้า จิ่งเหยียนจึงมีสีหน้าแปลกใจ พูดเบาๆ ว่า “สองคนนี้บ้ารึเปล่า?”
เฉินจิ้งด่าทอไปเบาๆ “เหนื่อยให้ตายไปเลยไอ้พวกต่ำช้า!”
ตอนนี้เอง ไชฟางเดินเข้ามา “จิ่งเหยียน เรื่องนี้มันแปลกๆ นะ นับเวลาดูแล้วพวกโอวหยางหวาไจน่าจะถึงแล้วสิ ทำไมยังไม่มาอีก?”
“ฉันก็กังวลเหมือนกัน หืม? มีคนมา” จิ่งเหยียนมองไกลๆ เห็นกลุ่มคนกำลังรีบมาทางนี้ มีบางคนที่รู้จักและไม่รู้จัก
“เป็นคนของสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอเมืองซงอู่ ข้างหน้านั่นคุณซุนก้วนอิง!” ไชฟางมองแวบแรกก็จำชายสูงวัยในกลุ่มคนได้ ก่อนจะวิ่งเข้าไปตอนรับราวกับดาวตก
ทุกคนทักทายกัน ซุนก้วนอิงได้ยินว่าพวกโอวหยางหวาไจยังไม่ถึงก็งงเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้? เมื่อเช้าเจียงซงอวิ๋นยังโทรมาหาฉันอยู่เลยว่าพวกเขาจะออกมาเร็วหน่อย ระหว่างทางพวกเราก็ไม่เจอพวกเขา หรือว่าจะไปอีกทาง?”
…………………………………..
“ถือว่าเณรรู้ตัวเองดี” จิ่งเหยียนเย้ยเยาะ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วพูดในใจ ผู้หญิงคนนี้ป่วยรึเปล่า? เขาไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้ อ้าปากแต่ละทีทำไมต้องเย้ยเยาะกันตลอด? ไม่สวมกางเกงแล้วคิดว่าตัวเองดีนักรึไง?
ตอนนี้เองจิ่งเหยียนจะเข้าวัด ฟางเจิ้งรีบเอ่ยด้วยความว่องไว “โยม ช้าก่อน”
“มีอะไรคะเณร?” จิ่งเหยียนขมวดคิ้ว มองฟางเจิ้งอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่ปิดประตูไม่ต้อนรับ พอเข้าไปก็ถูกหมาป่าไล่ออกมา ครั้งนี้ไม่มีอะไรแล้วยังเข้าไม่ได้อีก?
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “โยม วัดเป็นแดนอันเงียบสงบของพุทธศาสนา ขอให้โยมสวมกางเกงก่อนแล้วค่อยเข้าไป”
จิ่งเหยียนได้ฟังดังนั้นก็โกรธทันที หลวงจีนบ้านี่ไม่รู้เรื่องไหนมักถามเรื่องนั้น! จิ่งเหยียนเหมือนกับแมวถูกเหยียบหาง พูดด้วยความโมโห “เณร จงใจหาเรื่องกันรึเปล่าคะเนี่ย? กระโปรงฉันถูกหมาป่าฉีกไปแล้ว เณรก็เห็นนี่?”
“อมิตาพุทธ ถ้าโยมต้องการกระโปรงนั่น อาตมาจะไปหยิบมาให้เอง แต่วัดเป็นแดนที่มีกฎเคร่งครัด อุบาสิกาเข้าไปจะแต่งตัวโป๊ไม่ได้” ฟางเจิ้งตอบ
จิ่งเหยียนโมโหใหญ่ ดึงเลกกิ้งตัวเองพลางว่า “ดูสิ! นี่คือกางเกง! กางเกง! กางเกง! เห็นไหม? นี่กางเกง ไม่ได้โป๊!”
แควก!
พูดจบเกิดเสียงดังแควก กางเกงจิ่งเหยียนฉีกออกมา…
ดีที่มีเสื้อคลุมไว้ ไม่ได้โป๊เปลือย แต่ผู้ชายรอบๆ ดวงตาเปล่งประกายอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าทุกคนเข้าใจความหมายของเสียงนั่น! เพียงแต่ไม่มีคนพูดก็เท่านั้น
ตอนนี้เฉินจิ้งเสียใจภายหลังแล้ว ทำไมเขาต้องเป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นด้วย? ถ้าไม่ให้เสื้อจิ่งเหยียน ไม่แน่อาจได้เห็นอะไรบ้าง…คิดๆ แล้วเลือดร้อนระอุก็ตีขึ้นมา!
ฟางเจิ้งประนมสองมือ ยิ้มหยีตามองจิ่งเหยียน “อมิตาภพุทธ!”
ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความหมายชัดเจนมาก
จิ่งเหยียนหน้าแดงก่ำ ถลึงตาโตจ้องฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งยิ้มมองจิ่งเหยียนด้วยสีหน้าอบอุ่น
สุดท้ายจิ่งเหยียนกระทืบเท้า หันไปพูดกับช่างกล้องว่า “เหม่ออะไร? ยังไม่ลงเขาไปเอากางเกงขายาวในรถมาให้ฉันอีก?”
ช่างกล้องเพิ่งได้สติกลับมาก็รีบวางกล้อง วิ่งลงเขาไป เขาจะยั่วโมโหจิ่งเหยียนไม่ได้ โอกาสประจบดีๆ แบบนี้มาแล้วไม่ทำก็โง่สิ
จิ่งเหยียนกัดฟันถลึงตามองฟางเจิ้ง ทว่าก็ไม่พูดว่าจะเข้าวัดอีก แต่เดินฉุนเฉียวไปข้างๆ หาก้อนหินนั่ง ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ
“เณรครับ พวกเราเข้าไปดูในวัดได้ไหม? จะได้ไปจุดธูปด้วย” ตอนนี้เองไชฟางถาม
ฟางเจิ้งมองไชฟางที่อายุราวห้าสิบกว่าปีด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง แต่ก็ยังเอียงตัวกล่าว “โยม เชิญทางนี้…”
ไชฟางพาเสี่ยวหลัวเข้าวัด อู๋ฉางสี่รีบลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะซื่อๆ พลางเข้าไป หลังจากฟางเจิ้งยอมประลอง เขาได้คำนวณการแพ้ชนะในใจไว้แล้ว เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอักษรของฟางเจิ้งจะต้องชนะอย่างแน่นอน!
เฉินจิ้งมองไชฟางในวัดก่อนมองจิ่งเหยียนที่อยู่เพียงลำพัง จากนั้นเข้าไปใกล้จิ่งเหยียนด้วยความเป็นห่วง
แม้จิ่งเหยียนจะไม่ชอบเฉินจิ้ง แต่ในป่าเขาแบบนี้มีคนข้างๆ อีกคนก็ดีกว่า จึงตอบรับแบบยังไงก็ได้ เหล่าเหมียวยืนอยู่ไกลๆ จะได้ไม่เป็นกว้างขวางคอเดี๋ยวจะถูกด่าเอาได้…
ตอนนี้เอง…
“เณร นี่ต้นโพธิ์เหรอ?” ไชฟางร้องด้วยความตกใจ ทุกคนจึงสนใจทันที
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ โยมสายตาดีนะ เป็นต้นโพธิ์นั่นแหละ”
“ไม่มีทาง ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ภาคใต้ ทำไมมาอยู่ภาคเหนือล่ะ อีกอย่างมันไม่แข็งตายด้วย หน้าหนาวแบบนี้ยังแตกใบอีก มันมีสติปัญญาหรือว่าเป็นพันธุ์ผสม?” เฉินจิ้งยืดคอเข้าไปมองข้างในพลางพูดเบาๆ
จิ่งเหยียนมีสีหน้ามึนงงเหมือนกัน เข้าไปใกล้ประตูแต่ไม่ได้เข้าไป เดี๋ยวหลวงจีนบ้านั่นจะว่าเอาได้ “ต้นโพธิ์จริงๆ! มัน…แปลกเกินไปรึเปล่า?” พูดจบจิ่งเหยียนก็มองฟางเจิ้ง
ใบหน้าฟางเจิ้งมีเส้นสีดำอึมครึม บอกต้นไม้แปลกแล้วมองกันทำไม? เขาทำถูกต้องทุกอย่าง!
ไชฟางเดินล้อมรอบต้นโพธิ์หลายรอบ ให้เสี่ยวหลัวถ่ายภาพเก็บไว้เยอะมาก นี่ต้องเป็นข่าวแน่นอน ส่วนจะข่าวใหญ่แค่ไหนกลับไปก็รู้เอง ทว่าอย่างน้อยได้ลงหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดีแล้ว มีต้นโพธิ์แบบนี้อยู่ถือว่ามาไม่เสียเที่ยว!
จิ่งเหยียนวิ่งเข้าไปแบกกล้อง เข้าไปไม่ได้เหรอ? ฉันก็จะยืนถ่ายอยู่ตรงนี้โอเคไหม?
เฉินจิ้งกับเหล่าเหมี่ยวตามไป…
แต่อู๋ฉางสี่แทบจะร้องไห้ เขามาถึงก่อนใคร ครั้งก่อนมัวแต่สนใจอักษรฟางเจิ้งจนพลาดข่าวนี้ไป! สำนักข่าวเขามาคนเดียวแต่ดันให้คนอื่นไปแบบนี้ อย่าพูดเลยว่าจะบอบช้ำในใจขนาดไหน แต่อู๋ฉางสี่ก็ฉลาด หยิบกล้องมือถือออกมาถ่าย จากนั้นแชร์ลงเวยป๋อ ลงในหน้าข่าว! ถ้าฉันไม่ได้ก่อน พวกนายก็อย่าหวัง
จิ่งเหยียน ไชฟาง เฉินจิ้งมองมาด้วยแววตาจะฆ่าคน แต่อู๋ฉางสี่ทำเป็นมองไม่เห็น
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ไปจุดธูปไหว้พระกัน” ไชฟางพูดจบก็พาเสี่ยวหลัวเข้าไปในอุโบสถ พอเงยหน้าขึ้นไชฟางตะลึงงัน พระแม่กวนอิมปางประทานบุตร!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าตอนที่เขาบอกว่าจะจุดธูป ทำไมฟางเจิ้งถึงมองเขาแบบนั้น อายุห้าสิบกว่าแต่ขอลูก? ไอ้เวรเอ๊ย!
แต่ไชฟางก็มีไหวพริบดี “เสี่ยวหลัว นี่คือพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร แกไปขอสิ”
ตอนแรกเสี่ยวหลัวไม่รู้จักพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรจึงแทบจะคุกเข่าลง พอได้ยินว่าปางประทานบุตรจึงยิ้มแห้งๆ “อาจารย์ไช ผมยังไม่มีแฟนเลยจะขอลูกทำไม ตัวเองไม่ไหวแล้วรึไงครับ?”
ทั้งสองคนหมดปัญญา ได้แต่ถอยฉากออกมา
ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าประตู ถอนหายใจด้วยความเศร้าในใจ “ระบบ เมื่อไรจะให้เทพองค์อื่นล่ะ พระโพธิสัตว์มารึยัง? แค่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรองค์เดียวเสียธูปไปกี่ดอกแล้ว?”
“ติ๊ง! ร่างสถิตพยายามหาเงิน พยายามทำภารกิจก็จะมีโอกาสได้เอง สู้ๆ นะ”
‘สู้ๆ เตี่ยแกสิ…’ ฟางเจิ้งพูดเบาๆ ในใจ หาเงินง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ ส่วนภารกิจ? ภารกิจธูปร้อยดอกเขาไม่เห็นความหวังเลย มิอย่างนั้นคงไม่ร่วมการประลองครั้งนี้ เขาทำไปไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงกับแสงธูปรึไง?
ขณะเดียวกันตรงตีนเขา ขบวนรถแล่นเข้ามาในหมู่บ้านเอกดรรชนี ดึงดูดสายตาชาวบ้านจำนวนมาก บนถนนมีชายคนหนึ่งกำลังใช้ไม้กวาด เปลือยกายท่อนบน กวาดหิมะดังแกรกๆ ทำงานจนไอร้อนลอยขึ้นฟ้า พอได้ยินเสียงรถก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น ซ่งเอ้อโก่วที่เข้าใจผิดคิดว่าตนฆ่าคนนั่นเอง
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตใจซ่งเอ้อโก่วเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อดีตเอ้อระเหยลอยชาย ตอนนี้มีความฮึกเหิมเต็มสิบ ราวกับมีพลังไม่มีสิ้นสุด
“เหล่าเซียง[1] วัดเอกดรรชนีไปยังไง?” กระจกรถลดลงมา โอวหยางหวาไจเอ่ยถาม
“พวกคุณจะไปวัดเอกดรรชนีเหรอ? เดินตรงไปตามทางนี้ พวกคุณเอารถมากันเยอะเกิน เข้าไปแล้วคงออกมาลำบาก จอดไว้ในหมู่บ้านเถอะแล้วเดินเข้าไป” ซ่งเอ้อโก่วตอบ
“เดินเข้าไป? แล้วไกลแค่ไหน?” ใบหน้างามยื่นออกมาจากในรถ นั่นคือลูกสาวของโอวหยางหวาไจ…โอวหยาวเฟิงหวา
…………………………………
[1] เหล่าเซียง คือคำใช้เรียกคนบ้านเมืองเดียวกัน
ประกอบกับเรื่องที่ฟางเจิ้งทำเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา จึงไม่กลัวว่าจะถูกเห็น ในใจเขาไร้กังวล จิ่งเหยียนย่อมมองไม่เห็นอะไร เธอทำได้แค่พูดในใจต่อไปว่า ‘ถึงอายุยังน้อย แต่มีอุบายหลอกลวงลึกล้ำ!’
ถ้าฟางเจิ้งรู้ความคิดจิ่งเหยียนเดาว่าจะต้องกระอักเลือดสามครั้ง ร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแน่
อู๋ฉางสี่รีบตรงเข้าไป “ไต้ซือ เอ่อ ท่านว่ายังไงกับการประลองครับ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “โยม พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ เรื่องการประลองค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ถ้าจะจุดธูปไหว้พระเชิญข้างใน ถ้าไม่มีอะไรทุกคนตามสบาย” พูดจบฟางเจิ้งก็จะกลับเข้าไป
“ไต้ซืออย่าเพิ่งไปสิครับ เรื่องนี้เกี่ยวถึงชีวิตคนนะครับ!” อู๋ฉางสี่เห็นฟางเจิ้งปฏิเสธการประลองอย่างเด็ดเดี่ยวจึงพูดขึ้นด้วยความปราดเปรียว
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
อู๋ฉางสี่เห็นความหวังจึงพูดต่อ “ไต้ซือ เรื่องเป็นแบบนี้ ครั้งก่อนผมมาที่นี่โชคดีได้เห็นไต้ซือเขียนอักษรบนหิมะ อักษรนั่นสวยมาก มีความน่านับถือมากเลยถ่ายรูปไว้ อยากจะแบ่งให้ทุกคนดู ของดีๆ แบบนี้ให้ทุกคนชื่นชมด้วยกันก็ไม่เลวไม่ใช่หรอครับ?”
ฟางเจิ้งคิด นี่ก็เป็นเรื่องดี ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เขาเลยพยักหน้า
อู๋ฉางสี่พูดต่อ “ปัญหาคือมีคนไม่เชื่อ! บอกว่าภาพถ่ายผมเป็นของปลอม ท่านที่เขียนอักษรบนหิมะก็ปลอม ปลอมทุกอย่าง! ผมอู๋ฉางสี่เป็นนักข่าว ทำงานสายนี้มายี่สิบปี ต้องมีความซื่อสัตย์และสัจจะอยู่แล้ว ชื่อเสียงที่ดีมาตลอดยี่สิบกว่าปีจะถูกทำลายแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอมเลยไปโต้เถียงกัน แต่เขากลับด่าผมว่าเป็นพวกโกหก! เรื่องนี้ไต้ซือทนได้ แต่ผมทนไม่ได้!
ชีวิตนี้ชื่อเสียงถูกทำลายจนป่นปี้ก็เท่ากับฆ่าชีวิตผม! ผมเป็นนักข่าว ถ้าไม่มีใครเชื่อผมจะเหลืออะไร? วันนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ไม่ได้ผมจะยังมีหน้ามีชีวิตต่อไปได้เหรอ? ถ้าวันนี้ต้องตายก็ช่าง!”
ฟางเจิ้งมองอู๋ฉางสี่ อู๋ฉางสี่ก็มองฟางเจิ้งด้วยความโมโห
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “โยมพูดมีเหตุผล แต่ยังไม่ถึงกับตายหรอก”
ฟางเจิ้งเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นในสามวันของคนอื่น ถ้าอู๋ฉางสี่จะต้องตายจริงๆ เขาจะไม่มีทางมองไม่เห็น ในเมื่อไม่เปิดภาพนิมิต เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าเจ้านี่พูดหลอกฟางเจิ้งเท่านั้น เขาไม่ชอบถูกใครหลอกเอามากๆ หรือความรู้สึกถูกใช้ประโยชน์ จึงหมุนตัวเดินไป
“ไต้ซือ ไต้ซือ…อย่าไป! เกี่ยวพันถึงชีวิตคนจริงๆ นะ ผมเดิมพันไว้หนึ่งล้าน ถ้าแพ้ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาชดใช้! ถึงตอนนั้นไม่ว่ายังไงครอบครัวผมก็ต้องล้มละลาย! ท่านเห็นคนจะตายก็ต้องช่วยสิ!” อู๋ฉางสี่พุ่งเข้าไปกอดขาฟางเจิ้งไว้แน่นพลางร้องอ้อนวอน
ฟางเจิ้งจนปัญญาแล้ว เช้าตรู่แบบนี้มีนักข่าวพิลึกมากันหลายคนก่อน จากนั้นก็เป็นอันธพาลไร้เหตุผล จะให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้รึไง? แถมยังมีคนมากขนาดนี้ พูดขอร้องอ้อนวอน แม้แต่ธูปยังไม่ไปจุด พวกแกตะโกนขอร้องโดยไม่กระดากอายเลยรึไง?
ถึงฟางเจิ้งจะไม่พอใจ แต่คำพูดอู๋ฉางสี่ก็ยังส่งผลเล็กน้อย หนึ่งล้าน! หนึ่งล้านนั่นมันเงินเท่าไร? ฟางเจิ้งนับนิ้วดูแล้วก็นับไม่พอ! พวกเขาเดิมพันด้วยเงินมากขนาดนี้เลยเหรอ? โง่จริงๆ…ถ้ามีเงินเยอะก็บริจาคไปสิ ไม่เห็นหรือไงว่าทุกวันนี้ฟางเจิ้งยากจนถึงขั้นกินข้าวเปล่าแต่ไม่มีผักดอกน่ะ?
“อมิตาภพุทธ โยม ปล่อยมือเถอะ อาตมาร่วมการประลองไม่ได้จริงๆ มันไม่มีความหมายอะไร ทำไมพวกโยมต้องทำแบบนี้?” ฟางเจิ้งยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ
“เณรคะ ใครบอกว่าการประลองครั้งนี้ไม่มีความหมาย?” ตอนนี้เองจิ่งเหยียนตรงเข้ามา
ฟางเจิ้งถามกลับ “ขอถามโยมหน่อย มีความหมายอะไร?”
“มีความหมายมากเลยล่ะ ตอนนี้วัฒนธรรมจีนเสื่อมถอย วัฒนธรรมข้างนอกรุกรานเข้ามา ดูเด็กๆ ของพวกเราสิ ใช้ดินสอเขียนหนังสือ ใช้ปากกาลูกลื่น ปากกาหมึกซึม มีใครใช้พู่กันไหมล่ะ? และดูในห้องเรียนพวกเรา ความสำคัญของภาษาสู้ภาษาต่างประเทศไม่ได้! แล้วก็ชื่อพวกเด็กๆ ใช้ชื่อต่างประเทศกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ อ้าปากทีต้องมีคำภาษาอังกฤษสองสามคำ ดูต่างกับทุกคน ดูเป็นคนชั้นสูง สังคมป่วยๆ แบบนี้ ลองค้นลึกลงไปสิ วัฒนธรรมของเราไม่แพร่หลายแล้ว วัฒนธรรมเรากำลังหายไป เด็กๆ กำลังเดินหลงทาง ถูกวัฒนธรรมต่างชาติดึงดูด ตอนนี้ดูเหมือนเป็นการประลองของคนมีชื่อเสียงระหว่างอู๋ฉางสี่กับโอวหยางหวาไจ แต่ความจริงมันคือโอกาสดีที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรม!
แค่พวกเราป่าวประกาศเรื่องนี้ก็จะให้อักษรของสองท่านลงบนหน้าบทความได้ ให้สังคมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ สนใจการเขียนพู่กันจีน หรือว่านี่ไม่ใช่ความหมายเหรอ? อีกอย่างอู๋ฉางสี่เป็นนักข่าวจริงๆ นักข่าวไม่มีชื่อเสียงแล้วจะมีอะไรอีก? ไม่มีอะไรเลย!
นอกจากนี้ฉันขอเตือนเณรหน่อยนะ ตอนแรกโอวหยางหวาไจสงสัยว่าศิลปะะพู่กันจีนของเณรเป็นของปลอม อู๋ฉางสี่วิ่งเต้นไปทั่วเพื่อยืนยันชื่อเสียงให้เณร แต่โอวหยางหวาไจใช้อุบายให้เขาตกงาน! ตอนนี้เขาบอกว่าเป็นนักข่าว แต่ความจริงไม่เหลืออะไรไปนานแล้ว!
เข้าร่วมการประลองเพื่อคนแบบนี้เพื่อตัวเอง เพื่ออู๋ฉางสี่ เพื่อวัฒนธรรมประเทศ หรือว่าไม่ควรรับอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีความหมายเลยอย่างนั้นเหรอ?” จิ่งเหยียนพูดออกมาหมดด้วยเสียงดังกังวานและมีพลัง
ฟางเจิ้งฟังจนพูดไม่ออก เขาเรียนไม่จบมัธยมด้วยซ้ำ จะไปพูดเอาชนะจิ่งเหยียนนักเรียนคะแนนดีเด่นได้ยังไง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายที่เป็นนักข่าวกินอักษรเป็นอาหารอยู่แล้ว! สำคัญคือตอนที่ผู้หญิงคนนี้โต้เถียง เหมือนจะดุกว่าผู้ชายเล็กน้อย ปัจจัยทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ฟางเจิ้งแทบจะยกธงขาว
แต่ฟางเจิ้งก็อึดอัดใจเหมือนกัน มีใครไม่อยากสร้างชื่อเสียงบ้าง! แต่ระบบไม่ยอม! เขามีใจแต่ไม่มีกำลัง! จะระบายความอึดอัดใจให้ใครได้บ้างล่ะ?
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อมิตาพุทธ โยมพูดมีเหตุผล แต่ประลองในวัดไม่ได้จริงๆ พวกโยมกลับกันไปเถอะ”
“นี่เณร ทำไมหัวแข็งแบบนี้? ประลองที่วัดไม่ได้ พวกเราลงเขาไปประลองก็ได้นี่?” เฉินจิ้งว่า
ไม่พูดถึงเรื่องนี้ยังไม่เท่าไร พอพูดถึงแล้วฟางเจิ้งโมโหกว่าเดิม! ลงเขา? เขาก็อยากลงเขาเหมือนกัน! แต่ลงไม่ได้!
ฟางเจิ้งจึงส่ายศีรษะ “วัดนี้มีอาตมาคนเดียว จะลงเขาได้ยังไง? พวกโยม…”
“ไม่ต้องลงเขา! ไต้ซือ ในวัดไม่เหมาะประลอง พวกเราก็ประลองนอกวัด! ยอดเขาใหญ่ขนาดนี้ ออกจากวัดไกลหน่อยก็ไม่รบกวนพระโพธิสัตว์แล้วไม่ใช่เหรอ?” อู๋ฉางสี่ตบเข้าที่หน้าผากก่อนร้องเสียงดัง
ฟางเจิ้งอึ้งไป ใช่! ประลองในวัดไม่ได้ก็ออกไปสิ!
เขาเลยถามในใจ ‘ระบบ ออกไปประลองไม่มีปัญหาใช่ไหม?’
“ติ๊ง! ได้สิ”
ฟางเจิ้งดีใจใหญ่จึงพยักหน้า “ช่างเถอะ พวกโยมพูดถึงขนาดนี้แล้ว อาตมาก็ได้แต่ตอบตกลงแล้ว แต่ว่าอักษรอาตมาธรรมดา ไม่ได้สำคัญอะไร ถ้าแพ้หรืออักษรดูไม่ได้ พวกโยมอย่าหัวเราะเยาะแล้วกัน”
ฟางเจิ้งก็ไม่โง่ อักษรตนดีไม่ดีนั้น ความจริงคือเขายังขาดคนพินิจพิเคราะห์คุณค่าอยู่ ในเมื่อโอวหยางหวาไจเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีนจะต้องมีฝีมือลึกล้ำแน่นอน เขาไม่อยากพูดให้ดูมั่นใจนัก พอถึงตอนนั้นหน้าแตกขึ้นมาคงไม่ได้สร้างชื่อเสียงแต่ขายหน้าแทน
………………………….…….
หลังสองคนเข้าไปแล้ว ไชฟางก็พบว่ารั้งพั่งจื่อไว้ไม่อยู่! โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง เหล่าเหมียวกับเสี่ยวหลัวที่ขวางกลางไว้สอดมือเข้าไปไม่ได้ ไชฟางเข้าใจแล้ว สองคนนี้ก็โกรธเหมือนกัน ไม่ช่วยต่อยตีเฉินจิ้งก็ถือว่าให้เกียรติแล้ว
ไชฟางเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขารู้ว่าเฉินจิ้งทำเกินไป ปากไม่มีหูรูด ถูกต่อยบ้างก็สมควร
ตอนนี้เองพั่งจื่อยิ่งต่อยยิ่งโมโห อาศัยจังหวะนี้หยิบหินก้อนหนึ่งจะขว้างไป
โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปดึงไว้ ทะเลาะได้ ไม่ถึงตายไม่พิการ แค่เจ็บปวดก็พอ แต่การใช้หินนี่จะเอาชีวิตกันแล้ว! ทว่าพั่งจื่อโมโหมาก สะบัดแขนเหวี่ยงสองคนออกไป ก่อนหยิบหินจะขว้าง
ตอนนี้เอง…
“ปัง!” เสียงเปิดประตูหนักอึ้งดังขึ้น!
“อมิตาพุทธ!” เสียงสวดดังมาจากในประตูวัด มือพั่งจื่อที่ชูขึ้นสูงพลันหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาแดงเริ่มเป็นปกติ เหลือบมองประตูวัดเอกดรรชนีข้างๆ เห็นฟางเจิ้งชุดคลุมขาวยืนอยู่ สองมือประนมมองเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและอบอุ่น
เมื่อเห็นฟางเจิ้ง ความดื้อรั้นในใจพั่งจื่อพลันหายไปมากกว่าครึ่ง รู้สึกว่าใช้หินไม่เหมาะจึงรีบโยนทิ้งไป
ฟางเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ทะเลาะวิวาทข้างนอก ด่าทอร้ายกาจแบบนั้น เขาไม่ใช่คนหูหนวกย่อมได้ยิน หนูนั่นก็ตกใจจนหนีไปแล้ว ฟางเจิ้งออกมาดูสถานการณ์ เขานอนหมอบอยู่บนสันกำแพง โผล่มาแค่หัวโล้น คอยดูอย่างเพลิดเพลิน…
แต่ว่าตอนที่พั่งจื่อหยิบหินเขานั่งเฉยไม่ได้ จะต้องห้ามไว้ นี่จะเอาชีวิตกันแล้ว!
แต่ในใจฟางเจิ้งไม่คิดว่าถึงชีวิต ถึงยังไงเนตรสวรรค์ก็มองไม่เห็นอนาคตของเฉินจิ้ง อธิบายได้ว่าเฉินจิ้งไม่ตาย แต่ถ้าขว้างหินไปก็เจ็บน่าดู…เว้นแต่จะมีคนขวางไว้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะเกินไป ฟางเจิ้งตรึกตรองไม่ทันจึงตบประตูใหญ่พุ่งออกมาตะโกนเสียงดัง เขาไม่หวังว่าเสียงตะโกนจะได้ผล ถึงยังไงเขาก็ใช้เสียงสิงโตคำรามแห่งพุทธอะไรพวกนี้ไม่ได้ ซ้ำยังใช้วิชาตัวเบาไม่ได้อีก เลยไม่อาจลงมือหยุดพั่งจื่อในพริบตาได้ เสียงตะโกนครั้งนี้แค่ทำอย่างสุดความสามารถเท่านั้น
ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าหลังจากพั่งจื่อกับโหวจื่อขึ้นเขามาครั้งก่อนจะเชื่อฟังเขา ตอนลงเขาไปยังเลื่อมใสเขามาก อีกทั้งหลังจากโหวจื่อเจออุบัติเหตุจริงๆ แล้วรอดตายมาได้นั้น พั่งจื่อเคารพฟางเจิ้งดั่งเทพเจ้า เสียงตะโกนของเขามีผลพอๆ กับเสียงตะโกนของแม่พั่งจื่อ ได้ผล!
ตอนที่พั่งจื่อหยุดมือขณะเกรี้ยวโกรธได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
เห็นพั่งจื่อหยุดมือ ฟางเจิ้งก็ถอนหายใจโล่งอก “โยม อภัยได้ก็อภัยเถอะ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?”
พั่งจื่อยืดคอตรง “ไต้ซือ ไอ้นี่มันด่าผมได้ ผมต่อยมัน โดนมันด่าสองทีไม่เข้าเนื้อหรอก แต่มาด่าแม่ผมไม่ได้!”
โหวจื่อเห็นฟางเจิ้งออกมาก็รีบเตะก้นพั่งจื่อ “ไต้ซือให้นายหยุดก็หยุดสิวะ”
ฟางเจิ้งคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตโหวจื่อ จึงเคารพดั่งเทพเจ้ายิ่งกว่า
พั่งจื่อเห็นโหวจื่อพูดจึงลุกขึ้นอย่างไม่พอใจมาก
เฉินจิ้งเห็นว่าในที่สุดพั่งจื่อก็ลุกขึ้น จึงอ้าปากร้องไห้! วันนี้เขาขายหน้าผู้หญิง ขายหน้าต่อหน้าหญิงงามของตน เขาเสียใจ…แต่ว่าเฉินจิ้งเพิ่งจะอ้าปากร้องไห้
เพียะ!
พั่งจื่อก็พลิกมือตบปากก่อนด่าทอ “หุบปาก! พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ ถ้าร้องอีกทีฉันจะลากแกไปต่อยหลังเขา!”
เฉินจิ้งคับแค้นใจราวกับสาวใช้ถูกกระทำ น้ำตาคลอ อดกลั้นเอาไว้ สะอื้นแต่ไม่กล้าออกเสียง
“ยังร้องอีกเหรอ?” พั่งจื่อถลึงตามอง
เฉินจิ้งตอบกลับด้วยความขมขื่น “ฉันถูกแกต่อยจนเป็นแบบนี้แล้วไม่ร้องไห้จะให้หัวเราะรึไง?”
“ใช่! มาวัดเช้าตรู่แบบนี้จะร้องไห้ทำไม? หัวเราะ! หัวเราะสิ! หัวเราะเดี๋ยวนี้!” พั่งจื่อหัวเราะ ขณะเดียวกันยังรูดแขนเสื้ออีกข้างขึ้น
เมื่อครู่พั่งจื่อรูดแขนเสื้อก็ทุบตีเฉินจิ้งไปยกหนึ่ง ตอนนี้รูดอีกข้าง เฉินจิ้งตกใจจนรีบเค้นรอยยิ้ม
“รอยยิ้มแกนี่มันน่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ! หัวเราะให้มันดีๆ…” พั่งจื่อกล่าว
โหวจื่อเห็นฟางเจิ้งขมวดคิ้วก็รีบเข้าไปดึงพั่งจื่อ “พอแล้วๆ แค่นี้ก็พอแล้ว”
พั่งจื่อถึงละสายตากลับ จากนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้งอย่างเชื่อฟัง “ไต้ซือ ท่านดูสิ ผมเหนื่อยมากเลย ปากแห้งไปหมดแล้ว ให้ผมดื่มน้ำได้ไหมครับ?”
“กฏเดิม ตักน้ำก็มีน้ำ ไม่ตักก็ไม่มี” ฟางเจิ้งตอบ
พั่งจื่อเลยรีบดึงโหวจื่อไปด้านหลังลาน
เห็นดังนั้น จิ่งเหยียน ไชฟาง เสี่ยวหลัว เฉินจิ้ง และเหล่าเหมียวต่างมีสีหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าไอ้สองคนนี้จะทำอะไร
“ทำงานเพื่อน้ำแก้วเดียว? โง่รึเปล่า?” จิ่งเหยียนพึมพำ
อู๋ฉางสี่เคยดื่มน้ำบริสุทธิ์ของฟางเจิ้งมาแล้ว และก็เคยได้ยินโหวจื่อพูดถึงกฏฟางเจิ้งจึงได้สติทันที แต่คิดได้ว่าตนมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำจึงอดกลั้นเอาไว้ ทว่าก็ยังตะโกนไป “พวกนายสองคนเอามาให้ฉันชามหนึ่งด้วย!” อู๋ฉางสี่รู้ว่าฟางเจิ้งให้ดื่มน้ำฟรีแก้กระหายได้ แต่จะโลภดื่มมากกว่านั้น? ขอโทษ จะต้องทำงาน!
จิ่งเหยียนชำเลืองตามองอู๋ฉางสี่แวบหนึ่ง รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรข้างในแน่ แต่พอตรึกตรองดีๆ น้ำแก้วเดียวจะมีอะไรได้? จึงเลิกคิดไป
ความคิดไชฟางไม่ต่างกัน ไม่ได้สนใจอะไร
ตอนนี้เองเสียงปึงดังขึ้น พั่งจื่อกับโหวจื่อแบกถังใหญ่มากออกมา คนพวกนี้เหม่อค้าง ถังใหญ่ขนาดนี้เลย?
ไชฟางอดไม่ไหวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “พั่งจื่อ โหวจื่อ พวกนายทำอะไรน่ะ?”
โหวจื่อตอบอย่างปลื้มปีติ “ไม่เป็นไร พวกอาจารย์คุยกันไปเถอะ พวกผมจะลงเขาไปตักน้ำให้ไต้ซือ” พูดจบสองคนก็วิ่งไป
ไชฟางไม่ถามก็แล้วไป แต่ถามไปแล้วดันมีแต่เครื่องหมายคำถามและสีหน้างงงวย นี่มันเรื่องอะไรกัน?
จิ่งเหยียนชำเลืองตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง “เสแสร้ง อุบายไว้หลอกคนโง่หลอกคนโง่ได้จริงๆ เหรอเนี่ย?”
จิ่งเหยียนคิดว่าโหวจื่อกับพั่งจื่อถูกฟางเจิ้งหลอกด้วยอุบาย หลอกให้คารวะเป็นไต้ซือ แต่ฟางเจิ้งมองคนโง่สองคนนี้ไว้ใช้แรงงานเท่านั้น แม้พลังยุทธ์ของฟางเจิ้งจะใช้ได้อยู่บ้าง แต่เธอรู้สึกว่าไต้ซือไม่ควรข้องเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ ดังนั้นจึงมองว่าฟางเจิ้งเป็นพวกโกหก นัยน์ตาฉายแววสงสัยตลอดเวลา แววตาเฉียบคมประหนึ่งมองทะลุร่างฟางเจิ้ง
แต่ฟางเจิ้งกลับไม่สนใจเลย ผู้หญิงตรงหน้าสวยจริงๆ แต่อารมณ์ฉุนเฉียวมาก เขารับไม่ได้! อีกอย่างความคิดของฟางเจิ้งในชาตินี้ก็ไม่ใช่การหาหญิงงามเลิศล้ำมาแต่งงานด้วย เขาแค่อยากหาผู้หญิงที่อบอุ่นสุภาพ รู้ร้อนรู้เย็นมาแต่งงานด้วย แล้วมีเจ้าตัวน้อยอ้วนๆ ใช้ชีวิตไปอย่างมีความสุข
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงไม่สนใจจิ่งเหยียนเลย แล้วแต่เธอแล้วกัน!
………………………………………
“เฉินจิ้ง ไม่อย่างนั้นให้เสี่ยวหลัวลองเถอะ?” ไชฟางตรงเข้ามาถามอีก
เฉินจิ้งลูบเอว มองกำแพงอีกครั้ง พอนึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ก็ไม่ทำเป็นเก่งแล้ว พยักหน้าตอบกลับว่า “ได้ ให้เสี่ยวหลัวลองดู”
เสี่ยวหลัวได้ยินดังนั้นก็กระโดดขึ้นไป ปีนกำแพงอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้เอง…
“อาจารย์ไช พวกคุณทำอะไรกัน? รีบลงมา!” เสียงตะโกนดังมาข้างหลัง พวกไชฟางหันไปมอง เห็นอู๋ฉางสี่ก้าวเท้ายาววิ่งมาประหนึ่งดาวตก ข้างหลังยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก
“อู๋ฉางสี่ นายมาแล้วหรอ นี่ใช่ไต้ซือที่นายบอกไหม? ถุย! เขาไม่ยอมรับการประลอง แถมยังปิดประตูไม่ต้อนรับเราอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เฉินจิ้งบ่น
อู๋ฉางสี่มองประตูใหญ่ที่ปิดแน่นและยังเห็นเสี่ยวหลัวที่กำลังจะปีนกำแพง ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหัวเราะแห้งๆ “เอ่อ…คงจะจัดการยากแล้วล่ะ”
ไชฟางมองปราดเดียวก็เห็นถึงปัญหา ถามขึ้นว่า “เสี่ยวอู๋ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
อู๋ฉางสี่ยิ้มเฝื่อน “ครั้งก่อนผมแอบถ่ายภาพมาน่ะ ส่วนเรื่องการประลองผมมาพูดกับไต้ซือไม่ทัน หลักๆ คือผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไงจริงๆ…ตอนแรกที่คุยกันไว้คือแค่ยืนยันว่าไต้ซือเขียนอักษรนั้นจริง และยืนยันความบริสุทธิ์ของผมก็เท่านั้น แต่ดันกลายเป็นการประลอง ผมไม่รู้เลยว่าไต้ซือจะยอมรับการประลองหรือเปล่า…”
พูดจบไชฟาง เฉินจิ้ง จิ่งเหยียนต่างโมโห
จิ่งเหยียนพูดขึ้นด้วยความโมโห “อู๋ฉางสี่! นายไม่รู้เหรอว่าพูดจามั่วซั่วอะไรไว้บ้าง ครั้งนี้จบเห่แน่ นักข่าวหลายสำนักจะมากันแล้ว แถมยังมีเพื่อนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนอีก เดาว่าคนจากอำเภอเมืองซงอู่คงจะมาเยอะเลย ถึงตอนนั้นหลวงจีนนี่ไม่ประลองละก็…หึๆ…นายขายหน้าก็ช่าง แต่นายดึงสื่อทั้งหมดของพวกเราให้ขายหน้าไปด้วย! อู๋ฉางสี่ ถ้าเรื่องนี้จบไม่สวยละก็นายต้องรับผิดชอบทั้งหมด!”
เฉินจิ้งยิ้มเยาะ “กลัวว่าจะรับผิดชอบไม่ไหวน่ะสิ ก่อนหน้านี้สร้างข่าวฟ้าร้องดังเปรี้ยงปร้าง ตอนนี้คงไม่มีแม้แต่ฝนล่ะมั้ง” พูดจบเฉินจิ้งก็มองประตูเหล็กใหญ่ มองกำแพงอีกครั้งก่อนคลำก้น ตอนนี้เขาเริ่มหวังให้หลวงจีนนั่นไม่รับการประลองแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะสะบัดพู่กัน ใส่ร้ายวัดนี่ให้หนักๆ เลย! ให้มันเหม็นเน่าเป็นหมื่นปี! แถมยังมีหมาป่าตัวนั้นอีก เขาตัดสินใจแล้วว่ากลับไปจะเขียนข่าว หาเหตุผลให้คนมาฆ่ามัน ถือเป็นการแก้แค้นที่โดนกรงเล็บนั่น!
ไชฟางพยายามระงับความโกรธไว้ เอ่ยขึ้น “เสี่ยวอู๋ เรื่องนี้ฉันหวังว่านายจะจัดการได้นะ ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนโกรธจะคุมไม่อยู่เอา”
อู๋ฉางสี่พยักหน้ารัวๆ “ผมรู้ ผมจะคิดวิธีเอง”
“คิดวิธีอะไร? ประตูปิดไปแล้ว หรือว่านายจะปีนกำแพงข้ามไป?” เฉินจิ้งหัวเราะเยาะ
โหวจื่อไม่ชอบหน้าเฉินจิ้งจึงพูดเยาะเย้ย “ปีนกำแพง? ปีนกำแพงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเรารึไง? ไม่เหมือนขยะบางพวกปีนกำแพงไม่ได้”
“แก!” เฉินจิ้งฉุนเฉียว ทว่าพั่งจื่อรูดแขนเสื้อขึ้น เผยเนื้ออ้วนอัน ‘แข็งแกร่ง’ ลูกตาถลึงโต ทำเอาเฉินจิ้งตกใจจนหยุดพูด ทว่าเฉินจิ้งก็ไม่อยากขายหน้าต่อหน้าจิ่งเหยียนจึงกัดฟันด้วยความโกรธ มีท่าทีว่าตนนั้นโหดมาก “พวกแกรอฉันก่อนเถอะ!”
พั่งจื่อตอบกลับอย่างไม่แยแส “รอเตี่ยแกสิ เชื่อไหมว่าตอนนี้คุณพั่งจะช่วยแกดัดกระดูกให้ตรง?”
“แกกล้าเหรอ?!” เฉินจิ้งโต้ตอบ
เพียะ!
ฝ่ามือใหญ่ตบเข้าที่หน้าเฉินจิ้ง เฉินจิ้งตัวหมุนอยู่กับที่ก่อนอึ้งไปทันที! เจ้านี่กล้าลงมือจริงๆ ด้วย!
“แก…แกกล้าตบฉันเหรอ? ฉันจะฟ้องแก ฟ้องให้ครอบครัวแกล้มละลาย!” เฉินจิ้งถูกตบต่อหน้าหญิงงามแบบนี้จึงร้องโวยวาย
เพียะ!
พั่งจื่อพลิกมือตบเข้าไปอีกที เฉินจิ้งก็ให้ความร่วมมืออย่างดีหมุนกายไปอีกรอบ สองมือกุมใบหน้า เหมือนกับคนใช้ถูกรังแก เขามองพั่งจื่อพลางร้องว่า “แก…ถือว่ามีความสามารถ วิญญูชนใช้เหตุผลไม่ใช่กำลัง!”
ถุย!
พั่งจื่อถ่มน้ำลายใส่หน้าเฉินจิ้ง ทำเอาเฉินจิ้งขยะแขยง รีบวิ่งไปหยิบทิชชูมาเช็ด
“พั่งจื่อ นายทำอะไรน่ะ?” อู๋ฉางสี่เห็นดังนั้นก็รีบร้องเรียก
พวกไชฟางเพิ่งได้สติกลับมา ใครก็คาดไม่ถึงว่าพั่งจื่อบอกว่าจะลงมือก็ลงมือจริงๆ เร็วจนคนตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้จึงวิ่งเข้ามาห้าม…
เฉินจิ้งเห็นโหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ดึงพั่งจื่อไม่ให้เข้ามาอีก ตนก็ถูกช่างกล้องของตัวเองกับเสี่ยวหลัวดึงไว้จึงขึงขังขึ้นมาโดยพลัน ซ้ำยังร้องโวยวาย “ปล่อยฉัน! ฉันฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ วันนี้จะสู้กับมันให้ตายกันไปข้าง!”
พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็โกรธ เขาที่มีเรื่องมาตั้งแต่เด็กจะไม่เข้าใจเฉินจิ้งที่ทำเป็นแข็งภายนอกแต่ปวกเปียกภายภายในเหรอ? เลยจะเข้าไปสั่งสอนอีกรอบ ทว่าโหวจื่อกับอู๋ฉางสี่รั้งไว้จึงดิ้นไม่หลุด
เฉินจิ้งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งเอาใหญ่ ตะโกนเสียงดังราวกับคลุ้มคลั่ง “ปล่อยฉัน ไอ้อ้วนบ้า กล้าตบฉันเหรอ? ฉันจะให้แกรู้ว่าอะไรเรียกว่าผู้ชายตัวจริง!”
เฉินจิ้งเปล่งเสียงตะโกน ออกแรงสุดขีด เสี่ยวหลัวกับเหล่าเหมียวรั้งไว้ไม่อยู่ เขาจึงพุ่งออกไป ทว่าทันใดนั้นเองเสื้อผ้าสองคนนี้ถูกดึงต่ำลง เฉินจิ้งหยุดอีกครั้ง สองคนก้มหน้าลงมอง เยี่ยม เฉินจิ้งดึงเสื้อผ้าพวกเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ…
ทั้งสองคนพูดไม่ออก เจ้านี่หน้าด้านเกินไปแล้ว!
แต่สองคนนี้ก็ยังร่วมมือแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบคว้าเฉินจิ้งไว้ไม่ให้เข้าไป
เฉินจิ้งเห็นสองคนร่วมมือแบบนี้ก็ยิ่งตะโกนบ้าคลั่งกว่าเดิม
แต่จิ่งเหยียนข้างๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย มองเฉินจิ้งเหมือนมองคนโง่ แต่เธอรู้ว่าคนแบบนี้มีประโยชน์ อย่างน้อยก็ช่วยจัดการอู๋ฉางสี่ได้ มาปั่นหัวกันแบบนี้ ถ้าไม่แก้แค้นเธอก็คงไม่ใช่จิ่งเหยียน
“ไอ้อ้วน ไม่มีแม่สั่งสอนรึไงถึงกล้าตบหน้าฉัน? วันนี้ฉันจะฆ่าแกให้ตาย!” เฉินจิ้งตะโกนอยู่นานก็ไม่หายโกรธ จึงเริ่มด่าทอ
ทว่า…
พูดจบดวงตาพั่งจื่อแดงก่ำ ทำท่าจะสะบัดคนที่จับเขาไว้ ทว่าโหวจื่อกับอู๋ฉางสี่กลับอาศัยจังหวะนี้ปล่อยมือ!
พั่งจื่อพูดในใจ ‘ทำดีน้อง!’
จากนั้นพุ่งเข้าไปหาเฉินจิ้งราวกับดาวตก เฉินจิ้งเห็นอย่างนั้นก็ตะลึงค้าง หมุนตัวจะหนีพลางคิดในใจ ‘มันอ้วนแบบนี้ต้องวิ่งไม่เร็วแน่ เราวิ่งไปไกลหน่อยมันจะทำอะไรเราได้?’
แต่เสี่ยวหลัวกับเหล่าเหมียวไม่ทันตั้งตัว ยังคงดึงเขาเอาไว้! จากนั้นเฉินจิ้งก็เกิดโศกนาฏกรรม ลูกดอกวิ่งไม่ออก ถูกจับหลังเสื้อเอาไว้แน่น กลิ่นอายดุร้ายแผ่เข้ามา ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว
พั่งจื่อง้างหมัดจะชก
ผัวะ!
หนึ่งหมัดซัดเข้าไป จมูกเฉินจิ้งแหงนขึ้นฟ้า เลือดแตกกระจาย!
พั่งจื่อพูดขึ้นด้วยความโกรธ “แกด่าคุณพั่ง คุณพั่งทนได้ และจะต่อยแกแค่สองที แต่มาด่าแม่ฉันเหรอ? ฉันเป็นผู้ชายโว้ย วันนี้จะหักขาแกสักท่อน!”
พูดจบพั่งจื่อก็ง้างฝ่ามือตบเข้าไป ทั้งยังถีบเข้าที่ท้องเฉินจิ้งไปทีหนึ่ง
ถึงพั่งจื่อจะอ้วน แต่เรื่องการชกต่อยก็ไม่ได้งุ่มง่าม เขาเคลื่อนไหวเร็วมากราวกับวัวบ้า
เหล่าเหมียวกับเสี่ยวหลัวรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว
ไชฟางเห็นดังนั้นก็ร้อนรน เขาอายุมากแล้วยิ่งรั้งไว้ไม่ไหว เลยรีบวิ่งเข้าไปให้อู๋ฉางสี่กับโหวจื่อช่วยห้ามปราม
……………………………………
เฉินจิ้งกลอกตา “เณรครับ ทำไมถึงหัวแข็งแบบนี้ล่ะ? ตอนนี้มีวัดไหนบ้างที่ไม่อยากให้นักข่าวมาทำข่าวรายงาน? เมื่อสามวันก่อนฉันยังได้รับเชิญจากวัดเมฆาขาวให้ไปทำข่าวพิเศษให้พวกเขาอยู่เลย ส่วนเณรเนี่ย พวกเรามาถึงที่ยังปิดประตูไม่ต้อนรับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ จากนี้ไปพวกเราจะไม่รายงานเรื่องวัดนี้อีก ถึงตอนนั้นจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก”
“อมิตาภพุทธ พวกโยมไม่ต้องพูดมาก แดนพุทธศาสนาจะเป็นที่สำหรับประลองไม่ได้ วันนี้วัดไม่ต้อนรับแขก ไว้พบกันใหม่” พูดจบฟางเจิ้งก็สะบัดแขนเสื้อ หยิบผ้าไปเช็ดถูอุโบสถ จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ อีกฝ่ายพูดจายั่วยวนแบบนี้ เขากลัวว่าตนจะอดใจไม่ไหวตอบรับไปจริงๆ ตอนนั้นนอกจากหักคะแนนที่เป็นเรื่องเล็กแล้ว ยังหักบุญกุศลที่อนาถยิ่งกว่าด้วย! เขามีบุญกุศลแค่สิบหก ไม่พอให้หักแล้ว ถ้าได้เพลิงกรรมชั่วมา จะผ่านช่วงนี้ไปได้ไหม?
เสียงฝีเท้าฟางเจิ้งเดินไกลออกไป พวกคนข้างนอกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี
“จิ่งเหยียน เธอจัดการกางเกงให้ดีก่อนเถอะ” ไชฟางเห็นจิ่งเหยียนที่เหม่อลอยก็อดพูดเตือนไม่ได้
แต่ผู้ชายคนอื่นๆ กลับเงยหน้าขึ้นสูง ทำทีว่ามองไม่เห็นแต่กลับพยายามชำเลืองตามองสุดชีวิต ทำเหมือนกับว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้
จิ่งเหยียนหน้าแดง แต่กระโปรงถูกหมาป่าเดียวดายฉีกลงไป หายไปในวัด อีกทั้งยังชำรุดแล้ว คงสวมใส่ไม่ได้อีก แถมเธอยังไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย จึงกลุ้มใจเล็กน้อย
ตอนนี้เองเฉินจิ้งถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วส่งไปให้ “จิ่งเหยียน เธอพันเอวไว้สิ น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
เดิมทีจิ่งเหยียนอยากปฏิเสธ แต่สวมกางเกงรองพื้นเดินไปเดินมาแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับแก้ผ้า มันน่าอายจริงๆ จึงพยักหน้าตกลง เอาชุดนอกมาพันรอบเอว บังส่วนครึ่งล่างไว้
ไม่มีวิวอะไรมองแล้ว ช่างกล้องที่มองวิวจึงละสายตากลับไป
ช่างภาพหนึ่งในนั้นถามไชฟาง “อาจารย์ไช จะทำยังไงดีครับ? ปิดประตูแล้วพวกเราเข้าไปไม่ได้ อีกเดี๋ยวพวกโอวหยางหวาไจจะมาแล้ว หรือว่าจะถูกปฏิเสธเหมือนกัน? อย่างนั้นวันนี้เราก็มาเสียเที่ยวล่ะสิ? ก่อนหน้านี้เสียหน้าหนังสือพิมพ์ประกาศการประลองวันนี้ไปซะเยอะ แต่ดันไม่เป็นไปตามนัดซะได้ แล้วสำนักพิมพ์พวกเราจะมีหน้าไปไว้ที่ไหน”
ไชฟางกับจิ่งเหยียนมีสีหน้าจนปัญญา
เฉินจิ้งวนไปรอบๆ สุดท้ายก็มองกำแพงที่ถือว่าไม่สูง เอ่ยด้วยความปราดเปรียว่า “เข้าประตูไม่ได้พวกเราก็ปีนกำแพงสิ! กำแพงไม่สูง กระโดดถึงสันกำแพงได้ ข้ามไปง่ายนิดเดียว แค่เข้าไปได้ก็เปิดประตูใหญ่จากข้างในได้”
“มีเหตุผล นายปีนสิ” ในที่สุดจิ่งเหยียนก็พูด แต่ทำเอาเฉินจิ้งลำบากใจ เขาออกความคิดเห็นได้ แต่ให้ปีนกำแพง? เขาไม่กล้า!
ถ้าหลวงจีนสุดยอดที่โยนหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นได้พบเข้า เขาจะต้องถูกหักขา ซ้ำยังถูกโยนออกมารึเปล่า?
ทว่าจิ่งเหยียนพูดแล้วเขาก็ไม่อยากปฏิเสธ หญิงงามอยู่ตรงหน้าต้องใจกล้าไว้ ภายใต้การกระตุ้นด้วยความเป็นผู้ชาย เฉินจิ้งจึงกัดฟัน “ได้ พวกเธอรอฉัน!”
พูดจบเฉินจิ้งก็กระโดดเกาะสันกำแพง จากนั้นออกแรงกระโดด…กระโดด…กระโดดๆ…จนตกลงมา
เห็นท่าทางขยะอย่างเฉินจิ้งแล้วจิ่งเหยียนมองค้อนไปทีหนึ่ง แล้วด่าทอเบาๆ “ขยะจริงๆ”
เฉินจิ้งหน้าแดงก่ำ รีบเรียกให้ช่างกล้องตนมาช่วย ดันก้นขึ้นไป พยายามปีนสุดชีวิตจนปีนขึ้นมาได้…
และในตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังทำความสะอาดอุโบสถ แต่ก็เห็นว่าใต้โต๊ะในอุโบสถมีการเคลื่อนไหว จึงนอนหมอบดู เห็นหนูตัวหนึ่งกำลังซ่อนอยู่ข้างใน พอเห็นฟางเจิ้งมันก็วิ่งหนีไป!
ฟางเจิ้งพลันโกรธ อุโบสถเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพุทธ ในนี้บูชาเทวรูป! หนูเข้ามาไม่เท่าไร ทุกสรรพสัตว์อยู่ระดับเดียวกัน แต่เจ้านี่คาบเครื่องบรรณาการไว้ด้วยมันหมายความว่ายังไง? ไม่จุดธูป ไม่ไหว้พระ ไม่บริจาคเงินจุดธูป แถมยังขโมยของอีก?
ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”
แต่เฉินจิ้งที่ปีนขึ้นมาบนสันกำแพงกล้ามเนื้อบีบรัดตัวทั่วร่างเพราะความตึงเครียด สติตึงแน่นเปรี๊ยะ พอได้ยินเสียงตะโกนก็ตัวสั่น ตกลงมาดังโครม!
ดีที่ช่างกล้องข้างล่างมือเร็วรับเขาไว้ทัน แต่สองคนก็กลายเป็นน้ำเต้ากลิ้งไปบนพื้นพร้อมกัน
จิ่งเหยียนเห็นดังนั้นก็หมุนตัวกลับทนมองไม่ได้ ผู้ชายขยะแบบนี้เธอสงสัยว่าเติบโตมายังไง! ดูเณรนั่นสิ แค่โบกมือก็โยนหมาป่าออกไปแล้ว แต่เจ้านี่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ แขนขากระชับ กลับปีนกำแพงไม่ได้…
“เฉินจิ้ง ถ้าไม่ไหวก็ให้เสี่ยวหลัวลองดูไหม?” ไชฟางตรงเข้ามาพูดด้วยความเป็นห่วง เสี่ยวหลัวคือช่างกล้องข้างๆ ไชฟาง อายุไม่เยอะ พอได้ยินไชฟางพูดแบบนี้ก็อยากลอง โดยเฉพาะแววตาเล็กๆ นั่นเหลือบมองจิ่งเหยียนคนสวยตลอดเวลา
เดิมทีเฉินจิ้งจะยอมแพ้ อยากจะใช้ประโยชน์จากคนอื่น แต่เห็นแววตาเสี่ยวหลัวแล้ว ความอยากอวดภูมิของบุรุษปะทุขึ้นอีกครั้ง จึงพูดปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด “ไม่ต้อง เมื่อกี้เข้าใจผิด ครั้งนี้สำเร็จแน่! เหล่าเหมียว ช่วยฉันอีกที ดันฉันขึ้นไป!”
“เฉินจิ้ง เอ่อ ฉันว่านะให้เสี่ยวหลัวลองดีกว่าไหม?” เหล่าเหมียวถูกเฉินจิ้งทับใส่จนเกิดเงามืดภายในใจแล้ว
“ลองก็บ้าสิ! คนโบราณสอนพวกเราว่าถ้าตกที่ไหนจะต้องปีนที่นั่นให้ได้ ดันฉันขึ้นไป!” เฉินจิ้งพูดด้วยความโกรธ ขายหน้าไปแล้ว เขาจะต้องกู้หน้ากลับมาในเรื่องนี้ให้ได้!
เหล่าเหมียวจำใจต้องดันเฉินจิ้งปีนกำแพงอีกครั้ง เฉินจิ้งออกแรงทั้งหมดอีกครั้ง เริ่มปีนกำแพงขึ้นไป
ในอุโบสถ ฟางเจิ้งถือไม้กวาดพลางไล่ตามหนูที่วิ่งมั่วไปมา ขณะเดียวกันยังต่อว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!็” ครั้งก่อนตะโกนเสียงดังกลัวว่าจะรบกวนพระโพธิสัตว์ ครั้งนี้เขาจึงลดเสียงลงมา
หนูกลับวิ่งเร็วกว่าเดิม ดวงตาเล็กกวาดมองแถมยังส่ายหาง
ฟางเจิ้งโกรธกว่าเดิม รีบไล่ตามไปยกไม้กวาดจะตี แต่นึกได้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาปเลยล้มเลิกความคิดแล้วยื่นมือไปคว้า
น่าเสียดายหนูเร็วมาก คว้ากี่ทีก็ได้แต่เงาแผ่นหลังสีเทา จากนั้นเกาะผ่านลูกประคำขึ้นไปบนคาน! นอนหมอบอยู่บนคาน มองฟางเจิ้งอย่างชั่วร้าย สะบัดฟางไปมา ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โมโหใหญ่ “เจ้าตัวเล็กกล้าหัวเราะเยาะฉันเหรอ? แน่จริงก็ลงมา!”
หนูพลิกตัวหันก้นให้เขา! จากนั้นคลานไปอีกด้าน ก่อนกระโดดไปยังโคมไฟ!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง! ไฟในอุโบสถเป็นตะเกียงน้ำมัน ไม่ใช่หลอดไฟ!
หนูขยับไหวไปมาข้างบน น้ำมันตะเกียงสาดลงมา นั่นมันเงินนะ!
ฟางเจิ้งร้อนรนแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “ลงมา!”
โครม!
หนูไม่สนใจ แต่เฉินจิ้งที่เพิ่งปีนกำแพงตกใจ มืออ่อนยวบ หัวดิ่งลงไป!
เหล่าเหมียวเห็นดังนั้นก็เข้าไปรับซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขา ทว่ารับไม่ได้อย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้ เฉินจิ้งตกลงมาสี่ขาชี้ขึ้นฟ้า นอนกุมเอวร้องโอดโอยไม่หยุด
………………………………………………
จิ่งเหยียนจะตามไปหลังวัด แต่กลับมีเสียงขู่ดังแว่วมาจากในประตูลาน จากนั้นมีหัวหมาป่ายื่นออกมา! ดวงตาแคบยาวสีแดง ริมฝีปากอ้าออกเผยคมเคี้ยว ดูดุร้ายอย่างยิ่ง!
จิ่งเหยียนเคยเห็นหมาป่ามาแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แถมยังเคยล่าสิงโตกับหมี ทว่าตอนนั้นมีปืนและบอดี้การ์ด! ตอนนี้มีแค่มือถือเธอจะกล้าหาญสู้กับหมาป่าได้หรือ? แต่ว่าก็ยังพอมีสายตาแยกแยะ พอหัวหมาป่าโผล่มาก็กระโดดขึ้น “หมาป่า! ช่วยด้วย!”
ขณะร้องยังหมุนตัววิ่งหนีไป! รองเท้ากระเด็นไปข้างหนึ่ง
คนอื่นอึ้งไปก่อน จากนั้นเฉินจิ้งถึงพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่หมาเหรอ?”
บรู้ว!
หมาป่าหอนเสียงแหลมก่อนเคลื่อนออกไปอย่างเชื่องช้า คว้ากรงเล็บตะปบเฉินจิ้ง!
เฉินจิ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจจนขาอ่อน ล้มลงกับพื้น เจ้านี่ตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าหมาป่าหรือหมาเขาก็สู้ไม่ได้ทั้งนั้น! จึงหมุนตัวรีบคลานหนีไปด้วยความกลัว!
ไชฟางก็ถือว่ามีสายตาวิเคราะห์ได้เหมือนกัน หลังรู้ว่าเป็นหมาป่าเดียวดายก็รีบวิ่งตามทุกคนออกไป แต่คนจะเร็วกว่าหมาป่าหรือ?
หมาป่าเดียวดายตะปบเข้าที่ก้นเฉินจิ้ง เขารู้สึกว่ากล้ามเนื้อก้นพลันบีบรัดตัวก่อนเกิดเสียงดังแควก ไม่รู้ว่าเสียอะไรไปบ้าง เอาแต่วิ่งร้องไห้เสียงแหลมออกไปข้างนอก
จิ่งเหยียนที่วิ่งไปข้างนอกหันมามอง เห็นหมาป่าเดียวดายอ้าปากกว้างจะงับก้นเฉินจิ้ง ผู้หญิงที่เคยล่าสิงโตมาก่อนเลือดแห่งความกล้าหาญตีขึ้นมา ถอดรองเท้าอีกข้างฟาดเข้าที่หน้าหมาป่าเดียวดาย หมาป่าเดียวดายโกรธโดยพลัน แค่หาวก็โดนตี? ไม่ยุติธรรม? อย่างนั้นดูกรงเล็บนี่!
หมาป่าเดียวดายกระโจนเข้าไป จิ่งเหยียนจึงรีบวิ่งหนี แต่กรงเล็บตะปบเข้าที่กระโปรงเธอพอดี! กรงเล็บมันช่างคมเสียนี่กระไร
ได้ยินเพียงเสียงแควก จิ่งเหยียนพลันรู้สึกข้างล่างเบา รู้สึกเย็นวาบตรงก้นเล็กน้อย!
พอก้มหน้ามอง…
“กรี๊ด!” จิ่งเหยียนเห็นว่ากระโปรงสั้นของเธอถูกหมาป่าบ้าดึงจนขาด! ดีที่เธอสวมเลกกิ้งจึงไม่ได้เดินโป๊ ทว่าเลกกิ้งก็ยังถูกกรงเล็บหมาป่าข่วนเป็นเส้น ถ้าไม่ใช่เพราะเลกกิ้งหนาพอ ตอนนี้ก้นคงออกมารับลมหนาวข้างนอกแล้ว
จิ่งเหยียนตะลึงงัน หมาป่าเดียวดายไม่มีเวลาตะลึง แม้จะตะปบกระโปรงสั้น แต่ก็ไม่ดึงดูดมันแม้แต่นิด! มันกระโจนไปข้างหน้าอีกครั้ง เตรียมจะเห่าขู่เสียงดัง! เสียงดังขนาดนี้ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาจะยังเป็นแดนอันเงียบสงบอยู่รึเปล่า?
หมาป่าเดียวดายกระโจนเข้ามาทำเอาจิ่งเหยียนตกใจจนหน้างามถอดสี เปล่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง…เบิกตาโตจ้องไปข้างหน้า นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวสุดซึ้ง! เธอเหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมรณะกำลังคืบคลานเข้ามา!
ทว่าตอนนี้เอง…
“อมิตาภพุทธ” เสียงสวดคุ้นเคย อบอุ่นและราบเรียบดังขึ้น หมาป่าตัวใหญ่ที่กระโจนเข้ามาพลันหยุดค้างกลางอากาศ อ้าปากกว้างแทบจะจับคอหอยเธอ! กระทั่งจิ่งเหยียนยังได้กลิ่นปากหมาป่ากับลมหายใจร้อนๆ…
ต่อมาหมาป่าเดียวดายตกลงบนพื้นจากกลางอากาศ ในที่สุดจิ่งเหยียนถึงเห็นภาพข้างหลังหมาป่าเดียวดาย นักบวชชุดคลุมขาวประนมมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างคว้าหางหมาป่าเดียวดาย จากนั้นไม่มองจิ่งเหยียนแม้แต่หางตา ลากหางหมาป่าเดียวดายผู้ชั่วร้ายไป!
“สัตว์ป่ามาขโมยอาหารอีกแล้ว แถมยังคิดจะทำร้ายคน คิดว่าอาตมาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจริงๆ รึ? วันนี้เห็นแก่ว่ามีบุญกุศลเหลือล้นบนสวรรค์ จะไว้ชีวิตนายหนึ่งครั้ง รีบไปซะ!” ฟางเจิ้งลากหมาป่าเดียวดายไปนอกประตูแล้วสะบัดมือ มันถูกโยนออกไป! หมาป่าตัวเท่าลูกวัวอยู่ในมือฟางเจิ้งกลับเหมือนไร้สิ่งของ ถูกโยนออกไปไกลสิบกว่าเมตร!
จิ่งเหยียน ไชฟาง เฉินจิ้งรวมถึงช่างกล้องสามคนที่มองอยู่ตาค้างอ้าปากกว้าง!
หมาป่าหมุนติ้วกลางอากาศ ลอยไปตกลงบนพื้น ซ้ำยังเห่าใส่ฟางเจิ้งหลายที ทุกคนฟังไม่ออก คิดว่ามันน่าจะร้องโวยวายหรือไม่ก็กำลังพูดทำนองว่า พวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่
มีเพียงฟางเจิ้งที่รู้ว่าหมาบ้ากำลังตะโกนว่า ‘นายให้ฉันปกป้อง แต่เดี๋ยวเดียวก็ขายฉันทิ้งแล้วเนี่ยนะ ฮือๆๆ ต้องเพิ่มข้าวเย็น!’
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นคิ้วถึงกับกระตุก ด่าทอไปว่า “ยังไม่ไปอีก?!”
หมาป่าเดียวดายรีบเก็บหางวิ่งไป
เห็นดังนั้น พวกจิ่งเหยียน ไชฟาง และเฉินจิ้งยิ่งตะลึงกว่าเดิม! เณรตัวบอบบางแข็งแรงขนาดนี้เชียว?
คนพวกนี้ไม่ใช่คนโง่ ฟางเจิ้งโยนด้วยมือเดียวแบบนี้ ต่อให้เป็นคนร่างกำยำก็ทำไม่ได้! ใช้มือเดียวคว้าหมาป่าหิวโซที่กระโจนเข้ามาก็ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะทำได้! เณรรูปนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
แต่รอจนพวกเขาได้สติกลับมา…
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้น พวกเขาหันไปมองหลวงจีนหายไปแล้ว ประตูวัดปิดไปแล้ว!
“เฮ้ๆๆ เณรเปิดประตู อย่าปิดประตูสิ!” พวกช่างกล้องได้สติก่อนก็ไปเคาะประตูเหล็กพลางตะโกน
จิ่งเหยียน ไชฟาง เฉินจิ้งสามก็ได้สติเช่นกัน น่าตลก พวกเขามาทำข่าวการประลองครั้งใหญ่ของนักเขียนพู่กันจีนสองฝ่าย แต่เข้าประตูไม่ได้แล้วจะทำข่าวยังไง!
ไชฟางวิ่งเข้ามาพูดจาดีๆ “เณร เปิดประตูเถอะ ทำแบบนี้พวกเราลำบากนะ พวกเรามาทำข่าววัดของท่านก็มีประโยชน์กับท่านด้วย วัดจะต้องมีชื่อเสียงเพราะการประลองศิลปะพู่กันจีนครั้งนี้แน่ ถึงตอนนั้นแสงธูปจะสว่างไสว พระโพธิสัตว์จะต้องดีใจถูกไหม?”
จิ่งเหยียนไม่สบายใจอยู่เงียบๆ เห็นความแกร่งของฟางเจิ้งแล้วเธอก็รู้ว่าหลวงจีนรูปนี้ไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าดูถูกฟางเจิ้งอีก แน่นอนว่าไม่พูดยั่วยุด้วย
จิ่งเหยียนเงียบ เฉินจิ้งคิดว่าจิ่งเหยียนโกรธและตกใจอยู่ เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากจึงเขยิบเข้าไปใกล้ “จิ่งเหยียน อย่ากลัวเลย ฉันจัดการทุกอย่างเอง”
ทว่าจิ่งเหยียนมองค้อนเฉินจิ้ง นายจัดการเหรอ? เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ได้ขว้างรองเท้าไปช่วย ตอนนี้นายกลายเป็นมูลหมาป่าไปแล้ว! ไม่รู้ว่าใครกันนะที่ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย…
จิ่งเหยียนไม่ตอบ แต่แสดงออกมาทางแววตา เฉินจิ้งหน้าแดงพร้อมกับตรึกตรองอย่างรวดเร็ว จะต้องเปลี่ยนภาพจำในใจจิ่งเหยียนให้เร็วที่สุด! และวิธีเดียวตอนนี้คือเข้าวัด!
ตอนนี้เองเสียงฟางเจิ้งดังแว่วมาจากหลังประตู “อมิตาภพุทธ พวกโยม พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ ไม่เหมาะจะจัดการประลอง ส่วนจะโฆษณาอะไรให้วัด ถ้าพวกโยมยินยอมก็เอาเถอะ ถ้าไม่ก็ช่าง”
พูดจบหัวใจฟางเจิ้งกำลังหลั่งเลือด พูดในใจว่า “ระบบ โอกาสดีแบบนี้นายไม่เอาเหรอ?”
“พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ จะใช้เป็นลานประลองได้ยังไง?” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งถอนหายใจ พูดจริงๆ คือเขาสนใจคำพูดไชฟาง เพราะเขายังมีภารกิจธูปร้อยดอกที่ยังไม่สำเร็จ ถ้ามีนักข่าวเขียนข่าวให้จะต้องมีญาติโยมมากันกลุ่มใหญ่แน่ ภารกิจไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนรึไง? แต่…ระบบไม่ยอม! ฟางเจิ้งจึงได้แต่ปฏิเสธไป
ไชฟางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้ง “เณร เอ่อ…”
………………………………
จิ่งเหยียนเบะปาก “ฉันไม่ได้เดามั่วสักหน่อย แต่เห็นมาเยอะแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงนะ คนพวกนี้ก็มีดีอยู่บ้างแหละ ให้พวกเราทำข่าวได้เยอะเลย ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงไม่ได้เม้าท์มอยกันหรอก?”
“อาจารย์ไช ผมว่าจิ่งเหยียนพูดก็มีเหตุผลนะ อาจารย์ดูวัดนี่สิ อยู่ในถิ่นกันดารแบบนี้ใครจะมาจุดธูปไหว้พระ? ถ้าไม่มีช่องทางรวยจริงๆ วัดจะใหม่ขนาดนี้ได้ยังไง? ผมเคยเห็นวัดในถิ่นกันดารมาแล้ว แต่ละที่มีแต่จะถล่มลงมาได้ตลอดทั้งนั้น” เฉินจิ้งพูดเสริมจิ่งเหยียน
ไชฟางอ้าปากหมดคำจะโต้ตอบ ทำได้แค่พยักหน้า “อย่างนั้นก็เข้าไปดูกันเถอะ”
“ใช่ เจิ้งจู่ยังไม่มา พวกเราเข้าไปเดินดูกัน ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน อีกเดี๋ยวจะได้หาที่เหมาะๆ” เฉินจิ้งพูดจบก็เชื้อเชิญจิ่งเหยียนให้ไปด้วยกันอย่างกระตือรือร้น
จิ่งเหยียนไม่ปฏิเสธ เดินตามเฉินจิ้งเข้าไปทางวัดอย่างรวดเร็ว ช่างกล้องข้างหลังที่ตามมาต่างส่ายหน้าเล็กน้อย พวกเขาขี้เกียจจะสนใจเรื่องที่คนพวกนี้คุยกัน แค่ถ่ายภาพให้ดีไปก็พอ
ขบวนหกคนเดินมาถึงประตูวัดอย่างเร็วไว
ไชฟางเงยหน้ามองป้ายวัดเอกดรรชนี “ถ้าไม่นับอักษรในอินเทอร์เน็ต แค่อักษรบนป้ายวัดเอกดรรชนีก็ดีแล้ว เป็นสี่เหลี่ยม มีความถูกต้องน่ายำเกรง”
“อาจารย์ไช ฉันไม่เข้าใจอักษรและก็ไม่สนด้วยว่าอักษรจะเป็นยังไง แค่อยากดูผลการแข่งขันเท่านั้น ถ้าเณรนั่นไร้ความสามารถจริงๆ เหอะ…ต่อให้ป้ายวัดนี่เป็นภาพของเหยียนเจิงชิง[1]แล้วยังไง?” จิ่งเหยียนกล่าว
ไชฟางส่ายหน้าเล็กน้อย จนปัญญากับนักข่าวสาวสวยมือใหม่คนนี้ ใครใช้ให้เธอเส้นใหญ่กันล่ะ อีกทั้งยังมีความสามารถจริงๆ ด้วย ได้ตัดหน้าทำข่าวที่ดังๆ ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองเฮยซาน
“อมิตาภพุทธ พวกโยมมาวัดอาตมามีอะไรรึ?” ตอนนี้เอง เสียงราบเรียบดังแว่วข้างทุกคน
จิ่งเหยียนตกใจสะดุ้ง ปากกำลังวิจารณ์วัดอยู่ ความจริงก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจอักษร เพราะถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่ถูกส่งมา เธอเพิ่งถูกอักษรบนป้ายดึงดูดไปจึงไม่ได้สนใจ พอมีเสียงดังแว่วมาจึงตกใจจริงๆ
อย่างที่ว่าไว้ บริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องกลัวอะไร แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ใจจะต้องลนลาน โดยเฉพาะคนที่พูดจาร้ายๆ ลับหลังคนอื่น พอเจ้าตัวได้ยินเข้า…
จิ่งเหยียนได้ยินดังนั้นก็มองไป เห็นหลวงจีนผิวขาวสะอาดรูปหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู สวมชุดคลุมขาว หัวโล้นมันวาว สิบนิ้วเรียวยาว ไม่มีเล็บเกินออกมาแม้แต่น้อย ทั่วร่างให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน! นี่คือหลวงจีนที่สะอาดจนให้ความรู้สึกสบาย!
หลวงจีนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนอาบอยู่กลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มนี้ไม่เหมือนพวกนักบวชชรา ในความอ่อนโยนมีความน่าเกรงขาม เพียงแต่มันทำให้รู้สึกว่าหลวงจีนรูปนี้อบอุ่นมาก…
‘เป็นหลวงจีนที่สวยจริงๆ’ จิ่งเหยียนพูดในใจ ใช้คำว่าสวยมาบรรยายบุรุษคงไม่เหมาะนัก แต่นี่เป็นคำแรกที่ปรากฏขึ้นในใจ ทว่าเธอก็รู้ในทันทีว่าหลวงจีนตรงหน้าคือหลวงจีนที่เห็นในภาพเวยป๋อของอู๋ฉางสี่!
หลังยืนยันเป้าหมายแล้ว ความรู้สึกดีในใจจิ่งเหยียนพลันลดต่ำลงถึงจุดเยือกแข็ง คิดในใจว่า ‘หลวงจีนลวงโลกดีๆ นี่เอง แค่ศิลปะะการแสดงก็ชิงรางวัลออสการ์ได้เลย แทบจะหลอกสายตาเฉียบคมของเราได้! ศิลปะพู่กันจีนจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานานและมีพรสวรรค์ รวมถึงมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะถึงจะประสบความสำเร็จ หลวงจีนนี่อายุแค่นี้จะมีความสามารถแค่ไหนกัน? เขาต้องไม่ใช่คนที่เขียนอักษรในภาพนั้นแน่! แต่กลับเอาไปขาย เป็นพวกเปลือกนอกดูดีแต่ภายในเลวทรามอีกขั้นหนึ่งเลย!’
คิดได้ดังนั้นจิ่งเหยียนก็จะกล่าวออกไป
แต่ไชฟางเอ่ยไปก่อน “สวัสดีครับเณร พวกเราเป็นนักข่าวจากเมืองเฮยซาน ได้ยินว่าเณรจะประลองศิลปะะพู่กันจีนกับโอวหยางหวาไจผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีนในเมืองเฮยซาน เลยมารอดูการแข่งขันก่อนน่ะครับ แล้วก็จะบันทึกกับรายงานด้วย”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็งงใหญ่ “เมืองเฮยซาน? นั่นไกลมากเลยนะ…พวกโยมเป็นนักข่าวเมืองเฮยซาน? อาตมาจะประลองศิลปะพู่กันจีนกับผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีน? นี่…พวกโยมมาผิดที่รึเปล่า?” ฟางเจิ้งนึกคิดดูก็นึกไม่ออกว่าไปนัดประลองกับใครเมื่อไร! นักบวชไม่สนใจชื่อเสียง เขาลงเขาไม่ได้ คิดยังไงก็คิดไม่ออก แถมยังไปสมคบกับคนอื่นให้มาประลองอีก? เป็นไปได้เหรอ?
ไชฟางมึนงง “เณร เรื่องนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ เมื่อสามวันก่อนสื่อนำเสนอกันยกใหญ่แล้ว คุณโอวหยางหวาไจนัดประลองกับเณรวัดนี้ นับเวลาแล้วคุณโอวหยางหวาไจใกล้จะมาถึงแล้ว อีกอย่างยังมีสมาคมศิลปะะพู่กันจีนเมืองเฮยซานกับผู้ชื่นชอบศิลปะพู่กันจีนคนอื่นด้วย…”
“ฉันเข้าใจแล้ว เณรคะ เห็นเรื่องใหญ่แล้วกลัวใช่ไหมล่ะ?” ตอนนี้เองจิ่งเหยียนพูดด้วยท่าทางปลิ้นปล้อน
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อมิตาภพุทธ นักบวชไม่โกหก อาตมาไม่รู้จริงๆ ว่ามีการประลองครั้งนี้”
“ไม่รู้? ไม่รู้แล้วให้อู๋ฉางสี่ถ่ายภาพทำไม ไม่ได้จะประกาศให้โลกรู้เหรอ ไม่รู้แล้วให้อู๋ฉางสี่ไปก่อเรื่องที่สมาคมศิลปะะพู่กันจีนเมืองเฮยซานทำไม ไม่รู้แล้วยังกล้ารับเดิมพันหนึ่งล้านเหรอ เณร กล้าทำก็กล้ารับ แบบนั้นจะถือว่าเป็นผู้ชาย ไม่งั้นเณรอย่าเป็นนักบวชเลย ไปดูในวังดีกว่า เขาอาจจะยังรับขันทีนะคะ” จิ่งเหยียนกล่าว
เฉินจิ้งที่เข้ามาด้วยกันพูดเสริม “ขันทีก็ต้องซื่อสัตย์ด้วยถึงจะรับไม่ใช่เหรอ?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธในใจ ผู้หญิงตรงหน้าสวยสาว แต่ทำไมถึงพูดจาร้ายแบบนี้? เขาไปหาเรื่องใครรึเปล่า? ทำไมเธอถึงเพ่งเป้ามาที่เขา? มิหนำซ้ำเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ! ความคับแค้นใจอัดแน่นท้องไปหมด ฟางเจิ้งก็โกรธแล้วเหมือนกันจึงสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ พวกโยม ถ้าจะจุดธูปขอพรก็เชิญด้านใน ถ้าไม่มีอะไรอาตมาขอตัว”
พูดจบฟางเจิ้งก็หมุนตัวเดินไป! ใครจะสนใจพวกแกกัน อาตมาไม่อยู่ด้วยแล้ว!
“หยุด! เณรเป็นคนพูดเองนะ หรือว่าพูดจาไร้สาระ?” จิ่งเหยียนต่อว่าด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว โบกมือให้ “ทำไมอาตมาต้องรับคำที่ไม่เคยพูดล่ะ? โยม พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ อย่าส่งเสียงดัง นอกจากนี้บนเขามีหมาป่า ระวังด้วย”
“มีหมาป่า? ฮ่าๆ…จะขู่ฉันรึไง? คิดว่าฉันไม่เคยเห็นสัตว์มาก่อนเหรอ? ฉันเคยล่าสิงโตที่แอฟริกา ล่าหมีที่รัสเซีย หมาป่าตัวเดียวจะเท่าไรกันเชียว? เณรมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ เป็นนักบวชยังอยากมีชื่อเสียง ถึงจะมีหมาป่าก็เป็นหมาป่านิสัยแบบเณรรึเปล่า?” จิ่งเหยียนพูด
ฟางเจิ้งได้ฟังแล้วก็เอาเถอะ เจอกับผู้หญิงไร้เหตุผลจะกวนโมโหไม่ได้ ต้องเลี่ยง!
ฟางเจิ้งก้าวเท้ายาวเข้าไปหลังลาน จากนั้นเตะหมาป่าเดียวดายที่นอนอาบแดดอยู่บนพื้นไปทีหนึ่ง “เจ้าอาวาสวัดแกถูกรังแก นายเป็นผู้ปกปักพุทธศาสนาประสาอะไร? รีบไปทำงาน! ไม่อย่างนั้นไม่ต้องกินข้าวเย็น!”
หมาป่าเดียวดายได้ยินประโยคแรกก็ยังนอนขี้เกียจ แต่พอได้ยินว่าจะไม่ได้กินข้าวดวงตาพลันแดงก่ำ! ฟ้าใหญ่แผ่นดินใหญ่ หมาป่าตัวหนึ่งศึกษาธรรมเพื่ออะไร? ข้อหนึ่งกลัวถูกทุบตี ข้อสองเพื่อคำว่าข้าวหอมฉุยคำนั้น! ใครกล้าไม่ให้มันกินข้าว? มันจะสู้สุดชีวิต!
ตอนนี้เองมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก ขณะเดียวกันเสียงจิ่งเหยียนดังแว่วตามมา “เณรคะ หมาป่าที่บอกล่ะ? หมาป่าล่ะ? ทำไมฉันไม่เห็นเลย เณรให้มันออกมาหน่อยสิ! หึๆ…โกหก ไอ้พวกโกหกพูดจาซี้ซั้ว…”
……………………………
[1]เหยียนเจินชิง ขุนนางเลื่องชื่อสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งยังเป็นอาลักษณ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
“ขี้โม้ทะลุฟ้าไปแล้ว หลวงจีนนี่เป็นหัวโจกเรื่องนอกกรอบรึไง”
“ใช่ ไม่แน่อาจเป็นหลวงจีนปลอมก็ได้!”
“หลวงจีนนี่ขี้โม้จริงๆ ไม่รู้ว่าไต้ซือไป๋อวิ๋นได้ยินเข้าแล้วจะว่ายังไง เหอะๆ…ถ้ามีอาจารย์และศิษย์ริเริ่มแบบนี้คงถูกตบจนตาย”
“ไต้ซือไป๋อวิ๋นวัดเมฆาขาวเป็นดั่งเทพเจ้า จะสนใจหรือไง? สนใจจริงๆ ค่อยเป็นข่าวเถอะ”
“ใช่…”
……
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลอำเภอเมืองซงอู่ก็มีคนไปสอบถาม กระทั่งหลู่ซวงซวงก็ยังมีคนไปเยี่ยม เวลานี้ผู้คนมากมายต่างยุ่งกันเพราะฟางเจิ้ง…
กลับกันฟางเจิ้งกำลังนอนยิ้มซื่อๆ อยู่บนเตียง!
“พระเจ้า! เงินมากขนาดนี้เลย? โหวจื่อใจกว้างจริงๆ ฮ่าๆ…” ฟางเจิ้งดีใจมาก! ข้าวผลึกเหลือน้อยลงทุกที ข้าวธรรมดาก็ไม่อยากจะกินอีก แม้แต่หมาป่าเดียวดายยังไม่เอาข้าวธรรมดาแล้ว
ทว่าไม่มีเงินจริงๆ ถ้ากินข้าวผลึกหมดคงได้แต่กินข้าวธรรมดา เดิมทีคิดว่าฤดูหนาวคงต้องเคี่ยวกรำสักหน่อย แต่ฉับพลันมีเศรษฐีมาแบบนี้ ฟางเจิ้งไม่ดีใจก็บ้าแล้ว!
เขานับธนบัตรทีละใบ ก็พบว่าตนไม่เหมือนหลวงจีนจริงๆ!
‘ระบบ นายดูสิ ฉันไม่เหมาะกับการเป็นหลวงจีนเลยใช่ไหมล่ะ ปล่อยฉันลงเขาเถอะ…’ ฟางเจิ้งนอนอยู่บนเตียงพลางพูดพึมพำในใจ
“ติ๊ง! นายฆ่าตัวตายได้ ฉันจะไปหาร่างสถิตคนใหม่”
ฟางเจิ้งหัวเสีย
“นี่ระบบ ฉันพูดจริงนะ จะเลือกฉันทำไม? วัดเมฆาขาวก็ใหญ่ออกขนาดนั้น ข้างในมีหลวงจีนเยอะแยะ นายสุ่มเลือกมาสักคนก็ยังได้” ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว ทำไมเขาถึงถูกรางวัลแบบนี้กันนะ?
“พุทธศาสนาของเรานำพาคนให้สำเร็จอรหันต์ นำพามารให้สำเร็จอรหันต์ ไม่ใช่นำพาพุทธให้สำเร็จอรหันต์ นายคือคนข้ามฝาก ฉันก็เป็นคนข้ามฝากเหมือนกัน นายพาคนในโลกนี้ข้ามฟาก ส่วนฉันพานายข้ามฟาก”
“เอ่อ…” ฟางเจิ้งงุนงง ระบบพูดแบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี
ฟางเจิ้งถูจมูก “ปัญหาคือฉันไม่อยากเป็นหลวงจีนจริงๆ! ใจฉันเป็นแบบนี้นายยังให้ฉันเป็นไต้ซืออีกเหรอ? เป็นแล้วก็เหมือนกับของปลอม?”
“จิตใจไม่ถึงไม่มีวันได้เป็นไต้ซือ จิตใจไม่ถึงไม่มีวันสำเร็จอรหันต์ การสำเร็จอรหันต์เป็นไต้ซือไม่เกี่ยวกับพลังยุทธ์ ไม่เกี่ยวกับอภินิหาร ไม่เกี่ยวกับคนนอก แต่เกี่ยวกับจิตใจ”
“ถ้างั้นฉันก็ไม่มีวันเป็นไต้ซือได้จริงๆ?” ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าปัญหานี้หนักหนานัก!
“บุญกุศล บุญกุศลร้อยเท่าก็เท่ากับสำเร็จเหมือนกัน! คนอื่นต้องมีจิตใจถึงบุญกุศลถึง แต่นายต้องมีบุญกุศลมากกว่าคนอื่นร้อยเท่า”
ฟางเจิ้งถาม “เอ่อ ถามหน่อยนะ ถ้าเป็นไต้ซือต้องใช้บุญกุศลเท่าไร?”
“คนอื่นเป็นไต้ซือต้องใช้บุญกุศลหนึ่งล้าน ของนายก็ร้อยล้าน”
“แล้วตอนนี้ฉันมีบุญกุศลเท่าไร? ฉันทำความดีไปเยอะนี่?” ฟางเจิ้งถาม
“โน้มน้าวคนให้เป็นคนดีกับเติมเต็มความปรารถนาได้หนึ่งบุญกุศล ช่วยคนสองบุญกุศล ให้คนชั่วกลับใจสี่บุญกุศล นายมีทั้งหมดสิบหกบุญกุศล”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หน้ามืด! เขาพยายามมานานขนาดนี้เพิ่งได้สิบหกบุญกุศล! แล้วจะถึงร้อยล้านเมื่อไร? ตอนนี้เองฟางเจิ้งรู้สึกว่าตนนอนเป็นแมลงวันที่หมอบอยู่บนกระจก อนาคตเป็นแสงสว่าง หนทางไม่มีอยู่!
“นี่ระบบ นอกจากบุญกุศลจะได้เป็นไต้ซือกับสำเร็จอรหันต์แล้ว ไม่มีประโยชน์อื่นๆ เลยเหรอ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความไม่ยอม
“ใช้ลดโทษได้ ถ้านายผิดศีลจะลดบุญกุศลแทนได้ ถ้าบุญกุศลไม่พอก็เป็นการเพิ่มกรรม”
“เพิ่มกรรมแล้วยังไง?”
“อธิบายไม่ได้ ได้แต่สัมผัสแต่บอกไม่ได้ นายสัมผัสเองแล้วกัน”
‘สัมผัส…สัมผัสกับผีแกสิ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ คำว่ากรรมในพุทธศาสนาพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ไม่อยากแตะต้อง จะให้เขาไปสัมผัส? เขาไม่ได้โง่สักหน่อย
‘ช่างเถอะ ยังต้องเดินต่อไป เดินไปเรียนรู้ไปแล้วกัน บางทีวันหนึ่งระบบอาจจะถูกพิษเสียจิตวิญญาณไปก็ได้…’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ ก่อนเดินบนเส้นทางที่บีบให้เป็นสงฆ์ผู้กระทำความดี
นับเงิน เล่นกับหมา กลายเป็นเรื่องที่ฟางเจิ้งชอบที่สุดในทุกวัน
ข้าวใกล้จะหมดแล้ว ฟางเจิ้งโบกมือกว้างซื้อข้าวผลึกมาอีกร้อยเมล็ด! ไม่กินข้าวธรรมดาแล้ว กินแต่ข้าวผลึกหุงด้วยน้ำบริสุทธิ์ทุกมื้อ ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ชุ่มชื้นไปแบบนี้ ขณะเดียวกันร่างกายก็กำยำขึ้น ผิวหนังแวววาวขึ้นเรื่อยๆ กำลังวังชาเต็มเปี่ยม เหมือนกับมีกำลังไม่มีสิ้นสุด
ในเวลาเดียวกันต้นโพธิ์ในลานเกิดการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้านี่กลับมีชีวิตชีวาขึ้น เดิมทีคิดว่าจะถูกแช่แข็งตาย แต่ดันแตกใบใหญ่ เอ่อล้นไปด้วยพลังชีวิต!
เห็นดังนั้นฟางเจิ้งได้แต่ยกนิ้วโป้งให้มัน “จะตายอยู่แล้วยังทำได้ดีถึงขนาดนี้ ฉันนับถือ!”
“ระบบ นายมั่นใจนะว่าต้นไม้นี้ไม่ได้เปิดภูมิปัญญาแล้ว? หน้าหนาวยังเติบโตขนาดนี้ได้…” ฟางเจิ้งถาม
“ต้นโพธิ์สูบพลังพุทธกับกลิ่นอายธูปในวัดเลยไม่กลัวความหนาว จากนี้ยิ่งแสงธูปสว่างไสวเท่าไร มันก็ยิ่งเติบโตมากเท่านั้น ถ้าเป็นพันปีหมื่นปีจากนี้ก็อาจจะเปิดสัมผัสจริงๆ ก็ได้” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งงุนงง “ถ้าอย่างนั้นทำไมวัดอื่นถึงไม่มีเรื่องแบบนี้ล่ะ?”
“วัดจากระบบจะไปเทียบกับวัดคนธรรมดาได้ยังไง?”
ฟางเจิ้งหมดคำจะโต้ตอบ จึงตบเข้าที่ลำต้นโพธิ์ “เอาเถอะ หวังว่าจะไม่ต้องเอาแกมาทำฟืนจุดไฟนะ พยายามเข้าล่ะ”
พูดจบก็หันหน้าไปมองอุโบสถอย่างเงียบเหงาแล้วส่ายหน้าอย่างจำใจ “เฮ้อ ยังมีหน้าไปพูดถึงคนอื่นอีก ภารกิจธูปร้อยดอกของฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเสร็จเมื่อไร ตอนนี้ได้แค่ธูปสองดอกเอง…”
ฟางเจิ้งใกล้จะสิ้นหวังแล้ว แต่วันที่สองมีเสียงตะโกนดังมาจากข้างนอกจนเขาตกใจวิ่งออกมาจากห้องครัว หมอบอยู่ตรงสันกำแพงมองไป เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนขบวนตรงมาที่วัดเอกดรรชนี!
คนนำหน้าถือกล้องกันมาไม่น้อย! เพียงแต่ว่าไม่มีคนที่รู้จักกัน
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมนักข่าวถึงมากันขนาดนี้? หรือว่าเรื่องที่เขาใช้เม็ดยาหวนคืนเล็กรักษาหมี่ลี่จะแพร่งพรายออกไป ต่อให้แพร่งพรายก็ไม่ควรมีใครเชื่อสิ ทำไมถึงมากันมากขนาดนี้?
ขณะฟางเจิ้งนับจำนวน กลุ่มคนก็มาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ฟางเจิ้งรู้ว่าหลบไม่ได้ จึงได้แต่ออกหน้าต้อนรับ
ไช่ฟางหอบหายใจมองวัดเอกดรรชนีข้างหน้าพลางพูดด้วยความขมขื่น “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว วัดโทรมๆ แบบนี้ไม่รู้ว่าใครช่างคิดมาสร้างในที่บ้าบอแบบนี้ ดีที่อู๋ฉางสี่หาเจอ คงลำบากเขาแย่เลย”
ผู้หญิงที่มีไฝดำตรงปากข้างๆ ยิ้มเยาะ “กลัวว่าอู๋ฉางสี่จะไม่ได้หาเจอน่ะสิ แต่หลวงจีนในวัดมีใจใฝ่กิเลส หาอู๋ฉางสี่เพื่อสร้างกระแส หลวงจีนสมัยนี้ยังมีคนที่ใจใฝ่พุทธอีกหรือไง? เล่นหุ้น เล่นเวยป๋อ ไม่ทำอะไรแถมยังแต่งงานมีลูกอีก…ก่อนหน้านี้ก็มีหลวงจีนเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์เอกหัวหน้าคณะวัดภาคใต้ วิ่งออกมาแสดงวิทยายุทธ์ต่างๆ อยากจะสร้างชื่อเสียงนี่? ฉันว่านะหลวงจีนที่นี่จะต้องคิดแบบนี้อยู่แน่ๆ”
“จิ่งเหยียน เธอรับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อย พวกเราเป็นนักข่าว ได้แค่พูดตามความจริง จะพูดจามั่วซั่วไม่ได้” ไช่ฟางพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
……………………………………….
อู๋ฉางสี่โกรธยกใหญ่ โยนความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดทิ้งไปทั้งหมด แล้วชี้หน้าโอวหยางหวาไจ “โหวหยางหวาไจ! คุณอย่ารังแกคนอื่นให้มันมากนักนะ! ผมรู้นะว่าคุณเป็นนักเขียนพู่กันจีน แต่คุณไม่ได้เห็นกับตาไม่มีสิทธิ์พูดจาเหลวไหลตามอำเภอใจ! ถ้าเก่งนักก็ขึ้นเขาไปขอหลักฐานกับผม ถ้าไร้น้ำยาก็ไสหัวไปให้พ้นซะ!”
“ไอ้เวร!” โอวหยางหวาไจโกรธเหมือนกัน หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดและถลึงตามองเขาแบบนี้
เจียงซงอวิ๋นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนข้างๆ รีบตรงเข้ามา “ทั้งสองท่านๆ อย่าทะเลาะกัน เดี๋ยวผมจะจัดการให้อย่างเป็นธรรมตกลงไหม?”
อู๋ฉางสี่เห็นเจียงซงอวิ๋นออกปาก เพลิงโทสะถึงลดลง “หวังว่าหัวหน้าสมาคมจะตัดสินด้วยครับ”
โอวหยางหวาไจเอ่ย “หัวหน้าสมาคมเจียง ยังต้องดูอักษรนี่อีกเหรอ? ดูภาพที่หลวงจีนนั่นอยู่บนหิมะก็รู้แล้วว่าเป็นการสร้างกระแส!”
อู๋ฉางสี่พลันถลึงตามองโอวหยางหวาไจ โอวหยางหวาไจก็ไม่อ่อนข้อ เห็นดังนั้นก็จะลุกขึ้นเหมือนกัน
เจียงซงอวิ๋นกล่าว “เอาล่ะ สองท่านอย่าทะเลาะกัน ผมดูทั้งภาพกับอักษรแล้ว”
โอวหยางหวาไจกับอู๋ฉางสี่มองเจียงซงอวิ๋น รอฟังคำตัดสิน
เจียงซงอวิ๋นตบบ่าอู๋ฉางสี่ “เสี่ยวอู๋ ฉันรู้นะว่าคนหนุ่มสาวใจร้อนกันบ้าง แต่ถ้าใจร้อนมักทำการไม่สำเร็จหรอก ศิลปะพู่กันจีนน่ะไม่ได้จะสร้างเสร็จในสองสามวัน ภาพนี้มองจากมุมศิลปะก็ไม่เลวเลยจริงๆ…”
“หัวหน้าสมาคมอย่าพูดเลยครับ สรุปมาเลยดีกว่าว่าไม่เชื่อใช่ไหม?” อู๋ฉางสี่ออดกลั้นความคับอกคับใจไว้ ถามออกไป
เจียงซงอวิ๋นพยักหน้าและอยากจะพูดบางอย่าง แต่อู๋ฉางสี่หยิบภาพของเขาหมุนตัวจากไป เดินไปพลางพูดไปพลาง “มองแค่สั้นๆ กบในกะลา!”
“แก!” โอวหยางหวาไจกับเจียงซงอวิ๋นโมโหหน่อยๆ แล้ว!
แต่อู๋ฉางสี่พุ่งออกไปแล้ว หายไปแม้แต่เงาก็ด้วย
สองคนมองหน้ากันก่อนโอวหยางหวาไจพูด “ไอ้ห่านี่ ผมจะให้เขาเข้าใจว่าทำให้ผมโกรธแล้วต้องมีจุดจบยังไง!” พูดจบโอวหยางหวาไจก็โทรศัพท์ เจียงซงอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ทำอะไร เห็นได้ชัดว่าปล่อยให้เขาทำไป
อู๋ฉางสี่ออกมานอกประตูก็สับสนเล็กน้อย ลงบนอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ไปหาสมาคมศิลปะพู่กันจีนก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเอายังไงดี? อู๋ฉางสี่เป็นเหมือนเส้นเอ็น ในเมื่อทางนี้ไม่ได้ เขาก็จะไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน! เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครไร้ความสามารถมองไม่ออกจริงๆ!
ทว่าอู๋ฉางสี่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องผิดหวัง ผู้เชี่ยวชาญพู่กันจีนเหล่านี้อาจจะคิดว่าอักษรดี แต่กลับไม่มีใครคิดว่าเป็นของจริง ต่างบอกว่าเป็นภาพตัดต่อ แถมยังด่าเขามาอีกยกหนึ่ง ทำให้อู๋ฉางสี่คับแค้นใจอย่างที่ไม่มีใครอธิบายได้ ตกเย็นพอกลับสำนักพิมพ์แล้วอู๋ฉางสี่ถูกหัวหน้าบรรณาธิการเรียกไปคุย จากนั้นเขาก็เดินคอตกออกมาจากสำนักพิมพ์
ตกกลางคืน อู๋ฉางสี่ลากโหวจื่อไปดื่มเหล้าอย่างหนัก ด้วยความเมามายจึงพูดสาเหตุออกไป
โหวจื่อคอยจับตามอง รู้ว่าอู๋ฉางสี่มีปัญหาเลยอยากจะเมา เขาจึงไม่ได้ดื่มมากนักเพื่อรอส่งอีกฝ่าย หลังได้ฟังเรื่องของอู๋ฉางสี่ โหวจื่อก็ตบๆ อีกฝ่าย “พี่ใหญ่ นายอย่ารีบร้อนน่า พวกเขาไม่เชื่อภาพ นายก็ให้ไต้ซือเขียนส่งไปสิ! ส่วนเรื่องตกงานก็ช่างเถอะ พี่ชายฉันขาดคนพอดีนายช่วยฉันหน่อยได้ อ้อ ใช่ แล้วถ้าหาในเมืองไม่ได้ นายลองไปดูเมืองอื่นสิ…”
“ไม่ต่างอะไรกันหรอก ไม่ต่างกันหรอก!” อู๋ฉางสี่เมาจนตาพร่ามัว หลับตาพูดพึมพำ
โหวจื่อก็จนปัญญา ตอนนี้พูดอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่อง จึงดื่มไปอีกสองสามแก้วแล้วปลุกอู๋ฉางสี่ ส่งเขากลับบ้าน
วันที่สองอู๋ฉางสี่ยังคงกลัดกลุ้ม โหวจื่อพูดโน้มน้าวต่อว่าให้ไปในมณฑลไปเมืองหลวงอะไรพวกนี้ แต่ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เองหลูเสียวอ่าพูดขึ้นอย่างรำคาญ “พวกนายเป็นหมูรึไง? พวกเขาไม่เชื่อก็เดิมพันกับพวกเขาสิ! เดิมพันสักล้านหนึ่ง ถ้าไม่ยอมก็ขึ้นเขา!”
ปัง!
อู๋ฉางสี่ตบโต๊ะยืนขึ้น ถามว่า “เธอว่าไงนะ?!”
หลูเสียวอ่าตกใจสะดุ้ง ตอบด้วยเสียงอ่อย “ฉะ…ฉันก็พูดๆ ไปอย่างนั้นแหละ”
โหวจื่อหัวเราะ “เธอพูดไปอย่างนั้น แต่บางทีอาจได้ผลจริงๆ ก็ได้นะ! ถ้าส่งเสริมให้เป็นการประลองได้จะเป็นโอกาสสร้างชื่อให้ไต้ซือด้วย ส่วนเหล่าอู๋ก็มีโอกาสสร้างชื่อ แถมยังได้กำไรอีก!”
อู๋ฉางสี่พยักหน้า “ใช่ เอา! แต่ว่าเงินนี่ต้องรออีกสักระยะ…”
“ไม่ต้อง ฉันออกเงินให้เอง!” โหวจื่อตบหน้าอก เรื่องมั่นใจแบบนี้ได้กำไรอย่างแน่นอนไม่ขาดทุน ถ้าไม่ได้กำไรก็จะไม่ทำ!
อู๋ฉางสี่ดีใจใหญ่รีบพุ่งออกไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปหาโอวหยางหวาไจ แต่ไปหาเพื่อนที่เป็นนักข่าวในสำนักพิมพ์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นการประกาศศึกกับโอวหยางหวาไจ!
เดิมทีทุกคนเป็นเพื่อนกัน พอได้ยินว่าอู๋ฉางสี่ถูกมือมืดถอดออกจากงานก็โกรธแค้น พากันส่งต่อกันไป!
เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงหูโอวหยางหวาไจ
พอโอวหยางหวาไจเห็นเงินเดิมพันหนึ่งล้านแล้วก็อึ้งไป หนึ่งล้าน? ถึงเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพู่กันจีน แต่เงินหนึ่งล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ! ขณะเดียวกันตัวเลขนี้ก็ไม่ได้น้อยสำหรับอีกฝ่ายด้วย! เงินเดิมพันมากขนาดนี้ หรือว่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมมาแล้ว?
คิดได้ดังนั้นโอวหยางหวาไจก็ไม่กล้าเดิมพันเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ตอบกลับไปชื่อเสียงคงป่นปี้! ชื่อเสียงกับเงินทองอันไหนสำคัญกว่ากัน?
สุดท้ายโอวหยางหวาไจก็ตอบกลับไป “เดิมพันก็เดิมพัน! แต่เดิมพันอักษรไม่น่าสนใจ เอาเป็นอักษรใครสวยกว่าดีกว่า! ถ้าเณรนั่นอักษรสวยกว่าฉันจริงๆ ฉันจะยอมแพ้! กลับกัน อู๋ฉางสี่จะต้องมาขอขมาฉัน และยอมรับว่าเป็นคนโกหกหลอกลวงคนอื่น!”
อู๋ฉางสี่ตะโกนผ่านอากาศไป “ไม่มีปัญหา! ถ้านายแพ้ ฉันขอห้าแสน ที่เหลืออีกห้าแสนให้ไต้ซือซ่อมแซมวัด!”
โอวหยางหวาไจรับคำท้า สองคนนัดกันว่าอีกสามวันขึ้นเขา!
เวลานี้คนทั้งเมืองเฮยซานต่างสนใจการเดิมพันของสองคน ต่างเชิดหน้าเฝ้ารอคอยผลสรุป ขณะเดียวกันก็อยากรู้มากว่าภูเขาเอกดรรชนีกับวัดเอกดรรชนีเป็นที่แบบไหน ถึงทำให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้นมาได้? แม้สังคมจะพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ศิลปะพู่กันจีนก็ไม่ได้แพร่หลายแล้ว แถมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนมักจะอยู่ในกลุ่มคนเงียบๆ ทว่าถ้าเรื่องนี้ดังขึ้นมาก็ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในวัฒนธรรมของทุกคน
โดยเฉพาะวิธีการนำเสนอแบบนี้มีสีสันเหมือนในนิยายมาก หลวงจีนของวัดเล็กในที่กันดารหาไม่พบกลับท้าประลองกับผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนในเมือง? มันน่าสนุกมากเลยละ
ทุกคนค้นหาในอินเทอร์เน็ตยิ่งสับสนกว่าเดิม ที่เล็กแบบนี้ กันดารแบบนี้ ดูไม่เตะตาแบบนี้ จะมีไต้ซืออยู่จริงๆ หรือ?
พลังของโซเชี่ยลมีเดียไม่มีสิ้นสุด ไม่นานก็มีคนค้นเจอเวยป๋อของเจียงถิง เรื่องที่หยางหวาขอลูกก็เป็นที่สนใจอีกครั้ง ขณะเดียวกันในเนื้อหาล่าสุดของเจียงถิง ยังมีข่าวสงสัยว่าเสียวหมี่ลูกสาวของหานเซี่ยวกั๋วที่เป็นเนื้องอกในสมองระยะสุดท้ายมารักษาหายที่วัดเอกดรรชนีด้วย
ผู้คนต่างฮือฮา แต่คนที่ไม่เชื่อกลับมีมากกว่า
“วัดเอกดรรชนีจะสร้างกระแสจริงๆ!”
…………………………………………….
โหวจื่อคิดไปคิดมา ถึงยังไม่อยากแต่งงานเร็ว แต่มีลูกก็ไม่เสียหาย! ดังนั้นจึงพูดเบาๆ ว่า “พระโพธิสัตว์ ขอให้ท่านคุ้มครอง ให้ลูกแฝดผมด้วยเถอะ!”
จุดธูป คุกเข่าไหว้พระ ส่วนเงินตอนนี้ไม่มีกล่องบริจาค เขาเลยวางไว้ตรงหน้าเบาะนั่งแทน ตอนนี้เองเหล่าอู๋เดินมาข้างโหวจื่อ จุดูธูปคุกเข่าไหว้เหมือนกัน
โหวจื่องุนงง “เหล่าอู๋ นายก็ขอลูกด้วยเหรอ? นายสี่สิบกว่าแล้วนี่!”
เหล่าอู๋เหลือบตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง “สี่สิบกว่าแล้วยังไง? ชีวิตนี้ฉันมีลูกชายคนเดียว จากนั้นมาเป็นตายยังไงก็ไม่ท้องแล้ว ตอนนี้ฉันอยากมีลูกสาวบ้าง มีปัญหารึไง?” พูดจบเหล่าอู๋ก็ไหว้ ก่อนหยิบเงินสองร้อยหยวนไปวางไว้ข้างหน้า
สองคนออกมาจากอุโบสถ โหวจื่อพลันนึกขึ้นได้ “เหล่าอู๋ เมียนายทำหมันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหล่าอู๋หัวเราะเฮอะๆ “ใช่ คิดจริงๆ เหรอว่าฉันอยากได้อีกคน? การเลี้ยงเด็กก็เหมือนกับดูแลบรรพบุรุษ ไม่ง่ายเลยนะที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตมาอย่างอิสระ จะต้องการอีกทำไม แต่ถ้าไม่ขอแล้ววางเงินไว้เฉยๆ ไต้ซือคงไม่เอาแน่ ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก แต่เพื่ออักษรนั่น คนนี่คุ้มค่า!”
โหวจื่อหัวเราะแห้งๆ และก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้เอง ฟางเจิ้งถือน้ำออกมาสองชาม
โหวจื่อตาลุกวาว แต่ก็ถามขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ “เหล่าอู๋ นายไม่ดื่มใช่ไหม?”
เหล่าอู๋พยักหน้าโดยจิตใต้สำนึก “ไม่ดื่ม”
“ฉันหิวจะแย่ เดี๋ยวช่วยนายดื่มเอง” โหวจื่อพูดจบก็วิ่งเข้าไปรับชามน้ำ ดื่มอึกๆๆ จนหมดเกลี้ยง จากนั้นพูดด้วยสีหน้าสุขสบาย “ไต้ซือ น้ำที่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ!”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร
โหวจื่อถามหยั่งเชิง “ขออีกชามได้ไหมครับ?”
“ไม่ได้” ฟางเจิ้งปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
โหวจื่อเอ่ยด้วยความไม่ยอม “ครั้งก่อนก็ดื่มได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ยังเหลือน้ำอีกครึ่งโอ่ง โยมลองเติมดูได้” ฟางเจิ้งมองโหวจื่อพลางหัวเราะ
โหวจื่อนึกถึงโอ่งน้ำยักษ์กับถังน้ำใหญ่แล้วก็ปวดหลัง จึงล้มเลิกความคิดจะดื่มน้ำไป
เหล่าอู๋มองโหวจื่อด้วยความสงสัย “โหวจื่อ ไม่ใช่มั้ง?…แค่น้ำชามเดียวเนี่ยนะ?”
โหวจื่อตอบกลับอย่างจำใจ “รู้จักพอเถอะ ท่านกลัวว่าเราจะหิวน้ำตายเลยให้ดื่มน้ำ ไม่งั้นด้วยนิสัยของไต้ซือคงไม่ได้ดื่มแม้แต่ชามเดียว นายจะดื่มไหม? ถ้าไม่ฉันช่วยนายเอง?”
เหล่าอู๋มักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงเหลือบตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง แล้วก็ดื่มน้ำไปหนึ่งอึก จากนั้นอึดใจเดียวหมดเกลี้ยง แต่กลับสำลักหายใจไม่ทัน พ่นน้ำออกมาเป็นสายฝนเต็มฟ้า
โหวจื่อเห็นอย่างนั้นก็ส่ายหน้า “สิ้นเปลือง…”
เหล่าอู๋หน้าแดง รีบเบี่ยงประเด็นไป ถามฟางเจิ้งด้วยความแปลกใจ “ไต้ซือ น้ำที่เป็นน้ำพุบนเขาเหรอครับ? ทำไมอร่อยอย่างนี้ล่ะ?”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “เป็นน้ำพุบนเขา แต่เมื่อน้ำเข้ามาในวัดแล้วจะมีกลิ่นอายพุทธ รสชาติเลยต่างไปเล็กน้อยเท่านั้น”
“นี่…” เหล่าอู๋ไม่เชื่อเรื่องกลิ่นอายพุทธ แต่ก็ไม่ดีนักถ้าจะคัดค้านต่อหน้าฟางเจิ้ง ถ้าฟางเจิ้งไม่อยากพูดก็จะไม่ถาม ทว่าในใจก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ตรึกตรองว่าจะหาเวลาตั้งใจศึกษาสักหน่อย หากไขความลับในนั้นได้…
เหล่าอู๋คึกคักขึ้นมาทันที
เหล่าอู๋กล่าว “ไต้ซือ อักษรที่ท่านเพิ่งเขียนเมื่อกี้ทำไมไม่เขียนลงบนกระดาษล่ะครับ?”
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “พูดความจริงนะ บนเขาลำบาก ไม่มีพู่กันหรือกระดาษกับจานฝนหมึกหรอก ได้แต่เขียนบนหิมะตามใจชอบ”
เหล่าอู๋พยักหน้าเหมือนมีความคิดบางอย่าง
จากนั้นโหวจื่อก็แสดงความขอบคุณฟางเจิ้งอีกครั้ง ยังบอกอีกว่าช่วงนี้แฟนเขาไม่ค่อยสบาย อีกทั้งหิมะตกทำให้เดินบนเขาลำบากเลยไม่ได้มาด้วย แล้วถึงจะลากเหล่าอู๋ลงเขาไป
แต่เดินไปได้ครึ่งทางเหล่าอู๋ก็ตบป้าบเข้าที่หัวตัวเอง “โอ๊ย ลืมถามเรื่องหานเซี่ยวกั๋วเลย”
โหวจื่อหัวเราะเยาะ “นายจะถามจริงๆ เหรอ?”
เหล่าอู๋หัวเราะเฝื่อนๆ “ช่างเถอะ ข้างนอกเขาไม่พูดเรื่องนี้กัน เราก็อย่าไปยุ่งด้วยเลย แค่ได้เห็นอักษรพวกนั้นฉันก็ได้กำไรแล้ว!” เหล่าอู๋ขยับกล้องไปมาอย่างโอ้อวด ในกล้องมีคัมภีร์วัชรสูตรที่ฟางเจิ้งใช้อักษรพุทธองค์มังกรเขียนอยู่ แม้จะมีเพียงส่วนเดียวก็มากพอแล้ว
สองคนลงเขาไปอย่างมีความสุข
บนเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ฟางเจิ้งไม่มีอะไรทำจึงพาหมาป่าเดียวดายถือท่อนไม้เดินเข้าไปในภูเขา เดินไปพลางตามหาพื้นที่กว้างเพื่อจะฝึกอักษรพุทธองค์มังกร อักษรนี้มีพลังน่าหลงใหลจริงๆ ยิ่งเขียนมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกสบาย เสพติดราวกับดูดกัญชา! ฟางเจิ้งสาบานว่าตั้งแต่เล็กมาไม่เคยหลงใหลอักษรแบบนี้มาก่อน!
พริบตาเดียวผ่านไปหนึ่งวัน วันที่สอง บนหนังสือพิมพ์อำเภอเมืองซงอู่ตีพิมพ์บทความเรื่องไต้ซือลับในวัดเล็ก อีกทั้งยังแนบอักษรพุทธองค์มังกรอีกหลายแผ่น ทันทีที่อู๋ฉางสี่ส่งออกไปก็รอกับพวกหัวหน้ากองบรรณาธิการ เฝ้าหวังว่าครั้งนี้จะสร้างกระแสครั้งใหญ่ได้
แต่พวกเขาประเมิณผลตอบรับของหนังสือพิมพ์สูงเกินไป สมัยนี้หนังสือพิมพ์เล็กๆ ในอำเภอจะขายได้เท่าไรกันเชียว? ต่อให้ขายได้ก็เป็นการสั่งจองจากภายในเล็กน้อย ซื้อไปแล้วก็เอาไปวางไว้ รอห้องน้ำในหมู่บ้านทางตะวันออกขาดกระดาษแล้วก็จะรีบเอาไปเสริมให้เท่านั้น
ดังนั้นสามวันผ่านไปจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
หัวหน้าบรรณาธิการตบบ่าอู๋ฉางสี ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับสื่อความหมายชัดเจนมากว่าอักษรนี้ใช้ไม่ได้!
อู๋ฉางสีไม่ยอมเลยขอลา ถือภาพเดินไปในเมือง เขาไม่เชื่อว่าอักษรที่สวยขนาดนี้ มีพลังขนาดนี้จะขายไม่ได้? ขณะเดียวกันอู๋ฉางสีอัปเดตภาพเกี่ยวกับวัดเอกดรรชนีจำนวนมากลงในเวยป๋อ ในนั้นมีภาพฟางเจิ้งกำลังเขียนอยู่บนหิมะ แถมยังมีอักษรที่สมบูรณ์ ซ้ำยังแท็กผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนมาก
แต่ว่า…
“นี่มันหนังเหรอ?”
“ทำออกมาได้ไม่เลวเลยนะ”
“เณรก็แสดงได้จริงจังมากเลย”
“ขอชื่อหนังหน่อย น่าดูจัง”
“หนังสั้นเหรอ? ไม่เห็นโฆษณาเลย…”
อู๋ฉางสีเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออกและจนปัญญา ตอบกลับไปว่า “นี่เป็นเรื่องจริงนะ ไม่ได้ตัดต่ออะไรทั้งนั้น ถ้าหลอกแม้แต่นิดขอให้ฟ้าผ่า! วัดนี่อยู่บนเขาเอกดรรชนี! ใครไม่เชื่อก็ไปดูเอง!”
“ขี้โม้ล่ะมั้ง?”
“เขาเอกดรรชนี? นั่นมันที่ไหนกัน?”
“ค้นดูแล้วเป็นภูเขาเล็กนะ ข้างบนยังมีคนอีกเหรอ?”
“จะสร้างกระแสรึไง?”
………
อู๋ฉางสีโกรธแล้ว “ถ้าเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ”
ส่วนนักเขียนพู่กันจีนเหล่านั้นเดาว่าส่วนใหญ่ไม่เห็น ถึงอย่างไรอู๋ฉางสีก็ตัวเล็กจ้อยเกินไป ต่อให้เห็นก็คิดว่าเป็นของตัดต่อ
กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีนในเมืองนี้หรือโอวหยางหวาไจยังถามกลับอย่างไม่เกรงใจว่า “คงทำเพื่อได้รับการยกย่องเชื่อถือล่ะสิ ใช้มือเท้าเขียนบนหิมะเนี่ยนะ? เป็นการทำให้ลูกศิษย์คนอื่นไขว้เขวได้ ภาพของนายมันห่วยที่สุด! เขียนบนกระดาษให้เข้าใจก่อนค่อยว่าอีกทีเถอะ!”
อู๋ฉางสีโกรธแทบตาย ตอบกลับไปว่า “คุณโอวหยาง คุณจะไม่เชื่อก็ได้ จะขอหลักฐานก็ได้ แต่ไม่ควรดูถูกคนอื่น!”
โหวหยางหวาไจย้อนถาม “หึ! นายคู่ควรรึไง?!”
อู๋ฉางสีโกรธจนแทบกระอักเลือด
พอมาถึงเมืองเฮยซาน อู๋ฉางสี่ตรงไปที่สมาคมศิลปะพู่กันจีน แต่มาเจอกับโอวหยางหวาไจที่กำลังดื่มชาอยู่ในสมาคม! โอวหยางหวาไจกวาดสายตามองภาพในมืออู๋ฉางสีแวบหนึ่งจากนั้นก็โยนทิ้งไป เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “อวดดีหลอกคนอื่นเขาไปทั่ว!”
…………………………………….
ลานวัดไม่ใหญ่ ไม่นานก็เขียนจนเต็มแล้ว ฟางเจิ้งออกจากวัดไปโดยไม่รู้ตัว เขียนต่อบนพื้นข้างนอกวัด!
ส่วนโหวจื่อกับเหล่าอู๋มองจนอึ้งงัน มองอักษรราวกับมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้าบนพื้น ในใจเหลือแต่ความเคารพ…
เวลาผ่านไปทีละวินาที ดินข้างนอกไม่ได้ราบเรียบ หลังฟางเจิ้งเขียนไปครู่หนึ่งก็ไม่มีที่ให้เขียนอีกจึงหยุดลง
“ฟู่!” ฟางเจิ้งถอนหายใจยาว รู้สึกว่ากำลังวังชาทั่วร่างผ่อนคลายลงพร้อมกัน ทั้งตัวเหมือนกับลอยขึ้น สบายสุดๆ!
พอมองอักษรพุทธองค์มังกรของตัวเองก็หัวเราะแห้งๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเคยเห็นอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงในความคิดมาก่อน อักษรนั่นยิ่งใหญ่ราวกับมังกรแท้จริงมาเยือนโลกมนุษย์ ประหนึ่งพระโพธิสัตว์มาเยือนด้วยตัวเอง! ความโออ่าทรงพลังนั้น ตัวอักษรของเขาไม่อาจเทียบได้เลยสักนิด แม้อักษรของเขาจะดีกว่าที่เคยเห็นมาไม่รู้กี่หมื่นเท่า แต่ก็ยังเทียบกับของดั้งเดิมไม่ได้ เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “ยังต้องฝึกอีกเยอะ เราเพิ่งจะเรียนรู้พื้นฐานเอง”
พูดจบก็เดินไปโดยไม่สนใจว่าจะทำลายความสมบูรณ์แบบของอักษรหรือไม่ เหยียบบนอักษรเป็นรอยเท้ายาว คัมภีร์สมบูรณ์พลันเละเทะ ท่วงทำนองหายไปหลายส่วน
“อมิตาภพุทธ โยมสองท่านสบายดีนะ” ฟางเจิ้งมาถึงหน้าประตูก็ชะงักงัน ในวันหิมะตกหนักปกคลุมภูเขาแบบนี้ยังมีคนขึ้นเขามาอีก? พวกเขานี่เป็นดั่งดรุณีนั่งเกี้ยว[1]จริงๆ! เมื่อมองไปหนึ่งในนั้นเป็นคนรู้จักเก่า นั่นคือโหวจื่อที่ครั้งก่อนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
“อ๊าก!” เหล่าอู๋กับโหวจื่อถูกเรียกจึงได้สติกลับมา เหล่าอู๋พลันร้องด้วยความอนาถ ผลักฟางเจิ้งออก มองอักษรที่ถูกเหยียบจนเละตรงหน้าพลางร้องเสียงดัง “เจ๊งแล้ว! เจ๊งแล้ว! อักษรสมบูรณ์แบบขนาดนี้ถูกทำลายจนเละแล้ว! เจ๊งแล้ว!”
ฟางเจิ้งงุนงง อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “อาตมาแค่เขียนเล่นๆ เองนะ ทำไมโยมต้องทำถึงขนาดนี้ล่ะ?”
เหล่าอู๋พลันหันมามอง ดวงตาแดงก่ำ ฟางเจิ้งตกใจจนแทบจะตบอีกฝ่ายไปหนึ่งหัตถ์ เผื่อเจ้านี่ทำอะไรที่มันนอกกรอบขึ้นมา
เหล่าอู๋มองฟางเจิ้งแวบหนึ่งถึงระงับความฉุนเฉียวลง จากนั้นกล่าวด้วยความเศร้า “เณร เณรไม่รู้จริงๆ เหรอว่าอักษรพวกนี้มีค่าแค่ไหน?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อักษรนี่เป็นแค่ระดับพื้นฐานของอาตมา จะมีค่าอะไรกัน?”
เหล่าอู๋พูดไม่ออก อักษรระดับพื้นฐานเหรอ? ถ้านี่แค่ระดับพื้นฐาน เช่นนั้นอักษรของไต้ซือพวกนั้นก็คงไม่ได้มาตรฐานแล้วล่ะมั้ง? เหล่าอู๋คิดว่าหลวงจีนนี่เสแสร้งจึงมองค้อนฟางเจิ้ง แถมยังถือกล้องถ่ายรูปวิ่งไปพลางว่า “ไม่คุยกับเณรแล้ว พวกนายอย่าเข้ามาล่ะ จะให้อักษรที่สมบูรณ์อยู่ถูกทำลายอีกไม่ได้”
เหล่าอู๋พูดจบก็ถือกล้องถ่ายรูปเข้าไปในประตูใหญ่ เตรียมจะทำสารคดีเกี่ยวกับอักษรในวัดบันทึกเก็บไว้ เขามีลางสังหรณ์ว่าอักษรพวกนี้จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังข้ามคืนให้เขาแน่! อย่างน้อยตำแหน่งก็สูงขึ้นหนึ่งขั้น!
ฟางเจิ้งกับโหวจื่อตามไปทันที กลัวว่าเจ้านี่จะก่อเรื่องอะไร แต่พอเข้ามาฟางเจิ้งก็พูดไม่ออก โหวจื่ออึ้งค้าง เหล่าอู๋แทบจะเป็นบ้า!
เห็นหมาป่าตัวใหญ่สีเงินตัวหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นไปทั้งลาน กระโดดเอาหัวมุดลงไป ชนหิมะบนพื้นจนเป็นหลุมใหญ่! จากนั้นก็กระโดดอีก! อักษรทั้งลานอ่านไม่ออกแล้ว แต่กลายเป็นหลุม…อยู่ทุกที่ในลาน…
“อ๊าก! งานศิลปะของฉัน! หมาบ้า ฉันกับแกต้องตายกันไปข้าง!” เหล่าอู๋คลุ้มคลั่ง ร้องเสียงดังพลางจะพุ่งเข้าไปสู้ตายกับหมาป่าเดียวดาย!
โหวจื่อเห็นดังนั้นจึงกอดเหล่าอู๋ไว้
เหล่าอู๋ด่าทออย่างไม่พอใจ “ไอ้โหวจื่อปล่อยสิวะ! อักษรสมบูรณ์แบบขนาดนี้ถูกเดรัจฉานทำลายจนเละ ฉันจะสู้ตายกับมัน! ฉันจะอัดมันให้พิการไปเลย! แกปล่อย ปล่อยฉัน!”
โหวจื่อยิ้มแห้ง “เหล่าอู๋ ถ้านายชนะมันได้ฉันปล่อยแน่ ปัญหาคือนายชนะมันไม่ได้…”
“ชนะไม่ได้? ฉันชนะหมาไม่ได้เนี่ยนะ?” เหล่าอู๋ตะโกนด้วยความไม่พอใจ
“นั่นไม่ใช่หมา นั่นหมาป่า! หมาป่าตัวเท่าลูกวัวน่ะ! จ่าฝูงหมาป่า!” โหวจื่อตอบ
เหล่าอู๋ได้ยินดังนั้นก็เชื่อฟังโดยพลัน ขณะจะพิจารณามองหมาป่าเดียวดายอย่างละเอียด มันกลับตะกายออกมาจากในกองหิมะ กลิ้งไปมาแถมยังส่ายก้นให้เขา แล้วเดินสะบัดหางไปหลังลาน เดาว่าเจ้านี่คงจะอึดอัดใจ เช้าตรู่ขนาดนี้ทำไมถึงมีคนบ้ามากันสองคน ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย รบกวนชีวิตอันมีความสุขของมันเสียได้
ทว่าสายตาเหล่าอู๋ก็ยังถือว่าเฉียบแหลม มองออกว่านั่นคือหมาป่าจริงๆ! เพลิงโทสะที่คุกกรุ่นในท้องพลันมอดดับลง รู้สึกแค่ว่าขาสองข้างอ่อนยวบ ตัวสั่นระริก “โหวจื่อ จับฉันไว้ให้แน่น…น้องรัก อย่าปล่อยมือล่ะ ฉันกลัวว่าฉันจะวิ่งเข้าไปใส่มันน่ะ…”
โหวจื่อ “#@¥#@%…”
ฟางเจิ้ง “อมิตาภพุทธ โยมวางใจได้ หมาป่าตัวนี้นิสัยดี ไม่ทำร้ายคน”
“ไม่ทำร้ายคน แต่มันทำร้ายอักษร…” เหล่าอู๋พูดด้วยความเศร้าสร้อย
ฟางเจิ้ง “@#¥…”
โหวจื่อหัวเราะเฝื่อนๆ “ไต้ซือ นี่เพื่อนผมครับ อู๋ฉางสี่ เป็นนักข่าวสำนักพิมพ์ในอำเภอ มีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ว่าเป็นพวกบ้างาน หวังว่าจะให้อภัยนะครับ”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตาภพุทธ ที่แท้ก็อย่างนี้เอง แต่พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ ยังไงให้เพื่อนโยมรักษาความสงบด้วย”
“ครับๆ ไต้ซือวางใจได้ ผมจะให้เขาหุบปากเอง” ตอนนี้โหวจื่อเคารพนับถือฟางเจิ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิกเหล่าอู๋ทันที “นายฟังฉันหน่อยสิ ฉันพานายมาไม่ได้จะให้เป็นบ้านะ”
เหล่าอู๋เห็นอักษรของฟางเจิ้งแล้วก็เลื่อมใสดั่งคนสวรรค์ไปนานแล้ว ความโอหังก่อนหน้าหายไป
ฟางเจิ้งกล่าว “โยมสองคน หิมะตกหนักยังขึ้นเขากันมาอีก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ไต้ซือ ผมมาขอบคุณท่านครับ ถ้าไม่ได้ท่านเตือนไว้ ผมกับภรรยาคงตายไปแล้ว ถือว่านี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นะครับ…” โหวจื่อควักธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋ายัดให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งตะลึงงัน เยอะขนาดนี้เชียว?
ฟางเจิ้งอยากจะรับมาจริงๆ แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์กับเขา!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงละสายตากลับ ประนมสองมือ “อมิตาภพุทธ ถ้าโยมอยากขอบคุณก็ขอบคุณพระพุทธเถอะ พวกเรามาพบกันเป็นโชคชะตา พบกันเป็นพรหมลิขิต โยมเลือกเชื่อคำพูดของอาตมาก็ถือว่าไม่มีภัยนี้ในชีวิต ส่วนเงินนี้ช่างเถอะ”
ฟางเจิ้งกล่าวจบก็หมุนตัวจากไป จะอยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่เขากลัวว่าจะคันมือรับเงินมา! นั่นคงน่าขายหน้า…
โหวจื่อคาดไม่ถึงว่าฟางเจิ้งจะเดินไปแบบนี้ ขณะจะตามไปเหล่าอู๋ดึงโหวจื่อไว้ “เจ้าโง่ นายบอกว่าเขาเป็นไต้ซือไม่ใช่เหรอ ไต้ซือจะรับเงินนายได้ยังไง? นี่ แต่ก็รับเงินบริจาคธูปไม่ใช่เหรอ? นายไปจุดธูป บริจาคเงินจุดธูปก็ได้ไม่ใช่รึไง?”
โหวจื่อพลันเข้าใจแจ่มแจ้งจึงรีบเดินเข้าไปในอุโบสถ หยิบธูปชั้นดีที่แพงที่สุดมาขอพรอะไรเล็กน้อย จากนั้นอึ้งไป! เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวัดนี้เหมือนจะนับถือพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร…
………………………………………………
[1] ดรุณีนั่งเกี้ยวหมายถึง ครั้งแรกย่อมขาดประสบการณ์เป็นธรรมดา
‘ฝันไปเหรอ?’ ฟางเจิ้งถามในใจ ระบบก็ไม่ยอมตอบ เขาเองก็ไม่มั่นใจ แต่มีความรู้สึกเหมือนตนเรียนอะไรบางอย่าง และก็เหมือนไม่ได้เรียนด้วย ความรู้สึกนี้ลึกลับมาก บอกไม่ถูก
“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งตื่นก็เห่าด้วยความกังวล
ฟางเจิ้งโบกมือ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เอาเถอะ ดึกแล้วนอนดีกว่า” พูดจบฟางเจิ้งก็พลิกตัวหลับต่อ
คืนนี้หิมะตกหนัก เป็นหิมะครั้งแรกในฤดูหนาว…
ฟ้าสางบ้างแล้ว ฟางเจิ้งลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ รู้สึกเย็นสบายไปทั้งตัว สบายมากๆ!
หลังเดินออกไปก็เจอกับลมหนาว กลิ่นปะปนกับเกล็ดหิมะ ในความสดชื่นแฝงไว้ด้วยเย็นสบายยิ่งนัก!
ฟางเจิ้งหรี่ตามองในลาน ทั้งลานถูกคลุมด้วยหิมะขาว ความรู้สึกหนึ่งคืนเข้าหน้าหนาวทำให้เกิดความแปลกใหม่มากขึ้น หิมะเกาะบนต้นไม้ บนยอดกุฏิมีหิมะกองไว้หนา เดินเข้าไปในลานส่งเสียงดังแกรกๆ ฟังแล้วสบายหูเป็นพิเศษ
แต่ว่าไม่นานฟางเจิ้งก็กลัดกลุ้ม ในลานเต็มไปด้วยหิมะจะต้องไม่ดีแน่ คนเดินไปมายากลำบาก ต้องทำความสะอาดเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงหาไม้กวาดใหญ่มาเริ่มทำงาน หมาป่าเดียวดายก็ใช้จมูกดันบนพื้น ลากเป็นรอยหิมะยาวหลายเส้น พอเงยหน้าขึ้นหิมะติดอยู่ที่ปลายจมูกมันเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าทำงานเช่นกัน…
ฟางเจิ้งเห็นมันแบบนั้นก็อดไม่ไหวจริงๆ เลยผูกกระดานไม้ไว้ตรงหน้าอกมัน แบบนี้เวลามันเดินก็จะผลักหิมะไปด้วย มีประสิทธิภาพขึ้นมาก…
หมาป่าเดียวดายมองฟางเจิ้งด้วยแววตาคับแค้นใจ มันแค่อยากเล่นหิมะเท่านั้น แบบนี้คือบังคับทำงานกันรึเปล่า?
ฟางเจิ้งไม่สนใจมัน แต่หลังทำความสะอาดจากกุฏิไปจนถึงห้องน้ำและห้องครัวแบบง่ายๆ แล้วก็รีบไปทำอาหาร
กินข้าวกวาดหิมะกลายเป็นเรื่องหลักที่เขาต้องทำในวันนี้ ยุ่งอยู่หนึ่งชั่วโมงกว่าก็กองหิมะไว้หลังวัด ก่อนเล่นสนุกก่อหิมะเป็นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ ใช้ดินทำเป็นดวงตา แล้วปักไม้ลงไป รวมเป็นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่สองเมตร
ฟางเจิ้งกวาดไปข้างหน้าวัดอีกทางหนึ่ง เขาจะเก็บที่เหลือไว้ใช้
เมื่อทำความสะอาดอุโบสถแล้วก็ว่างอีกครั้ง เขาหักนิ้วมือพลางยิ้ม “เล่าลือว่าอักษรพุทธองค์มังกรกำราบสวรรค์ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันจะเขียนอักษรออกมาเป็นยังไง”
พูดจบก็หยิบไม้มาท่อนหนึ่ง ยืนบนพื้นหิมะ สูดลมหายใจเข้าลึก ใช้ท่อนไม้เป็นพู่กัน ใช้แผ่นดินเป็นกระดาษเขียนลงไป!
ฟางเจิ้งกลั้นหายใจรวมสมาธิ เขาพลันเข้าไปอยู่ในสภาวะลืมตัวเอง ถือท่อนไม้ค้างไว้อย่างนั้น ราวกับกำลังเตรียมการบางอย่าง…
“นี่วัดเอกดรรชนีเหรอ โหวจื่อ นายมั่นใจนะว่าไม่ได้หลอกฉัน? นี่ทำเอาฉันเกือบตายแหน่ะ!” ชายวัยกลางคนหอบหายใจพลางปีนขึ้นเขามา ก่อนนั่งลงกับพื้น เป็นตายยังไงก็ไม่ลุกขึ้นมา
โหวจื่อข้างๆ ก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัว ยิ้มเฝื่อนๆ “หลอกนาย? หลอกนายแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ฉันจะบอกให้นะอีกเดี๋ยวก็พบไต้ซือแล้ว จะต้องทำตัวดีๆ ล่ะ เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ ถ้านายไม่เคารพอย่าหาว่ามือฉันไปดูแลหน้านายก็แล้วกัน”
“รู้แล้วๆ อย่าพูดมากน่า ครั้งนี้ฉันมาเพราะข่าวใหม่เลย โหวจื่อ นายว่าข่าวลือเป็นจริงไหม? หลวงจีนที่นี่โน้มน้าวให้หานเซี่ยวกั๋วมอบตัวน่ะ? เขาเก่งกว่าตำรวจอีกเหรอเนี่ย?” ชายวัยกลางคนกล่าว
โหวจื่อตอบ “หึๆ เหล่าอู๋ นี่เห็นแก่ที่นายรู้จักฉันนะ ถ้าเป็นคนอื่นถามฉันไม่ยอมบอกแน่ คนอื่นไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ! พั่งจื่อก็เชื่อ!”
“เอาเถอะ อีกเดี๋ยวพบเขาแล้วก็จะรู้เอง ไปกัน…” เหล่าอู๋ลุกขึ้นเดินไปยังวัดกับโหวจื่อ
ฟางเจิ้งยังไม่ได้ทำความสะอาดเส้นทางข้างนอกวัด ถ้าหิมะไม่ตกบนภูเขาก็ถือว่าดี แต่ถ้าหิมะตกจะเหมือนกับขนห่าน หิมะกองหนามาก สองคนเดินไปขาเกือบครึ่งจมในหิมะ เดินทีละก้าวอย่างยากลำบากจนมาถึงหน้าประตูวัด สองคนนี้เหนื่อยจนแทบจะนอนราบ
ดีที่ฟางเจิ้งกวาดหิมะหน้าประตูไปแล้ว สองคนนี้จึงยกขาออกมาจากหิมะเหยียบบนพื้นราบ ทันใดนั้นเองเหมือนมีความรู้สึกจะลอยขึ้น! สบาย สุขสมใจ!
“จริงๆ นะ ถึงวัดนี่จะไม่ใหญ่ แต่ก็อยู่บนเขาเดี่ยว มีกลิ่นอายงดงามพิเศษ พืชหญ้ามีเนื้อในแฝงอยู่ เหมือนหลอมรวมเข้าสู่กลางธรรมชาติใหญ่เลย ไม่เลวจริงๆ” เหล่าอู๋เป็นช่างกล้องนักข่าวมืออาชีพ ย่อมประเมิณค่าสุนทรียภาพได้ดีกว่าพวกโหวจื่อ มองแวบแรกก็เห็นถึงความไม่ธรรมดาของวัด
โหวจื่อฟังจนเคลิ้ม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือวัดนี้ดูสบายจริงๆ ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนคนก่อสร้างอย่างกะทันหันเลย
ประตูวัดเปิดออก สองคนเดินเข้าไปก็เห็นฟางเจิ้งที่กำลังถือท่อนไม้ยืนอยู่บนหิมะ
เหล่าอู๋กำลังจะพูด แต่โหวจื่อรีบปิดปากเขาไว้และทำเสียงปราม โหวจื่อคิดมาตลอดว่าฟางเจิ้งเป็นผู้สูงส่งมาจากนอกโลกที่ซ่อนตัวอยู่ วิทยายุทธ์เลิศล้ำ ลึกลับอย่างยิ่ง ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังอยู่ในห้วงจิต ด้วยสัญชาตญาณของเขาจึงคิดว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
เหล่าอู๋ก็เคยเห็นคนในเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น ไม้ในมือประหนึ่งถือพู่กัน เขาจึงเข้าใจอะไรบางอย่าง หยิบกล้องออกมาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับฟางเจิ้ง!
ในภาพสารคดี ฟางเจิ้งสวมชุดคลุมขาวกว่าหิมะ บุคลิกลอยล่อง หลุดพ้นและเหนือธรรมดา โดดเด่นออกมา ทว่าดวงตาฟางเจิ้งที่จดจ่อกลับกระตุ้นอารมณ์ของเหล่าอู๋ เขาอดใจเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “แววตาจดจ่อแบบนี้จะต้องเขียนออกมาเป็นบทความยิ่งใหญ่แน่ๆ! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขามีความลึกซึ้งในความรู้กี่ส่วน…แต่ดูจากอายุแล้วยังไม่ถึงยี่สิบ อายุแค่นี้ความลึกซึ้งในความรู้น่าจะไม่พอ เนื้อในไม่พอ แต่ว่าถ้ายังรักษาความจริงจังแบบนี้ไว้ได้ อนาคตก็พูดยากแล้ว”
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งขยับ!
โหวจื่อกับเหล่าอู๋เหมือนเห็นมังกรตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นหิมะ ไม้ในมือฟางเจิ้งราวกับพู่กันจริงๆ กวัดแกว่งพู่กันบนผ้าวาดภาพบนพื้น ลากไปประหนึ่งมังกร หิมะสาดกระจาย! รวดเร็วอย่างยิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองบางอย่าง! หิมะลอยขึ้นแต่กลับไม่ทำให้ภาพเสียหาย!
สิ่งที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือเห็นๆ อยู่ว่าฟางเจิ้งเหยียบกลางหิมะ แต่รอยเท้ากลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวอักษรโดยธรรมชาติ! ทำให้อักษรสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม! มีความสมบูรณ์แบบที่ไม่ทำลายอักษร!
“นะ…นี่…ท่อนไม้คือพู่กัน สองเท้าก็เป็นพู่กัน! วาดสามพู่กันพร้อมกัน เขียนเป็นอักษรตัวหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างส่งเสริมกันราวกับมังกรทะยานขึ้นฟ้า…” ลูกตาเหล่าอู๋แทบจะถลน เขากดชัดเตอร์กล้องถ่ายภาพรัวๆ โดยไม่รู้ตัว ถ่ายอย่างบ้าคลั่งทีเดียว!
โหวจื่อไม่เข้าใจอักษร เขาอยู่นอกวงการนี้ก็ได้แค่มอง รู้สึกว่าจังหวะก้าวฟางเจิ้งคล้ายๆ เหาะเหิน ร่างกายคล่องแคล่วแข็งแกร่งดุจมังกร ระหว่างที่อาภรณ์โบกสะบัดแสงพุทธองค์สว่างไสว กลิ่นอายวิทยายุทธ์เข้มข้นโชยเข้ามากระทบใบหน้า! ดวงตาสองข้างฉายแววตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำ! เขารู้แล้วนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เป็นสิ่งที่เขาแสวงหา!
ทว่าฟางเจิ้งไม่รู้ว่ามีแขกมาหา ตอนนี้เขารวมสมาธิทั้งหมดในระดับสูง ในความคิดมีเพียงคัมภีร์ม้วนหนึ่ง! นี่คือคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ที่เขาค้นหาในอินเทอร์เน็ต คัมภีร์วัชรสูตร[1]!
‘ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วเช่นนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดเชตวันมหาวิหารเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป สมัยนั้นเป็นกาลแห่งภัตตาหาร พระพุทธองค์ทรงครองจีวรอุ้มบาตร…’ ฟางเจิ้งเพิ่งเริ่มก็แค่ใช้ท่อนไม้เป็นพู่กัน จากนั้นใช้สองขาช่วย สุดท้ายตัวเขาประหนึ่งกลายเป็นพู่กัน เขียนอักษรทีละช่วงออกมาบนภาพระหว่างฟ้าดินอย่างรวดเร็ว!
……………………………….
[1] คัมภีร์วัชรสูตร เป็นเนื้อหาสำคัญจากการเทศนาสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกที่พระเชตวันมหาวิหาร เป็นปัญญาญาณสมบูรณ ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา
“เจียงถิง อย่าเบี่ยงประเด็นสิ วันนี้เราคุยกันเรื่องหลวงจีนนั่นรักษาได้รึเปล่าอยู่” ผู้อำนวยการจ้าวรีบดึงหัวข้อสนทนากลับ เห็นได้ว่าเขารู้เรื่องบนเขาเอกดรรชนี เพียงแค่ไม่อยากคุยเท่านั้น
หลู่ซวงซวงพยักหน้าให้ผู้อำนวยการอย่างซาบซึ้ง ถือเป็นการขอบคุณ
เจียงถิงตอบ “ฉันไม่รู้หรอก แต่ว่าถ้าจะมีปาฏิหาริย์จริงๆ ฉันเชื่อว่าจะเกิดขึ้นบนเขา”
จากนั้นก็มีพยาบาลเรียกเจียงถิงไปช่วยงาน
ผู้อำนวยการจ้าวเอ่ยขึ้น “คุณผู้หญิงหลู่…”
หลู่ซวงซวงพยักหน้า “ฉันไปภูเขาเอกดรรชนีมา หมี่ลี่ก็เคยสัมผัสหลวงจีนรูปนั้น แล้วก็ไม่มีอะไรอีก”
“นะ…นี่มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์แล้ว” หมออึ้งงัน
ผู้อำนวยการจ้าวก็อยากจะพูดแบบนั้น แต่เกิดเรื่องราวตัดหน้าแบบนี้ขึ้นสองครั้งติดกัน เขาจึงต้องสงสัยบ้าง ขณะเดียวกันยังแปลกใจกับวัดเอกดรรชนี นี่เป็นวัดเล็กแบบไหนกัน? มีโอกาสจะต้องไปดูสักครั้งแล้ว! ดูว่าใครมันตัดหน้าเขา…
หลู่ซวงซวงออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปเยี่ยมหานเซี่ยวกั๋ว
ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วรู้สึกว่าเวลาผ่านไปหนึ่งวันราวกับหนึ่งปี อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นเรื่อยๆ ดีที่ถูกขังเดี่ยว ไม่อย่างนั้นใครพูดไม่เข้าหูเข้า นักโทษคนอื่นคงซวยกันหมด
ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วสำนึกเสียใจแล้ว “ฉันไม่ควรเชื่อเขา เขามันคนลวงโลก! จะต้องโกหกแน่ๆ! ฉันน่าจะเอาเงินหนีไป มีเงินก็จะได้พาหมี่ลี่ไปโรงพยาบาลดีๆ ได้รักษาดีๆ! ฉันมันสมควรตายจริงๆ สมควรตาย…หลวงจีนนั่นก็สมควรตาย…ต้องตายให้หมด…”
“หานเซี่ยวกั๋วมีคนมาเยี่ยมแกน่ะ” ตอนนี้เอง ตำรวจเดินเข้ามาแจ้ง
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินว่ามีคนมาก็ตื่นเต้นเล็กน้อย เมียกับลูกคือที่พึ่งทางใจสุดท้าย จึงย่อมไม่ทำตัวคลุ้มคลั่งอีก
หานเซี่ยวกั๋วกับหลู่ซวงซวงมองพบหน้ากันผ่านกระจก พอได้ยินหลู่ซวงซวงบอกว่าหมี่ลี่หายดีแล้วเขาก็ตะลึงค้าง
“ซวงซวงเธอพูดจริงเหรอ? หมี่ลี่หายแล้วจริงๆ เหรอ?” ลูกตาหานเซี่ยวกั๋วแทบจะถลนออกมา
“หายแล้ว นี่คือใบเสร็จต่างๆ ที่หมอให้มา เขียนไว้ชัดเจนเลยนะว่าร่างกายแข็งแรงมาก ไม่มีใครแข็งแรงกว่านี้อีกแล้ว นี่…มันปาฏิหาริย์จริงๆ” หลู่ซวงซวงพูดถึงประโยคหลังก็ร้องไห้ ความกล้ำกลืนที่เก็บไว้พูดได้แต่กับสามีเท่านั้น
สองคนร้องไห้ด้วยกัน ร้องไห้สักพักก็หัวเราะ…
“หานกั๋ว คุณบอกความจริงมานะ หลวงจีนบนเขาเอกดรรชนีเป็นคนรักษาใช่ไหม?” สุดท้ายหลู่ซวงซวงก็ถามออกไป
หานเซี่ยวกั๋วอยากพยักหน้ามาก แต่พอนึกถึงกฏสามข้อของเขากับฟางเจิ้งก็ได้แต่พูดอย่างจำใจ “อย่าถามเรื่องนี้เลย มีโอกาสก็ช่วยฉันขึ้นเขาไปจุดธูปหน่อย ไต้ซือมีบุญคุณกับพวกเรามาก…น่าเสียดายผมคงได้แต่ตอบแทนในชาติหน้า แล้วก็ถ้าผมตาย ให้บริจาคศพผมไปนะ ถ้าไม่ตาย จากนี้ผมจะดูแลทั้งสองบ้าน หวังว่าคุณจะเข้าใจ” หานเซี่ยวกั๋วมองหลู่ซวงซวงอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกผิดมาก สองวันนี้เขาด่าฟางเจิ้งไปเยอะเลย
แม้จะไม่ยอมรับ แต่คำพูดนี้ก็อธิบายทุกอย่างแล้ว
หลู่ซวงซวงเข้าใจว่าสองบ้านที่หานเซี่ยวกั๋วพูดหมายถึงอะไร อีกบ้านคือครอบครัวของคนคุ้มกันรถขนเงิน…
หลู่ซวงซวงพยักหน้าสื่อว่าจะต้องไปจุดธูปแน่ อีกทั้งยังสนับสนุนการตัดสินใจของหานเซี่ยวกั๋ว จากนั้นก็ปลอบเขา บางทีอาจไม่โดนประหาร…
คล้อยหลังหลู่ซวงซวง หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในห้องคุมตัวนักโทษ คุกเข่าโขกศีรษะไปทางภูเขาเอกดรรชนี “ขอบคุณ ขอบคุณ! ผมจะฟังคำท่าน จะเป็นคนดี! จากนี้จะเป็นคนดี! จะไม่ต่อยตีอีก ไม่ด่าคนอื่นอีก ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่อีก จะไม่ฆ่าคนอีกแล้ว!”
หานเซี่ยวกั๋วคลุ้มคลั่ง ตำรวจข้างนอกก็มึนงง ส่วนผีซวยที่เข้ามาใกล้หานเซี่ยวกั๋วยังร้องขึ้น “นายตำรวจ เจ้านี่บ้าไปแล้ว นายรีบพาเขาออกไป มาอยู่ที่นี่ทำเอาตกใจแทบแย่!”
“ได้ๆ ตกใจชิบ เดี๋ยวด่าเดี๋ยวหัวเราะ เป็นบ้าอะไรหา…”
…………
ขณะเดียวกัน บนเขาเอกดรรชนี
‘ติ๊ง! ยินดีด้วย หานเซี่ยวกั๋วจะเป็นคนดีจากใจจริงแล้ว นายได้รับโอกาสจับรางวัลหนึ่งครั้ง!’
“เอ่อ…เอ่อ? หา?! สำเร็จแล้วเหรอ?” ฟางเจิ้งที่กำลังกวาดหิมะได้ยินดังนั้นก็ชะงักงันก่อน จากนั้นกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข “สำเร็จแล้ว? สำเร็จจริงๆ เหรอ?”
“สำเร็จแล้ว” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ดี! ดี ฮ่าๆ…เอ๋! ไม่ใช่สิ ฉันช่วยหมี่ลี่ด้วยนี่ ฉันต้องได้จับรางวัลสองครั้งรึเปล่า?”
“ช่วยหมี่ลี่คือสาเหตุที่ทำให้หานเซี่ยวกั๋วกลับใจ ดังนั้นบุญกุศลของภารกิจนี้จึงรวมเข้ากับการช่วยหานเซี่ยวกั๋ว ถือว่าเป็นแค่ภารกิจเดียว ดังนั้นนายจึงมีโอกาสจับรางวัลแค่ครั้งเดียว”
“ฉัน…ฉันขอคัดค้าน!” ฟางเจิ้งไม่ไหวแล้ว เขาเสียยาหวนคืนเล็กไปหนึ่งเม็ด!
“ไม่มีผล!” ระบบปฏิเสธ!
ฟางเจิ้งกล่าวอย่างจำใจ “ไม่มีทางคุยกันได้เลยหรือไง?”
“ไม่มี”
“เอาเถอะ อย่างนั้นก็จับ” ฟางเจิ้งส่ายหน้าด้วยความเศร้า อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นเขาก็ช่วยไม่ได้
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับอภินิหาร อักษรพุทธองค์มังกร!”
“หา นั่นอะไรน่ะ?” ฟางเจิ้งงุนงง เขารู้จักมังกร พุทธองค์ก็รู้ คัมภีร์ก็เคยได้ยิน แต่พอมารวมกันกลับไม่เคยได้ยิน!
“อักษรพุทธองค์มังกร เป็นมังกรเวหาที่พุทธองค์พบบนฟ้า ท่านตระหนักรู้ออกมาเป็นวิธีการเขียนอักษรหนึ่งชุด ตัวอักษรจริงใจและชอบธรรม เหมือนกับมังกรเทพเหินเวหา ลักษณะยิ่งใหญ่ อักษรนี้สามารถบรรจุพลังพุทธองค์สูงสุดได้! ถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์มากพอหนึ่งตัวอักษรจะหนักสิบล้านจิน กำราบมารนับพันนับหมื่นตนได้ แน่นอนว่านายทำไม่ได้ แต่ตัวอักษรนี้รวมกำลังวังชาของนายได้ และจะแสดงเอกลักษณ์เฉพาะของตัวนายกับสภาวะจิตใจตอนเขียนอักษร ในเวลาเดียวกันถ้าหมั่นเขียนอักษรพุทธองค์มังกรจะเพิ่มการตระหนักรู้ของนาย ยกระดับการตระหนักรู้ต่ออภินิหารของพระพุทธองค์ให้เร็วขึ้น เมื่อปะทุพลังพุทธองค์ที่รวมไว้จะขับไล่สิ่งชั่วร้ายหลีกเลี่ยงมารได้ พูดตรงๆ นะ นายเป็นคนโง่ แต่เรียนอักษรพุทธองค์มังกรไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะค่อยๆ เกิดปัญญากลายเป็นคนฉลาดสุดยอดเอง”
“ยอดเยี่ยม! แค่อักษรหนึ่งชุดก็มีคำอธิบายขนาดนี้เชียว เยี่ยมจริงๆ!” ฟางเจิ้งยอมแล้วจริงๆ ถึงเขาจะใช้อักษรเดียวกำราบสวรรค์ไม่ได้ แต่เมื่อเรียนอักษรนี้จะต้องมีข้อดีมากมายแน่ๆ ข้ามเรื่องอื่นไปก่อน แค่เขียนเป็นแสงออกมาได้ก็ฟินแล้ว สำคัญคือจะได้เปิดสติปัญญาให้ตนฉลาดขึ้นด้วย นี่คือเรื่องที่ดีที่สุด
“นี่คือระบบพลังพิเศษ จะรับหรือไม่?”
“รับ!”
ฟางเจิ้งรู้สึกว่าในความคิดเกิดความรู้สึกประหลาด จากนั้นก็ดวงตามืดมิดล้มนอนกับพื้น ไม่รับรู้อะไรแล้ว
หมาป่าเดียวดายข้างๆ เห็นฟางเจิ้งพูดพึมพำอยู่นานจากนั้นก็ล้มลงกับพื้น มันเอียงหัว มีสีหน้าเข้าใจยาก ทว่าก็ยังพาฟางเจิ้งขึ้นเตียง แล้วนอนหมอบอยู่ข้างๆ มองฟางเจิ้งด้วยความกังวลเล็กน้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะลมหายใจฟางเจิ้งเสถียร เจ้านี่จะต้องออกไปหาคนให้มาช่วยแน่ แต่มันก็ยังงับฟางเจิ้งลากมาวางบนเตียง จากนั้นนอนเฝ้าอยู่ข้างๆ เขา
ในความขมุกขมัว ฟางเจิ้งเหมือนเห็นมังกรเทพบินผ่านฟ้า ร่างกายนั้นคล่องแคล่วแข็งแรงอย่างยิ่ง มีลักษณะยิ่งใหญ่ พลานุภาพดั่งเทพเจ้ามาเยือนโลก กดดันจนคนหอบหายใจ
จากนั้นเทพมังกรกลายเป็นพู่กันด้ามหนึ่ง พู่กันใช้ผืนฟ้าเป็นผ้าวาด เขียนอักษรตัวใหญ่ที่มีพลังราวกับเทพมังกรทะยานขึ้นฟ้า อักษรพุทธองค์มังกร!
ต่อมาเกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นเปรี้ยงปปร้างตรงฟางเจิ้ง เขาลุกขึ้นจากที่นอนราวกับตื่นจากความฝัน!
……………………….
ตอนที่ 60 วัดอีกแล้ว?
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เมื่อเกิดคำถาม ต่อให้ศีลโกรธบอกว่าห้ามโกรธ แต่พุทธศาสนาก็มีการขึงตามองด้วยความโกรธ แม้แต่พระโพธิสัตว์ยังมีการแปลงกายเป็นวิทยาราช [1] ฉันเป็นคนธรรมดา จะให้ไม่โกรธคงไม่มีทางเป็นไปได้?”
“ติ๊ง! โกรธได้ แต่เป็นไต้ซือควรจะน้ำใจอย่างที่ควรจะมี หรือว่าแค่เพราะอีกฝ่ายไม่เชื่อนาย พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็โกรธกัน ฆ่ากัน หรือทะเลาะกับเขาอย่างนั้นเหรอ? ไม่โกรธเป็นดั่งพุทธ ถ้าโกรธก็เป็นดั่งพุทธเช่นกัน! พุทธศาสนาสอนให้ไม่โกรธ ไม่ใช่ซ่อนทุกอย่าง นายต้องสัมผัสขีดจำกัดในนั้นด้วยตัวเอง”
ฟางเจิ้งงงงวย แต่ก็ยิ้มแห้ง “ฉันคิดว่าฉันเข้าใจนะ ควรโกรธก็โกรธ ไม่ควรโกรธก็ไม่โกรธ ถูกไหม?”
น่าเสียดายระบบไม่ตอบ ฟางเจิ้งได้แต่ตรึกตรองด้วยตัวเอง ขบคิดถึงปัญหาเกี่ยวกับศีลโกรธมากมาย สรุปเขาพบว่าคำตอบเหล่านี้ส่วนใหญ่คลุมเครือ ไม่ได้มีความหมายแท้จริง พอถึงตัวคนจริงๆ ก็จะต่างไปเพราะคน
ตอนนี้วีแชตสว่างวาบขึ้นมา
“ไต้ซือ ถ่ายภาพเสร็จรึยังคะ?” คนทักมาคือฟางอวิ๋นจิ้ง
ฟางเจิ้งรีบส่งภาพที่ถ่ายไว้ครั้งก่อนให้ไปทันที
ในหอพักสาขาภาษาจีนมหาวิทยาลัยจี๋หลิน ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นภาพที่ส่งมาใหม่แล้วดวงตาเปล่งประกาย! แม้ฟางเจิ้งจะไม่ชำนาญเรื่องสีหรือแต่งภาพมือถือ แต่ตัวเขาก็เป็นหลวงจีนหัวโล้นสง่างาม ประกอบกับวิวสวยงามกับหมาป่าตัวใหญ่ที่ดูองอาจไม่ธรรมดาแล้ว ทำให้ลงตัวจริงๆ!
ฟางอวิ๋นจิ้งมองภาพหลายใบแล้วก็รู้สึกหลงใหล ไม่ได้หลงคน แต่หลงภาพ ตอบกลับไปว่า “ไต้ซือ อันนี้ดีมาก เยี่ยมมาก! ให้ความรู้สึกมากๆ! แต่ว่าเลี้ยงหมาป่าส่วนตัวแบบนี้จะเป็นปัญหาได้ ท่านคิดว่าหมาป่าจะหลุดออกมาไหม? แล้วก็ มันขนสีเทาไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถึงเป็นขนสีเงินได้? แต่ก็สวยจริงๆ!”
ฟางเจิ้งตอบ “เดิมทีมันเป็นหมาป่าเงิน ก่อนหน้านี้สกปรกเกินไป พออาบน้ำแล้วก็เป็นอย่างนี้ ภาพใช้ได้ก็ดีแล้ว อาตมาแค่ถ่ายๆ ไปอย่างนั้นเอง”
ฟางอวิ๋นจิ้งตอบกลับด้วยนิ้วโป้งหลายอัน จากนั้นพิมพ์ต่อ “ไต้ซือ ที่นั่นกันดารเกินไป แต่รวมๆ แล้วก็ยังมีความพิเศษอยู่ ยอดเขาโดดๆ พบเห็นไม่มากในภาคเหนือ เขาสูงชัน มีน้ำพุภูเขา แถมยังมีวัด วิวบนยอดเขาก็ดีมาก ท่านถ่ายรูปพวกนี้เขียนเนื้อหาแล้วลองโพสลงในเว็บท่องเที่ยวได้นะคะ บางทีอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาได้”
ฟางเจิ้งคิดแล้วก็ตอบไปว่า “มีโอกาสจะลองดู ตอนนี้อาตมายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ จะต้องศึกษาก่อน อีกอย่างหิมะจะตกแล้ว ตอนนี้บนเขาไม่ปลอดภัย รอฤดูใบไม้ผลิก่อนเถอะ”
“ก็ดีค่ะ…” สองคนคุยกันอีกสองประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไปทำธุระ
ฟางเจิ้งไม่มีอะไรทำ อ่านพุทธคัมภีร์หน่อยแล้วนอนหลับ หนึ่งคืนเงียบเหงา
วันที่สองมาถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าเมื่ออากาศหนาว ภูเขาเอกดรรชนีก็เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวราวกับจำศีล นอกจากหมาป่าเดียวดายที่จะวิ่งเล่นอย่างมีความสุขไม่มีความทุกข์ใดๆ แล้ว ฟางเจิ้งหาววอดด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
ทว่าใต้เขากลับคึกคัก…
“หมอ หมอมั่นใจนะว่านี่คือผลตรวจของหมี่ลี่?” หลู่ซวงซวงมองหมอตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง
หมอยิ้มแห้งๆ “จริง หมอเองก็ไม่อยากเชื่อ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เนื้องอกระยะสุดท้ายหายเป็นปกติแล้ว…นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ”
ผู้อำนวยการจ้าวข้างๆ ดันแว่นตาขึ้น ช่วงนี้จิตใจเขาไม่ดีเลย ครั้งแรกสองคนที่เขาคิดว่ามีลูกไม่ได้กลับท้องลูก ตอนนี้เป็นเด็กที่พวกเขาตัดสินว่าต้องเสียชีวิตกลับร่างกายแข็งแรงมาก ตอนนี้เขารู้สึกแค่ปวดหัว! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หมอของตนไม่ได้มาตรฐานหรือเครื่องมือตนพัง?
“ขอบคุณหมอมาก ขอบคุณผู้อำนวยการมากค่ะ!” หลังหลู่ซวงซวงมั่นใจแล้ว เธอน้ำตานองหน้า อาการป่วยของหมี่ลี่แทบจะทำให้ครอบครัวนี้ล้มละลาย และก็บีบให้เธอเกือบถึงทางตัน สามีติดคุก ถ้าบุตรต้องจากไปอีกคนเธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไง ถึงจะจ่ายเงินเปล่าไปมาก แต่ผลสุดท้ายก็ดีใจ…หายป่วยแล้ว!
ผู้อำนวยการจ้าวยิ้มเจื่อน “คุณผู้หญิงหลู่ เรื่องนี้เป็นความผิดพวกเราเอง ถือว่าวิเคราะห์ผิด”
“ผู้อำนวยการ ไม่ได้วิเคราะห์ผิดหรอกครับ ผมยังเก็บภาพที่ถ่ายไว้ครั้งก่อนอยู่เลย สองวันนี้ผมไปหาหมอที่มีชื่อเสียงในโรงพยาบาลใหญ่มาแล้ว เป็นเนื้องอกในสมองจริงๆ อีกอย่างเป็นชนิดที่รักษาไม่หายด้วย แต่ว่าตอนนี้…นะ…นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ” หมอพูดขึ้น
ผู้อำนวยการจ้าวรับภาพที่ถ่ายไว้มาดู มาดูของตอนนี้อีกที มีความต่างกันมากจริงๆ
ผู้อำนวยการจ้าวขมวดคิ้ว “คุณผู้หญิงหลู่ สองวันก่อนหลังพวกคุณออกจากโรงพยาบาลได้ไปรักษาที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?”
หลู่ซวงซวงส่ายหน้าโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นพลันนึกถึงวัดเล็กบนภูเขาเอกดรรชนี และยังมีหลวงจีนหนุ่มหัวโล้นและสะอาดมากรูปนั้น! สามีเธอบอกว่าหลวงจีนนั่นเก่งมาก แต่กลับไม่บอกว่าเก่งยังไง ตอนนั้นเธอไม่มีความคิดอยากจะรู้จักเข้าใจหลวงจีนนั่นด้วย ทว่าหลังบุตรออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ออกห่างจากตัวเธอเลย มีแค่ครั้งเดียวที่หลวงจีนรูปนั้นอุ้มไป
พอคิดดูดีๆ ถ้าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น จะต้องเกิดในช่วงนั้น!
“คุณผู้หญิงหลู่ คุณผู้หญิงหลู่?” ผู้อำนวยการจ้าวเค้นถาม
หลู่ซวงซวงได้สติกลับมาจึงตอบกลับทันที “ไม่…ไม่ได้กินอะไรเลยค่ะ ไปวัดหนึ่ง แต่วัดนี้เล็กมาก ในวัดมีหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่ง น่าจะไม่มีความสามารถอะไรหรอกมั้ง? บางทีสวรรค์อาจเป็นคนรักษา”
ผู้อำนวยการจ้าวได้ยินว่าวัดก็เลิกคิ้วขึ้น ในใจเต้นตึกๆ! ถ้าได้ยินว่าเป็นโรงพยาบาลอื่นเขาจะไม่อะไรเลย แต่พอได้ยินว่าวัดก็ใจเต้น! ครั้งก่อนเกษตรกรสามีภรรยาคู่นั้นเหมือนจะไปขอพรที่วัดแล้วก็มีลูก! ถ้าไม่ใช่เพราะเขาวิ่งหนีเร็วคงต้องแทะเครื่องตรวจแล้ว ตอนนี้เอาอีกแล้ว? จะไม่ให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลยรึไง?
ตอนนี้เองมีเสียงแทรกเข้ามา “เป็นไต้ซือฟางเจิ้งวัดเอกดรรชนีบนเขาเอกดรรชนีหรือเปล่าคะ?”
“เจียงถิง? ทำไมเธอไม่ตั้งใจอยู่เวรล่ะ เดินไปทั่วทำไม?” หมอต่อว่า
เจียงถิงแลบลิ้นแล้วพูด “ช่วยไม่ได้ โรคที่รักษาไม่ได้กลับหายดีในทันทีทันใดแบบนี้ โรงพยาบาลเราก็คุยกันทั่วไปหมด คนก็อยากรู้อยากเห็นบ้างสิ” พูดจบเจียงถิงก็รีบวิ่งหนีไป
“รอเดี๋ยว พยาบาล คุณก็รู้จักวัดเอกดรรชนีเหมือนกันเหรอคะ?” หลู่ซวงซวงถามด้วยความตกใจ
เจียงถิงมองหมอกับผู้อำนวยการจ้าว
ผู้อำนวยการจ้าวถึงเอ่ยขึ้น “ตอบคำถามก่อนแล้วค่อยไป”
เจียงถิงเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม “รู้ค่ะ ฉันเคยไปมาแล้วด้วย! บนเขานั่นสวยมาก มีวัดหนึ่งชื่อวัดเอกดรรชนี วัดไม่ใหญ่ แต่ในนั้นมหัศจรรย์จริงๆ! ไต้ซือที่นั่นก็หล่อมาก แถมยังใจดีมากด้วย ถ้าไปถ่ายหนังจะต้องดังมากแน่ๆ!”
“ใครถามเธอเรื่องถ่ายหนังกัน ฉันถามเธอว่าหลวงจีนนั่นรักษาได้จริงๆ เหรอ?” หมอขัดคำพูดเจียงถิง
ผู้อำนวยการจ้าวกับหลู่ซวงซวงก็อยากรู้เหมือนกัน
เจียงถิงส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าไต้ซือคนนี้เก่งมาก มีวิทยายุทธ์ เหมือนว่ายังรู้อนาคตด้วย เพื่อนฉันคนหนึ่งฟังคำพูดเขาเลยรอดตายมาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจบเห่ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสองวันนี้ยุ่งมาก พวกเราคงขึ้นเขาไปขอบคุณเขาแล้ว อ้อ เมื่อสองวันก่อนเหมือนว่าภูเขาเอกดรรชนีจะข่าวใหญ่ พวกคุณได้ยินกันรึยัง?”
………………..
[1] วิทยาราช ถูกจัดให้เป็นเทพผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธและถือเป็นการสำแดงภาคดุร้ายของพระพุทธเจ้า
ตอนที่ 59 ไม่มีรางวัล?
โดย
Ink Stone_Fantasy
หานเสียวหมี่พยักหน้าถี่ๆ ก่อนพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่สอนหนูได้เหรอคะ?”
“ได้แน่นอน แต่ต้องเป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ ห้ามให้คนอื่นรู้” ฟางเจิ้งตอบ
หานเสียวหมี่พยักหน้าถี่ๆ พูดขึ้น “อืมๆๆ นี่เป็นความลับระหว่างเราหัวโล้นสองคน”
พอได้ยินเสียงจากทางนี้ หลู่ซวงซวงก็ถามขึ้นด้วยความไม่สบายใจ “หมี่ลี่ ลูกกำลังทำอะไรน่ะ?”
หานเสียวหมี่ยิ้มตอบ “หนูกำลังเล่นกับพี่ไต้ซือค่ะ”
หานเซี่ยวกั๋วรีบเบี่ยงประเด็น ดึงหลู่ซวงซวงไปพูดที่อื่น
หานเสียวหมี่ถึงพูดต่อเบาๆ อย่างมีไหวพริบ “พี่ไต้ซือ ทำไงถึงเก่งขนาดนั้นคะ?”
ฟางเจิ้งพลิกมือ หยิบยาหวนคืนเล็กออกมา “กินลูกอมนี่จะเก่งขึ้น หมี่ลี่อยากกินไหม?’
ถึงหานเสียวหมี่จะฉลาด แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็ก มีความอยากรู้อยากเห็นมากจึงพยักหน้ารัวๆ “อยากๆๆ…”
ฟางเจิ้งเอ่ยต่อ “อ้าปาก พี่จะป้อนให้”
หานเสียวหมี่อ้าปากกว้าง ฟางเจิ้งจึงใส่ยาเข้าไปในปากเธอ เม็ดยาหวนคืนเล็กเข้าปากไปแล้วละลายทันที รสชาติถือว่าไม่เลว
หานเสียวหมี่กินเสร็จก็ทำริมฝีปากขมุบขมิบ “อร่อย…ตั้งแต่หมี่ลี่ป่วยม๊ากับพี่สาวชุดขาวก็ไม่ยอมให้หมี่ลี่กินเลย ความจริงหมี่ลี่อยากกินอาหารหน้าตาน่ากินพวกนั้นมากเลย กลิ่นก็หอมด้วย…”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเศร้าในใจ ลูบหัวหานเสียวหมี่ “จากนี้เธอจะได้กินแล้วล่ะ”
“จริงเหรอคะ?” หานเสียวหมี่ถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า “แน่นอน เพราะเธอเป็นหัวโล้นเล็กไง กินยาวิเศษของหัวโล้นใหญ่เข้าไปจะต้องเก่งกาจแน่ แต่ว่าต้องจำไว้นะ นี่คือความลับระหว่างเรา ห้ามบอกกับคนอื่น รวมถึงป๊ากับม๊าเธอด้วย”
หานเสียวหมี่พยักหน้ารัวๆ สองคนหัวเราะให้กัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย
ตอนนี้เองฟางเจิ้งอุ้มหานเสียวหมี่มาอยู่ตรงหน้าหลู่ซวงซวงกับหานเซี่ยวกั๋ว ส่งหานเสียวหมี่ให้หานเซี่ยวกั๋ว ก่อนประนมสองมือ “อมิตพุทธ โยม จำเรื่องที่รับปากกับอาตมาไว้นะ อาตมาไม่รบกวนพวกโยมสองคนแล้ว”
หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย แต่ฟางเจิ้งไม่สนใจ เดินจากไปโดยไม่บอกกล่าว เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านหานเซี่ยวกั๋วยังพูดเบาๆ ข้างหู “เป็นคนดี”
หานเซี่ยวกั๋วเห็นหานเสียวหมี่มีความสุขในใจก็เต็มไปด้วยความสงสัย เร็วขนาดนี้เลยเหรอ? หรือว่าจะไม่ต้องฝังเข็มกับวิชาอะไรพวกนี้? ทำไมรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย? หรือว่าหลวงจีนนี่จะหลอกเขา?
แม้จะสงสัย แต่หานเซี่ยวกั๋วกลับไม่พูด หลู่ซวงซวงก็สงสัยเล็กน้อยอยู่แล้ว ทว่าพอลูกสาวกลับมาก็วางใจ ประกอบกับหานเสียวหมี่ที่น่ารัก ภาพครอบครัวมีความสุข มีพูดคุยหัวเราะ ทำให้หานเซี่ยวกั๋วลืมทุกอย่างไป
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
สิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่เปิดออก อธิบดีจางพาคนเดินเข้ามา
ถึงหานเซี่ยวกั๋วจะอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ยังเดินตามอธิบดีจางไป ออกจากประตู เลี่ยงหานเสียวหมี่ ก่อนอธิบดีจางจะใส่กุญแจมือเขา ให้คนคุมตัวเดินไปก่อน
จากนั้นให้คนแบกหานเสียวหมี่ลงเขาไป…
ก่อนไปอธิบดีจางมาหาฟางเจิ้งที่หน้าประตูอีกครั้ง
“ไต้ซือ ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากครับ” อธิบดีจางพูด
“อมิตพุทธ อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ โยมหานเขามีใจจะใฝ่หาความดีอยู่แล้ว ที่ทำไปก็เพราะไม่มีทางเลือก โยม ถ้าเขากลับใจแล้วลองช่วยเขาดูหน่อยนะ ไม่ต้องถึงกับพ้นผิด บาปกรรมที่เขาทำลงไปก็ควรจะแบกรับด้วยตัวเอง แต่หวังว่าอธิบดีจะช่วยเขาตัดสินอย่างเป็นธรรม แม้จะเป็นโทษประหารก็ตาม” ฟางเจิ้งกล่าว
อธิบดีจางงงงัน จากนั้นยิ้ม “นักบวชก็สนใจเรื่องทางโลกด้วยเหรอครับ?”
“ไม่สน แต่อธิบดีสนไม่ใช่หรือ?” ฟางเจิ้งขยิบตาให้อธิบดีจาง
อธิบดีจางหัวเราะเสียงดัง “ท่านต่างกับหลวงจีนหัวโบราณพวกนั้นจริงๆ วางใจ ผมจะยึดตามกฏหมายอย่างยุติธรรม ขอตัวก่อนครับ!”
“กลับดีๆ ล่ะโยม” ฟางเจิ้งส่งอธิบดีจางแล้วปิดประตูวัด
วัดคึกคักกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ฟางเจิ้งรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย…ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายกลับมาแล้ว เจ้านี่แรงดีขึ้นทุกวัน ผลักประตูใหญ่เข้ามาจะดื่มน้ำ ฟางเจิ้งมองน้ำในโอ่ง มันเหลือไม่มากแล้ว
จากนั้นก็สวมถังน้ำให้หมาป่าเดียวดาย ลากเจ้าผีขี้เกียจลงเขาไปตักน้ำ
“ระบบ ฉันถือว่าช่วยคนรึเปล่า? ทำไม่ไม่มีรางวัลล่ะ?” หลังเรื่องราวผ่านไป ความคิดฟางเจิ้งก็กลับมาที่คำถามเรื่องรางวัลอีกครั้ง
“ติ๊ง! ผลยายังไม่ออกฤทธิ์อย่างสมบูรณ์ อดทนรอก่อน” ระบบตอบ
“เอาเถอะ แล้วหานเซี่ยวกั๋วล่ะ? ถือว่าฉันเปลี่ยนให้เขาเป็นคนดีไหม? เปลี่ยนให้กลับตัวกลับใจได้รึเปล่า ภารกิจกลับใจล่ะ?” ฟางเจิ้งถาม
“ติ๊ง! ไม่ได้รางวัล คือไม่ได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ การจะเปลี่ยนคนคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่นายคิด ไม่อย่างนั้นบุญกุศลคงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ! เขามองเรื่องก่อนหน้านี้ว่าง่ายเกินไป…
แต่ไม่มีก็ไม่มี เขาชอบเสียวหมี่ลี่ นางฟ้าน้อยน่ารักแบบนี้ ถ้าตายไปคงน่าเสียดาย!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงรู้สึกดี ลงเขาไปตักน้ำ กินข้าว อ่านพุทธคัมภีร์ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างอิสระเสรี
ตรงตีนเขา หานเซี่ยวกั๋วพาตำรวจมาหาเงินที่ปล้นมา จากนั้นถูกคุมตัวไว้รอพิพากษา แต่เขารู้สึกไม่ดี กระทั่งอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าอาการป่วยของลูกสาวหายดีหรือไม่ ถึงตอนอยู่บนเขาจะมีความหวังมาก แต่เขารู้ว่ายิ่งคาดหวังมากเท่าไรก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้ยังไม่มีผลสรุปสุดท้ายเขาคงไม่สบายใจไปตลอด
ดีที่อธิบดีจากรับรองว่าจะให้หลู่ซวงซวงมาเยี่ยม
หลู่ซวงซวงก็คิดอย่างนั้น เธอพาหมี่ลี่กลับโรงพยาบาลไปทำการตรวจร่างกาย แม้แต่เธอยังรู้สึกว่าการตรวจร่างกายครั้งนี้พิลึกอยู่เล็กน้อย…
ทุกอย่างเหมือนจะไม่เกี่ยวกับฟางเจิ้ง
ส่วนฟางเจิ้งที่กำลังอ่านพุทธคัมภีร์ในอินเทอร์เน็ตพบปัญหาเข้า
“ระบบ พุทธศาสนาห้าม โลภ โกรธ งมงาย หยิ่งยโส สงสัย รวมกันเป็นความทุกข์ใจห้าอย่าง โลภ หมายถึงทุกชีวิตต่อสิ่งสกปรกทั้งห้าเช่นสี เสียง กลิ่น รสชาติและสัมผัส หรือจะเป็นความมั่งมี สี ชื่อเสียง อาหารและการนอนกลับห้าความปรารถนา เกิดเป็นความเพ้อฝันยึดมั่นต่อโลภ
โกรธ คือสิ่งที่ฝ่าฝืนต่อความยึดมั่นในความโลภของตัวเอง จะเกิดความคิดอย่างเช่นโกรธหรือชั่วร้ายเป็นต้น
งมงาย ความคิดขมุกขมัว ไร้สติปัญญา อย่างเช่น ไม่เข้าใจเหตุผลกฏแห่งกรรม ไม่รู้ว่าทุกคนมีพุทธศาสนาอยู่ในใจ ไม่เข้าใจว่าพระธรรมเกิดและรวมขึ้นเพราะเหตุ สติปัญญาของพระธรรมไม่ใช่ความฉลาดจากการชี้แนะในโลกทั่วไป แต่จะต้องเข้าใจหลักพระธรรมแท้จริงอย่างเช่นเหตุและผล จิตใจและต้นสายปลายเหตุ หากไม่เข้าใจก็จะงมงายไร้ปัญญา
หยิ่งยโส หมายถึงทุกอย่างในดวงตาว่างเปล่า ในดวงตาไม่มีผู้ใด ยกตัวเองสูงส่ง โอหังในตัวเอง คิดว่าตนนั้นสูง หยิ่งผยองต่อคนอื่น
สงสัย ไม่เชื่อใครและอะไรทั้งสิ้น ใจคิดแต่สงสัย เกิดความระแวง ความความขัดแย้งยุ่งเหยิง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความทุกข์ แกล้งทำเป็นชั่วช้า อย่างเช่นสงสัยว่าทุกชีวิตมีพระพุทธหรือสงสัยหลักการของพระธรรม ไม่ยอมรับและปฏิบัติตามเป็นต้น”
…………………………
ตอนที่ 58 หัวโล้นสองคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผังเหว่ยกำหมัดแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อธิบดีครับ…” อู๋ไห่ถาม
อธิบดีจาง “ช่างเถอะ ลูกสาวนายจะมาไม่มาฉันรับปากไม่ได้ แต่ฉันให้โอกาสนายโทรหาได้”
“ไม่ต้อง ฉันต้องการให้พวกแกทำให้สำเร็จ! ไม่มีต่อรองอะไรแล้ว! ก่อนเที่ยงถ้าไม่เจอลูกสาวฉันจะจบทุกอย่าง” หานเซี่ยวกั๋วพูด
อธิบดีจางมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งประนมมือ “อมิตพุทธ โยม โยมหานสำนึกผิดจากใจจริงแล้ว ช่วยให้เขาสมความปรารถนาจะดีกว่า”
อธิบดีจางพยักหน้า “ในเมื่อไต้ซือออกปาก ผมจะจัดการอย่างสุดความสามารถ แต่นายต้องรับปากนะว่าช่วงนี้ห้ามก่อความวุ่นวาย!”
“วางใจ ฉันไม่ก่อความวุ่นวายหรอก จะรออยู่ที่นี่แหละ” หานเซี่ยวกั๋วตอบพลางยิ้มเฝื่อนในใจ ก่อความวุ่นวาย? มีหลวงจีนนี่อยู่เขาจะก่อความวุ่นวายยังไง?
อธิบดีจางหยิบวิทยุสื่อสารออกมาแล้วเดินออกไปไกลๆ
ไม่นานอธิบดีจางก็กลับมา ถอนหายใจว่า “หานเซี่ยวกั๋ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้? ลูกสาวนายกำลังป่วยหนัก ไม่ควรเดินทางไกลนะ”
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็เงียบ ตามสัญญาแล้วเขาบอกไม่ได้ว่าจะพาลูกสาวมารักษา จึงได้แต่เงียบ
อธิบดีจางพูดต่อ “หมอก็บอกแล้วว่าลูกสาวนายอยู่ได้ไม่นาน บางทีอาจได้พบกันครั้งสุดท้าย ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
พูดจบอธิบดีจางก็ให้พวกอู๋ไห่จับตามองหานเซี่ยวกั๋ว ส่วนเขาลงเขาไปเตรียมลับลูกสาวหานเซี่ยวกั๋ว
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในอุโบสถ ทำความสะอาดอุโบสถต่อ ส่วนเรื่องข้างนอกเขาไม่สนใจแล้ว
เวลาผ่านไปทีละนาที สามชั่วโมงต่อมาอธิบดีจางกลับมาพร้อมกับตำรวจติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ตำรวจติดอาวุธหนึ่งในนั้นแบกเด็กหญิงเดินมาอยู่ข้างหลังอธิบดีจาง เด็กหญิงผิวขาวซีดราวกับรูปปั้น เหมือนตุ๊กตากระเบื้อง ดวงตาโต ขนตายาว ปากเล็ก สวมหมวก มองจากข้างๆ เส้นผมเธอถูกโกน เด็กหญิงเห็นฟางเจิ้งมองเธอก็หัวเราะพลางถอดหมวกออก ชี้ไปที่หัวโล้นของตัวเอง จากนั้นขยิบตาให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหัวเราะกับการกระทำของเด็กหญิง นี่เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง
ข้างๆ เด็กหญิงเป็นผู้หญิงหน้าตาซีดเซียวยืนอยู่ ดวงตาเธอบวมแดงเล็กน้อย เห็นได้ว่าร้องไห้มา
ผู้หญิงคนนั้นเห็นหานเซี่ยวกั๋วใช้มีดจ่อคอตัวเองก็โกรธขึ้นมา ก่อนพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจคนอื่นที่ห้ามปราม ตบเข้าที่หน้าหานเซี่ยวกั๋วทีหนึ่ง! จากนั้นแผดเสียงร้องตะโกน “ไอ้บ้า! บอกจะไปก็ไป บอกให้มาก็มา! บอกจะหย่าก็หย่า! คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? คิดว่าพวกเราเป็นอะไร? ไอ้เลว ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามใจคุณตลอด ครั้งนี้ฉันไม่ยอมแล้ว!”
พูดจบเธอก็ควักกระดาษม้วนหนึ่งออกมา ฉีกเป็นสองส่วนต่อหน้าหานเซี่ยวกั๋ว!
หานเซี่ยวกั๋วเหม่อ ไม่รู้ว่าถูกตบจนมึนหรือตกใจกับการกระทำของเธอกันแน่ พักหนึ่งถึงดึงเธอเข้ามากอด ปล่อยให้เธอทั้งข่วน ทั้งจับ ทั้งด่าทอ ไม่ยอมวางมือ ผ่านไปนานเธอถึงสงบลง
หานเซี่ยวกั๋วพูดเสียงแหบแห้ง “เสี่ยวซวง ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณนะ! ผมไม่อยากถ่วงคุณ…เราอย่ากันเถอะ”
“ไอ้บ้า มาทิ้งฉันตอนนี้เหรอ? ตอนแรกที่จีบฉันพูดว่ายังไง? คุณบอกฉันว่าชีวิตนี้จะอยู่กับฉันตลอดไป!” เธอพูดเสียงเบาแต่แน่วแน่
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็กอดเธอไว้แน่นพลางพูดเบาๆ “ได้ ถ้าผมยังรอดไปได้ ผมจะตามหาคุณแน่”
เธอขานรับอืม จากนั้นด่าต่อ “คุณบ้ารึเปล่า? ให้ฉันพาลูกสาวเรามาหาคุณตอนนี้เนี่ยนะ? ลูกสาวเราป่วยจะให้ลำบากแบบนี้ไม่ได้!”
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มแห้ง “ผมรู้ แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมแค่อยากเห็นลูก อีกอย่างอยู่โรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่เหรอ? บางทีหลังขึ้นเขามามองฟ้าครามเมฆขาวแล้วจิตใจสงบลง อาการป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“คุณ…” เธอจนปัญญาแล้ว จึงหมุนตัวกลับไปอุ้มลูกสาวมา “หมี่ลี่ ป๊าอยากเจอลูกน่ะ”
หมี่ลี่ยื่นสองมือออกไปทันที “ปะป๊ากอด”
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มกอดหมี่ลี่ จากนั้นพูดกับอธิบดีจาง “อธิบดี ผมอยากคุยกับลูกสาวสักสิบนาที วัดใหญ่ขนาดนี้ผมหนีไม่รอดหรอก”
อธิบดีจางขมวดคิ้ว…
หานหมี่ลี่พูดขึ้น “อาตำรวจคะ ให้หนูเล่นกับปะป๊าสักเดี๋ยวนะ จากนี้หมี่ลี่อาจไม่ได้อยู่กับปะป๊าอีกแล้ว”
อธิบดีจางอ้าปาก สุดท้ายก็กลั้นใจปฏิเสธไม่ลง จึงโบกมือพาคนออกไป เพียงแต่ว่าข้างนอกกลับล้อมไว้อย่างหนาแน่น ทางลงเขาถูกปิดตาย
ตำรวจออกไปแล้ว หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้ง “ไต้ซือ นี่คือลูกสาวผมหานเสียวหมี่ ชื่อเล่นหมี่ลี่ หมี่ลี่นี่ไต้ซือฟางเจิ้ง ไต้ซือเก่งมากนะ”
หลู่ซวงซวงก็ได้ยินอธิบดีจางพูดเหมือนกันว่าฟางเจิ้งโน้มน้าวหานเซี่ยวกั๋วให้มอบตัว เธอจึงรู้สึกซับซ้อนต่อฟางเจิ้งเล็กน้อย ทั้งซาบซึ้ง ทั้งไม่พอใจ ที่ซาบซึ้งก็เพราะให้หานเซี่ยวกั๋วมอบตัว แต่ก็ไม่พอใจอยู่เล็กน้อย…
ทว่าหานเสียวหมี่กลับยิ้มให้ฟางเจิ้งอย่างน่าเอ็นดู “ไต้ซือหัวโล้นสวัสดีค่ะ ท่านเก่งขนาดนั้นเป็นเพราะหัวโล้นใช่ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งอึ้งไป จากนั้นยิ้ม “อมิตพุทธ ใช่ เพราะอาตมาหัวโล้นเลยเก่งไงล่ะ”
“คิกๆ…แต่หมี่ลี่ก็หัวโล้นเหมือนกัน แต่ไม่เห็นเก่งเลยสักนิด ชอบทำให้ป๊ากับม๊าร้องไห้บ่อยๆ…” หานเสียวหมี่ดึงชายเสื้อ เม้มปากเล็กขึ้น พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองเด็กหญิงน่ารัก ยิ่งรู้สึกชอบเด็กน้อยที่รู้จักคิดและมองโลกในแง่ดี ฟังจากคำพูดได้ไม่ยาก เด็กคนนี้รู้ว่าตนป่วย แต่ก็ไม่เสียใจ กลับกันยังคงแสดงออกอย่างร่าเริง พยายามให้คนรอบข้างหัวเราะ
แต่เธอกลับไม่รู้ว่ายิ่งเธอยิ้มมีความสุขมากเท่าไร คนที่รักเธอกลับยิ่งเจ็บปวด
ฟางเจิ้งเดินเข้ามา “โยมหาน ให้อาตมาอุ้มเธอหน่อยได้ไหม?”
“ไต้ซือ…” หลู่ซวงซวงจะห้าม แต่หานเซี่ยวกั๋วออกปากตกลงไปแล้ว ถึงจะทำใจไม่ได้ แต่หานเซี่ยวกั๋วก็ยังพูดขึ้น: “หมี่ลี่ เล่นกับไต้ซือหน่อยสิ ให้ป๊าจะคุยกับม๊าลูกสักเดี๋ยวได้ไหม?”
“ค่ะ” หานเสียวหมี่กางสองแขน ฟางเจิ้งจึงเข้าไปอุ้ม จากนั้นเดินไปอีกทาง ชี้ไปยังต้นโพธิ์: “หมี่ลี่ นี่คือต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้จากภาคใต้ แต่มันแตกกิ่งในภาคเหนือ น่าสนใจรึเปล่า?”
แต่หานเสียวหมี่ไม่เข้าใจคำถามต้นไม้ภาคเหนือภาคใต้ จึงเอียงศีรษะ “ไม่รู้ค่ะ เฮ้อ…”
ฟางเจิ้งเก้อเขิน เลยจำใจพูดขึ้น “หมี่ลี่ เธอดูนั่น” พูดจบฟางเจิ้งก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นบีบจนแตกดังปัง หินแหลกเป็นเสี่ยงๆ
หานเสียวหมี่ปิดปากเล็ก พูดขึ้นด้วยความตกใจ “ว้าว เก่งจัง!”
ฟางเจิ้งหัวเราะหึๆ “หมี่ลี่อยากเก่งแบบฉันไหม?” พออยู่กับหมี่ลี่ ฟางเจิ้งไม่ใช่อาตมาแล้ว กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่เข้าใจ
……………………….
ตอนที่ 57 วิธีของหานเซี่ยวกั๋ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไต้ซือพูดมาเถอะครับ” หานเซี่ยวกั๋วว่า
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ข้อแรก จะรักษาแค่บนเขาเท่านั้น”
หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “ข้อสอง หลังลูกสาวโยมหายดีแล้ว โยมห้ามพูดกับใครเรื่องการรักษาของอาตมา”
หานเซี่ยวกั๋วงุนงง จากนั้นก็นึกถึงความสามารถของฟางเจิ้งแต่กลับอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารและหนาวเหน็บแบบนี้ อาจจะไม่อยากออกไปแก่งแย่งชื่อเสียงเงินทอง เขาเลยพยักหน้าตกลง
เขาจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าที่ฟางเจิ้งอยู่ที่นี่ก็เพราะความจำใจ เขาก็อยากออกไปยิ่งใหญ่เหมือนกัน…
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “สุดท้าย ไม่ว่ายังไงโยมก็ต้องมอบตัว ไม่ต่อต้าน ส่วนความเป็นตาย อาตมารับประกันให้โยมไม่ได้ ทุกอย่างตัดสินตามกฏหมาย นี่คือค่ารักษาที่โยมซื้อจากอาตมา”
“ผมรู้ว่าผมติดค้างคนคุ้มกันนั่นมาก ถ้าผมตายก็ถือว่าชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าโชคดีไม่ตาย ผมจะขออโหสิกรรมเขาไปชั่วชีวิต” หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า เขามองข้ามความเป็นตายของตนไปนานแล้ว ไม่วางใจก็แค่อย่างเดียวคือลูกสาว
“ดี…ถ้าอย่างนั้นรอจนถึงวันพรุ่งนี้” ฟางเจิ้งพูด
ฝนข้างนอกตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าผ่าไม่หยุดหย่อน…ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าตนทำแบบนี้ถูกหรือผิด นิสัยคนซับซ้อน อีกฝ่ายจะสำนึกผิดจากใจจริงเพราะเขาช่วยลูกสาวเขาไหม? ฟางเจิ้งไม่รู้…
“เรื่องทางโลกฟ้าลิขิต พบกันเป็นโชคชะตา อาตมาเพิ่งได้รับยาหวนคืนเล็กมาก็เจอกับเรื่องแบบนี้ ดูท่าเด็กหญิงคนนั้นก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่ตาย ช่างเถอะ ไม่ได้ทำเพื่อบุญกุศลครั้งใหญ่แล้ว แต่ทำเพื่อช่วยคนคนหนึ่ง ส่วนหานเซี่ยวกั๋วก็กรรมตามสนองไปตามกรรม ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต” ฟางเจิ้งพูดด้วยความปลงอนิจจัง
ฝนตกหนัก มาเร็วไปเร็ว หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมาฝนหยุด ทว่าความหนาวที่มากับฝนยังคงอยู่…
วันต่อมาท้องฟ้าสว่างเรืองรอง ฟางเจิ้งตื่นนอน ดวงตาเปล่งประกาย! ทั้งวัดถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง วัดโบราณคลุมด้วยชั้นหิมะ ภายใต้แสงสว่างของฟ้าดูสว่างพร่างพราวเด่นตาเป็นพิเศษ! ใต้ชายคามีน้ำแข็งห้อยลงมาราวกับกระบี่ล้ำค่า…
นี่เป็นหนึ่งในของเล่นที่ฟางเจิ้งชอบมากที่สุดสมัยเด็ก อดใจไม่ไหวเข้าไปเล่น เด็ดลงมาสองอัน กำไว้ในมือทำเป็นกระบี่ยาวกวัดแกว่ง มีความรู้สึกเหมือนเด็กเล็กน้อย
ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามา เจ้านี่เองก็ยอมงับแท่งน้ำแข็งมาสู้กับฟางเจิ้ง แต่สุดท้ายชนกันแท่งน้ำแข็งแตกเป็นหลายท่อน คนกับหมาป่าจึงต้องหาแท่งน้ำแข็งอันอื่นมาสู้กันอีก
เล่นกันช่วงเช้า บนพื้นเต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็ง…
หม้อใหญ่ติดไฟ ต้มน้ำ อาศัยจังหวะที่ข้าวยังไม่สุกไปฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ จากนั้นข้าวสุกพอดี!
ขณะนี้หานเซี่ยวกั๋วตื่นแล้ว เมื่อวานหนาวจะแย่ ประกอบกับคิดมากตอนกลางคืนจึงแทบไม่ได้นอน เลยตื่นสาย พอได้กลิ่นหอมข้าวก็เข้ามาใกล้ พูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไต้ซือ ทำไมข้าวหอมแบบนี้ล่ะ? เหมือนจะหอมกว่าข้าวที่ผมกินเมื่อวานอีก!”
“นี่คือข้าวผลึกของอาตมา เดี๋ยวโยมลองชิมดู” ฟางเจิ้งหัวเราะ ครั้งนี้เขาใส่ข้าวผลึกเยอะหน่อย ดวงชะตาอนาคตของหานเซี่ยวกั๋วไม่แน่นอน ฟางเจิ้งจึงจะทำมื้ออร่อยส่งเขา
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ เข้าใจความหมายฟางเจิ้งแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดมาทั้งคืนจนเหมือนจะเข้าใจแล้ว
ข้าวสุก คนกับหมาป่ากินอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะหานเซี่ยวกั๋ว เขาไม่เคยกินข้าวที่อร่อยแบบนี้มาก่อน ยัดใส่ปากคำใหญ่ กลิ่นหอมที่เข้าปากทำให้ชายร่างกำยำแทบจะซาบซึ้งจนร้องไห้
ส่วนฟางเจิ้งกินทุกวันแล้ว ภูมิต้านทานทำให้เขากินข้าวอย่างเอื่อยเฉื่อย จะดื่มน้ำเล็กน้อยตลอดให้ลื่นคอ กินอย่างสงบนิ่ง มีกลิ่นอายของพระอาจารย์ชั้นสูงเล็กน้อย
กินข้าวเช้าเสร็จ ฟางเจิ้งให้หานเซี่ยวกั๋วรอหลังวัด ส่วนตนหยิบผ้าไปเช็ดทำความสะอาดอุโบสถ
หานเซี่ยวกั๋วเห็นดังนั้นก็ไม่วางเฉย เริ่มช่วยฟางเจิ้งกวาดวัด เช็ดประตู…ขณะสองคนกำลังยุ่งอยู่ก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางผ้า ถอนหายใจ
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ช่วยจำคำที่ท่านพูดไว้ด้วย”
ฟางเจิ้งพยักหน้า มีกลุ่มคนเข้ามาจากนอกประตูใหญ่
“ไต้ซือ พวกเรามาเยี่ยมอีกแล้ว…เอ่อ หานเซี่ยวกั๋ว?! หยุดอย่าขยับ!” อธิบดีจางนำหน้าและยังมีตำรวจติดอาวุธอีกหลายนาย ด้านข้างเป็นอู๋ไห่กับผังเหว่ย อธิบดีจางเพิ่งเข้ามา ก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้ม แต่ต่อมากลับจริงจัง ชี้หานเซี่ยวกั๋วพลางตะโกนเสียงดัง!
พวกอู๋ไห่ทยอยกันชักปืนออกมาเล็งไปที่หานเซี่ยวกั๋ว!
ช่วยไม่ได้ หานเซี่ยวกั๋วมีชื่อเสียงโหดเหี้ยมข้างนอก ต้องรับมืออย่างรัดกุม ใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น!
หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะเยาะ “เอาเถอะ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ถ้าฉันจะหนีคงไม่รอให้พวกแกมาที่นี่หรอก”
อธิบดีจางตั้งสติได้ก็มองฟางเจิ้งที่เดินออกมาจากในอุโบสถ “ไต้ซือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ถึงจะเรียกไต้ซือ แต่น้ำเสียงเด็ดขาดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเรียกไต้ซือตามมารยาทและกฏ ไม่ได้ยอมรับฐานะไต้ซือฟางเจิ้งจริงๆ
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตพุทธ พวกโยมอย่าตระหนก โยมหานคุยกับอาตมาทั้งคืน อาตมาโน้มน้าวให้เขายอมมอบตัวแล้ว”
“อะไรนะ?” ทุกคนอึ้งไป ฆาตกรโหดฆ่าคนปล้นรถขนเงินหนีมาตลอด ทำให้พวกเขาหากันวุ่นกลับเชื่อฟังคำพูดเณรวัยรุ่นคนนี้เนี่ยนะ? จะเป็นไปได้ยังไง?
ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อเกลี้ยกล่อมหานเซี่ยวกั๋ว เปิดเสียงภรรยาหานเซี่ยวกั๋วผ่านลำโพงตัวใหญ่บนรถอย่างต่อเนื่อง! แต่สุดท้ายไม่มีประโยชน์สักอย่าง…แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะเชื่อฟังหลวงจีนรูปหนึ่ง พวกเขาพลันรู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่ามายี่สิบกว่าปีแล้ว
อู๋ไห่ถามตามจิตใต้สำนึก “ไต้ซือ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
อธิบดีจางก็พูดขึ้นอย่างจริงจังเหมือนกัน “ไต้ซือท่านมั่นใจนะ?”
“ไม่ต้องถามแล้ว ไต้ซือโน้มน้าวให้ฉันมอบตัว ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงหนีเข้าป่าลึกไปแล้ว ทำไมต้องรอให้พวกแกมาจับ?” หานเซี่ยวกั๋วกล่าวเสียงดังก้องกังวาน
อธิบดีจางมองฟางเจิ้งอย่างซับซ้อน เขาพบว่าตนดูถูกหลวงจีนที่ดูไม่เตะตาคนนี้เล็กน้อย ตอนนี้พิจารณามองอีกที อีกฝ่ายเนื้อตัวสะอาด หัวโล้นเป็นเงาวาว ผิวหนังขาวหิมะวาววับ ผิวดีกว่าผู้หญิงอีก ดวงตาราบเรียบมีประกาย หากมองดีๆ ภายในแฝงไว้ด้วยประกายลอยล่องของเด็กหนุ่ม นี่ไม่ใช่ภิกษุชราโบราณคร่ำครึ แต่เป็นนักบวชหนุ่มที่มีความคิดเป็นของตัวเอง!
อธิบดีจางคิด ‘เป็นคนหนุ่มที่ควรค่าแก่การยกย่อง’ จากนั้นพูดต่อ “หานเซี่ยวกั๋ว นายน่าจะมีคำขออะไรใช่หรือเปล่า?”
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีคำขออะไรอีก? อธิบดี จับเลยก็จบแล้วไม่ใช่หรือครับ?” อู๋ไห่แสดงความเห็น
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเยาะก่อนชักมีดหักออกมาราวกับสายฟ้า!
ทุกคนต่างเล็งปืนไปโดยจิตใต้สำนึก เตรียมลั่นไกใส่หานเซี่ยวกั๋วตลอดเวลา!
แต่หานเซี่ยวกั๋วกลับวางมีดตรงคอตัวเองอย่างเฉยชา “อธิบดีจาง ฉันมีแค่คำขอเดียว ก่อนจะมอบตัวขอพบลูกสาวฉันก่อน ขอคุยกับเธอสองประโยคก็พอ ไม่มีคำขออื่น! ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะยอมรับการลงโทษ”
“แกขู่พวกเราเรอะ?” ผังเหว่ยต่อว่าด้วยความโมโห
“ไม่ได้ขู่ ถ้าต้องขู่จริงๆ ฉันซ่อนเงินไว้ในที่ที่พวกแกหาไม่เจอแล้ว ถึงคราวจนตรอกจริงๆ อย่างมากฉันก็แค่ตาย แต่เงินพวกนั้นฝังอยู่ใต้ดิน!” หานเซี่ยวกั๋วพูดทีละคำ จ้องผังเหว่ยอย่างไม่เกรงกลัว
…………………
“พูดตามจริงนะ ผมเสียใจจริงๆ เป็นทหารรับจ้างมาหลายปี หาเงินได้ไม่น้อย แต่ท่านไม่รู้หรอกว่าทหารรับจ้างเป็นอาชีพที่ไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ไหม ไม่มีใครรู้ว่าจะตายพรุ่งนี้หรือเปล่า พวกเราเลยไม่เก็บเงิน มีเงินก็ใช้ กินดื่มเที่ยวผู้หญิงกินแต่เนื้อ นอกจากดูดกัญชาแล้ว เราแทบจะลองอาหารเลิศรสมาแล้วทั้งหมด ตอนนั้นก็คิดว่าชีวิตดีจริงๆ ตอนนี้มาคิดดู ผมอยากตบปากตัวเองตอนนั้นจริงๆ!
อาหารเลิศรสอะไรนั่นเทียบไม่ได้กับเส้นผมลูกสาวผมเส้นหนึ่งด้วยซ้ำ…” พูดถึงตรงนี้หานเซี่ยวกั๋วก็คลำกระเป๋าอย่างเคยชิน แต่ร่างเปลือยอยู่ จะหากระเป๋าจากไหน? เขากำลังหาบุหรี่ต่างหาก
เขาไม่พกบุหรี่มานานแล้ว ฟางเจิ้งก็ไม่สูบบุหรี่ แน่นอนว่าไม่มี
ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วเลยได้แต่ถอนหายใจ พูดต่อ “ไม่มีเงิน เห็นอาการลูกสาวหนักขึ้นทุกวัน หัวใจผมเหมือนมีคนกำลังเอามีดฟัน! แต่ลูกสาวผมเห็นผมหน้ามุ่ยยังจับมือผมและร้องเพลงให้ฟัง ปลอบใจผม…ท่านรู้ไหม เสียงเธอเพราะมาก แต่มันกลับกำลังทุบตีหัวใจผมในใจ เจ็บมากเลยล่ะ”
“ไม่มีทางเลือกจริงๆ ผมถึงวางแผนปล้นรถขนเงิน ไม่มีเวลาดูลาดเลาเลยอาจต้องฆ่าคน! ผมรู้ว่าจะหนีจากการสะกดลอยยังไง เลยพกปืนกับมืดที่เก็บไว้ดูสมัยเป็นทหารรับจ้างมาด้วย อาศัยจังหวะที่พวกเขาลงรถขนย้ายเงินทำการปล้น
ผมไม่อยากฆ่าคน แต่คนคุ้มกันนั่นไม่ยอม มือหัก แถมยังกอดกระเป๋าเงินไม่ยอมปล่อย ไม่มีทางเลือก ผมถูกจับไม่ได้ ผมต้องหนี จำเป็นต้องฆ่าเขา! ไต้ซือ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากฆ่าใคร แต่ผมไม่มีทางเลือก!” หานเซี่ยวกั๋วคลึงศีรษะด้วยความเจ็บปวด
ฟางเจิ้งกล่าว “ถ้างั้นทำไมถึงจะฆ่าอาตมา?”
“ฆ่าคนนึงก็คือฆ่า ฆ่าสองคนก็คือฆ่า ขอแค่ไม่เปิดเผยร่องรอยและส่งเงินไปรักษาลูกสาวผมได้ ผมยอมแบกรับบาปกรรมไว้ทั้งหมด!” หานเซี่ยวกั๋วตอบกลับอย่างแน่วแน่
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย มองหานเซี่ยวกั๋วอย่างสงบนิ่งพลางถาม “อาตมาช่วยลูกสาวโยมได้เชื่อไหม?”
“ไต้ซือ ท่านช่วยลูกสาวผมได้?” หานเซี่ยวกั๋วอึ้ง ถ้าเป็นตามจิตใต้สำนึกเขาไม่เชื่อ! แต่พอตรึกตรองดูแล้วฟางเจิ้งใช่คนธรรมดาหรือ? ปืนฆ่าไม่ตาย ฝนตกไม่เปียก ใครเคยเห็นบ้าง? ไม่มีใครเคยได้ยิน! หลวงจีนมหัศจรรย์แบบนี้บางทีอาจมีวิธีรักษาลูกสาวเขาจริงๆ! อย่างน้อยโรงพยาบาลก็ทำไม่ได้ อาการก็ร้ายแรงอยู่ในช่วงปลาย ต่อให้ใช้ยาก็ใช้ได้สักระยะ ต่อเวลาลูกสาวเขาเท่านั้น
“อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ช่วยได้จริงๆ แต่อาตมาลงเขาไม่ได้ ต้องให้ลูกสาวโยมขึ้นเขามาที่นี่เอง” ฟางเจิ้งนึกถึงยาเม็ดนั้นของตน น่าจะช่วยลูกสาวหานเซี่ยวกั๋วได้ ตัวเขาไม่ป่วยอยู่แล้ว กินข้าวผลึกดื่มน้ำบริสุทธิ์ในโอ่งพุทธทุกวัน ฝึกวิทยายุทธ์ประกอบกับมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง โดยพื้นฐานแล้วไม่ต้องใช้ยารักษานี่ สู้ส่งออกไปแลกเป็นบุญกุศลดีกว่า
นอกจากนี้ ฟางเจิ้งก็เห็นใจจากคำพูดของหานเซี่ยวกั๋วจริงๆ เด็กหญิงสามสี่ขวบคนหนึ่งไม่ควรรับความเจ็บปวดแบบนี้
“ขอบคุณมากครับไต้ซือ!” หานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าลงกับพื้น เอาหัวโขกดังโป๊กๆๆ
ฟางเจิ้งประคองหานเซี่ยวกั๋วขึ้นมา แต่หานเซี่ยวกั๋วออกแรงจะคุกเข่าให้ได้จึงพบกับเรื่องน่าตกใจ ฝ่ามือฟางเจิ้งราวกับเหล็กกล้า เขาไม่มีแรงต่อต้านเลย! นี่ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าฟางเจิ้งเป็นนักบวชเทพรุ่นหนึ่ง พระอาจารย์ชั้นสูงหรือพระเกจิ
ฟางเจิ้ง “อาตมาจะไม่ให้ยานี่กับโยมเปล่าๆ หรอกนะ”
“ผมซื้อ! ผมจะให้เงินทั้งหมดที่นี่!” หานเซี่ยวกั๋วตอบตามจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งส่ายหน้า ยิ้ม “อาตมาเป็นนักบวชในป่าเขาจะเอาเงินพวกนี้ไปทำไม?” แต่กลับคิดในใจว่า ‘แกไม่บริจาคล่ะ เอามาให้ฉันทำไม ฉันเอามาก็ไม่มีประโยชน์!’
หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งกำลังคิดอะไรจึงเกาหัว “ไต้ซือ ท่านไม่ต้องการเงิน แล้วต้องการอะไร?”
“ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง วางมีดสังหารลง บรรลุธรรมะ” ฟางเจิ้งตอบอย่างเคร่งขรึม
หานเซี่ยวกั๋วนึกอะไรได้จึงจ้องฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งจ้องตาอีกฝ่าย ดวงตามั่นคง เรืองรองดั่งดารา!
พอเห็นนัยน์ตาฟางเจิ้ง หานเซี่ยวกั๋วก็นึกถึงร่างเงาที่เปล่งแสงสว่างแห่งพุทธข้างหลังตอนที่สติพร่าเลือน…จึงกัดฟันพูดไป “ไต้ซือ ผมเข้าใจแล้ว! วางใจเถอะ ขอแค่ลูกสาวผมหายป่วย ผมจะไปมอบตัวเอง!”
“อมิตพุทธ” ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าวิธีที่ตนทำจะนับว่าชี้แนะให้อีกฝ่ายกลับตัวได้หรือไม่ แต่ว่าเขาทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ใช้คำพูดและการกระทำแห่งจิตวิญญาณเปลี่ยนนิสัยคนในระดับที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ให้อีกฝ่ายรู้ความผิดตัวเอง ส่วนเขาเองยังไม่รู้เลยว่าทำได้ยังไงเหมือนกัน
ฟางเจิ้ง “โยมมีวิธีให้ลูกสาวมาที่วัดเอกดรรชนีไหม?”
หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า “ผมโทรหาภรรยาเก่าได้ครับ ให้เธอพาหมี่ลี่มาเขาเอกดรรชนี”
“ภรรยาเก่า?” ฟางเจิ้งงุนงง
“อืม…ภรรยาเก่า ช่วงหนึ่งที่ผมปล้นเพื่ออยู่รอดได้ทำหนังสือหย่าวางไว้ในบ้านแล้ว และยังมีจดหมายฉบับหนึ่ง ผมเชื่อว่าเธอเชื่อ น่าจะเซ็นแล้ว” หานเซี่ยวกั๋วพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฟางเจิ้งส่งมือถือให้หานเซี่ยวกั๋ว เขารับไป เงียบอยู่ครู่หนึ่งถึงต่อหาสายคุ้ยเคย อารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และมีความกลัวและกังวลบ้าง…เขาค่อยๆ เดินออกจากห้อง ฟางเจิ้งไม่ได้ตามไป เขาไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวคนอื่นขนาดนั้น
แต่ผ่านไปไม่นานหานเซี่ยวกั๋วก็วางมือถือลงด้วยหน้ามืดทะมึน
“ไต้ซือ ภรรยาผมไม่ยอมพาลูกสาวมา เธอให้ผมมอบตัวเพื่อจะได้ผ่อนปรน แลกเป็นโอกาสได้พบหน้าลูกสาว อาการป่วยลูกสาวผมหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” หานเซี่ยวกั๋วนั่งลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ฉุดดึงเส้นผมอย่างแรง ชายที่เดิมทีหลักแหลมและโหดเหี้ยม ตอนนี้นั่งร้องไห้
ฟางเจิ้งถอนหายใจเบา ไม่พูดอะไร เขาออกจากวัดเอกดรรชนีไม่ได้ หานเซี่ยวกั๋วก็ไม่มีทางไปได้ ภูเขาเอกดรรชนีมีทางเดียว ลงเขาจะต้องถูกจับแน่ อีกอย่างต่อให้อยู่บนเขาก็ต้องถูกจับไม่ช้าก็เร็ว
ส่วนจะช่วยหานเซี่ยวกั๋วอ้อมผ่านตำรวจลงเขา? ฟางเจิ้งไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แม้หานเซี่ยวกั๋วจะเป็นแกะต่อหน้าเขา แต่ต่อหน้าคนอื่นกลับเป็นหมาป่าที่ดุร้ายที่สุด ควบคุมตัวเองไม่ได้บ่อยครั้งมาก แถมยังฆ่าคนอีก จะช่วยเขาลงเขาย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่ส่งเสริมความผิดต่างหาก!
หานเซี่ยวกั๋วร้องไห้อยู่พักหนึ่งแล้วกัดฟัน ยืนขึ้น “ไต้ซือ ยังมีวิธีสุดท้าย แต่ว่าผมต้องให้ท่านรับประกันว่าจะช่วยลูกสาวผมได้แน่!”
ฟางเจิ้งประนมมือ พอคาดเดาได้บ้างแล้วจึงถอนหายใจ “อมิตพุทธ อาตมาใช้หัวรับรองให้โยมได้ว่าถ้าลูกสาวโยมมาที่นี่ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแข็งแรงแน่นอน แต่พวกเราต้องทำกฏสามข้อ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะไม่ช่วยลูกสาวโยม”
…………………………
ตอนที่ 55 อยากลงเขา
อู๋ไห่กับผังเหว่ยเถียงกันแบบนี้ไป สงสัยว่าตนจะตาลายเหมือนกัน ถึงจะสงสัยในใจแต่ก็ไม่อยากกลับไปแล้ว สองคนจึงจากไปแบบนี้…
แต่หานเซี่ยวกั๋ว ตอนนี้หนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว ริมฝีปากม่วง หน้าขาวซีด แม้แววตาจะสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังไม่ยอม ยังกัดฟันแน่น…ตาพร่ามัวเล็กน้อย ในความเลือนรางเขาเหมือนเห็นเงาคนหลายคน ในนั้นเป็นคนคุ้มกันรถขนเงิน คุ้นตามาก…
ตอนนั้นหานเซี่ยวกั๋วพลันเข้าใจแล้ว เขาลุกขึ้นจากพื้นร้องเรียก “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้ว! ผมไม่ควรฆ่าคน ไม่ควรฆ่าคนคุ้มกันรถขนเงิน!” หานเซี่ยวกั๋วพูดจบฟางเจิ้งกลับ ไม่โต้ตอบ จึงนึกสงสัยในใจ หรือว่าจะผิด…
ทว่าตอนนี้เองฟางเจิ้งกำลังกระทุ้งเตาไฟในห้อง…
ฟู่!…ฟู่!…
“บ้าเอ๊ย ฟืนชื้นไปหน่อย ติดยากเชียว” ฟางเจิ้งกระดกก้นขึ้นเป่าเตาไฟ ควันดำลอยโชย ถ้าไม่ใช่เพราะมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง หลวงจีนขาวคงเป็นคล้ำไปแล้ว
ฟางเจิ้งเสียเวลาอยู่นานก็ติดไฟสำเร็จ ก่อนยื่นเท้าออกมาอังไฟ รู้สึกสบายขึ้นมาก
“เฮ้อ ไม่มีรองเท้านี่ไม่สบายตัวเลย…ยังจนอยู่ ร่มที่มีอยู่คันเดียวก็พังอีก ไม่อย่างนั้นคงใช้บังฝนได้บ้าง รองเท้าจะได้ไม่ต้องเปียกเร็วขนาดนั้นด้วย” ฟางเจิ้งบ่น
เวลานี้เองหมาป่าเดียวดายวิ่งส่ายหางเข้ามาเห่าหลายที
“อะไรนะ? นายว่าเขาสำนึกเสียใจที่ฆ่าคน? เด็กดี ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว! ไปให้อภัยเขากัน!” ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้นเดินไปข้างนอก รอนานแล้วก็กลัวว่าหานเซี่ยวกั๋วจะหนาวตาย เขาคงบาปหนัก เลยให้หมาป่าเดียวดายเฝ้าอยู่ตรงนั้นตลอด หากหานเซี่ยวกั๋วไม่ไหวก็ให้พาเข้ามา
ช่วงที่ฟางเจิ้งมาถึงประตูก็ได้ยินหานเซี่ยวกั๋วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้ว! ผมไม่ควรฆ่าคน ไม่ควรฆ่าคนคุ้มกันรถส่งเงิน ไม่ก็ไม่ควรเป็นทหารรับจ้างบ้าบออะไรนั่น…ชีวิตนี้ผมฆ่าคนมามาก สองมือเปื้อนกลิ่นคาวเลือด ผมสมควรตาย! ผมสมควรตายจริงๆ แต่ตอนนี้ผมยังตายไม่ได้…”
แอ๊ด!
ประตูใหญ่เปิดออก หานเซี่ยวกั๋วหันหลังให้ประตูใหญ่ตลอด เมื่อประตูเปิดเขาก็เอนล้มลงไป
ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง เห็นดวงตาหานเซี่ยวกั๋วเริ่มพร่ามัวแล้ว
แต่หานเซี่ยวกั๋วเห็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ที่เปรียบซ้ำยังมีแสงพุทธขยับวูบวาบรางๆ ปรากฏในดวงตา ตอนนั้นเขารู้ว่ามีคนช่วยแล้ว! ขณะเดียวกันพระศักดิ์สิทธิ์ชุดขาวรูปนั้นยังฝังประทับลึกลงในใจเขา
ฟางเจิ้งพาหานเซี่ยวกั๋วเข้าไปในห้องหลังวัด เตาไฟกำลังร้อน เขาถอดเสื้อผ้า หานเซี่ยวกั๋วออก แขวนไว้อังไฟข้างๆ ราดน้ำร้อนที่ต้มไว้นานแล้วลงไปถังหนึ่ง เนื้อตัวหานเซี่ยวกั๋วจึงสะอาด จากนั้นใช้ผ้าฝ้ายที่เขามีอยู่ห่อตัวอีกฝ่ายเอาไว้
ในที่สุดหานเซี่ยวกั๋วก็ตื่นขึ้นสลึมสลือ เห็นเตาไฟตรงหน้า ผ้าห่ม รวมถึงน้ำและข้าวอย่างละชามวางไว้ข้างๆ หานเซี่ยวกั๋วจึงร้องไห้ออกมาทันที
ปึก!
หานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าตรงหน้าฟางเจิ้ง ก้มหัวคารวะ “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชีวิตมากครับ! ขอบคุณไต้ซือมาก!”
ฟางเจิ้งหมดห่วงแล้ว ขณะเดียวกันยังถอนหายใจอยู่ภายใน เดิมทีเขาแค่อยากให้หานเซี่ยวกั๋วกลับมาเป็นคนดี วางมีดสังหารลง ได้บรรลุธรรม เพียงแต่ไม่คิดเลยว่ายิ่งเรื่องดำเนินมาก็ยิ่งทำให้เขายากจะจัดการเรื่องนี้ในมุมมองภารกิจ อารมณ์ความรู้สึก เย็นชาหรืออบอุ่น ใจตนรู้ดี
สุดท้ายหลังหานเซี่ยวกั๋วหมดสติไป เขาก็ยังทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง ส่วนจะเปลี่ยนให้อีกฝ่ายเป็นคนดีได้ไหม มันไม่สำคัญแล้ว
ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วเคารพจากใจจริงแล้ว ทำให้ในใจฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความพอใจและภูมิใจ
‘นี่คือความสุขจากการช่วยคนแหละนะ ความสุขของไต้ซือ ไม่ใช่เรื่องเงินทองอะไรแบบนั้น สบายจริงๆ…’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ
“อมิตพุทธ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ากว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อาตมาแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ เชิญโยมลุกขึ้นเถอะ” ฟางเจิ้งกล่าว
หานเซี่ยวกั๋วลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่กล้านั่งม้านั่งแล้ว เขายกม้านั่งให้ฟางเจิ้งนั่งด้วยความนอบน้อม ก่อนพบว่าในห้องนี้มีม้านั่งแบบนี้แค่ตัวเดียว…
ความจริงในวัดฟางเจิ้งไม่ได้มีม้านั่งอะไร ปกติเขาจะอยู่ข้างนอก ใช้หินเป็นม้านั่ง ม้านั่งแบบนี้เป็นของหายากจริงๆ ส่วนเก้าอี้? นั่นเป็นของฟุ่มเฟือย ไม่มี!
ฟางเจิ้งเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อครู่หานเซี่ยวกั๋วหมดสติไป เตาไฟอุ่นแล้วเลยให้เขานั่งข้างเตาไฟ ม้วนผ้าห่ม แถมฟางเจิ้งยังต้องประคองเขาถึงจะไม่ล้ม
ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วตื่นแล้ว ฟางเจิ้งนั่งลงอย่างที่ควรจะเป็น
“ดื่มน้ำกินข้าวหน่อยเถอะ” ฟางเจิ้งชี้น้ำกับข้าวข้างๆ น้ำเป็นน้ำจากในโอ่งพุทธ ข้าวก็เป็นข้าวหยาบ เป็นข้าวธรรมดา แต่พอใช้น้ำในโอ่งพุทธหุงจะหอมกว่าข้าวปกติมาก
หานเซี่ยวกั๋วหิวจะแย่แล้ว หลังเอ่ยขอบคุณก็กินข้าวดื่มน้ำอย่างมูมมากจนเกลี้ยง แถมยังพูดว่านี่เป็นข้าวที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาในชีวิต
ฟางเจิ้งอยากตอบไปมากว่า ‘แกพูดถูก!’
แต่ถ้าพูดไปมันจะดูเสแสร้งมาก เลยเลิกคิดไป
หานเซี่ยวกั๋วกินเสร็จแล้วฟางเจิ้งจึงถาม “ในเมื่อโยมรู้สำนึกแล้ว จากนี้ไปโยมจะทำยังไง? หนีต่อ? เข้าไปในภูเขาลึก ไม่ออกมาตลอดชีวิตเหรอ?”
หานเซี่ยวกั๋วตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้า “ไต้ซือ ผมไม่ปิดบังละนะ วันพรุ่งนี้ผมจะลงเขา ไม่ไปหลังเขาแล้ว แต่จะเดิมพันว่าพวกเขาจะไปหาตัวผมที่หลังเขา ผมจะใช้โอกาสนี้กลับเมือง จะใช้ยาน้ำจัดการกับกลิ่นตัวผม ต่อให้พวกเขามีสุนัขตำรวจก็เถอะ แต่หลบพวกเขาไปได้สองวันก็จะผ่านไปได้ เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะปิดทาง ลงเขาไว้…”
“ทางลงเขาถูกตำรวจปิดไว้แล้ว โยมจะลงเขายังไง?” ฟางเจิ้งไม่พอใจเล็กน้อย เจ้านี่ยังคิดหนีอีก! แกคงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แล้วใช่ไหม?
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเฝื่อน “ปิดผมก็ต้องลง ต้องฝ่าออกไป! ผมจะออกเดินทางรุ่งสาง…”
ฟางเจิ้งไม่ตอบ เขากำลังใคร่ครวญ เจ้านี่หลงผิดอย่างกู่ไม่กลับแล้ว จะตบให้สลบดีไหมแล้วโยนให้อู๋ไห่ให้เขาได้ความดีความชอบ
หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นฟางเจิ้งเงียบ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็รู้ว่าการกระทำของตนอาจจะทำให้ไต้ซือเสียใจ จึงอดใจไม่ไหวพูดขึ้น “ไต้ซือ ผมก็อึดอัดใจเหมือนกัน แต่ไม่มีทางเลือก ผมต้องลงเขา”
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองหานเซี่ยวกั๋วด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนรอให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
หานเซี่ยวกั๋วถอนหายใจ “ไต้ซือ ผมเป็นทหารรับจ้างมาหลายปี ความจริงแล้ว ผมเบื่อกับการฆ่าคนมานานแล้ว อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ว่าสวรรค์ไม่ให้ทางรอด กับผม ครึ่งเดือนก่อนลูกสาวผมตรวจเจอเนื้องอกในสมอง เธอเพิ่งสามขวบเอง! สามขวบ! ท่านไม่รู้หรอกตอนเธอยิ้มมันสวยขนาดไหน เหมือนกับนางฟ้า! บริสุทธ์ งดงาม แต่ว่า…หมอบอกว่าเธออยู่ได้ไม่นาน ถ้าจะต่อชีวิต ก็ต้องใช้ยาหลายชนิดที่พวกเราแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว”
ตอนที่ 54 สำนึกผิดแล้ว
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ถอดรองเท้าออก เท้าเหยียบน้ำฝนจริงๆ แต่ไม่สกปรก! ถึงขั้นแห้งและสบาย! แม้จะเย็นอยู่บ้างก็ไม่ลำบาก
เขาเดินออกไปราวกับดาวตก หมาป่าเดียวดายตามติดข้างหลัง สายฝนตกลงบนตัวมัน เจ้านี่พลันกลายเป็นหมาตกน้ำ ท่าทางน่าเกรงขามเปลี่ยนเป็นน่าอนาถเล็กน้อย
เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ ฟางเจิ้งเปิดประตูเหล็ก แต่ไม่พบใคร “หืม? ไหนคนล่ะ?”
“โฮ่งๆ…”
“ไต้…ไต้ซือ ก้มหน้าลง อยู่นี่…” ช่วงที่หานเซี่ยวกั๋วเห็นฟางเจิ้งก็เหมือนกับเห็น พระพุทธองค์ตรงขอบนรก เห็นความหวัง! แววตาที่มองฟางเจิ้งเปลี่ยนไป แฝงไว้ด้วยประกายพิเศษหลายส่วน
ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง เจ้านี่นั่งอยู่หน้าประตู นั่นคือหานเซี่ยวกั๋ว
“โยม ไหนว่าเป็นตายยังไงจะไม่อยู่ในวัดไง?” ฟางเจิ้งถาม
หานเซี่ยวกั๋วหน้าแดง ตอบเก้ๆ กังๆ “ไต้ซือ ข้างนอกหนาวมาก ผมหิวมากแล้วด้วย ทนไม่ไหวแล้ว ขอร้องล่ะเมตตาให้ผมเข้าไปหลบฝนด้วย ให้กินอะไรหน่อย ผมจะตายแล้ว”
ปัง!
ประตูใหญ่ปิดลง!
หานเซี่ยวกั๋วเหม่อลอย เดิมทีคิดว่าหลวงจีนจะเป็นคนมีเมตตา อุฒส่าห์แสร้งทำเป็นน่าสงสาร ทำตัวให้ดูลำบาก อย่างน้อยก็ได้กินข้าวบ้างล่ะ? ทว่าได้กินซุปปิดประตูแทน
“ไต้ซือ อย่า…ไต้ซือ อย่าปิดประตู! ก่อนหน้านี้ผมผิดไปแล้ว ผมสำนึกผิดแล้ว! ท่านให้ข้าวผมกินหน่อยเถอะ” หานเซี่ยวกั๋วร้องโอดครวญ
ฟางเจิ้งถาม “สำนักผิดแล้ว? ผิดตรงไหน?”
“ผมไม่ควรเล็งปืนใส่ไต้ซือ ไม่ควรหยาบคายต่อไต้ซือ ไม่ควรยิงปืนใส่ไต้ซือ ไม่ควรออกจากวัด” หานเซี่ยวกั๋วครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพลางตอบไป
ฟางเจิ้งกล่าว “ความผิดเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความผิด ถ้าโยมอยากเข้ามาก็คิดดูดีๆ ว่าผิดตรงไหน ถ้าคิดไม่ออก ก็คิดให้เข้าใจข้างนอก สวรรค์กับนรกอยู่ระหว่างหนึ่งความคิด โยมตรึกตรองให้ดีๆ” ฟางเจิ้งพูดจบก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นความคิดก็ขาวโพลน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ฟางเจิ้งไม่พอใจ…ตอนนี้เองมีแสงไฟส่องมาแต่ไกล หานเซี่ยวกั๋วจึงรีบวิ่งไปหลบใน พุ่มหญ้าใกล้ๆ ไม่นานเสียงสองคนคุยกันก็เข้ามาใกล้
“อู๋ไห่ พวกเราต้องมาจริงๆ เหรอ?” ตำรวจนายหนึ่งบ่น
อู๋ไห่ยิ้มแห้ง “ถึงฉันจะไม่ชอบเณรนั่นก็เถอะ แต่นี่เกี่ยวกับชีวิตคนนะ ถ้าฟ้าใส ด้วยความสามารถของหานเซี่ยวกั๋วแล้วต้องซ่อนตัวถึงตอนกลางคืนได้แน่ แต่นี่ฝนตกหนักก่อนเข้าหน้าหนาว เขาต้องไม่กล้าก่อไฟ แต่ไม่มีไฟเขาก็ต้องหนาวตาย! แต่ถ้าเขาไปภูเขาลึกๆ ก็ช่าง แต่ถ้ายังซ่อนตัวอยู่บนเขาก็มีที่หลบฝนเพียงที่เดียวคือวัด หากเขาเข้าไปในวัด เณรนั่นจะต้องอันตราย ยังไงก็ต้องมาดูนั่นแหละ…”
“อู๋ไห่ นายนี่มันปากร้ายใจดีจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใครพูดอยู่นั่นแหละว่า เณรนั่นไม่รู้จักให้ความร่วมมือ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ เหอะๆ” ตำรวจอ้วนหัวเราะ
“เอาเถอะ อย่าพูดมาก เป็นตำรวจก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้นั่นแหละ แต่ว่าอากาศแบบนี้หนาวจริงๆ นะ! รีบไปดูวัดเถอะ ถ้าไม่มีอะไรจะได้กลับแคมป์” อู๋ไห่กล่าว
ตำรวจอ้วนพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “อู๋ไห่ นายว่าทำไมพวกเราไม่อยู่ที่วัดเลยล่ะ? ที่นั่นมีห้องนี่ อยู่ก็สุขสบายดี ไม่ต้องกางเต็นท์ ลำบากชะมัด”
“ต้องปิดทางลงเขาน่ะ อีกอย่างฉันได้ยินอธิบดีบอกว่าวัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องที่พัก เหมือนว่าจะเป็นกฏของวัด…พวกเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็ต้องเคารพความเชื่อและ กฏของเขา แต่ไม่ว่ายังไงในนั้นก็มีเรื่องซับซ้อนบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ช่างเถอะ แค่จับหานเซี่ยวกั๋วได้ก็คุ้มแล้ว” อู๋ไห่พูดพลางเดินมาถึงประตูใหญ่
เพราะเสียงฝนตกดัง ฟ้าผ่าดังสนั่น พื้นที่กว้างโล่ง สองคนจึงต้องพูดเสียงดัง แน่นอนว่าฟางเจิ้งได้ยิน ดังนั้น…
อู๋ไห่กับผังเหว่ยเพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงแอ๊ด ประตูใหญ่เปิดออก หลวงจีนหัวโล้นสวมชุดสีขาวหิมะปรากฏหลังประตู จังหวะการเปิดประตูไม่เร็วไม่ช้า ความรู้สึกนั้นประหนึ่งหลวงจีนนี่รอพวกเขามาตลอด!
“ไต้ซือ ท่านจะไปไหนตอนนี้?” อู๋ไห่ถามขึ้นโดยจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งยิ้ม “มารอพวกโยมสองคน”
“รู้ว่าพวกเราจะมาเหรอ?” ผังเหว่ยตกใจ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่อาตมาเพิ่งมาถึงวัด ได้ยินพวกโยมสองคนคุยกันเลยเปิดประตูต้อนรับ”
“อย่างนี้เอง ตกใจแทบแย่ ผมยังคิดว่าท่านรู้ล่วงหน้าซะอีก” ผังเหว่ยหัวเราะเหอะๆ
ฟางเจิ้งสวดไปหนึ่งบท “อมิตพุทธ อาตมาเป็นเพียงนักบวชธรรมดา จะรู้ล่วงหน้าได้ยังไง ตำรวจสองท่านนี้มาทำไมกัน?”
“ไม่มีอะไรครับ เมื่อตอนกลางวันมาเยี่ยมชมวัดท่านแล้วรู้สึกดีมาก ไม่รู้ว่า ตอนกลางคืนจะเป็นยังไง เลยมาเยี่ยมชมอีกรอบ เอ่อ ไต้ซือสะดวกไหม?” อู๋ไห่เรียนรู้เร็ว พูดว่าตรวจค้นคงไม่ดี ก็ใช้เยี่ยมชมนี่แหละ!
ฟางเจิ้งย่อมไม่ขวาง เขาให้ความร่วมมือกับสองคนเดินในวัดหนึ่งรอบ หลังมั่นใจว่าฟางเจิ้งไม่ได้ถูกข่มขู่และปลอดภัยดีแล้วถึงเอ่ยลาไป
เพียงแต่ว่าตอนที่สองคนไป มีบางคนมองพวกเขาด้วยแววตาอยากจะกินพวกเขา!
“ช้าชิบ…ข้าหนาวจะตายอยู่แล้ว!” หานเซี่ยวกั๋วกัดฟันด่าทอ
เห็นประตูใหญ่ปิดลงอีกครั้ง หานเซี่ยวกั๋วก็รีบวิ่งเข้าไป “ไต้ซือ ไต้ซือ! อย่าปิดประตู ผมไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ไต้ซือช่วยชี้แนะด้วย!”
ฟางเจิ้งมองหานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าอยู่หน้าประตูพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ตัวเองยังไม่รู้ แล้วอาตมาจะชี้แนะยังไง? ไม่รู้ก็คิดต่อไป” จากนั้นปิดประตูอีกครั้ง
หานเซี่ยวกั๋วมีสีหน้าสิ้นหวัง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าผิดตรงไหน…
ทว่าไกลออกไป ผังเหว่ยกับอู๋ไห่กำลังเดินอยู่ อู๋ไห่พลันร้องขึ้น “ไม่ใช่ละ!”
“ทำไมอู๋ไห่? นายอย่าตกใจแบบนี้สิ ทำคนอื่นเขาตกใจไปด้วยรู้ไหม?” ผังเหว่ย กดปืนตามจิตใต้สำนึก จากนั้นบ่นว่า
อู๋ไห่ “ผังเหว่ย ฉันขอถามนายนะ นายสังเกตชุดที่หลวงจีนนั่นสวมรึเปล่า?”
“สังเกตอะไร? อากาศหนาวขนาดนี้ ฉันสนแค่เจอหานเซี่ยวกั๋วรึเปล่าแค่นั้น” จากนั้นผังเหว่ยก็ถามขึ้นอย่างตื่นตัว “นายพบอะไรเหรอ? หรือหานเซี่ยวกั๋วอยู่ในวัดจริงๆ?”
“อยู่ก็บ้าสิ! พวกเราดูกระทั่งโอ่งน้ำ เขาจะซ่อนไหนได้? พวกเรามากะทันหันแบบนี้? ถ้าเขาอยู่ข้างใน แค่หลวงจีนนั่นชี้เขาก็จบเห่แล้ว ฉันกำลังจะบอกว่านายไม่ได้สังเกตชุดที่หลวงจีนนั่นใส่เลยเหรอ มันเหมือนไม่เปียกเลยนะ! แล้วก็เท้าเขา ตอนที่จีวรถกขึ้นมา เหมือนจะเป็นเท้าเปล่า เขาไม่ได้ใส่รองเท้า!”
“ช่างเถอะหน่า นายอ่านนิยายมากไปมั้ง? ไม่ใส่รองเท้าแล้ว แถมเสื้อไม่เปียกฝน นายคิดว่าเขามีวิทยายุทธ์เหรอหรือฝึกเต๋าเป็นเซียน? ทำไมเขาถึงไม่บินล่ะ? นายดูสายฟ้านั่น ทำไมนายไม่บอกว่าเขากำลังผ่านภัยพิบัติอยู่เลยล่ะ?” ผังเหว่ยพูดดูถูก
ตอนที่ 53 ไต้ซือใช้ความรุนแรง
แก๊ง! ฟางเจิ้งไม่กะพริบตา แต่กระสุนกลับกระเด็น สะเก็ตไฟกระจายไปรอบๆ!
“ไอ้ห่า!” หานเซี่ยวกั๋วร้องราวกับเห็นผี ด้วยความกลัวจึงลั่นไกอย่างบ้าคลั่ง!
‘แก๊งๆๆ!’ กระสุนกระเด็นกระดอน สะเก็ตไฟแตกกระจายมั่วไปหมด
ฟางเจิ้งเลิกคิ้ว พุ่งเข้าไปราวกับลูกดอก คว้ามือเข้าไป กึก!
“กะ…แกจะทำอะไร? ปล่อย?” ชั่วขณะที่หานเซี่ยวกั๋วร้อง เขาชักมีดแทงไปที่ท้องน้อยฟางเจิ้ง!
‘ฉันว่าแล้วในทีวีโกหก! คงต้องใช้วิธีของฉันแล้ว!’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ ใช้มือฉุดดึง หานเซี่ยวกั๋วรู้สึกแค่ว่ามีแรงมหาศาลไหลผ่านไปที่มือไร้อิสระ ปืนหลุดไปอยู่ในมือฟางเจิ้ง พร้อมกันนั้นฟางเจิ้งตบเข้าไปทีหนึ่ง!
ปุง! ฟางเจิ้งตบเข้าที่ข้อมือหานเซี่ยวกั๋ว มีดในมือสั่นก่อนปักลงพื้น
หานเซี่ยวกั๋วซวนเซถอยไป ลูบมือซ้ายที่บวมแดง มองฟางเจิ้งอย่างตื่นกลัว “แกเป็นคนหรือผีกันแน่?”
ฟางเจิ้งอยู่ตรงหน้าเขา ออกแรงบีบ ปืนในมือส่งเสียงดังกึกๆๆ ต่อเนื่องกัน ปืนบิดรูป แตกออก!
หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้งด้วยแววตาหวาดกลัวกว่าเดิม
ฟางเจิ้งเดินมาตรงจุดที่มีดปักอยู่ หยิบมีดขึ้นมาเคาะ ปัก! มีดหัก! จากนั้นส่ายหน้า “คุณภาพแย่จริงๆ”
อึก!
หานเซี่ยวกั๋วอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ มีดนั่นเป็นมีดสงคราม mad dog ATAK ที่ได้มาจากนอกประเทศ มันหายากมาก เป็นของสะสมที่หน่วยมอบให้เขาหลังจากที่เขาสร้างความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ดันหักในมือหลวงจีนนี่ เขาสงสัยว่าหน่วยให้ของปลอม รึเปล่า! หรือไม่ก็หลวงจีนนี่ไม่ใช่คน!
ฟางเจิ้งแก้ปัญหาเรื่องมีดปืนได้แล้วก็หัวเราะเหอะๆ มองหานเซี่ยวกั๋ว “ตอนนี้พวกเรามาคุยกันดีๆ ได้รึยัง?”
“ไต้ซือ ก่อนหน้านี้จะให้ฉันลงเขาไม่ใช่เรอะ? ฉันจะลงเขาแล้ว ลาก่อน” หานเซี่ยวกั๋ววิ่งหนีไป!
หมาป่าเดียวดายเงยหน้ามองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งกล่าว “ให้เขาไปเถอะ เป็นเด็กที่ น่าสงสารจริงๆ ลงเขาไปก็ฝนตกอีก เมฆก็มาวันเว้นวัน เป็นแบบนี้อีกแล้ว แรงกดอากาศต่ำขนาดนี้น่าจะตกเขา ฝนครั้งสุดท้ายก่อนเข้าฤดูหนาวก็แบบนี้แหละน้า…”
พูดจบฟางเจิ้งก็พาหมาป่าเดียวดายปิดประตูวัด เข้าไปในห้อง
ฟางเจิ้งไม่ได้ทำอะไร แต่หยิบมือถือออกมาดู พบว่ามีข้อความฝากไว้เป็นพรวน
เปิดอ่านดูเป็นของจ้าวต้าถงทั้งหมด
“ไต้ซือ ท่านอยู่ไหม?”
“ไต้ซือ?”
“ไต้ซือ ช่วยด้วย! ท่านอธิบายให้ชัดเจนที รับเชื้ออสุจิหมายความว่ายังไง? พวกเราเป็นผู้ชายนะ?”
“ไต้ซือ ชื่อเสียงผมล่ำลือไปทั่วแล้ว…ฮือๆๆ…”
……….
ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็งงเล็กน้อย รับเชื้ออสุจิ? รับเชื้ออสุจิอะไร? จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเขียนผิด! จึงรีบเลื่อนขึ้นไปข้างบน คำว่ารับเชื้ออสุจิเด่นตาเป็นพิเศษ!
ฟางเจิ้งรีบตอบกลับทันที “ไม่ใช่รับเชื้ออสุจิ แต่ให้ตั้งมั่นสมาธิต่างหาก อมิตพุทธ อาตมาเขียนผิด โยมอย่าถือโทษเลยนะ”
ตอนนี้เอง จ้าวต้าถงกำลังนั่งตาแดงอยู่บนเตียงด้วยความคับอกคับใจ…กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม…มือถือพลันสั่น พอก้มหน้ามอง จ้าวต้าถงก็ร้องไห้โฮ ดึงหูหานเข้ามาตะโกนใส่ “แกดู! ดู! ตั้งมั่นสมาธิ ไม่ใช่รับเชื้ออสุจิ! ไอ้ห่า!”
จากนั้นเจ้านี่ก็วิ่งออกไป ตะโกนเสียงดัง
ทำเอาทุกคนมีสีหน้างุนงง…
หลังบ้าไปพักหนึ่งจ้าวต้าถงก็พบว่าแม้เรื่องรับเชื้ออสุจิจะคึกคักไปช่วงหนึ่ง แต่พอผ่านไปนานเข้ากลับกลายเป็นอดีตไป…ทุกคนเริ่มคุยกันถึงเรื่องอื่นแล้ว
นี่คือชีวิตนักศึกษา เป็นสังคม ไม่มีอะไรคึกคักตลอดไป มีแค่ตัวเองที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กน้อยมากเกินไป ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทรมานตัวเอง ฟ้าใหญ่ ดินใหญ่ จิตใจตัวเองแข็งแกร่งเท่านั้นถึงเมินเฉยต่อแรงกดดันทุกอย่างจากภายนอกได้อย่างแท้จริง!
จ้าวต้าถงพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง เมื่อกลับหอพักแล้วก็ส่งข้อความหาฟางเจิ้งเงียบๆ “ไต้ซือ ผมเข้าใจถึงความหมายแท้จริงของชีวิตคนแล้ว ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะครับ”
ฟางเจิ้งงง เขาชี้แนะอะไร? แค่เขียนผิดเท่านั้นเอง…พิลึกจริงๆ!
ฟางเจิ้งส่งข้อความให้จ้าวต้าถงอีกหลายประโยค ก็พบว่าจ้าวต้าถงปกติทุกอย่าง ฟางเจิ้งถึงวางใจ
ตอนนี้เองมีเสียงฟ้าผ่าดังมาจากนอกหน้าต่าง สายฟ้าผ่าไม่หยุด ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างดังสนั่น ระเบิดบนยอดเขาทำให้ดังจนน่าตกใจเป็นพิเศษ
ฟางเจิ้งปิดหน้าต่างอุโบสถดีแล้วก็ตรวจสอบข้าวของข้างนอกถึงกลับกุฏิ รออย่างเงียบๆ
หลังเสียงฟ้าผ่าดังติดต่อกันหลายครั้งถึงเกิดพายุขึ้น ฝนกระหน่ำลงมา นี่คือฝนของภาคเหนือ มาเร็วมาก ตกเร็วมาก น้ำฝนประหนึ่งเทอ่างลงมา ตกลงบนชายคาดังซ่า…
ขณะเดียวกันมีคนกำลังจะบ้า
หานเซี่ยวกั๋ววิ่งไปยังเส้นทางลงเขาก่อน แต่ก็พบว่าทางลงเขามีเต็นท์ มีตำรวจทำงานอยู่ เขาเลยได้แต่แอบวิ่งกลับไป หากมีปืนเขายังสู้ไหว ตอนนี้มือเปล่าจะสู้ตำรวจ ที่มีอาวุธได้ยังไง? เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น…
เขาเดินอ้อมในป่าข้างหลัง แม้จะมีอาหารป่า แต่ก็มืดแล้ว สัตว์ต่างๆ หายไปหมด เขาไม่กล้าจุดไฟด้วย กลัวจะเรียกตำรวจมา
ภายใต้ความหิว ฝนตกกระหน่ำลงบนต้นไม้ราวกับผีร้ายกำลังปรบมือ ตกลงบนตัวเขาหนาวเยือกเข้ากระดูก! ต่อให้เขาเป็นชายร่างกำยำแบบนี้ก็ยังทนไม่ไหวอยู่บ้าง
บนเขาไม่มีถ้ำ และก็สร้างที่หลบไม่ทันแล้ว ด้วยความจำใจ หานเซี่ยวกั๋วจึงกัดฟัน…
ปึงปึงปึง…
เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องกัน
ฟางเจิ้งแคะหู พูดพึมพำ “แปลก เสียงฟ้าผ่าถี่ไปรึเปล่า”
หานเซี่ยวกั๋วนอกประตูแทบจะร้องไห้ ฝนก่อนเข้าหน้าหนาวหนาวมาก ซ้ำยังเป็นกลางคืน อุณหภูมิลดต่ำลงเร็วมาก หนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ เขากระโดดไปมาอยู่กับที่ กำแพงวัดไม่สูง ปีนข้ามไปได้ง่ายๆ แต่พอนึกถึงความน่ากลัวของหลวงจีนนั่นแล้วกลับไม่กล้าฝ่าฝืนกฏ ได้แต่เคาะประตูต่อไป…
ปึงปึงปึง…
“มีเสียงฟ้าผ่าแต่ทำไมไม่เห็นฟ้าแลบล่ะ?” ฟางเจิ้งยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองฟ้าพลางพึมพำ
“โฮ่งๆๆ…” หมาป่าเดียวดายข้างๆ ทนมองต่อไปไม่ได้จึงเห่า
“หา? อะไรนะ? มีคนเคาะประตูอย่างนั้นเหรอ? บ่ะ…ปลาตัวใหญ่กลับมาแล้ว เกือบลืมเขาไปแล้วเชียว” ฟางเจิ้งรีบออกไป พอออกมาก็หัวเราะ! เดิมทีคิดว่าต้องเปียกแน่ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจีวรขาวจันทร์จะไม่ได้แค่กันอาวุธ แต่ยังกันฝนได้ด้วย!
เพิ่งหัวเราะได้สองที ก็รู้สึกหนาวที่ขาจึงก้มหน้ามอง รองเท้าเปียก…
“ระบบ ชุดนายมีจุดด่างพร้อย” ฟางเจิ้งพูดเบาๆ
“นายสวมรองเท้าอื่น จีวรขาวจันทร์ไม่คลุมถึงเท้านาย นายถอดรองเท้าลองดูก็ได้”
ตอนที่ 52 หลวงจีนฆ่าไม่ตาย
ฟางเจิ้ง “โยม เดินช้าแบบนี้เดี๋ยวจะต้องเสียใจนะ”
“เดินเร็วต่างหากที่จะเสียใจ! อย่าพูดมาก เดินช้าหน่อย!” หานเซี่ยวกั๋วตอบ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจำใจ เดินมาถึงหลังลาน มาถึงหน้าประตูห้องครัว ทว่า หานเซี่ยวกั๋วก็แทบจะร้องไห้…
“ข้าวฉันล่ะ? เมื่อกี้ในหม้อยังมีข้าวอยู่อีกหน่อยนี่?” หานเซี่ยวกั๋วชี้หม้อข้าวว่างเปล่า
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “ก็บอกแล้วว่าโยมจะเสียใจใช่ไหม หมากินข้าวที่เหลือไปแล้วล่ะ”
“หมา? อยู่ไหน?” หานเซี่ยวกั๋วเพลิงโทสะลุกท่วม เขาตัดสินใจแล้วว่าจะตุ๋นหมานั่นกิน!
ฟางเจิ้งมองไปข้างหลังหานเซี่ยวกั๋ว “ข้างหลังโยมไง”
หานเซี่ยวกั๋วหันกลับไปก็เห็นหมาป่าเงินตัวหนึ่ง ตัวใหญ่เหมือนลูกวัวนอนหมอบอยู่ตรงมุมในลาน ชำเลืองตามองเขา แววตานั้นเหมือนกำลังมองคนโง่อยู่!
หานเซี่ยวกั๋วพูดด้วยความโกรธ “หมาบ้านี่กล้าเยาะเย้ยฉันเหรอ? คิดว่าฉันจะไม่ฆ่าแกเอาเนื้อมากิน?!” พูดจบหานเซี่ยวกั๋วก็ถือมีดในมือปรี่เข้าไป
หมาป่าเดียวดายมองหานเซี่ยวกั๋วด้วยแววตาเหยียดหยามกว่าเดิม แต่ก็ยังมองฟางเจิ้งเหมือนกำลังถาม “ให้ฉันฟัดมันให้ตายหรือให้ฟัดมันให้ตาย? หรือให้ฟัดมันให้ตาย?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าพลางชี้ไปยังประตูลาน ตลก ถ้าหานเซี่ยวกั๋วตาย จะไปหาบุญกุศลครั้งใหญ่จากใครได้?
ดังนั้นหมาป่าเดียวดายจึงยืนขึ้นอย่างขี้เกียจ แกว่งหางมองหานเซี่ยวกั๋วอย่างเอ้อระเหย
หานเซี่ยวกั๋วใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เดินไปพลางพูดไปพลาง “หมาเด็กดี อย่ากลัว ฉันเป็นคนดี จะมาเลี้ยงสเต๊กแกไง เสต๊กชิ้นใหญ่ๆ…”
ห่างหนึ่งเมตร!
“ตาย!” หานเซี่ยวกั๋วพุ่งเข้ามาดั่งลูกดอก แทงมีดไปยังคอหอยหมาป่าเดียวดาย! เขามั่นใจในมีดตนมาก ใช้กระบวนท่าเดียวฆ่าศัตรูมาไม่รู้กี่คนแล้ว แม้แต่เขายังจำไม่ได้!
ทว่า…
ฟิ้ว!
ตาพร่ามัว หานเซี่ยวกั๋วกระโดดเข้าหาอากาศ!
หันไปอีกทีก็เห็นหางสีขาวหายไปในประตูลาน
หานเซี่ยวกั๋วตะโกนด้วยความโกรธ “กินข้าวฉันแล้วยังคิดหนีอีกเรอะ? คืนนี้ฉันจะกินแกให้ได้!”
หานเซี่ยวกั๋วถือปืนไล่ตามไป ออกนอกประตูลานแล้วก็เห็นหมาป่าเดียวดายยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ มองเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
เพลิงโทสะคลุกกรุ่น ถูกเมินเฉยมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ยังถูกหมามองอย่างดูถูกอีก เพลิงโทสะจึงลุกโชตช่วงอย่างบ้าคลั่ง ทนไม่ไหวอีก ยกปืนเล็ง!
ปัง!
เสียงปืนไพเราะทำลายความเงียบในคืนนี้
แต่หานเซี่ยวกั๋วกลับหัวเราะไม่ออก เขาจ้องไปข้างหน้าตา ดวงตาเหม่อลอย!
เห็นหลวงจีนหัวโล้นรูปหนึ่งมาปรากฏอยู่ตรงหน้าปากปืนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ยืนอยู่ตรงหน้าหมาใหญ่สีเงินใต้ต้นโพธิ์ ดวงจันทร์สีเงินบนกิ่งไม้สาดแสงเงินลงมา เสริมดุลกับความมหัศจรรย์ยากจะหาใครเปรียบของหลวงจีนกับหมาใหญ่ ราวกับเป็นเทพเจ้า
สำคัญคือ หลวงจีนนี่ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง คว้ากระสุนไว้ในมือ!
“อมิตพุทธ โยมยิงปืนแล้วนะ” ฟางเจิ้งประนมมือโค้งตัว
“กะ…แกเป็นคนหรือผีกันแน่?” หานเซี่ยวกั๋วอยู่ทวีปแอฟริกามาหลายปี เห็นคนตายมานับไม่ถ้วน แน่นอนว่าต้องเคยเห็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ใช้มือเปล่ารับกระสุน แบบนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แถมยังเกิดกับเณรคนหนึ่ง!
หานเซี่ยวกั๋วใจฝ่อ ฟางเจิ้งเองก็แอบเหงื่อตก เขาไม่มีวิชาตัวเบาจึงวิ่งไม่ทันกระสุน แต่เห็นสถานการณ์ไม่ดีเลยพุ่งมาก่อนล่วงหน้า ดีที่ถึงหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์จะไม่ใช่ วิชาตัวเบา แต่กลับทำให้เขาเร็วกว่าคนปกติมาก โดยเฉพาะแรงปะทุน่าตกใจยิ่ง สองขาออกแรงเร็วปานสายลม พริบตาที่หานเซี่ยวกั๋วยกมือขึ้นเขาก็มาขวางอยู่ตรงหน้าหมาป่าเดียวดายแล้ว
ฟางเจิ้งเองก็เห็นวิถีกระสุนไม่ชัด แต่คว้าไปอย่างนั้น แต่กลับคว้ากระสุนได้เฉย!
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าผลจากการฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์จะรับกระสุนไว้ได้หรือไม่ แต่จีวรขาวจันทร์จะต้องรับได้แน่ มีมันปกป้องอยู่จึงกล้าทำแบบนี้ และมันก็สำเร็จจริงๆ!
ดังนั้นในใจฟางเจิ้งจึงตกใจอย่างยิ่งเหมือนกัน แอบคิดว่าโชคดีอยู่ในใจ กระทั่งสีหน้ายังแทบจะคุมไว้ไม่อยู่ เลยประสานสองมือโค้งตัวเล็กน้อย ก้มหน้าลง ทำให้อีกฝ่ายมองเห็นสีหน้าตนไม่ชัด
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกสองทีความตื่นเต้นถึงสงบลง สวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ โยม ข้าวชามเดียวเท่านั้น ไฉนต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต?”
“หลวงจีนระยำ ฉันจะฆ่าสัตว์แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก? แกอย่าบีบให้ฉันต้องฆ่าแกด้วยเลย!” ขณะหานเซี่ยวกั๋วกล่าวก็ชาไปเล็กน้อย ความมั่นใจไม่พอแล้ว รู้สึกว่าหลวงจีนนี่แปลกมาก
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยม บนสวรรค์มีคุณธรรม จะไปฆ่าสัตว์ตามอำเภอใจได้ยังไง? ถ้าในใจโยมโกรธ อาตมายอมรับกระสุนแทนมันเอง ว่ายังไง?”
“พูดจริงเหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วใจสั่นก่อนตรึกตรอง หลวงจีนนี่อาจจะมีดีแค่มือแข็ง ส่วนหัว…พอนึกขึ้นได้ว่าด้ามปืนตนแทบจะแตกตอนทุบหัวก็ล้มเลิกความคิดไปทันที ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วจึงเล็งไปที่ดวงตาฟางเจิ้ง! เขาเคยได้ยินเรื่องวิชาเกราะระฆังทองคำหรืออาภรณ์เหล็กอะไรเทือกนี้มาก่อน ล้วนแล้วแต่ใช้กล้ามเนื้อบีบตัวในระดับสูงเป็น การเพิ่มความหนาแน่นจนเกิดการป้องกัน ดวงตาไม่มีกล้ามเนื้อ เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าดวงตาหลวงจีนนี่จะคงกระพัน!
ฟางเจิ้งมอบความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งต่อเขา เขาต้องลบสาเหตุของความรู้สึกนี้ทิ้งไป! วิธีที่ดีที่สุดคือฆ่า!
ฟางเจิ้งพยักหน้า “แน่นอน”
พูดจบฟางเจิ้งก็คิดในใจ ‘อืม สละชีพเพื่อหมา กล้าหาญ มีสติปัญญา ไม่เสียดาย…เฮ้อ ทำไมถึงเหมือนคนโง่นักนะ? หวังว่าคนโบราณจะไม่ได้หลอกฉันนะ ให้วิธีนี้ได้ผลเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องใช้วิธีของตัวเองแล้ว’
“ดี ฉันจะสนับสนุนแกเต็มที่เลย แค่แกห้ามขยับ ไม่ขวาง ให้ฉันยิง ไม่ว่าจบยังไงก็แล้วแต่ เรื่องนี้จะผ่านไป ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้หมานี่อีก” หานเซี่ยวกั๋วกล่าวอย่างยืนหยัดในความถูกต้อง ในใจกลับคิดอีกอย่าง ใกล้ขนาดนี้ ถ้ายิงตาอีกฝ่ายแล้วยังไม่ตายอีก ให้ความกล้าหาญเขามาเต็มสิบก็คงไม่กล้าหาเรื่องต่อแล้ว รีบหนีไปจะดีที่สุด!
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตพุทธ แบบนี้ดีที่สุด โยมเชิญ!”
หานเซี่ยวกั๋วหรี่ตาลง เดินมาห่างจากตรงหน้าฟางเจิ้งสิบเมตร ระยะนี้เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องยิงระเบิดหัวโล้นของเณรนี่ได้แน่!
มองไปข้างหน้า ฟางเจิ้งขวางอยู่หน้าหมาป่าเดียวดายด้วยสีหน้าไร้กังวล ภายใต้แสงจันทร์สีเงินเสริมเด่นให้ดูศักดิ์สิทธิ์กว่าเดิม น่าเกรงขามกว่าเดิม ในใจหานเซี่ยวกั๋วเกิดความเคารพขึ้นเสี้ยวหนึ่ง เขาไม่เคยเจอหลวงจีนที่สู้สุดชีวิตเพื่อหมาตัวหนึ่งแบบนี้มาก่อน บางทีในตำราห้องเรียนอาจจะมี แต่ในความจริงไม่เคยเห็น!
‘เฮ้อ หลวงจีนโง่แบบนี้ เกิดมาในสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็ก มีชีวิตมาถึงขนาดนี้ได้ก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว ช่างเถอะ ฉันจะส่งเขาไปหาพระโพธิสัตว์ล่วงหน้าเอง ถือว่าเป็น บุญกุศลไม่มีสิ้นสุด’ หานเซี่ยวกั๋วคิดในใจก่อนยกปืนขึ้นอย่างไม่ปรานี เล็งดวงตาซ้าย ฟางเจิ้งก่อนลั่นไก!
ปัง! กระสุนออกจากปากกระบอกปืน!
ตอนที่ 51 หัวแข็งจริงๆ
ฟางเจิ้งถามกลับ “โยม อาตมาโง่แล้วยังไง ไม่โง่แล้วยังไง?”
“ฉันว่าเข้าใจแล้ว แกแกล้งโง่นี่เอง!” หานเซี่ยวกั๋วตะคอก
ตอนนี้เองมีกลิ่นหอมข้าวโชยมา
จ๊อกๆๆ…
เสียงท้องร้องดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง ฟางเจิ้งกับหานเซี่ยวกั๋วหิวแล้ว
หานเซี่ยวกั๋ว “เณร แกทำอาหารในครัวเหรอ?”
ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ ใช่ แต่สำหรับแค่คนเดียว”
“นั่นของฉัน! อย่าปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่าจะไม่ยิงแก!” หานเซี่ยวกั๋วข่มขู่
“แบบนั้นไม่ได้ อาตมายังไม่ได้กินข้าวเลยวันนี้ หิวจนจะลนลานไปหมดแล้ว ถ้าโยมหิวก็ลงเขาไปกินเถอะ” ฟางเจิ้งว่า
“ลงก็บ้าสิ! วันนี้ฉันจะกินบนเขานี่! ใครก็อยากไล่ให้ฉันไป!” หานเซี่ยวกั๋วพูดด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นโยมก็อยู่นี่ อาตมาจะไปกินข้าว” พูดจบฟางเจิ้งหมุนตัวกลับต่อหน้าหานเซี่ยวกั๋ว!
“แกหยุดเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก!” หานเซี่ยวกั๋วตกใจ
ฟางเจิ้งกลับยิ้มอย่างอบอุ่น “โยม ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ล่ะ? โยมไม่ใช้ปืน พวกเรายังคุยกันได้นะ ฆ่าเวลาไป ถ้าโยมใช้ปืน ตำรวจที่เฝ้าอยู่ตรงตีนเขาจะมา ถึงตอนนั้นจะ ไม่มีใครได้กินข้าว”
หานเซี่ยวกั๋วยิ่งดมก็ยิ่งหิว เขากลืนน้ำลายลงคอ ชี้ปากปืนไปที่ฟางเจิ้ง “จะเชื่อฟังหรือให้ฉันฆ่าแก! เดี๋ยวฉันจะทำให้ดูว่าฆ่าคนก็ไม่ต้องใช้ปืนเสมอไป!” พูดจบก็จี้ปลายมีดไปที่หลังฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่างเถอะ อาตมาก็หิวแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ไปดูข้าวอาจจะเหลวได้ ไปเถอะ” พูดจบ ไม่ทันให้หานเซี่ยวกั๋วตอบกลับ ฟางเจิ้งก็เดินไปทันที!
ออกจากรัศมีมีดไปแบบนี้ หานเซี่ยวกั๋วถึงได้สติกลับมา ถือปืนชี้ฟางเจิ้งพร้อมเดินไป เดินไปพลางพูดไปพลาง “เณร แกอย่าเล่นตุกติกเชียว! ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งแกไปพบ พระโพธิสัตว์ที่ชมพูทวีปจริงๆ!”
“อมิตพุทธ ถ้าโยมมีความสามารถจริงๆ อาตมาก็อยากพบพระโพธิสัตว์จริงๆ เหมือนกัน…” ฟางเจิ้งไม่ได้โกหก เขาพูดจริง ไม่อยากเป็นหลวงจีนแล้วจริงๆ! แม้ตอนนี้จะไม่ถือว่าลำบาก แต่ต้องอยู่บนเขาคนเดียวทั้งวันช่างทรมานนัก!
แต่หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งคิดอย่างไร คิดแค่ว่าฟางเจิ้งกำลังยั่วยุ จึงใช้มือทุบหัวฟางเจิ้ง!
แต่ว่า!
โป๊ก!
“โอ๊ย!” หานเซี่ยวกั๋วคลึงมือ ก่อนด่าทอ “เณร ทำไมหัวแกเหมือนหินเลย? ทำไมแข็งแบบนี้หะ?”
“อมิตพุทธ อาตมาหัวแข็งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าโยมเจ็บก็เป็นความผิดอาตมาจริงๆ” ฟางเจิ้งตอบ
หานเซี่ยวกั๋วหน้าแดง เขาเป็นทหารรับจ้างมาทั้งชีวิต เป็นครั้งแรกที่ทุบคนแล้วเจ็บเอง แถมยังถูกคนที่ทุบปลอบ…ความรู้สึกนี้ ทำไมถึงเหมือนกำลังถูกเยาะเย้ย!
ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วจึงทุบไปอีกครั้ง!
แก๊ง!
หานเซี่ยวกั๋วเหมือนกับเห็นผี ครั้งนี้เขาใช้ด้ามปืน แต่ทุบไปที่หัวโล้นแล้วกลับมีสะเก็ดไฟ!
ฟางเจิ้งถอนหายใจ หันไปมองหานเซี่ยวกั๋วที่มีสีหน้ามึนงง “โยม พวกเราเดินไปดีๆ ได้ไหม? ทุบหัวอาตมาอยู่ได้ ทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเอามากนะ ถ้าโยมทำแบบนี้อีก อาตมาจะคิดว่าจะก่อความวุ่นวาย”
“แกเป็นใครกันแน่?” หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้งอย่างระแวง
“อมิตพุทธ อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี” ฟางเจิ้งตอบ
หานเซี่ยวกั๋วกำปืนในมือแน่น จิตใจถึงสงบลง คิดในใจว่า ‘หลวงจีนนี่ผิดปกติ แต่ต่อให้ผิดปกติกว่านี้ก็มีแค่คนเดียว! ต่อให้มีวิทยายุทธ์ก็ไม่มีทางเร็วกว่าปืนหรอก และก็ไม่มีทางคงกระพัน!’
คิดได้ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วก็กล้าหาญขึ้นมาอีกครั้ง ใช้ปืนชี้หัวฟางเจิ้งพลางตะคอกอย่างเฉยชา “อย่าพูดไร้สาระ! พาฉันไปกินข้าว!”
ฟางเจิ้งพยักหน้า จากนั้นหานเซี่ยวกั๋วก็เห็นว่าเจ้าหลวงจีนโง่นี่ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ยังคงเดินไปแบบเดิม! ปืนเขายังจี้หัวอีกฝ่าย จะให้เกียรติปืนเขาบ้างไม่ได้เรอะ? กลัวหน่อยไม่ได้รึไง?
ฟางเจิ้งเข้าไปในห้องครัว เปิดฝาหม้อ ควันขาวลอยฟุ้ง กลิ่นหอมตลบอบอวล!
จ๊อกๆ…
ฟางเจิ้งกับหานเซี่ยวกั๋วท้องร้องอีกครั้ง
หานเซี่ยวกั๋วดวงตาแดงก่ำแล้ว “นี่มันข้าวอะไร? ทำไมหอมแบบนี้? หืม? ข้าวสวยมาก!”
ฟางเจิ้งไม่สนใจ แต่หยิบชามใหญ่มาก่อนตักข้าวอย่างรวดเร็ว
หานเซี่ยวกั๋วเห็นฟางเจิ้งวางตัวแบบนี้จึงยิ้มเป็นครั้งแรก “เณร ก็พอใช้…นี่แก! นั่นข้าวฉันนะ!” ยังไม่ทันพูดชมจบฟางเจิ้งก็นั่งลงบนฐานวางเครื่องครัวก่อนเริ่มกิน!
หานเซี่ยวกั๋วตะโกน แต่ฟางเจิ้งกลับไม่หยุด ซ้ำยังกินเร็วกว่าเดิม!
หานเซี่ยวกั๋วใช้ปืนจี้หัวฟางเจิ้งพลางด่าทอ ทว่าฟางเจิ้งหมุนตัวหนี! มองข้ามปืนเขาอีกครั้ง!
หานเซี่ยวกั๋วโกรธจริงๆ แล้ว จึงยกปากปืนขึ้นจ่อหัวฟางเจิ้ง “ไอ้หลวงจีนระยำ ถ้าแกกินข้าวฉันอีกคำเดียว รับรองว่าหัวกระจุยแน่!”
ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับอย่างเฉยเมย ก่อนหายไปในสายตาของอีกฝ่าย! เขากังวลแล้ว เจ้านี่โง่รึเปล่า? ในหม้อยังมีข้าวอีก มาจ้องฉันเขม็งทำไม? ต้องยึดด้วยอำนาจถึงจะพอใจรึไง? คนอะไรกัน…
หานเซี่ยวกั๋วรีบตามออกไป แต่เห็นฟางเจิ้งเดินไปนอกประตูวัดแล้ว เขาจึงคิดจะยิงปีนอีกหลายครั้งแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็กว้างโล่ง เสียงปืนอาจจะล่อให้ตำรวจมาจริงๆ ซึ่งเขาไม่ต้องการแบบนั้น
หานเซี่ยวกั๋วตามไปก็เห็นฟางเจิ้งนั่งกินข้าวอย่างสบายใจอยู่ใต้ต้นโพธิ์
หานเซี่ยวกั๋วเพ่งมองก็โกรธจนแทบจะระเบิด “เหลือให้ฉันคำหนึ่ง!”
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้น เสียงชามกระทบกับตะเกียบดัง เขากินคำสุดท้ายไปแล้ว!
“ไอ้…ไอ้หลวงจีนระยำ แกตายซะ!” หานเซี่ยวกั๋วโมโหจริงๆ ตั้งแต่เจอกัน หลวงจีนนี่ ไม่สนใจเขา ตอนนั้นกลั้นเพลิงโทสะไว้ ตอนนี้หิวจนไม่ไหวแล้ว กลิ่นหอมข้าวก็หอม จนผิดปกติ ทำให้หนอนตะกละในท้องทะลวงออกมา! ต่อให้เขาเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกความหิวมาก่อนก็ยังรับมือกับความรู้สึกหิวที่เหมือนขยายเป็นสิบเท่านี้ไม่ได้
ฉะนั้นหานเซี่ยวกั๋วจึงคิดจะยิง
ทว่า…
แก๊ง!
เสียงดังมาจากห้องครัว
“ใคร?!” หานเซี่ยวกั๋วหมุนตัวกลับโดยพลัน ก่อนถามไปอย่างตื่นตัว
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นตอบอย่างเฉยชา “หมา”
“วัดแกเลี้ยงหมาด้วยเหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วจ้องฟางเจิ้งตาเขม็ง
ฟางเจิ้งยืนขึ้นเดินมาหาหานเซี่ยวกั๋ว อ้าปาก…
เออร์…
ฟางเจิ้งเรอออกมา กลิ่นหอมข้าวเต็มปาก หานเซี่ยวกั๋วจึงตอบสนองทันที
จ๊อก…
“แกนำทางไป!” หานเซี่ยวกั๋วทนความหิวไม่ไหว ใช้ปืนจี้หัวฟางเจิ้ง
จากนั้นเขาก็ต้องพบสิ่งที่น่าเศร้าอีกครั้ง หลวงจีนนี่เดินไป…ปลายปืนว่างอีกแล้ว! ถูกเมินอีกแล้ว!
ดีที่ฟางเจิ้งเชื่อฟังมาก นำทางไปห้องครัว หานเซี่ยวกั๋วหลบอยู่ข้างหลังฟางเจิ้งอย่างระวัง เตรียมใช้ฟางเจิ้งเป็นตัวประกันหรือเกราะกำบัง ผลจากการที่ระวังแบบนี้คือ เขาเดิน ได้ช้ามาก แถมยังบังคังให้ฟางเจิ้งเดินช้าไปด้วย…
ตอนที่ 50 ไต้ซือกับฆาตกร
อธิบดีจางพยักหน้า “ถึงวัดท่านจะเล็กแต่ก็งดงามมาก รบกวนไต้ซือแล้ว พวกเราขอตัวก่อน ถ้าเห็นคนนั้นที่ผมบอกอย่าเข้าใกล้ ให้แจ้งตำรวจก่อน พวกเราจะรีบมาทันที”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นอย่างไม่ตระหนก “อาตมาเข้าใจแล้ว เชิญ พวกโยมเถอะ”
อธิบดีจางพาคนจากไปทันที ส่วนจุดธูป? พวกเขาไม่เชื่อพุทธ จะมาจุดธูปทำไม?
พอคนพวกนี้ไปหวังโอ้วกุ้ยก็วิ่งเข้ามาถามฟางเจิ้ง “ไอ้หนู แกมั่นใจนะว่าในวัดไม่มีใคร?”
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน “อาหวัง อาตมาเหมือนคนโกหกรึไง? ไม่มีคนจริงๆ ไม่เชื่อก็ เข้าไปค้นอีกที”
หวังโอ้วกุ้ยมองฟางเจิ้งอย่างสงสัย สุดท้ายกส่ายหน้า “ไม่มีใครก็ดี แกไม่รู้เรอะ เจ้านั่นเป็นเป็นนักโทษที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่าที่โหดมาก ก่อนหน้านี้เป็นทหารรับจ้างตรงชายแดนทวีปแอฟริกา ฆ่าคนมาไม่รู้กี่คนแล้ว พอกลับประเทศมาก็กระทืบคน ปางตาย เข้าคุกไปสามปีถึงถูกปล่อยออกมาปล้นรถขนเงิน ฆ่าคนคุ้มกัน…เฮ้อ ฉันล่ะเป็นห่วงแก ถ้าไม่อย่างนั้นแกตามฉันลงเขาไปดีกว่า รอจับคนร้ายได้แล้วค่อยกลับมา”
ฟางเจิ้ง “อาหวัง ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แต่อาก็เห็นแล้วว่าวัดนี้ลำบากมาก ไม่มีข้าวของมีค่าอะไร มีแค่อาตมาคนเดียว จะมาปล้นอะไรอาตมาได้อีก? อีกอย่างขึ้นลงเขามีทางเดียว เว้นแต่อีกฝ่ายจะโง่ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางขึ้นเขามาแน่ ถ้าจะมา เขาเอกดรรชนีสู้หนีไปในเทือกเขาข้างหลังไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็ใช่…เอาเถอะ ฉันจะบอกว่าถ้าแกกลัวก็ลงเขามา” หวังโอ้วกุ้ยกำชับ สุดท้ายจู่ๆ ก็หัวเราะ “อีกอย่าง เรื่องซ่งเอ้อโก่วน่ะ แกจัดการได้ดี ตอนนี้เจ้านี่เชื่อฟังขึ้นมาก เฮอะๆ…” พูดจบหวังโอ้วกุ้ยก็ไป
“อธิบดีครับ จากเบาะแสแล้วหานเซี่ยวกั๋วขึ้นเขามา ทำไมถึงไม่เจอใครล่ะ? ผมคิดว่าพวกเราน่าจะค้นดูให้ดีๆ ก่อน” ตำรวจชั้นผู้น้อยพูดขึ้นอย่างไม่ยอม
อธิบดีจางส่ายหน้า “เสี่ยวอู๋ ยังมีเรื่องที่นายต้องเข้าใจอีก ถึงเราจะไม่เชื่อพุทธ แต่วัดเป็นแดนเงียบสงบ เขามีกฏ จะเข้าไปตามอำเภอใจไม่ได้ ถ้าจะค้นก็ต้องรอ หมายค้นก่อน…ช่วงนี้นายพาคนไปปิดล้อมเส้นทางลงเขาไว้ อีกอย่างหานเซี่ยวกั๋วเป็นทหารรับจ้าง รบตลอดปีในแอฟริกา เชี่ยวชาญการรบในป่าเขามาก เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก เขาไม่มีทางไม่รู้ว่าเขาเอกดรรชนีเป็นเขาเดี่ยวที่ขึ้นไปต้องตายแน่! ฉันเดานะ แปดส่วนเขากำลังแสร้งทำเป็นไม่รู้หลอกตบตาอ้อมเขาเอกดรรชีเข้าไปในเทือกเขาฉางไป๋ ภารกิจของเราคือ คุมสถานการณ์ไว้ รอสุนัขตำรวจมาถึงค่อยว่าอีกที”
“ครับ” อู๋ไห่พยักหน้า
ขณะกำลังวุ่นกับงานอยู่นั้น ฟางเจิ้งกำลังมองฟ้าเงียบๆ ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูง เขาหิวอยู่นานแล้วจึงเดินไปดูที่ห้องครัว ฟืนดับไปแล้ว! มิน่าหุงตั้งนานไม่มีกลิ่นหอมโชยมา…
“เฮ้อ ฉันไปทำให้ใครไม่พอใจรึเปล่านะ จะกินข้าวยังเหนื่อยขนาดนี้” ฟางเจิ้งรีบจุดไฟใหม่
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ฟางเจิ้งมองไปข้างนอก หมาป่าเดียวดายยัง ไม่กลับมา…
ด้วยความเบื่อจึงไปยืนรอใต้ต้นโพธิ์ หลายวันมานี้ต้นโพธิ์ไม่ได้ใบร่วงอย่างต้นอื่นเขาที่ผ่านหน้าหนาว แต่กลับแตกใบสีเขียว มีแนวโน้มที่จะเขียวชอุ่มมากขึ้นหลายส่วน
ฟางเจิ้งเงยหน้ามองต้นโพธิ์พลางพูดเบาๆ “ต้นโพธิ์เอ้ย แกเป็นต้นโพธิ์หรือต้นองุ่นกันแน่? ทำไมถึงโง่ขนาดนี้? จะตายก็ไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้มั้ง? อืม วันนี้พระจันทร์สวย แต่ก็กินไม่ได้ ทำเอาอาตมาหิวจะแย่เลย”
บนต้นโพธิ์แขวนดวงจันทร์ใหญ่สีเงินดวงหนึ่ง ใต้ต้นโพธิ์มีนักบวชสง่าสวมชุดขาวกว่าหิมะยืนอยู่ พูดพึมพำกับตัวเอง ภาพนี้กลมกลืนกันดี สวยงาม ราวกับภาพวาดเลิศล้ำ
ทว่า…
“อย่าขยับ!” ตอนนี้เองมีเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำดังแว่วมาจากข้างหลัง มีคนหน้า หน้าเป็นตัว国 คิ้วหนา ดวงตาเล็กริมฝีปากหนา นั่นคือหานเซี่ยวกั๋วฆาตกรที่อธิบดีจางเอ่ยถึง!
ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วตึงเครียดเล็กน้อย จับปืนในมือไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วย เส้นเลือดฝอย ทั้งตัวดูเหนื่อยล้ามาก ขณะเดียวกันก็ตื่นตัวในระดับสูง
“อมิตพุทธ โยม ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง[1]” ฟางเจิ้งไม่หันมามองก็รับรู้ถึงความตึงเครียดได้จากลมหายใจอีกฝ่าย แต่เขาไม่ตระหนกแม้แต่น้อย ยังยืนอย่างสงบนิ่ง หันหลังให้อีกฝ่าย
“เณร อย่าพูดจาไร้สาระหน่า! บอกมาว่าแกมีของกินกับน้ำไหม?” หานเซี่ยวกั๋วหนีมาหนึ่งวัน ด้วยความขัดสนต้องทนทั้งหิวและหนาวจึงเข้ามาหาของกินที่วัด ก็เจอกับฟางเจิ้งที่กำลังเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์พอดีจึงลงมือ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ที่แท้โยมก็หิวนี่เอง อาตมาย่อมมีของกิน แต่โยมถามทำไมเหรอ?” ฟางเจิ้งแสร้งถาม ขณะเดียวกันก็กำลังตรึกตรองว่าจะหาโอกาสทุบให้เจ้านี่หมดสติแล้วส่งให้ตำรวจดีไหม
แต่ว่า…
“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร พาคนข้ามฝั่งเพื่อความดีคือบุญกุศล หากให้คนกลับฟากฝั่งได้จะเป็นบุญกุศลที่ใหญ่ยิ่งกว่า!”
บุญกุศลครั้งใหญ่? ฟางเจิ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ช่วยคนเหนือกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ให้เขาจับรางวัลหนึ่งครั้ง เช่นนั้นบุญกุศลครั้งใหญ่ที่ช่วยคนกลับฟากฝั่งจะเป็นอะไร? ฟางเจิ้งจึงถาม “ระบบ บุญกุศลนี่มันยังไงเหรอ?”
“บุญกุศลคือ ระบบประเมิณที่จะประเมิณระดับการจับรางวัลของนาย ยิ่งเรื่องที่นายทำมีบุญกุศลที่ใหญ่เท่าไหร่ โอกาสที่จะจับได้ของดีก็จะมากขึ้นเท่านั้น ทุกครั้งที่จับรางวัลจะมีของให้จับเล็กน้อย เดิมทีของพวกนี้จะมีการแบ่งตามระบบ อย่างป้ายวัดของนาย เพราะมันเป็นรางวัลในการทำความสะอาดวัดจึงเป็นบุญกุศลที่ต่ำที่สุด เป็นเพียงป้ายวัดธรรมดาๆ ความสามารถทั่วไป
นายช่วยคนก็ได้จีวรขาวจันทร์ นั่นคือ สมบัติที่พระอาจารย์ถึงจะมีได้
ดังนั้นแล้วยิ่งบุญกุศลสูงเท่าไหร่ ระดับของที่จะจับได้ก็ยิ่งสูงเท่านั้น ช่วยคนน่ะง่าย แต่การโน้มน้าวให้คนเป็นคนดียาก นี่คือบุญกุศล ฆ่าคนง่าย ช่วยคนยาก บุญกุศลช่วยคนจึงสูงกว่า โน้มน้าวให้คนเป็นคนดีง่าย แต่ให้คนชั่วกลับเป็นคนดียาก เลยเป็นบุญกุศล ครั้งใหญ่”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นดวงตาเปล่งประกาย! บุญกุศลที่ส่งมาถึงปากแบบนี้จะไม่รับได้ไง? เขาอยากรู้มากว่าบุญกุศลครั้งใหญ่นี้จะจับสมบัติอะไรออกมาได้! ในเวลาเดียวกันฟางเจิ้งขบคิดอย่างหนัก นึกย้อนไปถึงละครโทรทัศน์ในความทรงจำหรือในนิยายว่าไต้ซือในนั้นเปลี่ยนนิสัยปีศาจอย่างไร จากนั้นวางแผนในใจ ถึงไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ไหม แต่ก็ใช้ไปก่อนชั่วคราว
หานเซี่ยวกั๋วแทบจะตรงเข้ามาตบหน้าฟางเจิ้งเพราะน้ำเสียงอีกฝ่าย ซ้ำยังด่าทอ “เณร ผิวพรรณก็ขาวสะอาดดี แต่ทำไมสมองกลับโง่แบบนี้? ฉันถามข้าวก็ต้องจะกินข้าวสิ!”
“แล้วทำไมอาตมาต้องให้ข้าวโยม? ถ้าโยมหิวก็ลงเขาไปกินข้าว วันนี้อากาศยังดี รีบไปเถอะยังมีข้าวให้กินอยู่” ฟางเจิ้งใช้วิธีแรก จงใจแสร้งเป็นคนสูงส่ง! ให้อีกฝ่ายยอมต่อเหตุผล ให้เชื่อฟัง
“กะ…แกโง่รึเปล่าเนี่ย?” หานเซี่ยวกั๋วพูดขึ้นด้วยความโกรธ
……………………….
[1] ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง คือ ถ้าสำนึกก็กลับใจเสียใหม่ได้
ตอนที่ 49 คำเดียวจุดชนวนความวุ่นวาย
ขณะเดียวกันยังแนบรูปภาพที่เขาคิดว่าหล่อมาด้วย ข้างๆ หมอนวางกระดาษทิชชู่ หนึ่งม้วน บนพื้นยังมีมากกว่า…
ถึงฟางเจิ้งจะไม่มีความรู้ แต่ก็เข้าใจความเร้นลับในนั้น จึงถามไป “อมิตพุทธ โยมไม่ต้องกังวล ให้ใส่ใจเรื่องได้รับเชื้ออสุจิ!”
เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งใช้มือถือสมรรถนะสูงแบบนี้ ใช้มือไถก็ส่งได้แล้ว! พบว่าเขียนผิด ยังไม่ทันแก้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงจอแจดังมาจากข้างนอก ทั้งยังมีเสียงคนเรียก เขาจึงรีบออกไป…
ขณะเดียวกัน ในห้องเรียนใหญ่สาขาพลศึกษามหาวิทยาลัยจี๋หลิน อาจารย์หญิง วัยกลางคนคนหนึ่งกำลังสอนวิชากายภาพร่างกาย ด้านบนขยายภาพโครงสร้างร่างกายคนสองภาพ นักศึกษาหญิงหลายคนมองจนหน้าแดง
ส่วนักศึกษาชายก็มีสีหน้าเฉยเมย รูปพวกนี้แย่กว่ารูปที่พวกเขาซ่อนไว้มาก! ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น!…
ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังเบื่ออยู่นั้น พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น
“เวร! ทำไมไต้ซือถึงไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้?”
“นักเรียนคนนั้นน่ะ เธอพูดอะไร?” อาจารย์หญิงข้างหน้าจ้องจ้าวต้าถงด้วยความโมโห เล่นมือถือในคาบเธอ เธอรับได้ แต่มาเสียงดังแถมยังด่าอีกมันเกินไปแล้ว! เธอจึงโกรธมาก!
จ้าวต้าถงรีบยืนขึ้นขอโทษ “ขอโทษครับอาจารย์ เมื่อกี้ผมฝันร้ายน่ะ”
ใครก็รู้ว่าเจ้านี่ไม่ได้หลับ แต่ถือว่ามีเสต็ปไม่เลว อาจารย์หญิงเห็นจ้าวต้าถงแสดงความขอโทษอย่างจริงใจแล้วถึงลดความโกรธลง “ตั้งใจเรียนเถอะ”
“ครับๆๆ…” จ้าวต้าถงพยักหน้ารัวๆ
แต่เมื่อจ้าวต้าถงนั่งลง หูหานข้างๆ เอ่ยขึ้น “เวร! ทำไมไต้ซือใช้คำพูดแรงแบบนี้ล่ะ?!”
“แกนี่มัน แอบดูมือถือฉันอีก!” จ้าวต้าถงร้อนรนแล้ว
จากนั้น…
“พวกเธอสองคนออกไป!” ในที่สุดอาจารย์หญิงก็เคลื่อนไหว เธอตะโกนเสียงดัง จ้าวต้าถงกับหูหานจึงต้องออกไปอย่างหงอยเหงา
ส่วนจะให้ยืนทำโทษเหรอ? สองคนนี้ไม่ทำ แต่วิ่งหนีไปทันที
“ต้าถง นายเป็นอะไรกับไต้ซือกันแน่? พวกนาย…นายเจ็บก้นไหม?” หูหานยิ้มชั่วร้าย
“ไสหัวไป!” จ้าวต้าถงด่าทอด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็กังวลในใจ เขาไม่มีแรง แต่ก็ไม่ต้องรับเชื้ออสุจิก็ได้มั้ง? อีกอย่างมันคนละเรื่องกับที่เขาหมดแรงเลย…
“ต้าถง นายอย่าโกรธเลย ฉันว่านะนายลองคิดดูสิ ทำไงถึงแก้ปัญหาเรื่องได้รับเชื้ออสุจิได้น่ะ บอกให้นะ ฉันไม่ให้ของฉันแน่…” พูดจบหูหานก็วิ่งหนีไป
จ้าวต้าถงโกรธจนตับจะระเบิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงกลับไปอย่างเศร้าซึม
แต่ปากหูหานไม่มีหูรูด เขาบอกกับหม่าเจวียน หม่าเจวียนบอกกับฟางอวิ๋นจิ้ง ดีที่ฟางอวิ๋นจิ้งปิดปากสนิท ไม่ได้บอกใคร แต่เขียนบันทึกประจำวันไว้บทหนึ่งเงียบๆ แต่กลับลืมเปลี่ยนการมองเห็น
ฟางอวิ๋นจิ้งเป็นผู้หญิงสวยในแบบอย่าง มีคนจีบมากมาย เมื่อลงบันทึกประจำวันไปแล้ว ผู้ชายที่ตามจีบกลุ่มหนึ่งจึงเข้ามาอ่านในวินาทีแรก จากนั้นจ้าวต้าถงก็นั่งยองอยู่ในห้อง เป็นตายยังไงก็ไม่ออกไปแล้ว ทั้งยังมีคนเรียกอยู่หน้าประตูห้องตลอดเวลา “ต้าถง จะเอาน้ำอสุจิเหรอ? นี่มีของใหม่เลย!”
“ไสหัวไปให้พ้น!” จ้าวต้าถงตะโกนเสียงดัง…
จ้าวต้าถงอยากจะร้องไห้จริงๆ แต่ไม่รู้ควรจะอธิบายยังไง จึงส่งข้อความไปหา ฟางเจิ้งอีกว่าได้รับเชื้ออสุจิหมายความว่ายังไงกันแน่?
แต่ฟางเจิ้งไม่ออนไลน์…จ้าวต้าถึงมองฟ้า น้ำตานอง คงผ่านวันนี้ไปไม่ได้แล้ว! ถึงเขาอยากมีชื่อเสียง แต่ไม่คิดว่าจะมีชื่อแบบนี้! จากนี้ไปจะนัดกับสาวยังไงเนี่ย?
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าการพิมพ์ผิดสองตัวสร้างความฉงนแก่จ้าวต้าถงขนาดไหน
ฟางเจิ้งออกออกจากประตูวัดก็เห็นตำรวจมากันในวัดไม่น้อย และยังมีตำรวจติดอาวุธครบมือ มีท่าทีพร้อมรบ ขณะเดียวกันหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วก็อยู่ในนั้น กระทั่ง ซ่งเอ้อโก่วก็อยู่!
“ฟางเจิ้ง แกมาพอดีเลย รีบมานี่ จะแนะนำคนให้รู้จัก ท่านนี้คือเพื่อนที่มาจากในอำเภอ อธิบดีจาง อธิบดีจางนี่เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ไต้ซือฟางเจิ้ง” หวังโอ้วกุ้ยรีบพูดแนะนำ
อธิบดีจางดูหลักแหลมและแข็งแรงมาก ชุดตำรวจเหยียดตรงทำให้เขาแผ่ความน่าเกรงขามของผู้บังคับบัญชาออกมา ใบหน้าเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ถือว่า แข็งกระด้าง
ฟางเจิ้งประนมมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ พวกโยมมาวัดอาตมามีเรื่องอะไรกัน?”
“เณร เร็วๆ นี้วัดเณรมีคนแปลกหน้ามารึเปล่า?” ตำรวจหนุ่มข้างหลังอธิบดีจางถามขึ้นอย่างรำคาญ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่มี”
“เณร พวกเราไม่เชื่อหรอกนะ เพื่อความสะดวก พวกเราขอค้นวัดหน่อย ขอเชิญหลีกทางด้วย” ตำรวจคนนั้นกล่าว
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้! วัดเป็นแดนเงียบสงบ ไม่สะดวกให้ค้นจริงๆ”
“เณร เณรรู้ไหมว่าพวกเรามาหาใคร? นั่นเป็นฆาตกรปล้นรถขนเงิน มีปืนด้วย! พวกเราค้นแล้วจะได้มั่นใจว่าเณรปลอดภัย ถ้าพวกเราไปกันเลยเณรจะเป็นอันตรายได้” ตำรวจหนุ่มพูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขาไม่เชื่อเรื่องพุทธ ไม่เชื่อสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกเหล่านี้ เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้เณรตรงหน้ากลัว คิดไว้ว่าพออีกฝ่ายกลัวแล้วจะยังสงบแบบนี้อีกไหม แล้วก็จะได้ค้นสักที
แต่ฟางเจิ้งยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเฉยเมย “ไม่ได้”
“ณะ…”
“เณรอะไร? ไม่ได้ยินผู้ใหญ่บ้านบอกเหรอ? นี่คือไต้ซือ เป็นเจ้าอาวาส ระวังหน่อย” อธิบดีจางต่อว่าตำรวจคนนั้น จากนั้นยิ้มอย่างอบอุ่นเล็กน้อย “ไต้ซือ อย่าถือสาเลยนะ คือ อย่างนี้ตีนเขาเกิดเรื่องใหญ่ มีคนปล้นรถขนเงินแถมยังฆ่าคนคุ้มกันส่งเงินอีก ตามรายงานแล้วเขาน่าจะมาที่นี่ ดังนั้นพวกเราเลยขึ้นเขาออกค้นหา เขาชื่อว่า หานเซี่ยวกั๋ว ใบหน้าเป็นรูปตัว国 คิ้วหนา ตาเล็ก ก่อนหน้านี้เคยเป็นทหารรับจ้างระหว่างประเทศ มีฝีมือดี ฆ่าคนจนเฉยชา ถ้าสะดวก พวกเราอยากค้น….เอ่อ อยากเยี่ยมชมวัดสักหน่อย”
นี่คือการให้เกียรติอีกฝ่าย มิหนำซ้ำอธิบดีจางยังพูดและกระทำตรงจุดจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็มาจัดการคดี ต้องค้นจริงๆ ฟางเจิ้งก็ขวางไม่ได้ อีกอย่างการเยี่ยมชมกับค้นเป็นคนละเรื่องกันเลย มีพระโพธิสัตว์ที่ใดบ้างที่ไม่ต้อนรับคน? ค้นเป็นการรบกวน เยี่ยมชมก็ต้องได้รับการต้อนรับ ย่อมต่างกัน ขณะเดียวกันฟางเจิ้งยังมองตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นอย่างดูถูก มิน่าเขาถึงได้เป็นแค่ชั้นผู้น้อย ดูหัวหน้าซะบ้างจะได้พูดเก่งๆ!
ฟางเจิ้งพยักหน้า “โยม เชิญ!”
อธิบดีจางยิ้มพอใจ หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วข้างๆ ถอนหายใจโล่งอก พวกเขากลัวจริงๆ ว่าสองฝ่ายจะทะเลาะกัน ถ้าอย่างนั้นก็คงจบไม่สวย
ฟางเจิ้งพาอธิบดีจางรวมถึงตำรวจติดอาวุธเข้าไปในอุโบสถ จากนั้นเดินวนในวัดหนึ่งรอบถึงไปข้างหลัง สำรวจห้องครัว ห้องน้ำ กุฏิ ทุกคนถึงถอยไป
“อมิตพุทธ พวกโยม วัดอาตมาแคบและเล็ก ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีที่อื่นให้เยี่ยมชมแล้วล่ะ” ฟางเจิ้งพูด
ตอนที่ 48 เจ้าอาวาสลวงครั้งใหญ่
ฟางเจิ้งก็ไม่หวังให้เขาเชื่อพุทธ คิดแค่ว่าวันหลังจะให้เขาเปลี่ยนนิสัยเสีย แต่ดันมาถามความรู้เขาเลยลำบากฟางเจิ้งแล้ว แต่ก็ยังดีที่ซ่งเอ้อโก่วไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน! พูดยังไงไปก็ไม่รู้เรื่อง? ดังนั้นเลยพูดตามความคิดไป “ตำรากล่าวว่าฆ่าคนก็ทดแทน ด้วยชีวิต สัจธรรมและความถูกต้องไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
ซ่งเอ้อโก่วจะร้องไห้อีกครั้ง
ฟางเจิ้งพูดต่อ “แต่ว่ากฏหมายก็ยังโยงถึงอารมณ์ความรู้สึกคนด้วย ถ้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าก็ผ่อนเบาลงได้ เหมือนอย่างโยม อย่างหนักก็ติดคุก”
“อ๊า…ฮือๆๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วเริ่มร้องไห้
ฟางเจิ้งเงียบไปรอเขาร้องไห้
“ฟางเจิ้งแกพูดต่อสิ จะหยุดทำไม? ฮือๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วร้องไห้พลางต่อว่าติดๆ ขัดๆ
ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ โยมร้องไห้เสียงดังขนาดนี้ อาตมาเสียงดังไม่เท่าโยมนะ ให้โยมร้องไห้ก่อน ร้องจนพอแล้วเราค่อยคุยกัน แต่หมู่บ้านแจ้งตำรวจแล้ว ตำรวจอาจจะขึ้นเขามา ถ้ายังไม่แก้ปัญญาเรื่องนี้ก่อนพวกเขามา อืม…”
“ฉันไม่ร้องแล้ว! ฉันไม่ร้องแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วหุบปากทันที
ฟางเจิ้ง “ดีมาก อย่างนั้นก็ฟังต่อ สภาพการณ์ของโยมนี้อย่างเบาก็ไม่ต้องตัดสินลงโทษ แค่จ่ายค่าปรับนิดหน่อยก็พอ”
“หา? ขนาดนั้นเลย?” ซ่งเอ้อโก่วเบิกตากลมโต ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็นึกถึงปัญหาที่หนักหนา เขาขี้เกียจมาก ที่บ้านก็จนเหลือหม้อแค่ใบเดียว ชดใช้ด้วยเงินไม่ได้! ดังนั้นเลยถาม “ฉันไม่มีเงินทำยังไงล่ะ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ไม่ยาก ไม่มีเงินก็ติดคุก!”
“มะ…ไม่…ไม่ได้ ฟางเจิ้ง อา…อาขอร้องล่ะ แกช่วยคิดหาวิธีอื่นเถอะ คิดดีๆ อาจะเลี้ยงไก่แก! เอ่อ…แกบวชนี่กินไก่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นไข่ไก่ล่ะ?” ซ่งเอ้อโก่วอ้อนวอนทั้งยังติดสินบน
ต่อให้ฟางเจิ้งปราบเจ้านี่ได้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มองว่านักบวชมีความรู้สูงส่งนัก ในเมื่อไร้ความรู้แบบนี้ เขาก็จะลวงหลอกต่อไป “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือทำงานชดใช้ค่าปรับ!”
“ทำงานชดใช้ค่าปรับ? แล้วมันลงโทษยังไง?” ซ่งเอ้อโก่วถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้ง “ง่ายมาก หมู่บ้านต้องออกหน้ารับรองให้โยมว่าจะหาเงินในระยะเวลาแค่ไหน ช่วงเวลานี้โยมต้องทำงานให้หมู่บ้าน หมู่บ้านจ่ายเงินให้โยม ได้รับการอภัย โยมทำได้ดี ก็จะยิ่งได้รับการอภัย กลับกันหากยังขโมย ขี้เกียจ คนในหมู่บ้านไม่ชอบใจ โยมก็คงได้แต่นอนในคุก”
“หา…หา? ทำงานให้หมู่บ้าน? นี่…” ซ่งเอ้อโก่วลังเลเล็กน้อย เพราะเขาขี้เกียจจริงๆ!
ฟางเจิ้งหน้ามืดครึ้มลง “ทำงานหรือนอนคุก โยมเลือกเอาเอง ถ้าจะทำงานอาตมาจะช่วยโยมขอกับผู้ใหญ่บ้านและเลขาให้ ให้พวกเขาออกหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยบุญกุศลในอดีตของโยมแล้ว เดาว่าพวกเขาคงอยากให้โยมเข้าไปในนั้นเร็วๆ”
“ฉะ…ฉันไม่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อนเลยนะ…” ซ่งเอ้อโก่วพูดขึ้นด้วยใจฝ่อ
ฟางเจิ้งหัวเราะ “มีปีไหนบ้างที่โยมไม่สร้างความเสียหายกับพวกไก่ในหมู่บ้าน?”
ซ่งเอ้อโก่วเก้อเขิน…
ฟางเจิ้งพลันจริงจังขึ้นมา ตะคอกถาม “ตกลงจะทำหรือไม่ทำ? ไม่ทำก็รอติดคุก ถ้าจะทำก็ลงเขาตอนนี้!”
“ทำ…ไม่ทำ…โถ่…ถ้าอย่างนั้นแกต้องรับปากนะว่าฉันจะไม่เป็นอะไร ถ้าลงเขาไปแล้วยังติดคุก ฉันไม่ลงหรอก!” ซ่งเอ้อโก่วร้อง
ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ถึงโยมจะลงเขาไป หากโยมติดคุก อาตมาจะติดคุกเป็นเพื่อน ว่ายังไง?”
“พูดจริงเหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วเชื่อคำพูดฟางเจิ้ง เพราะไต้ซือหนึ่งนิ้วพูดน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ฟางเจิ้งยังเด็กจนเติบใหญ่ ถึงจะซุกซนแต่ก็พูดจริงทำจริงมาตลอด แม้ในใจยังหวาดกลัว แต่ตอนนี้มาถึงทางตันแล้ว ภูเขาเอกดรรชนีมีทางเดียว ที่อื่นเป็นหน้าผา หากในหมู่บ้านแจ้งตำรวจ ตอนนี้ตำรวจจะต้องปิดล้อมภูเขาไว้แล้วแน่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ฟางเจิ้ง “จริง!”
“ได้ ฉันเชื่อแก!” ซ่งเอ้อโก่วกัดฟัน
ฟางเจิ้งจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับส่งให้ซ่งเอ้อโก่วทันที “โยมห้ามอ่านจดหมายนี้ เอาไปให้ผู้ใหญ่บ้านกับเลขา พวกเขาอ่านแล้วจะช่วยโยม”
ซ่งเอ้อโก่วรับจดหมายด้วยความสงสัย ก่อนพยักหน้าแล้วลงเขาไป
ฟางเจิ้งเห็นซ่งเอ้อโก่วไปแล้วก็รีบหยิบมือถือออกมา โทรไปหาผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยกับเลขาถานจวี่กั๋ว บอกแผนการของเขา
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะซ้ำด่าทอ “เจ้าเด็กนี่ลูกเล่นเยอะจริงๆ ได้ ฉันอยากเล่นไอ้ซ่งเอ้อโก่วมานานแล้ว ถ้าครั้งนี้เปลี่ยนให้เขาซื่อสัตย์ได้ ฉันจะจดจำความดีของแกครั้งนี้ไว้! วางใจ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”
ในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วย่อมอยู่ หวังโอ้วกุ้ยคุยกับถานจวี่กั๋ว สองคนต่างหัวเราะ กระทั่งยังดึงตำรวจมาร่วมมือด้วย
ส่วนซ่งเอ้อโก่วออกจากวัดแล้วจะฟังฟางเจิ้งได้หรือ?
เขาหาที่ที่ไม่มีคนหยิบจดหมายออกมาดู เขากลัวจริงๆ ว่าฟางเจิ้งจะวางกับดักขายเขา!
เนื้อหาข้างในเหมือนกับที่ฟางเจิ้งพูดกับเขาทุกประการ รับรองเขาจริงๆ เห็น ฟางเจิ้งสาบานอย่างหนักแน่นว่าหากซ่งเอ้อโก่วเข้าคุก เขาจะเข้าไปด้วย ซ่งเอ้อโก่วซาบซึ้งจนแทบจะร้องไห้ พูดพึมพำ “ฟางเจิ้ง แกเป็นเด็กดีจริงๆ! ก่อนหน้านี้ อาขอโทษนะ พูดจาถึงแกไม่ดีทั้งนั้น จากนี้ไปจะดีกับแกแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วพูดจบก็เก็บจดหมายอย่างระวัง ก่อนก้าวเท้ายาววิ่งลงเขาไป
“ระบบ แบบนี้ถือว่าไม่ผิดศีลใช่ไหม?” ฟางเจิ้งกังวลจริงๆ ถึงยังไงครั้งนี้เขาก็โกหกไปไม่น้อย
“ติ๊ง! อมิตพุทธ พระพุทธองค์ไม่สนับสนุนการโกหก การหลอกถือเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ถ้าหยั่งลงไปถึงแก่นก็ยังทำเพื่อเหนี่ยวนำคนสู่ความดี การกระทำของนายเหนี่ยวนำคนไปสู่ความดี ในเนื้อแท้แล้วถือว่าเป็นเรื่องดี คำโกหกเจตนาดีไม่ถือว่าผิดศีล ถ้าไม่อย่างนั้นนายคงถูกฟ้าผ่าไปนานแล้ว” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวกันก็เข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าระบบโพธิสัตว์ต่างกับหลวงจีนหัวโบราณ เขาแสวงหาความดีจากเนื้อแท้มากกว่า ไม่ใช่การต่อสู้ภายนอก เขาเลยวางใจ…
ซ่งเอ้อโก่วไปแล้ว ฟางเจิ้งกำลังจัดเก็บอุโบสถ ทำความสะอาดถึงกลับเข้าวัด ดูน้ำในโอ่งพุทธแล้วก็อาบน้ำ ทำอาหาร ดื่มน้ำ ใช้น้ำหมดไปมากกว่าครึ่ง จึงแบกถังน้ำลงเขาไปตักน้ำ ส่วนหมาป่าเดียวดายไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เขาก็ขี้เกียจจะสนใจ
วิ่งไปวิ่งกลับหลายรอบในที่สุดก็เติมน้ำเต็มโอ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นพอดี
“เวียนหัว แรงสมองไม่พอแล้ว ลืมกินข้าวกลางวันซะได้!” ฟางเจิ้งลูบท้อง ตอนนี้หิวมากจริงๆ!
เขารีบไปที่ห้องครัว ล้างหม้อ ใส่ข้าว ใส่น้ำ จุดไฟ! ข้าวผลึกสะอาดมากเลยไม่ต้องซาวข้าว จึงสะดวกมากๆ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จฟางเจิ้งหยิบมือถือออกมา นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กในลาน เข้าอินเทอร์เน็ตอย่างสบายใจ
ฟางอวิ๋นจิ้งยังไม่ออนไลน์ แต่จ้าวต้าถงฝากข้อความไว้ให้เขา “ไต้ซือ เร็วๆ นี้ผมมักรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอ ไม่มีสมาธิ ไม่ตื่นตอนเช้า แบบนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
ตอนที่ 47 ไร้ปัญญาน่ากลัวจริงๆ
หม่าเจวียนยิ้มเฝื่อน “ฉันไม่เห็นว่าไต้ซือจะมีเรื่องสมเหตุสมผลอะไรเลย เธอเคยเห็นคนคุยกับหมาป่าได้ไหมล่ะ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งเงียบ สองคนปรึกษากันว่าจะไม่บอกคนอื่น ถือว่าไม่รู้ไป แต่ว่าก็ยังต้องศึกษาวิธีบีบอัดรูปนี้ ถ้าศึกษาได้บ้าง ไม่แน่ว่าสองคนอาจไม่ต้องกลุ้มใจไปชั่วชีวิต
ขณะเดียวกันฟางอวิ๋นจิ้งถามฟางเจิ้งอย่างระมัดระวัง “ไต้ซือ ท่านใช้มือถือถ่ายภาพนี้เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าภาพของเขามหัศจรรย์ขนาดนั้นจึงตอบกลับทันที “ใช่ ใช้มือถือที่ พวกโยมส่งมาให้ ทำไมเหรอ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งพูด “ไต้ซือ ภาพที่ถ่ายมาชัดจนน่าตกใจเลย ฉันคิดว่าจากนี้ท่านพยายามอย่าส่งภาพให้คนอื่นหรืออย่าส่งภาพเดิมนะคะ”
ฟางเจิ้งอึ้งไปก่อนจัดการในมือถือ พอขยายภาพแล้วก็ยังชัดจนน่าตกใจจริงๆ ไม่มีทางที่มือถือสมัยนี้จะทำได้ เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว ยันต์ปลุกเสก!
‘ของดี ยันต์ปลุกเสกเสริมความสามารถของสมัยใหม่ได้ด้วย…’ ฟางเจิ้งพูดชมในใจ
“ติ๊ง! ของสมัยใหม่กับของปกติในสายตาพระพุทธองค์แล้วล้วนเป็นของเหมือนกัน ทำไมจะเสริมความสามารถไม่ได้?”
ฟางเจิ้งหมดคำพูดจะตอบ…
ฟางเจิ้งคุยกับฟางอวิ๋นจิ้งอีกสองประโยคแล้วฟางอวิ๋นจิ้งก็ต้องไปทำธุระอื่น ฟางเจิ้งจึงเก็บมือถือแล้วกลับวัด พอมาถึงประตูเขาตะลึงงัน มีคนอยู่หน้าประตู!
“โยมหูทั่น กลับมาทำไมล่ะ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไต้ซือ ผมมาแจ้งกับท่านโดยเฉพาะเลย มีฆาตกรอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน ท่านต้องระวังตัว” หูทั่นกล่าว
ฟางเจิ้งเห็นหูทั่นหอบหายใจแรงก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดี รู้จักตอบแทนคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ขึ้นมาอย่างสุดชีวิตแบบนี้ เขาจึงยิ้มตอบ “อมิตพุทธ โยมใจพระจริงๆ วันหลังจะต้องร่ำรวยแน่นอน นั่งพักก่อนเถอะ อาตมาจะไปตักน้ำมาให้”
หูทั่นก็หิวน้ำเหมือนกันเลยกินไปสองชามใหญ่ติดๆ ถึงพ่นลมหายใจยาว “สบาย! ไต้ซือ ทำไมน้ำที่อร่อยจัง? ผมดื่มน้ำพุข้างล่างไปหลายอึกเทียบกับน้ำนี่ไม่ได้เลย!”
ในที่สุดหูทั่นก็เห็นถึงความต่าง ความรู้สึกเซลล์ทั่วร่างโห่ร้องด้วยความยินดีทำให้สบายไปทั้งตัว
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “น้ำปกตินี่แหละ โยมคิดมากไปแล้ว”
หูทั่นก็คิดแบบนั้น อาจจะเหนื่อยเกินไป พอดื่มน้ำเลยรู้สึกอร่อย “ไต้ซือ ท่านปิดประตูวัดเถอะ พวกเราแจ้งตำรวจแล้ว อีกเดี๋ยวตำรวจคงจะมา รอจับคนร้ายได้ท่านค่อย เปิดประตูก็ยังไม่สาย”
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “อมิตพุทธ อาตมายากจน ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก คนร้ายนั่นมาจะเอาอะไรไปได้? โยมเถอะ รีบลงเขาไปดีกว่า”
“ผมก็ควรไปแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไต้ซือ ฟังผมนะ จะต้องระวังไว้ พอกลับไปถึงแล้วผมจะโทรหา! เฮ้ย ทำไมผมโง่แบบนี้นะ มีเบอร์ไต้ซือแล้วจะขึ้นมาทำไม…เฮ้อ…” หูทั่นตบหน้าผากก่อนลงเขาไป
รอจนหูทั่นไปแล้ว ฟางเจิ้งก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา หมุนตัวกลับเอ่ยขึ้น “โยมออกมาเถอะ”
ฟางเจิ้งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากในอุโบสถข้างหลัง
ฟางเจิ้งกังวลแล้ว คนร้ายที่เห็นในเนตรสวรรค์ร่างกำยำเหี้ยมโหด ทำไมถึงเดินเบานักล่ะ?
พอหันกลับไปฟางเจิ้งก็อึ้งงัน “อาซ่งเอ้อ?”
คนที่มาคือซ่งเอ้อโก่ว! ซ่งเอ้อโก่ววิ่งออกจากหมู่บ้าน ด้วยความตระหนักไม่มีทางเลือกจึงขึ้นเขาเอกดรรชนี สุดท้ายมาถึงวัด คิดจะซ่อนตัว ตอนนี้เขามองฟางเจิ้งอย่างขมขื่น “ฟางเจิ้ง ฉันเอง…เอ่อ…เมื่อกี้นี้ฉันไม่ได้ยินที่พวกแกคุยกันนะ แต่ได้ยินเสียงแปลกๆ ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งเข้าใจซ่งเอ้อโก่วมาก ชื่อเดิมเขาคือ ซ่งเปิ่นชิง เป็นชื่อที่มีศิลปะมาก แต่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนนิสัยสุนัข ลักเล็กขโมยน้อย พูดจาลับหลัง เอ้อระเหยลอยชายไปมาคือสัญลักษณ์ของเขา ดังนั้นทุกคนเลยตั้งฉายาให้ว่าซ่งเอ้อโก่ว(สุนัขสองหัว)
ซ่งเอ้อโก่วมีนิสัยไม่ได้เลวร้าย แต่ชอบละโมบ พูดจาเหลวไหล ตอนนี้หนีมาที่วัด ฟางเจิ้งนึกไปถึงเรื่องราวที่เห็นในเนตรสวรรค์ก็เข้าใจทันทีว่าคนที่ขวางรถมีแปดส่วนที่จะเป็นซ่งเอ้อโก่ว! ส่วนขวางทำไม เขาคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจ
ฟางเจิ้งจึงพูดขึ้นอย่างหลักแหลม “เป็นเพื่อนใต้ภูเขา เหมือนว่าจะเกิดเรื่องที่ตีนเขา พวกเขาแจ้งตำรวจแล้ว เลยมาเตือนอาตมาว่าให้ระวังตัว โยมล่ะ? ทำไมถึงขึ้นเขามา? ถ้าอาตมาจำไม่ผิดโยมไม่เชื่อพระพุทธนี่”
ซ่งเอ้อโก่วมีสีหน้าขมขื่น ในใจยังวิตก ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี กลั้นใจอยู่นาน ก็กระทืบเท้าหมุนตัวกลับคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม เอาหัวโขกพื้นดังโป๊กๆ โขกไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง “ฉันผิดไปแล้ว ฉันฆ่าคน…แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…ฉันแค่อยากรู้ว่าของที่พนักงานส่งด่วนนั่นมาส่งให้แกเป็นอะไร ฮือๆๆ…”
ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงเลยว่าซ่งเอ้อโก่วที่ปกติไม่กลัวฟ้าดินจะเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่รีบร้อนเข้าไปดึงซ่งเอ้อโก่ว คนนี้มีนิสัยไม่ได้เลวร้าย แต่มีข้อเสียมากไปหน่อย ทำให้หมู่บ้านวุ่นวายไม่เป็นสุข เขากำลังตรึกตรองว่าจะอาศัยโอกาสตอนนี้จัดการเจ้านี่ดีหรือไม่ เปลี่ยนนิสัยสักหน่อย
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเดินเข้าไป ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเอ้อโก่วเงียบๆ
ซ่งเอ้อโก่วโขกจนหัวแตกถึงหยุด นั่งทับน่อง มองฟางเจิ้งด้วยความเศร้า “ฟางเจิ้ง แกว่าฉันจะทำยังไงดี? ฉันฆ่าคน…”
ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ โยมซ่ง โบราณเขาว่าฆ่าคนก็ต้องคืนด้วยชีวิต”
“อ๊าก…ฮือๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วได้ยินว่าต้องคืนชีวิตก็ร้องไห้ฟูมฟาย ดูแล้วตกใจกลัวจริงๆ
ฟางเจิ้งยังไม่ห้ามซ่งเอ้อโก่ว รอจนซ่งเอ้อโก่วร้องไห้จนเหนื่อยแล้วถึงว่าต่อ “แต่ว่าพุทธศาสนามีเมตตา มักจะให้โอกาสคนแก้ตัวเสมอ”
“หา? โอกาสแก้ตัว? แต่ว่า…ฉะ…ฉันฆ่าคนไปแล้ว ไม่ได้ง่ายเหมือนขโมยของเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย นี่เป็นเรื่องผิดกฏหมาย ถูกจับได้ยังไงก็ต้องถูกยิงเป้า” ซ่งเอ้อโก่วสิ้นหวังแล้ว พอได้ยินฟางเจิ้งพูดก็จุดไฟแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าก็ยังหยั่งเชิงถามดู
ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้อยู่ในสายตาของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก้าวก่ายทุกชีวิตไม่ได้ แต่ให้ความเป็นธรรมแก่โยมได้ ไหนโยมบอกมาซิว่าฆ่าคนยังไง”
ซ่งเอ้อโก่วเล่าความจริงทุกอย่าง ฟางเจิ้งฟังแล้วก็คิดในใจ ‘เป็นอย่างนี้จริงๆ เจ้านี่อยากรู้อยากเห็นมากไป’
ฉะนั้นฟางเจิ้งจึงตอบไป “โยมซ่ง โยมประมาททำให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ไม่ได้จงใจฆ่า โทษจึงเบาลงมาก”
“หา? ใช่ ฟางเจิ้ง แกเคยเรียนหนังสือ เรียนสูงกว่าฉันอีก เคยเรียนวิชาการเมืองใช่ไหม? ในนั้นพูดถึงวิธีจัดการเรื่องแบบนี้ยังไงบ้าง?” ซ่งเอ้อโก่วเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อพุทธศาสนา แต่เชื่อกฎหมายมากกว่า
ตอนที่ 46 ตกตะลึง ฟางเจิ้งอยู่กับหมาป่าบนเขา
ฟางเจิ้งมองต้นโพธิ์ อ่านพุทธคัมภีร์ จิตใจว้าวุ่นมักจะสงบลง นิ่งดั่งบ่อน้ำเก่าไร้คลื่น
ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายกลับมาแล้ว สื่อว่าส่งจดหมายแล้ว
ฟางเจิ้งวางใจกว่าเดิมถึงแกะห่อพัสดุ ข้างในเป็นกล่องมือถือสวยงาม!
“โทรศัพท์สวยมาก! นี่มันมือถือสมาร์ทโฟนเหรอ? เฮอะๆ ได้ยินมานานแล้วว่าโทรศัพท์ที่ผลิตในประเทศเป็นของดี ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้ใช้บ้าง เครื่องเก่าฉันตกงานแล้วล่ะนะ” ฟางเจิ้งหัวเราะหึหึ แกะมือถือออกมา ศึกษาอยู่นานถึงเอาซิมมือถือ เครื่องเก่าใส่เข้าไป เมื่อเปิดหน้าจองามแล้วเสียงเปิดเครื่องไพเราะดังขึ้น ฟางเจิ้งรู้สึกเหมือนกำลังฉลองปีใหม่เลย!
เขาคาดหวังมือถือที่ดีกว่านี้มาตลอด น่าเสียดายระบบไม่ให้ หวังคนอื่นเหรอ? ใต้ภูเขา ไม่มีพ่อแม่ บนเขาไม่มีเงิน เขาทำได้แค่ฝัน ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าความฝันจะกลายเป็นจริง!
“ฮ่าๆ มีมือถือใหม่แล้ว ไม่เลวๆ! อืม นี่ถือว่าเป็นของที่ค่อนข้างแพงกับฉันเลยนะ เอาแกนี่ล่ะ!” โอ่งพุทธกับจีวรขาวจันทร์กับป้ายวัดของเขาเป็นของล้ำค่ามาก แต่ขายไม่ได้ ดังนั้นมือถือที่ขายได้นี้จึงกลายเป็นของที่มีมูลค่า
ประกอบกับฟางเจิ้งเป็นวัยรุ่น แม้จะได้รอยยิ้มจากระบบ แต่ก็ไม่มีทางเป็นหลวงจีนผู้สง่างามอย่างสงบได้ตลอดจริงๆ เขายังชอบของที่วัยรุ่นในช่วงนี้ชอบอยู่ จึงหยิบ ยันต์ปลุกเสกออกมาแปะบนมือถือสมาร์ทโฟน
ยันต์ปลุกเสกเกิดเสียงดังปัง ระเบิดเป็นแสงสว่างสีเหลืองอร่ามปกคลุมมือถือ ก่อนแสงหุบลงมุดเข้าไปในมือถือ
ฟางเจิ้งรีบลองดูก็พบว่ามือถือเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ระบบ นายมั่นใจนะว่าให้ยันต์ของจริงกับฉัน?” ฟางเจิ้งขยับมือถือไปมาไม่หยุด เขาไม่เคยสัมผัสมือถือระดับสูงแบบนี้มาก่อน รู้สึกแค่ว่าหน้าจอลื่นมาก ซอฟต์แวร์ต่างๆ ภายในก็เปิดในวินาที อีกทั้งแสงหน้าจอยังทำให้เขารู้สึกสบายตา ส่วนอื่นๆ ไม่รู้สึกเลย
น่าเสียดายระบบไม่สนใจฟางเจิ้ง เขาจึงล้มเลิกไป เล่นต่ออีกครู่หนึ่งก็โหลดวอทแอปใหม่มา อ่านข้อความ ฟางอวิ๋นจิ้งฝากข้อความไว้ให้เขาจริงๆ “ไต้ซือ น่าจะได้มือถือแล้วใช่ไหมคะ? ชอบของขวัญพวกเราไหม? มือถือเก่าท่านพวกเราไม่กล้าสรรเสริญเลยจริงๆ ถ่ายรูปมาได้แย่มาก ใช้มือถือนี่ถ่ายรูปสวยๆ ส่งมาให้พวกเรานะคะ คิกๆ”
ฟางเจิ้งตอบกลับ “ขอบคุณของขวัญของพวกโยมมากนะ มีโอกาสก็ขึ้นเขามาเที่ยวล่ะ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ น่าจะไม่อยู่
ฟางเจิ้งจึงหยิบมือถือขึ้นมา คิดอยู่ว่าจะถ่ายอะไรดี?
เขายืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ประนมสองมือเป็นพิธี จากนั้นตั้งเวลาถ่ายภาพ แชะ!
ถ่ายอีกรูปนอกประตู จากนั้นออกจากวัดไปยืนอยู่บนหน้าผาได้มาอีกภาพ… เป็นครั้งแรกเลยที่ใช้มือถือดีๆ แบบนี้ถ่ายภาพ เขาเล่นจนเป็นเอามาก! ตอนแรก หมาป่าเดียวดายไม่เข้าใจว่าฟางเจิ้งกำลังทำอะไร จนเขาอวดให้มันดูแล้ว ที่แท้ก็เป็น รูปภาพเหมือนม้วนภาพวาดที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ภาพแรกข้างหลังฟางเจิ้งเป็นเมฆขาวฟ้าคราม และยังมีต้นสนต้นหนึ่ง ฟางเจิ้งมี สีหน้าอ่อนโยน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แชะ!
หัวหมาป่าโผล่มาตอนไหนไม่รู้ ขวางเลนส์กล้องไปมากกว่าครึ่ง!
“หมาบ้า ไปตรงนู้น! อย่าขวางเลนส์กล้อง” ฟางเจิ้งต่อว่า หมาป่าเดียวดายจึงหลีกไปข้างๆ
เซ็ตฉากใหม่อีกรอบ!
แชะ!
ใต้กางเกงฟางเจิ้งมีลิ้นสุนัขโผล่มา!
“ไอ้หมาบ้า จะอยู่นิ่งๆ ได้ไหม? ไปอยู่ตรงนู้นเลย ห้ามเข้ามาใกล้ตรงนี้!” ฟางเจิ้ง จนปัญญาจริงๆ
แชะ!
ตรงขอบรูปภาพมีกงเล็บเพิ่มมา!
“หมาบ้า แกไปหลบข้างหลังฉัน ห้ามโผล่หัวมา! ยืนตรงต้นไม้นั่น ห้ามขยับล่ะ!” เมื่อฟางเจิ้งมั่นใจแล้วว่าตนบังเงาหมาป่าเดียวดายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ถ่ายอีกครั้ง!
แชะ!
“หมาเวร แก…แกอย่าแย่งซีนฉันได้ไหม! ใครสอนให้แกทำท่าทางเซ็กซี่แบบนี้กัน?” ฟางเจิ้งจะเป็นบ้าแล้ว หมาป่าเดียวดายไม่มีที่ขยับแล้วจริงๆ แต่เจ้านี่ไปนอนหมอบอยู่บนต้นไม้ ขาขวาทับขาซ้าย เหมือนภาพนางแบบในนิตยสารเปี๊ยบ…แถมยังทำหน้า แบบนั้น ทำให้อยากตบปากมันสักสองที!
ถูกรบกวนหลายครั้งเข้าฟางเจิ้งก็ยอมแพ้ ดึงหมาป่าเดียวดายลงมาถ่วยรูปด้วยกัน!
ดังนั้นแล้วภาพข้างหลังฟางเจิ้งจึงเป็นหมาป่าตัวใหญ่สีเงินเจ้าเล่ห์ที่มือข้างหนึ่งตั้งขึ้นตรงหน้าอก ส่วนมืออีกข้างปล่อยไว้ข้างลำตัว! ก็ยังกลัวว่ามันจะทำอะไรไม่ดี ดีที่มันฉลาดเหมือนกัน ไม่ก่อกวนที่ไหนเลย แต่ร่วมมือกับเขาอย่างว่าง่าย เงยหน้า มองฟ้า ยืนหยัดด้วยความภูมิใจ อีกเดี๋ยวก็หมอบอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้งราวกับสุนัข ผู้ปกปักเทพ พอหมาป่าเดียวดายจริงจังขึ้นมา ก็เริ่มแสดงด้านของหมาป่า หยิ่งยโส สง่าและเยือกเย็น บ้าอำนาจเต็มสิบ!
ฟางเจิ้งดูภาพเสร็จแล้วก็นึกริษยา เจ้านี่เข้ากล้องกว่าเขาอีก!
ยังดี ถึงมันจะแย่งซีน แต่ฟางเจิ้งก็ได้รับการส่งเสริมจากหมาป่าเงินตัวใหญ่เหมือนลูกวัว ทำให้เขาดูไม่ธรรมดาและลึกลับกว่าเดิม! ทิวทัศน์ทั้งภูเขาเอกดรรชนีสวยงามขึ้นมาก
อึดใจเดียวถ่ายภาพไปร้อยกว่าภาพ ฟางเจิ้งถึงเล่นจนพอ ทั้งยังไล่หมาป่าเดียวดายไป จากนั้นส่งภาพเหล่านี้ให้ฟางอวิ๋นจิ้งทันที แต่ว่าหน้าจอเด้งขึ้นมาเป็นกล่องข้อความ ถามว่าจะส่งภาพเดิมหรือไม่ ฟางเจิ้งคิดแล้วก็ส่งไป
ฟางอวิ๋นจิ้งออนไลน์อยู่พอดี เห็นมีภาพส่งเข้ามาจึงเปิดดู แต่ฟางอวิ๋นจิ้งก็ต้องตกใจร้องขึ้น “หม่าเจวียน เธอแน่ใจนะว่าซื้อสมาร์ทโฟนพันหนึ่งร้อยหยวนให้ไต้ซือ?”
หม่าเจวียนที่กำลังนั่งกินขนมอยู่บนเตียงตอบ “ใช่ ทำไมเหรอ? เราก็ไปซื้อด้วยกันนี่? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ใช่มั้ง? โทรศัพท์สมาร์ทโฟนถ่ายรูปดีขนาดนี้เลยเหรอ? เธอรีบมาดูเร็ว ภาพที่ไต้ซือถ่ายให้สวยมาก! สวยกว่ารุ่นแอปเปิ้ลของฉันอีก” ฟางอวิ๋นจิ้งพูด
หม่าเจวียนขึ้นมาดูบนเตียงฟางอวิ๋นจิ้ง มันฝรั่งแผ่นในมือล่วงลงพื้นดังแปะ ภาพแสดงบนจอคอมพิวเตอร์ ด้วยความชัดระดับ1080 จึงชัดเจนมาก! ภาพนี้พูดไม่ได้ ว่าสวย พูดได้แค่ว่าภาพเดิมดีมาก! สมจริงมาก! จริงจนเหมือนเห็นด้วยตาตัวเอง! ไม่เหมือนถ่ายออกมา!
ปกติภาพจากกล้องถ่ายภาพจะเสียความสมจริงไปเล็กน้อย ในภาพจะต่างจากสิ่งที่เห็นด้วยตาอย่างสิ้นเชิง แต่ภาพนี้กลับสมจริงมากจนเหมือนเห็นด้วยตาตัวเอง!
หม่าเจวียนลองขยายภาพ แต่สองคนก็ต้องตกตะลึง ภาพนี้ยังขยายได้ตลอด! กระทั่งเห็นขนละเอียดบนใบหน้าฟางเจิ้งอย่างชัดเจน! เห็นลายเส้นของหิมะที่ตกลงบนขนสีเงินบนหัวหมาป่าเดียวดาย! ต้นไม้เล็กมากไกลๆ ยังขยายใหญ่จนเห็นว่าบนพื้นมี กระรอกอ้วนน่ารักตัวหนึ่งอย่างชัดเจน!
เห็นดังนั้นสองคนก็อึ้งไป!
“อวิ๋นจิ้ง หรือว่าพวกเราจะถูกไต้ซือลวงเอาแล้ว? เขาใช้กล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวถ่ายรึเปล่า? แต่ก็ไม่เคยได้ยินนะว่ามีกล้องที่ทำได้ถึงขนาดนี้มาก่อน” หม่าเจวียนกล่าว
ฟางอวิ๋นจิ้งพยักหน้า “ฉันก็กังวลเหมือนกัน ที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่อันนี้หรอก แต่เป็นวิธีบีบภาพนี้ต่างหาก! มันขยายได้ใหญ่ขนาดนี้ ความละเอียดภาพจะต้องสูงจนน่ากลัว แต่ว่าขนาดมันแค่สิบล้าน! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย…”
ตอนที่ 45 ยันต์ปลุกเสก
ตอนนี้เอง
“หยุด!” มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหน้า
หูทั่นตกใจสะดุ้ง หักรถอย่างรุนแรง รถสามล้อพุ่งเข้าไปในร่องน้ำแล้วพลิกคว่ำ! ตอนที่หูทั่นล้ม เขาเห็นเจ้าคนที่เรียกรถให้หยุด นั่นคือชาวบ้านใจดีที่บอกทางตอนเข้าหมู่บ้าน!
แต่ต่อมาเส้นประสาทหู่ทั่นก็บีบรัดตัว!
ใบไม้ ร่องน้ำ รถคว่ำ! จากนั้นล่ะ?
แกล้งสลบ!
หูทั่นคิดได้ดังนั้นก็เลิกคิดจะปีนขึ้นไปด่าทอโดยจิตใต้สำนึก แต่นอนหมอบแน่นิ่ง เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องฟังหลวงจีนนั่น รู้สึกแค่ว่าเรื่องนี้บังเอิญเกินไป บังเอิญจนเขาอดเชื่อไม่ได้
“เฮ้ย แย่แล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วเห็นรถคว่ำก็หมุนตัวหนีไป ทั้งยังด่าในใจ ‘มีแต่คนบอกว่าแมวตายเพราะอยากรู้อยากเห็น ไม่เห็นมีใครเคยบอกฉันเลยว่าความอยากรู้อยากเห็นจะทำให้แมวบ้านอื่นตายด้วย! ซวยแล้ว! ฉันก็อยากรู้นี่ว่าใครส่งของให้ฟางเจิ้ง! ฟ้าดินมีคุณธรรม ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนนะ! ไม่ได้ ยังกลับไปหมู่บ้านไม่ได้ เรื่องใหญ่แบบนี้ถ้าแจ้งตำรวจจะต้องมาหาบ้านฉันแน่ ไปหาญาติก็ไม่ได้ อีกเดี๋ยวคงจับได้ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เห็นแก่ญาติพี่น้อง ไปไหนดี ไปไหนดี…’
ซ่งเอ้อโก่วหวาดผวาแล้ว ความจริงถ้าเขาใจเย็นคิดดูดีๆ แล้วไปตรวจลมหายใจหูทั่นก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่เขาเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ถึงตลอดชีวิตนี้จะไม่ได้ทำความดีอะไร แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายมาก่อน ความขี้ขลาด ความกลัวต่างหากคือนิสัยเขา
ซ่งเอ้อโก่วตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก จึงวิ่งกลับไปในหมู่บ้าน
เห็นอยู่ไกลๆ ว่าหยางหวาหิ้วขวดเหล้าอยู่ กำลังเดินมาอย่างปลื้มใจ แถมยังเรียกชื่อเขา
เขาคิดว่าแผนแตกแล้วจึงวิ่งเร็วกว่าเดิม วิ่งไปทางตะวันออกจนออกจากหมู่บ้าน
ส่วนด้านหูทั่น หลังหมดสติก็พบว่าซ่งเอ้อโก่วหนีไปแล้วจึงสำนึกเสียใจภายหลัง รถคว่ำแล้วจะมีคนซ่อมไหม? เจ้านั่นทำให้ตนตกใจก็ควรรับผิดชอบบ้าง! เขาหนีไปแล้ว ตนคงต้องซ่อมเองใช่ไหม?
ขณะที่หูทั่นกำลังด่าหลวงจีนนั่นว่าไร้ยางอายที่หลอกเขา ทั้งยังหลอกให้ตกร่องน้ำอยู่ในใจและเตรียมจะปีนขึ้นไปนั้น
มีเสียงปังดังมาจากข้างหลัง ทำเอาเขาล้มเลิกความคิดไป
ต่อมาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ “บ้าเอ๊ย ก็คิดว่าตำรวจ ทำเอาตกใจแทบแย่ พนักงานส่งด่วนโง่นี่ขับสามล้อคว่ำเฉย…ขยะจริงๆ ยังดีที่หมดสติไป ถ้าตื่นล่ะก็เป็นปัญหาแน่ ถ้าเสียงดังคงต้องฆ่าทิ้ง”
ได้ยินดังนั้นหูทั่นตกใจจนเกร็งไปทั้งตัว เขานอนเอาหน้าคว่ำกับพื้น พออีกฝ่ายมั่นใจว่าหูทั่นไม่เห็นตนจึงวิ่งหนีไป
หูทั่นรอจนอีกฝ่ายไปไกลแล้วถึงตั้งสติกลับมา ลุกขึ้นนั่ง ปาดเหงื่อเย็นๆ บนใบหน้า! เสื้อข้างหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขานั่งกับพื้นอยู่นานก็ยังลุกไม่ได้ ในความคิดขาวโพลนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
จนเขาได้สติกลับมา มีชาวบ้านวิ่งมาแล้ว เห็นรถหูทั่นพลิกคว่ำ จึงตรงเข้ามาถามด้วยความใจดี
หูทั่นถึงมีสติเต็มร้อย รีบพูด “แจ้งตำรวจ แจ้งตำรวจ…มีโทรศัพท์ไหม? เฮ้ย ฉันก็มีนี่!”
หูทั่นควักมือถือออกมาแจ้งตำรวจโดยพลัน
ส่วนผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยมีสีหน้ามึนงง ออกไปตรวจรอบหนึ่ง พอกลับมาก็เห็นว่าตรงประตูบ้านมีโน๊ตเพิ่มมาแผ่นหนึ่ง ให้เขาแจ้งตำรวจ!
“เด็กบ้านไหนมาก่อเรื่องแบบนี้อีกแล้ว” หวังโอ้วกุ้ยด่าทอและก็คิดว่าไม่มีอะไร ตอนนี้เองได้ยินจากข้างนอกว่ามีพนักงานส่งด่วนรถคว่ำจึงรีบออกไป
เห็นหูทั่นควักมือถือมาแจ้งตำรวจ หวังโอ้วกุ้ยก็รู้สึกไม่ดีจึงถาม “ไอ้หนู เกิดอะไรขึ้น?”
หูทั่นไม่มีเวลาสนใจหวังโอ้วกุ้ย สื่อว่าให้หวังโอ้วกุ้ยรอก่อนแล้วแจ้งตำรวจไปว่า “ผมอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนีครับ มีคนซ่อนอยู่ในรถส่งด่วนของผม พอรถคว่ำถึงรู้ผมเลยแกล้งหมดสติ อีกฝ่ายหน้าตายังไงผมเห็นไม่ชัด แต่เขาบอกว่าดีที่ผมหมดสติ ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องฆ่าปิดปาก ผมไม่ได้โกหกนะ พวกคุณมาดูเองก็ได้…”
‘ฆ่าเหรอ?’ หวังโอ้วกุ้ยรีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา ด้านบนเขียนชื่อฟางเจิ้งไว้
‘เจ้าหนูนั่นน่าจะให้ฉัน แต่ทำไมเขาไม่แจ้งตำรวจเองล่ะ?’ หวังโอ้วกุ้ยสงสัยในใจ แต่ก็คิดได้ว่ายอมเชื่อเรื่องนี้ดีกว่าไม่เชื่อ จึงแย่งมือถือของหูทั่นมา ตะโกนไป “ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านเอกดรรชนี ผมเป็นพยานให้ไอ้หนูนี่เอง! ในหมู่บ้านเรามีฆาตกรจริงๆ! ดี ดี ผมจะรอพวกคุณที่หน้าหมู่บ้าน รีบมาล่ะ!”
หวังโอ้วกุ้ยเงยหน้าขึ้น พนักงานส่งด่วนหายไปแล้ว?
“ไอ้หนูเมื่อกี้ล่ะ?” หวังโอ้วกุ้ยถามชาวบ้าน
“ไปแล้ว วิ่งขึ้นเขาไป” มีคนชี้ไปยังเงาแผ่นหลังหูทั่น
หวังโอ้วกุ้ยจึงพูดขึ้น “ไอ้หนู แกจะไปไหน? ตำรวจต้องให้แกช่วยอีกนะ”
“ขึ้นเขา! บอกไต้ซือให้ระวัง!” หูทั่นตอบกลับโดยไม่หันมา ในเมื่อไต้ซือเห็นว่าเขามีอันตรายได้ ตนจะต้องมีวิธีเลี่ยงภัยอย่างแน่นอน แต่ในนิยายบอกเสมอว่าทำนายชะตาคนอื่นได้แต่ทำนายตัวเองไม่ได้ หากเขาทำนายตัวเองไม่ได้ก็แปลว่ามีอันตรายไม่ใช่เหรอ?
หูทั่นคิดว่าอีกฝ่ายช่วยชีวิตตน ตนจะต้องตอบแทนสักครั้ง
หวังโอ้วกุ้ยรวมพลชาวบ้านให้ออกมาจากบ้าน ทุกคนรวมกันเผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด
พอวางสาย คนที่ส่งออกไปก็รับสาย “อะไรนะ? มีคนปล้นรถขนเงินมาที่หมู่บ้านเรา? อีกฝ่ายมีปืนด้วย?! ดีๆๆ ฉันจะไปดูในหมู่บ้าน”
คนที่ส่งออกไปตกใจจริงๆ ปกติพวกเราจะดูแลความปลอดภัยรอบๆ หมู่บ้าน ใช้กุญแจมือน้อยครั้งมาก ครั้งนี้มีโจรมา พวกเขาที่ไม่เคยจัดการคดีที่อันตรายแบบนี้มาก่อนจึงพากันร้อนกลัว แต่ด้วยหน้าที่จึงต้องออกไปตรวจทันที
ขณะเดียวกันตำรวจในเมืองก็รีบมา ซ้ำยังมีตำรวจติดอาวุธได้รับคำสั่งจับตาย ค้นหาทุกซอกทุกมุมเร่งจับตัวอันตรายมาให้เร็วที่สุด! ห้ามเกิดข้อผิดพลาดใดๆ!
ใต้ภูเขาวุ่นวายจนกลายเป็นหม้อโจ๊ก ฟางเจิ้งก็ไม่สงบเช่นกัน เพราะ
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายช่วยชีวิตคน ได้รับโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง จะจับเลยไหม?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งตอบ “ถ้าอย่างนั้นจับเลย”
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับยันต์ปลุกเสกหนึ่งแผ่น”
“เอ่อ นั่นอะไร?” ฟางเจิ้งถาม
“ยันต์ปลุกเสกสามารถปลุกเสกให้กับวัตถุหนึ่งชิ้น เสริมพลังพุทธเข้าไป วัตถุที่ปลุกเสกแล้วจะมีผลพิเศษเล็กน้อย แต่ละวัตถุจะต่างกัน สุ่มเกิดผล แต่รวมๆ แล้วจะมีผลขับไล่สิ่งชั่วร้ายและทำให้จิตใจสงบ”
“เป็นอย่างนี้เอง เสื้อผ้าบนตัวฉันได้ไหม?” ฟางเจิ้งมองไปทั่วตัว เขาชอบเสื้อตัวนี้มาก
“จีวรขาวจันทร์ทำขึ้นด้วยมือของยอดฝีมือพระพุทธ มันปลุกเสกไปนานแล้ว อีกอย่าง ยันต์ปลุกเสกในมือนายก็เป็นเพียงยันต์ระดับบต่ำ ไม่มีผลกับมัน”
“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจะคิดดูว่ายังมีอะไรปลุกเสกได้ไหม” ฟางเจิ้งพึมพำ ระบบพูดแบบนี้ก็มั่นใจได้ว่าหูทั่นปลอดภัยแล้ว เขาจึงสบายใจ
ตอนที่ 44 ฆาตกร
ฟางเจิ้งตะลึงค้าง เขาไม่เคยบอกเบอร์โทรศัพท์กันใครนี่! อีกฝ่ายรู้ได้ยังไง?
พออ่านที่อยู่ที่ส่งมาก็พบว่าส่งมาจากมหาวิทยาลัยจี๋หลิน! ชื่อผู้ส่งฟางอวิ๋นจิ้ง! ฟางเจิ้งพลันเข้าใจทันทีว่านักศึกษาพวกนั้นส่งมาให้เขา!
‘นักศึกษารวยกันจริงๆ! มิน่าถึงอยากเรียนมหาวิทยาลัยกัน แต่นักศึกษาพวกนี้ก็ดีนะ วันหลังจะสวดมนต์อวยพรให้พวกเขา ขอให้การเรียนพวกเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายแข็งแรง’ ขณะเดียวกับที่ฟางเจิ้งคิดอยู่ในใจก็ถามระบบ “ระบบ นี่เป็นของที่ คนอื่นให้หา ฉันรับได้ใช่ไหม?”
“ติ๊ง! นี่คือโชควาสนาจากญาติโยม รับได้”
ฟางเจิ้มย่อมไม่เกรงใจ อีกอย่างหูทั่นดูรีบร้อนมาก เขาไม่อยากเสียเวลาแล้วจึงเซ็นรับมา!
หูทั่นเห็นฟางเจิ้งรับสบายๆ จึงฉีกใบเสร็จ เก็บปากกาเตรียมเอ่ยลา แต่ตอนนี้เองภาพตรงหน้าฟางเจิ้งเปลี่ยนไป!
ตรงตีนเขา หูทั่นขับรถสามล้อบนถนนเล็กระหว่างหมู่บ้าน พลันมีคนกระโดดออกมาพูดเสียงดัง “หยุด!”
ต่อมารถไฟฟ้าพลิกคว่ำ!
หูทั่นหัวปักลงไปกลางแถวร่องน้ำ ดีที่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วแถวร่องน้ำจึงไม่มีน้ำ แต่สั่งสมใบไม้ร่วงจำนวนมากจึงนุ่มนิ่ม หูทั่นเลยไม่เป็นอะไร ส่วนเจ้าคนที่ร้องตะโกนให้หยุดเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งหนีไป
เดิมทีฟางเจิ้งคิดว่าจะจบแล้ว แต่รถขนส่งถูกถีบเปิดออก คนหนึ่งวิ่งออกมาจากในนั้น มองไม่เห็นว่ามีหน้าตาอย่างไร แต่หัวใหญ่มาก! ในมือถือบางอย่าง
หูทั่นคลานขึ้นมาร้องโวย “ใครน่ะ? ทำไมเลวจังวะ?”
“หุบปาก!” คนหัวใหญ่พูดตอบ
“แกเป็นใคร? ทำไมอยู่ในรถขนส่งของฉัน? ขโมยเหรอ? รีบจับขโมยเร็ว! จับขโมย!” หูทั่นร้องเสียงดัง ข้างในยังมีของส่งด่วนอีกหลายชิ้นที่ต้องส่งตอนบ่าย! หากถูกขโมย เขาก็อย่าได้หวังโบนัสในปีนี้เลย
คิดได้ดังนั้นหูทั่นจึงร้องดังกว่าเดิม
“หุบปาก! ฉันให้แกหุบปาก! อย่าร้อง!” อีกฝ่ายตะโกนด้วยความโกรธ
หูทั่นกลับไม่สน ยังคงร้องอย่างนั้น สรุปมีคนมาจริงๆ อีกฝ่ายวิตกจึงยกมือขึ้น!
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น หูทั่นหัวระเบิดออก เลือดกระจาย มันสมองทะลัก! ตาสองข้างเหลือกขาว นอนแผ่เป็นตัว大บนพื้น แน่นิ่งไป
อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็ใช้สองขาเตะศพหูทั่นซ่อนเอาไว้แล้วพูดพึมพำ “โทษทีน้องชาย ให้แกหุบปากก็ควรหุบปาก แกตายฉันรอด ฉันก็ต้องให้แกตายอยู่แล้ว” พูดจบคนนั้นก็วิ่งไปอย่างเร็วรี่
เห็นถึงตรงนี้ฟางเจิ้งพลันได้สติกลับมา แต่หูทั่นเดินออกจากวัดลงเขาไปแล้ว
‘ฉันต้องไป ถึงยังไงมันก็มีปืน! นี่มันอะไรกัน?’ ฟางเจิ้งสับสนเล็กน้อย เขาเติบโตที่นี่มาตั้งแต่เล็ก แม้นายพรานเมื่อก่อนจะมีปืนลมยิงนกกับกระบอกล่าหมูป่า แต่ต่อมาประเทศนำเข้าปืนมาจึงถูกริบจนหมด ดูจากขนาดปืนของเจ้านั่นแล้วไม่ใช่ปืนลมยิงนก แต่เป็นปืนจริง!
เรื่องใหญ่แล้ว! หนึ่งฟางเจิ้งเป็นห่วงความปลอดภัยของหูทั่น สองห่วงความปลอดภัยของคนในหมู่บ้าน คนอันตรายแบบนี้อยู่ใกล้หมู่บ้านมันอันตรายเกินไป! คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงตามไป!
ดีที่หูทั่นเหนื่อยจริงๆ ลงเขาไม่เร็ว ซ้ำฟางเจิ้งยังมีวิทยายุทธ์กับตัว ก้าวเดินราวกับเหาะเหิน ไม่นานก็ตามทัน
“ไต้ซือ ตามมาทำไมครับ?” หูทั่นเป็นกังวล จะตามมาทำไมกัน?
ฟางเจิ้งยิ้ม “หูทั่นใช่ไหม?”
“ครับ มีอะไรเหรอ?” หูทั่นมองฟางเจิ้งอย่าระแวง ในป่าเขาแบบนี้มีหลวงจีนอยู่แค่รูปเดียว เขาจึงกังวลอยู่บ้างจริงๆ
ฟางเจิ้งกล่าวบทสวดไปประโยคหนึ่ง “อมิตพุทธ โยม เราสองคนพบกันถือมีวาสนาต่อกัน อาตมาขอพูดหน่อยได้ไหม?”
“เชิญไต้ซือพูดเลยครับ” หูทั่นถาม
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “ลงเขาครั้งนี้ ถ้ารถพลิกคว่ำตกลงไปกลางร่องน้ำที่มีใบไม้ ให้แกล้งสลบ อย่าปีนขึ้นมา”
“ไต้ซือ พูดแบบนี้ทำไม? จะแช่งคนอื่นให้ตกไปในร่องน้ำเหรอ” หูทั่นพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ฟางเจิ้งพูดต่อ “จำคำอาตมาไว้ หากเกิดขึ้น โยมทำตามที่อาตมาบอก หากไม่เกิด ก็ถือว่าอาตมาล้อเล่นแล้วกัน”
หูทั่นรู้สึกแค่ว่าหลวงจีนนี่แปลกๆ จึงอยากออกจากที่นี่ให้เร็วหน่อย
“รอเดี๋ยว ขอใช้ปากกากับกระดาษของโยมหน่อยได้ไหม?” ฟางเจิ้งเรียกหูทั่นไว้
หูทั่นรำคาญอยู่เล็กน้อยแล้ว ถึงเขาจะถือการบริการลูกค้าไว้สูงสุดมาโดยตลอด แต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขาหมดความอดทนในที่สุด แต่ก็ยังส่งกระดาษกับปากกาให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขียนไปว่า “มีคนอันตรายเข้ามาในหมู่บ้าน แจ้งตำรวจ” ลงนามฟางเจิ้ง
จากนั้นฟางเจิ้งก็คืนปากกาให้หูทั่นก่อนกล่าวอมิตพุทธ “โยมเดินทางปลอดภัย”
หูทั่นรีบลงเขาไป
ฟางเจิ้งผิวปาก หมาป่าเดียวดายวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ไกลๆ จากนั้นส่งกระดาษโน้ตให้มันคาบไว้ “ส่งไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน เอ่อ นายไม่รู้จักผู้ใหญ่บ้านใช่ไหม? เอาเถอะ ฉันจะวาดแผนที่ให้แล้วกัน”
ฟางเจิ้งวาดแปรนแผนที่ของหมู่บ้านบนพื้น ทำสัญลักษณ์ของบ้านผู้ใหญ่บ้านไว้ก่อนตบหัวหมาป่าเดียวดาย ให้มันรีบไป
เดิมทีเขาให้กระดาษโน้ตกับหูทั่นได้ แต่เขากลัวว่าหูทั่นจะกลัวหรืออาจจะอยากรู้อยากเห็น กลับไปแล้วตรวจดูห้องบรรทุกข้างหลังรถสามล้อจนทำให้โจรตกใจกลัวฆ่าเขา นั่นทำให้เขากลัวจริงๆ
หมาป่าเดียวดายไปแล้วฟางเจิ้งก็ยังไม่วางใจ แต่เขาก็ทำได้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ
พอกลับเข้ามาในวัด ฟางเจิ้งเข้าไปในอุโบสถ สวดมนต์ต่อพระพุทธรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม “พระโพธิสัตว์กวนอิม ผมรู้ว่าท่านไม่ดูแลเรื่องนี้ แต่ก็อยากให้ท่านช่วยปกป้อง อย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับคนในหมู่บ้านเลย แล้วก็พนักงานส่งของคนนั้น ช่วยปกป้องให้เขาปลอดภัยด้วย”
ครั้งนี้ฟางเจิ้งไม่ได้ทำเพื่อบุญกุศล จับรางวัลหรือพยายามช่วยคน เขาอยากช่วยจริงๆ แต่มีกฏเหล็กห้ามลงเขา ทำให้เขามีพลังก็จริงแต่ใช้ไม่ได้ทุกที่ มิเช่นนั้นคงใช้วิทยายุทธ์ของเขาลอบลงมือจัดการได้อย่างแน่นอน
“ระบบ ทำไมในอนาคตที่ฉันเห็น นอกจากหูทั่นแล้วถึงเห็นของคนอื่นไม่ชัดล่ะ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความสงสัย
“ระดับเนตรสวรรค์ต่ำเกินไป นายเห็นได้แค่คนที่ลำบาก เผชิญอันตรายเท่านั้น คนอื่นๆ จะเห็นแค่เค้าโครง ถ้าอยากเห็นชัดก็รีบยกระดับเนตรสวรรค์ซะ” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งลูบกระเป๋า ได้แต่เขินอาย…
ขณะเดียวกันหูทั่นลงเขาแล้ว เนื่องจากเสียเวลามากเขาต้องรีบกลับไป เลยรีบขึ้นรถขับออกไปทันที
ช่วงที่ผ่านหมู่บ้านก็ไม่เจอใคร จึงออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปยังเส้นทางถนนหลวงโดยไม่ปรึกษาใคร
ขับไปขับมาหูทั่นก็ชำเลืองมองร่องน้ำข้างๆ แวบหนึ่ง นึกถึงคำพูดฟางเจิ้ง หากรถพลิกคว่ำตกลงไปในร่องน้ำที่มีใบไม้…
“ในนั้นมีใบไม้ขนาดนี้ ตกลงไปก็จะเหมือนกับที่หลวงจีนนั่นบอก ฉันคงไม่รถคว่ำจริงๆ หรอกใช่ไหม…” หูทั่นพึมพำด้วยความระแวงคิดมั่วไปเรื่อย
ตอนที่ 43 ส่งด่วนจะเป็นบ้าแล้ว
ประกอบกับวันนี้สินค้าส่งด่วนมีไม่มากจึงรีบมาส่ง มัวแต่ปล่อยทิ้งไว้ก็สิ้นเปลืองเงิน เปลืองหลักการชีวิต หูทั่นจึงรับสินค้านี้มา พอเริ่มเขายังดีใจมาก แต่เรื่องราวไม่ได้ดี อย่างที่คิด!
หมู่บ้านเอกดรรชนีหาง่าย แต่หมู่ศูนย์ หมายเลขหนึ่ง เขางงหาอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ยังหาไม่เจอ มองจากหัวจนสุดหมู่บ้านเอกดรรชนี มองจากสุดไปจนหัว วนเวียนอยู่ห้าหกรอบก็ยังหาหมู่ศูนย์เลขหนึ่งไม่เจอ โทรศัพท์ไปอีกฝ่ายปิดเครื่อง ต่อมาชาวบ้านสงสัยว่าเขามาขโมยอะไรรึเปล่าจึงจ้องตาเป็นมัน ทั้งยังดึงแขนถามเขา “คุณทำอะไร? วนเวียนในหมู่บ้านเราทำไม?”
“ผมมาส่งของครับ มีพัสดุชิ้นหนึ่ง แต่หาตั้งนานแล้วก็หาเจ้าของบ้านไม่เจอ พี่ครับดูให้หน่อยสิ” หูทั่นแทบจะร้องไห้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
คนที่อยู่ข้างหน้าคือ ซ่งเอ้อโก่ว เจ้านี่ชอบมุงดู จึงเดินเข้ามาทันที “ส่งให้ใครล่ะ? บอกมา ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครที่ฉันไม่รู้จัก”
“หมู่ศูนย์ หมายเลขหนึ่ง” หูทั่นตอบกลับทันที หมายเลขนี้วนเวียนอยู่ในความคิดเขามานานแล้ว จึงจำได้แม่น!
“อะไรกัน? หมู่ศูนย์ หมายเลขหนึ่ง? หมู่บ้านเราเริ่มจากหมู่หนึ่งไปจนถึงหมู่หก หมู่ศูนย์มาจากไหน? คุณดูผิดรึเปล่า?” ซ่งเอ้อโก่วอึดอัดใจจึงถาม
“ผมก็ไม่รู้ครับ โทรหาจนจะพังอยู่แล้วไม่มีคนรับสาย” หูทั่นพูดอย่างขมขื่น
“ไม่ต้องพูดหมู่แล้ว บอกชื่อมาเลย ฉันจะได้รู้ว่าเป็นใคร” ซ่งเอ้อโก่วถาม
หูทั่นมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบกลับ “ไต้ซือฟางเจิ้ง…รับ”
“ไต้ซือฟางเจิ้งบ้าอะไร? หา? ฟางเจิ้ง!” ซ่งเอ้อโก่วพลันได้สติ วัดเอกดรรชนีบนเขาเอกดรรชนี ตอนแรกช่วงที่เกิดความวุ่นวายก็ถูกใส่รวมเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ตอนนั้น แบ่งหมู่กันดีแล้ว จึงสร้างปัญหาให้เขาเล็กน้อย ดังนั้นเลยแยกเป็นหมู่ศูนย์ หมายเลขหนึ่ง หมู่ศูนย์คือ วัดร้างนั่น แน่นอนว่าต้องเป็นหมายเลขหนึ่ง
เรื่องนี้พ่อซ่งเอ้อโก่วเป็นคนเล่าให้เขาฟังเอง
“ที่แท้ก็พัสดุของฟางเจิ้ง นายมาผิดที่แล้ว ฟางเจิ้งไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน แต่อยู่นอกหมู่บ้านต่างหาก” ซ่งเอ้อโก่วยังอยากรับพัสดุมาดูว่าของอะไร แต่รอบๆ มีคนรู้จักมองอยู่จึงไม่ดีนัก ได้แต่ชี้ไปอีกทางอย่างใจกว้าง
หูทั่นแทบจะร้องไห้ ในที่สุดก็หาหมู่เจอ! เขาเหนื่อยจะตายแล้ว!
หูทั่นมองตามไป “พี่ใหญ่ พี่มั่นใจนะว่าทางนั้น? ต้องเดินไปตลอดเหรอ?”
ซ่งเอ้อโก่วมองไม่เห็นในพัสดุจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ชี้มือไปอย่างนั้น “เดินตรงไปจะเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้าย ไม่มีทางอื่นแล้ว เจอเนินก็ข้ามไป เจอน้ำข้ามน้ำ เดินไปจนสุดทางก็จะถึง”
“ได้ ขอบคุณครับ!” หูทั่นรีบขับสามล้อไปทันที แต่ไม่นานเขาก็ไม่อยากขอบคุณแล้ว อยากด่าแม่มากกว่า!
ซ่งเอ้อโก่วบอกทางถูก เดินตรงไปจะเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเดินตรงไปตลอด แต่เจอเนินข้ามเนินนั่นมันอะไร? นี่คือ เนินเหรอ? เรียกว่าปีนเขาดีกว่ามั้ง?
รถสามล้อขึ้นไปไม่ได้ หูทั่นจึงได้แต่ก้มหน้าปีนเขา
แต่ซ่งเอ้อโก่วข้างล่างยิ้มกับการทำเรื่องไม่ดี พลางดื่มสุราอย่างปลื้มใจ
หูทั่นปลอบใจตัวเองตลอดว่าน่าจะถึงแล้ว ไม่มีใครอยู่สูงเกินไปหรอก แบบนั้นจะเดินทางเองก็ไม่สะดวก แต่ยิ่งเดินยิ่งสูง สุดท้ายเหนื่อยจนเหมือนหมาตาย ปีนมาถึง ยอดเขาถึงเห็นวัดเอกดรรชนี ตอนนั้นเขาเหมือนเห็นแสงสว่างส่องมาจากข้างหลัง พระโพธิสัตว์ พูดกับเขาว่า “เหนื่อยเเหรอ? ถ้าเหนื่อยก็มาหาเรานี่”
อึดใจเดียวพุ่งเข้าไปในวัด หูทั่นกลับไม่พบใคร ด้วยความโกรธจึงลืมการบริการไป แต่ตะโกนเสียงดังลั่น!
สรุปมีคนออกมาจริงๆ เป็นหลวงจีนหัวโล้นสวมจีวรเก่า แต่สะอาดมาก ดูอายุพอๆ กับเขา ขาวเนียน สมบูรณ์แบบ ดวงตาใสฟันขาว ริมฝีปากบาง ให้ความรู้สึก หล่อเล็กน้อย ลายเส้นได้สัดส่วนชัดเจน แต่กลับไม่มีเอกลักษณ์อืมครึมอ่อนนุ่มอะไร แต่มีความสะอาดมากกว่า
‘เจ้านี่อายุเท่านี้ก็ออกบวชแล้ว คงจะถูกแฟนทิ้งถึงมาบวชในที่ห่วยแตกแบบนี้’ หูทั่นพึมพำในใจ
ตอนนี้เองหลวงจีนมาอยู่ตรงหน้าหูทั่น ประนมมือ “อมิตพุทธ อาตมาฟางเจิ้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ โยมมาวัดมาจุดธูปหรือไหว้พระ หรือว่ามีเรื่องอื่น?”
หูทั่นกลอกตา ชี้ไปที่ชุดตน ถ้าไม่ใช่ว่าคุมอารมณ์ไว้ได้เขาจะต้องตะโกนอีกแน่ ตาบอดรึไง? ไม่เห็นชุดส่งด่วนที่เขาสวมเรอะ? ไม่เห็นพัสดุในมือเรอะ? เหมือนมาจุดธูปไหว้พระรึไง? อีกอย่างใครจะโง่มาจุดธูปไหว้พระวัดเก่าที่กันดารแบบนี้ วัดใหญ่ข้างนอกมีให้ไปเยอะแยะ
แต่หูทั่นไม่ได้พูดออกมา เขาหอบหายใจแรงพลางโบกมือสื่อว่าให้ฟางเจิ้งรอเดี๋ยว
หูทั่นโทษฟางเจิ้งแล้ว ฟางเจิ้งไม่มีญาติพี่น้องข้างนอก ส่วนเพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนนั้น ไม่ได้เจอมาหลายปีเดาว่าคงลืมเขาไปแล้ว ในเมื่อไม่มีใครข้างนอก แล้วใครส่งพัสดุมาให้? ถ้าจะมีจะต้องส่งผิดที่แน่ๆ พัสดุมาผิดที่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่โทรหาเขาก่อน
เห็นหูทั่นหอบหายใจแรง ฟางเจิ้งจึงพูดขึ้น “โยม พักก่อนเถอะ อาตมาจะไปตักน้ำมาให้”
หูทั่นหิวน้ำอยู่ก่อนแล้ว พอได้ยินว่ามีน้ำก็ไม่เกรงใจล่ะ ท่าทีฟางเจิ้งทำให้ไฟโทสะ ในท้องลดลงไม่น้อย รอแค่อีกฝ่ายกลับมาจะให้เซ็นรับของแล้วรีบลงเขา ตอนบ่ายยังมีเรื่องกองใหญ่ที่รอเขาอยู่
ฟางเจิ้งไปห้องครัว ตักน้ำมาชามใหญ่ หูทั่นเห็นดังนั้นก็รับมาดื่มอึกๆ น้ำคำใหญ่เข้าไปในท้อง ความรู้สึกเย็นสบายเหมือนกับเหาะอยู่บนฟ้า
หูทั่นอดชมไม่ได้ว่า “น้ำอร่อย! สมกับเป็นน้ำแร่ภูเขาจริงๆ! น้ำแร่ภูเขาในเมืองมีแต่ของปลอม…”
ฟางเจิ้งยิ้มเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าหูทั่นไม่เคยดื่มน้ำแร่ภูเขามาก่อน เลยคิดว่าน้ำของฟางเจิ้งเป็นน้ำแร่ภูเขา แต่เขาก็ไม่อธิบาย แค่อยากรู้ว่าพนักงานส่งด่วนมาทำไม
หูทั่นเห็นฟางเจิ้งเงียบก็ยิ้มเขินๆ “ขอโทษทีครับไต้ซือ ให้ท่านรอนานเลย ผมหูทั่น เป็นพนักงานส่งของบริษัทส่งด่วนตลอดทาง ท่านคือไต้ซือฟางเจิ้งใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อาตมาเอง โยมมาหาอาตมาเหรอ?”
“ผมไม่ได้หามาใครหรอก แต่กว่าจะมาส่งของที่นี่ได้ขนผมแทบหัก แล้วยังไม่รู้เลยว่ารถสามล้อของผมจะมีไฟฟ้ากลับไปพอไหม เฮ้อ ท่านว่าผมไปทำให้ใครไม่พอใจรึเปล่า” หูทั่นว่าพลางหยิบกล่องที่ห่ออย่างหนาแน่นขนาดเท่าสองฝ่ามือออกมาส่งให้ “นี่คือพัสดุส่งให้ไต้ซือครับ เซ็นรับด้วย”
พูดจบฟางเจิ้งก็อึ้งไป มีพัสดุของเขาจริงๆ!
ฟางเจิ้งรับมาเงียบๆ อ่านที่อยู่กับชื่อข้างบนอย่างละเอียด! กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ยังเป็นของเขา!
ตอนที่ 42 ยาหวนคืนเล็ก
“ติ๊ง! จีวรนี้ย่อมตัดเพื่อนาย ทำจากเส้นไหมของไหมภูเขาคุนหลุน ไหมนี้ไม่ใช่ เส้นไหมวิญญาณธรรมดา แต่เป็นไหมวิญญาณคุณภาพสูงสุดที่คัดเลือกมาจากหมื่นตัว เป็นเส้นไหมหนึ่งเมตรที่จะพ่นออกมาครั้งแรกสุดของเส้นไหมทั้งหมด เส้นไหมหนึ่งเมตรนั้นแข็งทนทานมาก และก็ง่ายแก่การสัมผัสพุทธศาสนามากที่สุด
การจะรวบรวมเส้นไหมวิญญาณแบบนี้ต้องใช้เวลาสิบปี! อีกทั้งยังถักด้วยมือของปรมาจารย์พุทธ หนึ่งเส้นเชื่อมเข้าด้วยกันเป็นเส้นที่สมบูรณ์ ก่อนถักเป็นเสื้อผ้าก็ใช้เวลาอีกสิบปี จีวรนี้ฤดูหนาวจะอบอุ่นฤดูร้อนจะเย็นสบาย ฟันแทงไม่เข้า กันไฟ ไม่สกปรก! นายกระโดดลงน้ำก็ไม่จมถึงก้น อยู่กลางไฟจะมีพลังวิญญาณคุ้มกัน ไม่ถูกไฟคลอก นอกจากนี้จีวรยังแสดงเอกลักษณ์เฉพาะของนายออกมาในระดับสูงสุดด้วย ยกระดับเสน่ห์บุคคล อีกอย่าง สำหรับคนขี้เกียจอย่างนายแล้ว มันไม่ต้องซักตลอดกาล เสื้อตัวนี้ล้ำค่ามาก”
“ดี! ดี! ดีจริงๆ ฮ่าๆ…” ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว สินค้าจากระบบไม่ใช่ของธรรมดา! ไม่ว่าอันไหนก็เหมือนกัน นั่นคือของที่ดีที่สุดที่หาชิ้นที่สองไม่ได้ในโลก!
แต่ฟางเจิ้งก็ยังถามขึ้นอย่างกังวล “มันล้ำค่าขนาดนี้จะขายได้ไหม? แลกกับเมืองนึงได้รึเปล่า วัดเราจะต้องยิ่งใหญ่แน่ๆ”
“ไม่ได้! ของใช้ระยะยาวทุกชิ้นที่ระบบให้จะใช้ได้แค่สำหรับร่างสถิต ให้คนอื่นไม่ได้”
ฟางเจิ้งจำใจยอมรับ วิธีรวยทางลัดใช้ไม่ได้ผลแล้ว แต่เขาก็ไม่เสียใจ ไม่ว่ายังไงแค่จีวรตัวเดียวก็กำไรแล้ว!
“นายยังมีโอกาสจับรางวัลอีกครั้ง จับไหม?”
“จับ! จับให้ฉันขอแรงๆ เลย!” ฟางเจิ้งเล่นอีกแล้ว
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับยาหวนคืนเล็กหนึ่งเม็ด”
“เอ่อ ยาหวนคืนเล็ก? นี่มันอะไร? กินแล้วจะเพิ่มพลังเหรอ?” ฟางเจิ้งงงเล็กน้อย เขาคุ้นกับชื่อยา แต่การใช้งานอะไรนี่ลืมไปแล้วจริงๆ
“ติ๊ง! ยาหวนคืนเล็ก เมื่อกินไปแล้วจะสร้างเลือดเนื้อคนกึ่งเป็นกึ่งตายได้”
“แรงขนาดนั้นเลย? ถ้างั้นตอนนี้ฉันไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษจะคืนชีพได้ไหม? ถึงตอนนั้นใครรังแกฉัน ฉันจะคืนชีพบรรพบุรุษบ้านนั้น ไม่สั่งสอนพวกเขาจนตายก็ต้องตกใจตาย!” ฟางเจิ้งเกิดความคิดไม่ดี
“นายคิดเยอะไปแล้ว คำบรรยายของยาหวนคืนเล็กโม้ไปหน่อย แต่มันรักษาทุกโรคในปัจจุบันตอนนี้ได้ในเม็ดเดียว จะคืนชีพคนตายเหรอ นายเลิกคิดเถอะ” ระบบมองอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย
ฟางเจิ้งแบะปาก ตนคิดมากไปจริงๆ แต่ก็พูดขึ้นอย่างไม่ยอม “เรื่องนี้ต้องโทษนายสิ ไม่มีความสามารถขนาดนั้นเอง นายจะคุยโม้ทำไม? หลอกลวงคนอื่น…”
ระบบ “23¥#@…”
ระบบ “จะรับยาหวนคืนเล็กไหม?”
“รับ! ทำไมจะไม่รับล่ะ! ชีวิตนี้อาจจะมีลูกไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องเอายาหวนคืนเล็กนี่ไว้” ฟางเจิ้งพึมพำ ต่อมาในมือปรากฏกล่องสีสันสวยงามสีแดงกล่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมาจาก ไม้อะไร ตอนวางลงบนมือรู้สึกหนักเล็กน้อย ด้านบนเลี่ยมด้วยขอบทอง
พอเปิดดูก็เป็นของดี ข้างในเป็นยาขนาดดวงตามังกรเม็ดหนึ่ง สีแดงสด ด้านบนมีลายเส้นสีทองเหมือนกัน ดูสวยมาก!
“ระบบ นายมั่นใจนะว่าไม่ได้หยิบผิด? ฉันมองยังไงมันก็เหมือนลูกแก้วที่ฉันดีด ตอนเด็กเลย” ฟางเจิ้งกล่าวด้วยมาดจริงจัง แต่ระบบก็เมินเขา
ฟางเจิ้งชินแล้ว เขาเก็บยาหวนคืนเล็กอย่างดี เจ้านี่อาจจะช่วยชีวิตได้! กระทั่งในใจยังคิดไม่ดี ‘มีมันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวโรคเอดส์แล้ว จากนั้นหาภรรยา ก็จะได้เหมือนกับเคยผ่านศึกมาก่อน…’
พอนึกถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งก็นึกถึงความรักระหว่างหนุ่มสาว ก่อนจะรีบสวดอมิตพุทธสองครั้งจนใจเย็นลง บนเขารกร้างแบบนี้ไม่มีผู้หญิง มีแค่หมาป่า ขืนไม่ควบคุมไว้ก็อาจจะทำกับหมาป่า จากนั้นเขาคงไม่มีหน้าไปพบคนอื่นแล้ว
คิดดังนั้นฟางเจิ้งจึงถาม “ระบบ ฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีกำลังวังชาเยอะ ถ้าทนไม่ไหวจะเชิญแม่นางทั้งห้าช่วยลงมือขัดปืนได้รึเปล่า?”
“ได้” ระบบตอบ
“จริงเหรอ?” ฟางเจิ้งพลันหัวเราะ ไม่อยากเชื่อว่าระบบจะยังมอบเส้นทางรอดในการมีพวกลูกๆ ให้เขา! นี่มันเรื่องดีเกินคาด!
แต่ว่า!
“ติ๊ง! ผลคือ จะไม่ชูชันตลอดไป!”
รอยยิ้มฟางเจิ้งแข็งค้าง ด่าทอในใจ ‘ไอ้ห่า!’ เขารู้ว่าระบบบิดานี่ไม่มีทางให้โอกาสเขาผ่อนคลาย
หลังจับรางวัลเสร็จก็ไม่มีอะไรทำ ทั้งยังถูกระบบหลอกจนผิดหวังอย่างยิ่ง สุดท้ายก็หมดความกระตือรือร้น
ขึ้นเตียงนอน!
ดวงจันทร์ลาลับ ตะวันขึ้นฟ้า
ตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟัน ฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ กินข้าว กวาดวัด ทำภารกิจประจำวันเสร็จแล้วถึงหยิบมือถือออกมา เข้าอินเทอร์เน็ตอย่างเบื่อๆ เพียงแต่โทรศัพท์เก่าแล้ว เริ่มตามซอฟต์แวร์ไม่ทัน ดูเว็บไซต์ผ่านๆ ก็ต้องเริ่มนับเวลา ขณะเดียวกันแบตก็ไม่ทนแล้วด้วย ฟางเจิ้งไม่กล้าช๊าตไปเล่นไป ไม่ได้กลัวจะเป็นหลวงจีนที่โทรศัพท์ระเบิดตายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ แต่สงสารโทรศัพท์ ช๊าตแบตไปพลางเล่นไปพลางทำร้ายแบตมาก เขาจะพังเครื่องมือสื่อสารไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นเขาจะกลายเป็นคนในป่าเขาจริงๆ
ไม่นานโทรศัพท์ก็แบตหมด
ฟางเจิ้งปิดโทรศัพท์ช๊าตแบตแล้วก็ไม่สนใจอีก เห็นว่าเที่ยงแล้วจึงกินข้าว จากนั้นก็เริ่มเบื่อ
อ่านพุทธคัมภีร์ เล่นกับหมาป่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เองมีเสียงแปลกหูดังแว่วมาจากข้างนอก “แม่ง ถึงสักที ที่นี่มีคนไหม?”
เสียงหอบหายใจ เห็นได้ชัดว่าคนที่ตะโกนเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว
ฟางเจิ้งรีบออกไปดูก็อึ้ง ทำไมขนส่งด่วนถึงมาที่นี่! อีกอย่างขนส่งมาส่งที่กันดารแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แล้วทำไมพี่เล็กส่งด่วนถึงทำหน้าเหมือนจะกินคนแบบนั้นล่ะ? อาตมายังไม่ทำอะไรเขาเลยนะ…
หูทั่นเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยปีนี้ เป็นพนักงานขนส่งด่วนของบริษัทขนส่งด่วนตลอดทาง เรียกกันทั่วไปว่าพี่เล็กส่งเร็ว พอมาเป็นพี่เล็กส่งเร็ว แม้จะอยู่ในสายลม พายุฝน แต่ด้วยความสามารถและความขยันของตน เขาจึงไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนต่ำต้อย กระทั่งทุกครั้งที่เขาส่งก่อนเวลา ลูกค้าที่รอรับพัสดุเหล่านั้นจะยิ้มและขอบคุณอย่างดีใจ ทำให้เขารู้สึกประสบความเร็จมาก
ดังนั้นแล้วหูทั่นจึงสาบานในใจว่าเขาจะทำจนกว่าจะเป็นมืออาชีพ เขาจะต้องเป็นมืออาชีพในสายงานส่งด่วนให้ได้! พัสดุในมือเขาจะต้องไปถึงตามเวลา จะต้องบริการอย่างถึงที่สุด! ภายใต้การยืนหยัด พูดได้ว่าหูทั่นได้รับการชมเชยที่ดีมากภายในบริษัท ลูกค้าที่รับพัสดุจากเขาจำนวนมากต่างชมหูทั่น ถึงขั้นมีคนจะแนะนำคนรู้จักให้กับหูทั่นเพื่อดูใจกัน เขาจึงยิ่งขยันหาเงินสุดชีวิตกว่าเดิม
วันนี้เขารับงานที่ไม่อยากมาส่งอีกแล้วในชีวิตนี้! ส่งหมู่บ้านเอกดรรชนี! หมู่ศูนย์ หมายเลขหนึ่ง!
หมู่บ้านเอกดรรชนีกันดารเล็กน้อย บริษัทขนส่งมากมายไม่อยากมาส่งที่นี่ แต่บริษัท ส่งด่วนตลอดทางต่างออกไป ขนานนามได้ว่าไม่มีที่ใดส่งไม่ได้ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น!
ตอนที่ 41 หมาป่าเงิน
ขอใช้คำพูดจากเหล่านักบวชพรรษาเยอะเหล่านั้น เมื่อใจถึงก็จะได้เป็นสงฆ์ ไม่ถึง ไม่มีวันได้เป็นสงฆ์ สวมไตรจีวรก็ไม่ใช่! ดังนั้นปกติพวกนักบวชพรรษาเยอะๆ จะรอให้เหล่าสามเณรได้เข้าใจด้วยตัวเอง จะชี้แนะเป็นบางครั้ง ไม่ได้เข้มงวดมาก…
คำพูดนี้มีเหตุผล ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งก็คิดว่ามีเหตุผล เอามาโต้เถียงกับหลวงจีนหนึ่งนิ้ว แต่ก็ถูกมือปริศนาทุบตี จากนั้นมาเขาก็ไม่เถียงอีกเลย
ตอนนี้ระบบยั่วยุเรื่องที่เขาเชื่อมาสิบกว่าปีอย่างโจ่งแจ้ง เขาย่อมไม่พอใจ
“นายมั่นใจเรอะว่าไม่มีคนสวมชุดขาว?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า
ระบบกล่าว “นายเข้าไปในดูในอุโบสถ”
ฟางเจิ้งเข้ามาในอุโบสถก็อึ้งไป พระโพธิสัตว์กวนอิมสวมชุดขาวไม่ใช่เหรอ!
ฟางเจิ้งแบะปาก “ระบบ พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นผู้หญิงนะ ฉันเป็นผู้ชาย”
“เดิมทีพระโพธิสัตว์กวนอิมมีกายเป็นบุรุษ และเป็นบุรุษมาตลอด ใครบอกว่าเป็นสตรี? นายเพิ่งพูดมาซะเยอะ ก็ถูกนะ แต่นั่นสำหรับนักบวชทั่วโลก สีของไตรจีวรเตือนพวกเขา ให้พวกเขาอย่าโลภในเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงความสวยและความอัปลักษณ์ นี่คือ การฝึกฝน แต่ไตรจีวรที่ฉันให้นายมีเพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่จะสวมได้ ในเมื่อบรรลุอรหันต์ ในใจได้ละทิ้งข้อระวังไปหมดแล้ว ทำไมจะต้องให้จีวรมาเตือนอีก? คนที่ต้องเตือนคือ คนธรรมดา คนที่ไม่ต้องเตือนคือคนที่ชะล้างจิตใจเป็นพุทธแล้ว”
“นายพูดมีเหตุผลมากนะ แต่ฉันขอเตือนนายหน่อยว่าฉันเป็นคนธรรมดา นายมั่นใจนะว่าฉันสวมแบบนี้แล้วจะไม่ถูกนักบวชคนอื่นตีตายเอา?” ฟางเจิ้งกังวลอยู่บ้างจริงๆ อย่างน้อยหากหลวงจีนหนึ่งนิ้วเห็นจะต้องทุบตีเขาไปครึ่งเดือนแน่ๆ!
“พวกเขาเอาชนะนายไม่ได้” ระบบตอบอย่างไร้เหตุผล
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก แต่ในเมื่อระบบโพธิสัตว์บอกว่าสวมได้ เขาจะพูดมากทำไม? ใครไม่ชอบชุดสวยๆ บ้าง? แน่นอนฟางเจิ้งก็ไม่เว้น!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงถาม “ระบบ นายดูสิ ไตรจีวรมีชุดเล็ก ชุดเจ็ดผ้า ชุดใหญ่ นายก็มีชุดอื่นให้ฉันเพิ่มใช่ไหม?”
“ถ้านายต้องการก็ซื้อเองได้ ราคาไม่สูง ชุดเล็กหนึ่งแสน ชุดเจ็ดผ้าหนึ่งล้าน ชุดใหญ่สิบล้าน”
“ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน!” ฟางเจิ้งหน้ามืดทะมึนทันที ตัวเขายังมีเงินไม่พอเลยจะซื้อทำไม! แต่จะว่าไปแล้วทำไมมันถึงแพงขนาดนี้ล่ะ?
“ไตรจีวรแพงอยู่แล้ว นายจะสั่งอีกสามชุดมันก็ต้องแพงกว่าอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นบนเขาคุนหลุนเขาไม่สวมสามชุดกันเหรอ?”
“พุทธศาสนาไร้สิ่งสกปรก ทำไมต้องสวมเยอะขนาดนั้น? ตัวเดียวก็พอแล้ว!”
ฟางเจิ้งหน้าอึมครึม ถ้าเขาอยากได้อีกนั่นแสดงว่าเขายอมรับว่าสกปรกมากรึเปล่า? เลยถาม “จีวรขาวจันทร์นี่จะไร้สิ่งสกปรกรึเปล่า?”
“แน่นอน”
“เยี่ยม!” ฟางเจิ้งยกนิ้วโป้งขึ้น เขาไม่มีข้อสงสัยแล้ว
ฟางเจิ้งรีบไปต้มน้ำหม้อใหญ่เตรียมจะอาบน้ำ แต่หมาป่าเดียวดายเข้ามาใกล้ คิดว่าจะทำอาหาร จึงแกว่งหาง แลบลิ้น ทำหน้าประจบสอพลอ
ฟางเจิ้งจึงตบเข้าไปทีหนึ่งแล้วด่ายิ้มๆ “ฉันจะอาบน้ำไม่ได้จะทำอาหาร แกนี่มันตะกละจริงๆ ไปตรงนู้น”
หมาป่าเดียวดายได้ยินว่าอาบน้ำก็คึกคักกว่าเดิม ทั้งยังกระโดดโลดเต้นสื่อว่ามันก็จะอาบด้วย
ฟางเจิ้งมองค้อน “นายจะอาบด้วยเหรอ? ได้ รอเดี๋ยวนะ แต่ฉันไม่มีโอ่งอาบน้ำ ได้แต่ตักราดอาบเอานะ”
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที สื่อว่าตกลง
น้ำร้อนแล้วฟางเจิ้งก็ตักน้ำลาดจากหัวดังซ่าเรียกความกระปรี้กระเปร่า ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก
“เฮ้ย! นำบริสุทธิ์มีผลแบบนี้ด้วย ไม่เลวจริงๆ” ฟางเจิ้งก้มหน้าลงก็อึ้งไป เห็นว่าคราบสิ่งสกปรกตามตัวถูกน้ำชะล้างจนหมด! ผิวหนังพลันเปิดโล่ง เหมือนกับชะล้าง เส้นเลือด! ผิวหนังขาวผ่องกว่าเดิม มีน้ำมีนวล คลำผิวตัวเองแล้วก็รู้สึกสบายมือ!
โฮ่ง…
หมาป่าเดียวดายเห่าอย่างสุขสบาย ฟางเจิ้งหันไปก่อนยกขาถีบไปทีหนึ่ง “หลบไป แกสกปรกจัง ทำไมสกปรกแบบนี้? ดูน้ำที่ฉันล้างสิเปลี่ยนสีไปนิดเดียวเอง ของแกนี่มันซีอิ๊วรึไง?”
หมาป่าเดียวดายเห่าสองทีด้วยความคับอกคับใจ ฟางเจิ้งได้ยินชัดเจน เจ้านี่พูดว่า “คนอื่นเขาก็ต้องอาบให้สะอาดไหมล่ะ? นายคิดว่ามีแค่นายคนเดียวที่อาบน้ำเหรอ? หัวแข็งจริงๆ ตอนฝนตกฉันก็อาบน้ำ บางครั้งตกไปในบ่อน้ำก็ถือว่าอาบครั้งหนึ่ง…”
ฟางเจิ้งตลกเจ้าหมาป่านี่ “เอาเถอะ เราสองคนห่างๆ กันหน่อย ฉันกระบวยนึง ตักให้นายกระบวยนึง นายห้ามเอาน้ำออกมาเองเข้าใจไหม?”
ฟางเจิ้งกลัวว่าเล็บมันจะเข้าไปในถังน้ำ น้ำสะอาดจะกลายเป็นน้ำหมึก…
หมาป่าเดียวดายเห่าสองทีสื่อว่าเข้าใจ
ฟางเจิ้งถึงถอนหายใจโล่งอก ก่อนตักให้ตัวเองอีกหนึ่งกระบวย จุดที่น้ำผ่าน ผิวหนังจะสะอาดทันที เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการอาบน้ำมันสบายขนาดนี้เชียว!
จากนั้นก็ตักราดหัวหมาป่าเดียวดายหนึ่งกระบวย มันหยีตาพริ้ม มีสีหน้าสุขสบาย
“หืม? นายมีผมหงอกเหรอ?” ฟางเจิ้งเห็นว่าขนหัวหมาป่าเดียวดายเหมือนสีลอก กลายเป็นสีขาวเล็กน้อย
เขาจึงรีบตักราดอีกกระบวย สรุปหมาป่าเดียวดายขนเปลี่ยนเป็นสีขาว! พูดให้ถูกคือเปลี่ยนเป็นขนสีเงิน! ภายใต้แสงจันทร์ขนมันเหมือนกับโปร่งใส สวยมาก!
“เวร หมาป่าสีเงิน? หมาป่าเงิน? หมาป่าลามก? หมาป่าบ้ากาม!” ฟางเจิ้งเริ่มซน เขาหัวเราะเสียงดัง ขณะเดียวกันก็ตกใจ เดิมทีคิดว่าหมาป่าเดียวดายเป็นจ่าฝูงที่ ออกจากฝูงหมาป่า ไม่นึกเลยว่าขนมันจะพิเศษขนาดนี้ แต่ขนสีเงินทั้งตัวแบบนี้ พอสกปรกก็จะเป็นสีเทา นี่จะต้องสกปรกมากจนระดับนึงเลย
ฟางเจิ้งอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาไม่รีบร้อนอาบน้ำตัวเอง แต่ตักน้ำราดหมาป่าเดียวดายอีกหลายกระบวย ขนมันเริ่มสะอาดขึ้น ขนสีเงินเต็มตัว ขยับแสงเงินวาววับภายใต้แสงจันทร์ มีบุคลิกของราชาหมาป่าใต้แสงจันทร์!
ฟางเจิ้งปรบมือหัวเราะ “ขนสีเงินทั้งตัวแบบนี้ต่างหากที่สวย!”
หมาป่าเดียวดายมองเงาสะท้อนตัวเองในน้ำก็ดีใจมาก เห่าอีกสองที
“อะไรนะ? ตอนเด็กนายก็มีสีนี้เหรอ ต่อมาตกไปในบ่อเลยเป็นสีเทา? นายไม่รู้จักอาบน้ำรึไง?”
“โฮ่งๆ#¥%#…”
“ฝนตกก็เปียกฝนสิ! นั่นไม่ใช่อาบน้ำ อีกอย่าง น้ำฝนไม่สะอาด นายนี่มันโง่นัก” ฟางเจิ้งต่อว่าก่อนรีบอาบน้ำตัวเองให้สะอาด จากนั้นวิ่งเปิดตูดกลับไปในห้อง หยิบไตรจีวรสีขาวจันทร์ชุดใหม่มาสวม
คลำดูก็เรื่องนึง พอสวมก็อีกเรื่องนึง ไตรจีวรนี้เหมือนกับน้ำ เบาบางและลื่นมาก ไม่เหนียวตัวเลย สบายเหมือนกับไม่สวมอะไรเลย! ชุดตัวใหญ่ สวมแล้วเป็น ชุดคลุมตัวใหญ่ พอสวมเสร็จก็หยิบกระจกเล็กออกมาส่อง เขาเห็นว่าในกระจกมี หลวงจีนหัวโล้นสง่างามอย่างยิ่งรูปหนึ่ง!
จีวรสีขาวจันทร์ ผิวหนังขาวมีสีแดงเรื่อ พอยืนดูสุภาพเรียบร้อย กลิ่นหอมตำราแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและแสงตะวันราวกับหยก! ขนาดเขายังรู้สึกหลงใหลในตัวเอง!
“อื้ม! จีวรนี่ตัดเพื่อฉันเลยนะเนี่ย! สวยจริงๆ! ฉันคงเกิดมาเพื่อเป็นหลวงจีนจริงๆ! ใบหน้าแบบนี้ ถ้าไม่นับเรื่องพุทธคัมภีร์ฉันจะต้องเป็นแบบอย่างไต้ซือที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน! น่าเสียดาย ความรู้ไม่พอ โทรศัพท์พังๆ นั่นก็เข้าเว็บแล้วค้างอีก จะอ่าน พุทธคัมภีร์ก็ยากจริงๆ ช่วยไม่ได้…” ฟางเจิ้งจนปัญญาจริงๆ ระบบก็รับแต่เงินจาก ความปรารถนา แต่หาเงินยากมาก ไม่มีเงินที่มาจากความปรารถนาก็ไม่เท่าไร เขายังลงเขาไม่ได้ ต่อให้ลงได้ก็ใช้จ่ายไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาคนซื้อแทน อยากเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เหรอ? เว้นแต่จะมีคนซื้อให้เขา ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงหมดหวัง
ตอนที่ 40 จับรางวัล
ตอนนี้เองเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นหลายครั้ง รถใหญ่ชนกันเป็นกลุ่ม! เศษเหล็กกระเด็นมั่วไปหมด กระจกแตกกระจาย เสียงจอแจดังขึ้น
โหวจื่อเห็นดังนั้นก็มองหน้ากับหลูเสียวอ่า ต่างเห็นความตกตะลึงและหวาดกลัวในแววตากัน! ที่ตกตะลึงไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะคำพูดฟางเจิ้ง! ตอนนั้นอีกฝ่ายกำชับพวกเขาว่าถ้าเจอรถบรรทุกใหญ่สี่คันให้รักษาระยะห่าง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่าย เห็นนิมิตทุกอย่าง! ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางพูดกับพวกเขาแบบนี้!
นึกขึ้นว่าหากไม่ฟังคำพูดฟางจิ้ง เช่นนั้นผลที่ได้…
หลูเสียวอ่าพูดขึ้นด้วยความระแวง “โหวจื่อ ถ้าเมื่อกี้นายเร่งความเร็วอีกจะเป็นยังไง?”
โหวจื่อกลืนน้ำลาย “หยุดพูดเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดไต้ซือ ฉันจะต้องแซงไปอย่างเร็ว ทิ้งท้ายพวกพั่งจื่อ แต่ว่าแบบนั้นฉันจะถูกรถใหญ่เบียดเข้าไป จากนั้น…พวกเราก็เป็นแผ่นเนื้อ”
พอนึกได้อย่างนั้นหลูเสียวอ่าหน้าซีดขาว
ตอนนี้โหวจื่อได้สติกลับมา เอ่ยขึ้น “รีบลงรถเร็ว อย่าอยู่บนรถ หยุดรถบนทางด่วนอันตรายเหมือนกัน ไปข้างนอกปลอดภัยกว่า แล้วก็รีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ! ฉันจะไปวางป้ายเตือนไว้ รถข้างหลังจะได้ไม่มาชน…”
หลูเสียวอ่าลงไปแจ้งตำรวจ โหวจื่อก็เริ่มเร่งทำงาน
ตอนนี้เองพั่งจื่อ หร่วนอิ่ง เจียงถิงตาค้าง เห็นรถบรรทุกถ่านสี่คัน พอนึกถึงความเร็วของโหวจื่อก่อนหน้านี้ ต่างมองกันราวกับเห็นผี ทั้งยังพูดพร้อมกัน “ไต้ซือ มหัศจรรย์!”
พั่งจื่อตบปากตัวเองไปทีหนึ่ง “ฉันนี่มันโง่จริงๆ ไต้ซือมหัศจรรย์ขนาดนั้น วัดก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า! ฉันน่าจะไปขอพร อย่างน้อยจุดธูปให้เงินบริจาคเล็กน้อยก็ยังดี เฮ้อ…”
…………
“ฮัดชิ้ว!” ฟางเจิ้งจามก่อนพึมพำต่อ “ใครกำลังพูดถึงฉันอยู่นะ?”
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ช่วยชีวิตไว้อีกสองคน ตอนนี้นายมีโอกาสจับรางวัลสองครั้ง จะเริ่มจับเลยหรือไม่?”
“จับ! ไม่จับก็เสียเปล่า จะเก็บไว้ก็มีลูกไม่ได้” ฟางเจิ้งตอบทันที
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับไตรจีวรขาวจันทร์หนึ่งตัว” ระบบกล่าว
“ไตรจีวร? ท่านพระโพธิสัตว์ นายคิดว่าไตรจีวรฉันมันขาดเกินไปรึไง ให้ฉันกินเนื้อสัตว์ได้แล้วรึเปล่า?” ฟางเจิ้งยิ้ม ตนลงเขาไม่ได้ เสื้อผ้าย่อมเป็นปัญหา ต่อให้มีเงินก็ซื้อเสื้อผ้าอื่นไม่ได้ แต่ในวัดมีเพียงจีวรเก่าๆ เย็บมาหลายปีแล้ว พูดจริงๆ คือเขาดูไม่ได้
ถึงยังไงก็ยังเป็นวัยรุ่น ก็อยากแต่งตัวดูดีบ้าง
แต่เทียบกับเสื้อผ้าแล้ว ฟางเจิ้งหวังจะได้ความสามารถยอดเยี่ยมมากกว่า อย่างเช่นเนตรสวรรค์รวมถึงความสามารถมหัศจรรย์ที่คุยกับสัตว์ได้ ความสามารถพวกนี้ เหนือธรรมชาติ ยอดเยี่ยมกว่าเล็กน้อย ดังนั้นในใจจึงผิดหวังเล็กน้อย
พูดจบไตรจีวรตัวหนึ่งก็ตกลงในมือเขา
มันเป็นไตรจีวรขาวที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ไม่หนาไม่บาง แต่จับแล้วสบายมือมาก แถมยังมีกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ กลิ่นไม่แรง กระทั่งหากไม่สังเกตจะมองข้ามกลิ่นไป แต่ถ้าสัมผัสดีๆ จะมีอีกความรู้สึกหนึ่ง มันมีกลิ่นน้ำมันตะเกียงเล็กน้อย และก็มีกลิ่นตำรารวมถึงกลิ่นแสงตะวันอ่อนๆ สรุปทำให้รู้สึกสบายมาก
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังแปลกใจ เขาเคยได้ยินหลวงจีนหนึ่งนิ้วบอกว่าไตรจีวรมีสี แบ่งตามการเย็บ ไม่ได้สวมได้ตามอำเภอใจ! ได้ยินมาว่ามีสีน้ำตาล แดง ดำอมแดง เหลือง เทา แต่ไม่เคยเห็นไตรจีวรขาวมาก่อน! อีกทั้งไตรจีวรก็ควรเลี่ยงสีบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ?
ฟางเจิ้งเป็นกังวลจึงถาม “ระบบ นายแน่ใจนะว่าไม่ได้หยิบชุดผิดมา? นายดูไตรจีวรนี่ มันไม่ถูกต้อง! ตามที่ฉันรู้มานะ ไตรจีวรมีสามชนิด หนึ่งคือ ชุดเล็กที่เย็บขึ้นจากผ้าห้าผืน เรียกว่าชุดห้าผ้า ใช้สวมตอนทำงานทำความสะอาด
สองคือ ชุดกลางที่เย็บจากผ้าเจ็ดผืน เรียกว่าชุดเจ็ดผ้า ใช้สวมเวลาปกติ
สามคือชุดใหญ่ที่เย็บขึ้นจากผ้าเก้าผืนไปจนถึงยี่สิบห้าผืน เรียกว่าชุดใหญ่ เป็นเครื่องแบบพิธี ใช้สวมออกไปข้างนอกหรือพบคนที่มีฐานะสูงกว่า
สามอย่างนี้เรียกว่ารวมว่ากาสาวะ[1] แน่นอน สีแดงที่คลุมอยู่ข้างนอกก็เรียกว่ากาสาวะเหมือนกัน แต่จีวรของนายมันแปลกๆ ไม่ใช่ชุดเล็ก ไม่ใช่ชุดเจ็ดผ้า และก็ไม่ใช่ชุดใหญ่ เหมือนอยู่ระหว่างชุดเจ็ดผ้ากับชุดใหญ่
อีกอย่างสีนี้มันก็ไม่ถูกด้วย!
ถ้าฉันจำไม่ผิดกาสาวะเป็นชื่อเรียกของสีชนิดหนึ่ง เพราะมันเป็นชุดที่นักบวชสวมจึงต้องเลี่ยงการใช้สีเขียวเหลืองแดงขาวดำห้าสี แต่ให้ใช้สีพิเศษหรือสีกาสาวะ สีกาสาวะประเทศเราคือสีแดงฉาน คัมภีร์ของพุทธศาสนาทางใต้บอกไว้ว่าเป็นสีเหลืองส้ม ไม่มีทางที่จะเป็นสีแดงส้มปนกัน
จากบันทึก หลังพุทธศาสนาแบ่งฝ่ายของอินเดียออกไปแล้ว แต่ละฝ่ายต่างมีสีจีวรต่างกัน บ้างเป็นสีแดง บ้างสีเหลือง บ้างสีดำมู่หลาน แต่พวกคนแก่บ้านเราเคยบอกว่านั่นมันไร้สาระ ในสมัยศตวรรษที่หกของอินเดีย จริงๆ แล้วแต่ละฝ่ายใช้สีแดง สีดำมู่หลานที่ว่าเป็นเพียงความต่างส่วนน้อย
แต่ชุดสงฆ์ของเมียนมา ศรีลังกา ไทย กัมพูชา ลาว อินเดียและเนปาลเป็นสีเหลือง ทั้งยังมีความต่างกันเรื่องความเข้มอ่อน
กาสาวะคนจีนอย่างเราเป็นสีแดง ปกติชุดห้าผ้ากับเจ็ดผ้าก็เป็นสีเหลือง
กาสาวะของมองโกและทิเบตชุดใหญ่สีเหลือง ชุดกลางที่คลุมในเวลาปกติเป็น สีเกือบแดง
สภาพอากาศภาคเหนือหนาว ผ้าสามผืนของเหล่านักบวชไม่พอ เลยสวมชุดปกติในกาสาวะแบบฝั่งเรา ชุดปกติชนิดนี้ปรับเปลี่ยนมาจากเครื่องแบบคนโบราณ สีของชุดปกติเคยกำหนดไว้สมัยราชวงศ์หมิง ชุดปกติของนักบวชนิกายเซ็นจะเป็นสีน้ำตาลชา นักบวชนิกายจิ้นจิงจะสวมสีฟ้า นักบวชนิกายวินัยจะสวมสีดำ หลังสมัยราชวงศ์ชิง ไม่ได้มีกฏเป็นทางการอะไรแล้ว แต่วัดนิกายวินัย หลังจากยุคเจี้ยนเยวี่ยลวี่ซือ[2]แล้ว ชุดนักบวชปกติก็เป็นสีเหลือง
พุทธศาสนิกชนของเมียนมาห้ามสวมชุดสีดำเป็นพิเศษ เพราะในสมัยโบราณเมียนมาเคยมีนักบวชชั่วร้ายสวมชุดดำ ทำเรื่องผิดกฎหมายมากมาย ต่อมาก็เป็นข้อห้าม
ศาสนิกชนของมองโกและทิเบตก็ห้ามสวมชุดดำเหมือนกัน นอกจากนี้นายให้สีอะไรไม่ว่านะดันให้สีขาว นี่มันสีบริสุทธิ์!
คนแก่บ้านเราเคยบอกว่าพุทธศาสนามีกฏต่อจีวร หนึ่งคือสีห้ามเป็นสีสันหรือเป็น สีบริสุทธิ์ สองชุดใหม่ทั้งหมดจะต้องมีสีอีกสีอยู่จุดหนึ่ง เพื่อทำลายความเรียบร้อยของ สีผ้าและเลี่ยงความอยากในเครื่องนุ่งห่ม นี่เรียกว่า “ทำลายสี”หรือ “กดความบริสุทธิ์”
ฉันคิดในหัวถึงทุกอย่างที่เชื่อมโยงกัน แต่ไม่เคยมีใครสวมจีวรขาวเลย!”
ถ้าบอกว่าฟางเจิ้งเรียนไม่เก่ง เขายอมรับ แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวกับกฏพุทธศาสนาเขาเข้าใจเยอะมาก เพราะหลวงจีนหนึ่งนิ้วคือคนที่เคร่งเรื่องกฏมาก เขาพูดให้ฟางเจิ้งฟังเกี่ยวกับกฏต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังท่องจำจนขึ้นใจ
แม้ฟางเจิ้งจะแปลกใจว่าทำไมหลวงจีนหนึ่งนิ้วเจ้าอาวาสวัดเล็กถึงรู้เยอะขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบมาตลอด ฟางเจิ้งจึงล้มเลิก ตอนนี้มาคิดๆ ดู ยิ่งคิดก็ยิ่ง กลัดกลุ้ม ความรู้เหล่านี้ไม่มีทางที่หลวงจีนเฒ่าในหมู่บ้านภูเขาจะรู้ทั้งหมดได้ เพราะฟางเจิ้งพบว่าวัดเล็กจำนวนมากยังไม่ศึกษากฏเหล่านี้เป็นพิเศษเลย ส่วนใหญ่จะปล่อยตามใจชอบมากกว่า
[1] กาสะวะ จีวรที่ย้อมด้วยน้ำฝาด ซึ่งก็คือผ้าไตรจีวรทั้งสามผืนนั่นเอง
[2] เจี้ยนเยวี่ยลวี่ซือ คือ พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์หมิง บรรพบุรุษ รุ่นสองของนิกายวินัยเป่าหวา(1601-1679)
ตอนที่ 39 บุญกุศลมาช้า
ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็เกาหัว ทำหน้าประหลาดใจ ก่อนพูดกับชาวบ้านข้างๆ “ฉันไม่ได้ตาฝาดหูหนวกไปใช่ไหม? คนในเมืองพวกนี้โง่รึเปล่า? วัดพังๆ นั่น พวกเขายังยกนิ้วโป้งให้อีกเหรอ? แถมยังว่าจะมาอีก? หรือว่าพวกเขาจะมาออกกำลังกาย?”
“เป็นไปได้…”
“พวกแกกระซิบอะไรกัน ฟางเจิ้งน่ะเป็นเด็กดี ตอนนี้ศึกษาธรรมอย่างสงบก็เป็นเรื่องดี ทำไมพอพวกแกพูด ถึงได้เหมือนพวกต้มตุ๋นไปได้นะ” หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งต่อว่า
“พวกผู้หญิงจะเข้าใจอะไร? ศึกษาธรรมอะไร พวกลวงโลกทั้งนั้น! เธอไม่ต้องขึงตามองเลยนะไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าเด็กนั่นมีความสามารถแค่ไหนพวกเราไม่รู้เหรอ? เธอคอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็เกิดเรื่อง” ซ่งเอ้อโก่วพูดจบก็ส่ายหน้าพลางพูดต่อ “คนโบราณว่าไว้ว่า ความอกตัญญูมีสามประการ และการไม่มีชนรุ่นหลังถือเป็นการอกตัญญูที่สุด! ฟางเจิ้งเป็นหลวงจีน แต่งงานไม่ได้ ไม่มีชนรุ่นหลังแล้ว หึหึ…อกตัญญู! อกตัญญู…” พูดจบซ่งเอ้อโก่วก็เดินเซกลับบ้านไป
สรุปคือเมื่อกลางดึกวันนั้น พอตู้เหมยได้ยินก็ไปที่หน้าประตูบ้านซ่งเอ้อโก่ว ถือมืดหั่นผักพลางด่าทออยู่ครึ่งคืน ทำเอาซ่งเอ้อโก่วตกใจหนีไปนอนบ้านน้าชาย
แต่ว่าตอนนี้ฟางเจิ้งนอนไม่หลับจริงๆ เลยลุกขึ้นไปตักน้ำมาชามใหญ่ นั่งอยู่หน้าประตูวัด หมาป่าเดียวดายนั่งอยู่ข้างกาย หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าคนละชาม ดื่มพลางพูดคุยราวกับดื่มสุราอย่างสบายใจ
“เฮ้อ นับเวลาแล้วพวกเขาควรจะขึ้นบนทางด่วนแล้ว จากที่ฉันเห็นควรจะเจอรถบรรทุกใหญ่แล้ว ทำไมบุญกุศลถึงยังไม่มาอีก?” ฟางเจิ้งพูดพึมพำ เขานอนไม่หลับ กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ การจับรางวัลหลายครั้งก่อนหน้าทำให้เขาเข้าใจความหวานอร่อย ตอนนี้มีโอกาสอีกแล้วย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
“นายจะบอกว่าฉันมองผิดรึเปล่าเหรอ? จะเป็นไปได้ไง? นี่มันเนตรสวรรค์นะ! เห็นเคราะห์ภัยคนอื่นภายในสามวัน! แม่นอยู่แล้ว” ฟางเจิ้งเคาะหัวหมาป่าเดียวดายไปทีหนึ่ง
“โฮ่งๆ…”
“อืม…นายว่าเวลาผิดเหรอ? เป็นไปไม่ได้ รออีกหน่อย…”
ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า ฟางเจิ้งรอจนตาสองข้างทะเลาะกัน สุดท้ายก็กลับไปนอนภายใต้สายตาดูถูกของหมาป่าเดียวดาย
ตอนนี้ในอำเภอเมืองซงอู่เขตตี้จิ่งหวาถิง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น “เฮ้ย! ลืมไปเลย!”
“ไอ้โหวจื่อ ดึกดื่นป่านนี้นายจะเสียงดังทำไม? ตกใจแทบแย่! นายลืมอะไร?” เสียงหลูเสียวอ่าดังแว่วมา
“พวกเรายังไม่ได้จุดธูป! แถมยังไม่ได้บริจาคเงินจุดธูปไว้ด้วย สงสัยจะรีบไป!” โหวจื่อถอนหายใจ
หลูเสียวอ่าได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป “เหมือนว่าจะไม่ดีนะแบบนี้ ไต้ซือนั่นก็ไม่เลว วัดก็ดีมากด้วย”
“ไต้ซือไม่ใช่คนธรรมดา พวกเรากินดื่มของวัดเขาแล้วก็ตบตูดไปกันเลย ไม่ได้เรื่องจริงๆ คงจะถูกดูถูกแล้ว คราวหลังไปอีกคงไม่ได้กินข้าวกับน้ำแล้ว” โหวจื่อว่า
ครึ่งประโยคแรกของโหวจื่อ หลูเสียวอ่ายังไม่รู้สึกอะไร แต่ประโยคหลังกลับสกัดจุดเจ็บที่เธอชอบกิน จึงดูคึกคักขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปพรุ่งนี้อีกรอบไหม?”
“ยากแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดนะ รอกลับมาค่อยว่ากันอีกที เธอช่วยฉันจำด้วยนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องบริจาคเงินจุดธูปให้ได้” โหวจื่อพูด
หลูเสียวอ่าพยักหน้าขานรับ
วันที่สอง ฟ้าสว่างฟางเจิ้งถามระบบก่อนเลยว่า “ระบบ ได้บุญกุศลรึยัง?”
“อย่าคิดมาก มาแล้วฉันจะบอกเอง” ระบบรำคาญอยู่เล็กน้อยแล้ว
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจำใจแล้วลุกขึ้นไปทำอาหาร!
พอไม่กินข้าวเย็น เขาก็อยากจะย่างหมาป่าเดียวดายกิน ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงตอนเช้า การกินข้าวจึงเป็นเรื่องด่วนที่สุด!
เนื่องจากหิวมานานฟางเจิ้งจึงไม่กล้ากินข้าวเปล่าๆ แต่ต้มเป็นโจ๊ก ใช้ข้าวผลึก หนึ่งกำกับข้าวธรรมดาสองกำ เทน้ำบริสุทธิ์ลงไป! จุดไฟ ทำอาหาร!
ไม่นานกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ฟางเจิ้งลูบท้อง รู้สึกหิวจะแย่แล้ว
กินข้าวเช้าแล้วฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ในลาน รดน้ำต้นโพธิ์ ปัดกวาดอุโบสถกับลานวัดจนสะอาด
เขาเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าขมุกขมัวขุ่นเทา เมฆครึ้มปกคลุมหนาแน่น แรงกดอากาศต่ำมากจนรู้สึกไม่สบายตัว
“ระบบ นายว่าถ้าฟ้าผ่าจะระเบิดวัดเราได้รึเปล่า?” ฟางเจิ้งไม่ได้ถามมั่ว ตอนแรกวัดเอกดรรชนีเคยถูกฟ้าผ่ามาก่อน เขายังจำได้ดี
“ติ๊ง! วางใจ ระบบได้ปรับแก้วัดแล้ว ถ้าฟ้าผ่าก็ไม่เป็นไร”
“ถ้างั้นฉันก็วางใจ” พูดจบฟางเจิ้งก็กลับไปอ่านพุทธคัมภีร์
วันนี้ไม่มีคนมา
ช่วงเช้าผ่านไป ดวงตะวันค่อยๆ ลาลับทางตะวันตก
ขณะเดียวกันโหวจื่อพาหลูเสียวอ่าขับรถอย่างรวดเร็วอยู่บนทางด่วน ขับไปพลางหัวเราะเสียงดัง “ให้พั่งจื่อกินควันดำข้างหลังหน่อย! รถใหม่ฉันมันแรงจริงๆ ฮู้วๆ…”
“นายขับช้าหน่อย มันเร็วไปแล้ว” หลูเสียวอ่าจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น
“กลัวอะไร? ตอนนั้นพี่โหวเร็วพอๆ กับหมาป่าสิบสามตัว!” โหวจื่อพูดอย่างมั่นใจ
“ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ?” หลูเสียวอ่าถาม
“เธอไม่รู้อยู่แล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งจบอนุบาล” โหวจื่อตอบ
“นายขับรถตั้งแต่อนุบาลเหรอ? นายไม่มีใบขับขี่นี่?!” หลูเสียวอ่าโมโหบ้างแล้ว ถ้าผู้ชายของตนเชื่อถือไม่ได้ เธอจะจัดการเขาจริงๆ
โหวจื่อหัวเราะเสียงดัง “ฉันเล่นรถเหาะในQQน่ะ เจ้านั่นเร็วมากเลย”
หลูเสียวอ่าโมโห “นายนี่มัน! ตอนนี้ยังมีหน้ามาล้อเล่นอีก ระวังหน่อย ขับช้าๆ”
“รู้แล้วๆ” โหวจื่อขานรับพลางเหยียบคันเร่ง ไม่ได้จะลดความเร็วลงเลย ในกระจกมองหลัง รถพั่งจื่อกับเจียงถิงถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ในใจนึกลำพองใจ หลูเสียวอ่าพลันว่า “โหวจื่อ ช้าลงเดี๋ยวนี้!”
“จะตะโกนทำไม ขับรถอยู่ เธออย่าทำให้ฉันเสียสมาธิได้ไหม?” โหวจื่อก็โมโหบ้างแล้ว
“ไม่ใช่ นายดูรถข้างหน้าสิ เหมือนรถบรรทุกเลย รถบรรทุกถ่าน” หลูเสียวอ่าตอบกลับ
“รู้แล้วๆ เห็นแล้ว รถบรรทุกถ่าน เจ้านี่มีหลายคันเลย…อืม หืม? รถบรรทุกถ่านหลายคันเหรอ?” โหวจื่อพลันนึกถึงคำพูดที่ฟางเจิ้งเคยพูดกับเขาไว้
หลูเสียวอ่าพูดต่อทันที “นึกออกแล้วใช่ไหม? นายรับปากไต้ซือแล้วนี่ว่าถ้าเห็น รถพวกนี้จะต้องลดความเร็วลง ขับช้าๆ รักษาความเร็วรถไว้ ไม่ฟังฉัน ฟังไต้ซือหน่อย ได้ไหม?”
“ได้ๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันดูก่อนว่ากี่คันค่อยว่ากัน” โหวจื่อเหยียบคันเร่งตามไปอีกครั้ง นับไปทีละคันก็เป็นรถบรรทุกใหญ่สี่คันพอดี! พอนึกถึงความมหัศจรรย์ของฟางเจิ้งรวมถึงคำพูดเขาแล้ว โหวจื่อเหยียบเบรกโดยจิตใต้สำนึก ลดความเร็วลง
ตอนนี้เองรถใหญ่คันหน้าสุดพลันเปลี่ยนไปใช้เลนแซง จากนั้นเบรกรถอย่างบ้าคลั่งส่งเสียงดังเอี๊ยด แต่ด้วยความหนักจึงถลาไปข้างหน้าพร้อมกับควันขาว ตัวรถแทบจะเป็นแนวขวาง!
รถใหญ่อีกสามคันก็รีบเบรกเหมือนกัน ส่งเสียงเบรกดังแสบแก้วหู…
แต่ตอนนี้โหวจื่อลดความเร็วลงแล้ว รีบเหยียบเบรกอีกหลายที รถส่งเสียงเบรก แสบแก้วหูเหมือนกัน ความเร็วลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ทิ้งระยะห่างจากรถบรรทุก
ตอนที่ 38 จำนน (2)
พวกเขากินกันอย่างมูมมาม ไม่นานก็กินหมด!
เมื่อกินหมด ไม่ว่าหญิงหรือชาย อ้วน ผอม ต่างเบิกตาโตมองฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งแบมือพูดขึ้น “พวกโยม ดื่มน้ำแล้ว กินข้าวก็แล้ว ฟังอาตมาพูดสักหน่อยได้ไหม?”
“ไต้ซือ ท่านพูดมาเถอะ แต่ก่อนพูดให้กินข้าวอีกคำได้ไหม? ท่านก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นข้าวที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาในชีวิต! ยิ่งกินยิ่งหิว” พั่งจื่อตอบกลับ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ตลก เขายังไม่พอกินเลยแล้วจะให้คนอื่นกินรึไง? ตัวเขาเองยังไม่พอกินแล้วจะหาห่วงมาเพิ่มให้หิวตายเร็วขึ้นอีกทำไม?
พั่งจื่ออยากพูดบางอย่าง แต่เจียงถิงดึงเอาไว้ “เอาล่ะ พั่งจื่อ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นเถอะ ไต้ซือให้ข้าวกินก็ถือว่าเป็นบุญคุณครั้งใหญ่แล้ว”
พั่งจื่อหุบปากเงียบไปจริงๆ กินของคนอื่นแล้วก็ต้องปฏิบัติตาม อีกอย่าง วัดนี่แปลกประหลาดทุกที่ ทำให้เขายอมจริงๆ
เจียงถิงเดินเข้ามาพูดขึ้น “ไต้ซือ ก่อนหน้านี้ท่านจะพูดบางอย่างกับฉัน น่าเสียดาย เจียงถิงไม่รู้ดีชั่ว ไม่ฟัง ไต้ซืออย่าตำหนิเลยนะคะ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะค่ะ”
“ใช่ๆๆ ท่านพูดมาเถอะ แต่อย่าพูดว่าพวกเราดวงซวยต้องเลือดตกยางออกอะไรพวกนี้เลย พวกนั้นน่ะแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นพวกต้มตุ๋น” พั่งจื่อพูดปากไม่มีหูรูด
โหวจื่อเดินเข้ามาเตะไปทีหนึ่ง พั่งจื่อจึงต่อว่าด้วยความคับอกคับใจ “ไอ้โหวบ้า นายเตะฉันทำไม? นายเป็นคนพูดแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ?”
“พูดกับผีสิ! หุบปากเดี๋ยวนี้นะ! ถ้านายพูดอีกที ฉันจะปล่อยลมยางรถนายให้หมด แฟนนายก็ให้กลับเอง!” โหวจื่อว่ากลับ
พั่งจื่อจะพูดบางอย่าง แต่ทุกคนมองมาด้วยแววตาโมโหพร้อมกัน! เขาจึงเงียบปากไป
จากนั้นโหวจื่อถึงหัวเราะแหะๆ พูดกับฟางเจิ้ง “ไต้ซือ อย่าถือโทษเลยนะครับ ท่านพูดมาเถอะ”
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน คนพวกนี้เป็นหมอดูรึไง? ทุกครั้งที่เขาจะพูดถึงตอบกลับได้แม่นขนาดนี้? จ้าวต้าถงครั้งก่อน ครั้งนี้พั่งจื่อ พวกนี้จบมาจากคณะอ่านจิตใจรึไงกัน
แต่ฟางเจิ้งก็ยังต้องพูด ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่สองชีวิต แล้วก็โอกาสจับรางวัลสองครั้ง! เขาทำใจปล่อยไปไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดขึ้น “พวกโยม รับปากอาตมาเรื่องหนึ่งก็พอ”
“ครับ? ไต้ซือพูดมาได้เลยครับ ไม่ว่าจะฝ่าน้ำลุยไฟพวกเราก็กล้า แต่ขอเป็นเรื่องที่ทำได้นะครับ” โหวจื่อไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำ หลวงจีนตรงหน้าลึกลับยากจะคาดเดา กลัวว่าจะให้ทำเรื่องไม่ดี เขาจึงไม่กล้าคุยโว
ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาไม่ได้จะให้พวกโยมทำอะไร โยมกับอุบาสิกาท่านนี้รับปากอาตมานะ วันข้างหน้าหากเจอขบวนรถบรรทุกถ่านสี่คันอยู่ข้างหน้า อย่าแซง ให้ลดความเร็วลง รักษาระยะห่างปลอดภัยไว้ก็พอ”
“หา? เอ่อ?” โหวจื่อกับหลูเสียวอ่ามึนงง
เจียงถิง พั่งจื่อ หร่วนอิ่งก็งง ไม่คิดว่าหลวงจีนตรงหน้าจะอ้อมมาพูดเรื่องที่ไร้มูลเหตุแบบนี้
โหวจื่อก็ตกใจหมือนกัน จึงถามต่อทันที “ไต้ซือ ท่านเห็นอะไรเหรอครับ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยมอย่าถามเยอะ แค่จำคำอาตมาไว้ ปฏิบัติตาม ถือว่าเป็น การตอบแทนเรื่องข้าวน้ำในวันนี้แล้วกัน” ขณะเดียวกันฟางเจิ้งก็ถามระบบ “ฉันพูดแบบนี้ถือว่าเผยความลับสวรรค์รึเปล่า?”
“แค่ไม่พูดความจริงออกไปทั้งหมด แค่ชี้แนะก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้นายพูดมากไปหน่อยนะ วันหลังพูดให้น้อยกว่านี้จะดี” ระบบเตือน
ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก กลัวจริงๆ ว่าระบบจะประเมินเขาแย่ หักคะแนนอะไรพวกนี้อีก ถึงตอนนั้นภารกิจสำเร็จแล้วกลับไม่ได้รางวัล นั่นต่างหากที่น่ากังวลจริงๆ ถึงยังไงภารกิจก็เปลืองแรงมาก
พูดถึงขนาดนี้แล้ว โหวจื่อยังพูดอะไรได้อีก?
โหวจื่ออ้าปากร้องโอ๊ย ก่อนเอ่ยด้วยความโกรธ “หลูเสียวอ่า เธอหยิกฉันทำไม?”
“ไต้ซือพูดกับนายนะ มัวเหม่ออะไร? เร็วๆ สิ” หลูเสียวอ่ามองด้วยความโมโห
ตอนแรกโหวจื่อยังอยากถามอีกเล็กน้อย แต่แฟนเขาเร่งมาแบบนี้จึงไม่ถาม แต่ตอบไปอย่างเด็ดขาด “ไต้ซือวางใจ ผมจะจำคำพูดท่านไว้ ถ้าเจอจริงๆ จะไม่แซง จะรักษาระยะห่างปลอดภัย”
ฟางเจิ้งยิ้มพอใจ ก่อนผายมือเชิญ “พวกโยม นี่ก็บ่ายแล้ว รีบลงเขาเถอะ บนเขา ไม่มีที่พักนะ”
พวกโหวจื่อ พั่งจื่อ เจียงถิงก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ถึงจะได้ดื่มน้ำ กินข้าวผลึก แต่คนไม่ใช่เครื่องจักร จึงเอ่ยลาไป พวกเขาลงเขามาอย่างปลอดภัย กลับขึ้นรถ หันไปมองภูเขาเอกดรรชนีแวบหนึ่ง บนเขามีเมฆขมุกขมัวราวกับความฝัน
เจียงถิงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปลงในเวยป๋อโพสต์ใหม่ “วันนี้ขึ้นเขาเอกดรรชนีกับพั่งจื่อ โหวจื่อ เสียวอ่า อิ่งเอ๋อร์ เจอวัดเอกดรรชนี ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นวันที่เต็มอิ่ม แปลกและเหมือนฝันที่สุด จนตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย ใครบอกฉันทีว่าฉันกำลังฝันหรือตื่นอยู่?”
ตอนแรกเจียงถิงว่าจะเขียนคำพูดเกี่ยวกับฟางเจิ้งไปด้วย แต่ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นหลวงจีนที่ยิ้มแสงเจิดจรัสและสง่า ใบหน้างามจึงแดงขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเขียนลงไป ยังไงดี กลัวว่าถ้าเขียนผิดจะทำให้คนเข้าใจผิด…
พอเสียงแตรรถพั่งจื่อดังขึ้น เจียงถิงถึงได้สติกลับมาแล้วออกรถไป
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังคนเหล่านี้จากไปพลางด่าทอในใจ ‘พวกแกนี่มันเวรจริงๆ กินดื่มบ้านคนอื่นแล้วยังไม่จุดธูปอีก! ไม่บริจาคเงินค่าธูปไว้เลย ขี้งกกันจริง!’
ฟางเจิ้งด่าเสร็จก็ยังไม่ยอม กลับไปในอุโบสถ ค้นดูทุกซอกทุกมุมอีกครั้ง ดูใต้กระถางธูป ใต้โต๊ะหมู่บูชา ใต้เบาะนั่ง หาจนทั่ว…ถึงถอนหายใจหมดอาลัยตายอยาก ก่อนกลับไปนอนในกุฏิ คืนนี้คงนอนไม่หลับด้วยความผิดหวัง…
“ติ๊ง! เป็นไต้ซือ แต่กลับคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง นี่ไม่ตรงตามเงื่อนไขของระบบ บางครั้งในชีวิตไม่ต้องไขว่คว้าก็ได้มา บางครั้งในชีวิตไขว่คว้าแทบตายก็ไม่ได้ครอบครอง”
“นายกำลังปลอบใจให้ฉันทำความดีอยู่เหรอ?” ฟางเจิ้งถาม
“ติ๊ง! ฉันแค่เตือนนาย ถ้านอนไม่หลับจะหิวกว่าเดิม”
“นาย…” ฟางเจิ้งลูบท้อง ไม่ผิวก็แปลกแล้ว! มื้อกลางวันเขามีเมตตาแบ่งให้ พวกเจียงถิงกินข้าวไปหม้อนึง ตอนนี้ข้าวเหลือไม่เยอะ เพื่อความประหยัด เขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่กินข้าวเย็น นอนเร็ว หลับแล้วก็จะไม่หิว
แต่ระบบมาเตือน เขาเลยรู้ว่า…หิว!
โฮ่ง…ข้างนอก หมาป่าเดียวดายก็หิวเหมือนกัน…
ใต้ภูเขา รถสามคนเข้าไปในหมู่บ้านเอกดรรชนี วนรถเตรียมออกจากหมู่บ้าน
ซ่งเอ้อโกว่ที่ว่าร้ายฟางเจิ้งเมื่อเช้ากินข้าวเย็นเสร็จแล้ว กำลังนั่งยองคุยโม้อยู่ตรง มุมกำแพง เห็นรถหรูแล่นออกมาจึงพูดขึ้นทันที “เฮ้! พวกคุณ ขึ้นเขามาเป็นยังไงบ้าง? ฟางเจิ้งพูดอะไรกับพวกคุณรึเปล่า?”
กระจกรถลดลงมา พั่งจื่อยื่นนิ้วโป้งออกไป “วัดนี้เยี่ยม! คราวหลังจะมาอีก!” จากนั้นก็เหยียบคันเร่งจากไป
ตอนที่ 37 จำนน (1)
ดังนั้นแล้ว หมาป่าเดียวดายจึงงับเข้าที่ก้นเขาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้เขากลัวคิดว่ามันถูกใจเขา ตอนที่ขึ้นเขามาอีกครั้งจึงต้องปิดก้นไว้แน่น เดินอ้อมไป ทุกคนที่มองอยู่ อดหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้ว่าง ตอนที่ห้าคนลงเขา ข้าวสุกแล้ว แต่เขาหุงไว้อีกหม้อ หม้อนี้มีปริมาณไม่มาก แต่พอสำหรับห้าคนกินอิ่มครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใจกว้างหรอก แต่ใจกว้างไม่ได้ต่างหาก! ตนก็ต้องผ่านฤดูหนาวเหมือนกัน…
ไปๆ มาๆ ก็ถึงตอนบ่าย ถังน้ำสุดท้ายเทเข้าไปในโอ่งพุทธ น้ำในโอ่งเต็มแล้ว!
พั่งจื่อกับโหวจื่อกระโดดตีมือกัน จากนั้นเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนนั่งลงกับพื้น เป็นตายยังไงก็ไม่ลุกขึ้น
“พั่งจื่อ โหวจื่อ ไม่เป็นไรนะ?” สามสาวก็ไม่ต่างกัน แต่ละคนเป็นลูกคุณหนู ถึงจะไม่ได้แบกหนัก แต่ขึ้นลงเขาสิบรอบก็เหนื่อยจนทนไม่ไหวเหมือนกัน
พั่งจื่อหอบหายใจแรง ตอบกลับทั้งๆ ที่ยังหลับตา “ไม่เป็นไร ตกนรกจริงๆ ตอนทำงานไม่เห็นรู้สึกเหนื่อย พอเสร็จได้พักแล้วก็รู้สึกหมดแรงเลย ไม่ขยับตัวแล้ว”
โหวจื่อถือโอกาสนอนแผ่บนพื้น “ขยับไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ฉันแค่อยากนอนที่นี่ หลับนานๆ ไปเลย”
“ไม่ใช่ว่าคุณพั่งไม่ขยันหรอกนะ แต่แรงดูดโลกตอนนี้มันมากจริงๆ!” พั่งจื่อกล่าว
ตอนนี้เองฟางเจิ้งหยิบถังน้ำเล็กออกมา ใช้กระบวยตักน้ำในโอ่งมาทีละกระบวย จากนั้นวางไว้ตรงหน้าคนเหล่านี้แล้วกล่าวสวด “อมิตพุทธ พวกโยมดื่มน้ำหน่อยเถอะ น้ำนี่จะเติมพลังให้พวกโยมฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว”
“ไต้ซือ ผมไม่มีแรงแล้ว” พั่งจื่อพูดเหมือนจะร้องไห้
ดีที่หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งยังมีแรง จึงลุกขึ้นมาป้อนน้ำให้สองคน
ตอนนี้พั่งจื่อยังบ่นอีกว่า “ไต้ซือ พูดให้รู้เรื่องก่อนนะ น้ำนั่นที่ให้พวกเราดื่มก่อนหน้านี้ทำไมถึงยังเป็นน้ำในโอ่งนั่นอีกล่ะ พวกเราดื่มน้ำนี่ตรงตีนเขามาพอแล้ว ถึงรสชาติ จะไม่แย่ แต่สู้น้ำที่ท่านให้พวกเราดื่มไม่ได้เลย”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “นั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นน้ำพุทธหลังจากที่อาตมาปลุกเสกแล้ว รสชาติย่อมต่างกัน แต่ความจริงคือ น้ำชนิดเดียวกัน”
“จริงเหรอ?” พั่งจื่อตะลึงงัน พอดื่มน้ำที่หร่วนอิ่งป้อนก็เชื่อทันที! บอกว่าไม่มีแรง แต่ครู่เดียวก็คว้ากระบวยน้ำไว้แล้วดื่มอึกๆ! เป็นอย่างที่ฟางเจิ้งบอกจริงๆ พอน้ำเข้าปากก็ไหลไปทุกเซลล์ เติมพลังงานและน้ำให้กับเซลล์ ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้รวดเร็วมาก!
ดื่มน้ำไปหนึ่งกระบวยแล้วพั่งจื่อดูสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย กำลังเพิ่มมาหลายส่วน ไม่ต้องให้หร่วนอิ่งป้อนแล้ว เขานั่งอยู่ข้างถังน้ำ ตักมาดื่มทีละกระบวย ดื่มไปพลางตะโกนไปพลาง “สุขใจจัง! สบาย!”
อีกด้านโหวจื่อก็เหมือนกัน สามสาวเห็นดังนั้นก็ตามมาดื่มน้ำ ความสุขที่ขาดน้ำมานาน พอได้สัมผัสน้ำบริสุทธิ์ ก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายคำว่าสบายได้ยังไง?
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังดื่มน้ำ ฟางเจิ้งพลันยกถังน้ำขึ้น
“เฮ้ๆๆ…ไต้ซือ ไหนบอกว่าจะให้ดื่มจนพอไง?!” พั่งจื่อไม่สนใจอะไรแล้ว
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “โยม ดื่มอีกพวกโยมจะอิ่ม”
“ดื่มอิ่มสิดี ผมหิวจะแย่แล้ว” พั่งจื่อลูบท้องพลางพูดด้วยความขมขื่น
“ใช่ๆ ไต้ซือ พวกเรายังดื่มไม่อิ่มเลย” เจียงถิงพูดขึ้น
ฟางเจิ้งยิ้ม “พวกโยมมั่นใจว่าจะดื่มน้ำให้อิ่มจริงๆ นะ?”
“แน่นอน!”
“มั่นใจสองครั้งเลย แถมให้อีกครั้งด้วย!”
ห้าคนพยักหน้าอย่างสุดชีวิตด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าไม่ให้พวกเขาจะตามราวีสุดชีวิต
ฟางเจิ้งพยักหน้า วางถังน้ำลง จากนั้นหมุนตัวเดินไปอีกทางพลางว่า “แบบนี้ก็ดี จะได้ประหยัดข้าวอาตมา วัดอาตมาเป็นวัดเล็ก ข้าวเป็นของหายาก พวกโยมไม่กินก็ช่วยประหยัดได้”
“ไต้ซือ! เดี๋ยว ท่านว่าไงนะ?” พั่งจื่อที่กำลังดื่มน้ำหูกระดิก ได้ยินคำพูดฟางเจิ้งจึงถาม
ฟางเจิ้ง “โยมได้ยินอะไร อาตมากำลังพูดอะไรงั้นเหรอ”
“ขอบคุณมากไต้ซือ!” พั่งจื่อร้องขึ้นในทันใด ถึงน้ำจะอร่อย แต่ดื่มมากไปก็รับไม่ไหว สำคัญคือ น้ำแก้หิวไม่ได้! พอได้ยินว่ามีข้าว เจ้านี่ก็กลับมามีชีวิตชีวา กระโดดโลดเต้นหัวเราะเสียงดัง
พวกโหวจื่อก็ไม่ใช่คนหูหนวก หัวเราะตามและพูดขอบคุณไม่หยุด
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย เปิดหม้อข้าวออก ควันสีขาวลอยโชย กลิ่มหอมฟุ้งกระจายไปรอบๆ! ข้าวผลึกมีกลิ่นหอมพิเศษ อัดแน่นอยู่เต็มห้องครัว ห้าคนนี้ออกแรงสูดควันขาวก่อนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าข้าวหอมได้ขนาดนี้! ทั้งยังน่ากิน!
“ไต้ซือ นี่มันข้าวอะไรคะ? ทำไมหอมจัง!” เจียงถิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งหัวเราะ “พุทธองค์กล่าวไว้ว่า พูดไม่ได้ พวกโยมจะกินไหม?”
“กิน!” ห้าคนประสานเสียงกัน ตอนนี้ความคิดพวกเขาถูกความตะกละเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์ ไม่คิดอะไรแล้ว ที่มากกว่าคือเชื่อใจฟางเจิ้ง ความระวังต่างๆ ตอนขึ้นเขามาหายไปนานแล้ว
ฟางเจิ้งพยักหน้า ตักให้หนึ่งคนหนึ่งชาม
“ไต้ซือ กับข้าวล่ะ?” พั่งจื่อยกชามข้าวพร้อมถาม
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “อาตมาอยู่ในถิ่นกันดาร จะมีกับข้าวจากไหน? ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ไม่มีผัดสดกินได้ด้วย ถ้าจะมีจริงๆ ก็มีผักป่า พวกโยมกินได้ไหม”
“หา?” พั่งจื่อเหม่อลอย เจียงถิงงุนงง ถึงข้าวจะหอม แต่กินข้าวเปล่าๆ นี่มัน…
ยังไม่ทันที่เจียงถิงจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงเคี้ยวดังไม่หยุดข้างหู เธอหันไปมอง ก่อนชี้ไปข้างหลังพั่งจื่อ “พั่งจื่อนายดูสิ!”
พั่งจื่อมองตามไปเห็นโหวจื่อ หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งสามคนกำลังกินข้าวอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าเหี้ยมโหดนั้นราวกับว่าข้าวเป็นคนที่พวกเขาจะฆ่าล้างแล้น! กินกันได้รวดเร็วมาก!
สองคนนี้คุ้นตากับภาพนี้เล็กน้อย ตอนดื่มน้ำก็มีสีหน้าแบบนี้! พอนึกขึ้นได้ว่า ข้าวนี่ใช้น้ำบริสุทธิ์หุง รสชาติจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ สองคนจึงเริ่มกิน ข้าวหวานนุ่มคำแรกเข้าปาก พอกัด กลิ่นหอมแตกกระจายหลงเหลือเต็มปาก!
เม็ดข้าวอัดแน่น เปลือกนอกคล้ายหมากฝรั่ง กัดเบาๆ เนื้อข้าวหอมมันทะลัก กลิ่นหอมรุนแรงกว่าเดิม!
หอม!
หอมจริงๆ!
นี่คือ ความคิดที่วูบผ่านในใจสองคนนี้ ที่เหลือก็ก้มหน้ากินอย่างบ้าคลั่ง แต่พั่งจื่อยังจำผักป่าที่ฟางเจิ้งพูดได้ คิดว่าผักป่าก็ไม่น่าจะธรรมดาเหมือนกัน จึงเฝ้าจับตาดูไว้ อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่สังเกตคีบมาชิมคำหนึ่ง หากอร่อย เขาจะแอบกินจนหมด คนเดียว
แต่เมื่อเข้าปากก็แทบจะคายทิ้ง ซ้ำด่าทอในใจ ‘นี่มันห่าอะไรวะเนี่ย!’
ดีที่ข้าวอร่อยจึงทนไหว
ฟางเจิ้งมั่นใจว่าพั่งจื่อไม่กินผักป่าจึงเก็บไป ถึงผักป่าจะไม่อร่อย แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นผัก เขาต้องผ่านฤดูหนาว การเสริมวิตามินก็ต้องใช้ผักป่าเหล่านี้ ประหยัดได้ก็ประหยัด!
ตอนที่ 36 วิธีแก้แค้นของฟางเจิ้ง
โหวจื่อพยักหน้า “เป็นไปได้ แต่เป็นไปได้มากกว่าคือเขาใช้น้ำนี่ซักผ้า…”
พั่งจื่ออึ้งไป…
ถึงจะมีการคาดเดาต่างๆ นาๆ แต่พวกเขาก็ตัดสินใจขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน พั่งจื่อกับโหวจื่อแบกถังน้ำใหญ่พร้อมตะโกนด้วยความโกรธ แต่มันไม่ขยับเลย!
สองคนจึงเก้อเขิน พั่งจื่อพูดขึ้น “เมื่อกี้น่ะเล่นๆ ครั้งนี้ต้องออกแรงจริงๆ แล้ว โหวจื่อ สู้!”
โหวจื่อถุยน้ำลายที่สองฝ่ามือพลางพยักหน้า
เจียงถิงมองสองคนด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าพวกนายสองคนแบกกันไม่ขึ้นรึไง?”
“พูดอะไรอย่างนั้น? ดูร่างกายพี่เสียก่อน เหมือนคนไม่มีแรงรึไง?” พั่งจื่อไม่พอใจจึงบอกให้โหวจื่อออกแรง!
สองคนหน้าหลังส่งเสียงร้อง ใบหน้าแดงก่ำ ในที่สุดถังใหญ่ก็โคลงเคลง
“โหวจื่อ นายออกแรงหน่อยสิโว้ย!” พั่งจื่อว่า
“แรงที่ฉันกินนมมาไม่ออกเลยรึไง? ทำไมถังนี่มันหนักนักวะ?”
“อยู่ในช่วงสำคัญนะ อย่าพลาดล่ะ! พวกผู้หญิงดูอยู่!”
“ไป!”
สองคนจึงเดินเซขึ้นไปบนเส้นทาง แต่เดินไปได้สักครู่ก็เห็นหมาป่าเดียวดายแบกถังน้ำสองถังลงมา เดินผ่านไป ทั้งยังชำเลืองตามองสองคนอย่างเหยีดหยาม จากนั้นกระโดดลงไป
“ห่าเอ๊ย! หมาป่านั่นมองดูถูกฉัน!” พั่งจื่อพูดขึ้นด้วยความไม่ยอม
“หมาป่าอะไร? ฉันเห็นหมาต่างหาก!” โหวจื่อกัดฟัน เขาก็เห็นแววตานั้นเหมือนกัน
“ถูก เป็นหมา! หมาใหญ่!” พั่งจื่อด่าทอตาม ก่อนสองคนจะพยายามต่อไป
หลายนาทีต่อมามีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างหลัง สองคนหันไปมองก็เห็น หมาป่าเดียวดายแบกถังน้ำสองถังวิ่งขึ้นมา ก้าวเล็กๆ แซงหน้าสองคนไป ตอนที่ผ่านพั่งจื่อยังใช้หางฟาดเขาไปสองที!
ทำให้พั่งจื่อโมโหจนรอหมาป่าเดียวดายไปไกลแล้วถึงด่าทอ “ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ คุณพั่งใจดีล่ะก็ ฉันจะตุ๋นแกซะ!” ขณะเอ่ยอยู่นี้ พั่งจื่อโยกไหว ถังน้ำโยกตาม น้ำจึง หกไปข้างนอก พั่งจื่อพลันรู้สึกว่าถังน้ำเบาลงหน่อย!
โหวจื่อต่อว่า “นายเดินให้มันมั่นคงหน่อยสิ!”
“รู้แล้วๆ อย่าพูดมากหน่า คุณพั่งดูทางอยู่” พั่งจื่อบ่นพึมพำ แต่เดินไปสองสามก้าวก็โยกอีกครั้ง น้ำหกไปอีกเล็กน้อยจึงเบาลงหน่อย ไม่นานโหวจื่อก็เข้าใจความหมายของพั่งจื่อ โยกตาม สองคนโยกกันคนละทีสองที น้ำหกไปข้างนอกไม่หยุด ถังเบาลง สองคนก็สบายขึ้น แถมยังขึ้นไปถึงยอดเขาในทีเดียว เห็นหลวงจีนหัวโล้นยืนอยู่หน้าประตูวัดเอกดรรชนีอยู่ไกลๆ อย่างสุภาพ มีกลิ่นอายของธรรมะมาก
ฟางเจิ้งก็ตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน ถังใหญ่ขนาดนั้น ลูกคนหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมแต่เล็กกลับแบกขึ้นมาได้จริงๆ ทำให้เขามองในมุมใหม่อีกครั้ง อย่างน้อย เขาที่ไม่ได้ฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ก็ไม่มีทำได้!
รอจนพั่งจื่อกับโหวจื่อวางถังน้ำใหญ่ตรงหน้าฟางเจิ้งแล้ว ช่วงที่รู้สึกว่ากำลังจะได้ประโยชน์จากความสำเร็จคนอื่น ฟางเจิ้งหน้ามืดทะมึนโดยพลัน
“ไต้ซือ น้ำมาแล้ว ให้พวกเราเทในโอ่งน้ำเลยรึเปล่า?” พั่งจื่อปาดเหงื่อ หอบหายใจแรงพลางพูดด้วยสีหน้าลำพองใจและรู้สึกว่าตนสำเร็จ
ฟางเจิ้งตอบ “ไม่ต้อง น้ำเหลือแค่นี้น่าจะพอให้พวกโยมดื่มคนละเหยือก เอาไปเท ก็ลำบาก พวกโยมดื่มเถอะ”
พั่งจื่องงงวย คิดว่าฟางเจิ้งกำลังเย้ยเยาะเขาจึงโกรธขึ้นมา ขณะกำลังจะโมโหนั้น ได้ยินโหวจื่อพูดขึ้น “เวร! พั่งจื่อ เล่นเลยเถิดไป น้ำหกจะหมดแล้ว!”
“อะไรนะ?” พั่งจื่อนอนพาดอยู่บนถังน้ำมองไปข้างใน เห็นน้ำอยู่ตรงก้นจริงๆ สองคนจึงมองกันเหมือนจะร้องไห้ เหนื่อยจะตายชัก วางแผนไว้อย่างดิบดี แต่ที่ว่าฉลาดกลับเป็นความเข้าใจผิด หลอกตัวเองเสียได้! ครั้งนี้เสียแรงเปล่าแล้ว!
พั่งจื่อมองฟางเจิ้งอย่างน่าสงสาร “ไต้ซือ น้ำนั่น…”
ฟางเจิ้งมองสองคนแล้วก็มองหญิงสามคนที่มองมาอย่างน่าสงสารเช่นกัน ก่อนส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ “สัญญาคือ น้ำเต็มโอ่งถึงจะพอ ตอนนี้โอ่งน้ำยังไม่เต็ม”
“ไต้ซือ ท่านก็เห็นแล้วว่าพวกเราสองคนเป็นคนครึ่งคนพิการ คนหนึ่งพิการอ้วน อีกคนพิการผอม ท่านยอมเถอะนะ ให้พวกเราดื่มน้ำหน่อย พวกเราจะได้ลงเขา” เจียงถิงเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นด้วยความน่ารัก
แต่ฟางเจิ้งกลับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ เหมือนกับความน่ารักของหญิงงามเป็นอากาศธาตุ ไม่สนใจเลย แต่ในใจแทบจะด่าแม่ ‘รู้ทั้งรู้ว่าอาตมาสนใจผู้หญิงไม่ได้ยังมา ไม้นี้อีก คิดจะใช้ความจริงใจทำให้อาตมาว้าวุ่นรึไง?’
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงปิดประตูใหญ่ พูดเสียงดังแว่วออกมา “ทุกอย่างเป็นไปตามสัญญา อมิตพุทธ” น่าตลก ตอนเข้ามาในวัดยังปากเก่งกันอยู่เลย ตอนนี้ล่ะ…ถึงตาฟางเจิ้งเอาคืนบ้าง!
“ทำไงดี?” พั่งจื่อถามโหวจื่อ
โหวจื่อนั่งแผ่อยู่บนขั้นบันได กัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธ “พั่งจื่อ เราสองพี่น้องโตมาขนาดนี้แล้ว เคยยอมแพ้เหรอ?”
“ไม่! ตอนนั้นเราสองคนสู้สิบหกคน หน้าตาบูดเบี้ยว กระดูกหักไปหลายท่อนก็ยังไม่ยอมแพ้ อยู่ในวงการธุรกิจมานานขนาดนี้ ช่วงวิกฤติก็ยังไม่เคยยอมแพ้” พั่งจื่อตอบ
นัยน์ตาสองคนฉายแววมุ่งมั่นเต็มสิบ “ใช่! เราสองพี่น้องไม่เคยยอมแพ้ จะยอมแพ้ด้วยเรื่องนี้รึไง? แค่โอ่งน้ำเองนี่? เติมมันให้เต็ม! ถึงตอนนั้นน้ำฉันจะไม่ดื่มน้ำของเขา! เขาไม่ยอม ฉันก็จะไม่ยอมเหมือนกัน!”
“ถูก! งั้นฉันช่วยนายดื่มส่วนนั้นเอง!” พั่งจื่อพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ
โหวจื่อ “¥##@¥#@…”
ดังนั้นสองคนจึงลงเขาอีกครั้ง พอสองคนนี่ฮึกเหิม หญิงสามคนก็ไม่ใช้อุบายเพื่อ ออกแรงน้อยอีก ต่างหยิบอ่างเล็กตามไป หลูเสียวอ่าหยิบแก้วไปอีกใบ…
ครั้งนี้โหวจื่อกับพั่งจื่อไม่ได้แบกน้ำมาจนเต็ม แต่เอามาครึ่งถัง ถึงจะน้อยแต่ก็ ลดภาระได้ สองคนกัดฟันกลั้นใจ ยังงงอยู่เลยว่าแบกขึ้นมาได้อย่างมั่นคงจริงๆ
ซู่ เทน้ำครึ่งถังลงไปในโอ่งพุทธ แม้จะเพิ่มมาไม่เท่าไร แต่สองคนก็ดีใจมาก! ถือว่าสำเร็จแล้ว! พวกเขาสองคนไม่ได้รู้สึกสำเร็จมานานมากแล้ว! ครั้งแรกก็คือดีใจช่วงเรียนจบ! ดีใจช่วงที่จีบสาวที่รักมาได้! เป็นความสุขง่ายๆ แต่กลับทำให้พวกเขาภูมิใจจริงๆ เป็นความสุขจากใจจริง
“ไปไหม? ต่อ!” พั่งจื่อคึกคักแล้ว
โหวจื่อขานรับ จากนั้นสองคนก็แบกถังน้ำลงเขาไปอีก
หญิงสามคนตามไป ถึงจะหอบหายใจแรง แต่ไม่ได้คิดจะพัก
เห็นถึงตรงนี้ฟางเจิ้งก็แอบพยักหน้า เริ่มเปลี่ยนภาพจำต่อห้าคนนี้ อย่างน้อยความรู้สึกไม่ดีตอนแรกก็หายไป ที่เหลืออยู่ยังมีความเคารพอยู่เล็กน้อย ดั่งสำนวนที่ว่าไว้คือเคยทำตัวใหญ่มาแล้วทำให้ตัวเล็กลงไม่ได้ การที่ให้คนรวยมาลำบากอย่างกะทันหันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ โดยเฉพาะความลำบากที่ดูแล้วไม่มีความหมายอะไรด้วย
ตอนเริ่มพั่งจื่อกับโหวจื่อทำเพื่อน้ำบริสุทธิ์อึกนั้นของฟางเจิ้ง ถึงตอนท้าย สองคนทำเพราะรู้สึกมีความสุขที่จะได้เติมน้ำเต็มโอ่งพุทธ รวมถึงความรู้สึกที่ได้เดินเชิดหน้า ตอนผ่านฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดาย! โดยเฉพาะพั่งจื่อยังจำที่หมาป่าเดียวดายงับก้นเขาได้ รวมถึงการเย้ยเยาะตอนที่มันขึ้นเขาไปด้วย
ตอนที่ 35 ละโมบ
แต่ฟางเจิ้งก็ยังถามระบบก่อน “ว่ายังไง?”
“แรงงานแลกค่าตอบแทน สมเหตุผล”
ดังนั้นฟางเจิ้งที่เป็นมะเร็งขี้เกียจระยะสุดท้ายจึงพยักหน้า “ได้”
“ถัง ถัง ถัง ไต้ซือถังอยู่ไหน? ผมจะเอาถังใหญ่!” พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ หิวไม่เป็นไร ตอนนี้แค่อยากกินน้ำ!
แก๊ง!
ฟางเจิ้งเอาถังใหญ่ที่เขาแบกน้ำออกมาจากห้องครัว ถังเหล็กใหญ่สูงหนึ่งเมตรสอง กว้างครึ่งเมตรวางอยู่ตรงหน้าพั่งจื่อ
พั่งจื่อที่เพิ่งตื่นเต้นดีใจพลันตะลึงค้าง ชี้ถังน้ำพลางว่า “ไต้ซือ ท่านหยิบผิดถังรึเปล่า? แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่โอ่งน้ำ?”
ฟางเจิ้งชี้โอ่งน้ำที่ใหญ่กว่าในครัว “นั่นคือ โอ่งน้ำ โยมจะลองหน่อยไหมล่ะ?”
พั่งจื่อชำเลืองตามองโอ่งน้ำแวบหนึ่ง พลันมีสีหน้าขมขื่นแอบด่าทอในใจ‘ไอ้เวร! นั่นมันโอ่งน้ำเรอะ? นั่นคือโอ่งน้ำบ้านแกเรอะ? นี่มันยังกับอ่างอาบน้ำ? คุณพั่งลงไปว่ายน้ำยังได้เลย!’
ฟางเจิ้งย่อมเข้าใจความลำบากของพั่งจื่อ แต่ก็ยังพูดเสริมด้วยความชั่วร้าย “ถังนี่ใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าโยมไม่ชอบที่มันยังเล็กไป ก็แบกโอ่งน้ำลงไปเถอะ”
“ไม่เล็กแล้วๆ” พั่งจื่อรีบตอบ จากนั้นลองยกถังน้ำดูเหล็กดู ไม่ถือว่าหนัก และก็ไม่เบา แบกคนนึงยังพอไหว แต่ว่าหากมีน้ำด้วย…พั่งจื่อหน้าสลดทันที ทั้งยังชำเลืองตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง โหวจื่อกำลังเอาสองมือล้วงกระเป๋า ผิวปาก มองฟ้า ทำเหมือนมอง ไม่เห็น ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
พั่งจื่อเดินเข้าไปเตะก้นโหวจื่อทีหนึ่ง “นายอยากกินน้ำไหม? ถ้าอยากก็ทำงาน ไม่งั้นฉันเอาน้ำกลับมาแล้ว นายอย่าได้กิน!”
โหวจื่อถึงกล่าว “ไต้ซือ พวกเราต้องตักน้ำกลับมาเท่าไหร่ถึงจะให้น้ำกินเหรอครับ?”
ฟางเจิ้งชี้โอ่งพุทธพลางตอบ “เติมเต็มโอ่งก็พอ”
ห้าคนเข้าไปใกล้ มองไปข้างในก็ต้องผงะ! โอ่งน้ำนี่ใหญ่มาก มองจากข้างในใหญ่ยิ่งกว่า!
โหวจื่อกลืนน้ำลายลงคอ “นี่ต้องใช้กี่ถังถึงจะเต็มครับ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ประมาณสิบถัง”
“ไต้ซือ ปกติท่านแบกน้ำขึ้นมายังไง?” พั่งจื่อไม่ยอมจึงคิดหาทางลัด ไม่คิดว่า หลวงจีนสุภาพเรียบร้อยแบบนี้จะแบกน้ำขึ้นลงเขาคนเดียว ส่วนหมาป่านั่น ถึงจะมีร่างกายแข็งแรง แต่หมาป่าก็ยังเป็นหมาป่า ไม่ใช่วัวม้า มีกระดูกสันหลังอ่อนโดยธรรมชาติ ไม่มีทางมีกำลังเติมน้ำเต็มโอ่งด้วยตัวเองแน่
ฟางเจิ้งตอบ “แบกเอา”
“ท่านคนเดียวเหรอ?” ทุกคนอึ้งไป
ฟางเจิ้งพยักหน้า “หมาป่าเดียวดายช่วยด้วยบ้าง”
ทุกคนมึนงงเล็กน้อย ถังใหญ่ขนาดนี้กับหลวงจีนผอมบาง มองเดี่ยวๆ ก็ดูปกติมาก แต่พอเอามารวมกันกลับไม่เข้ากันเล็กน้อย
“พวกโยมยังจะตักน้ำอีกไหม? ถ้าจะตักก็รีบหน่อย ขึ้นลงเขาไม่ง่ายนะ” ฟางเจิ้งถาม
“ว่ายังไง? จะทำไหม?” พั่งจื่อถามโหวจื่อ
“ไปเหอะหน่า แบกถังใหญ่ด้วยกัน! ขึ้นลงเขาก็เหนื่อยพอแล้ว รอบนึงหนึ่งถังใหญ่ว่าไง?” พั่งจื่อด่ายิ้มๆ
โหวจื่อลังเลเล็กน้อย แต่เห็นแววตาปรารถนาของหลูเสียวอ่าแล้ว ตอนนี้จะยอมแพ้ไม่ได้ จึงตอบตกลง ไม่ต้องใช้ไม้หามแล้ว แต่แบกหนึ่งถังน้ำใหญ่คนละข้างลงเขาไป
เจียงถิง หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งเห็นดังนั้นก็หยิบอ่างเล็ก เดินตามไป หลูเสียวอ่าหัวเราะ หยิบแก้วน้ำไปด้วยหนึ่งแก้ว…
เห็นดังนั้นฟางเจิ้งก็พูดไม่ออก มีคนที่คิดไม่ซื่ออยู่จริงๆ…
ฟางเจิ้งไม่สนว่าพวกเขาจะขึ้นมาเมื่อไร ข้าวอยู่ในหม้อแล้ว การหุงข้าวหม้อใหญ่ใช้เวลานานมาก อีกอย่างฟางเจิ้งก็หุงข้าวได้ไม่แย่นัก รู้ว่าเมื่อไรต้องใช้ไฟอ่อน เมื่อไรใช้ ไฟแรง คุมไฟสลับกันเลยหุงมาเป็นข้าวที่อร่อยที่สุด วิชานี้เขาเรียนมาจากหลวงจีน หนึ่งนิ้ว บนเขาลำบาก หลวงจีนหนึ่งนิ้วจึงหาของอร่อยมาเติมเต็มความตะกละของ ฟางเจิ้งไม่ได้ ดังนั้นจึงฝึกฝนฝีมือในการทำอาหารอันร้ายกาจของตัวเอง
แน่นอนว่ามีขีดจำกัดอยู่ที่การทำอาหารและข้าวง่ายๆ สองสามอย่าง ส่วนที่เหลือ ถึงเขาอยากจะศึกษาก็ซื้อวัตถุดิบมาฝึกมือไม่ได้
ฟางเจิ้งปรับให้เป็นไฟอ่อน จากนั้นเดินมาที่ใต้ต้นโพธิ์ในลาน อ่านพุทธคัมภีร์อย่างสงบ
พุทธคัมภีร์ไม่ใช่ฉบับเต็ม ฉบับเต็มคืออะไรฟางเจิ้งไม่รู้ เพราะมันหายไปครึ่งหนึ่งนานแล้ว ไม่มีตอนต้นและตอนท้าย มองไม่ออกด้วย แต่ในนี้มีบทหนึ่งเป็นบททำวัตรเช้า สวดแล้วก็ไพเราะดี อีกทั้งตอนสวดจะทำให้จิตใจสงบ รู้สึกสบายใจไปทั้งตัว
อีกอย่างก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ จึงอ่านเป็นร้อยรอบ ได้รู้ความหมายของมัน และยังได้ทบทวนของเก่าจึงเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ใต้ภูเขา ในที่สุดพวกพั่งจื่อกับโหวจื่อก็มาถึงจุดน้ำพุ พั่งจื่อพลันตบเข้าที่หน้าผาก เอ่ยขึ้น “เดี๋ยว นี่พวกเราโง่รึเปล่า? น้ำของหลวงจีนนั่นก็มาจากตรงนี้นี่ พวกเราจะตักน้ำให้เขาทำไมกัน? ที่นี่ก็มี พวกเรานอนกินในนี้ยังได้! จะตักน้ำขึ้นไปทำไม!”
พวกโหวจื่อพลันรู้ตัว “ใช่! พวกเราจะแบกน้ำทำไมกัน จะเหนื่อยไปทำไม กินเลยเถอะ!”
ดังนั้นห้าคนจึงโห่ร้องพร้อมพุ่งไปยังน้ำพุ ไม่ต้องใช้ถังน้ำแล้ว แต่เหมือนกับม้าป่าไร้บังเหียน
พั่งจื่อหัวเราะเสียงดัง “โหวจื่อ นายว่าถ้าเอาน้ำนี้ไปทำน้ำแร่จะขายได้เป็นกอบเป็นกำไหม?”
“ต้องได้อยู่แล้ว!” โหวจื่อดวงตาเปล่งประกาย!
“กลับไปรวมเงินแล้วทำกันเถอะ! พวกเราจะรวยแล้ว ฮ่าๆ…หลวงจีนเวรนั่น เฝ้าขุมทรัพย์ไว้ไม่ยอมใช้ สมน้ำหน้า! พวกเราให้พันหยวนต่อชามยังไม่ให้ ตอนนี้ฉันจะไม่แบ่งเขาแม้แต่เหมาเดียว แถมจะกินให้หนำใจด้วย! รอฉันได้รับเหมาน้ำพุนี่ก่อนเถอะ ฉันจะให้เขาจ่ายเงินค่าน้ำนี่! ชามละพันหยวน!”
“พั่งจื่อ อย่าคิดน้อยแบบนั้นสิ ฉันว่าพันห้ากำลังดี” โหวจื่อหัวเราะ
สองคนต่างหัวเราะ สามสาวก็หัวเราะเช่นกัน เจียงถิงว่า “ไต้ซือนั่นน่ารังเกียจจริงๆ”
หลูเสียวอ่าหัวเราะหึหึ “แต่เขาไม่ฉลาดเอาเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะบอกที่ซ่อนสมบัติกับพวกเราแบบนี้ พวกเราจะรวยแล้ว แต่เขาก็ยังจนอยู่…”
ทุกคนหัวเราะ จนเดินมาถึงริมน้ำพุ ใครมีอ่างก็ใช้อ่าง มีแก้วใช้แก้ว พั่งจื่อนอนหมอบอยู่ข้างตาน้ำพุ ชะเง้อหน้าเข้าไปกิน ส่วนโหวจื่อนั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้สองมือตักน้ำขึ้นมากิน…
หลายนาทีต่อมา รอยยิ้มทุกคนแข็งค้าง
จากนั้นยืนขึ้นพร้อมกัน พ่นน้ำออกมา
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมน้ำถึงรสชาติแย่ขนาดนี้?” พั่งจื่อร้องขึ้นด้วยอาการไม่ดีที่สุด
“พั่งจื่อ อย่าพูดซี้ซั้ว มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่นายพูดสักหน่อย ดีกว่าน้ำแร่ที่เรากินก่อนหน้านี้อีก แต่เทียบกับน้ำของไต้ซือแล้วอยู่คนละชั้นกันเลย” เจียงถิงเอ่ยด้วยความ กลัดกลุ้ม
“เอาเถอะ เมื่อกี้ยังบอกว่าเขาโง่อยู่เลย ตอนนี้ดูแล้วเขาไม่โง่เลยนะ! บอกที่อยู่ พวกเราที่ไม่ใช่ที่ที่เขาไปตักน้ำ” หลูเสียวอ่าพูดด้วยความเศร้า
หร่วนอิ่งว่า “ถ้างั้นตอนนี้พวกเราเอาไงดี? จะตักน้ำรึเปล่า?”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ได้กินอีกอึกฉันไม่ยอมจริงๆ! อีกอย่างพอขึ้นไปแล้วจะต้องถามหน่อยว่าน้ำของหลวงจีนนั่นมันอะไรกันแน่ ทำไมถึงอร่อยขนาดนั้น! ในนั้นจะต้องมีอะไรปิดบังแน่ ถ้าเขาตักน้ำด้วยตัวเองได้ ก็คงไม่ให้พวกเราแบกน้ำพุนี่ขึ้นไปหรอก” พั่งจื่อแค่นเสียงดังหึหึ
ตอนที่ 34 กรรมกรหลายคน
เจียงถิงกับหร่วนอิ่งก็อยากรู้อยากเห็นมากเหมือนกัน ใครจะไปยอม จึงรีบพยักหน้า รับน้ำมาคนละชาม
เห็นโหวจื่อเป็นตัวอย่าง เจียงถิงกับหร่วนอิ่งจึงเดินไปไกลแล้วดื่มน้ำอย่างสงบ
สองคนเม้มปากก่อนตรึกตรอง ‘น้ำนี่มีอะไรกันแน่? ทำไมถึงทำให้พวกเขาสามคนเหมือนปีศาจเลย?’
แต่ต่อมาสองคนนี้ก็ไม่คิดอะไรแล้ว เอาแต่ดื่มน้ำจนหมด จากนั้นยังแลบลิ้นขาวและนุ่มเลียชาม มีสีหน้าหลงใหล
“อร่อย!” เจียงถิงออกความเห็น
หร่วนอิ่งมองฟางเจิ้งอย่างน่าสงสาร “ไต้ซือ ขออีกชามได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้” แต่ในใจคิด ‘ถึงเธอจะน่ารักมาก แต่ก็ปักอยู่บนมูลวัวแล้ว ไม่มีวาสนากับอาตมาแล้ว ทำตัวน่ารักไปก็ไม่มีประโยชน์!’
“ไต้ซือ ผมเพิ่งนึกได้ว่าพั่งจื่อพูดถูกอย่างนึงนะ กฏท่านไม่สมเหตุผล ในเมื่อหนึ่งคนหนึ่งชาม ถ้าอย่างนั้นให้ชามใหญ่กว่านี้หน่อยได้รึเปล่า? ท่านดูสิพวกเราปีนเขาขึ้นมา ดวงอาทิตย์ใหญ่ขนาดนี้ เหงื่อออกเยอะ ระเหยเร็ว ร่างกายขาดน้ำแล้ว ท่านดูสิ เด็กสาวพวกนี้เนื้อหนังบอบบาง ถ้าขาดน้ำจะเป็นลมเอาได้ อันตรายมากนะ…” โหวจื่อเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
พูดอยู่นานฟางเจิ้งก็หัวเราะมองเขา ไม่ได้ขัดอะไร
ห้านาทีผ่านไป โหวจื่อหยุดพูด แต่ถาม “ไต้ซือ ท่านได้ฟังผมพูดรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “กำลังฟังอยู่ พูดได้ดี โยมทำต่อไป”
“เอ่อ…” โหวจื่อเก้อเขินเล็กน้อย เกาหัวแล้วพูดต่อ “ไต้ซือ ความหมายของผมคือ ท่านให้น้ำอีกแก้วได้ไหม?”
“ไม่ได้” ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด เขาไม่มีข้อดีอะไร แต่เรื่องอาฆาตแค้นนับเป็นหนึ่งในนั้น
โหวจื่อจนปัญญา เจอกับหลวงจีนยืนหยัดความคิดตัวเองแบบนี้ เขาได้แต่จำใจจริงๆ
ตอนนี้เองพั่งจื่อทนไม่ไหวพูดขึ้น “หลวงพี่ ผมซื้อได้ไหม? ชามละร้อยหยวน? ราคานี้แพงกว่าน้ำของผู้ดีในโลกนี้อีกนะ ถ้าเป็นข้างนอกผมซื้อน้ำของท่านได้ยี่สิบถังเลย! แล้วก็ถังใหญ่แบบนี้ด้วย!” พั่งจื่อกางแขนออกพลางคุยโม้
ฟางเจิ้งกลับยิ้ม “อาตมาเคยลงเขาแล้ว”
พั่งจื่อจึงเขินอายทันที…
หลูเสียวอ่าเข้ามาใกล้ “ไต้ซือ ท่านบอกมาเถอะว่าขายไหม?”
ฟางเจิ้งอยากบอกมากว่า ‘ขาย!’ แต่ว่า
“ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เงินที่ไม่ปนเปื้อนความปรารถนาจะเป็นเหมือนกระดาษเปล่าสำหรับนาย ระบบไม่รับ นายลงเขาไม่ได้ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างนาย เป็นนักบวช เป็นไต้ซือในอนาคต จะมาแลกเปลี่ยนเพื่อเงินแค่นี้ไม่ได้! ดังนั้น ต่อให้นายหาคนไปซื้อแทนก็ไม่ได้เหมือนกัน” ระบบกล่าวขึ้น
ตอนนี้ในใจฟางเจิ้งกำลังเลือดไหล แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างจำใจ เห็นฟางเจิ้งยิ้มอย่างอบอุ่น พวกเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าหรือจะมีหวัง?
แต่ฟางเจิ้งก็พูดมาสองคำ “ไม่ขาย!”
“ไต้ซือ ท่านอย่าดื้อดึงแบบนี้เลยนะ? หรือไม่อย่างนั้นพวกเราเพิ่มเงินให้ได้?” เจียงถิงอดไม่ไหวเหมือนกัน ดื่มน้ำจากฟางเจิ้งแล้ว ตอนนี้เธอไม่อยากดื่มน้ำอื่นๆ อีก สำคัญคือยังดื่มไม่พอ!
“ใช่ พวกเราเพิ่มเงินเป็นชามละพันหยวนดีไหม?” โหวจื่อกัดฟันให้ราคาที่สูงมาก
แต่โหวจื่อไม่รู้ว่ายิ่งพวกเขาเรียกราคาสูง ในใจฟางเจิ้งก็ยิ่งหลั่งเลือดมากเท่านั้น เห็นธนบัตรสีแดงลอยอยู่ตรงหน้า จะคว้าได้ตลอดเวลา แต่ก็ทำไม่ได้! ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับนักโทษที่ติดคุกมาหลายสิบปีพลันมาเจอกับหญิงงามนอนเปลือยรอเขาอยู่ บนเตียง แต่ก็พบว่าตนถูกล่ามขาเอาไว้ ห่างอีกแค่เมตรเดียวก็เข้าไปไม่ได้!
อึดอัดใจ…
ฟางเจิ้งกลัวว่าคนพวกนี้จะให้ราคาสูงขึ้นอีกจริงๆ กลัวว่าตนจะอดใจไม่ไหวทำผิดศีล ดังนั้นจึงเก็บชาม หมุนตัวเดินจากไป แถมยังเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับมา “พวกโยมดื่มน้ำแล้วก็รีบลงเขาเถอะ”
“ไต้ซือ เดี๋ยวก่อนค่ะ” เจียงถิงเรียกฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งถาม “อุบาสิกามีเรื่องอะไร?”
เจียงถิง “ไต้ซือ พวกเรารู้ว่าท่านมีกฏ แต่นอกจากกฏแล้วจะต้องมีกรณีพิเศษสิ? แล้วจะทำยังไงท่านถึงให้น้ำพวกเราอีกชามได้?”
ฟางเจิ้งกำลังจะตอบ หมาป่าเดียวดายก็กลับมาแล้ว ทั้งยังเห่าให้เขาสองที
ฟางเจิ้งจึงพูดตอบ “เจ้าตะกละนี่ ฉันรู้แล้ว นายไปตักน้ำด้วยความไม่บริสุทธิ์ คงหมายปองน้ำของฉันล่ะสิ”
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที แสดงท่าทีเหมือนคนอย่างยิ่ง หลังถูกจับได้แล้วก็มีสีหน้าเก้อเขิน พริบตานั้นเจียงถิง โหวจื่อ พั่งจื่อ หลูเสียวอ่าและหร่วนอิ่งห้าคนเหมือนเห็นผี เบิกตาโต ขยี้ตา จนมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไปแล้ว ยังมองฟางเจิ้งด้วยแววตาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาพบว่าหลวงจีนที่อายุพอๆ กับพวกเขาเหมือนมีความลับอยู่นับไม่ถ้วน ยิ่งเข้าใจมากเท่าไรก็ยิ่งมีหมอกหนาทึบเท่านั้น ความอยากรู้อยากเห็นจึงมากกว่าเดิม
หลูเสียวอ่าถาม “ไต้ซือ ท่านฟังภาษาหมาป่ารู้เรื่องหรือคะ?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกสรรพสัตว์มีจิตวิญญาณ พวกโยมฟังภาษาคนรู้เรื่อง คนย่อมฟังภาษาพวกมันรู้เรื่อง ของพวกนี้ คนที่อยู่กับสัตว์ตลอดปีจะทำได้ ไม่ได้มีอะไรน่าแปลก”
ฟางเจิ้งพูดสบายๆ คนพวกนี้จึงขบคิด ผู้ฝึกสัตว์เหมือนจะสื่อสารกับสัตว์ป่าได้ แล้วยังมีคนที่เลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวเหล่านั้น พอนานเข้าก็จะสื่อสารได้เหมือนกัน ถึงรู้สึกว่าฟางเจิ้งพูดมีเหตุผล แต่กลับรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีปราการความเข้าใจขวางอยู่ บอกไม่ถูกว่ามันไม่ถูกต้องตรงไหน
ชั่วขณะที่พวกเขากำลังตรึกตรอง มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
พั่งจื่อร้องขึ้นด้วยความเสียใจ “อย่านะ! สิ้นเปลืองไปแล้ว!”
ทุกคนจึงได้สติกลับมา เห็นฟางเจิ้งผ่าน้ำเต้าใหญ่ออกครึ่งทำเป็นกระบวยตักน้ำ ตักน้ำจนเต็มกระบวยแล้วเทลงในชามที่ทำมาจากกระถางดอกไม้บนพื้น อีกทั้งยังเทต่ออีก สามกระบวยจนชามเต็มแล้วถึงหยุด
แต่หมาป่าเดียวดายกลับไม่มองพวกเขา เอาแต่ก้มหน้าดื่มน้ำ น้ำกระเซ็นไปรอบๆ โดนหนวดของมัน เห็นเป็นไข่มุกน้ำวาววับอยู่ข้างบน
ห้าคนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันยังคิดในใจด้วยความอิจฉา ‘จริงๆ เลย มีชีวิตสู้หมาไม่ได้!’
แต่ห้าคนก็เข้าใจว่าหมาป่าตัวนี้อยู่ในวัด จะกินน้ำตัวเองก็ย่อมใจกว้างได้ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่จะพูดอะไรไม่ได้ แม้จะปวดใจ ในใจหลั่งเลือด แต่ก็จะยอมแพ้ไม่ได้
โหวจื่อพลันคิดอะไรออกจึงถาม “ไต้ซือ หมาป่าช่วยท่านแบกน้ำ ท่านเลยให้มันดื่มน้ำใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่ ทำไมเหรอ?”
“ถังล่ะ? ถังน้ำล่ะ? อย่าขวางฉันนะ วันนี้คุณพั่งจะตักน้ำติดต่อกันสิบถังใหญ่! เอาถังใหญ่มาให้ฉันเลย!” พั่งจื่อมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วจึงกล่าวโดยพลัน
ฟางเจิ้งอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าพั่งจื่อจะทำแบบนี้
โหวจื่อเป็นดังนั้นก็หัวเราะเหอะๆ “ไต้ซือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะช่วยท่านแบกน้ำ แล้วจะได้ดื่มน้ำอีกหน่อยใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งตรึกตรอง ถ้าตนแบกน้ำเอง ขึ้นเขาลงเขาก็ยุ่งยากเหมือนกัน ตอนนี้ มีแรงงานฟรีแล้ว แค่ให้น้ำไปเล็กน้อย ก็จะได้กำไรอย่างแน่นอน!
ตอนที่ 33 แย่งน้ำหนึ่งชาม
ฟางเจิ้งย่อมรู้ว่าน้ำบริสุทธิ์ของตนอร่อยแค่ไหน แต่เขาไม่คิดจะให้คนพวกนี้ดื่ม ถ้าดื่มหมดแล้วเขาจะต้องลงไปตักน้ำ! นี่ต้องใช้แรงงาน!
“อมิตพุทธ โยมอย่าทำแบบนี้ หนึ่งคนหนึ่งชามเท่านั้น นี่คือกฏของวัด น้ำหนึ่งชาม ก็พอแก้กระหายแล้ว” ฟางเจิ้งกล่าว
พั่งจื่อยังอยากพูดบางอย่าง แต่โหวจื่อชิงก่อน “พั่งจื่อ นายถูกผีสิงรึไง? แค่ดื่มน้ำเอง ต้องทำขนาดนี้เลยเรอะ? ไม่ได้ดื่มก็ไม่ต้องดื่ม ฉันหิวน้ำจะแย่แล้ว ไต้ซือเอามาให้อีกชามเถอะครับ?” ในสายตาโหวจื่อ ฟางเจิ้งไม่ใช่คนลวงโลกแล้ว แต่มีความเคารพเพิ่มมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งพยักหน้า หมุนตัวกลับไปตักน้ำ
พั่งจื่อบ่นงึมงำอยู่ข้างหลัง “จริงๆ เลย ไม่เคยเห็นหลวงจีนขี้งกขนาดนี้มาก่อน ให้แค่ น้ำชามเดียว ชามเดียวก็ชามเดียวจริงๆ แถมยังเป็นชามเล็กอีก”
“เอาเถอะพั่งจื่อ หยุดพูดได้แล้ว ชามนั่นไม่เล็กนะ เป็นชามยักษ์เลย ชามใหญ่ขนาดนั้นฉันดื่มไม่หมดหรอก จะแบ่งให้ครึ่งนึงแล้วกัน” หร่วนอิ่งพูดเสียงเบา
พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ กอดหร่วนอิ่งพลางยิ้มซื่อๆ “หร่วนหร่วนของฉันดีจริงๆ ฮ่าๆ…”
“พวกเธอสองคนระวังหน่อยได้ไหม? ตรงนี้ยังมีคนโสดอยู่นะ? ถ้ายังทำแบบนี้อีก ลงเขาไปฉันจะปล่อยลมยางรถพวกนาย” เจียงถิงรับไม่ได้จึงพูดขู่
หร่วนอิ่งหน้าแดง ส่วนพั่งจื่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าลำพองใจ “เจียงถิง เธอก็ควรหาแฟนสักคนนะ…”
“นายไม่ต้องมายุ่งหรอก” เจียงถิงสะบัดหน้า เห็นฟางเจิ้งเดินถือชามออกมา ในชามเต็มไปด้วยน้ำ ฟางเจิ้งเดินมาไม่ช้า พื้นผิวไม่เรียบ แต่น้ำกลับไม่กระเซ็นออกมาเลย เห็นดังนั้นเจียงถิงก็แอบรู้สึกประหลาดใจ คิดว่าหรือน้ำนี่จะมีปัญหา? ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมน้ำถึงไม่หกออกมาเลย?
ขณะสงสัยอยู่นี้โหวจื่อเข้าไปรับชามมาแล้ว แต่น้ำเต็มเกินไปจึงหกออกมา เจียงถิงถึงรู้ว่าน้ำไม่ได้มีปัญญา แต่เป็นคนต่างหาก! รู้สึกประหลาดใจว่าหลวงจีนรูปนี้ต้องมีสมดุล ขนาดไหนถึงทำแบบนี้ได้?
พั่งจื่อข้างโหวจื่อมองโหวจื่อ เห็นจ้องน้ำแต่ก็ไม่ดื่มจึงอดใจไม่ไหวพูดว่า “โหวจื่อ นายจะกินรึเปล่าเนี่ย ฉันช่วยกินเอาไหม”
“นายไปอยู่ข้างๆ เลย” โหวจื่อพูดจบก็สะบัดมือ แต่พั่งจื่อจับมือเขาเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าตรงไปตรงมา “โหวจื่อ อย่าเสียเวลา ฉันจะช่วยนายเลียเอง”
“ไปให้พ้น!” โหวจื่อขยะแขยงท่าทางของพั่งจื่อจริงๆ จึงหมุนตัวกลับ เงยหน้าขึ้นดื่มไปอึกใหญ่!
แต่ต่อมาดวงตาโหวจื่อกลมโต พลันหยุดลง กอดชามเอาไว้ในอกอย่างระมัดระวัง
“โหวจื่อ นายจะทำอะไร? ทำไมยังดื่มไม่หมดอีก? ฉันช่วยเอาไหม?” พั่งจื่อเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“ไอ้อ้วน ฉันว่าแล้วทำไมนายถึงหน้าด้านอยากดื่มน้ำขนาดนี้ ที่แท้ในนี้ก็มีของดีนี่เอง! จะบอกให้นะ น้ำนี่เป็นของฉัน นายอย่าหวังจะได้แตะแม้แต่หยดเดียว!” โหวจื่อกอดชามเอาไว้แน่น
พั่งจื่อเม้มปาก กลืนน้ำลายลงคอ “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? ฉันเป็นคนแบบนั้นรึไง? แล้วถ้าให้เมียนายดื่มล่ะ”
โหวจื่อหมุนตัวกลับ รู้สึกเพียงแค่บ่าถูกกดลง หันกลับไปก็เห็นพั่งจื่อเกาะอยู่ที่บ่าเขา แลบลิ้นเลียน้ำในชามอย่างบ้าคลั่ง!
“ไอ้เวร!” โหวจื่อโกรธแล้ว!
คนอื่นๆ มองตาค้าง!
ฟางเจิ้งก็รู้สึกงงเล็กน้อย เขารู้ว่าน้ำนี่อร่อยมาก ทำให้ความเหนื่อยล้าทางกายและใจคนทุเลาลง แถมยังเติมเต็มน้ำให้กับเซลล์ทั้งหมด ความรู้สึกเย็นสบายไปทั้งตัวแบบนั้นฟินยิ่งกว่าดูดกัญชาเสียอีก! จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องดื่มเย็นๆ พวกนั้น แต่การกระทำของพั่งจื่อก็ทำให้เขาหมดคำจะพูดจริงๆ เขาจึงกำลังคิดอยู่ว่าจะให้เจ้านี่ดื่มน้ำอีกดีไหม
แต่พอนึกถึงตรงนี้ นึกถึงสีหน้าตอนที่เจ้านี่เข้ามา ฟางเจิ้งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที
เจียงถิง หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งสามคนมึนงง ไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ทำอะไรกันแน่
ยังไม่ทันที่สามคนนี้จะถาม โหวจื่อก็ถีบพั่งจื่อไปทีหนึ่ง ซ้ำยังพูดด้วยความโกรธ “ไอ้อ้วน นายทำเกินไปแล้ว! นี่มันน้ำของฉัน!”
พั่งจื่อแบมือออก “ขอโทษ ทนไม่ไหวน่ะ ถ้านายไม่รังเกียจก็กินเถอะ ไม่อย่างนั้นเย็นวันนี้ฉันจะพานายไปเลี้ยงมื้อใหญ่ที่ภัตตาคารต้าหง! จะกินอะไรก็ได้ฉันเลี้ยงเอง! แต่ให้น้ำนี่ฉันได้รึเปล่า?”
โหวจื่อมองพั่งจื่อด้วยความโมโห “นี่แกจงใจใช่ไหม!”
หลูเสียวอ่าเข้ามาใกล้ “พั่งจื่อ นายพูดจริงเหรอ? เลี้ยงที่ภัตตาคารต้าหงเหรอ?”
“แน่นอน! เสียวอ่า ถ้าเธอให้เขาให้น้ำชามนั้นกับฉันได้ พี่จะซื้อกระเป๋าหลุยส์รุ่นใหม่ที่สุดให้เลย! ว่ายังไง?” พั่งจื่อตอบกลับทันที
“จริงเหรอ?! แต่…” หลูเสียวอ่ากำลังจะพูด
“ไม่ได้!” โหวจื่อพลันสวนขึ้นมา “”ไม่ได้เด็ดขาด! เสียวอ่า เธอก็ดื่มน้ำของเธอ เจ้าอ้วนนี่ทำให้น้ำครึ่งชามฉันสกปรกแล้ว แถมยังคิดจะหลอกเธออีก! ก็แค่กระเป๋าหลุยส์ไม่ใช่รึไง? ฉันจะซื้อให้เอง!”
“โหวจื่อ เธอดีจริงๆ เลย” หลูเสียวอ่ายิ้มมีความสุข เธอแปลกใจเหมือนกันว่าน้ำนี่มีอะไรน่าหลงใหลกันแน่ ทำให้ตัวตลกสองคนนี่ทะเลาะกันแบบนี้ได้
พั่งจื่อถาม “โหวจื่อ ถ้าอย่างนั้นน้ำครึ่งชามของนายจะทำยังไง?”
“อึกๆ!” โหวจื่อดื่มอึกเดียวหมด!
ฟางเจิ้งมองค้อน ก่อนหมุนตัวกลับ น่าขยะแขยง…ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว!
หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งและเจียงถิงก็รับไม่ได้จึงหันหลังกลับ
พั่งจื่อมองอึ้งๆ ทั้งยังเอ่ยขึ้น “เวร นะ…นายไม่รังเกียจจริงๆ เหรอเนี่ย?”
โหวจื่อแค่นเสียงหึหึ “เทียบกับน้ำนี่แล้ว น้ำลายนิดเดียวของนายจะมีค่าอะไร?”
“ไต้ซือ ชามนี้ของฉันได้ไหมคะ?” หลูเสียวอ่าอยากรู้อยากเห็นจริงๆ อดใจไม่ไหว วิ่งไปถามตรงหน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ได้”
หลูเสียวอ่ารับชามในมือฟางเจิ้งมา เม้มปากเบาๆ ดูเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ท่าทางสุภาพอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าถึงเธอจะดูคึกคัก แต่จริงๆ แล้วเป็นเด็กสาวที่ได้รับการอบรมมาดีมาก
แต่ต่อมา…
หลูเสียวอ่าพลิกชามดื่มอย่างเต็มที่
โหวจื่อกับพั่งจื่อที่ยังทะเลาะกันอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็หยุดลง พั่งจื่อเตะโหวจื่อไปทีหนึ่ง โหวจื่อเลยหยั่งเชิงถาม “เสียวอ่า ให้ฉันกินอึกนึงได้ไหม?”
ป้าบ!
หลูเสียวอ่าตบเข้าที่หัวโหวจื่อ มือข้างหนึ่งถือชามที่หมดเกลี้ยง! พลิกอยู่นานก็ไม่มีน้ำเหลือจริงๆ ถึงวางชามลงอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นถลึงตาแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าโหวบ้า น้ำดีขนาดนี้ทำไมไม่แบ่งฉันสักอึก แถมยังจะมาดื่มของฉันอีก?”
โหวจื่อพลันร้องไห้ หลูเสียวอ่าที่รักยังนึกถึงน้ำของเขาอีก! นี่เรียกว่าจะหากำไรจากผู้อื่นแต่กลับเสียหายซ้อนสองแท้ๆ…แต่โหวจื่อตอบกลับในทันที “ให้เธอแล้วนะ! แต่พั่งจื่อมาเลียก่อน! น้ำแบบนี้ฉันจะให้เธอได้ยังไง? ให้เธอแล้วจะดื่มได้เหรอ?”
หลูเสียวอ่ามองพั่งจื่อด้วยความทะมึนทึบ พั่งจื่อจึงยกมือขึ้นสูง “มื้อเย็นฉันเลี้ยงเอง!”
หลูเสียวอ่ายิ้มออกทันที
ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน ฟางเจิ้งตักน้ำมาอีกสองชาม “พวกโยมสองคนจะดื่มไหม?”
ตอนที่ 32 หนึ่งคนหนึ่งชาม
พูดจบพวกเขาต่างโล่งอก พั่งจื่อพูดพึมพำ “แล้วมันไม่เหมือนกันเหรอ? หลวงจีนก็เสแสร้ง”
“พั่งจื่อ!” เจียงถิงตะโกนด้วยความโกรธ พั่งจื่อจึงหุบปากไปทันที
ฟางเจิ้งทำเหมือนไม่ได้ยิน ตบหัวหมาป่าพลางว่าต่อ “เอาล่ะ นายกำลังทำให้คนกลัวนะ ออกไปเล่นเถอะ แล้วค่อยกลับมาตอนกินข้าว”
หมาป่าเดียวดายส่ายหน้าแล้วเดินไปยังประตูทางเข้า ห้าคนรีบหลีกทางให้ มันไม่มองแม้แต่หางตา เชิดอกเดินผ่านไป เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านพั่งจื่อ มันแยกเขี้ยวงับเข้าที่ก้นทีหนึ่ง ทำเอาพั่งจื่อตกใจจนกระโดดร้องเสียงหลง
ฟางเจิ้งต่อว่า “อย่าก่อเรื่อง!”
หมาป่าเดียวดายจึงวิ่งไป
หมาป่าเดียวดายไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างมองพั่งจื่อที่หนีไปตรงสันกำแพงด้วยสภาพย่ำแย่ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่พั่งจื่อกลับร้องไห้จริงๆ การงับเมื่อครู่นี้น่าตกใจมาก! ตอนที่กระโดดลงมายังลูบไปที่กางเกง ไม่เปียก! ถึงถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจกลับด่าทอหมาป่าเดียวดายกับฟางเจิ้ง
“พวกโยมกลับมาอีกทำไม?” ฟางเจิ้งถามอีกครั้ง
โหวจื่อยิ้มแห้ง “พูดจริงๆ คือพวกเราแปลกใจเลยกลับมา ผมเคยเห็นคนเลี้ยง หมาป่ามาก่อน แต่ไม่เคยเห็นว่ามีใครทำให้หมาป่าเชื่องได้ ไต้ซือ ทำไมรอยฝ่ามือบนประตูเหล็กนั่นถึงหายไป? ท่านกดมันกลับไปหรือ?”
ฟางเจิ้งยังคงยิ้มแต่ไม่ตอบ
โหวจื่อมีสีหน้าขมขื่น “ไต้ซือ ท่านพูดให้ชัดไม่ได้หรือครับ?”
“พูดให้ชัดอะไร? พวกโยมไม่เชื่อคำพูดอาตมารึ?” ฟางเจิ้งถาม
โหวจื่อพยักหน้า ตอนแรกหลูเสียวอ่าส่ายหน้า แต่เห็นโหวจื่อพยักหน้าจึงพยักตามทันที พั่งจื่อกับหร่วนอิ่งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ส่วนเจียงถิงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า “ในเมื่อพวกโยมไม่เชื่อกันทุกคน อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด พวกโยม หลังวัดไม่ต้อนรับแขกนะ หากจะเยี่ยมชม จุดธูปไหว้พระ เชิญไปข้างหน้าวัด…”
ฟางเจิ้งไล่ตรงๆ ไม่ไล่ไม่ได้แล้ว เขาก็หิวเหมือนกัน! คนพวกนี้ไม่ไปแล้วเขาจะกินข้าวยังไง! หรือว่าจะให้คนพวกนี้เบิกตากว้างมองเขากินข้าว? ใครจะไปกินลงกัน!
เห็นฟางเจิ้งไล่ โหวจื่อก็ร้อนรน “ไต้ซือ ท่านอย่ารีบร้อนสิ พูดจริงๆ นะ ชีวิตนี้ผมไม่สนใจอะไรนอกจากวิทยายุทธชั้นยอด แต่เรียนมาหลายสำนักแล้วก็ไม่มีความสามารถแท้จริง ไต้ซือเป็นคนมีความสามารถแท้จริง สอนผมสักสองสามกระบวนท่าได้ไหม”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “อาตมาไม่มีวิทยายุทธ อาตมาแค่เรียนกระบวนท่าฝึกฝนร่างกายเล็กน้อยเท่านั้น พวกโยม เชิญไปได้แล้ว” แต่กลับคิดในใจ ‘เวร มาขอเรียนวิชานี่เอง ไม่มีของขวัญก็ไม่เป็นไร แต่แกควรจะจุดธูปสักดอกนึงสิ! อะไรก็ไม่เอา ยังคิดจะเรียนอีก? ฝันไปเถอะ!’
โหวจื่อยังอยากพูดบางอย่าง แต่เห็นสีหน้าจริงจังของฟางเจิ้งแล้วก็กลืนลงไป
ตอนนี้เองหร่วนอิ่งถามขึ้นเบาๆ “ไต้ซือ ท่านมีข้าวไหม? ฉันหิวจะแย่แล้ว”
พูดจบพั่งจื่อก็มีแรงฮึดขึ้นมาทันที “ใช่ๆๆ ไต้ซือ ในวัดมีอะไรหอมๆ รึเปล่า? คุณพั่งหิวจะแย่แล้ว หิวจริงๆ…”
หลูเสียวอ่ามองโหวจื่อ จากนั้นพูดเบาๆ “ไต้ซือ พวกเรารีบมาจากในเมืองแต่เช้า ระหว่างทางไม่ได้กินข้าวเช้ามา แถมยังปีนเขาอีกอะไรอีก นี่ก็กลางวันแล้วฉันหิวจริงๆ จะลงเขาตอนนี้ก็น่าจะไม่มีแรง ท่านมีอะไรกินไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “อมิตพุทธ อาตมาบอกไปแล้วว่าวัดเอกดรรชนีเป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลแขก หากพวกโยมหิวจริงๆ ก็รีบลงเขาไปดีกว่า”
พูดจบฟางเจิ้งก็เริ่มไล่ เดิมทีข้าวเขาก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว การจะผ่านฤดูหนาวต้องรัดเข็มขัดให้แน่น แค่ระบบเขาก็ผ่านไปไม่ได้แล้ว กฏคือกฏ เป็นคนละความหมายกับเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย คนพวกนี้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่กินสักมื้อคงไม่หิวตาย
ฟางเจิ้งไล่พวกเขาอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาเองก็ไม่อยากมีปัญหากับฟางเจิ้งจึงได้แต่ถอย
ขณะกำลังจะถูกไล่ออกไป เจียงถิงปิ๊งไอเดียขึ้นมา “ไต้ซือ ไม่ดูแลเรื่องอาหาร แล้วน้ำดื่มล่ะคะ?”
พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเปล่งประกาย “ใช่ๆๆ! ไต้ซือ ตอนเช้าพวกเราไม่ได้กินน้ำเลย น้ำแร่ที่เอามาด้วยก็ดื่มหมดแล้ว ไม่ให้ข้าวก็ให้กินน้ำแก้กระหายรองท้องได้หรือเปล่า? กินน้ำอิ่มแล้วก็จะได้ลงเขาได้”
ฟางเจิ้งอึ้งไป ระบบบอกแค่ว่าไม่ดูแลเรื่องอาหาร แต่ไม่ได้บอกเรื่องห้ามไม่ให้น้ำจริงๆ
“ระบบ ได้รึเปล่า?” ฟางเจิ้งถาม
“ได้” ระบบตอบกลับแบบสบายๆ
ฟางเจิ้งเลยพูดขึ้น “อมิตพุทธ ถ้าแค่ดื่มน้ำก็ย่อมได้ พวกโยมนั่งตามสบาย อาตมาจะไปเอาน้ำมาให้”
“ไต้ซือ ในวัดมีบ่อน้ำไม่ใช่หรือคะ? น้ำในบ่อเป็นของดี หาดื่มในเมืองไม่ได้แล้ว” เจียงถิงมองบ่อน้ำในลาน
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “แห้งแล้ว ในนั้นไม่มีน้ำ ถ้าจะดื่มก็ต้องไปตักที่น้ำพุเอกดรรชนีกลางเขา”
“น่าเสียดายจริงๆ ตอนนี้มีสิ่งปนเปื้อนเยอะ จะดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำพุภูเขาในเมืองก็ยากมาก น้ำบาดาลยิ่งไม่มีหวัง” เจียงถิงถอนหานใจ
ฟางเจิ้งไม่ได้แปลกตากับโลกภายนอก เขาพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความชื่นชม ก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปในครัว ตักน้ำชามใหญ่ออกมา
แต่ข้างนอก ห้าคนกำลังล้อมรอบบ่อน้ำพลางถอนหายใจไม่หยุด
โหวจื่อว่า “ที่บ้านเกิดฉันทุกคนตักน้ำในบ่อกันทั้งนั้น ตอนนี้มาเป็นบ่อน้ำเครื่องจักรแล้ว ถึงจะเป็นน้ำบาดาลเหมือนกัน แต่รสชาติไม่ถูกปากเลย”
“ใช่ ตอนนี้จะดื่มน้ำสะอาดดีๆ สักคำนึงยังยากเลย” เจียงถิงพูด
พั่งจื่อยิ้มเฝื่อน “อย่าพูดสิ ตอนนี้ฉันใกล้จะขาดน้ำอยู่แล้ว ทั้งหิวน้ำหิวข้าว ฉันไม่ควรมา…”
“พวกโยม น้ำมาแล้ว ใครจะดื่มก่อน?” ฟางเจิ้งถาม
พั่งจื่อรีบตอบกลับ “ฉัน!”
ถึงฟางเจิ้งจะไม่อยากดูแลพั่งจื่อ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เหมือนจะแย่งกับพั่งจื่อ เลยส่งให้พั่งจื่อไป
พั่งจื่อรับมาแล้วไม่มอง แต่ยกซดในฉับพลัน น้ำเข้าไปในปากดังอึกๆ ดวงตาเขาพลันเบิกโต! ดวงตาแคบในตอนแรกกว้างขึ้นไม่น้อย!
“พั่งจื่อ นายเป็นอะไร?” หร่วนอิ่งที่เข้าใจพั่งจื่อมากที่สุดถาม
พั่งจื่อไม่ตอบ แต่กินน้ำสุดชีวิต ครู่เดียวดื่มน้ำชามใหญ่จนหมด ทว่าพั่งจื่อยังไม่หยุดดื่ม เขาแลบลิ้นยาวเลียไม่หยุดดั่งปีศาจ
โหวจื่อทนมองไม่ได้จริงๆ จึงแย่งชามมา “พอแล้ว อย่าทำให้ขายหน้าสิ กินยังกับ ผี ชีวิตนี้ไม่เคยกินน้ำรึไง?”
“เอามาให้ฉัน! นายจะเข้าใจอะไร เณร…” พั่งจื่อเพิ่งกล่าวก็ต้องรีบเปลี่ยนคำ “ไต้ซือ ไต้ซือ ผมยังไม่หายหิวเลย ให้ผมอีกชามเถอะ?”
ฟางเจิ้งมองพั่งจื่อแวบหนึ่ง “หนึ่งคนหนึ่งชาม ไม่มีเกินกว่านี้”
“ไต้ซือ ท่านอย่าทำแบบนี้ได้ไหม? หนึ่งคนหนึ่งชามเหรอ? มันจะไปพอได้ยังไง? ท่านกำลังจะฆ่าผมนะ! เอามาให้ผมอีกชาม ขอร้องล่ะ” พั่งจื่อในตอนนี้ไม่มีการวาง มาดข่มอย่างก่อนหน้าอีก แต่ป้องมือคารวะ ดวงตาเป็นประกาย ทำหน้าอ้อนวอน
ตอนที่ 31 หมาป่ากับหลวงจีน
“พวกเธอว่าหลวงจีนบนเขานั่นเป็นคนเลี้ยงหมาป่าตัวนี้รึเปล่า?” รอจนหมาป่า ไปไกลแล้ว พวกเขาถึงใจกล้าขึ้นมา พั่งจื่ออดไม่ไหวถามขึ้น
เจียงถิง “เป็นไปได้ วัดนั่นไม่ใหญ่ แต่กลับแปลกประหลาดทุกที่ หลวงจีนนั่นก็ยังหนุ่มมาก แต่ฉันรู้สึกบางอย่างนะว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา”
“พอทีเถอะ เธอก็อ่านนิยายกำลังภายในมากไปเหมือนกันรึไง?” พั่งจื่อไม่คิดอย่างนั้น
ตอนนี้เองโหวจื่อพูดขึ้น “อยากรู้ความจริงก็มีวิธีเดียว ขึ้นเขาไปดูก็รู้”
“นายจะบ้าเรอะ? ก็เห็นแล้วนี่ว่านั่นคืออะไร! นั่นหมาป่า! มันกินคนไม่คายกระดูกนะ” พั่งจื่อมีสีหน้าตกใจกลัว จากนั้นว่าต่อ “วัดผุพังบนเขารกร้าง มีหลวงจีนรูปเดียว แบบอย่างก็มีให้เห็นแล้วนี่ว่าเป็นพวกปล้นจี้ฆ่า นายยังจะไปที่แบบนี้อีกเหรอ?”
“นายต่างหากที่อ่านนิยายกำลังภายในมากเกินไป! ฉันรู้ว่านั่นคือ หมาป่า แต่หมาป่าไม่น่าจะเชื่อฟังใครได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงกัดก้นนายไปนานแล้ว” โหวจื่อหัวเราะเยาะ
“ไอ้เวร คุณพั่งอ้วนรึไง? เขาเรียกล่ำต่างหาก!”
“เอาเถอะ หยุดพูดไร้สาระกันได้แล้ว ฉันจะขึ้นเขาไปดู ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นปมในใจฉัน” โหวจื่อตอบกลับ
พั่งจื่อรีบพูดกับหลูเสียวอ่า “เขาบ้าไปแล้ว เธอไม่สนใจหน่อยเหรอ?”
หลูเสียวอ่ากอดแขนโหวจื่อ “ฉันเข้าใจเขา เขาเหมือนกับแมวที่อยากรู้อยากเห็น นายไม่ให้เขาขึ้นไป เดาว่าหนึ่งเดือนจากนี้อย่าได้คิดหยุดพักเลย มาก็มาแล้ว อีกอย่างโหวจื่อพูดถูก หมาป่านั่นเชื่อฟังคน ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น ฉันสนับสนุนเขา!”
“นี่ต่างหากแฟนฉัน! ไปกัน ขึ้นเขา!” โหวจื่อพูดจบก็พาหลูเสียวอ่าเดินขึ้นเขาไป
พั่งจื่อมองหร่วนอิ่งว่าที่ภรรยาตัวเอง “เธอว่าไง?”
หร่วนอิ่งแบมือ “ไม่รู้ ฉันไปกับคุณแหละ”
พั่งจื่อพูดไม่ออกเล็กน้อย ก่อนมองเจียงถิง
แต่เจียงถิงตามไปแล้ว ทั้งยังพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลวงจีนนั่นเกี่ยวอะไรกับหมาป่า ฉันจะขึ้นไปดู ถ้านายไม่อยากมาก็ไปรอในรถ พวกเราจะรีบลงมา”
พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้ง “พวกเธอขึ้นไปกันหมด ฉันจะไปคนเดียวได้ยังไง? รอคุณพั่งด้วย…” พูดจบพั่งจื่อก็พาหร่วนอิ่งตามขึ้นไป
ห้าคนมาที่หน้าประตูวัดเอกดรรชนีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มองวัดเล็กตรงหน้า ไม่ได้มีความสบายหรือดูถูกอย่างตอนมา แต่มีสีหน้าเคร่งขรึมเพิ่มมาหลายส่วน
“หืม? รอยมือนั่นหายไปแล้ว” ตอนนี้เองเจียงถิงพูดขึ้นด้วยความตกใจ
โหวจื่อปรี่เข้ามา เมื่อมองอย่างละเอียดแล้วก็ส่ายหน้า “ยังอยู่ เพียงแค่ถูกคนกดกลับไป พวกเธอดู ถึงจะกดไปแล้วแต่ก็ยังไม่เรียบเนียน ฉันเดาไว้ไม่ผิด หลวงจีนนี่มีวิทยายุทธ์จริงๆ อีกทั้งยังร้ายกาจมาก!” ดวงตาโหวจื่อเปล่งประกายวาววับ เพียงแต่เป็นประกายตื่นเต้น
ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากหลังวัด “เจ้าหมาป่าโง่ ไม่อยากเชื่อว่า จะไปตักน้ำเอง ตะกละจริงๆ นะ หนอนขี้เกียจขยันขึ้นเพราะของกินซะแล้ว”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเห่าสองที ราวกับว่าหมาป่ากำลังถกเถียงบางอย่าง
ต่อมาก็ได้ยินเสียงฟางเจิ้ง “ฉันรู้หน่า นายไม่ทำงานฟรีๆ หรอก ได้ จะเพิ่ม ข้าวกลางวันให้ แต่นายก็ต้องกินช้าๆ หน่อยนะ ข้าวพวกเราเหลือไม่มากแล้ว”
“โฮ่งๆ…”
พอได้ยินเสียงเหล่านี้ ห้าคนต่างมองหน้ากัน
หร่วนอิ่งพูดเบาๆ “หลวงจีนนี่ป่วยรึเปล่า? คุยกับหมาป่าด้วย”
“ป่วยจริงๆ แต่อาการไม่ชัดนะ หรือว่าจะเป็นโรคประสาท?” พั่งจื่อเสริม
“พั่งจื่อระวังหน่อย อย่าพูดแบบนี้ อยู่ในถิ่นคนอื่นพูดจาให้มันดีๆ หน่อย” เจียงถิงต่อว่า
พั่งจื่อแบะปากและเงียบไป
หลูเสียวอ่าว่า “ทำไมฉันรู้สึกว่าหลวงจีนรูปนี้กำลังคุยกับหมาป่าจริงๆ พวกเธอฟังสิ ตอบกันเป็นประโยคเลย”
โหวจื่อ เจียงถิงพยักหน้าเห็นด้วย เหมือนมาก แต่ไม่มีใครเชื่อว่าคนจะคุยปกติกับสัตว์ได้? นี่มันเหลวไหลเกินไป
พั่งจื่อก็พูดเสียงเบาเช่นกัน “พวกเรามาเดิมพันกัน ฉันว่าทุกอย่างนี่เป็นเรื่องลวงหลอก ไม่แน่นะหลวงจีนนั่นอาจจะปลอมป็นทั้งหมาป่าทั้งคนก็ได้ แสร้งทำให้ดูลึกลับ บางทีอาจเป็นโรคประสาท นี่ดูแววตาพวกเธอสิ? ไม่เชื่อเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูด้วยกัน แอบไปนะอย่าให้ถูกจับได้”
ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมากว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหลังวัด ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปดู
เดินไปได้สักครู่หนึ่ง ตอนที่เข้าไปใกล้หลังวัด กลิ่นข้าวจางๆ ลอยโชยมา
ห้าคนนี้สูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว พั่งจื่ออดไม่ไหวพูดขึ้น “โหวจื่อ นี่มันกลิ่นน้ำหอมอะไร? หอมแบบนี้? ทำฉันหิวแล้วนะ…”
“นายโง่รึเปล่า? นี่มันกลิ่นหอมข้าว! แต่ข้าวนี่หอมมาก…” โหวจื่อกลืนน้ำลาย
พั่งจื่อก็โต้ตอบอย่างไม่ยอมเหมือนกัน “นายต่างหากที่โง่! นายเคยเห็นที่ไหนมีข้าวหอมแบบนี้กัน? ฉันเดานะจะต้องเป็นน้ำหอมบางอย่างแน่ ไม่ได้การแล้ว ยิ่งดมยิ่งหิว…”
“เงียบเถอะ ฉันก็หิวเหมือนกันแล้ว” โหวจื่อกล่าว
“จ๊อกๆ…”
โหวจื่อ พั่งจื่อ หร่วนอิ่ง หลูเสียวอ่ามองเจียงถิงพร้อมกัน ใบหน้าเจียงถิงแดงเก้อเขิน “ฉันก็หิวเหมือนกัน…”
ทุกคนต่างหัวเราะ หลูเสียวอ่าว่า “ไป ไปดูกันว่าหลวงจีนนั่นทำอะไรกิน ไม่แน่อาจมีบางอย่างที่หอมขนาดนี้อยู่”
พูดจบหลูเสียวอ่าก็ผลักโหวจื่อไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าอยากรู้อยากเห็น แต่ความกล้าไม่พอ
โหวจื่อนำทางไป ห้าคนเดินไปหลังวัดเป็นขบวน เมื่อเข้าใกล้กลิ่นหอมเข้มข้นกว่าเดิม ทุกคนต่างท้องร้องจ๊อกๆ ใบหน้าแดงด้วยความเขินอาย พอพวกเขาเข้ามา หมาป่าเดียวดายที่นอนหมอบอยู่ในครัวยืนขึ้น แยกเขี้ยวจ้องพวกเขาพลางเห่าเสียงต่ำ
โหวจื่อรีบพูดขึ้น “หยุด อย่าขยับ หมาป่านั่นโกรธแล้ว นี่คือเสียงเตือนของสัตว์ประเภทสุนัข ถ้าเข้าไปจะถูกโจมตี”
ทุกคนรีบหยุด เจอหมาป่าอีกครั้งทุกคนก็ยังใจสั่น ยังคงหวาดกลัว
ไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้เลย คิดว่าเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วตัวเองปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นหมาป่าเลี้ยง จึงคิดว่าจะเผชิญหน้าได้อย่างไร้กังวล
ตอนนี้เอง
“อมิตพุทธ ทำไมพวกโยมถึงกลับมาอีก?” ฟางเจิ้งได้ยินเสียงขู่หมาป่าจึงออกมาดู เห็นห้าคนกำลังตกใจกลัว จึงขมวดคิ้วพลางถาม
“ไต้ซือ ตอนลงเขาพวกเราเจอกับหมาป่าตัวนี้ ท่านเลี้ยงมันเหรอคะ?” เจียงถิงกลัว หมาป่า แต่ไม่กลัวฟางเจิ้ง เห็นฟางเจิ้งเดินออกมา หมาป่าเดียวดายเก็บเขี้ยวไปทันที เธอถึงสบายใจขึ้นมาก
ฟางเจิ้งตอบ “ไม่ใช่”
สิ้นเสียง ห้าคนก็เคร่งเครียดอีกครั้ง ไม่ใช่ฟางเจิ้งเลี้ยง ถ้าอย่างนั้นเป็นสัตว์ป่าเหรอ? สัตว์ป่ากินคนนี่!
เจียงถิงกลัว แต่ก็ยังถามไปว่า “ไต้ซือ ถ้าอย่างนั้นหมาป่านั่นล่ะ?”
ฟางเจิ้งตบหัวหมาป่าแล้วตอบ “ถือว่าเป็นเพื่อนกัน บนเขาขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร และก็ไม่มีอะไรที่แลกเปลี่ยนได้ เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครหรอก”
ตอนที่ 30 หมาป่าแบกน้ำ
เจียงถิงเดินเข้าไปถามอย่างไม่เกรงกลัวฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้เพื่อนฉันพลั้งปากไป เขาเป็นห่วงเพื่อนน่ะค่ะ เลยตะโกนด้วยความวิตก ท่านอย่าคิดจริงจัง นะคะ”
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ ‘ต่อให้ฉันคิดจริงจังก็ต้องให้ระบบอนุญาตอยู่ดี! ในเมื่อจะแก้แค้นเพราะเรื่องเล็กๆ ไม่ได้ ถ้างั้นก็เป็นไต้ซือใจกว้างไปแล้วกัน…’ ดังนั้นฟางเจิ้งยังคงยิ้ม “อมิตพุทธ คำพูดดีของหมาป่าร้ายก็ยังเป็นคำพูดดี อาตมาจะไปโกรธได้ยังไง? พวกโยมนี่ก็สายแล้ว วัดอาตมาเป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องที่พักและอาหาร หากพวกโยม ไม่มีอาหารก็รีบลงเขาดีกว่า ไม่อย่างนั้นตอนเที่ยงคงหิวแย่”
หลังคนพวกนี้ขึ้นเขามาแล้วฟางเจิ้งก็ไม่มีความสุขนัก อีกอย่างเขาเห็นภาพโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าเกิดอุบัติเหตุตอนเย็น ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยง ถ้าลงเขาเร็วหน่อยก็ไม่แน่ว่าอาจจะเลี่ยงอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงรีบไล่ไป ในเมื่อไม่มาจุดธูป ก็เอาบุญช่วยคนพวกนี้ แล้วกัน
พั่งจื่อเองก็ใจฝ่อบ้างแล้ว รีบกล่าว “ใช่ พวกเราไม่ได้เอาอะไรมากิน รีบไปเถอะ”
“ไต้ซือ ขอละลาบละล้วงถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนทำรอยมือนี่เหรอ?” โหวจื่อถาม ดวงตาขยับประกายวาววับ
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองรอยมือนั้นแวบหนึ่ง เขาโกหกไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ได้ แต่ให้ยอมรับเหรอ? นี่มันแปลกเกินไปไหม คนจะมีพลังขนาดนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เขาไม่อยากถูกจับไปแยกส่วนวิจัย จึงยิ้มเล็กน้อยพลางสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ” แค่นี้แล้วไม่พูดอะไรอีก
ดังนั้นพวกโหวจื่อจึงไม่เข้าใจความหมายของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “พวกโยม นี่ก็สายแล้วนะ”
“โหวจื่อ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันหิวแล้ว ไปเถอะ” พั่งจื่อไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จึงเอ่ยเร่งรัด
โหวจื่อมองฟางเจิ้งอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเรียกทุกคนจากไป ก่อนไปเจียงถิงมองฟางเจิ้ง มีท่าทีเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบไป น่าเสียดายฟางเจิ้งเพียงแค่มองเธอพลางหัวเราะเบาๆ ไม่ได้สื่อความหมายว่าจะตรงเข้าไปพูดด้วย
เห็นห้าคนนี้ออกจากวัดฟางเจิ้งก็ถอนหายใจโล่งออก พูดพึมพำ “ลงเขาเร็วขนาดนี้ ตรงตีนเขาก็เป็นที่รกร้าง พวกเขาไม่น่าจะอยู่ต่อ อืม กลับเร็วหน่อยน่าจะหลีกภัยพ้น ระบบ ฉันถือว่าทำกุศลไม่มีสิ้นสุดรึเปล่า? ช่วยชีวิตสองคน จะได้จับรางวัลสองครั้งไหม?”
“ติ๊ง! รอพวกเขาผ่านพ้นภัยจริงๆ ก่อนถึงจะนับ”
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ฉันนั่งรอจับรางวัลดีกว่า เฮอะๆ” ฟางเจิ้งอารมณ์ดีมาก ชำเลืองตามองรอยมือบนประตูใหญ่แวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “นี่ก็น่าเกลียดเกินไป!”
พูดจบเขาออกแรงกดมือไปข้างบน! ได้ยินเพียงเสียงเหล็กเปลี่ยนรูป ไม่นานรอยมือนั้นถูกกดกลับไป เพียงแต่ว่ายังไม่ราบเรียบมากนัก ฟางเจิ้งก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่ใช่ช่างเหล็ก ไม่มีความประณีต ได้แค่จากนี้หาโอกาสให้คนมาซ่อม
หลังจัดการประตูใหญ่แล้วก็ไปหลังลาน จุดไฟ ซาวข้าว ทำอาหาร! แต่เขากลับพบปัญหาอย่างหนึ่ง ถังน้ำในห้องครัวหายไปสองใบ! นั่นคือถังน้ำที่ให้หมาป่าเดียวดายใช้โดยเฉพาะ!
โหวจื่อ พั่งจื่อ หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่ง เจียงถิงห้าคนออกจากวัด พั่งจื่อพลันถอนหายใจโล่งอก ซ้ำยังบ่นพึมพำ “ออกมาสักที วัดนั่นทำฉันอึดอัดแทบแย่”
“นายหวาดระแวงเองต่างหาก กลัวไต้ซืออัดน่วมรึไง?” หร่วนอิ่งหัวเราะ
ถูกว่าที่ภรรยาหยอกล้อแบบนี้ พั่งจื่อจะกล้าโกรธได้หรือ ได้แต่หัวเราะซื่อๆ
โหวจื่อหันหลังไปมองวัดอยู่ตลอด น่าเสียดายบนเขามีต้นไม้เยอะ ในมุมของเขาเห็นแค่กระเบื้องวัด ไม่เห็นประตูวัด
หลูเสียวอ่าถามขึ้นเบาๆ “อะไรเหรอ? มีอะไรแปลกรึเปล่า?”
โหวจื่อยิ้มเฝื่อน “ชีวิตนี้ฉันไม่สนใจอะไรนอกจากศิลปะการต่อสู้ รอยมือนั่นน่าตกใจมาก หากเป็นฝีมือคนทำจริงๆ จะต้องเป็นยอดฝีมือแน่”
“ช่างเถอะน่า เณรคนนั้น…ค่อยว่ากันเถอะ ที่นายพูดน่ะมันคือ ในนิยายกำลังภายใน สมัยนี้มีใครมีความสามารถแบบนั้นบ้าง? ต่อให้มี เณรที่อายุน้อยกว่าพวกเราจะทำได้เหรอ? ไร้สาระจริงๆ” พั่งจื่อพูดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หลูเสียวอ่าก็พูดเช่นกัน “พั่งจื่อพูดถูก เธอน่ะอ่านนิยายมากเกินไป เพ้อฝันทั้งวัน ถ้าวัดนั่นมีอะไรแปลกจริงๆ ฉันว่าต้นไม้แก่นั่นน่ะแปลก เหมือนจะเป็นต้นโพธิ์ แต่ต้นโพธิ์เป็นพืชภาคใต้ ทำไมถึงมาอยู่ภาคเหนือ? อีกอย่างนะนี่ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้วดันแตกกิ่งเฉยเลย น่าแปลกจริงๆ”
เจียงถิง “ฉันก็เห็นเหมือนกัน แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่กล้ามั่นใจประเภทของต้นไม้นั่น พอได้ยินเสียวอ่าพูดแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้นโพธิ์ทางใต้แตกกิ่งออกใบก่อนเข้าฤดูหนาว แปลกจริงๆ อีกอย่างดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับต้นไม้แห้งแตกหน่อใหม่เลย”
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขนลุกไปทั้งตัวแล้ว สรุปนะ วัดนั่นแปลกทุกที่ ไม่มีปกติเลย รีบไปกันดีกว่า” พั่งจื่อขัด
ขณะกำลังคุยกัน หร่วนอิ่งที่เดินอยู่หน้าสุดกรีดร้องเสียงแหลม “กรี๊ด หมาป่า!”
“หมาป่า? เธอล้อฉันเล่นเหรอ? สมัยนี้ยังมีหมาป่าอีกเรอะ? บ่ะ มีหมาป่าจริงๆ!” ก่อนหน้าพั่งจื่อไม่คิดอย่างนั้น ทว่าต่อมาก็ตกใจจนแทบฉี่ราด!
โหวจื่อมองไปเห็นหมาป่าตัวใหญ่เหมือนกับลูกวัวกำลังขึ้นมาจากตีนเขา หางตก ดวงตาแคบดุร้าย เขี้ยวคมกริบอย่างยิ่ง! เพียงแต่ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
“นี่หมาป่าจริงๆ เหรอ? ทำไมถึงแบกถังน้ำล่ะ? อีกอย่างขนดูชื้นๆ ด้วย…” เจียงถิงอดไม่ไหวถามขึ้น
“อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ แปลกจริงๆ หรือว่าจะเป็นหมาพันธุ์ฮัสกี้ปลอมตัวมา?” พั่งจื่อกล่าว
“อย่าขยับนะ นี่มันหมาป่า! ดูจากร่างกายแล้วน่าจะเป็นจ่าฝูง!” โหวจื่อพูดเสียงเบา
พั่งจื่อ หร่วนอิ่ง หลูเสียวอ่าและเจียงถิงตกใจกลัว หลูเสียวอ่าพูดขึ้นเหมือนจะร้องไห้ “ฉันบอกแล้วว่าอย่ามา พวกเธอก็จะมาให้ได้ เสร็จแน่ พวกเราต้องถูกหมาป่ากินแน่”
“หมาป่านี่น่าจะมีคนเลี้ยงนะ ไม่น่าจะทำร้ายคน พวกเธอดูดวงตามัน ไม่มีเจตนาร้าย และก็ไม่โชว์เขี้ยวกับกรงเล็บด้วย มันแบกถังน้ำอยู่ไม่น่าจะเป็นอะไร ทุกคนอย่าทำอะไรมันก็พอ หลีกทางให้มันไป” เจียงถิงเอ่ย
โหวจื่อพยักหน้า ห้าคนจึงเรียงกันเป็นแถวยืนพิงผนังอย่างดี ช่วยไม่ได้ จะหนีเหรอ? คนอ้วนหนึ่งคนกับผู้หญิงสามคนจะหนีหมาป่าได้ยังไง?
พอหมาป่าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเขาก็กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ไม่กล้าหายใจแรง หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งตกใจจนหลับตา ทำเหมือนปล่อยให้เป็นไปตามชะตาลิขิต เจียงถิงก็ไม่ได้ไปไหน แต่ก็ยังใจกล้า ยืนนิ่งไม่หลับตา
จากนั้นเธอก็พบสิ่งที่น่าตกใจคือ หมาป่าไม่ได้จะทำร้ายพวกเธอจริงๆ แต่แบกถังน้ำสองถังขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว
ห้าคนนี้มองเงาแผ่นหลังหมาป่าพลางผ่อนลมหายใจยาว มองกันแวบหนึ่งดูงงงันเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
ตอนที่ 29 วัดเล็กแขกรังแก
ได้ยินเพียงเสียงโครมดังสนั่น ฟางเจิ้งถึงได้สติกลับมา แต่เจียงถิงกลับตกใจจากท่าทีได้สติของฟางเจิ้ง หลวงจีนที่ก่อนหน้านี้อบอุ่นและนอบน้อม ทำไมครู่ต่อมาถึงค้าง อยู่กับที่ พอได้สติมาแล้วยังใช้ความรุนแรงแบบนี้อีก?
ฟางเจิ้งรู้ว่าทำให้คนตกใจจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ยกฝ่ามือขึ้นโค้งตัว “อุบาสิกา ขอโทษด้วย อาตมาใจไม่อยู่กับตัว”
“เป็นอะไรถิงถิง? หลวงจีนนี่รังแกเธอเหรอ?” ตอนนี้เองเสียงหลูเสียวอ่าดังแว่วมา
ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าพั่งจื่อ โหวจื่อ หลูเสียวอ่าและหร่วนอิ่งเข้าไปในวัดแล้ว เหลือเพียงเจียงถิงที่อยู่ที่นี่ พอได้ยินเสียงดังหลูเสียวอ่าจึงมองมา
เจียงถิงรีบตอบกลับ “ไม่มีอะไร”
“อ่า ไม่มีอะไรก็ดี รีบมาเถอะ ถึงวัดนี่จะเล็ก แต่ก็สะอาดมากนะ” หลูเสียวอ่าว่า
เจียงถิงขานรับ เตรียมจะเดินไป
แม้ฟางเจิ้งจะไม่ชอบโหวจื่อกับพั่งจื่อ แต่ภาพเมื่อครู่สร้างความตกใจมากเกินไปจริงๆ ทั้งยังนองเลือด! ต่อให้สองคนนี้ปากไม่ดีก็ไม่สมควรตาย
พอนึกถึงตรงนี้ฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น “อุบาสิกา ฟังอาตมาสักหน่อยได้ไหม?”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่เชื่อพุทธ” เจียงถิงขอโทษแล้ววิ่งไป คนโง่ก็มองออก ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อพุทธ แต่ไม่เชื่อฟางเจิ้งต่างหาก! มองว่าฟางเจิ้งเป็นคนโกหกจริงๆ
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เหตุและผลให้ฟ้าลิขิต ทุกคนมีเกิดและตาย ฉันเองก็เปลี่ยนอนาคตไม่ได้ตลอดหรอก” พูดจบฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อเดินไปหลังลาน
แต่ยิ่งฟางเจิ้งไม่อยากสนใจมากเท่าไร ภาพในความคิดเมื่อครู่ยิ่งขยับวูบวาบขึ้นมาไม่หยุด ไม่ว่าจะสวดมนต์หรือเดินเล่นก็ลบภาพนั้นออกจากหัวไม่ได้ โดยเฉพาะจะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าดังมาจากข้างนอกตลอด มันยิ่งทำให้เขานั่งไม่ติดพื้น…
“ถิงถิง เธอบอกว่าเมื่อกี้หลวงจีนนั่นเหมือนเป็นบ้าเหรอ พอเธอเรียกแล้วก็ทุบกำแพงใช่ไหม? ฮ่าๆ ไม่เจ็บรึไง? ฉันได้ยินเสียงแล้วเหมือนกับฟ้าผ่าเลย” หลูเสียวอ่า เม้มปากหัวเราะ
เจียงถิงมองค้อนเธอแวบหนึ่ง “อย่าพูดมั่วหน่า”
“ได้ๆๆ ไม่พูดแล้ว ไป ไปดูประตูเหล็กที่หลวงจีนนั่นทุบกัน เสียงดังขนาดนั้น ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าประตูใหญ่จะเป็นยังไง” หลูเสียวอ่าหัวเราะคิกๆ ก่อนดึงเจียงถิงเดินไปที่ประตู
กลางอุโบสถ พั่งจื่อ โหวจื่อและหร่วนอิ่งกำลังพิจารณาพระโพธิสัตว์กวนอิม กุมารทอง กุมารีหยกแล้วก็เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตู
พั่งจื่อเอ่ยขึ้น “โหวจื่อ นายเคยเห็นเทวรูปที่สมจริงแบบนี้มาก่อนรึเปล่า? พระโพธิสัตว์กวนอิมก็สมจริงอย่างกับคนจริงๆ แล้วนายดูกุมารีหยกนั่นสวยมาก”
“พั่งจื่อ ที่นี่วัดนะ อย่าพูดจาซี้ซั้ว!” หร่วนอิ่งต่อว่า
พั่งจื่อเกาหัวอย่างเก้อเขิน “รู้แล้วๆ อีกอย่างฉันไม่ได้พูดดูหมิ่นพระโพธิสัตว์สักหน่อย แค่พูดความจริงเท่านั้น”
โหวจื่อเสริม “ถูก ฉันไปมาไม่รู้กี่วัดแล้ว เทวรูปสมจริงแบบนี้ยังไม่เคยเห็นจริงๆ อีกอย่างพวกเธอดู เทวรูปพวกนี้ไม่มีฝุ่นเลย”
หร่วนอิ่ง “หลวงจีนนั่นก็สะอาด เดาว่าน่าจะมีนิสัยรักสะอาดจนเกินไป”
โหวจื่อพยักหน้า “เป็นไปได้ แต่ทำความสะอาดวัดจนเอี่ยมอ่องขนาดนี้ ก็ดูเหมือนของจริงเหมือนกันนะ ก็คงต้องใช้ใจแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่หลวงจีนปลอมก็ได้…”
พั่งจื่อ “บ่ะ! ฉันว่าแล้วทำไมรู้สึกว่าที่นี่ขาดอะไรไป พวกเธอเห็นกล่องบริจาคไหม?”
“กล่องบริจาคอะไร?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อตอบ “ก็กล่องบริจาคไว้ใส่เงินที่จะวางไว้หน้าประตูวัดหรือไม่ก็หน้าโต๊ะบูชาไง”
หร่วนอิ่งส่ายหน้า “ไม่เห็นนะ”
โหวจื่อ “ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
“หรือว่าวัดนี้จะไม่เก็บเงินบริจาคธูป?” พั่งจื่อว่า
โหวจื่อหัวเราะ “นายคิดมากไปแล้ว ตรงประตูวัดก็มีป้ายบอกนี่ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีสองร้อย! ราคานี้ไม่ถูกเลยนะ”
“เฮอะ ฉันก็คิดว่าหลวงจีนนี่จะไม่หาประโยชน์ซะอีก ดูแล้วคงเป็นหลวงจีนปลอม” พั่งจื่อเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าร้องด้วยความตกใจ “พั่งจื่อ พี่โหวมานี่เร็ว!”
พั่งจื่อกับโหวจื่อได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าเรียกด้วยความร้อนรนเล็กน้อยจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “แย่แล้ว!”
โหวจื่อวิ่งออกไปข้างนอก พั่งจื่อวิ่งช้า แต่ก็ตะโกนเสียงดัง “ไอ้ลาหัวล้าน ถ้าแกกล้าทำอะไรเสียวอ่าล่ะก็ ฉันจะเผาวัดแกซะ!”
ฟางเจิ้งที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขอยู่หลังวัดได้ยินเสียงตะโกนก็ตกใจสะดุ้ง บ่นในใจ ‘คนพวกนี้ทำอะไรกัน?’
ดังนั้นถึงออกไปดู
โหวจื่อ พั่งจื่อ หร่วนอิ่งวิ่งออกมาจากอุโบสถก็เห็นหลูเสียวอ่ากับเจียงถิงยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ จ้องประตูเหล็กที่เปิดอ้าไว้ครึ่งบาน
เห็นสองคนไม่เป็นไร โหวจื่อกับพั่งจื่อและหร่วนอิ่งถึงถอนหายใจโล่งอก
โหวจื่อ “อะไร? ทำเอาฉันตกใจแทบแย่”
พั่งจื่อ “ใช่…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกนายดูนี่ ประตูเหล็ก!” หลูเสียวอ่าชี้ประตูเหล็ก
สามคนมองไปตามมือหลูเสียวอ่า โหวจื่อพลันสูดลมหายใจหนาวเยือก! บนประตูเหล็กใหญ่สีแดงมีรอยฝ่ามือชัดเจนรอยหนึ่ง! รอยมือนั้นมีลายเส้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง!
“เสียวอ่า เธอชี้รอยมือทำไมเหรอ?” พั่งจื่อถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หลูเสียวอ่ายิ้มเฝื่อน “ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นรอยอยู่แล้วเหมือนกัน ถิงถิงมาอธิบายที”
เจียงถิงเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังว่าจู่ๆ ฟางเจิ้งก็เหมือนปีศาจ ตบมือใส่ประตูเหล็ก จากนั้นก็มีรอยมือนี้ขึ้นมา พั่งจื่อกับหร่วนอิ่งตกใจเหมือนกัน หร่วนอิ่งว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? คนจะมีพละกำลังขนาดนั้นได้ยังไง?”
พั่งจื่อมองบน “พูดอะไรอย่างนั้น? ต่อให้เป็นคนตายก็ไม่มีทางมีกำลังแบบนี้หรอก?”
“พวกเธอสองคนอย่าเพิ่งพูด มันทำให้ฉันกลัวนะ” หลูเสียวอ่าตัวสั่น พูดขึ้นด้วยความกลัว
พั่งจื่อ “ฉันว่านะคงจะมีรอยมืออยู่ก่อนแล้ว แค่ทุกคนไม่เห็นก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่” ตอนนี้เองโหวจื่อที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น
“โหวจื่อ ไม่ใช่อะไร?” พั่งจื่อถาม
โหวจื่อ “ตอนเข้าประตูมาฉันมองประตูนี่อย่างดีแล้ว ยังพูดเล่นอยู่เลยว่ามันหนาดี ถึงฉันจะไม่ใช่คนชกต่อยเก่งอะไร แต่ดูจากสายตาพวกเธอก็น่าจะรู้แล้วว่านี่ มันละเอียดมาก ตอนเข้ามาบนประตูเหล็กไม่มีรอยฝ่ามืออะไรทั้งนั้น! ฉันกล้ารับประกัน อีกอย่างฉันเห็นข้างหลังประตูเหล็กมีรอยฝ่ามือนูนออกมาด้วย ข้างในไม่ได้กลวง แต่เป็นเหล็กกล้า…”
“โหวจื่อ นายหมายความว่าหลวงจีนนั่นตบประตูเหล็กนี่จริงๆ เหรอ?” พั่งจื่อตกใจกลัว จากนั้นก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ถ้าอย่างนั้นที่ฉันตะโกนไป เมื่อกี้นี้ หลวงจีนโหดนั่นจะได้ยินรึเปล่า?”
“พูดอะไรเหรอ?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อพูดเหมือนจะร้องไห้ “คือฉันตะโกนว่าจะเผาวัดน่ะ” พั่งจื่อนึกถึง ความฉุนเฉียวของหลวงจีนนั่น นึกถึงภาพที่อีกฝ่ายตบประตูก็ตัวสั่นเทิ้ม ไม่มีความเหี้ยมโหดเหมือนก่อนหน้าเลย
หร่วนอิ่งยิ้มแห้ง “เมื่อกี้จะได้ยินรึเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องได้ยินแล้วแน่ๆ” พูดจบก็มองไปข้างหลังพั่งจื่อ
พั่งจื่อหมุนตัวกลับเนิบๆ เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มสุภาพ ไม่มีท่าทีโกรธแม้แต่น้อย แต่พั่งจื่อรู้สึกว่ารอยยิ้มอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เป็นรอยยิ้มปลอมๆ ของจิ้งจอก ไม่แน่ว่าในใจอาจกำลังคิดหาโอกาสทุบตีเขาให้ตายอยู่ก็ได้ พั่งจื่อจึงขยับไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก
ตอนที่ 28 หนึ่งหัตถ์
โหวจื่อหัวเราะเหอะๆ “ดูจากท่าทางพวกเธอแล้วมันมีอะไรแปลกกัน? ฉันว่าในวัดคงจะมีเครื่องเทศที่ให้จิตใจสงบหรือไม่ก็น้ำหอมกับพืชอะไรพวกนี้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดผลแบบนี้แน่ อีกอย่างวัดโบราณที่มีชื่อเสียงก็ไม่มีของแอบแฝงแบบนั้นด้วย”
โหวจื่อกล่าวพลางเดินมาถึงประตูก็พบสิ่งที่น่าตกใจ ความคิดซับซ้อนมากมายในตอนแรกหายไป จิตใจสบายขึ้นมาก แต่เขาก็ยังยืนหยัดคำเดิม “เหอะ ยานี้ร้ายกาจมาก ได้ พวกเราเจอกับพวกลวงโลกจริงๆ แล้ว พี่โหวไปวัดมาไม่รู้กี่วัด ยังไม่มีวัดไหนทำให้จิตใจสงบรุนแรงขนาดนี้มาก่อน จะต้องรีบดู ดูเสร็จก็รีบไป จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
เอ่ยจบโหวจื่อก็ตบประตูเหล็กสีแดงสด หัวเราะพลางว่า “อย่างอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ประตูเหล็กนี่แข็งแรงดี หนาห้าเมตรเลย ประตูหนาขนาดนี้เป็นช่องประตูกักน้ำได้เลย ฟังจากเสียงแล้วก็แน่นมาก เจ้าอาวาสวัดนี้เป็นคนใจเสาะถึงสร้างประตูหนาแบบนี้รึไง?”
พั่งจื่อเคาะดูบ้างแล้วก็หัวเราะ “หนาจริงๆ ด้วย”
ทุกคนหัวเราะตาม
“อมิตพุทธ!”
“บ่ะ!” พั่งจื่อที่กำลังจะแอบถอยหนีตกใจกับเสียงสวดของฟางเจิ้งจนกระโดดขึ้น เห็นหลวงจีนหน้าขาวสะอาดและสง่าแล้วถึงถอนหายใจโล่งอก ความกล้าเพิ่มมากขึ้น ก่อนพูดเสียงดัง “หลวงจีนนี่ป่วยรึไง? มาไม่ทักกันเลย จู่ๆ ก็กระโดดออกมา ตกใจแทบแย่ เดี๋ยวฉันหัวใจวายตายไม่รู้รึไง?”
ฟางเจิ้งด่าทอในใจ ‘ไอ้เวรฉันยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว พวกแกพูดมากอยู่เลยไม่เห็นฉัน แล้วยังมาโทษฉันอีก?’
ดีที่ตอนนี้เจียงถิงดึงพั่งจื่อที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไว้ “เขายืนอยู่ตั้งนานแล้ว นายไม่เห็นเอง ยังโทษคนอื่นอีก?”
พั่งจื่อเก้อเขิน แต่ก็ไม่ได้ขอโทษ
เจียงถิงพูดต่อ “ไต้ซือ สวัสดีค่ะ ท่านอยู่วัดนี้เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งเห็นเจียงถิงช่วยพูดให้ย่อมรู้สึกดีไม่น้อย จึงยิ้มตอบ “อาตมาฟางเจิ้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี และก็เป็นหลวงจีนเพียงรูปเดียวที่นี่”
พอได้ยินดังนั้นพวกเจียงถิงก็หน้าแดงที่พูดจาร้ายๆ ใส่อีกฝ่าย ไม่ต้องสนแล้วว่า อีกฝ่ายเป็นคนเลวหรือไม่ ก็ไม่ควรทำแบบนี้ อีกอย่างทำแบบนี้ถือว่าตัวเองเป็นคนเลวเองหรือเปล่า…
เจียงถิงจึงออกปากขอโทษ “ไต้ซือ เอ่อ พวกเราเพิ่งพูดจาไม่ทันคิดไป ท่านอย่าคิดจริงจังนะคะ”
“อมิตพุทธ ไม่เป็นไรอุบาสิกา คำพูดของพวกโยมเป็นเรื่องปกติของคน อาตมาจะโกรธได้ยังไง?” ปากฟางเจิ้งพูดแบบนี้ แต่ในใจกลับอยากปิดประตูปล่อยสุนัข ไล่พั่งจื่อกับโหวจื่อไป พวกนี้มันไม่ได้เรื่อง พูดต่อหน้าว่าเขาเป็นพวกลวงโลก เรื่องอื่นรับได้แต่เรื่องนี้รับไม่ได้! แต่เขาเป็นนักบวชก็ต้องอดกลั้น! ได้แต่ขมขื่นในใจ…
“เอาเถอะ อย่ามาไต้ซือๆ อะไรเลย เจียงถิง เธอดูสิ นี่มันเณรที่อายุน้อยกว่าเราอีก พูดจาก็ไม่น่าฟัง วัดเล็กแถมยังมีเขาอยู่คนเดียว ลองไปอยู่วัดใหญ่กว่านี้สิ ก็คงเป็น แค่เณรน้อยกวาดพื้น นี่เจ้าหนูอย่าเสแสร้งนักเลย บอกความจริงมาเถอะ นายเป็น คนสร้างวัดนี้หรือเปล่า? แล้วเจ้าอาวาสล่ะ? เป็นพวกลวงโลกรึเปล่า?” ตอนนี้โหวจื่อเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
เจียงถิงได้ยินดังนั้นก็ดึงโหวจื่อไว้ “โหวจื่ออย่าทำแบบนี้”
โหวจื่อถึงยอมไม่ใส่ใจ เงยหน้าพูดเสียงดัง “เราทำถูกแล้วไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่ายังไง ถ้าเป็นคนดีจริงๆ ฉันพูดนิดหน่อยเป็นอะไรไป? อีกอย่างฉันพูดผิดตรงไหน? เธอดูหัวหลวงจีนนี่สิ ใสจนเหมือนน้ำมัน ผิวขาวอ่อนวัยกว่าเธออีก คนแบบนี้จะเป็นหลวงจีนลำบากอยู่บนเขาลำพังได้ยังไง? เป็นพวกโกหกหลอกหากินชัดๆ! อีกอย่างเจ้าลวงโลก คนนี้ยังมีฝีมือไม่น้อย แต่วันนี้มาเจอพี่โหวก็มาได้เท่านี้ล่ะ”
“เฮ้ย ต้องจ่ายเงินไหม? เดี๋ยวจะให้เงินช่วยแกกลบเกลื่อนคำโกหกแล้วกันดีไหม?” โหวจื่อพูดต่อ
พั่งจื่อด้านข้างเอ่ยขึ้น “ทุกคนรีบดูเร็ว ที่นี่มีสัญญาณไวฟายด้วย! จึ๊ๆ หลวงจีนนี่ทันสมัย เข้าเน็ตด้วยเรอะ? ดูหนังจากประเทศที่เป็นเกาะล่ะสิ?”
หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมา มีสัญญาณไวฟายจริงๆ แถมยังมีขีดเต็มด้วย เห็นได้ว่าไม่ได้ส่งมาจากตีนเขา ทุกคนจึงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
เจียงถิงก็มองฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
ฟางเจิ้งตอบกลับนิ่งๆ “อาตมาเพียงแค่ฝึกฝน ไม่ใช่คนป่า มีสัญญาณไวฟาย มันแปลกมากรึ? อีกอย่าง รัฐบาลติดตั้งไวฟายให้ พวกโยมลงเขาไปถามดูได้”
“เอาเถอะ ฉันไม่เสียเวลากับนายแล้ว พวกเราจะไปดูเอง นายก็อย่าสนใจพวกเรา ถ้าไม่ตามพวกเรา ฉันจะถือว่านายเป็นไต้ซือ แต่ถ้าตามมาบ่นพวกเรา พูดจาไม่เป็น มงคลล่ะก็ อย่าหาว่าหมัดคุณพั่งจำคนไม่ได้” พั่งจื่อพูดขึ้นอย่างรำคาญ
ฟางเจิ้งเองก็รำคาญนานแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ต้อนรับ ฟางเจิ้งก็ขี้คร้านจะสนใจ จึงหมุนตัวเดินไป
แต่ทันทีที่หมุนตัว ภาพตรงหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง!
พริบตานั้นฟางเจิ้งเห็นห้าคนขับรถบนถนนด้วยความเร็วสูง โหวจื่อขับไปกับหลูเสียวอ่าด้วยความบ้าระห่ำ ทิ้งพั่งจื่อกับเจียงถิงไว้ข้างหลัง ตอนนี้เองตรงหน้ามีขบวนรถใหญ่ โหวจื่อหัวเราะเสียงดัง “ดูนะฉันจะให้พั่งจื่อกินควันดำ!”
พูดจบโหวจื่อก็เหยียบคันเร่งพุ่งขึ้นไปเตรียมจะแซงขบวนรถ! ขบวนรถมีรถใหญ่ทั้งหมด สี่คัน บรรทุกถ่านหินมาเต็มคัน ช่วงที่โหวจื่อแซงรถใหญ่สองคันไปได้อย่างราบรื่นนั้น รถใหญ่หน้าสุดพลันเปลี่ยนเลนมายังเลนแซง
โหวจื่อด่าทอไปยกใหญ่ “บ้า ขับไม่เร็วแล้วมาเลนแซงทำไม?”
พูดจบก็ได้ยินเสียงเบรกรถดังแสบหู รถใหญ่ข้างหน้าเบรกรถอย่างบ้าคลั่ง!
โหวจื่อขับรถมาด้วยความเร็วสูง เห็นจะชนจึงรีบเปลี่ยนเลนพุ่งเข้าไปกลางขบวนรถ แต่รถใหญ่ข้างหน้าก็เริ่มเบรกเหมือนกัน รถใหญ่ข้างหลังเบรกตาม แต่รถใหญ่หนักเกินไปจึงเบรกไม่อยู่!
โหวจื่อก็เบรกรถไม่อยู่เช่นกัน ชนเข้ากับท้ายรถใหญ่ข้างหน้าดังโครม!
พริบตานั้นโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าตะลึงค้าง ยังไม่ได้สติกลับมาก็ได้ยินเสียงสนั่น ท้ายรถถูกบางอย่างชน ต่อมาสองคนเห็นว่ารถพวกเขาเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็วด้วย ความตื่นกลัว สองคนกรีดร้อง กลายเป็นแผ่นเนื้อ…
ภาพเลือดเนื้อสาดกระจายทำให้ฟางเจิ้งร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก!
“ไต้ซือ? ไต้ซือ?!” ตอนนี้เองมีเสียงเรียกปลุกฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งได้สติกลับมา แต่ก็โบกมือด้วยความลนลาน ตบเข้าที่ประตูเหล็กข้างหลัง!
ตอนที่ 27 เข้าวัด
ส่วนชายสองหญิงสองที่มากับเจียงถิงเป็นเพื่อนสนิทของเธอ โหวจื่อกับแฟนสาวของเขาหลูเสียวอ่า พั่งจื่อกับว่าที่ภรรยาเขาหร่วนอิ่ง สี่คนนี้เห็นที่เธอแชร์ในเวยป๋อแล้วก็ นัดกันมาวัดเอกดรรชนี ความจริงคือ มาเที่ยวผ่อนคลาย
“ถิงถิงพูดถูก ไปเถอะ ขึ้นไปดูกัน” โหวจื่อว่า
พั่งจื่อไม่เต็มใจ แต่เห็นสายตาสงสัยของว่าที่ภรรยาแล้วก็ต้องยอม “ขึ้นก็ขึ้น! ใครกลัวกัน!”
พูดจบพั่งจื่อก็นำหน้าไปก่อน หร่วนอิ่งถึงหัวเราะเดินตามไป ดึงแขนพั่งจื่อให้เดินไปอยู่ข้างหน้า
โหวจื่อกับหลูเสียวอ่ารีบตามมาข้างหลัง เจียงถิงตามมาท้ายสุด
ดินเหนียวไม่ได้มีอยู่ตลอดทาง มาถึงตีนเขาแล้วก็มีขั้นบันไดเดินไปได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปีจึงเดินไม่ง่ายนัก
สองชั่วโมงผ่านไป…
“เฮ้อ…เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! ฉันสาบานว่าจากนี้จะไม่มาที่แบบนี้อีก!” พั่งจื่อแทบจะคลานสี่ขาขึ้นเขา
หร่วนอิ่งหอบหายใจแรงเหมือนกัน แต่ดีกว่าพั่งจื่อเล็กน้อย ทว่าพอหยุด ขาเล็กๆ กลับสั่น “ฉันก็ไม่มาแล้วเหมือนกัน เจียงถิง วัดเอกดรรชนีนี่ไม่สนุกเลย ฉันล่ะแค้น เธอนัก”
เจียงถิงยิ้มเฝื่อน “ฉันก็ไม่รู้นี่ว่าทางภูเขามันจะเดินยากขนาดนี้ คิดว่าจะเหมือนกับที่ท่องเที่ยวซะอีก”
“เจียงถิง วัดเอกดรรชนีนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหรอ? ลึกลับอย่างที่เธอพูดจริงเหรอ?” โหวจื่อถือว่าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
เจียงถิงตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันได้ยินมาจากชาวบ้านสองคน พวกนายก็อยากรู้อยากเห็นนี่ เอะอะว่าจะมาๆ ฉันก็เลยมาด้วย ทำไมตอนนี้ ถึงถามแบบนี้ล่ะ… ”
“จริงๆ นะ ความเชื่อแบบหัวโบราณเป็นสิ่งที่ทำร้ายคน ฉันกล้ารับประกันเลยว่า วัดเอกดรรชนีนั่นเป็นแค่วัดผุพัง! วัดผุพังแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้วในหมู่บ้านไกลๆ ต่างบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ความจริงเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น” พั่งจื่อพูดบ้าง
“เอาล่ะ อย่าบ่นนักเลย ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้หวังว่าวัดเอกดรรชนีจะเป็นยังไงอยู่แล้ว แค่มาดูเท่านั้นเอง อีกไม่กี่วันหิมะจะตกแล้ว อยากเที่ยวก็คงเที่ยวไม่ได้” หลูเสียวอ่า เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล
“ก็ใช่ พวกเรามาเที่ยวนี่ ไม่ได้มาจุดธูปไหว้พระสักหน่อย ถ้ามีวัดจริงๆ ก็จะไปดู ในวัดน่าจะมีหลวงจีนรึเปล่า? ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าฝีปากหลวงจีนรูปนี้จะคล่องแคล่ว แค่ไหนถึงให้ชาวบ้านเชื่อว่าเขาให้ลูกได้ เฮอะๆ…พี่โหวไม่มีความสามารถอื่น แต่เก่งเรื่องชกต่อย! ถ้าเจอล่ะก็ ฉันจะชกกับเขาให้พวกเธอเห็นสักครั้ง!” โหวจื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ดูคึกคัก
หลูเสียวอ่าดึงโหวจื่อพลางว่า “ฉันรู้นะว่าเธอทนไหว เอาล่ะ อย่ามัวคุยเรื่องพวกนี้เลย ยังเหลืออีกช่วงหนึ่งจะถึงยอดเขา ขึ้นไปดูกัน”
“ไป!” โหวจื่อนำทาง
พั่งจื่อเห็นดังนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “หลวงจีนบ้านั่นทำเอาฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว โหวจื่อ เจอหน้าอย่าเกรงใจล่ะ จัดการให้ฉันด้วย! ฉันจะให้เขาต้องชดใช้!”
“พั่งจื่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหลวงจีนด้วยเล่า?” เจียงถิงหมดคำจะพูด พั่งจื่อกับโหวจื่อโกรธไม่มีที่ระบาย เลยจงใจหาเรื่องทะเลาะ
หร่วนอิ่งก็พูดขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย “พวกเธอสองคนใจเย็นกันหน่อยสิ ในป่าเขาแบบนี้มีหลวงจีนก็ไม่ใช่หลวงจีนดีหรอก”
พอได้ยินคำพูดข้างหน้า เจียงถิงก็คิดชม แต่พอฟังคำพูดข้างหลังก็พูดไม่ออก เธอพบว่าการมาวัดเอกดรรชนีครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หลวงจีนที่นั่นอาจจะซวยแล้ว…
‘เฮ้อ ช่างเถอะ ถึงยังไงหลวงจีนพวกนั้นก็คุยโม้ทางอ้อม ถ้าโหวจื่อต่อยหลวงจีนชนะจริงๆ ก็ถือว่าทำเพื่อชาวบ้าน…’ เจียงถิงพึมพำในใจพลางเดินตามขึ้นไป
แต่ตอนนี้เองฟางเจิ้งไม่รู้ว่าปัญหาระลอกใหญ่กำลังอยู่บนเส้นทาง
ขณะนี้เขาเพิ่งตื่นนอน ไม่ได้รีบร้อนกินข้าว แต่เก็บกวาดอุโบสถกับลานวัดก่อน หลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะและหน้าต่างจนสะอาดแล้วถึงปาดเหงื่อ พยักหน้า อย่างพอใจ หันไปมองน้ำในโอ่งพุทธ ยังเหลือน้ำอีกครึ่งโอ่ง คาดว่าวันนี้คงใช้หมด จะต้องไปตักน้ำใหม่
แต่พอนึกถึงคุณภาพของน้ำ ฟางเจิ้งก็มีแรงเต็มสิบ
เขาฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์อยู่กับที่สักครู่หนึ่ง เกิดสายลมขึ้น ตบมวลอากาศระเบิดดังปุงปัง ให้ความรู้สึกว่าบรรลุวิชาอยู่หลายส่วน น่าเสียดายไม่มีผู้ชม ขาดเสียงปรบมือเลยดูชืด แต่หลังจบกระบวนท่า เขารู้สึกเด่นชัดว่ากระดูกทั่วร่างกำลังหดตัว กล้ามเนื้อสงบลง รู้สึกเมื่อยๆ คันๆ ค่อนข้างสบาย! ความรู้สึกกล้ามเนื้อเปิดออกทั้งตัวแบบนี้ทำให้เขาลอยล่องดั่งเซียน!
‘เหอะ ไม่คิดเลยว่าฝึกวิชาจะมีผลแบบนี้ด้วย! จากนี้คงต้องฝึกทุกวันแล้ว’ ฟางเจิ้งเพิ่มงานที่ต้องทำทุกวันให้กับตัวเองอีกครั้ง
ยามนี้เองมีเสียงคนดังแว่วมาจากนอกประตู
“ไม่ใช่มั้ง! พั่งจื่อ นายบอกว่าที่นี่ผุพังไม่ใช่เหรอ? นี่มันวัดใหม่ชัดๆ!” เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้วยความตกใจ
จากนั้นก็ตามมาอีกเสียง “ฉันไม่ใช่หมอดูนี่ ก็พูดไปงั้นแหละ”
จากนั้นเป็นเสียงผู้ชาย “เหอะๆ ดูท่าพวกเราคงจะเจอกับพวกลวงโลกจริงๆ แล้ว วัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงพวกนั้นเป็นวัดโบราณกันทั้งนั้น! แต่พวกเธอดูวัดนี่สิ เล็กไม่ว่า ดูกำแพงนั่น อุปกรณ์ต่างๆ กระเบื้อง ประตู สะอาดจนเหมือนกับอะไร นี่คือวัดที่ รีบสร้างขึ้น! วัดแบบนี้ส่วนใหญ่มีแต่หลวงจีนปลอม เมื่อสองวันก่อนก็มีรายงานข่าวใหม่มาไม่ใช่เหรอ? ว่ามีคนปลอมเป็นหลวงจีนสร้างวัดเล็กเพื่อเอาเงินบริจาคธูป ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ลงมือกับคนในหุบเขา หลอกเงินไปมากมาย ฉันว่านะพวกเราเจอพวกลวงโลก เข้าแล้ว”
“ไม่ใช่มั้ง? ถ้างั้นพวกนายจะยังไปอีกไหม?” เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นเสียงพั่งจื่อดังขึ้น “กลัวอะไร? พี่พั่งเคยฝึกมาแล้ว ถ้าเป็นหลวงจีนปลอม ฉันจะจัดการเอง!”
“ขี้โม้ล่ะสิ…” เหมือนว่าผู้หญิงจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้กลัวมากเกินไปแล้ว
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธขึ้นมา! ทำไมเขาถึงกลายเป็นพวกลวงโลกไปได้? ขณะจะพุ่งออกไปอธิบายนั้น ระบบกระแอมไอทีหนึ่ง เขาจึงระงับเพลิงโทสะ แต่ก็รู้สึกไม่สบายตัวในใจ
ขณะพึมพำฟางเจิ้งก็เห็นห้าคนเป็นชายสองหญิงสามคนมาถึงประตูใหญ่
พอมาถึงประตู พั่งจื่อเท้าสะเอวหมายจะแสดงพละกำลังและความห้าวหาญ แต่พอยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ความคิดเสแสร้งและความโอหังจางลงไปทันที อารมณ์ฉุนเฉียวสงบตามไป ก่อนพูดเบาๆ กับตัวเอง “หืม แปลกจริงๆ แค่ยืนอยู่หน้าประตูวัดฉันกลับไม่โกรธแล้ว”
หร่วนอิ่งยิ้ม “ฉันว่านายเสียความมั่นใจมากกว่า กลัวเหรอ?”
พูดจบหร่วนอิ่งก็มาอยู่ข้างพั่งจื่อ ความกังวลและกลัวในตอนแรกจืดจางลงไป ถึงจะมีอยู่แต่ไม่หนักขนาดนั้นแล้ว ทั้งยังพูดขึ้นด้วยความตกใจ “จริงด้วย พอเข้าไปในวัดแล้วจิตใจรู้สึกสบายขึ้นมาก”
หลูเสียวอ่าจูงมือเจียงถิงเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สองคนรู้สึกแบบเดียวกัน มองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ 26 มีแขกมาอีก
ฟางเจิ้งรีบเปิดดูการแชร์ของตัวเอง เขาลงรูปตอนเข้าเรียนไว้ไม่น้อยจริงๆ แต่ที่กังวลคือในนี้มีข้อมูลที่เขาไม่ได้ลงเองด้วย พออ่านความเห็นแล้วก็รู้ว่านี่เป็นฝีมือ หลวงจีนหนึ่งนิ้ว!
พอเห็นรูปสุดท้ายเขาหน้าเขียวปัด! นั่นคือ ตอนเขายังเป็นทารกขวบเต็มพอดี สวมกางเกงเปิดช่องที่เป้าสำหรับเด็ก! นี่ไม่เท่าไร ตอนนั้นอ้าขาออกเล็กน้อย กระบอกปืนเล็กโด่ขึ้นอย่างองอาจห้าวหาญ มีท่าทีแข็งแรงเหมือนกับเครื่องบินรบ! และที่เหนือกว่านั้นคือ เบาะรองข้างล่างเปียกชื้น ลายแผนที่ใหญ่ถูกร่างออกมา…
ตอนนี้ในที่สุดฟางเจิ้งก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฟางอวิ๋นจิ้งถึงบอกว่าแบ๊ว นี่มันน่าขายหน้าชะมัด!
ฟางเจิ้งรีบซ่อนภาพนี้เอาไว้ให้ตนเห็นได้คนเดียวก่อนถอนหายใจโล่งอก คุยกับฟางอวิ๋นจิ้งอีกสองประโยค จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เห็นภาพนี้แล้วก็โล่งใจ
ขณะเดียวกัน ภายในหอพักสตรีสาขาภาษาจีนของมหาวิทยาลัยจี๋หลิน หญิงหน้าตาดีสวมแว่นตา สวมชุดนอนนั่งอยู่บนเตียง เซฟรูปเด็กสวมกางเกงเป้าเปิดเข้าไปในฮาร์ดดิสก์เงียบๆ ก่อนยิ้มชั่วร้ายพลางพูดกับฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ภาพที่หนูให้ถ่ายได้หรือยังคะ?”
ฟางเจิ้งส่งภาพให้ฟางอวิ๋นจิ้ง พอเธอเห็นภาพเหล่านี้แล้วก็อึ้งไป!
“พระเจ้า ไต้ซือใช้มือถืออะไรคะ? พิกเซลนี่…มันอะไรกันเนี่ย? ขยายใหญ่นิดเดียวก็เบลอแล้ว…” ฟางอวิ๋นจิ้งกุมขมับ มองภาพเหล่านี้อย่างหมดคำจะพูด เธอคุยโวว่าเก่งโปรแกรมตัดต่อPs[1] แต่พอเจอกับภาพน่าสงสารที่มีพิกเซลต่ำแบบนี้แล้วก็ยังมีสีหน้าจนปัญญา
หม่าเจวียนได้ยินจึงเข้ามาดูใกล้ๆ ก่อนหัวเราะ “อวิ๋นจิ้ง ไต้ซือเป็นคนถ่ายเหรอ? ฮ่าๆ…ไต้ซือมีความสามารถสูงไม่ใช่เหรอ? ถ่ายมาเหมือนภาพเป็นจุดๆ เลย ฮ่าๆ”
“เอาเถอะ เงียบไปเลย เธอก็เห็นแล้วนี่ ไต้ซือละทางโลกแล้ว คงไม่สนใจมือถืออะไรพวกนี้หรอก เลยเป็นแบบนี้ไง แต่จะทำยังไงดี ไม่มีรูปแล้วจะประกาศวัดเอกดรรชนียังไง?” ฟางอวิ๋นจิ้งกังวลแล้ว
หม่าเจวียนเลิกคิ้วขึ้น “ง่าย พวกเราก็ส่งมือถือไปให้ไต้ซือสิ? เดี๋ยวฉันส่งให้เอง!”
“เธอส่งเหรอ? คิกๆ เกือบลืมไป เธอเป็นคุณหนูนี่” ฟางอวิ๋นจิ้งหัวเราะ
ฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียนหารือกัน ทั้งยังพูดกับจ้าวต้าถงและหูหนาน สรุปสองคนนั้นคัดค้านร่วมกัน! เหตุผลคือ เรื่องตีสนิทกับไต้ซือจะต้องมีพวกเขาเกี่ยวด้วย!
ดังนั้นสี่คนจึงออกเงินคนละห้าร้อยหยวนเตรียมไปซื้อมือถือให้ฟางเจิ้ง
ราคาต้องจ่ายคือฟางอวิ๋นจิ้งซื้อขนมน้อยลงเล็กน้อย หม่าเจวียนมีชีวิตไม่ลำบากอยู่แล้ว ส่วนจ้าวต้าถงขายรองเท้าปีนเขาที่ซ่อนเอาไว้นานมากไป หูหนานซื้อมาม่ากลับมาลังหนึ่ง เอ่ยด้วยความขมขื่น “ต้าถง นี่คืออาหารเดือนหน้าของพวกเรา! นายมั่นใจนะว่า จะไม่กินศพ?”
จ้าวต้าถงโบกมือ “ตอนเรียนมัธยมปลายฉันกินมาไม่น้อย ไม่เป็นไร ถ้ากินเยอะก็ต้องเข้าห้องน้ำนาน ไม่เป็นไร ฉันยังมียาแก้ท้องอืดอีกสองกล่อง แบ่งให้นายกล่องนึง!”
หูหนาน “@#¥#@…”
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าภาพของเขาจะสร้างปัญหาให้กับเหล่านักศึกษาพวกนี้ขนาดไหน รออยู่นานก็ไม่เห็นฟางอวิ๋นจิ้งตอบกลับจึงออฟไลน์ โยนมือถือแล้วหลับไป!
วันที่สอง ฟ้าสว่างเล็กน้อย รถข้ามทุ่งสามคันเข้ามาจอดอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเอกดรรชนี รถคาดิลแลค[2]ที่อยู่หน้าสุดลดกระจกลงถามกับอาที่กำลังกวาดลาน “คุณอา วัดเอกดรรชนีไปทางไหน?”
“พวกนายจะไปวัดเอกดรรชนีเหรอ?” คุณอาที่กำลังกวาดลานปีนกำแพงบ้านตัวเองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ได้ยินว่าวัดเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเลยมาดู คุณอา วิวบนเขาเป็นยังไงบ้าง?” ผู้ชายถามขึ้น
“วิว? จะมีวิวยังไงได้อีก? พวกเราเห็นจนชินแล้ว นายจะไปวัดเอกดรรชนีต้องเลียบไปตามทาง เห็นทางเล็กนั่นไหม เลี้ยวเข้าไป แต่พวกรถพวกคุณคงไปไม่ได้หรอก ต้องเดินเอา” คุณอาตอบ
“อืม ขอบคุณครับ” ผู้ชายคนนั้นพูดจบก็เหยียบคันเร่งนำไป
รถข้ามทุ่งสามคันเข้าไปในหมู่บ้าน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก คุณอาที่กวาดลานคนนั้นรีบวิ่งไปแจ้งข่าวรอบๆ ข่าวจึงกระจายไปอย่างรวดเร็ว
“ได้ยินรึเปล่า? มีรถ suv สามคันเข้าไปในหมู่บ้าน เป็นรถหรูด้วย! ได้ยินว่าจะไป วัดเอกดรรชนี พวกแกว่าพวกเขาจะไปวัดเอกดรรชนีทำไมกัน? หรือจะขอลูก?”
“ช่างเขาเถอะ ใครจะไปขอลูกที่วัดร้างอย่างวัดเอกดรรชนีกัน? ฉันว่านะคงจะมาเที่ยวมากกว่า อย่าจริงจังเลย”
“บางทีเรื่องพวกหยางหวาอาจจะกระจายออกไป คนในเมืองเลยมาขอลูก”
“พวกหยางหวามีลูกได้ก็เพราะพยายามต่างหาก ไปหาหมอสามครั้งในสามเดือน จ่ายเงินไปเป็นหมื่น กินสมุนไพรมาหมดแล้ว คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเรารู้ คนอื่นไม่รู้ว่า ฟางเจิ้งนั่นมีความสามารถแค่ไหน แต่พวกเรารู้ดี บอกว่าเขาเป็นเจ้าอาวาสก็ต้องเป็น เจ้าอาวาส บอกว่าเขาเป็นไอ้ชั่ว ก็ต้องเป็นไอ้ชั่ว” คุณอาวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางถมึงทึงเพราะคิดต่าง
“เฮ้ ฉันว่านะซ่งเอ้อโก่ว ว่ายังไงดีล่ะ? ฉันไม่อยากฟังแกพูดแล้ว ถ้าพูดให้ฉันได้ยินอีกที! เชื่อไหมว่าวันนี้ฉันจะปล่อยเลือดปลาในบ่อแก” ตอนนี้เองตู้เหมยผ่านทางมา พอได้ยินคำพูดซ่งเอ้อโก่วก็ไม่พอใจ
ซ่งเอ้อโก่วเห็นตู้เหมยก็เหมือนกับหนูเห็นแมว สะบัดแขนเสื้อ “ขี้เกียจจะสนใจเธอหรอก” จากนั้นก็เดินจากไป
ถึงคำพูดซ่งเอ้อโก่วจะไม่น่าฟัง แต่พวกชาวบ้านกลับรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ไม่มีใครคิดว่าวัดเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
“เสียงดังอะไรกัน? มาทำเรื่องไร้สาระในตอนเช้าแบบนี้อยู่ได้ จะบอกให้นะ ตอนนี้วัดเอกดรรชนีเป็นสัญลักษณ์ค้ำจุนที่สำคัญในหมู่บ้าน จากนี้จะมีคนนอกเข้ามา จะต้องพูดแต่เรื่องดีๆ อย่าทำลายชื่อเสียง” ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วเดินเข้ามาต่อว่า ทุกคนต่างเชื่อฟัง เพียงแต่จะเข้าหูหรือไม่นั้นค่อยว่าอีกที
ใต้ภูเขาเอกดรรชนี ชายหญิงวัยหนุ่มสาวห้าคนตาค้าง
“พระเจ้า เส้นทางพังแบบนี้…รู้อย่างนี้แต่แรกฉันคงไม่มาหรอก!” คนอ้วนสวมเสื้อขนสัตว์ คลุมด้วยแจ๊กเก็ตหนังมองเส้นทางแคบข้างหน้าพลางบ่น
“เอาเถอะ พั่งจื่อ นายพูดทุกวันว่าจะลดความอ้วนไม่ใช่เหรอ? โอกาสมาแล้ว ขึ้นไปกัน!” ชายผอมมากคนหนึ่งข้างๆ ไว้ผมทรงเกาหลี กระดูกโหนกแก้มสูง เด่นออกมาดูชัดมาก
“โหวจื่อ พวกเราไม่พูดถึงเรื่องลดน้ำหนักได้รึเปล่า? นายดูทางสิ…เกี่ยวกับ ลดน้ำหนักตรงไหน? นี่มันใช่ทางคนเดินเรอะ?” พั่งจื่อถาม
“เอาล่ะๆ วันนี้ทุกคนมาเที่ยวนะ พวกนายไม่อยากรู้เหรอว่าวัดเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ รึเปล่า? ไหนๆ ก็มาแล้วไปเถอะ ขึ้นไปดูกัน” เด็กสาวที่ดูคึกคักกระโดดออกมา เด็ดหญ้าแห้งมาต้นหนึ่ง ยิ้มพลางเอ่ย ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือ เจียงถิงพยาบาลใหม่ ในโรงพยาบาล
[1] Ps คือโปรแกรมตัดต่อ photoshop
[2] รถคาดิลแลค เป็นชื่อบริษัทผลิตรถยนต์ระดับหรูของสหรัฐอเมริกา ในเครือเจเนรัลมอเตอร์
ตอนที่ 25 ประกาศภารกิจที่สาม
ฟางเจิ้งรีบสวดมนต์ พยายามยับยั้งความตะกละต่อมื้อเช้าไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยความจำใจ จึงได้แต่ปลอบตัวเอง “ข้าวลงหม้อแล้ว จะให้สิ้นเปลืองไม่ได้ มื้อเย็น มื้อเย็นฟุ่มเฟือยอีกหน่อยแล้วกัน….”
พูดจบหมาป่าเดียวดายกระโดดโลดเต้นไปมาในห้องอย่างตื่นเต้น ฟางเจิ้งรีบตบมันไปทีหนึ่ง “กระโดดอะไรนักหนาหะ? ไปเลย! รีบไปเอาฟืนมาอีกหน่อย ไม่งั้นข้าวเย็น ไม่มีส่วนของนาย!”
หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นก็วิ่งไป เร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ฟางเจิ้งมองค้อน หมาป่าบ้านี้จะต้องเป็นผีหิวโซกลับชาติมาเกิดแน่…
ไม่นานข้าวก็สุก กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก มีกลิ่นที่ไม่แย่ไปกว่าข้าวที่หุงด้วยข้าวผลึกทั้งหมดแม้แต่น้อย ประกอบกับครั้งนี้ปนข้าวธรรมดาไปเจ็ดแปดส่วน จึงมีจำนวนอัดแน่น ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายกินกันอย่างมูมมาม จนกระทั่งอิ่มไม่ไหวแล้วถึงหยุด แต่ข้าวในหม้อไม่เหลือสักเม็ด แถมยังเลียชามจนสะอาดกว่าล้าง!
“สบาย!” ฟางเจิ้งหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น หลังพิงกำแพง
“โฮ่ง…” หมาป่าเดียวดายพิงกำแพง เหยียดขา มีสีหน้าพอใจเลียนแบบฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งมองหมาป่าเดียวดายที่เหมือนคนไปทุกทีพลางอดถามในใจไม่ได้ “ระบบ ถึงหมาป่าเดียวดายจะเป็นจ่าฝูงหมาป่า มีสติปัญญาสูง แต่ก็สูงขนาดนี้เลยเหรอ? มีนิสัยขี้เกียจ แถมยังทำหน้าแบบนี้อีก…”
“ติ๊ง! ข้าวผลึก น้ำบริสุทธิ์เปิดสติปัญญาให้สิ่งมีชีวิตได้ ยิ่งกินข้าวผลึกกับน้ำบริสุทธิ์นานเท่าไร ก็ยิ่งเปิดสติปัญญาได้มากเท่านั้น และก็ยิ่งปราดเปรียว”
“แล้วแบบนี้มันจะไม่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเหรอ?” ฟางเจิ้งตกใจ หากเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาก็จะกลายเป็นปีศาจรึเปล่า? ในภาพจำ ปีศาจเป็นพวกกินคนไม่ คายกระดูก
“ในทางทฤษฎี หากมีกุศลมากพอ ทุกสรรพสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาได้ แต่ว่าในโลกของนาย ยากมาก ยากมาก ยากมาก”
พอได้ยินระบบบอกว่ายากมากสามครั้งฟางเจิ้งก็วางใจ พูดเรื่องสำคัญสามรอบแบบนี้ เดาว่าไม่ได้ล้อเล่น
ฟางเจิ้งตบหัวหมาป่าเดียวดาย ก่อนเก็บทำความสะอาดห้องครัวจนเอี่ยมอ่องถึงเดินออกไป เขารดน้ำบริสุทธิ์ให้ต้นโพธิ์เล็กน้อยก่อนพึมพำ “น้ำวิเศษขนาดนี้ หวังว่าจะมีผลกับแกบ้างนะ อย่างน้อยก็ให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ ปีหน้าแกจะต้องเหงาอีกสักระยะ”
พูดจบฟางเจิ้งก็เดินไปกุฏิ
ตอนนี้เองระบบส่งเสียงอีกครั้ง
“ระบบประกาศภารกิจที่สาม จุดธูปต่อเนื่อง สะสมให้ได้หนึ่งร้อยดอก ไม่มีเวลาจำกัด หลังภารกิจสำเร็จจะได้กล่องบริจาคเป็นรางวัลหนึ่งกล่อง!”
“ระบบ นี่มันเกินไปรึเปล่า? โยนกล่องบริจาคฉันทิ้งแล้วยังให้ฉันทำงานให้นายเนี่ยนะ?”
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ระบบบ้าบอ ได้แต่อดกลั้น! ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขา ก็คือ การสำเร็จอรหันต์ให้เร็วๆ แล้วจะได้รีบสึก ส่วนปัญหาเรื่องธูปร้อยดอก ถึงยังไงก็ไม่มีเวลาจำกัด เขาไม่รีบ อีกอย่างตามสถานการณ์ด้านการพัฒนาตอนนี้แล้ว ภายภาคหน้าคงจะมีคนมาจุดธูปอีกเล็กน้อย…อย่างน้อยพวกหวังโอ้วกุ้ยก็น่าจะทำงานอย่างสุดชีวิตเพื่อข้าวผลึก
ฟางเจิ้งไม่มีอะไรทำจึงหยิบมือถือขึ้นมาต่อไวฟาย เข้าอินเทอร์เน็ต
“อืม ธูปร้อยดอก เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย มาคิดๆ ดูแล้วถ้าธูปถึงร้อยดอกจริงๆ เงินบริจาคค่าธูปก็คงพอให้ฉันกินใช้ได้ตามต้องการ ต้องพยายามแล้ว…” ฟางเจิ้งพูดกับตัวเองพลางค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าวัดอื่นบริหารวัดกันยังไง แต่ก็เป็นเรื่องราวที่คลุมเครือ เลียนแบบไม่ได้เลย
ขณะฟางเจิ้งกำลังทำหน้ากลุ้ม แอปวีแชตที่เขาไม่ได้เข้ามาหลายวันเด้งขึ้นมา
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว เขาไม่ได้เข้าวีแชตมานานมาก อีกทั้งเพื่อนในนั้นยังเป็น เพื่อนสมัยเรียน มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ขึ้นลงเขาเล่นด้วยกันอีกหลายคน แต่พอฟางเจิ้งออกจากโรงเรียน คนเหล่านี้ก็ค่อยๆ จางออกจากโลกของเขา ต่อให้คุยกันในกลุ่ม ทุกคนยังคุยกับฟางเจิ้งน้อยมาก เหมือนอยู่คนละโลก
ดังนั้นถึงฟางเจิ้งจะท้อแท้ แต่ก็ช่วยไม่ได้
ตอนนี้เห็นข้อความเข้ามาจึงตกใจเล็กน้อย เปิดอ่านดูก็อึ้งไป นี่เป็นคำขอเพิ่มเพื่อน!
อีกฝ่ายใช้ชื่อว่าไห่จิ้งมี่ มีคำอธิบายว่า “หนูฟางอวิ๋นจิ้งเอง รบกวนไต้ซือเพิ่มเพื่อนด้วยค่ะ”
ฟางเจิ้งอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าจะเป็นฟางอวิ๋นจิ้ง! แต่เธอรู้ไอดีวีแชตเขาได้ยังไง?
สำหรับคนสวยอย่างฟางอวิ๋นจิ้งแล้ว ฟางเจิ้งย่อมจำได้อย่างแม่นยำ ช่วยไม่ได้ ตั้งนานเพิ่งจะมีคนสวยขึ้นเขามาเป็นคนแรก จะไม่จำก็ไม่ได้ อีกอย่างเขาเป็นหลวงจีนปลอมที่เป็นมนุษย์ มีใจอยากสึกแล้วแต่งงานอย่างนั้นเหรอ?
ตอบเลยว่าใช่!
“ไต้ซือ ในที่สุดก็เล่นสักทีนะ รอแทบแย่” ฟางอวิ๋นจิ้งออนไลน์อยู่!
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน “อาตมาเป็นนักบวช เข้าอินเทอร์เน็ตน้อยมาก โยมมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“ไต้ซือ คืออย่างนี้ ก่อนหน้านี้พวกเราบอกว่าจะช่วยท่านประกาศเรื่องวัดใช่ไหม? แต่พวกเราขาดข้อมูลน่ะ ท่านถ่ายรูปส่งให้พวกเราหน่อยได้ไหม? พวกเราจะเอาไปแสดงที่มหาวิทยาลัย อีกอย่าง จ้าวต้าถงก็วางแผนว่าพรุ่งนี้จะพาพวกเพื่อนๆ ไปหาท่านด้วย” ฟางอวิ๋นจิ้งกล่าว
ฟางเจิ้งรับรู้แล้ว นี่เป็นเรื่องดี! เดิมทีเขาไม่หวังอะไรกับพวกนักศึกษาสองสามคนอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่านักศึกษาพวกนี้จะพยายามช่วยเขาจริงๆ! พลันมีชีวิตชีวาอีกครั้ง คิดในใจว่า ‘ทำความดีไม่เสียเปล่าจริงๆ ช่วยคนไม่เสียเปล่า!’
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงตอบกลับ “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวอาตมาจะถ่ายรูปไปให้ แต่ว่ากล้องมือถืออาตมามีพิกเซลน้อย ภาพเลยไม่ดีนะ”
“ภาพธรรมดาก็พอค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเอง รับรองว่าจะแต่งให้สวยเลย!” ฟางอวิ๋นจิ้งส่ง อิโมติคอนมั่นใจมา
ในความคิดฟางเจิ้งมีสีหน้ามั่นใจของเด็กสาวเพิ่มมา จึงหัวเราะเหอะๆ “ขอบคุณโยมมาก”
“ไม่เป็นไรค่ะไต้ซือ ท่านเป็นคนมีความสามารถจริงๆ ไม่ควรถูกขังอยู่ที่นั่น พวกเราจะช่วยเอง” ฟางอวิ๋นจิ้งตอบ
ฟางเจิ้งกับฟางอวิ๋นจิ้งกล่าวขอบคุณกันแล้ว ฟางอวิ๋นจิ้งก็ไปเข้าเรียน ออฟไลน์ไป
ฟางเจิ้งตรึกตรองครู่หนึ่งถึงหยิบมือถือขั้นสุดยอดของเขาเดินออกไป อันดับแรกเขาถ่ายภาพวัดเอกดรรชนีเต็มๆ หนึ่งภาพ จากนั้นถ่ายเฉพาะจุดของวัดเอกดรรชนี จำนวนมาก รวมถึงต้นโพธิ์รนหาที่ตาย กระทั่งหมาป่าเดียวดายก็ถูกถ่ายไว้หลายภาพ ก่อนหมาป่าเดียวดายจะถูกทุบตีไปยกหนึ่ง…
“เจ้าหมาโง่ ครั้งหน้าไปฉี่ไกลๆ หน่อย อย่ามาฉี่หน้าประตูอีก! ฉันว่าแล้วทำไมใกล้ๆ ถึงมีกลิ่นแปลกๆ เป็นแกนี่เอง” ฟางเจิ้งถือไม้ตะบองวิ่งไล่ตามหมาป่าเดียวดายอยู่นาน…
ยามเย็น ฟางเจิ้งหุงข้าวอีกหม้อ กินกับหมาป่าเดียวดายจนอิ่ม ก่อนหยิบมือถือเข้าอินเทอร์เน็ต!
แต่ครั้งนี้มีคำขอเป็นเพื่อนติดๆ กัน เป็นพวกจ้าวต้าถง หูหนานและหม่าเจวียนสามคน
ฟางเจิ้งตบเข้าหน้าผากทีหนึ่งแล้วส่งข้อความไปหาฟางอวิ๋นจิ้ง “โยม รู้ไอดีวีแชตอาตมาได้ยังไง?”
ฟางอวิ๋นจิ้งส่งอิโมติคอนน่ารักกลับมา “ขอโทษค่ะไต้ซือ หนูค้นหาเพื่อนใกล้ๆ วัด เป็นฟังก์ชันใหม่ของวีแชต ไม่ออนไลน์ก็หาเจอ…ทั้งวัดมีท่านคนเดียว จะต้องเจอ แต่ท่านแน่ ไต้ซือ ตอนเด็กนี่แบ๊วจังเลยนะคะ”
ตอนที่ 24 โอ่งดีน้ำดี
“คิดวิธีอื่น? ฉันยังคิดอะไรได้อีก? เอาเถอะ ขึ้นเขาไปรอหิวตายก็ได้” ฟางเจิ้งพูดด้วยความคับแค้นใจ ปากพูดแบบนี้ แต่ความคิดกลับหมุนวนอย่างรวดเร็ว คิดหาวิธี ผ่านฤดูหนาว ข้าวสองถุงร้อยจิน หากเขากินประหยัดๆ จะกินได้สามเดือนหรือเปล่านะ เกิดคำถามแล้ว ในวัดก็ไม่ได้มีเขาคนเดียว ยังมีหมาป่าเดียวดายจอมตะกละ รวมมันแล้ว ข้าวจะต้องไม่พอแน่
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้ม คิดหาวิธีไม่ได้เลย
เมื่อขึ้นเขามาแล้วก็เทถังน้ำสองถังกับถังน้ำเล็กอีกสองถังของหมาป่าเดียวดายเข้าไปในโอ่ง สรุปคือ เติมไปได้หนึ่งส่วนสิบ!
ฟางเจิ้งอยากจะร้องไห้ จึงกล่าวขึ้น “ระบบ นายจงใจใช่ไหม! จงใจให้โอ่งใหญ่แบบนี้ เพื่อแกล้งฉันใช่ไหม!”
“ขอแนะนำอย่างเป็นมิตร นายจะไม่เติมให้เต็มโอ่งก็ได้ แต่หากเติมเต็ม จะมีข้อดี”
“ข้อดี? ข้อดีอะไร?” หลังฟางเจิ้งสัมผัสถึงข้อดีของข้าวผลึกแล้ว จึงเชื่อคำว่าข้อดีของระบบมาก ทั้งยังอยากรู้
“ความลับ”
“นาย…” ฟางเจิ้งด่าทอในใจ ‘ไอ้แก่!’ จากนั้นก็ลงเขาไปตักน้ำอย่างว่าง่าย ดีที่ฟางเจิ้งร่างกายแข็งแรง มีวิทยายุทธ์ปกป้องตัวเอง กินข้าวผลึกปนกับข้าวธรรมดาทุกวัน แต่กลับส่งผลต่อทางเดินเลือดลมและเลือดเนื้อในร่างกายที่แน่นอน ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้แม้จะตักถังน้ำใหญ่สองถังก็ยังฝีเท้าเร็วราวกับเหาะเหิน ขั้นบันไดสูงชันประหนึ่งพื้นราบใต้เท้า ห้อวิ่งขึ้นลงตลอดทาง เขาพลันพบว่ารู้สึกคล่องแคล่วมาก!
วิ่งไปๆ มาๆ สิบรอบในที่สุดก็เติมน้ำเต็มโอ่ง
ทว่าฟางเจิ้งกำลังนอนหมอบอยู่บนโอ่งมองไปข้างใน มองอยู่นานก็ไม่เห็นว่าโอ่งพุทธมีความพิเศษอะไร จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ระบบ นี่มันอะไรกัน? ไหนนายบอกว่าจะต้องตกใจไง?”
“วิ่งสิบรอบเติมน้ำเต็มโอ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่ตกใจรึไง?” ระบบตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“ไอ้เวร!” ฟางเจิ้งอ้าปากด่าทอ
เปรี้ยง!
สายฟ้าสายหนึ่งผ่าเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ผ่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง!
ก่อนมีอีกสายระเบิดตรงหน้า!
ฟางเจิ้งอ้าปาก “นาย…”
ครืน…
เมฆดำข้างนอกกำลังรวมสายฟ้า…
“พูดได้ดี วันนึงทำผิดได้สามครั้ง อมิตพุทธ ประเสริฐๆ ไม่เล่นละ” ฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อเตรียมเดินหนีไป
เมฆดำข้างนอกพลันหายไป ตอนนี้เองขากางเกงฟางเจิ้งถูกดึงลงไป พอก้มหน้ามองก็เห็นหมาป่าเดียวดายแลบลิ้น เห่าไม่หยุด
“หิวน้ำรึ? นายดื่มน้ำตรงตาน้ำพุไปไม่เท่าไรเองนี่ ได้ๆๆ จะให้นายดื่ม” ฟางเจิ้งพูดจบก็ตักน้ำชามใหญ่มาเทใส่ชามใหญ่ที่ดัดแปลงมาจากกระถางดอกไม้ซึ่งเตรียมไว้ให้ หมาป่าเดียวดายโดยเฉพาะ
หมาป่าเดียวดายเข้าไปใกล้ แลบลิ้นดื่มน้ำแผล่บๆ แต่ยิ่งดื่มก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงครู่เดียวดื่มจนหมดเกลี้ยง ซ้ำยังเลียก้นชามอีก! พอมั่นใจว่าไม่เหลือแล้วถึงเรอ ก่อนเข้าไปใกล้แล้วเห่าต่อ
“จะดื่มอีกเหรอ? นายอยากดื่มจนน้ำลายไหลแล้วนะ…เอ่อ หรือว่าอยากดื่มมาก?” ฟางเจิ้งกังวลแล้ว น้ำนี่มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือไง?
มีข้าวผลึกเป็นตัวอย่าง ความคิดฟางเจิ้งจึงไม่ใช่ต้นไม้แล้ว เขารีบวิ่งกลับไปตักน้ำมาชามหนึ่ง ดื่มไปอึกหนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย ไม่สนใจอะไรแล้ว เอาแต่ดื่มไป อึกใหญ่…
เมื่อน้ำเข้าปากจะรสชาติหอมหวานอย่างยิ่ง สำคัญคือ เย็นสบาย แต่กลับไม่เย็นเยือก เมื่อเข้าไปในร่างกาย อวัยวะทั่วร่างจะเหมือนถูกกระตุ้น พวกอวัยวะเหล่านี้ราวกับ หญ้าแห้งและต้นไม้แก่ที่แห้งมานานมากแล้วพลันได้รับฝนตกครั้งใหญ่ จึงสูบน้ำอย่าง บ้าคลั่ง ปลดปล่อยพละกำลังแห่งชีวิต แตกหน่อออกกิ่ง…
ดื่มน้ำหมด ฟางเจิ้งลูบท้อง อิ่ม! แต่กลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าพอใจ “สบาย!”
ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าเขาที่ดื่มน้ำมาทั้งชีวิตจะรู้สึกว่าน้ำนี่อร่อยกว่าเครื่องดื่มทุกชนิด! ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าน้ำจากตาน้ำพุเอกดรรชนีเป็นน้ำที่อร่อยที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้เทียบกับน้ำนั่นไม่ได้เลย!
“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายใต้เท้าส่งเสียง
ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างรำคาญ “เออๆ จะให้นายดื่ม”
ฟางเจิ้งก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว ในเมื่อน้ำนี่อร่อยจริงๆ ก็ให้หมาป่าเดียวดายดื่มให้เต็มที่! ให้ข้าวไม่ได้ จะให้น้ำไม่ได้หรือไง?
เขาให้หมาป่าเดียวดายดื่มน้ำชามใหญ่อีกชาม จากนั้นตรึกตรองเรื่องน้ำ เห็นได้ชัดว่าน้ำพุใต้ภูเขาไม่ได้มีรสชาติแบบนี้ เช่นนั้นคำตอบทุกอย่างก็อยู่ที่โอ่งพุทธแล้ว
“ระบบ นายอยู่ไหม?”
ระบบเงียบ
“เฮ้ ยังโกรธอยู่อีกเหรอ? พี่ระบบ อย่าโกรธเลยนะ ถามหน่อย เรื่องน่าตกใจที่นายว่าคือหลังเติมน้ำเต็มโอ่งแล้ว น้ำจะเปลี่ยนเป็นอร่อยมากใช่รึเปล่า?” ฟางเจิ้งถาม
“เมื่อเติมน้ำในโอ่งพุทธเต็ม มันจะปลดปล่อยแก่นแท้ของสุริยันจันทรากับ แรงปรารถนาของทุกชีวิตในโอ่ง มันจะเปลี่ยนน้ำให้น้ำสะอาดบริสุทธิ์ น้ำสะอาดบริสุทธิ์จะไม่มีสิ่งปนเปื้อนทางโลกใดๆ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะหอมหวานมาก กระชุ่มกระชวย ไปทั้งตัว กระตุ้นพลังชีวิตทั่วร่างกาย” ระบบตอบ
ฟังจากน้ำเสียงระบบแล้วไม่ได้เหมือนโกรธอะไร ฟางเจิ้งก็วางใจ ขณะเดียวกันก็เข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าระบบจะไม่มีอารมณ์อะไรเลย คล้ายกับว่าเป็นโปรแกรมที่แน่นอน ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ขอเพียงไม่ทำผิดกฎ เขาก็จะพูดอะไรก็ได้
พอนึกถึงตรงนี้ฟางเจิ้งก็วางใจ
“ไม่เติมเต็มโอ่งไม่ได้เหรอ?” ฟางเจิ้งถาม
“ไม่เติมเต็มโอ่ง จะไม่เกิดผลพิเศษของโอ่งพุทธ” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งเงียบ ลูบเงินในกระเป๋าแล้วต้องถอนหายใจ พึมพำว่า “ต้องเก็บเงินแล้ว รีบหาคนงานสักคนมาคอยเติมน้ำ แบบนั้นจะไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องน้ำ”
พูดจบฟางเจิ้งก็ท้องร้องจ๊อกๆ เขาหิวแล้ว ถึงจะดื่มน้ำไปไม่น้อย แต่น้ำก็คือน้ำ แทนข้าวไม่ได้
ขัดหม้อ เติมน้ำ ซาวข้าว หุงข้าว!
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งว่า “หมาป่าเดียวดาย ฟืนไม่พอ นายไปเอาฟืนมาหน่อย”
หมาป่าเดียวดายที่ก่อนหน้านี้ขี้เกียจ เห่าแล้ววิ่งออกไปทันที ฟางเจิ้งได้แต่ด่ายิ้มๆ “ให้นายไปตักน้ำ ทำอย่างกับเป็นหมาตาย พอให้ไปเอาฟืนมาหุงข้าวมีชีวิตชีวาขึ้นมาเชียวนะ แกนี่มันสุนัขจิ้งจอกหรือเปล่าเนี่ย?”
หมาป่าเดียวดายกลับแกว่งหางวิ่งไกลออกไป ไม่นานก็คาบท่อนไม้หนากลับมา ฟางเจิ้งหยิบขวานขึ้นมาตัดเป็นท่อนเล็กๆ อย่างคล่องแคล่ว ยัดใส่เตา จากนั้นหนึ่งคนกับหมาป่าต่างคุยกันเรื่อยเปื่อยแก้กลุ้ม แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดาย ก็เงียบ เอาแต่สูดกลิ่นไม่หยุด
“หอมมาก! ไม่ใช่แล้ว ฉันไม่ได้ใช้ข้าวผลึกมากนักนี่ ทำไมข้าวถึงหอมแบบนี้?” ฟางเจิ้งกลืนน้ำลายทีละอึกแล้วพูดงึมงำ
หมาป่าเดียวดายชี้ไปยังโอ่งพุทธพลางเห่าสองที ฟางเจิ้งจึงเอ่ย “นายจะบอกว่าเป็นเพราะน้ำในโอ่งพุทธเหรอ? ก็ใช่ น้ำอร่อยขนาดนี้ จะต้องทำให้อาหารอร่อยขึ้นแน่ ดูท่าปัญหาจะอยู่ที่…ไม่รู้ว่าเมื่อข้าวผลึกรวมกับน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ต้มสุกออกมาแล้วข้าวจะมีรสชาติเป็นยังไง” พูดจบ ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกัน หนอนตะกละทุกตัวโลดแล่นออกมา…
ตอนที่ 23 ยากจน
“พระเจ้า ฉันรู้แล้วว่าทำไมตอนนั้นซือหม่าโอ่งถึงทุบกวางทิ้ง ถุยไม่ใช่ ทำไม ซือหม่ากวาง[1]ถึงทุบโอ่งทิ้งต่างหาก ก็เพราะมันใหญ่แบบนี้ไง ฉันก็จะทุบโอ่งเหมือนกัน! นี่ระบบ ถึงสินค้านายจะมีประโยชน์นะ แต่นี่มันใหญ่เกินไปแล้วโว้ย! นายให้ฉันจริงๆ หรือเนี่ย นึกว่าให้ช้างใช้เสียอีก?” ฟางเจิ้งเดินวนรอบโอ่งน้ำ
ปากโอ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตรห้า สูงเกือบสองเมตร! ตัวโอ่งสีน้ำตาล สลักด้วยอักษรพุทธสีทอง! อักษรเหล่านี้มีพลังมาก มองแวบแรกมีพลังอำนาจอยู่ หลายส่วน ประกอบกับโอ่งน้ำ จึงยิ่งเสริมความยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกหลายส่วน
ฟางเจิ้งแกะตรงขอบทองของอักษรบนโอ่งน้ำ แต่แกะไม่ออก ซ้ำยังกัดเข้าไปอีก ก่อนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “แข็งแบบนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ! ระบบ นายหลอกอีกแล้วเหรอ? ทำเป็นสีทองแต่ไม่ใช่ทองจริง คิดจะหลอกกันรึไง”
“นี่คือ ทองคำพุทธ ไม่ใช่ทองทั่วไป ทองคำพุทธมีผลในการขับไล่มารทำให้ที่อยู่อาศัยสงบสุข อีกทั้งเมื่อพบเรื่องไม่ดีจะช่วยให้หลีกพ้นไปได้ นายอย่าคิดทำอะไรมัน จะดีที่สุด นี่คือ อักษรบนโอ่งพุทธ ต่อให้นายกัดมันแตก อักษรก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก”
“เฮอะๆ…พูดอะไรน่ะ? ฉันแค่จะดูเองว่าใช่ทองจริงไหม ใครว่าจะทำแบบนั้นกัน” ฟางเจิ้งถูกอ่านความคิดออก จึงถูจมูกอย่างเก้อเขิน ทั้งยังสะบัดแขนเสื้อจะดื่มน้ำ ทว่า ก็ต้องร้อนใจ
ฟางเจิ้งเดินวนในครัวอยู่หลายรอบ ก่อนพูดขึ้น “ฉัน…อมิตพุทธ! โอ่งน้ำฉันล่ะ! ถูกขโมยเหรอ? ไม่ใช่ คนในหมู่บ้านก็มีโอ่งน้ำกันทั้งนั้นนี่ จะมาขโมยของฉันทำไม?”
ไม่ผิด โอ่งน้ำฟางเจิ้งในครัวหายไป แม้แต่น้ำในโอ่งก็หายไปด้วย!
“โอ่งน้ำนั่นเป็นของทางโลก มีโอ่งพุทธแล้ว โอ่งน้ำนั่นต้องถูกทิ้งไปอยู่แล้ว ฉันช่วยนายทิ้งไปเอง ไม่ต้องขอบคุณ”
‘ขอบคุณกับผีสิ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ แต่ปากว่า “ขอบคุณ? นายคิดมากไปแล้ว ฉันอยากเฆี่ยนแกนัก! นั่นมันโอ่งน้ำของฉัน! ตอนทิ้งนายบอกสักคำไหม? แล้วน้ำในนั้นล่ะ?”
“ทิ้งไปด้วยกันแล้ว” ระบบตอบกลับอย่างไม่สำนึกแม้แต่น้อย
ฟางเจิ้งจำใจ นอนหมอบอยู่ข้างโอ่งมองไปข้างใน ในนั้นว่างเปล่า ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว
ฟางเจิ้งอยากจะร้องไห้ อยากดื่มน้ำก็ไม่ได้ดื่ม
ฟางเจิ้งวิ่งไปข้างบ่อน้ำหลังวัดกดไม้กระดกบ่อน้ำ มีเสียงน้ำดังซู่ๆ แต่น้ำไม่ออก พอไม่มีน้ำเป็นตัวนำ การจะดื่มน้ำจึงไม่มีหวัง
‘เฮ้อ คงต้องลงเขาไปตักน้ำจริงๆ’ ฟางเจิ้งจนปัญญาจริงๆ แต่ก็หยิบไม้คานขึ้นมา หิ้วถังน้ำอีกสองใบ
‘หืม? เบาจัง? ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่ได้เบาขนาดนี้นี่ แต่หนักมากต่างหาก’ ฟางเจิ้งใช้มือชั่งน้ำหนักถังเหล็ก ถังน้ำเหล็กส่งเสียงกระทบกัน เห็นได้ว่าไม่ใช่ของปลอม เขาพลันตั้งสติได้ ตนฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ พละกำลังในตอนนี้ไม่ใช่อย่างในอดีตแล้ว
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “เอาล่ะ ระบบ นายวางแผนไว้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าจะให้ฉันไปตักน้ำ? มิน่าถึงให้ฉันฝึกวิชา ที่แท้ก็เอามาใช้แรงงานนี่เอง”
พอออกประตูไปก็เห็นหมาป่าเดียวดายส่ายหางวิ่งมาแต่ไกล ฟางเจิ้งมองมันแล้วกลอกตา…
ภูเขาเอกดรรชนีตรงดิ่ง เส้นทางภูเขาข้างล่างไม่ราบเรียบเสมอกัน ขั้นบันไดสูงชันประกอบกับไม่ได้ซ่อมมาหลายปี มีหลายแห่งผุพังไปแล้ว การเดินจะต้องระวังเป็นพิเศษ ดีที่เส้นทางกว้างสองเมตร ขอเพียงไม่จงใจกระโดดตรงขอบก็จะไม่มีอันตราย ในทางตรงข้ามมันกลับให้รสชาติที่พิเศษแก่ภูเขาเอกดรรชนีอีกหลายส่วน
ขณะเดียวกันภูเขาเอกดรรชนีก็ไม่ใช่หนึ่งนิ้วขึ้นฟ้าอย่างนาม แต่เป็นข้อต่อมีทั้งหมดสามข้อเหมือนกับหน่อไม้ คล้ายๆ ปล้องนิ้วคน ทุกข้อต่อจะเป็นพื้นที่ มีป่าไม้ ที่ราบ และก็ตาน้ำพุ
ฟางเจิ้งกำลังไปตรงข้อต่อที่สอง ตรงนั้นมีตาน้ำพุธรรมชาติ น้ำพุที่ผุดขึ้นมา หวานอย่างยิ่ง ไหลผ่านยอดเขาลงไป ผ่านหมู่บ้านเอกดรรชนี คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะดื่มน้ำพุนี้ แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ทุกเครือเรือนต่างมีเครื่องจักรดูดน้ำบาดาล คนที่ดื่มน้ำพุก็น้อยลง ประกอบกับหมู่บ้านบุกเบิกแดนรกร้างครั้งใหญ่ ได้ทำลายเส้นทางน้ำพุไป เส้นทางน้ำเปลี่ยนเป็นนาน้ำ หากใครจะดื่มน้ำพุต้องขึ้นเขาเท่านั้น
ขึ้นเขาก็ไม่ง่าย คนที่ดื่มจึงน้อยลงเองโดยธรรมชาติ
ดังนั้นคนชราไม่น้อยจึงเสียดายมาตลอด แต่ก็ยังบุกเบิกแดนรกร้าง ทุกอย่างก็เพื่อ มีชีวิต…
ฟางเจิ้งได้แต่ถอนหายใจ เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ธรรมชาติกลับต้อง ถูกทำลายอย่างบ้าคลั่ง ความทรงจำของผู้คนถูกเทคโนโลยีลบไป หากคนคนหนึ่งออกจากหมู่บ้านไปหลายปี ตอนที่กลับมาอีกครั้งจะเปลี่ยนแปลงแต่สิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยน นี่คือ การเปลี่ยนแปลง ฟางเจิ้งส่ายหน้าให้กับการเปลี่ยนแปลงนี้มาตลอด ใช้การทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนา ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีผลดีทั้งนั้น
ตอนนี้บนบันไดสูงชัน คนหนึ่งคนกำลังแบกถังน้ำสองถัง ข้างหลังมีหมาป่าตัวใหญ่เหมือนกำลังบ่น นี่ไม่ใช่เพราะหมาป่าเดินตามหลังด้วยความคับอกคับใจ แต่หลังมัน แบกถังน้ำเล็กสองใบ ใช้ไม้กับเชือกผูกไว้กับตัว ดูแล้วพิลึกจริงๆ
“บ่นอะไรหะ? อยากกินข้าวผลึกไหม? อยากกินก็ตั้งใจทำงาน ไม่ใช่สิ เรียกว่า ฝึกฝนต่างหาก! นายรู้ไหมการฝึกฝนคืออะไร? ฝึกร่างกาย ฝึกจิตใจ อะไรคือ การฝึกร่างกาย? ก็คือ ฝึกซ้อมร่างกายและจิตใจ นายดูฉันนี่ สองถังนี่ใหญ่กว่า ของนายอีก ไม่พอใจรึไง? ตอนนี้นายคือสุนัขผู้ปกปักของวัดฉัน ภายภาคหน้าหาก ฉันสำเร็จอรหันต์ นายก็จะเป็นผู้ปกปักเทพ ตอนนี้ฝึกหนักแค่นี้ ร้องโอดโอยซะเหมือนอะไรเลย?” ฟางเจิ้งต่อว่า
หมาป่าเดียวดายเห่าสองทีแล้วก็เงียบไป เดาว่าคงคิดในใจว่า ‘ฉันเห่าแค่สองที นายพูดมากขนาดนี้เลย…เฮ้อ ชีวิต’
หนึ่งคนกับหมาป่าพูดคุยกันจนมาถึงกลางเขา ฟางเจิ้งตักน้ำใส่ถังน้ำสองใบ ก่อนตักน้ำใส่สองถังเล็กให้หมาป่า จากนั้นหนึ่งคนกับหมาป่าถึงเดินทางกลับ
แต่ช่วงที่ขึ้นเขา ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นเห็นเมฆดำตรงขอบฟ้า พายุรุนแรงขึ้น…
‘เฮ้อ พายุมาแล้ว แต่ฝนตกคราวนี้สภาพอากาศคงจะเปลี่ยน ใกล้จะถึงหน้าหนาวแล้ว ควรจะเตรียมของไว้ใช้ในหน้าหนาวบ้าง ว่าแต่…ควรเตรียมอะไรดี?’ ฟางเจิ้งกลัดกลุ้ม อีกครั้ง ในกระเป๋ามีเงินอยู่พันสามร้อยหยวน ดูเหมือนไม่น้อย แต่ใช้จ่ายได้ไม่มาก เขาลงเขาไปซื้อของไม่ได้ด้วย!
“ช่างเถอะ กลับไปแล้วค่อยโทรหาปู่ถานให้ช่วยซื้อเสบียงอาหารมาเก็บไว้หน้าหนาวดีกว่า” ฟางเจิ้งพึมพำ
“ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เงินที่มาจากแรงปรารถนาของผู้คนใช้ซื้อของทางโลกไม่ได้ คนอื่นให้นายได้ นั่นถือว่าเป็นวาสนาที่คนมาทำบุญที่วัด แต่นายซื้อเองไม่ได้!”
‘เวรเอ๊ย นี่กะจะไม่ให้มีชีวิตรอดกันเลยรึไงฟะ?’ ฟางเจิ้งด่าทอในใจ แต่ปากว่า “นายล้อเล่นรึไง? หน้าหนาวนานขนาดนี้ ตั้งสามสี่เดือน! ฉันมีข้าวแค่สองถุง นายอยากให้ฉันหนาวตายเรอะ?”
“ร่างสถิตคิดหาวิธีอื่นได้”
[1] ซือหม่ากวาง มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาว่าตีโอ่งช่วยคน มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกัน อย่างสนุกสนาน เห็นโอ่งน้ำบรรจุน้ำเต็ม เด็กคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนโอ่งแล้วพลัดตก เด็กๆ ทุกคนต่างตกใจเสียสติ ร้องกันระงมโกลาหล แต่ทันใดนั้น มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งไปนำเอาอิฐมาทุบโอ่งจนแตก ช่วยเด็กที่ตกลงไปได้ เด็กชายคนที่ช่วยก็คือ ซือหม่ากวาง
ผสมกับเฟสบุ๊คในจีน
ตอนที่ 22 ได้โอ่งพุทธ!
“นี่ๆ ฟางเจิ้ง ดูให้น้าหน่อยสิว่ายังมีลูกได้หรือเปล่า?” น้าวัยเกือบห้าสิบเข้ามาใกล้
ฟางเจิ้งคิดในใจอย่างขมขื่นยิ่ง ‘น้านี่อายุเกือบห้าสิบแล้วยังจะมีลูกอะไรอีก? ไม่เหนื่อยเรอะ? อีกอย่าง น้าจะมีลูกได้หรือเปล่าผมจะไปดูออกได้ยังไง ไม่ใช่หน้าที่ผม สักหน่อย…’
แต่ฟางเจิ้งกลับตอบไปว่า “น้า จะมีได้ไหมน้าต้องถามพระโพธิสัตว์กวนอิม หากน้าต้องการจริงๆ ก็ให้ขออย่างเชื่อมั่น มันก็จะสัมฤทธิ์ผล แต่น้าอายุเยอะไปหน่อยแล้ว มีลูกตอนนี้กลัวว่าจะ…”
“ใช่ ยายแก่ อายุเยอะแล้ว อย่าพูดจาเหลวไหลหน่า” สามีของน้าต่อว่า
“ไปนู่นเลยไป! อายุเยอะเหรอ? จะทิ้งฉันรึไง? อย่าบอกนะว่าคุณไปเจอสาวเด็กๆ ข้างนอก?” น้าโกรธแล้ว สามีถูกลากไป สรุปในความคิดฟางเจิ้งลอยขึ้นมาเป็นภาพ ทัณฑ์ทรมานโดยอัตโนมัติ
มีคนบ้านเดียวกันทั้งหมดยี่สิบกว่าคนเข้ามา ส่วนใหญ่จะมามุงดู ไม่ได้มาขอลูก
แต่ก็มีวัยรุ่นคู่หนึ่งถูกผลักออกมาอย่างไม่เต็มใจ
“พี่ฟางเจิ้ง สวัสดี” สองคนเงยหน้าขึ้น
ฟางเจิ้งอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้จะเป็นคนที่ตามหลังเขาตอนยังเด็ก! เป็นเด็ก ในหมู่บ้าน ผู้ชายชื่อว่าหม่าหยวน เด็กสาวชื่อหลิวเซียง ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเด็กสองคนข้างหลังจะมาอยู่ข้างหน้าเขา…เห็นแววตาที่รักกันของสองคนนี้แล้ว ฟางเจิ้งพลันรู้สึกโดดเดี่ยวปานได้กินข้าวสุนัข แต่ก็ทำได้เพียงท่องอมิตพุทธในใจ สงบลง
“พวกเธอสองคนแต่งงานกันแล้วเหรอ?” ฟางเจิ้งถาม
หม่าหยวนตอบ “พี่ใหญ่ฟาง พวกเราแต่งงานกันมาปีนึงแล้ว แต่ไม่มีลูกเลย พอได้ยินน้าตู้เหมยบอกว่าขอลูกได้ที่นี่ วันนี้…แหะๆ…”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ” ฟางเจิ้งไม่อยากมองสองคนนี้จริงๆ มองแล้วเขารู้สึกเหมือนกินข้าวสุนัขจริงๆ…รับไม่ได้!
หม่าหยวนเพิ่งไปก็ถูกหลิวเซียงห้ามไว้ “หม่าหยวน ไม่ไปวันนี้ น้าตู้เหมยไปจุดธูปแล้ว พวกเรามาวันหลังเถอะ ฉันได้ยินว่าจุดธูปดอกแรกถึงจะสัมฤทธิ์ผลนะ แล้วก็จุดธูป ดอกแรกของปีไม่ได้ ยังไงก็ต้องจุดธูปดอกแรกของวันไหม?”
“ก็ได้ อย่างนั้นวันหลังแล้วกัน” หม่าหยวนตอบ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หมดคำจะพูด ได้แต่พูดไปว่า “พวกเธอไปฟังใครพูดมา? ที่วัดไม่มีจุดธูปก่อนอะไรทั้งนั้น และก็ไม่มีจุดธูปก่อนสัมฤทธิ์ผลอะไรด้วย ในสายตา พระโพธิสัตว์ ทุกชีวิตเท่าเทียม ขอเพียงมีความจริงใจ เมื่อไหร่ก็จุดธูปได้ ธูปแรกของเธอ ไม่ต้องไปเปรียบกับคนอื่นว่าใครมาก่อน”
“จริงเหรอ?” หม่าหยวนเป็นคนขี้เกียจ วันนี้ขึ้นเขาเอกดรรชนีเหนื่อยจนขาอ่อนแล้ว จะให้เขาปีนอีกก็คงจะไม่ยอมเป็นร้อยครั้ง จัดการปัญหาในวันนี้ย่อมดีที่สุด
หลิวเซียงถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง พี่พูดจริงเหรอ?”
“อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ไม่เชื่อพวกเธอก็ไปถามวัดอื่นดู การจุดธูปครั้งแรกเป็นเรื่องตลกที่ทุกคนลือกันผิดๆ ก็เท่านั้น” ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างถูกต้องมีคุณธรรม! น่าตลก สองคนนี้มีนิสัยยังไงกันเขาไม่เข้าใจ? ออกจะขี้เกียจเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความกระตือรือร้นต่อสิ่งใหม่ๆ อยู่บ้าง ถ้าวันนี้สองคนไม่จุดธูป เดาว่าต้องรอเดือนหน้าหรือ ไม่ก็ปลายปี! แล้วอย่างนั้นจะทำยังไงกับภารกิจ!
หม่าหยวนกับหลิวเซียงเห็นท่าทีเคร่งขรึมจริงจังของฟางเจิ้งแล้วก็เชื่อ รีบเข้าไป จุดธูปไว้พระ
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ พึมพำอยู่เงียบๆ “หากพวกเขาจุดธูปสองดอก ธูปก็จะครบสิบดอกพอดี! เหอะๆ…”
นอกจากหม่าหยวนกับหลิวเซียงแล้ว คนอื่นๆ แค่มาดูเท่านั้น
กลุ่มคนส่งเสียงจอแจ ทำเอาวัดเอกดรรชนีวุ่นวาย
ฟางเจิ้งชินกับความสงบ พอมีคนมากขนาดนี้มาอย่างกะทันหัน ดึงเขาไปทางนี้ที ทางโน้นที ทำให้เขารับไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ โดยเฉพาะพวกป้าๆ เหล่านั้น ถามเขาว่าเมื่อไรจะแต่งงาน?
เขาก็คิด แต่ว่าเขาแต่งงานได้หรือ?
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหนีไป…
ตอนที่เดินผ่านอุโบสถ เห็นหยางหวากับตู้เหมยจุดธูปสองดอกพอดี เดิมทีหม่าหยวนกับหลิวเซียงจะจุดธูปธรรมดาสองดอก แต่หยางหวากับตู้เหมยผู้มีประสบการณ์ ห้ามเอาไว้
“ต้องจริงใจนะ! อะไรคือความจริงใจ? จุดธูปไม่จ่ายเงินนั่นเรียกความจริงใจเหรอ? เธอดูพวกเรา จุดธูปชั้นดีอีกสองดอกแล้ว!” ตู้เหมยว่า
หลิวเซียงมองหม่าหยวน คนในหมู่บ้านกำลังมองอยู่เยอะขนาดนี้จะเสียหน้าไม่ได้! ดังนั้นหม่าหยวนจึงกัดฟันควักออกมาสี่ร้อยหยวน หยิบธูปชั้นดีแล้วดึงหลิวเซียงไปจุดธูป
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้น นัยน์ตามีความดีใจวูบผ่าน ‘ธูปชั้นดีสี่ดอก ได้มาแปดร้อยหยวนแล้ว! ว่ะฮ่าๆ…ถ้ามีคนมาจุดธูปแบบนี้ทุกวัน ฉันก็จะได้กินข้าวผลึกทุกมื้อ!’
ช่วงที่หลิวเซียงปักธูปดอกสุดท้ายลง ฟางเจิ้งยิ้มแล้ว…
“ติ๊ง! ภารกิจที่สองสำเร็จ สำเร็จหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ สมบูรณ์แบบ! ยินดีด้วยได้รับโอ่งพุทธหนึ่งใบ!”
ฟังจากประโยคข้างหน้า ฟางเจิ้งปลื้มอกปลื้มใจ แต่พอฟังรางวัลข้างหลังพลัน ห่อเหี่ยว! ลำบากมาหนึ่งเดือนได้แค่โอ่งน้ำใบเดียว เป็นใครก็ต้องเสียใจ โดยเฉพาะเขาที่อยู่ในช่วงเข้าตาจน…
แต่ว่าพูดถึงน้ำฟางเจิ้งก็กลัดกลุ้ม บ่อในวัดเหมือนจะไม่มีน้ำออกมา ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เขาก็ลำบากแล้ว บนภูเขาเอกดรรชนีมีตาน้ำแห่งเดียวอยู่กลางเขา จะลงเขาไปตักน้ำ…คิดแล้วก็ปวดเอว
“ร่างสถิต โอ่งน้ำวางไว้ในครัวแล้ว”
“รู้แล้ว วางไว้นั่นแหละ เฮ้อ…” ฟางเจิ้งได้ยินว่าโอ่งน้ำก็รู้สึกไม่สบายเอวแล้ว
ออกไปนอกประตูก็เห็นพวกชาวบ้านยังมุงดูอยู่รอบๆ ทั้งยังมีคนล้อมรอบต้นโพธิ์รนหาที่ตายพลางสนทนากัน พูดถึงว่าต้นไม้นี้คงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไม่ได้ นี่จะเดือน สิบเอ็ดแล้ว หิมะใกล้จะมาแล้ว
ได้ยินดังนั้นฟางเจิ้งก็จนปัญญาอยู่เล็กน้อย ถึงต้นโพธิ์นี่จะโง่งมอยู่บ้าง แต่จะให้ มันแข็งตายเขาก็ทำใจไม่ได้ น่าเสียดาย เขาไม่มีวิธีช่วย
วัดใหญ่แบบนี้ ทุกคนเข้ามามุงดูใกล้ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป
หลิวเซียง หม่าหยวนสองคนจุดธูปเสร็จแล้วก็ยังไม่วางใจ วิ่งมาถามฟางเจิ้ง “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง เอ่อ แค่จุดธูปอย่างเดียวก็ได้แล้วเหรอ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตพุทธ อย่างเดียวก็พอ”
“แต่ว่าวัดอื่นต้องจับเซียมซีอะไรด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมพี่ถึงไม่มีอะไรเลย? แล้วก็แผ่นยันต์ด้วย? เพื่อความปลอดภัย” หลิวเซียงถามขึ้นเสียงเล็ก
ฟางเจิ้งยิ้ม “แค่มีความจริงใจก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่า” แต่ในใจกลับโกรธมาก เขาก็อยากมีเหมือนกัน! แต่ระบบไม่ให้! เขาทำเองก็ไม่ได้…ได้แต่ปล่อยผ่านอย่างฝืดเฝื่อน
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังสองคนที่จากไปอย่างไม่ยอมอยู่เล็กน้อยพลางถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจัดการภายในวัดอีกครั้ง ทำความสะอาดอุโบสถอีกรอบแล้วถึงไปดูโอ่งน้ำในครัว
พอเข้าประตูใหญ่ห้องครัว ฟางเจิ้งมีสีหน้าย่ำแย่ทันที เห็นเพียงโอ่งน้ำใหญ่สูงเท่าคนวางอยู่ในครัว!
ตอนที่ 21 มากันหมด
“พูดแบบนี้ แสดงว่าพวกคุณไม่ได้ตรวจแค่ที่พวกเราเหรอ?” เสียงผู้อำนวยการจ้าวดังแว่วมา
“ค่ะ พวกเราไปมาหลายที่แล้ว มีแต่บอกว่าพวกเรามีลูกไม่ได้ ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ไป วัดเอกดรรชนี ขอพระแม่กวนอิมก็ได้เลยจริงๆ นี่เหมือนกับฝันไปเลย” ตู้เหมยหยุดปากไว้ไม่ได้ ทั้งยังหัวเราะ
หยางหวาก็หัวเราะตามซื่อๆ…
ผู้อำนวยการจ้าวตอบ “เอาล่ะ ยินดีด้วยนะ ผมยังมีธุระขอตัวก่อน พวกคุณกลับไปก็พักผ่อนเยอะๆ อย่าให้เหนื่อยเกินไปล่ะ” พูดจบผู้อำนวยการก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามบนหัว นี่มันเรื่องอะไรกัน? ส่วนเรื่องกินเครื่องตรวจ อย่าพูดถึงมันเลย รีบไปดีกว่า
หยางหวากับตู้เหมยขานรับหลายครั้ง จากนั้นก็ออกโรงพยาบาลไปอย่างตื่นเต้น
เจียงถิงที่อยู่ด้านหลังมองเงาแผ่นหลังสองคนนั้นพลางพึมพำ “วัดเอกดรรชนี? ขอพระโพธิสัตว์แล้วได้ลูกเหรอ? เป็นไปได้หรือเนี่ย? อีกอย่าง ไม่เคยได้ยินชื่อวัดนี้มาก่อนเลย…หากสมดังปรารถนาจริงๆ…”
เจียงถิงดวงตาเป็นประกาย มองเวลาแล้วก็จบเวรดึกพอดี จึงรีบเก็บของกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านก็เปิดโทรศัพท์ค้นหาวัดเอกดรรชนีแต่ไม่พบ จึงโทรไปถามหัวหน้าพยาบาลถึงที่อยู่ของพวกหยางหวา ก็รู้ว่าอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนี เธอจำไว้แล้วว่าภูเขา เอกดรรชนีหลังหมู่บ้านเอกดรรชนีก็เป็นพื้นที่หนึ่งเหมือนกัน เด่นชัดมาก อีกทั้งในคำอธิบายต่อภูเขาเอกดรรชนียังพูดว่าบนเขามีวัดเล็กแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่พูดถึงนาม
แต่เจียงถิงวิเคราะห์แล้วก็มั่นใจแปดส่วนว่าเป็นวัดเอกดรรชนี
เจียงถิงเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นมาตลอด ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้ เธอเขียนเรื่องราวในวันนี้ลงบนเว็บเวยป๋อ[1] อีกทั้งยังเน้นถึงเรื่องสามีภรรยาหยางหวาที่ ไม่ตั้งครรภ์ แต่พอไปขอพระโพธิสัตว์ที่วัดเอกดรรชนีแล้วกลับตั้งครรภ์
หลังลงในเวยป๋อ เธอก็นอนหลับไม่ได้สนใจ
แต่ว่าคนลงไม่สนใจ คนที่เห็นกลับสนใจ มีหลายคนไม่น้อยที่พอเห็นบทความนี้แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์
“เจียงถิงบ้าไปแล้วเหรอ? เธอเป็นหมอ แต่เชื่อเรื่องนี้เนี่ยนะ?”
“เจ้าเด็กคนนี้ สมองเพี้ยนไปแล้วเรอะ?”
“ขอเทพไหว้พระเหรอ รับไม่ได้”
“เอาล่ะทุกคน เจียงถิงบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ร่างกายพวกเขามีปัญหา มีลูกไม่ได้ แต่ไปขอพระโพธิสัตว์แล้วกลับมีลูก เรื่องนี้จะอธิบายยังไง?”
“อาจจะเป็นเพราะร่างกายปรับสมรรถนะเองก็ได้ พอปรับเสร็จแล้วตรงกับไปขอพระโพธิสัตว์พอดี ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่!”
“เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไปดูก็รู้เองนี่?”
“ก็ใช่ ก็ไม่ได้ไกลนะ ทุกคนนัดเวลาไปดูกันดีไหม?”
“ฉันว่าโอเค…”
ไม่นานนักคนว่างสามคนก็รวมตัวกัน เตรียมไปสำรวจภูเขาเอกดรรชนี แต่ว่าถึงจะบอกว่าไปสำรวจ ความจริงก็เพื่อหาเหตุผลเท่านั้น จะออกไปเที่ยวสักระยะหนึ่ง เดี๋ยวหิมะตกจะไม่มีภูเขาให้ปีนแล้ว
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันรุ่งขึ้น ฟางเจิ้งกินอาหารเช้า ทำความสะอาดอุโบสถ จากนั้นอ่านพุทธคัมภีร์ตามกิจวัตร
ตอนนี้เองมีเสียงคนดังจอแจมาจากข้างนอก เห็นได้ว่ามากันไม่น้อย!
ฟางเจิ้งร้องในใจ ‘ในเสียงนี้มีเสียงน้าตู้เหมยด้วย หรือว่าจะไม่สัมฤทธิ์ผล น้าโหด พาคนมาทุบตีฉันเหรอ?’
ถึงฟางเจิ้งจะมีหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ ทั้งยังมีหมาป่าเดียวดายปกป้อง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะลงมือกับคน ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับกฎของนักบวชอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปที่ประตู จากนั้นไปแอบที่ข้างประตู สองมือจับสันกำแพงพลางแอบมองไปข้างนอก
เห็นอยู่ไกลๆ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้อย่างรีบร้อน คนนำหน้าคือหยางหวา! และยังมีหยางผิงตามหลังมา ข้างหลังไปอีกเป็นคนที่รู้จักในหมู่บ้าน เขารู้จักทุกคนเลย
เห็นคนเหล่านี้มากันอย่างรีบร้อน ฟางเจิ้งก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ‘ไม่ต้องทำ แบบนี้ก็ได้มั้ง? จะพังวัดแค่นี้ต้องใช้คนขนาดนี้เลยเหรอ? จบสิ้นแล้ว ฉันเป็นเจ้าอาวาส ได้แค่เดือนเดียวก็จะถูกรื้อวัดแล้ว เฮ้อ…ต้องแจ้งตำรวจไหมเนี่ย? ช่างเถอะ เป็นคนกันเอง แจ้งไปก็ไม่ดี หากไม่สัมฤทธิ์ผลก็ให้พวกเขาพังซะ ระบายสิ่งที่ควรระบาย’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ
ตอนนี้เองกลุ่มคนมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ได้ยินเสียงหยางหวาไกลๆ “ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้งอยู่ไหม?”
ฟางเจิ้งกำลังครุ่นคิด ยังไงเขาก็ออกจากวัดไปได้ไม่ไกลนัก จะหนีก็หนีไม่ได้ สู้ออกไปเผชิญหน้าอย่างซื่อตรงดีกว่า ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นแล้ว นักบวชหนีได้ แต่วัดหนีไม่ได้! นักบวชหนีไปไกลเท่าไรก็ยังจับกลับมาจากในวัดได้… ที่พูดถึงนี่คือ เขาเอง!
“อมิตพุทธ โยมหยาง อาตมาอยู่นี่” การฝึกฝนหนึ่งเดือนทำให้ฟางเจิ้งเข้าใจหลักการมากขึ้น เขาคือคนแห่งแดนสนธยา เขาคือเจ้าอาวาสวัด จึงต้องทำตาม พิธีบางอย่าง จะปฏิบัติตนเป็นคนทั่วไปไม่ได้
หยางหวาอึ้งไป เห็นได้ว่าไม่ค่อยชินกับคำพูดฟางเจิ้ง แต่ก็ตั้งสติกลับมาก่อนเอ่ยเสียงดัง “ฟางเจิ้ง!”
ฟางเจิ้งตกใจจนตัวสั่น คิดว่าจะลงมือดีหรือเปล่า? พายุคลั่งหนนี้มาเร็วเกินไปรึเปล่า? นี่จะใช่ความสงบก่อนพายุฝนคลั่งรึเปล่า? เขายังไม่ทันเตรียมใจถูกทุบตีเลย!
แต่ว่าหยางหวากางสองแขนออกกอดฟางเจิ้งไว้ในอ้อมอก หัวเราะเสียงดัง “ฟางเจิ้ง มีแล้วล่ะ! จุดประทัดดอกเดียวดังสองครั้ง สอง!”
ฟางเจิ้งงุนงง นี่มันอะไร มีอะไร? ผู้ชายอย่างเราๆ จะมีอะไร? จะรื้อวัดก็ช่างเถอะ ยังต้องจุดประทัดอะไรอีก? แล้วดังสองครั้งเหรอ?
ตอนนี้เองตู้เหมยออกมาแล้ว น้องสะใภ้หลิวเยี่ยประคองมา ตู้เหมยที่แข็งแรงมาตลอดเปล่งแสงสว่างของมารดา ไม่มีความฉุนเฉียว ยิ้มอย่างมีความสุขพลางพูดขึ้น “เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ว วัดแกนี่มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ! แค่มาไหว้ กลับไปพยายามหน่อยก็มีแล้ว!”
ฟางเจิ้งเพิ่งจะเข้าใจ จุดประทัดนัดเดียวดังสองครั้งไม่ใช่จะระเบิดที่นี่ แต่หมายถึงมีลูก!
ฟางเจิ้งพลันถอนหายใจโล่งอก มาดไต้ซือกลับมา กล่าวตอบอย่างสงบนิ่ง “ยินดีด้วยนะโยมตู้…”
เพียะ!
ฟางเจิ้งก้มหน้าลง ถูกฝ่ามือใหญ่ตบจนหนังหัวแดง!
ฟางเจิ้งคิดในใจอย่างขมขื่น ‘ท้องแล้ว ทำไมมือยังหนักขนาดนี้นะ…’
“โยมบ้าโยมบออะไร เรียกน้า! ฟังแล้วดูสนิทสนมดี” ตู้เหมยพูด
ฟางเจิ้งจึงต้องเรียกน้าอย่างจำใจ
ตู้เหมยถึงยิ้มได้ “เห็นว่าแกยากจนบนเขา เลยเอามันฝรั่ง ถั่วฝักยาวมาให้ ถั่วฝักยาวตากจนแห้งแล้ว พอหน้าหนาวก็ต้มกินเอา และยังมีมันฝรั่งแผ่นด้วย นี่ก็ตากแห้งแล้ว! มันฝรั่งปีนี้ได้ผลผลิตดี รสชาติก็ดีด้วย หวานมาก”
ฟางเจิ้งกล่าวขอบคุณไม่หยุด จากนั้นคนในหมู่บ้านก็ช่วยกันแบกมันฝรั่งสามถุงใหญ่ มันฝรั่งแผ่นถุงพลาสติกหนึ่งถุง แตงกวากับถั่วฝักยาวอะไรพวกนี้เข้าไป
พอเห็นผักเหล่านี้แล้วฟางเจิ้งก็แทบจะน้ำลายไหล ถึงข้าวผลึกจะอร่อย แต่ไม่ได้กินกับข้าวปกติมานานมากก็ต้องอยากกิน! สิ่งที่ทำให้ดวงตาเขาเป็นประกายมากที่สุดคือน้ำมันถั่วเหลืองหนึ่งถัง ในวัดไม่มีน้ำมัน เขาเกือบลืมรสชาติน้ำมันไปแล้ว ทั้งยังตะกละกว่าเดิม…
หยางหวากับตู้เหมยดีใจจึงเข้าไปจุดธูปอีก
จากนั้นฟางเจิ้งก็ถูกชาวบ้านรอบๆ รุมล้อม ต่างคนต่างถามกันใหญ่
“ฟางเจิ้ง ที่นี่มีอิทธิฤทธิ์แบบนั้นจริงๆ เหรอ?”
“ต้องใช่อยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าโรงพยาบาลวินิจฉัยขาดแล้วว่าตู้เหมยกับหยางหวาไม่มีทาง มีลูกได้ แต่พอมาขอพรที่นี่แปบเดียวมีสองเลย หมอในโรงพยาบาลอำเภอนี่งงกันใหญ่ เอาแต่บอกว่าก่อนหน้าวินิจฉัยผิดพลาดทุกวัน…”
[1] เวยป๋อ คือ ทวิตเตอร์ผสมกับเฟสบุ๊คในจีน
ตอนที่ 20 สองขีด! สองขีด!
ตู้เหมย “หมอ ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมจริงๆ”
“ไปกินสมุนไพรอะไรมาอีก? หรือมีหมอเท้าเปล่า[1]รักษาให้?” หมอถามขึ้นอย่างจนปัญญา
เสียงหมอคนนี้ไม่เบา ประกอบกับเมืองเป็นที่ตั้งอำเภอใหญ่ อาการป่วยของตู้เหมยกับหยางหวาที่พิเศษขนาดนี้ ในโรงพยาบาลจึงมีไม่น้อยที่รู้จักพวกเขา เห็นพวกเขามา อีกครั้งจึงสนทนากันอยู่ด้านข้าง
พยาบาลสาวคนหนึ่งดึงหัวหน้าพยาบาลพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่ มันเรื่องอะไรกันเหรอ? เขาจะตรวจก็ตรวจให้พวกเขาสิ?”
“เหอะๆ เจียงถิง สองคนนี้เป็นคนดังนะ พวกเขามาตรวจสามครั้งในสามเดือน ครั้งก่อนก็เพิ่งต้นเดือนนี้เอง แต่ก็มาอีกแล้ว การตรวจไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือ ดูชุดที่พวกเขาใส่สิ คงจะเหนื่อยยากกันมาก เอาเงินมาลอยน้ำแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย หมอซุนก็คงหวังดี…” หัวหน้าพยาบาลตอบ
“ทำไมพวกเขาถึงได้ดื้อกันแบบนี้นะ? มีแบบธรรมชาติไม่ได้ ก็ไม่คิดหาวิธีอื่นเลยเหรอ?” พยาบาลเจียงถิงถามด้วยความแปลกใจ
หัวหน้าพยาบาลได้ยินดังนั้นก็หัวเราะทันที “วิธีอื่นเหรอ? พวกเขาคิดเยอะกว่าเธออีกนะ คิดว่าพวกเขาลองสมุนไพรทุกชนิดในแปดหมู่บ้านสิบลี้กับยาลับบรรพบุรุษมาหมด แล้วล่ะ พอลองทุกครั้งจะรู้สึกว่าดีแล้วจะรีบมาตรวจ เฮ้อ…” พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าพยาบาลถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “คนในประเทศพวกเราหัวโบราณ คิดว่าถ้า ไม่มีทายาทจะเป็นการอกตัญญูต่อบุพการีที่สุด สองคนนี้น่าสงสารจริงๆ…”
เจียงถิงพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี?”
“ทำยังไงได้? พวกเขาดื้อจะทำแบบนี้ก็ต้องปล่อย แต่ฉันว่านะไม่มีหวังหรอก!” หัวหน้าพยาบาลตอบ
เจียงถิงถามต่อ “อย่างนั้นถ้าหาก…”
“ไม่มีถ้าหากหรอก หากมีจริงๆ ฉันจะกินเครื่องอัลตร้าซาวด์ของเราซะ” หัวหน้าพยาบาลยังพูดไม่จบ หมอซุนก็ร้องลั่นขึ้นมา
เจียงถิงมองหัวหน้าพยาบาล หัวหน้าพยาบาลทำเสียงหึหึแล้วพูดต่อ “กินด้วยกัน!”
เจียงถิงหัวเราะทั้งน้ำตา “ฉันนึกภาพหัวหน้ากับหมอซุนกินเครื่องอัลตร้าซาวด์ด้วยกันไม่ออกเลย…”
“เอาล่ะ เจ้าเด็กโง่ ไปทำงานได้แล้ว อย่ามัวมองไปรอบๆ” หัวหน้าพยาบาลรีบไล่เจียงถิงไป
อีกด้าน หยางหวาร้อนใจแล้ว “หมอ ครั้งนี้ไม่เหมือนจริงๆ ดู พวกเราซื้อที่ ตรวจครรภ์มา มันติดหมอ!”
“อะไรนะ?” หมอซุนอึ้งไป พอพิจารณาที่ตรวจครรภ์อย่างละเอียดแล้วก็มาดูที่กล่องผลิตภัณฑ์อย่างถี่ถ้วน ก่อนถาม “ซื้อมาจากคลินิคเล็กใช่ไหม?”
“ใช่ หมอรู้ได้ไง?” หยางหวาถาม
หมอซุนแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึหึ “จากประสบการณ์หลายปีของหมอแล้ว นี่เป็น ของปลอม!”
“อะไรนะ?”
“ถ้าเป็นของจริงไม่มีทางติดแน่นอน! หมออาจจะพูดไม่ดีนะ เจ้านี่มีราคาแค่ สองสามหยวน เครื่องของเรามีราคาหลายแสนไปจนถึงหลักล้าน! มองจากราคาก็รู้แล้วว่าใครเหนือกว่า ใช่ไหม? ดังนั้นนะ เครื่องบอกว่าพวกคุณไม่ได้ ก็ต้องไม่ได้ อีกอย่าง พวกคุณตรวจคงไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง หนึ่งครั้งผิดพลาดได้ สองครั้งก็พลาดได้ สามครั้ง ก็พลาดได้ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเครื่องไม่แม่น หมอจะทุบมันทิ้งแล้วกินซะ! ดังนั้นแล้วมีโอกาสสูงมากที่ที่ตรวจครรภ์นี่จะเป็นของปลอม” หมอซุนให้เหตุผล
“หมอซุน คุณว่ายังไงนะ? จะทุบอะไรเหรอ?” ตอนนี้เองชายสูงวัยสวมเสื้อคลุมขาวเดินเข้ามาถาม
หมอซุนรีบตอบกลับ “โอ้ว ท่านผู้อำนวยการจ้าวมาเองเลยหรือครับ? เรื่องมันเป็นแบบนี้…” หมอซุนเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง
ผู้อำนวยการจ้าวฟังจบก็หัวเราะ “สามครั้งไม่ได้ แต่ที่ตรวจครรภ์บอกว่าได้เรอะ?”
“ครับ นี่น่าจะเป็นของปลอม” หมอซุนตอบกลับ
ผู้อำนวยการจ้าวพยักหน้าแล้วพูดกับสามีภรรยาหยางหวา “ทั้งสองคน ผมขอแนะนำว่าอย่าตรวจเลย แน่นอน หากพวกคุณยืนยันจะตรวจ ผมก็ไม่ขวาง ตามที่ หมอซุนพูด ถ้าพวกคุณท้องจริงๆ ก็พิสูจน์แล้วว่าเครื่องของเราใช้ไม่ได้ ผมจะเอา หัวโขกมัน ตอนเย็นจะกินมันด้วยกันอีกเอ้า”
หยางหวาพูดขึ้นด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “มันกินได้ด้วยเหรอครับ? อย่าล้อเล่นหน่า…”
ตู้เหมยเตะขาหยางหวาไปทีหนึ่งแล้วพูดกับผู้อำนวยการจ้าว “ผู้อำนวยการจ้าว จะพูดความจริงกับคุณนะ หลังพวกเรากลับไปแล้วก็สิ้นหวัง แต่พอพวกเราไปขอพรที่ วัดฉันก็รู้สึกได้ ประจำเดือนก็ยังไม่มา เลยลองตรวจดูก็ติดลูกจริงๆ”
หมอซุนตอบโต้ทันที “มีโอกาสที่ประจำเดือนจะเลื่อนออกไปหลายวันนะ เดือนนี้ยังไม่มา จะรีบร้อนอะไร อีกอย่างคุณไม่เชื่อวิทยาศาสตร์แต่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอ? ถ้าจะขออะไรที่วัดก็ได้แล้วจะมีหมออย่างเราไว้ทำไม?”
ตู้เหมยตอบกลับทันที “ทำคลอดไง!”
หมอซุนพูดไม่ออก…
ผู้อำนวยการจ้าวรีบขัด “เอาล่ะๆ ในเมื่อพวกคุณยืนยัน อย่างนั้นก็ตรวจ หากคุณท้องจริงๆ ผมจะออกค่าตรวจให้ หากไม่ท้อง พวกคุณต้องฟังคำแนะนำผม ลองไปดูในระดับมลฑลเถอะ”
“ตกลง!” หยางหวากับตู้เหมยยิ้ม
สองคนตามหมอซุนไปตรวจ ความจริงการตรวจที่ว่าก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ถึงทุกครั้ง หยางหวาจะให้ตู้เหมยทำอัลตร้าซาวด์ แต่หมอซุนจะสื่อความหมายว่าเปลืองเงิน สองครั้งก่อนห้ามไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเป็นตายยังไงหมอซุนก็จะไม่ให้สองคนทำ
“ต่อให้พวกคุณท้อง หนึ่งเดือนก็ยังไม่รู้ผลหรอก จะทำอัลตร้าซาวด์ทำไม? อย่างน้อยต้องสี่สิบวัน ครรภ์ถึงจะเห็นชัดในอัลตร้าซาวด์ ทำตอนนี้ก็เสียเงินเปล่า ฟังผมนะ ไปซื้อที่ตรวจครรภ์มา แล้วก็นำปัสสาวะมาด้วย ผมจะตรวจให้เอง” หมอซุนกล่าว
สองคนรีบไปซื้อมา แล้วเก็บปัสสาวะมาส่งด้วย
หมอซุนหยดลงบนที่ตรวจครรภ์ต่อหน้าสองคน…
“สองขีด! สองขีด! สองขีด!” หยางหวากับตู้เหมยเบิกตาโต จ้องที่ตรวจครรภ์พลางร้องเสียงดัง
หมอซุนกล่าวอย่างจนปัญญายิ่ง “พวกคุณสองคนเล่นไพ่นกกระจอกกันรึไง? สองขีดๆ นั่นไม่ใช่เยาจี[2]นี่?”
“เฮ้! สองขีดจริงๆ! หมอดูสิ สองขีด! ติดแล้ว!” หยางหวาพลันร้องด้วยความดีใจ
หมอซุนก้มหน้ามองก็ตกใจสะดุ้ง ที่ตรวจครรภ์แสดงเส้นสีแดงอมม่วงสองขีดจริงๆ ชัดเจนมากด้วย!
บนหน้าผากหมอซุนมีเหงื่อผุดขึ้นมา ที่พูดไปมากมายก่อนหน้านี้ ตอนนี้ถูกตบทีหนึ่งจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย!
ผู้อำนวยการจ้าวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซุน คุณไปติดต่อโรงงานนะ รีบมาเอาเครื่องนี่ไปซ่อมเลย! นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ?”
“ผู้อำนวยการครับ สองครั้งก่อนพวกเขาอาจจะ…” หมอซุนอยากจะพูด แต่ผู้อำนวยการจ้าวกลับมองมาจนต้องเงียบ ก่อนออกไปอย่างว่าง่าย
เสียงหยางหวากับตู้เหมยช่างดังเสียเหลือเกิน คนในตึกได้ยินกันไม่น้อย พวกพยาบาลก็ส่งข่าวต่อๆ กัน ไม่นานก็กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
เจียงถิงได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ แต่เห็นหัวหน้าพยาบาลที่เสี้ยวใบหน้าทั้งทะมึนทั้งแดงก่ำข้างๆ แล้วก็ยิ้มเบิกบาน “หัวหน้าพยาบาลคะ ตอนเย็นมีมื้อใหญ่นี่คะ”
หัวหน้าพยาบาลมองค้อนเธอก่อนปิดหูพูด “อะไรนะ? ฉันไม่ได้ยิน อ้อ ฉันมีธุระนี่ ขอตัวก่อนนะ”
พูดจบหัวหน้าพยาบาลก็วิ่งไป
เจียงถิงหัวเราะ ก่อนเข้าไปใกล้ประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น คอยฟังเรื่องราวข้างใน
[1] หมอเท้าเปล่า คือเกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน
[2] เยาจี ในเกมไพ่นกกระจอกมีฉายาเรียกว่าพี่สาวหนึ่งขีด
ตอนที่ 19 หากจริงใจจะศักดิ์สิทธิ์
ตู้เหมยรู้สึกงงกับคำพูดฟางเจิ้งเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงโบกมือตอบกลับ “ไม่เข้าใจเลย ช่างเถอะไม่พูดแล้ว ไปไหว้พระ ไหว้เสร็จต้องกลับไปดำนาอีก”
หยางหวาเห็นตู้เหมยกลับมาหัวข้อหลักแล้วก็โล่งอก ทักทายฟางเจิ้งแล้วเข้าไปในอุโบสถ
เพียงแต่ว่าตอนที่เข้าไปในอุโบสถก็เห็นป้ายอันใหม่ตรงปากประตูจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เบิกตากว้าง สองคนตกใจสะดุ้ง
ตู้เหมยกล่าวขึ้น “ฟางเจิ้ง ธูปชั้นดีนี่สองร้อยเลยเหรอ? ไม่ดีไปมั้ง? ฉันบอกแกแล้วไง ต้องเป็นคนใจกว้าง จะใจแคบแบบนี้ไม่ได้ เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย!”
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “น้า ผมไม่ได้เป็นคนตั้งราคานี้นะ อาจารย์ผมตั้งต่างหาก เขาไปแล้ว ผมเป็นศิษย์ก็จะเปลี่ยนราคาตามใจชอบไม่ได้ ใช่ไหม?” ฟางเจิ้งรู้ว่าใช้หลักการกับ ตู้เหมยไม่มีประโยชน์ และเขาก็บอกเรื่องระบบมือมืดผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ ไม่ได้ จึงได้แต่ใช้หลวงจีนหนึ่งนิ้วมาอ้าง
จริงๆ แล้วถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วจะยากจน แต่ก็ยังพอมีบารมีใต้ภูเขา พอได้ยินว่าเป็นปณิธานก่อนมรณภาพของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ตู้เหมยจึงไม่พูดอะไร
หยางหวาก็พูดเสริมเช่นกัน “ใช่ คนอื่นเขาจะคิดเงินยังไงคุณต้องสนใจด้วยรึไง? ไม่มีเงินก็อย่าจุดธูปชั้นดี ธูปธรรมดาใช้ไม่เป็นเรอะ? นั่นฟรีนะ”
“คุณนี่น่าเอือมระอาจริงๆ ไปโรงพยาบาลจ่ายไปหลายพันหยวนจ่ายได้ ซื้อสมุนไพรหลายร้อยหยวนยังจ่ายได้ แต่มาขอพระโพธิสัตว์ยังคิดงกเงินอีกเหรอ? ไม่ได้ยินฟางเจิ้งบอกหรือไง? ความจริงใจคือจิตวิญญาณ นี่จะต้องเป็นเพราะจิตใจคุณไม่จริงใจแน่ๆ!” ตู้เหมยตอกกลับ
หยางหวามีสีหน้าย่ำแย่ ฟางเจิ้งแอบหัวเราะ น้าเขาร้ายกาจขนาดนี้เชียว!
สุดท้ายหยางหวาก็ควักเงินสี่ร้อยหยวนออกมาวางบนพื้น จากนั้นหยิบธูปไปสองดอก เดิมทีสองคนจะมาขอเรื่องเดียว จุดธูปดอกเดียวก็พอแล้ว แต่ตู้เหมยอยากจุดเอง หนึ่งดอก หยางหวาจึงได้แต่กลั้นความปวดหัวใจนองเลือดยอมจ่ายไป
สองคนหยิบธูปมายืนไหว้ ก่อนคุกเข่าไหว้ ขอพรอะไรอยู่เงียบๆ ผ่านไปนานสองคนยืนขึ้น ปักธูปลงกลางกระถางธูปแล้วถอยออกมา
ฟางเจิ้งยืนรออยู่หน้าประตูตลอด
พอสองคนออกมา ตู้เหมยถามหยางหวา “คุณขออะไร?”
หยางหวา “อย่าพูดถึงเลย ตอนแรกผมจะขอลูกชาย ต่อมาก็คิด ขอหนึ่งข้อเป็นการขอ ขอสองข้อก็ขอเหมือนกัน จ่ายเงินไปแล้วก็ขอลูกสาวอีกคน เป็นลูกแฝด! คุณล่ะ?”
“คุณนี่ไม่ได้เรื่องเลย ขอลูกแฝดเหรอ…” ตู้เหมยตอบด้วยความอายเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อ “ฉันก็เหมือนกัน”
สองคนพลันหัวเราะ
ฟางเจิ้งก็หัวเราะไปด้วย สรุปสองคนมองค้อนเขา “ถ้าไม่เห็นผลต้องคืนเงินมา!”
ฟางเจิ้ง “@¥@#…”
หลังส่งหยางหวากับตู้เหมยแล้ว บนเขาก็เงียบสงบอีกครั้ง
จนกระทั่งช่วงบ่าย ต่งชิงซานกับลูกน้องอีกสองคนขึ้นเขามา ไม่ได้มาไหว้พระ แต่ถานจวี่กั๋วให้พวกเขามาส่งข้าวสองถุงให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งฝากต่งชิงซานไปขอบคุณถานจวี่กั๋วแล้วส่งสามคนลงเขาไป
เขามองข้าวสองถุงในลานพลางถอนหายใจ “ปู่นี่จริงๆ เลยนะ ตอนแรกฉันแค่พูดเล่นๆ ว่าไม่มีข้าวกินพรุ่งนี้ แต่ดันส่งข้าวมาให้สองถุงจริงๆ”
ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็เปิดถุงข้าวแล้วมองไปข้างใน นั่นเป็นข้าวใหม่ทั้งหมด! เห็นได้ว่าเป็นข้าวที่เพิ่งออกวันนี้…
เขาเคยอยู่ในหมู่บ้านมาก่อน ปกติข้าวในหมู่บ้านจะขายไม่หมด ส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ส่วนหนึ่งจะแบ่งมากิน แต่ทุกคนมักจะกินกันไม่หมดจนค้างถึงปีที่สอง พอข้าวใหม่ปีที่สองออก ทุกคนก็จะทำใจกินไม่ได้อีก ไปกินข้าวเก่า เป็นแบบนี้ไป ข้าวใหม่มาเปลี่ยนข้าวเก่า จึงกินข้าวเก่ากันทุกวัน
แต่ว่าฟางเจิ้งได้ข้าวใหม่ เขาย่อมรู้ถึงน้ำใจคนว่าเป็นอย่างไร
เขาคุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธเงียบๆ สวดมนต์ให้พวกถานจวี่กั๋วกับตู้เหมย อวยพรให้พวกเขาร่างกายแข็งแรงอายุยืน ก่อนออกจากอุโบสถ เตรียมกินข้าวกลางวัน
ได้เงินมาอีกสี่ร้อยหยวน รวมกับห้าร้อยหยวนที่เหลือ ตอนนี้ฟางเจิ้งมีเงินเก้าร้อยหยวน ครั้งนี้เขากัดฟันซื้อเมล็ดข้าวผลึกมาเจ็ดเมล็ด จากนั้นปลูกลงกระถางดอกไม้ วันที่สอง ก็ได้ข้าวผลึกมาเจ็ดจิน
ฟางเจิ้งใส่ข้าวผลึกลงไปโอ่งปิดฝาอย่างดี ตอนทำอาหารก็ใช้ข้าวธรรมดาหนึ่งชาม ข้าวผลึกครึ่งชาม กินผสมกันไป แบบนี้ถึงรสชาติจะไม่ดีเท่าข้าวผลึกเพียวๆ แต่ก็อร่อยกว่าข้าวปกติมาก กินคู่กับผักดอง ผักดองเค็มอะไรพวกนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลัง ฉลองปีใหม่! ความคิดถึงต่ออาหารเลิศรสชั้นดีทั้งหลายเลือนรางไป…
ช่วงเวลาบนเขาง่ายมาก ฟางเจิ้งกินข้าวทุกวัน ทำความสะอาดวัด ทำความสะอาดอุโบสถ จุดธูปสวดมนต์ วันเวลาผ่านไปเร็วมาก
พริบตาเดียวจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ฟางเจิ้งยืนเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์ จะหนึ่งเดือนแล้ว นอกจากไม่กี่คนที่มาในตอนแรกก็มีแค่หมาป่าเดียวดายที่ไปๆ มาๆ ไม่มีใครอื่นเลย วัดซ่อมใหม่แล้ว แต่กลับยังเงียบเหงา…
“เฮ้อ ดูท่าภารกิจคงไม่สำเร็จแล้ว” ฟางเจิ้งพูดพยางยิ้มเฝื่อน
เขากินข้าวผลึกมาตลอดหนึ่งเดือน แม้จะไม่ใช่ข้าวผลึกทั้งหมด แต่ร่างกายเขาปรับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผิวหนังขาวเนียนขึ้น ถอดเสื้อผ้าออกเห็นกล้ามเนื้อเป็นลายเส้น สมส่วนทั้งยังเต็มไปด้วยพละกำลัง สวมจีวร หัวโล้นเปล่งแสงจ้าตา
ประกอบกับอ่านพุทธคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ไหว้พระทุกวัน กราบไหว้ทุกวัน ภายใต้ การถูกกล่อมเกลาด้วยบรรยากาศเงียบสงบบนเขาทีละน้อย เขาจึงถอดความใจร้อน ต่อโลกเมื่อครั้งเพิ่งขึ้นเขาออกไป ดูมีกำลังวังชา ทั้งยังเข้าใกล้พุทธะมากกว่าเดิม ไม่ว่ายืนอยู่ที่ใดก็แผ่กลิ่นอายสงบเงียบและเป็นมงคล…
นอกจากนี้ฟางเจิ้งยังชอบความสะอาด จุดนี้จะเห็นได้จากที่เขาทำความสะอาดอุโบสถจนเกลี้ยงเกลาทุกวัน หลวงจีนผู้ขาวสะอาดและสง่าคู่กับเอกลักษณ์เงียบสงบและเป็นมงคล ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์สีเขียวเป็นมันขลับที่รนหาที่ตาย ทำให้ดูค่อนข้างเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งม้วนภาพวาดงดงามเลิศล้ำ
มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างไป จีวรตัวนี้ขาดเล็กน้อย…
“ระบบ ตอนนี้วัดเรามีความศักดิ์สิทธิ์รึยัง?” ฟางเจิ้งเบื่อมากแล้ว นึกถึงเรื่องที่ ตู้เหมยกับหยางหวาสองคนขอ จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ใกล้จะได้รู้คำตอบแล้ว
“กายทองคำวัดคือ ร่างที่ระบบเบิกเนตร! แน่นอนว่าต้องมีความศักดิ์สิทธิ์! ขอแค่มีความจริงใจ หากไม่มีก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์! แต่ว่าในวัดมีแค่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตร ดังนั้นจะศักดิ์สิทธิ์แค่กับการขอลูก หากขอเรื่องเงินทองก็ไม่ได้” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางใจ
ขณะเดียวกัน ในโรงพยาบาลประจำอำเภอซงอู่นอกหมู่บ้านเอกดรรชนี
“ผมบอกพวกคุณไปกี่ครั้งแล้ว? ทำไมถึงไม่ปล่อยวางสักที? ปีนี้พวกคุณมาตรวจที่โรงพยาบาลสามครั้งแล้ว! ครั้งก่อนก็เพิ่งเดือนนี้เองไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้มาเดือนเดียว พวกคุณก็มาอีกแล้ว…นี่พวกคุณไม่เชื่อวิชาแพทย์ขนาดนั้นเลยรึไง?” หมอหนุ่มมอง สามีภรรยาชาวนาตรงหน้าด้วยความจนปัญญา
“หมอ ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” หยางหวารีบตอบกลับ
หมอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกคุณก็พูดอย่างนี้ทุกครั้งนี่? ผมจะบอกให้นะ ถ้าพวกคุณจะตรวจผมไม่ขวางหรอก แต่พวกคุณเป็นคนใช้จ่ายเงินง่าย ที่ผมห้ามก็เพราะหวังดี ไม่อยากให้เปลืองเงิน รู้ไหม? พวกคุณสองคนมีปัญหาที่แก้ไม่ได้น่ะเข้าใจไหม?”
ตอนที่ 18 จุดธูปไหว้พระ
หยางหวาถามขึ้นอย่างลังเล “จริงเหรอ? วัดเอกดรรชนีซ่อมใหม่แล้ว? เงินในหมู่บ้านเหรอ?”
“ใครออกเงินผมไม่รู้ แต่ซ่อมใหม่แล้วจริงๆ เดาว่าน่าจะเป็นเศรษฐีสักคนมั้ง…” หยางผิงรีบเบี่ยงประเด็นแล้วคุยโม้เรื่องวัดเอกดรรชนีต่อ
ตอนนี้หยางหวาสับสนแล้วเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่ก็ฟังอย่างมีความหวัง กินข้าวเสร็จจึงกลับบ้านไปบอกกับภรรยา
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่สองยามเช้า ฟางเจิ้งตื่นนอนนานแล้ว หุงข้าวผลึกหนึ่งหม้อ กินอย่างมีความสุข
หากไม่มีความยั่วยวนของข้าวผลึก ฟางเจิ้งคงไม่ตื่นนอนเช้าขนาดนี้ แต่หลังชิมรสชาติของข้าวผลึก พอถึงเวลาเขาก็จะกินทันที ไม่มีอืดอาด
เพียงแต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางเจิ้งไม่พอใจ หมาป่าเดียวดายที่จะออกไปหาอาหาร ตอนเช้ากลับไม่ออกไปแล้ว แต่นั่งยองเฝ้าอยู่หน้าห้องครัว พอหุงข้าวเสร็จก็จะแลบลิ้น มองฟางเจิ้งอย่างกระหาย หากเขาไม่สนใจมัน มันจะตวัดลิ้น ตวัดจนน้ำลายกระเด็น…จนเขาต้องแบ่งข้าวมันหนึ่งคำถึงไล่มันไปได้
หลังกินข้าวเสร็จ ฟางเจิ้งทำความสะอาดอุโบสถต่อ เช็ดถูพระพุทธรูป เช็ดตะเกียงน้ำมัน นี่คือ สิ่งที่ต้องทำทุกวัน
เมื่อเริ่มวันที่สาม ฟางเจิ้งมองประตูใหญ่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ “หนึ่งเดือน ธูปสิบดอก เมื่อไหร่จะสำเร็จกันนะ? นี่ก็วันที่สามแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีคนมารึเปล่า พวกปู่ถานมาแล้วก็ไม่จุดธูปกันบ้างเลย เฮ้อ”
ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังจดจ่อรอคอย มีเสียงคนดังแว่วมาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วเป็นชายหญิง
ฟางเจิ้งตื่นเต้นขึ้นมาทันที เอียงหูตั้งใจฟัง
“หยางหวา คุณบ้าไปแล้วจริงๆ ขนาดโรงพยาบาลใหญ่ยังบอกว่าไม่ได้ แล้วจุดธูปไหว้พระจะมีประโยชน์อะไร? นี่มันสมัยไหนแล้ว คุณยังงมงายอีกเหรอ!”
“ใครบอก? สมัยไหน? ไม่ว่าสมัยไหนก็มีพระพุทธศาสนาไม่ใช่รึไง? วัดก็ยังอยู่นี่? มาถึงหน้าวัดแล้วคุณก็พูดให้น้อยลงหน่อย เดี๋ยวพระโพธิสัตว์ได้ยินเข้าจะลงโทษเอา เดี๋ยวเราสองจะไม่มีหวังจริงๆ ล่ะทีนี้” หยางหวาต่อว่า
หญิงคนนั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกสองที “ความหมายฉันคือจะไปไหว้พระก็ไปวัดใหญ่ๆ สิ วัดเอกดรรชนีมีประโยชน์อะไร? หลวงจีนหนึ่งนิ้วมีความสามารถอยู่บ้าง แต่เณรฟางเจิ้งพวกเราเห็นเขามาตั้งแต่เล็กๆ ฉันยังเคยเย็บกางเกงเป้าแตกให้เขาด้วยซ้ำ นอกจาก กินเยอะแล้วก็ไม่เห็นมีความสามารถอะไรเลย”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้หยางหวาพี่ชายหยางผิงจะมา รวมถึงตู้เหมยภรรยาหยางหวา เขามีภาพจำต่อตู้เหมยลึกซึ้ง ริมฝีปากคล้ำเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คนเลว เป็นคนตรงไปตรงมา…แต่ตอนเขายังเด็กถูกตู้เหมยตีก้นหลายครั้ง พอนึกๆ แล้วก็อยากพบตู้เหมยอีกครั้ง ฟางเจิ้งลูบก้นตัวเองโดยจิตใต้สำนึก กลับรู้สึกเจ็บเล็กน้อย…
ขณะสนทนากัน หยางหวาพาหญิงวัยกลางคนสวมชุดเรียบง่ายเดินเข้ามา หญิงคนนั้นเห็นฟางเจิ้งแล้วจึงยิ้มพูดขึ้น “ฟางเจิ้ง พวกเรามาเยี่ยมแกน่ะ ดูสิว่าฉันเอาอะไรมาให้ด้วย? ไข่ไก่ที่แกชอบกินที่สุดไง! แล้วก็ผักดอง”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ในถิ่นภูเขากันดารแบบนี้ ไข่ไก่ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือย ถึงผักดองจะทำมาจากผักกาดขาว แต่เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ร่วงจะมีไม่เยอะ ไม่มียาวไปจนถึงฤดูหนาว การเคี่ยวกรำของผักดองในแต่ละมื้อจึงมีความคิดถึงที่ไม่ได้กินมาหนึ่งปี ผักดองจึงกลายเป็นของล้ำค่า ของชั้นยอด!
แต่ว่าฟางเจิ้งก็ยังประนมสองมืออย่างเป็นระเบียบขั้นตอน “ขอบคุณพวกโยมมาก”
“เพียะ!” หัวโล้นฟางเจิ้งถูกตบดังลั่น “พวกโยมอะไร? เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ว ทำมาเป็นพูดภาษาพระกับฉันนะ ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอะไร แกก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เล็ก พูดถึงเรื่องนี้แล้ว นี่เพิ่งขึ้นเขามานานเท่าไหร่เอง? ทำไมถึงผอมแบบนี้? มา มากินไข่สองใบนี่บำรุงร่างกายก่อน วันนี้แม่ไก่ออกไข่ตอนเช้าพอดี เลยต้มตั้งแต่เช้ามืด…”
ฟางเจิ้งฟังตู้เหมยพูดไม่หยุด แต่กลับไม่โกรธเลย กลับกันเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้พบกันมานาน ถอนหายใจอยู่ภายใน ‘ความรู้สึกที่มีคนห่วงใยนี่มันดีจริงๆ…’
ตู้เหมยพูดจบ ฟางเจิ้งถึงตอบกลับ “โยมน้า อาตมาบวชแล้ว กินไข่ไก่หรือ อาหารคาวไม่ได้”
“ใช่ อุตส่าห์บอกคุณก่อนแล้วนะว่าฟางเจิ้งบวชแล้ว หลวงจีนที่ไหนกินไข่ไก่กัน?” หยางหวาเสริม จากนั้นดึงฟางเจิ้งพลางพูดบ่น “แกคงไม่รู้หรอก พอบอกว่าจะขึ้นเขามาเยี่ยมแก น้าแกแทบจะฆ่าแม่ไก่ในบ้านเราเอามาตุ๋นให้แกกิน ดีนะที่ฉันห้ามไว้ ไม่อย่างนั้นคงสิ้นเปลืองไปแล้ว”
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน ตู้เหมยดีกับเขาจากใจจริง แต่หยางหวาก็ขี้งกอยู่หน่อยๆ ถึงกระนั้นหยางหวาก็พูดถูก ต่อให้ตุ๋นไก่มาเขาก็กินไม่ได้ เป็นการสิ้นเปลืองไป แม่ไก่ ในหมู่บ้านไว้ใช้ออกไข่ ไม่ได้ใช้กิน
ตู้เหมยผลักหยางหวาออก ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง “ฉอดๆๆๆๆๆ คุณว่าไงนะ? เหมือนกับพวกแม่บ้านพวกนั้นไม่มีผิด พูดมากอะไรอยู่ได้? ฟางเจิ้ง จะไม่กินไข่ไก่ที่อร่อยนี่จริงๆ เหรอ?”
ฟางเจิ้งมีสีหน้าขมขื่น เขาไม่ใช่เด็กสามขวบแล้ว ยังจะใช้อุบายนี้อีกเหรอ?
สุดท้ายฟางเจิ้งปฏิเสธ ตู้เหมยจึงไม่พอใจ “อุตส่าห์ลำบากเอามาให้ แต่แกกลับไม่เอา….มันน่าโมโหนัก!”
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้น “ไม่เอาไข่ไก่ แต่เอาผักดอง! นี่เป็นของดี ไม่ได้กินมานานแล้ว เอาไว้ให้ผมแล้วกัน”
ตู้เหมยยิ้มออก
ฟางเจิ้งเก็บผักดองแล้วถาม “น้า วันนี้ขึ้นเขามามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” มีเรื่องอะไรไหมฟางเจิ้งได้ยินแล้ว พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้คาดหวังต่อความศักดิ์สิทธิ์ของวัดตัวเองมากนัก
ตู้เหมยตอบ “เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย หลายปีมานี้ไม่มีลูกเลย ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ โรงพยาบาลก็ตรวจดูแล้ว สมุนไพรพื้นบ้านก็ลองแล้ว ไม่มีประโยชน์ เมื่อวานอาหยางแกไม่รู้ถูกลาบ้านไหนเตะหัวเอา บอกว่าให้ขึ้นเขาไปไหว้พระ แกว่าขนาดโรงพยาบาล ยังช่วยไม่ได้ แล้วไหว้พระจะมีประโยชน์อะไร? อีกอย่างนะ ต่อให้ไหว้พระ ไปวัดที่ มันใหญ่หน่อยก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง วัดเล็กของแกนี่ ขนาดที่ใหญ่ๆ ยังไม่ได้ผล แล้วที่เล็กๆ แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? ไต้ซือวัดใหญ่ล้วนมีความสามารถ แต่ฉันรู้จัก แกดี ใส่กางเกงฉันยังรู้เลยว่าตรงก้นแกมีปาน…”
“แหะๆ…” ฟางเจิ้งเก้อเขิน
หยางหวารีบดึงตู้เหมยไปข้างๆ “ฉอดๆๆ พอรึยัง? พูดไม่ดีต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ตกลงจะไหว้พระหรือเปล่า?”
ตู้เหมยเองก็ตอบกลับอย่างดื้อรั้น “ฉันบ่นกับฟางเจิ้งอยู่ ไม่ได้บ่นใครนี่? ทำไม? ฟางเจิ้งจะโกรธน้าเขาหรือไง? ฟางเจิ้งบอกมาสิว่าโกรธหรือเปล่า?”
ฟางเจิ้งตอบอย่างจำใจ “ไม่โกรธ”
“เห็นไหม ไม่โกรธหรอกใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ฟางเจิ้งบอกสิว่าน้าพูดมีเหตุผลรึเปล่า?” ตู้เหมยถามต่อ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าแล้ว “น้า วัดไม่อยู่ที่ขนาดเล็กใหญ่ หากมีความจริงใจก็จะสัมฤทธิ์ผล ถึงวัดผมจะเล็ก แต่กลับอัศจรรย์ อภินิหารของวัดอยู่ที่ตัวน้า ไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้าอาวาส เป็นใคร หากน้ามีความจริงใจ ไม่ว่ายังไงก็เกิดความอัศจรรย์”
เขม็ง! ทำเอากินไม่ลง พอก้มหน้ามองก็พบว่าเป็น หมาป่าเดียวดาย
ตอนที่ 17 ระบบเจ้าเล่ห์
ไม่รู้ว่าหมาป่าเดียวดายกลับมาเมื่อไร แต่ถึงอย่างไรตอนที่ฟางเจิ้งส่งพวกหวังโอ้วกุ้ยก็ไม่เห็นมันเข้ามา ตอนนี้เจ้านี่กลับมาอย่างกะทันหัน ทำเอาฟางเจิ้งตกใจ
“นี่นายทำอะไร?” ฟางเจิ้งกล่าว
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
ฟางเจิ้งพูดด้วยความโกรธ “อย่าหวัง! นี่ข้าวเช้าของอาตมา! แค่คำเดียวยังจะแบ่ง อีกเหรอ? อยากให้อาตมาหิวตายรึไง?”
หมาป่าเดียวดายเห่าอีกสองทีอย่างคับอกคับใจ อ้อนวอนให้ฟางเจิ้งแบ่งมันสักคำ จมูกหมาป่าดีกว่าคนมาก อร่อยหรือไม่แค่ดมก็รู้ชัดยิ่งกว่า! ข้าวในชามฟางเจิ้งมีกลิ่นหอมที่สุดเท่าที่มันเคยได้กลิ่นมา อร่อยกว่าไก่อ้วนอีก!
ฟางเจิ้งเห็นท่าทีคับอกคับใจมัน จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ตัดใจแบ่งมันไปคำนึง
หมาป่าเดียวดายกินข้าวบนพื้น จากนั้นมันก็ดูแปลกไป นอนบนพื้น แลบลิ้น เบิกตากลมโต สีหน้ามีความสุข เหมือนกินอิ่มเอิบจนกลายเป็นหมาติงต๊อง!
ฟางเจิ้งไม่สบายใจแล้ว แค่ข้าวชามเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไม่หมาป่าหิวโหยถึงได้กลายเป็นหมาติงต๊องอย่างพันธุ์ฮัสกี้? ในนี้คงไม่มีกาแฟอะไรอยู่หรอกมั้ง?
ขณะพึมพำฟางเจิ้งก็ลองข้าวในชามไปคำหนึ่ง ต่อมาเขาร้องไห้โฮ! กอดหมาป่าเดียวดายซ้ำยังเฆี่ยนตี “นายคายออกมาเดี๋ยวนี้ คายออกมา! คายออกมาเถอะ! นายจะสิ้นเปลืองอาหารเลิศรสของฉันแบบนี้ไม่ได้…”
ไม่ผิด รสชาติข้าวนี่มันอร่อยเกินไป! ไม่มีรสชาติส่วนเกินเลย เป็นรสชาติข้าวจริงๆ เมื่อเข้าปากแล้วกัดเบาๆ จะมีเนื้อสัมผัสเหมือนกับไขมัน ส่งกลิ่นหอมลึกซึ้ง ยิ่งเคี้ยว ยิ่งเสพติด!
ในที่สุดฟางเจิ้งก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหยางผิง หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วถึงติดคอแล้ว ไม่ยอมดื่มน้ำ! เพราะแค่ได้กินเล็กน้อย รสชาติก็วนเวียนอยู่ในปาก ใครจะยอมดื่มน้ำ ให้สลายรสชาติกัน! แต่ว่าสุดท้ายสามคนก็ยังน้ำลายไหล ส่งอาหารเลิศรสในลำคอลงไป มิน่าหยางผิงถึงออกไปเหมือนจะร้องไห้…
หมาป่าเดียวดายถูกฟางเจิ้งทุบตีอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ยอมคายอะไรออกมา
ฟางเจิ้งมองชามที่สะอาดเกลี้ยงแล้วลูบท้องอีกครั้ง เขารู้ว่าหิวอีกแล้ว!
ช่วยไม่ได้ ฟางเจิ้งได้แต่ตักข้าวที่เหลืออยู่ออกมาให้หมด จากนั้นหุงใหม่อีกหม้อ เพียงแต่ว่าข้าวหม้อนี้ เมื่อตักข้าวใส่ปากแล้วยากจะกลืนลงไป! รสชาติตอนกินก่อนหน้ายังอยู่ ขืนกินเข้าไปอีกรสชาติจะทับกัน แต่ว่าเพื่อให้อิ่มท้อง จึงต้องหลับตากินคู่กับผักป่า
ในที่สุดก็อิ่มท้อง ฟางเจิ้งมองเงินห้าร้อยหยวนที่เหลืออยู่แล้วพูดขึ้น “ระบบ เก็บค่าบริการกับค่าส่งเร็วยังไงบ้าง?”
“จะกำหนดจากของที่ส่งว่ามีราคาเท่าไหร่ หากเป็นเมล็ดข้าวผลึก ไม่ว่าจะสั่งเท่าไหร่ ค่าบริการกับค่าส่งเร็วก็จะหนึ่งร้อยหยวน” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งพลันรู้สึกเสียใจภายหลัง หากรู้ว่าข้าวผลึกให้ผลผลิตสูงขนาดนี้แต่แรก แถมยังอร่อยขนาดนี้ เขาน่าจะซื้อมาทั้งหมดทีเดียว ครั้งนี้จ่ายไปสามร้อยหยวนซื้อมาเมล็ดเดียว ขาดทุนยับเลย!
แต่ว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าผิดเป็นครู ทำได้เพียงทำใจยอมรับ
พอกินอิ่มแล้วฟางเจิ้งก็เริ่มเช็ดถูอุโบสถ เก็บกวาดลานวัด ทั้งยังรดน้ำต้นโพธิ์เล็กน้อย มันเติบโตเร็วมาก ไม่เจอวันเดียวไม่ใช่แค่แตกกิ่ง แต่ยังมีสีเขียวคลุมหนึ่งชั้น ดูดีขึ้นมาก
ในเวลาเดียวกันตรงตีนเขา
ถานจวี่กั๋ว หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงสามคนลงเขามาแล้ว สามคนนี้นึกถึงรสชาติ ของข้าวผลึกตลอดทาง เดินจนมาถึงตีนเขาพลันนึกถึงเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องใดอื่น แต่เป็นการขยายวัดเพื่อข้าวคำนั้น! อย่างน้อยเป็นวัดขนาดกลางก็จะดูแลเรื่องอาหาร!
สามคนถูกรสชาติของข้าวผลึกซื้อไปแล้ว หลังเห็นพ้องต้องกันจึงแยกย้ายกันไป
ยามกลางวัน หยางผิงนั่งอยู่บนเตียงในบ้านตัวเอง หลังลิ้มลองข้าวผลึกมื้อนั้น เขาก็เกิดการเฝ้าใฝ่หาที่มากขึ้น วันนี้ใช้จ่ายเป็นพิเศษเพื่อซื้อข้าวดีๆ กลับมา หลิวเยี่ยภรรยาหยางผิงทำกับข้าวที่เขาชอบไว้อีกสองอย่าง ซ้ำยังรินสุราให้เขาอีกแก้ว
แต่หยางผิงมองไข่ผัดพริก ผัดไส้หมูกับข้าวในชามแล้ว ในความคิดกลับมีแต่รสชาติของข้าวผลึกบนภูเขา ผัดไส้หมูที่ชอบที่สุดในเวลาปกติกลับรู้สึกไร้รสชาติ ดื่มสุราไป สองแก้วก็รู้สึกไม่ถูกปาก กินข้าวไปหลายคำแล้วถอนหายใจยาว
“หยางผิงเป็นอะไร? ไม่สบายรึเปล่า?” หลิวเยี่ยไม่สบายใจ ทำไมหยางผิงที่ปกติ กินไม่เลือก วันนี้ถึงไม่กินอะไรล่ะ?
หยางผิงยิ้มเฝื่อน “เปล่าไม่สบาย แค่ว่า…เฮ้อ…ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเลย”
ตอนนี้เองมีคนเดินเข้ามาจากหน้าประตู คนนี้อายุมากกว่าหยางผิงเล็กน้อย อายุราวสามสิบย่างเข้าสี่สิบ พอเข้ามาแล้วก็มีสีหน้าขมขื่น ในมือยังถือผลตรวจมาปึกหนึ่ง…
“พี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอ? เป็นยังไงบ้าง? หมอว่าไง?” หยางผิงเห็นพี่ใหญ่หยางหวากลับมาแล้วจึงหยุดถอนหายใจ แล้วถามอย่างเป็นห่วง
หยางหวาถอนหายใจยาว “ไม่มีหวัง…หมอบอกว่าฉันกับพี่สะใภ้แกผิดปกติน่ะ พอมาอยู่ด้วยกันอย่าคิดจะมีลูกเลย เฮ้อ เสี่ยวผิง ไป ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย จิตใจฉันไม่ไหวแล้ว เห็นบ้านอื่นเขากอดลูกกัน แม้แต่ไข่ฉันยังไม่มีเลยเฮ้อ…”
หยางผิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บความตะกละในใจไว้ เทียบกับความน่าอดสูของ หยางหวาแล้ว เขาถือว่ายังดี เลยดึงหยางหวาเข้าไปในบ้าน “พี่ใหญ่มาพอดีเลย พวกเราเพิ่งจะกินข้าวกัน มากินด้วยกันสิ หลิวเยี่ย เธอไปจับไก่มาตุ๋นให้พี่ฉันที”
“ได้ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” หลิวเยี่ยเดินไปจับไก่ในลาน ตอนนี้ไก่พากันแตกตื่น
หยางผิงพาหยางหวาเข้าไปในบ้าน นั่งลงบนเตียง ดื่มสุรากัน กินผัดไส้หมู พลางคุยเรื่องแก้ปัญหา
ดื่มไปสามแก้ว หยางผิงรู้สึกมึนเล็กน้อย ปากจึงไม่มีหูรูด “พี่ใหญ่ จะบอกให้นะ เรื่องนี้พี่อย่ารีบร้อนนักเลย รีบไปก็ไม่มีประโยชน์ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้หรอก วิทยาศาสตร์แก้ไม่ได้ พวกเรามาหายาพื้นเมืองกันเถอะ”
“ยาพื้นเมืองไหนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สมุนไพรจากแปดหมู่บ้านในสิบลี้พวกเราก็กินมาไม่น้อยแล้วนะ นอกจากท้องเสียก็ไม่เห็นผลอะไรเลย” หยางหวาพูดบ่น
หยางผิงกล่าวต่อ “ถ้ายาพื้นเมืองไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอเทพเอา! ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่นะ สวรรค์อาจให้ลูกกับพี่ก็ได้”
“ขอเทพเหรอ? วัดที่ใกล้ที่สุดก็ต้องนั่งรถหนึ่งวัน พี่สะใภ้แกร่างกายไม่แข็งแรง กลัวว่าจะไม่ไหวเอา” หยางหวาพูด
หยางผิงยิ้ม “ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? บนเขาเอกดรรชนีของเราก็มี วัดเอกดรรชนีอยู่นี่?”
“วัดร้างนั่นเหรอ? มันพังแล้วนี่? หลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพไปแล้ว ยังจะปกป้อง พวกเราได้อีกหรือไง? ช่างเถอะ…เดี๋ยวจะหาเวลาไปวัดเมฆาขาวดู” หยางหวาค้าน
เป็นอย่างสำนวนที่ว่ากินใช้ของคนอื่นก็ต้องตอบแทน มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้หยางผิง ผู้ใหญ่บ้านแล้วก็เสมียนปรึกษากันแล้วว่าจะให้วัดเอกดรรชนีโด่งดังได้ยังไง ตอนนี้ หยางหวาจะไปขอไหว้เทพ เขาจึงต้องดึงจำนวนคนไว้ แบบนี้จะเท่ากับยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว ดังนั้นจึงตอบกลับไปทันทีว่า “พี่ใหญ่ พี่ไม่รู้เรอะ! ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้น่ะล้อเล่น พี่ก็เชื่ออีกนะ หมู่บ้านเราหาคนไปซ่อมวัดเอกดรรชนีใหม่แล้ว สวยเลยล่ะ! อีกอย่าง เจ้าฟางเจิ้งก็สืบทอดต่อจากหลวงจีนหนึ่งนิ้วแล้ว ดูแลวัดจนดีมากเลยล่ะ โดยเฉพาะข้าว…ไม่พูดถึงข้าวดีกว่า พูดมากไปก็กินข้าวไม่ลงอีก เฮ้อ…”
ตอนที่ 16 สำนึกเสียใจภายหลัง
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อนพลางพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าพวกโยมจะมา อาตมาเลยหุงแค่คนเดียว จะแบ่งยังไงล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ย หยางผิง ถานจวี่กั๋วสามคนอึ้งงัน ก่อนวิ่งเข้าไปดูในหม้อ มีแค่สำหรับหนึ่งคนจริงๆ! อย่างมากก็เป็นข้าวชามใหญ่เท่านั้น
ตอนที่ได้ยินว่ามีแค่ชุดเดียว หวังโอ้วกุ้ยยังอยากพูดว่าให้หุงเพิ่ม แต่พอเห็นไอร้อนที่โชยมาจากในหม้อแล้ว กลับต้องกลืนคำพูดกลับไป น้ำลายไหลอย่างหยุดไว้ไม่ได้ “นี่มันข้าวอะไร? ทำไมถึงสวยแบบนี้?”
หยางผิงก็ชมเช่นกัน “พระเจ้า ทำมาจากผลึกรึไงเนี่ย?”
ถานจวี่กั๋วกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “ฉันรู้จักข้าวมาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นข้าวที่หอมแบบนี้มาก่อนเลย! ฟางเจิ้ง แกยังมีเมล็ดข้าวแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า? ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงมองฟางเจิ้งพร้อมกัน
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง เขามีข้าวพันธุ์นี้เมล็ดเดียว ตัวเขายังไม่รู้เลยว่ามื้อต่อไปอยู่ไหน จะเอาที่ไหนไปให้ถานจวี่กั๋ว? ดังนั้นฟางเจิ้งจึงส่ายหน้า “ขอโทษด้วยปู่ถาน อาตมาก็มี ไม่มากเหมือนกัน พูดจริงๆ คือจะมีข้าวกินพรุ่งนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย การปลูกข้าวชนิดนี้ต้องศึกษาวิจัยอย่างมาก หากพลาดนิดเดียวจะมีโอกาสล้มเหลว อีกอย่างเหมือนว่าจะมีแค่ภูเขาเอกดรรชนีที่ปลูกข้าวแบบนี้ได้ เอาออกไปไม่ได้”
หยางผิงดวงตาเปล่งประกาย “ฟางเจิ้ง ข้าวนายทั้งอร่อยและดูดี หากส่งขายออกไปจะต้องสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำแน่! พอมีเงินนายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินแล้ว กระทั่งยังขยายวัดได้ด้วย วัดใหญ่ขึ้น ผู้ใหญ่บ้านกับเสมียนจะช่วยนายป่าวประกาศข้างนอกเอง จะต้องมีคนมาจุดธูปบูชาเยอะแน่ วัดนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงเทียนไม่สว่างไสวอีก ใช่ไหมล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ยพยักหน้าพูดเสริม “หยางผิงสมกับเป็นนักบัญชี พูดได้ดี”
ทว่าฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า “อาตมาเป็นนักบวช จะต้องการเงินขนาดนั้นไปทำไม? วัดไม่ใหญ่ จิตใจใหญ่ก็พอแล้ว ส่วนเมล็ด อาตมาเหลือไม่มากจริงๆ”
หยางผิงเห็นฟางเจิ้งเป็นพวกหัวโบราณ ไม่สนใจความรุ่งเรืองจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ถลึงตาและลนลาน
แต่ว่าถานจวี่กั๋วเข้าใจฟางเจิ้ง เอ่ยกู้หน้าให้ “เอาล่ะๆ วัดเป็นของฟางเจิ้ง เขาอยากทำอะไรก็เรื่องของเขา พวกแกเองก็ออกความเห็นบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ฟางเจิ้ง ถึงข้าวจะมีไม่เยอะ แต่พวกเราก็อยากลองสักหน่อยน่ะ กินกันคนละนิดแค่ลองรสชาติก็พอแล้ว”
หยางผิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย ในใจไม่ยินดีอยู่บ้าง ทั้งยังกล่าวด้วยเจตนาไม่ดี “ดมจากกลิ่นข้าวแล้วไม่เห็นว่าจะน่าอร่อยเลย! ข้าวนี่ต้องธรรมดาแน่…”
อีกด้านหนึ่งฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหยางผิงกำลังคิดอะไร แต่ก็แบ่งเป็นสี่ส่วนตามที่ปู่ถานว่า หนึ่งคนหนึ่งถ้วยเล็ก จากนั้นสี่คนก็กินกันในครัว หลักๆ คือหนึ่งคนกินได้สองสามคำ จะยอมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่
ทว่าหยางผิงกลับไม่ยอม ถามขึ้น “ฟางเจิ้ง มีแค่ข้าวเหรอ? ไม่มีกับข้าวรึไง”
ฟางเจิ้งชี้ไปยังผักป่าที่แช่อยู่บนเตา “มีตรงนั้น จะกินเหรอ?”
หยางผิงชำเลืองตามองแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างรังเกียจ “ช่างเถอะ กินข้าวก็ได้ แต่มันก็หอมมาก ไม่รู้ว่ากินแล้วจะเป็นยังไง…เอ่อ เสมียนถาน ผู้ใหญ่บ้านหวังเป็นอะไร? ติดคอรึเปล่า?”
หยางผิงยังพูดไม่จบก็เห็นว่าพอเสมียนถานกินข้าวไปคำนึงแล้วก็ปิดปากอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นหน้าแดงก่ำ น้ำตาไหล
หวังโอ้วกุ้ยไม่ต่างกัน กินไปแล้วเหมือนกับหิวมาสิบปี
พอได้ยินหยางผิงถาม พวกเขาสองคนกลับไม่สนใจ
ฟางเจิ้งกลัวสองคนนี้ติดคอจึงถามขึ้น “ดื่มน้ำหน่อยไหม?”
สองคนส่ายหน้าพร้อมกัน แถมยังมองค้อนฟางเจิ้ง ทำเอาเขาเหงื่อตก นี่ไม่เห็นความหวังดีของคนอื่นเกินไปรึเปล่า? แต่ดูจากใบหน้าแดงก่ำของสองคนแล้ว ฟางเจิ้งก็ยังกังวลจริงๆ แต่ไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็ไม่ยอมดื่มน้ำ เขาก็ช่วยไม่ได้
หยางผิงมองข้าวในชามอย่างสงสัย ภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อน ข้าวเหมือนกับผลึกจริงๆ ส่องประกายวาววับราวกับคลุมด้วยแสงตะวันดั่งเทพเจ้าหนึ่งชั้น งดงามอย่างยิ่ง
หยางผิงกำลังจะกล่าวชมก็ได้ยินหวังโอ้วกุ้ยพูดขึ้น “เสี่ยว…หยาง ถ้าแกไม่กินก็ให้ฉัน อย่าเอาแต่มองสิ”
ถานจวี่กั๋วก็เช่นกัน “ให้ฉันเถอะ”
หยางผิงเห็นประกายเหมือนหมาป่าหิวโหยของสองคนนี้แล้วก็รีบกินเข้าไป กลัวว่าขืนช้าจะถูกแย่งไปจริงๆ
หนึ่งคำเข้าปาก ดวงตาหยางผิงพลันเปล่งประกาย ขยายใหญ่ขึ้น! เม็ดข้าวเล็กๆ สดใสอิ่มเอิบ เรียบเนียนเป็นมันวาวเข้าปาก กัดไปทีหนึ่ง เปลือกอ่อนนุ่มนอกเม็ดข้าวแตกออก ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น ในความหอมมีความหวาน! ในปากตอนนี้ไม่ใช่ข้าวแล้ว แต่เป็นรสชาติแห่งความสุข!
จากนั้นหยางผิงอดใจไม่ไหวกินเข้าไปคำใหญ่ กินอย่างว่องไวจนหมดชาม! ก่อนเขาจะพบสิ่งที่น่าอนาถ เขาติดคอเหมือนกัน!
“ดื่มน้ำไหม?” ฟางเจิ้งยกน้ำมาให้
หยางผิงมองค้อนฟางเจิ้งก่อนส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต
ฟางเจิ้งไม่สบายใจแล้ว สามคนนี้เป็นอะไร? ติดคอแล้วยังไม่ดื่มน้ำอีก?
ตอนนี้เองฟางเจิ้งเห็นสามคนมองมาที่เขาพร้อมกัน! ให้พูดจริงๆ คือ มองชามข้าว ในมือเขา!
ฟางเจิ้งพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกหมาป่าหิวโหยจ้องมอง จึงรีบส่ายหน้า “ไม่ได้! นี่ของอาตมา! อาตมายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย อย่าหวัง”
พูดจบฟางเจิ้งก็นั่งลงข้างๆ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักป่าที่เตรียมไว้เรียบร้อย กำลังจะกินอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าพอคีบข้าวขึ้นมายังไม่ทันเข้าปากก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอสามเสียงดังแว่วมา
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าสำนึกเสียใจภายหลังของสามคน สีหน้านั้นเหมือนเด็กกำลังจะตาย!
ฟางเจิ้งถาม “พวกโยมเป็นอะไรกัน?”
หยางผิงพูดตอบด้วยเสียงสะอื้น “ฉันไม่ควรมอง ผู้ใหญ่บ้าน เสมียน เอ่อ ผมมีธุระต้องขอตัวก่อนนะ มองไม่ลงแล้ว รับไม่ได้”
พูดจบหยางผิงก็ออกไป
หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วมองตากันแล้วก็บอกลากันทันที เพียงแต่ว่าก่อนไป ถานจวี่กั๋วพูดขึ้นจากใจจริง “ฟางเจิ้ง จากนี้ไปแกจะยังมีข้าวแบบนี้อีกไหม?”
ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ “ก็ต้องดูว่าแสงธูปเทียนในวัดเป็นยังไง ถ้าแสงสว่างไสว อาตมาก็มีกำลังปลูก หากแสงไม่สว่างไสว อาตมาจะปลูกเยอะๆ ไปทำไม? อยู่คนเดียว คงไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น”
หวังโอ้วกุ้ยพูดต่อทันที “แกปลูกเพิ่มเถอะ พวกเรากลับไปแล้วจะช่วยแก ป่าวประกาศ แต่คงไม่มากมายอะไรนัก อย่างน้อยคนในหมู่บ้านก็จะมาจุดธูปกัน อีกอย่างอาได้ยินมาว่าในเร็วๆ นี้ประเทศเรากำลังสนับสนุนให้สร้างวัด ถ้ายื่นเรื่องรายการขอเงินบริจาคได้ วัดนี้จะขยายใหญ่ได้เร็วขึ้นอีก”
ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้น ประนมมือคารวะ “ขอบคุณอาหวังมาก”
หวังโอ้วกุ้ยยิ้มตอบกลับ “ไม่ต้องขอบคุณอาหรอก อาก็ทำเพื่อของกินนั่นแหละ”
ฟางเจิ้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง การขยายวัดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะทำแค่เพื่อ ของกินได้ยังไงกัน สร้างวัดเหรอ? เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้
หลังส่งหวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วกลับไปแล้ว วัดเอกดรรชนีก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ในที่สุดฟางเจิ้งก็ได้กินข้าวอย่างสงบ แต่พอหยิบชามข้าวขึ้น กลับมีดวงตา เปล่งประกายคล้ายหิมะจ้องเขาตาเขม็ง! ทำเอากินไม่ลง พอก้มหน้ามองก็พบว่าเป็น หมาป่าเดียวดาย
ตอนที่ 15 คุยโวด้วยมาดขรึม
“ฟางเจิ้ง นายอย่าทำให้ดูลึกลับไปหน่อยเลย บอกมาเถอะว่าวัดนี้ซ่อมใหม่ได้ยังไง? แล้วนายไปเอาเงินซ่อมใหม่มาจากไหน?” หยางผิงเป็นนักบัญชี ย่อมรู้ว่าวัดเอกดรรชนียากจนขนาดไหน และรู้ด้วยว่าการจะซ่อมวัดใหม่ต้องใช้เงินไม่น้อย รู้ๆ กันว่าฟางเจิ้งเป็นนักเรียนยากจน ไม่มีเงิน อีกทั้งหลวงจีนหนึ่งนิ้วส่งฟางเจิ้งเรียนจนย่ำแย่แบบสุดๆ แต่วัดนี้กลับซ่อมใหม่อย่างกะทันหัน เขาจึงรู้สึกว่ามันไม่ปกติ
หวังโอ้วกุ้ยก็พูดต่อ “ฟางเจิ้ง เรื่องนี้แกต้องพูดให้ชัดเจนนะ อาไม่ได้เห็นแก่ได้อะไรหรอก แค่รู้สึกว่าแปลกเกินไป กลัวจะมีคนใช้วิธีสกปรกกับแก”
ถานจวี่กั๋วไม่ได้พูดอะไร แต่ความกังวลในแววตาอธิบายทุกอย่าง
ฟางเจิ้งยิ้มตอบกลับ “นักบัญชีหยาง อาหวัง ปู่ถาน คิดมากกันเกินไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากนะ”
“ขอบคุณพวกเรา?” สามคนงุนงง
ฟางเจิ้งมองหยางผิงแล้วพูดขึ้น “เมื่อหลายวันก่อน พี่ใหญ่หยางส่งเอกสารราชการมาให้ผม ผมจึงได้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้อง วันนั้น ผมฝันถึงพระพุทธองค์ ท่านบอกว่าผมเป็นผู้มีบุญสิบภพ ชาตินี้จึงจะเติมเต็มความปรารถนาที่ชอบธรรมให้ผมหนึ่งข้อ
ผมบอกว่าอยากให้หลวงตาหนึ่งนิ้วคืนชีพ พระพุทธองค์ไม่ยอม บอกว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วไปทางตะวันตกบรรลุอรหันต์แล้ว กลับมาเกิดในโลกไม่ได้อีก
พอได้ยินว่าหลวงตาบรรลุอรหันต์ก็มั่นใจว่าคงดึงกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ผมเลยเปลี่ยนคำขอเป็นให้พระพุทธองค์ซ่อมวัดให้ พระพุทธองค์กลับให้ผมทำความสะอาดวัด หากทำเสร็จก็จะซ่อมวัดให้ วันที่สองผมเลยทำความสะอาดจนเกลี้ยง ไม่คิดเลยว่าพระพุทธองค์จะแสดงอภินิหารจริงๆ เกิดเสียงดังติ๊งๆ แล้ววัดก็เป็นแบบนี้”
ฟางเจิ้งพูดจริงปนโกหก เพียงแต่ว่าเปลี่ยนระบบเป็นพระพุทธองค์ ปิดบังเรื่องราวบางส่วนเท่านั้น นี่คงไม่ถือว่าโกหกหรอกมั้ง…
อย่างน้อยระบบก็ไม่โดดออกมาลงโทษ แค่นี้เขาก็สบายใจแล้ว
พอได้ฟังฟางเจิ้ง หยางผิง หวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วสามคนมองหน้ากัน พอจะเชื่อ ก็รู้สึกว่าไร้สาระอยู่เล็กน้อย พวกเขาไม่เชื่อเรื่องพวกปฏิรูปหรือความเชื่อต่างๆ เหล่านี้มานานแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อ แล้วสองสามวันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ยังไง ไม่มีทางที่กำลังคนจะทำได้ อธิบายตามหลักการทั่วไปไม่ได้!
สุดท้ายสามคนนี้ก็ยังยอมรับคำพูดฟางเจิ้งไปโดยนัย ถึงอย่างไรก็ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้
ถานจวี่กั๋วว่า “ฟางเจิ้ง แกรู้เรื่องนี้ดี อย่าบอกกับคนอื่น ถ้ามีคนถามให้บอกไปว่าหมู่บ้านออกเงินซ่อมให้ ที่เหลือฉันจะช่วยแกแก้ปัญหาเอง”
หยางผิงเบะปากพูดต่อ “เสมียนถาน นี่มันสมัยไหนแล้ว เขาไม่เชื่อเรื่องผีเทพเจ้ากันแล้ว พระพุทธองค์เป็นสิ่งที่ยอมรับให้เชื่อ ถึงผมจะเชื่อมั่นในวัตถุนิยม แต่ก็ไม่คัดค้านความเชื่อคนอื่นหรอก”
“พูดจาเหลวไหล” หวังโอ้วกุ้ยถลึงตามองหยางผิงแล้วเบี่ยงประเด็นไป “ฟางเจิ้ง แกทำอะไรกินในครัวน่ะ? ทำไมหอมจัง?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ผม…” พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งอึ้งไป เหมือนว่าตอนนี้เขาจะใช้คำว่า ผมไม่ได้แล้ว จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “นี่คือข้าวที่อาตมาปลูกเอง”
“เฮอะๆ…เจ้าเด็กนี่ หัดใช้คำพูดนักบวชแล้วเรอะ ดี ตอนนี้แกเป็นเจ้าอาวาส ต้องทำแบบนี้เป็นธรรมดา นั่นอะไรน่ะ ตักข้าวใส่ชามมาให้อาซิ อาจะลองชิมดูหน่อย” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะ
หวังโอ้วกุ้ยพูดจบก็วางมาดรอกิน
หยางผิงรีบพูดขึ้น “ฉันด้วย ฉันก็จะกินด้วย! อ่อ ให้อาถานชามนึงด้วย!”
สามคนนี้มองฟางเจิ้งด้วยแววตาลุกโชน ช่วยไม่ได้ กลิ่นข้าวหอมแบบนี้มันยั่วยวนจริงๆ หอมจนน้ำลายไหล ปั่นป่วนท้องไปหมด ถ้าไม่กินคงอึดอัดใจจนต้องลนลาน
แต่ว่าฟางเจิ้งกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ได้”
“อะไรนะ?” หวังโอ้วกุ้ยร้อนรนแล้ว ซ้ำยังกล่าวต่อ “ฟางเจิ้ง พวกเราเป็นญาติกันไม่ใช่เรอะ? ตอนแกเข้าเรียนยังเคยกินข้าวในบ้านพวกเราเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าวชามใหญ่ขนาดนี้แกยังกินไปไม่น้อย ตอนนี้ฉันขอกินข้าวชามเดียวก็ไม่ได้รึไง?”
หยางผิงเองก็ไม่สบายตัวเหมือนกัน จึงแค่นเสียงหึหึ “ฉันไม่ได้กินไม่เป็นไร แต่ตอนนั้น อาถานช่วยนายไว้เยอะ ให้กินข้าวชามเดียวจะเป็นอะไร?”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วชี้ไปยังวัดพลางพูดขึ้น “ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน ดูวัดอาตมาก่อน ต่างกับวัดอื่นยังไง?”
หยางผิงมองอยู่นานก็ไม่เห็นอะไร จึงส่ายหน้า “ไม่เห็นมีอะไรต่างเลย หรือไม่ได้ นับถือพระพุทธเหรอ?”
ถานจวี่กั๋วพลันเอ่ยขึ้น “เจ้าเด็กนี่ ตอนแรกคิดว่าไปเรียนแล้วจะมีความลื่นไหลเอาบ้าง ทำไมถึงยังหัวแข็งเหมือนกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วกันนะ? เรียนเสียเปล่าจริงๆ…” ถึงถานจวี่กั๋วกำลังต่อว่า แต่กลับยิ้มไปด้วย ดูแล้วไม่ได้โกรธอะไร
“อาถานพูดอะไรผมไม่เข้าใจ?” หยางผิงสงสัย
ถานจวี่กั๋วตอบ “วัดนี้เป็นวัดเล็ก พระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตูอุโบสถใช้สองมือจับคทาสยบมาร นั่นบอกพวกเราว่าวัดนี้เล็กเกินไป ไม่ดูแลเรื่องอาหารและที่พัก นี่คือกฎ เขาฝ่าฝืนกฎไม่ได้ ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วก็ปฏิเสธทุกคนที่จะมาพัก เลยทำให้คน ไม่พอใจไม่น้อยเลยล่ะ”
หวังโอ้วกุ้ยได้ยินดังนั้นก็พูดจากใจจริง “ฟางเจิ้ง เป็นคนมีหลักการมันก็สำคัญ แต่จะต้องพลิกแพลงกันบ้าง แกจะพัฒนาวัด ตอนนี้จำเป็นต้องพลิกแพลงเรื่องสังคมนะ”
ฟางเจิ้งประนมมือโค้งตัวคารวะพร้อมพูดขึ้น “อมิตพุทธ ขอบคุณอาหวังที่สั่งสอน แต่ว่า ในเมื่ออาตมาบวชเป็นนักบวชแล้วก็ควรจะปฏิบัติตามกฎ จะไปเกินเลย ตามอำเภอใจได้ยังไง?”
หยางผิงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “พูดอะไรมากมาย ยังไงก็ไม่ให้กินใช่ไหมล่ะ? ถ้าไม่ให้ฉันกิน ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” หยางผิงหิวจริงๆ แล้ว ไม่ได้กินข้าวแต่เช้าก็ต้องปีนเขา ตอนนี้ได้กลิ่นหอมโชยขนาดนี้ หนอนตะกละในท้องใกล้จะก่อกบฏ ยึดสมองเขาไปแล้ว
หวังโอ้วกุ้ยมองฟางเจิ้งอย่างประจบ ถานจวี่กั๋วเงียบ ความหมายชัดเจนมากคือ เขาอยากกิน!
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ก่อนถามระบบในใจ ‘จะทดแทนบุญคุณในอดีตตอนนี้ได้ไหม?’
“วันอื่นเป็นเหตุ วันนี้เป็นผล ไม่ทดแทนก็ยังมีเหตุและผล ทดแทนก็ตัดเหตุและผล”
ฟางเจิ้งเข้าใจแจ่มชัด ยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่ออย่างนั้น พวกเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน มื้อในวันนี้จะถือว่าเป็นการทดแทนคุณ กินได้ แต่วันหน้าจะมาขอกินอีกไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาจะทำผิดกฎจริงๆ แน่นอนว่าหากวัดใหญ่ขึ้นแล้วก็จะต้อนรับได้ ถ้าพวกอามา อาตมาจะต้อนรับอย่างดี”
“นี่ก็พอแล้ว อย่าพูดมากหน่า รีบเอาข้าวมา!” หวังโอ้วกุ้ยมีสีหน้าดีใจ ยิ้มเบิกบาน
ฟางเจิ้งกลับเข้าไปในครัว ตอนนี้ข้าวสุกพอดี
พอเปิดฝาหม้อ ไอร้อนสีขาวโชยขึ้น กลิ่นหอมข้าวสวยฟุ้งกระจายตาม กลิ่นหอมจางๆ ในตอนแรกกลายเป็นเข้มข้น ให้กลิ่นหอมหวานประหนึ่งในอากาศมีน้ำหวาน!
ทุกคนกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองไปข้างในเพราะรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้ฟางเจิ้งถึงพบสิ่งที่น่าเศร้า เขาหุงแค่สำหรับคนเดียว! จะแบ่งยังไงดี?
หวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งกำลังเหม่อจึงพูดเร่ง “ฟางเจิ้ง ทำอะไรน่ะ? เร็วๆ หน่อย อาหิวจะแย่แล้ว!”
ตอนที่ 14 หอมมาก
“เสมียนถาน เอ่อ…ตะ…ตอนที่ผมมา ที่นี่…โอ้ว ไม่รู้แล้ว” หยางผิงมองวัดที่ใหม่เอี่ยมตรงหน้า เขารู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ความจริงชนะทุกอย่าง
หวังโอ้วกุ้ยกล่าว “อาถานอย่าโทษหยางผิงเลย ผมเดาว่าเจ้านี่มันขี้เกียจ ไม่ได้ ขึ้นเขามาแน่ๆ เพียงแค่ให้คนส่งเอกสารจากรัฐบาลแล้วก็กลับไปรายงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาพูดโกหกหรอกนะ ผมจำได้ว่าเมื่อปีก่อนตอนมาวัดเอกดรรชนี ที่นี่เสื่อมโทรมจริงๆ หนึ่งปีมานี้ ไม่เห็นเลยว่ามีใครขนย้ายอิฐกับกระเบื้องขึ้นเขามาซ่อมวัด ทำไมวัดถึงใหม่ ได้ล่ะ?”
ถานจวี่กั๋วขมวดคิ้วเป็นตัว八 ส่ายหน้าพลางพูดขึ้น “ไม่รู้ก็ไปถามสิ”
หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงไม่ออกความเห็นอะไร จึงตามขึ้นไปพร้อมกัน
ระหว่างทาง หวังโอ้วกุ้ยเอ่ยขึ้น “อาถาน หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ วัดเอกดรรชนีก็น่าจะเหลือแต่สามเณรฟางเจิ้งนั่นคนเดียวใช่ไหม? ผมจำได้ว่าตอนนั้น เขายังเรียนอนุบาลที่หมู่บ้านเราอยู่เลย ต่อมาอาก็ส่งเขาไปเรียนมัธยมต้นกับมัธยมปลายใช่ไหม?”
นัยน์ตาถานจวี่กั๋วฉายแววหวนรำลึก พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ ตอนนั้นเจ้าเด็กคนนั้นยังเด็ก ตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว เฮอะๆ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ…”
ระหว่างคุยกันสามคนมาถึงหน้าประตูใหญ่วัดเอกดรรชนี เงยหน้าขึ้นเห็นป้ายวัดสีทอง สามคนพลันเกิดความเคารพขึ้นโดยจิตใต้สำนึก ความกังวลในใจทั้งหมดหายไป เหลือเพียงจิตใจสงบ รวมถึงรู้สึกถึงพลังน่าเกรงขาม ทำให้พวกเขาเบาเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
ทางภาคเหนือโดยเฉพาะหมู่บ้าน จะมีพื้นที่กว้างแต่คนน้อย ชาวบ้านจะใช้การตะโกนตั้งแต่เด็กเพื่อสื่อสารกัน ดังนั้นตอนพูดจึงค่อนข้างเสียงดัง พอนานเข้าก็ชินและปรับแก้ไม่ได้แล้ว
แต่เวลานี้สามคนเบาเสียงลงโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อพวกเขาได้สติกลับมาถึงตกใจ
ตอนนี้ประตูวัดเปิดออก สามคนเดินเข้าไปข้างในเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเข้าประตูไปก็เห็นต้นโพธิ์ในลาน เห็นต้นไม้แก่ที่ตายแล้วยังอยู่รอด ซ้ำร้ายผ่าน ลมหนาวจนมาถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงดันแตกกิ่ง สามคนเห็นดังนั้นพลันเกิดความรู้สึกราวกับเห็นผี
“อาถาน ตอนที่ผมมาครั้งก่อน ต้นไม้นี่ใกล้จะแห้งตายอยู่แล้ว ทำไมถึงยังแตกกิ่งได้? นี่…” หยางผิงพูดด้วยอาการตัวสั่น
“ระวังคำพูดหน่อย! ที่นี่วัดนะ ไม่ใช่ประตูผี มีได้ก็เพราะพระพุทธองค์แสดงอภินิหาร ไม่มีปีศาจผีร้ายอะไรทั้งนั้น แกจะกลัวทำไมหะ!” ถานจวี่กั๋วต่อว่า
หยางผิงถึงได้สติกลับมา ยิ้มเฝื่อนๆ “ก็ผมรู้สึกว่ามันแปลกเกินไปนี่”
“แปลกอะไร ครั้งก่อนที่แกมาก็เมื่อหลายปีก่อน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปบ้างมันแปลกรึไง?” หวังโอ้วกุ้ยแค่นเสียงหึหึ
หยางผิงมีสีหน้าขมขื่น ไม่ว่าหวังโอ้วกุ้ยหรือถานจวี่กั๋วก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เขารู้ดีที่สุดว่า เมื่อหลายวันก่อนเขามาที่นี่จริงๆ! เห็นอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า นั่นคือกระเบื้องแตก ต้นไม้แก่แห้งตาย หลายวันผ่านไปกลับเปลี่ยนไปเช่นนี้ เขารู้สึกว่ามันพิลึกจริงๆ น่ากลัว
“หืม? กลิ่นอะไรน่ะ?” ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วพลันสูดลมหายใจเข้าสองที
“หอมมาก! เหมือนกลิ่นข้าวเลย แต่ก็ไม่เหมือน! หอมกว่าข้าวในนาพวกเรามาก… แค่ดมท้องผมก็ร้องจ๊อกๆ แล้ว” หวังโอ้วกุ้ยลูบท้อง
“เหมือนว่าจะมาจากข้างหลัง ไปดูกันเถอะครับ” หยางผิงดมกลิ่นหอม ความคิดฟุ้งซ่านในใจหายไป ก่อนชี้ไปยังประตูข้างหลัง
“ไป ไปดูกัน” ถานจวี่กั๋วพยักหน้า สามคนจึงเรียงกันเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ
พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าหากไม่เจอเจ้าบ้านก็ห้ามบุกเข้าไปโดยพลการ ชาวนาทางภาคเหนือก็เยี่ยมญาติกันด้วยวิธีแบบนี้ ไปถึงบ้านใคร หากไม่ใช่ขโมยหรือปล้นก็จะเข้าไปอย่างโจ่งแจ้ง เพียงแต่ว่าปกติจะไม่เข้าไปในห้อง แต่จะเรียกสักสองครั้ง บอกเจ้าบ้านว่าพวกเขามา
ทว่าพอเข้ามาหลังวัด กลิ่นหอมของข้าวกลับรุนแรงกว่าเดิม กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ทำให้เกิดน้ำลายสอในปากจนต้องเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังเคี้ยวหนุบๆ เหมือนกำลังกินอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นหอมกระตุ้นท้องให้ร้องจ๊อกๆ เป็นการประท้วง ล่ะก็ เดาว่าสามคนนี้คงไม่รู้ว่าตนหิวอยู่ และยังคิดว่าตนกินไปแล้วด้วย
ฟางเจิ้งอยู่ในมุมของห้องครัว พอสามคนเข้ามาก็มองผ่านหน้าต่างไปเห็นฟางเจิ้งกำลังยุ่งอยู่ในครัว
“ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้ง!” หยางผิงตะโกนไปก่อน
ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังแช่ผักป่าในซีอิ๊ว เตรียมเป็นกับข้าว ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนเรียกจากข้างนอกจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนพูดด้วยความตกใจ “นักบัญชีหยาง? อาหวัง ปู่ถาน? พวกอามาทำอะไรกัน?”
“ทำไมพวกเราจะมาไม่ได้หะ? แกสร้างเรื่องใหญ่โตบนเขาแบบนี้ พวกเรามาดูบ้างไม่ได้รึไง?” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง
ฟางเจิ้งออกมาจากห้องครัว จะหาที่นั่งสักสองตัว แต่ก็กลัดกลุ้ม เพราะที่นี่เหมือนจะไม่มีอะไรนั่งได้
หวังโอ้วกุ้ยด่ายิ้มๆ “เอาเถอะ ไม่ต้องหา วัดเล็กแบบนี้ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาต้อนรับพวกเราได้หรอก และก็ไม่ต้องหาที่นั่งด้วย เป็นคนกันเอง เราไม่สนใจของพวกนั้นของคนในเมืองหรอก นั่งบนพื้นก็พอแล้ว”
พูดจบหวังโอ้วกุ้ยก็นั่งลงบนพื้น ถานจวี่กั๋วก็เช่นกัน แม้หยางผิงจะไม่ยินดีนัก แต่ก็ปัดหินข้างๆ แล้วนั่งลง
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็นั่งลงพื้น ลูบหัวโล้นแล้วแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว “เรื่องใหญ่อะไรเหรอ?”
“เจ้าเด็กนี่ ไม่เลวเลยนี่? ไม่ได้ขึ้นเขามาหนึ่งปี แกสร้างวัดเอกดรรชนีใหม่ซะแล้ว ไม่เลว!” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง
ฟางเจิ้งเบะปาก ไม่ได้พูดอะไร แต่มองหยางผิง
หยางผิงกล่าวด้วยความโมโหมาก “ฟางเจิ้ง นายบอกกับผู้ใหญ่กับเสมียนไปเลยนะ ว่าฉันมาที่นี่เมื่อหลายวันก่อน เอาเอกสารราชการให้นายกับมือเลยใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งอยากโกหกมาก แต่การโกหกผิดศีล เลยได้แต่พยักหน้า “ใช่”
สิ้นเสียง หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วอึ้งไป เดิมทีคิดว่าหยางผิงแอบขี้เกียจขึ้นเขา ทว่า หยางผิงกลับขึ้นมาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นที่เขาพูดมา…หรือจะเป็นความจริง? สองคนมองกัน ต่างเห็นถึงความสงสัยในแววตา
หยางผิงพูดต่อ “ฟางเจิ้ง ฉันถามนายนะ เมื่อหลายวันก่อน วัดนี้เสื่อมโทรมใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่”
หยางผิงเงยหน้าขึ้นมองหวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋ว เหมือนกำลังบอกว่าไงล่ะ! ผมไม่ได้โกหกใช่ไหม?
หวังโอ้วกุ้ยขมวดคิ้ว “ฟางเจิ้ง แกบอกกับอามาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลายวันก่อนที่นี่ยังเสื่อมโทรม ทำไมหลายวันต่อมาถึงกลับมาใหม่? หลายวันมานี้ แกเห็นคนงานก่อสร้างขึ้นมารึเปล่า?”
ถานจวี่กั๋วพูดเสริม “จริงๆ นะเจ้าฟาง เรื่องนี้มันออกจะพิสดารหน่อยๆ นะ”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ คงปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ แต่เขาก็พูดถึงระบบไม่ได้ หากเป็นอย่างนั้นจะต้องมีปัญหามานับไม่ถ้วนแน่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงเปลี่ยน สีหน้าเป็นเคารพอย่างสุดซึ้ง จากนั้นยืนขึ้น ประนมสองมือโค้งตัวคารวะไปทางตะวันตกตามมารยาทแล้วสวดบทหนึ่ง “อมิตพุทธ…”
ตอนที่ 13 มีญาติโยมมาอีก
หมาป่าเดียวดายวางแม่ไก่ลงแล้วเงียบไป ส่วนแม่ไก่ร้องกระต๊อกๆ ดังวุ่นวายไปหมด ฟางเจิ้งก็ฟังเข้าใจเหมือนกัน
แม่ไก่พูดว่า “ไต้ซือช่วยด้วย! ฉันเป็นไก่บ้านครอบครัวสุจริตตรงตีนเขา! มีเจ้าของแล้ว! ไอ้หมาป่าเฮงซวยมันอาศัยจังหวะที่ฉันไม่ระวังมาจับฉันในเล้าไก่! ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตาย! กระต๊อกๆ”
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด มองแม่ไก่ดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้ก็คาดการณ์ได้ ต่อให้เขาไม่ใช่นักบวชก็เชือดไก่มากินเนื้อไม่ลงไหม? เขาเริ่มสงสัยระบบแล้วว่าให้ความสามารถนี้เขาทำไม จะต้องไม่มีเจตนาที่ดีแน่
“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว เช้าตรู่แบบนี้ คนที่เขารู้ก็คิดว่าแม่ไก่ขัน แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าฉันกินเธอ” ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็มีภาพประหลาดวูบผ่านในความคิด ทำเอาเขาสะอิดสะเอียน รีบโบกมือ “หมาป่าเดียวดาย ส่งมันกลับไป จากนี้อย่าขโมยไก่อีก เรื่องกินเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
แม้หมาป่าเดียวดายไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า คาบไก่อ้วนลงเขาไป
ฟางเจิ้งที่อยู่ไกลๆ ยังได้ยินเสียงร้องจากแม่ไก่อ้วน “ขอบคุณไต้ซือ! ขอบคุณไต้ซือ! ไอ้หมาบ้า คิดว่าดุร้ายนักเรอะ? ทำไมถลึงตามองฉันล่ะ? ฉันก็จะถลึงตามองแกเหมือนกัน ใครกลัวใครล่ะ? แกกล้ากินฉันหรือเปล่าล่ะ? แกไม่กลัวไต้ซือเหรอ บลาๆๆ…”
ฟางเจิ้งฟังเสียงพูดไม่หยุด ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนโบราณถึงเปรียบคนที่พูดไม่หยุดเหมือนกับแม่ไก่แก่! มันพูดมากกว่าเป็ดอีก…ขณะเดียวกันเขาก็เห็นใจ หมาป่าเดียวดาย ตลอดทางลงเขาคงจะโดนลงโทษจนหูชาแล้ว
คล้อยหลังหมาป่าเดียวดาย ฟางเจิ้งท้องร้องดังจ๊อกๆ หิวแล้ว!
ฟางเจิ้งไปหากระถางดอกไม้ที่ปลูกข้าวผลึกไว้เป็นอันดับแรก แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น! นั่นคือกลิ่นข้าว ในความหอมเบาๆ แฝงไว้ด้วยความยั่วยวนให้ลิ้มลองเสี้ยวหนึ่ง!
ฟางเจิ้งพิจารณามอง เห็นว่าในกระถางดอกไม้มีต้นข้าวสูงสองเมตร บนต้นข้าว เต็มไปด้วยเม็ดข้าว เปลือกข้าวสีทองอร่ามปกปิดความแวววาวข้างในไม่มิด ทันใดนั้นพวกมันปริแตกออก ดันตัวออกมา
กลิ่นหอมสดชื่นลอยโชยมาจากข้าวผลึก แม้จะโชยไปเพียงสิบกว่าเมตร แต่ก็เป็นข้าวที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา! ไม่ต้องหุง แค่ดมกลิ่นก็รู้สึกว่านั่นเหมือนกับสมบัติล้ำค่า ข้าวประทังชีวิตในโอ่งข้าวเหล่านั้นกลายเป็นกากทันที เอาเข้าปากไม่ได้แล้ว
ช่วงที่ฟางเจิ้งกำลังเคลิ้มนั้น เกิดเสียงดังแป๊ก ข้าวเม็ดหนึ่งบวมจนเปลือกข้าวแตกออกร่วงลงมา! จากนั้นเหมือนเชื่อมต่อถึงกัน ข้าวผลึกทั้งหมดพากันหลุดออกมาเอง!
ฟางเจิ้งรีบวิ่งเข้าไปรับข้าวไว้ ไม่รับก็ไม่รู้ แต่พอรับแล้วตกใจสะดุ้งโหยง บนรวงข้าวต้นนี้มีข้าวผลึกอยู่หนึ่งจิน! มีผลผลิตที่น่าตกใจจริงๆ!
หากเป็นปกติ ต้นข้าวที่งามที่สุดในไร่จะให้ผลผลิตเป็นหน่วยกรัมทั้งหมด แต่นี่เป็นหน่วยจิน! ความคิดแรกของฟางเจิ้งคือ หากส่งออกเมล็ดข้าวจำนวนมากคงจะร่ำรวย ไม่ยาก! อีกอย่างสำหรับประเทศที่ขาดแคลนข้าวเหล่านั้นแล้ว นี่ถือเป็นบุญกุศลช่วยชีวิตคนอย่างแน่นอน!
พอนึกถึงการช่วยคนจำนวนมากก็จะได้จับรางวัลนับครั้งไม่ถ้วน ฟางเจิ้งแทบจะน้ำลายไหล แต่พอนึกถึงราคา ความคิดทุกอย่างพลันมอดดับไป
หนึ่งเมล็ดสองร้อยหยวน นี่มันราคาสวรรค์ชัดๆ หากเขาจะเอาไปขายจริงๆ เดาว่าในวันเดียวคงถูกคนถ่มน้ำลายใส่จนตาย! ให้ผลผลิตหนึ่งจินก็ไม่มีประโยชน์ หนึ่งจิน สามร้อยหยวน แบบนี้ก็เป็นราคาสูงลิ่วเหมือนกัน!
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่มีเงินจริงๆ! จะซื้อสินค้าจากระบบก็ต้องใช้เงินจากบุญกุศล เงินชนิดนี้มีแต่ผู้เลื่อมใสบริจาคเงินจุดธูปด้วยความจริงใจเท่านั้นถึงจะได้ แต่ว่าเงินชนิดนี้ ด้วยธูปอันสว่างไสวของวัดเอกดรรชนีแล้ว เขาคาดการณ์ได้ว่าคงตายก่อนได้ซื้อ เมล็ดมากขนาดนั้น ที่รับประกันว่าตนจะไม่หิวตายได้ก็มีแต่อมิตพุทธกับอภินิหาร พระพุทธองค์ ส่วนกรุณาธิคุณอื่นๆ…ฝันเอาเถอะ!
“ก็คงได้แต่หวังว่าธูปในภายภาคหน้าจะสว่างไสวพอ หากได้เป็นวัดใหญ่หมายเลขหนึ่ง ในโลกจริงๆ เงินบริจาคธูปจะต้องมีไม่น้อยแน่ ถึงตอนนั้นก็จะซื้อเมล็ดข้าวได้…” ฟางเจิ้งพึมพำก่อนถามขึ้น “พี่ระบบ ถ้าเอาเมล็ดนี่ออกไป เทคโนโลยีของโลกเราจะเข้าใจมันหรือเปล่า? หรือจะเลียนแบบ ปรับแก้อะไรพวกนี้ได้หรือเปล่า?”
“มดเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ยังไง? นี่คือคำถาม” ระบบตอบกลับอย่างขบขัน
ฟางเจิ้งล้มเลิกความคิดนี้อย่างเด็ดขาด การคงอยู่ของระบบก็อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์แล้ว ข้าวผลึกจะต้องเป็นแบบเดียวกันแน่
ฟางเจิ้งถามต่อ “ข้าวผลึกในมือฉันเอามาปลูกอีกได้ไหม?”
“ไม่ได้ ข้าวพวกนี้กินได้อย่างเดียว ไม่มีประโยชน์อื่น” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ในเมื่อกินได้อย่างเดียว งั้นก็กิน! ข้าวในโอ่งวางไว้อย่างนั้นก่อน เขาลงทุนไปสามร้อยหยวน จะต้องลองก่อน!
ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปหุงข้าว ตัวคนเดียวข้าวกำมือเดียวก็พอ ต้องประหยัดข้าวหนึ่งจินไว้ อย่างน้อยก็กินได้ราวๆ วันสองวัน
ข้าวสีสันแวววาว ไม่ต้องซาวข้าวเลย เอาใส่หม้อ เติมน้ำ จุดฟืน ที่เหลือก็แค่รอ
หลายนาทีต่อมากลิ่นหอมสดชื่นโชยมาจากในหม้อ ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหิวหรือเพราะอะไร ดมกลิ่นหอมข้าวแล้วรู้สึกลอยล่อง จึงตะโกนเสียงดัง “ชีวิตนี้ไม่เคยได้กลิ่นข้าวหอม แบบนี้มาก่อนเลย! หากหลวงตายังอยู่ก็ดี ได้กินข้าวแบบนี้แล้วจะต้องหัวเราะจนสวด อมิตพุทธแน่ๆ”
นึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ความตะกละของฟางเจิ้งถูกความคิดจืดจางกลบลงไป
ขณะเดียวกันมีคนสามคนขึ้นมาบนเขา
“ผู้ใหญ่บ้าน เรื่องนี้มันลึกลับไปหน่อยมั้ง? ไม่ใช่ว่าวัดเอกดรรชนีใกล้พังแล้วเรอะ? ช่วงก่อนพวกเรายังมาดูกันอยู่เลย แถมผมยังเป็นคนส่งเอกสารจากรัฐบาลให้เองด้วย? นักศึกษาพวกนั้นบอกว่าพวกเราหลอกพวกเขา? แถมยังบอกอีกว่าวัดเอกดรรชนี ใหม่เอี่ยม…นี่มันไร้สาระชัดๆ” ชายสวมชุดขนสัตว์สีฟ้าเข้ม สวมหมวกแบนราบพูดบ่น
“เอาเถอะ บ่นมาตลอดทางแล้ว พูดอยู่ได้จะมีประโยชน์อะไร? ไปดูก็รู้เองไม่ใช่เรอะ?” นี่คือ ผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยจื่อในหมู่บ้านตรงตีนเขาผู้สวมกางเกงสีสันพรางตา รองเท้าผ้าใบ สวมเสื้อเชิ้ตเหลืองอ่อนคลุมด้วยเสื้อโค้ตสีเขียวอ่อน คนที่พูดก่อนหน้านี้คือนักบัญชีหยางผิงในหมู่บ้าน อีกคนเป็นชายสูงอายุดูลึกลับยากจะคาดเดา นั่นคือ เสมียนถานจวี่กั๋ว
เดิมทีสามคนนี้ไม่ได้จะขึ้นเขาเอกดรรชนี ถึงอย่างไรภูเขาก็ค่อนข้างชัน บันไดขึ้นเขามีตะไคร่สีเขียวยึดครองพื้นที่ หากไม่ระวังจะลื่นตกเขาถึงแก่ชีวิตได้ง่ายๆ ตอนนี้มีแค่นายพรานชราจำนวนหนึ่งกับผู้รักงานอดิเรกเป็นบางครั้งที่จะมาปีนเขาเอกดรรชนี
ส่วนมาไหว้พระอะไรบนเขาก็มีเพียงผู้สูงอายุที่ยังไม่ลืมภาพในอดีตอีกเล็กน้อยที่จะมา ตอนนี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่อยู่แล้ว ผู้สูงอายุเหล่านั้นจึงตัดภาพในอดีต ไม่มาอีก
สามคนคุยกันจนมาถึงยอดเขา พอเงยหน้าขึ้นก็ตะลึงงัน
“หยางผิง นี่มันวัดเอกดรรชนีที่กำแพงผุพังแถมกระเบื้องแตกอย่างที่แกบอกแน่เหรอ? หากนี่เป็นวัดผุพังกระเบื้องแตกจริงๆ เล้าหมูบ้านเราก็คงสู้ไม่ได้แล้วล่ะ!” ยังไม่ทันที่ผู้ใหญ่บ้านจะกล่าว ถานจวี่กั๋วก็มีท่าทีขมึงทึง
ตอนที่ 12 ข้าวผลึก
ฟางเจิ้งนั่งอยู่หน้าประตูวัดตัวเองพลางถอนหายใจ “นี่ระบบ ฉันต้องเป็นนักบวชไปทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ?”
“จี้กงกินเนื้อกินเหล้าได้ หากพระธรรมนายสูงส่งพอแล้วจะทำได้โดยธรรมชาติเช่นกัน หากรักในพระพุทธก็จะมีภรรยามีลูกได้” ระบบตอบอย่างหมิ่นเหม่
แต่ฟางเจิ้งกลับไม่คิดอย่างนั้น ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าขี้โม้ รักในพระพุทธก็ต้องอยู่เป็นโสดไม่ใช่เหรอ? อย่างมากสุดก็แค่ป้าบๆๆ กับผู้หญิงหรือแค่แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ไม่ใช่จะมีภรรยามีลูกกันสักหน่อย นายบอกมาเถอะว่าชีวิตนี้ฉันจะสึกได้หรือเปล่า!”
ระบบเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ “หากนายสำเร็จอรหันต์[1]ก็จะสึกได้ตลอดเวลา”
“สำเร็จอรหันต์…ดี นี่ถือว่าเป็นเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิต ถึงจะเลือนรางอยู่บ้างก็เถอะ…” ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาล้มเลิกความคิดที่จะถามต่อ ตอนนี้ต้องคิดถึงปัญหาเรื่องปากท้อง โอ่งข้าวเหลือก้นโอ่งแล้ว ผักดองก็มีไม่มาก…
“ระบบ ถือว่านายชนะ นายขายเมล็ดยังไง?” ฟางเจิ้งถอนหายใจ ลงเขาไม่ได้ก็ใช้เงินแปดร้อยไม่ได้ ได้แต่ซื้อกับร้านขายของระบบ
“เนื่องจากนายไม่มีความสามารถพอในการเปิดภารกิจของระบบที่มากกว่านี้ ดังนั้นตอนนี้นายจึงได้แต่ซื้อข้าวผลึกจากฉัน หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวน” ระบบตอบ
“เวร…หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวน? ทำไมนายไม่ปล้นกันเลยล่ะ?” ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว
“ข้าวผลึกมีปริมาณที่มาก เติบโตเร็ว” ระบบตอบอย่างมั่นใจ
“เติบโตเร็วแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมล็ดนึงให้ข้าวกี่เม็ด? คงไม่พอกับข้าวมื้อนึงล่ะมั้ง?” ฟางเจิ้งถามต่อ
“ข้าวผลึกไม่ใช่ข้าวธรรมดา เป็นข้าวที่นักบวชใต้เขาพระสุเมรุ[2]ใช้ประทังชีวิต หนึ่งเมล็ดให้ผลหนึ่งจิน[3]! ไร้สิ่งสกปรก เป็นประกายแวววาว เมื่อกินแล้วจะไม่เกิด เศษกากใดๆ จะถูกร่างกายสูบไปทั้งหมด ร่างกายจะได้รับพลังงานเพราะกินข้าวผลึก และจะไม่เกิดการเจ็บป่วยเพราะมัน ข้าวแบบนี้ หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวนแพงรึไง?” ระบบถามกลับ
ฟางเจิ้งตอบไม่ถูก จึงพูดด้วยหน้าเหยเก “หากเป็นอย่างที่นายว่าจริงๆ ก็คงไม่แพง ซื้อมาลองสักเมล็ดก่อนก็ดี ถามอีกข้อ ที่นายบอกว่าไม่มีเศษกาก หมายความว่ากิน ข้าวผลึกแล้วจะไม่ต้องถ่ายเหรอ?”
“ใช่!”
“เจ๋ง!” ฟางเจิ้งยกนิ้วโป้งให้
ฟางเจิ้งกำลังคิด แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจึงลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่เมื่อกล่าวไป ในมือฟางเจิ้งมีเมล็ดข้าวยาวหนึ่งเซนติเมตรเพิ่มมาหนึ่งเมล็ด สีสันแวววาว อิ่มเอิบเต็มเปี่ยม เมล็ดข้าวไม่มีเปลือกนอก มองยังไงก็ไม่คล้ายเมล็ดปกติ ข้าวบ้านใครแบบนี้คงจะเจ๊งไม่มีเสื้อใส่ล่ะมั้ง?
ขณะฟางเจิ้งงึมงำในใจก็หยิบเงินออกมาจากในถุง พูดในใจ ‘เหมือนว่าระบบจะไม่ได้เก็บเงินไป หรือว่าเห็นเราเป็นไต้ซือเลยให้ฟรี?’
แต่แล้วเงินกลับเหลือเพียงห้าร้อยหยวน!
“ระบบ นายขโมยเงินฉัน!” ฟางเจิ้งร้อนรนแล้ว กำลังทรัพย์เขามีแค่นี้ อย่าว่าแต่ร้อยหยวนเลย แค่สตางค์เดียวก็เป็นเงินประทังชีวิต! ด้วยความร้อนใจจึงเดินไปหยิบน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมดในอึกเดียว
“ติ๊ง! ส่งเมล็ดข้าวผลึกแล้ว จะเก็บเงินโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้จะคิดค่าบริการ อีกหนึ่งร้อย ค่าบริการส่งเร็วหนึ่งร้อย”
“พรวด!” ฟางเจิ้งพ่นน้ำออกมาเป็นควันเต็มอากาศแล้วกล่าวด้วยความปวดร้าว “ยังมีค่าบริการอีกเหรอ? แถมมีค่าบริการส่งเร็วอีก? ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้? แล้วยังมีค่าอะไรอีกไหม?!”
“นายไปฝากหรือถอนเงินที่ธนาคาร หรือโอนเงินไม่มีค่าบริการเลยเรอะ? ฉันเก็บนิดเก็บหน่อยมีปัญหารึไง? อีกอย่างนายบอกว่าส่งเร็ว นายนี่มันขี้งกจริงๆ ฉันข้ามผ่านเวลามาไม่รู้กี่ปีแสงจากสามพันมหาโลก ส่งถึงในวินาทีเดียว ทั้งยังรับประกันสินค้า ไม่มีหลอกลวงทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ แบบนี้แพงเรอะ?” ระบบถามกลับไม่พัก
ฟางเจิ้งอ้าปากค้างพูดไม่ออกอีกครั้ง คิดตามค่าส่งบนโลกแล้ว หากข้ามผ่านโลกจริงๆ เดาว่าขายโลกก็ยังไม่พอค่าส่ง
“เฮอะๆ…ถ้าอย่างนั้นฉันก็กำไรล่ะสิ” ฟางเจิ้งพูดเสแสร้ง
“ยินดีด้วย ตอนนี้กินอาหารมื้อใหญ่ได้แล้ว ฉลองกันหน่อย”
“อะ…” คำหยาบมาถึงปากแล้วแต่ก็อดกลั้นไว้ จะได้ไม่เรียกฟ้าผ่าจากระบบมาอีก แต่ก็ยังด่าอยู่ในใจ ‘ไอ้เวร!’
ระบบอำมหิตที่อธิบายอะไรไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดก็ตามแบบนี้ ฟางเจิ้งได้แต่กลั้นใจยอมรับ ถึงอย่างไรสภาพการณ์ก็เหนือกว่า
หลังจัดการความคิดแล้วก็หยิบข้าวผลึกหนึ่งเมล็ดขึ้นมา เดินไปหลังลานวัด เมล็ดเดียว ไม่จำเป็นต้องออกไปปลูก แค่หากระถางใบใหญ่แล้วฝังลงดินก็พอ จากนั้นรดน้ำ ที่เหลือก็แค่สวดภาวนา “อมิตพุทธ”
ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ฟางเจิ้งไปอ่านพุทธคัมภีร์ ในเมื่อจากนี้ต้องเป็นนักบวช ก็ต้องเป็นมืออาชีพหน่อย ถึงเขาจะไม่มีพุทธคัมภีร์ที่ลึกล้ำอะไร แต่การอ่านหนังสือมาก อย่างน้อยก็รับประกันว่าภายภาคหน้าตอนที่แลกเปลี่ยนความรู้กันจะได้ไม่ทิ้งห่างกันไปไกลนัก…
ฟางเจิ้งไม่ได้กินมื้อกลางวัน แต่ดื่มน้ำเย็น นอนกลางวันพักหนึ่ง หิวจนไม่หิวแล้ว
มื้อเย็น ฟางเจิ้งต้มโจ๊กกินหนึ่งหม้อ ฉีกผักป่าที่เก็บมาตอนบ่าย กินคู่กับผักดองเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นมื้อเย็นที่สมบูรณ์
ก่อนเข้านอนยังไปดูข้าวผลึกในกระถางใหญ่ แต่ก็ยังเป็นดิน ไม่เปลี่ยนไปเลย ก่อนพึมพำ “ระบบไม่น่าจะหลอกฉันหรอกมั้ง? รอวันพรุ่งนี้ครบหนึ่งวันแล้วถ้าไม่สุก ฉันจะให้คะแนนสินค้าแย่แล้วก็คืนสินค้าด้วย!”
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่เขามั่นใจด้วยความที่ระบบเป็นเจ้าของกิจการ จะให้คะแนนแย่ยังไง จะฟ้องร้องยังไงก็เป็นไปไม่ได้ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองเท่านั้น
ฟางเจิ้งกอดความสงสัยนี้ไว้เดินกลับเข้าไปนอนในห้อง
เข้าสู่กลางดึก แสงจันทร์ส่องลงบนกระถางดอกไม้ หนึ่งเค่อต่อมากระถางเกิด การเคลื่อนไหว ดินเรียบนิ่งค่อยๆ โป่งขึ้น จากนั้นมีหน่ออ่อนผุดออกมา แกว่งไกว บิดตัวเติบโตขึ้นไม่หยุด ไม่กี่นาทีมีความสูงหนึ่งเมตร ทั้งยังมีท่าทีจะโตอีก!
วันที่สอง ฟางเจิ้งตื่นเพราะเสียงไก่ขัน สะลึมสะลือลุกขึ้นมา เปิดประตูออกไปก็เห็นหมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่ในลาน ในกรงเล็บกดแม่ไก่แก่เอาไว้ตัวหนึ่ง แม่ไก่พยายามดิ้นไม่หยุด แต่ทุกครั้งหนีไปได้ไม่กี่เมตรก็ถูกหมาป่ากระโจนเข้ามาดึงกลับไป เห็นได้ว่ามันกำลังเล่นอยู่…
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก เดินเข้าไปชี้หน้าหมาป่าเดียวดาย “มาเล่นไก่ ตอนเช้าตรู่แบบนี้…เอ่อ…ชั่วร้ายจริงๆ อมิตพุทธ” ฟางเจิ้งรีบท่องบทสวดเพื่อสงบจิตใจ จากนั้นเอ่ยต่อ “นายจับไก่ตัวนี้มากินได้ แต่จะทรมานมันไม่ได้รู้ไหม?”
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
ฟางเจิ้งตะลึงงัน “นายจับไก่มาให้ฉันเหรอ?”
หมาป่าเดียวดายพยักหน้ารัวๆ เหมือนกำลังพูดว่า ใช่ จับมาให้นาย รีบกินเถอะ มันอร่อยนะ
ฟางเจิ้งมองแม่ไก่อ้วนกลมก่อนลูบหัวตัวเอง รู้สึกเศร้าในใจ แม้จะอยากกินเนื้อสัตว์แค่ไหนก็ตาม ก็ได้แต่อดกลั้นไว้ ด่าคนถูกฟ้าผ่า ขืนกินเนื้อสัตว์ ผีก็รู้ว่าระบบจะลงโทษเขายังไง คงจะจับลงหม้อน้ำมัน?
คิดๆ แล้วฟางเจิ้งก็หวาดกลัว เลยพูดอย่างเคร่งขรึม “อมิตพุทธ หมาป่า นายกินไก่เพราะสัญชาตญาณ อีกอย่างนายไม่เชื่อพุทธ ไม่ใช่นักบวช เลยกินเนื้อได้ แต่ฉันเป็นนักบวช นักบวชฆ่าสัตว์กินเนื้อไม่ได้ หากนายจะกินไก่ตัวนี้ก็กิน หากไม่กินก็ปล่อยไป”
หมาป่าเดียวดายอึ้ง จากนั้นก็งับไก่เตรียมจะไป
ฟางเจิ้งเห็นร่างอ้วนอวบของแม่ไก่ ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่เหมือนสัตว์ป่า จึงตบป้าบเข้าที่หัวแล้วเรียกไว้ “เดี๋ยว! นายได้ไก่ตัวนี้มาจากที่ไหน? บนเขาเอกดรรชนีไม่มีนี่” ฟางเจิ้งพูดจบก็ว่าต่อทันใด “บนเขาเอกดรรชนีไม่มีไก่!” กล่าวในใจต่อ ‘อมิตพุทธ ชั่วร้าย อีกแล้ว…’
[1] บรรลุอรหันต์ คือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นพระผู้ประเสริฐสูงสุดผู้ซึ่งละกิเลสสิบประการ
[2] เขาพระสุเมรุ คือภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล เป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพและภูมิต่าง ๆ ของสัตว์โลก ตั้งอยู่เหนือน้ำ 84,000 โยชน์ มีภูเขารองรับ 3 ลูก
[3] หนึ่งจินเท่ากับ ห้าร้อยกรัม
ตอนที่ 11 มีเงินแล้ว!
“ในอุโบสถห้ามใช้ส้นเท้าเดิน ห้ามพิงผนัง พิงโต๊ะหรือยืนเท้าสะเอว แล้วก็ห้าม ยันผนังหรือถ่มน้ำลายอะไรพวกนี้ ตอนนั่งก็ห้ามนั่งอ้าขา เวลายืนก็ต้องวางมือ หรือประสานมือยืนตรง เพื่อแสดงความเคารพ
ในอุโบสถห้ามหาวนอน ห้ามถ่มน้ำลาย ห้ามผายลม เป็นต้น หากทนไม่ไหวก็ควรออกไปนอกอุโบสถ ตอนหาวก็ควรจะใช้แขนเสื้อปิดปาก ตอนถ่มน้ำลายก็ให้ใช้ กระดาษทิชชูปิดปากไว้ ห้ามเข้าๆ ออกๆ จะรบกวนทุกคน
แน่นอนว่าวัดเอกดรรชนีของอาตมาไม่มีคนมาจุดธูปเลย จึงไม่เกิดเรื่องรบกวนทุกคน”
พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งถอนหายใจ หว่างคิ้วมีความหดหู่ใจเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง พูดถึงตรงนี้เขาเพิ่งนึกออกว่าภารกิจที่ระบบมอบให้เขายังทำไม่สำเร็จเลย! นั่นคือ จุดธูปสิบดอก ในหนึ่งเดือน ดูเหมือนง่าย แต่ทำจริงยากมาก
ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นดังนั้นจึงหยั่งเชิง “ไต้ซือ กังวลเรื่องจุดธูปหรือคะ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่”
“ไต้ซือ ท่านเก่งกาจขนาดนี้ ทำนายภัยความเป็นตายได้ ทั้งยังสั่งสอนสัตว์ป่าได้อีก เป็นพระอาจารย์ที่มีความสามารถแท้จริง ยังกลัวเรื่องไม่มีคนมาจุดธูปอีกหรือคะ? เดี๋ยวพวกเรากลับไปแล้วจะช่วยท่านประกาศให้ ถึงตอนนั้นรับรองว่าวัดนี้จะต้องมี แสงธูปสว่างไสว!” หม่าเจวียนพูดเสริม
จ้าวต้าถงกับหูหานก็พากันพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็เริ่มปรึกษากันถึงกลยุทธ์ในการป่าวประกาศ อย่างเช่นส่งรูปภาพลงบนอินเทอร์เน็ต เขียนบรรยายลงกลุ่มQQ[1] และก็จัดหมู่คณะให้มาเที่ยวกันอีกครั้ง…
ฟางเจิ้งฟังจนงง แต่ก็ไม่ได้อะไรนัก นักศึกษาเหล่านี้ทรมานเขาจริงๆ ถึงอย่างไร ตอนเขาเรียนหนังสือก็โดดเรียนตลอด…
ระหว่างนั้นพวกเขายังถามถึงปัญหาเกี่ยวกับพระธรรม ฟางเจิ้งก็ยังตอบได้ ความจริงแล้วอันไหนตอบไม่ได้ก็จะยิ้มและเงียบไป ให้อีกฝ่ายคาดเดาเอา
‘พอมาถึงคราวต้องใช้ความรู้ ทำไมฉันถึงไม่ตั้งใจเรียนกันนะ เรื่องง่ายๆ ก็ยังพออาศัยเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อก่อนได้ แถแบบเป็นพิธีไป ซับซ้อนเกินไปจริงๆ ดูแลทางนี้ ทางนั้นก็ดูแลไม่ถึง การเป็นไต้ซือคงไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันก็ควรจะอ่านหนังสือเยอะๆ แล้ว เติมเต็มความรู้บ้าง’ ฟางเจิ้งมองคนเหล่านี้ที่หลับไปแล้วพลางปลงในใจ
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบเชียบ วันที่สองฟ้าสาง ฟางเจิ้งถึงกลับเข้าไปในวัด
ในวัดมีเขาคนเดียว งานที่ต้องทำทุกวันก็มีไม่น้อย ทำวัตรเช้าขาดไม่ได้ ทำความสะอาดอุโบสถก็ขาดไม่ได้ และยังต้องทำอาหารเช้าอีก จึงยุ่งมากจริงๆ
อาหารเช้าเป็นโจ๊กหนึ่งชามกับผักดองเค็มจานเล็ก ถึงจะยากจนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งก็ยากจนจริงๆ และก็หมดทางเลือกแล้ว
ส่วนหมาป่าเดียวดาย ฟางเจิ้งให้มันออกไปหาอาหารกินเอง ตอนนี้เขาเลี้ยงมันไม่ไหว หมาป่าเป็นฝ่ายหากินเองมาตลอด…ทว่าเขาก็กำชับมันแล้วว่าห้ามโจมตีคน และก็ห้ามลงเขาไปขโมยของ ได้แต่ล่าสัตว์อยู่บนเขาเองเท่านั้น
ฟางเจิ้งกินโจ๊กไปสามชามติดกันจนตัวเองยังรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยไปบ้าง ก่อนลูบท้อง ที่อิ่มจนนูนออกมา ขณะกำลังจะไปบูชาพระกลับได้กลิ่นธูป! ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบโตมาในวัดเขาชินกับกลิ่นธูปแล้ว! ชัดเจนว่านี่คือกลิ่นธูปหลังจุดไฟแล้ว!
‘นี่ไม่ใช่ธูปธรรมดา นี่มันธูปชั้นดี!’ ฟางเจิ้งคาดการณ์ได้ทันทีก่อนพูดขึ้น “ธูปชั้นดี? ขนาดฉันยังทำใจใช้ธูปชั้นดีไม่ได้เลย หรือว่าจะมีญาติโยมมา? มีธูปมาด้วย?”
ฟางเจิ้งวิ่งไปยังอุโบสถด้วยความตื่นเต้น เห็นธูปชั้นดีสี่ดอกปักอยู่ในกระถางธูป ควันจางๆ ลอยโชย เขาสาบานว่านี่เป็นควันที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา!
แต่ว่าในอุโบสถไม่มีญาติโยม ฟางเจิ้งมองซ้ายแลขวาไม่เจอใคร พลันนึกอะไรบางอย่างออกจึงหัวเราะ “ทำดีได้ดีจริงๆ นี่น่าจะเป็นธูปของพวกฟางอวิ๋นจิ้ง”
ฟางเจิ้งพูดจบก็เดินเข้าอุโบสถ เตรียมจะถูพื้น แต่พริบตาเดียวก็อึ้งไป ตรงหน้ากระถางธูปมีเงินวางไว้!
ฟางเจิ้งรีบหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด เป็นธนบัตรสีแดงจริงๆ! นับดูแล้วมีแปดใบ ก็แปดร้อยหยวน!
‘เยี่ยม พวกนักศึกษาเดี๋ยวนี้รวยกันจริงๆ! จุดธูปก็ใช้ธูปชั้นดี หนึ่งดอกสองร้อยหยวนเชียว! เดี๋ยวนะ ฉันเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง’ ฟางเจิ้งอุทานแล้วรีบมองอุโบสถ สุดท้ายตบป้าบเข้าที่หน้าผาก “พี่ระบบ ฉันจำได้ว่าในอุโบสถมีกล่องบริจาคด้วยนี่? นายเอากล่องบริจาคไปไว้ไหนแล้ว?”
“มันปนเปื้อนสิ่งไม่ดีมากเกินไป ทิ้งไปแล้ว หากร่างสถิตต้องการก็ซื้อกล่องบริจาคได้ที่ระบบ” ระบบตอบกลับ
“นี่นาย นั่นมันของทำมาหากินเลยนะ! นายกลับทิ้งไปเรอะ แล้วฉันจะรับเงินจากไหน? ไม่มีเงิน นายจะให้ฉันกินดินรึไง?” ฟางเจิ้งร้อนใจ เดิมทีการจุดธูปก็ไม่ได้เฟื่องฟูนัก นานๆ จะมีมาสักสองคน แต่กลับไม่มีกล่องบริจาค เป็นใครก็ต้องขาดรายได้ตรงจุดนี้ ถึงยังไงก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเนื้อแท้อย่างนักศึกษาสี่คนนั้น
“บนภูเขาเอกดรรชนีมีที่ดิน ร่างสถิตปลูกอาหารกินเองได้” ระบบตอบกลับอย่างมั่นใจ
ฟางเจิ้ง “ไอ้เวรเอ๊ย นายบ้าไปแล้วเหรอ? นี่มันฤดูใบไม้ร่วง ให้ฉันทำนาเนี่ยนะ? ข้าวไม่ออกฉันก็เป็นโครงกระดูกกันพอดี? อีกอย่าง ต่อให้ปลูกจริงๆ ก็ไม่มีเงินซื้อ เมล็ดหรอก!”
เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าลงมาจากอากาศลงตรงหน้าฟางเจิ้ง
“ด่าระบบจะถูกฟ้าผ่า ทุกวันจะเตือนสามครั้ง หากเกินกว่านั้นจะผ่านาย” ระบบโต้ตอบ
ฟางเจิ้งยกนิ้วกลางให้
เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง ส่งเสียงดังสนั่นจนแก้วหูดังอื้ออึง แววตาพร่ามัว จะหมดสติ
“ทำมือเป็นการดูหมิ่นก็เท่ากับด่าว่าทางปาก นอกจากนี้ พลานุภาพของสายฟ้าจะรุนแรงขึ้นด้วย” ระบบเตือนอีกครั้ง
ฟางเจิ้งหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ “เอาเถอะ! พวกเรามาคุยกันเรื่องปัญหา ปากท้องดีกว่า ไม่มีเมล็ดแล้วฉันจะปลูกยังไง?”
ระบบตอบ “ร่างสถิตซื้อเมล็ดจากฉันได้ ปลูกได้สี่ฤดูตลอดปี วันเดียวออกผล จำนวนเยอะ คุณภาพดี ไม่มีสิ่งเจือปนด้วย แถมยังเพิ่มสมรรถนะร่างกายให้อีก กินไป ไม่มีข้อเสียแน่นอน ส่วนเงินที่จะซื้อเมล็ด นายก็มีเงินอยู่ในมือไม่ใช่เหรอ?”
ฟางเจิ้งก้มหน้ามองเงินแปดร้อยหยวนในมือก่อนรีบเก็บไป “นายอย่าหวัง! ฉันจะลงเขาไปซื้อเอง!”
“ขอแนะนำอย่างเป็นมิตร เจ้าอาวาสวัดจะออกจากวัดไปไกลไม่ได้ พื้นที่การกระทำของนายจะมากขึ้นตามการยกระดับวัด ตอนนี้นายออกจากวัดเอกดรรชนีไม่ได้” ระบบพูดเนิบๆ
“ออกไม่ได้? หมายความว่าไง? นี่ฉันถูกนายจับตัวไว้เหรอ? ฉันออกแล้วจะเป็นยังไง? นายจะไปจากฉันทันทีรึเปล่า?” ฟางเจิ้งหยั่งเชิง ในใจตื่นเต้นเล็กน้อย หากหนีจากระบบได้จริงๆ เขาจะไปแน่! ชีวิตนี้ไม่หวังอะไรแล้ว แค่อยากสึก แต่งงานมีลูกใช้ชีวิตอย่าง สงบสุข!
“นายลองดูได้” ระบบว่าต่อ
“ลองก็ลองวะ!” ฟางเจิ้งพูดจบก็พุ่งออกไป พรวดเดียวมาถึงตีนเขา มองป้ายหินที่เขียนว่าเอกดรรชนีซึ่งถูกลมฝนกัดกร่อนจนเสียหายอย่างหนักตรงตีนเขา เขาพลันหยุดชะงัก ถึงไม่รู้ว่าคำว่าลองดูได้จากระบบจะหมายความว่ายังไง แต่เขาก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย ความไม่รู้คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
หลังตรึกตรองอยู่นานก็บ่นไปทีหนึ่ง “ยอมก็ได้!”
จากนั้นฟางเจิ้งก็กลับขึ้นเขามาด้วยความขมขื่น
[1] QQ โปรแกรมโซเชียลชนิดหนึ่งที่ใช้คุยกันเหมือน LINE
ตอนที่ 10 ไต้ซือพักแรมกับญาติโยม
ฟางเจิ้งมองสองคนนั้นแวบหนึ่งแล้วยิ้มตอบกลับ “พวกโยมกลัวเขาทำร้ายอีกรึ?”
สองคนนั้นยิ้มอย่างเก้อเขิน
ฟางเจิ้งพยักหน้า “เอาแบบนี้ คืนนี้อาตมาจะอยู่กับพวกโยมข้างนอก”
“เอ่อ…ไม่ได้เด็ดขาดเลยไต้ซือ ท่านสูงส่ง กลับไปพักเถอะ พวกเราอยู่กันเองได้ ยังไงพวกเราก็มีกันสี่คน” จ้าวต้าถงรีบค้าน
ฟางอวิ๋นจิ้งเสริม “ไต้ซือ ท่านกลับไปนอนเถอะ พวกเราไม่เป็นไร”
หม่าเจวียนก็เอาด้วย “ไต้ซือ ท่านอยู่ที่นี่ พวกเรารู้สึกเกรงใจน่ะ”
หูหานก็จะพูดเช่นกัน แต่ว่ามีเสียงหอนของหมาป่าดังแว่วมาจากในภูเขาไกลๆ ทำเอาเขาตกใจกลัวจนเปลี่ยนคำพูดไป “ฉันว่าให้ไต้ซืออยู่ก็ดีนะ…”
สามคนนั้นมองมาด้วยความโมโหทันที มองจนเขาก้มหน้าลงไม่กล้าออกเสียง
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “เอาเถอะ อาตมาเป็นนักบวช ไม่ถือเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน เอาแบบนี้แหละ”
พวกจ้าวต้าถงก็หวังให้ฟางเจิ้งอยู่เหมือนกัน พวกเขากลัวหมาป่าจริงๆ มีฟางเจิ้งอยู่พวกเขาก็อุ่นใจ
สุดท้ายฟางเจิ้งอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงถอนหายใจโล่งอก
ล้อมรอบกองไฟ ให้อาหารหมาป่า มองดาวเต็มฟ้า แสงดาวส่องลงมาทำให้หัวโล้นของฟางเจิ้งดูเด่นตาเป็นพิเศษ แต่กลับทำให้คนเหล่านี้จิตใจสงบ
เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้คนเหล่านี้ปลงอนิจจังอยู่ภายใน การเดินป่าครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า พวกเขาคุยกันอยู่พักหนึ่งก็เริ่มคุ้นชิน
จ้าวต้าถงถามขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ไต้ซือ ปกติมาถึงวัดแล้วต้องให้ความสำคัญเรื่องอะไรบ้างครับ?”
“ต้าถง นายไม่นับถือพุทธไม่ใช่เหรอ นับถือพระเยซูนี่? ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?” หม่าเจวียนถาม
หูหานหัวเราะ “ใช่ ก่อนหน้านี้นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากเข้าวัด?”
จ้าวต้าถงตอบกลับอย่างมีเหตุผล “คนละเวลากัน ก็ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าบนเขามีเทพอยู่จริงๆ นี่ ตอนนี้รู้แล้ว ก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว ตอนนี้ฉันกลับมานับถือพุทธแล้ว อมิตพุทธ จากนี้ไปพวกเธอต้องเรียกฉันว่าไต้ซือต้าถง”
“ถุย! นายเป็นไต้ซือเหรอ กินเนื้อวัวเป็นตัว แถมยังดื่มเหล้าดีกรีสูงหลายขวดอีก หากนายบรรลุธรรมจริงๆ ผีนั่นแหละที่จะเชื่อ” หม่าเจวียนเปิดโปงอดีตอันน่ารังเกียจอย่างไม่เกรงใจ
จ้าวต้าถงกลับไม่คิดอย่างนั้นจึงตอบกลับ “เธอเคยได้ยินประโยคนี้ไหม? เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ ในใจฉันมีพุทธ กินเนื้อดื่มเหล้านิดหน่อยจะเป็นอะไร? จริงไหมครับไต้ซือ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วถามกลับ “โยมรู้ไหมว่าคำพูดประโยคนี้มาจากใคร?”
จ้าวต้าถงอึกอักทันที เกาหัวพลางตอบกลับ “ผมเคยได้ยินมา ไม่รู้จริงๆ ว่าใครพูด”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ปุถุชนเข้าใจกับคำพูดประโยคนี้ไปมาก แต่กลับไม่รู้ความหมายแฝงของมัน นี่เป็นสิ่งที่ผิด ‘เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ’ เดิมทีเป็นตำนานอันน่าเศร้า พูดถึงจางเซี่ยนจง[1]โจมตีเมืองอวี๋ในราชวงศ์หมิง และก็เป็นช่วงที่น่าสนใจในสมัยนี้ เขาตั้งค่ายในวัดนอกเมือง บังคับให้นักบวชในวัด กินเนื้อ ตอนนั้นมีหลวงจีนรูปหนึ่งนามว่าพั่วซาน[2] บอกว่าขอเพียงเจ้าบุกเมืองแล้วไม่ฆ่าชาวเมือง ฉันก็จะกินเนื้อ ผลคือ จางเซี่ยนจงตอบรับเขา ดังนั้นหลวงจีนพั่วซานถึงกินไปด้วยพูดประโยคนี้ไปด้วย เขาผิดศีลเพื่อช่วยชีวิตคนหลายพันคน ไม่ได้อยากกินเนื้อจริงๆ”
“ไต้ซือ ผมไม่เคยได้ยินตำนานนี้มาก่อนเลย แต่เคยได้ยินมาว่าคำพูดนี้มาจาก ไต้ซือเต้าจี้หรือจี้กง[3]ในตำนานพื้นเมือง ถูกไหม? อีกอย่าง ในตำนานบอกไว้ว่าจี้กง กินเนื้อดื่มเหล้าก็ยังบรรลุสภาวะจิตหลุดพ้นได้ ถูกไหมคะ?” ฟางอวิ๋นจิ้งพลันกล่าวขึ้น ถึงจะเป็นการถาม แต่กลับมีความหมายโต้เถียงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งไม่คิดอย่างนั้นจึงยิ้มและแสดงความเคารพตอบ “ปุถุชนรู้เพียงประโยคนี้ของจี้กง แต่ไม่รู้ว่ายังมีประโยคนี้ต่อ ‘หากปุถุชนเรียนรู้ข้า ก็เหมือนเข้าสู่วิถีมาร’ ‘ผู้ปฏิบัติตามข้าลงนรก ผู้ติเตียนข้าขึ้นสวรรค์’”
“นี่มันหลักการอะไรกัน? ทำไม่จี้กงถึงกินเนื้อดื่มเหล้าได้ คนอื่นทำไม่ได้เหรอคะ?” หม่าเจวียนถาม
ฟางเจิ้งพูดต่อ “จุดยืนของ ‘เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ’ นี้ปะปนกับความสูงส่งกับธรรมดา คุณธรรมและการฝึกคุณธรรม เป็นความคิดที่ไม่ดี ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีธรรมะ ไม่ลดลงในความธรรมดา ไม่เพิ่มขึ้นในความสูงส่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ในฐานะคนธรรมดา ความกลัดกลุ้มจะปกคลุม ธรรมะเผยออกมาไม่ได้ หากตัดชีวิต กินเนื้อจะต้องป่วยและมีชีวิตสั้น ภพหน้ายังต้องเป็นเดรัจฉานชดใช้หนี้ชีวิต
มีเพียงนักปราชญ์สูงส่งที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เฉพาะเท่านั้นถึงกินเนื้อเพื่อโปรดสัตว์ ใช้ร่างที่ห่อด้วยนักปราชญ์ แต่ในนี้มีความลับที่คนธรรมดาไม่รู้ โยมรู้ไหม จี้กงกินนกพิราบที่ตายแล้วสองตัวก็พ่นออกมาเป็นนกพิราบที่มีชีวิตสองตัว หากปุถุชนทำได้ ก็กินเนื้อได้ หากทำไม่ได้ก็จงถือศีลไว้เถอะ! สิงโตกระโดดข้ามหน้าผาไปได้ กระต่ายกระโดดก็มีแต่ตาย คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติเลียนแบบผู้บรรลุขั้นสูง พวกเราบำเพ็ญเพียรก็เพื่อการโปรดทุกชีวิต ทุกชีวิตไม่ใช่แค่คน แต่ยังมีสรรพสัตว์ อย่างเช่น หมาป่าตัวนี้”
จ้าวต้าถงฟังจนงงไปหมด แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ปรบมือส่งเสียงโห่ร้อง “ดี! พูดได้ดีจริงๆ ครับ!”
“นายฟังเข้าใจด้วยเหรอ?” หม่าเจวียนมองค้อนจ้าวต้าถง
จ้าวต้าถงเกาหัว อึกอัก “ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันรู้ว่ามันต้องถูกแน่”
“ทุเรศจริงๆ” หม่าเจวียนด่าไปทีหนึ่ง แต่ประกายแววตาที่มองฟางเจิ้งมีประกายดาวเล็กๆ เพิ่มมาหลายดวง
ฟางอวิ๋นจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ที่แท้ประโยคนี้ก็เป็นคำบอกเล่าผิดๆ เฮ้อ ไม่รู้ว่าทำให้เข้าใจผิดกันไปกี่คนแล้ว ขอบคุณไต้ซือมากค่ะที่ช่วยชี้แนะ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่เป็นไรโยม”
หูหานพูดต่อ “ไต้ซือ เข้าวัดมีกฎอะไรหรือเปล่าครับ? ผมได้ยินมาว่ากฎวัดมีเยอะมาก”
ฟางเจิ้งยิ้ม “มีเยอะมาก แต่ผู้ไม่รู้ไม่ผิด พระพุทธองค์ไม่โทษผู้ไม่รู้”
“ไต้ซือ ท่านบอกพวกเราหน่อยเถอะว่ามีกฎอะไรบ้าง” หม่าเจวียนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฟางเจิ้งยิ้ม “มีเยอะมาก อย่างเช่นอุโบสถที่พวกโยมเข้าไปก่อนหน้านี้ก็มีกฎมากมาย ประตูมีซ้ายกลางและขวาสามบาน ควรจะเข้าประตูทางซ้ายขวา ห้ามเดินเข้าประตูกลาง ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ หากเข้าประตูซ้ายก็ให้ก้าวเท้าซ้ายก่อน ส่วนประตูขวา ก็ให้เท้าขวาก่อน
เข้าอุโบสถ นอกจากพุทธคัมภีร์ พระพุทธรูปกับของบูชาแล้ว ห้ามนำสิ่งอื่นเข้าไป อุโบสถไม่ใช่จะเข้าไปได้ทุกเวลา มีเพียงตอนสวดมนต์ ไหว้พระ ทำความสะอาดและ เติมธูปเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ห้ามใช้อุโบสถเป็นทางเดินผ่านไปที่อื่นตามอำเภอใจ
ก่อนเข้าอุโบสถต้องชะล้างกายและใจ ล้างสองมือ ตอนที่เข้าไปห้ามมองซ้ายแลขวา ห้ามมองไปรอบๆ หลังไหว้พระเสร็จแล้วถึงมองใบหน้าพระพุทธรูปด้วยความศรัทธาได้ ให้คิดในใจว่า หากได้เห็นพระพุทธ ขอให้ทุกชีวิตมองเห็นพระพุทธอย่างไร้สิ่งใดกีดขวาง
ในอุโบสถจะเดินอ้อมทางขวาได้อย่างเดียว ห้ามเดินเวียนซ้าย ถือว่าเป็นเส้นทาง ที่ถูกต้อง ตอนที่ทุกคนอ้อมพระพุทธรูป จงระวังตรงมุมโค้งให้ดี ไม่ต้องหยุดทักทายกัน แค่เดินขึ้นไปข้างบนพร้อมกันก็พอ
ในอุโบสถห้ามพูดคุยกันเรื่องทางโลก ห้ามส่งเสียงดัง นอกจากฟังธรรมแล้ว ให้นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างนอก ห้ามนั่งข้างในวิหาร ต่อให้คุยกันเรื่องพระธรรมก็ห้าม ส่งเสียงดัง”
[1] จางเซี่ยนจง (18 กันยายน 1606 – 2 มกราคม 1647) สมญานาม เสือเหลือง ผู้นำของกบฏชาวนาจากมณฑลส่านซี เขาพิชิตเสฉวนใน ค.ศ. 1644 พร้อมกับตั้งตนเองเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ต้าซี ปกครองเสฉวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนถูกสังหารโดยกองทัพแมนจู
[2] พระพั่วซาน (ปี1597-1666) เกิดในครอบครัวขุนนางชั้นสูง เป็นปรมาจารย์ กวีและนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง ทั้งยังเป็น ไต้ซือนิกายธยานะหรือนิกายเซ็นคนสำคัญในสมัยนั้น
[3] เต้าจี้หรือจี้กง นามเดิมหลี่ ซิวหยวน บวชเป็นภิกษุที่วัดหลิงอิ่น เมืองหางโจว มีพระอาจารย์ฮุ่ยหย่วนเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่าเต้าจี้ แม้เป็นภิกษุ แต่พระเต้าจี้มักมีพฤติกรรมแปลกจากจารีต คือชอบฉันเนื้อสุนัข ดื่มสุรา ครองจีวรที่เป็นผ้าขี้ริ้วสกปรก จึงถูกคณะสงฆ์ขับออกจากวัด และใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนน แต่พระเต้าจี้มี จิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ เช่น เจ็บป่วย หรือถูกรังแก จึงเป็นที่นับถือของประชาชน นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าท่านสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ และเชื่อว่าท่านเป็นพระนนทิมิตร หนึ่งในพระอรหันต์สิบแปดองค์กลับชาติมาเกิด
ตอนที่ 9 ไต้ซือกับหมาป่า
จ้าวต้าถงก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่แสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ “สัตว์ป่ากลัวไฟเป็นสัญชาตญาณ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะเหนือกว่าสัญชาตญาณ!”
“แต่สัตว์ป่ากินเนื้อเป็นสัญชาตญาณนะ…” หูหานตอบโดยจิตใต้สำนึก
“นายหุบปากเถอะน่า! คิดว่าฉันยังกลัวไม่พอรึไง? ให้ฉันมีเหตุผลเสริมความกล้าหน่อยไม่ได้เรอะ?” จ้าวต้าถงแทบจะร้องไห้ ถึงเขาจะมีร่างกายสูงใหญ่ แต่ในมือมีเพียง ท่อนไม้พังๆ แถมเขายังไม่ใช่อู่ซง[1] ไม่คิดว่าตนจะเอาชนะหมาป่าได้เลย! รั้งเอาไว้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
วินาทีที่จ้าวต้าถงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น หมาป่าเดียวดายพลันเพิ่มความเร็วพุ่งกระโจนเข้ามา!
“ระวัง!” ฟางอวิ๋นจิ้งเตือน หม่าเจวียนกรีดร้อง!
จ้าวต้าถงทุบคบเพลิงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว! ผลคือตาลาย ช่วงที่หมาป่าเดียวดายจะพุ่งชนเขานั้น มันกลับอ้อมจ้าวต้าถงกระโจนไปหาฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียน! หม่าเจวียนไปหลบอยู่ข้างหลังฟางอวิ๋นจิ้ง ส่วนฟางอวิ๋นจิ้งตกใจจนหน้าขาวซีด ลืมหลบไปแล้ว เห็นหมาป่าตรงหน้าพุ่งเข้ามา เธอจึงหลับตาคิดในใจ ‘หลับตาให้แน่นไว้ ไม่น่าจะเจ็บอะไร…’
แต่ว่า…
ในจินตนาการกลับไม่ได้ถูกกัด แต่มีความรู้สึกว่ามีวัตถุหายใจตรงคอหอย ชื้นๆ และยังมีกลิ่นเหม็นคาวจนเธออยากจะอาเจียน
ตอนนี้เองบทสวดนุ่มนวลดังขึ้น “อมิตพุทธ เดรัจฉาน กล้าทำร้ายคนหน้าประตูวัดแบบนี้ไม่กลัวตายไปแล้วถูกไต้ซือพิชิตมังกรโยนไปในหม้อทำสุกี้เนื้อสุนัขรึ?”
คำสวดอมิตพุทธก่อนหน้าทำให้คนฟังรู้สึกสบายอย่างยิ่ง จิตใจสงบสุข ไม่มีความกลัวใดๆ แต่คำพูดต่อมากลับเปลี่ยนรสชาติไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนคำพูดของนักบวชจริงๆ
ฟางอวิ๋นจิ้งลืมตามองโดยจิตใต้สำนึก เห็นหมาป่าหัวเหมือนลูกวัวถูกจับไว้ ตรงกระดูกสันหลัง หิ้วอยู่กลางอากาศ ปากยาวแทบจะงับคอเธออยู่แล้ว! นี่คือ หมาป่าเดียวดายที่จะกระโจนเข้ามาปลิดชีพเธอ!
แต่คนที่จับหมาป่าตัวนี้ไว้คือ เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนีฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้งวัยหนุ่มที่ ดูแล้วผิวขาวเนียนและสุภาพบอบบาง!
หมาป่าดุร้ายตัวนี้ถูกชายหนุ่มสุภาพบอบบางหิ้วไว้ในมือ ภาพนี้เดิมทีควรจะ ไม่เข้ากันมากถึงจะถูก แต่ภาพตรงหน้านอกจากจะเข้ากันดีแล้ว ยังดูเป็นธรรมชาติมาก และก็งดงามมาก ไม่ผิด งดงาม!
ข้างหลังเป็นผืนฟ้า กลางนภามีดวงจันทร์ แสงจันทร์ แสงดาวคลุมร่างนักบวชประหนึ่งอาบน้ำอยู่กลางแสงแห่งพุทธะ ศักดิ์สิทธิ์ น่าเกรงขาม เคร่งขรึมและเงียบ หมาป่าตัวนั้นยิ่งดุร้ายมากเท่าไร ก็ยิ่งเสริมให้เอกลักษณ์ของนักบวชไม่ธรรมดา
ฟางเจิ้งไม่ได้คิดมากขนาดนั้น หมาป่าในมือก็คิดไม่ซื่อ พยายามบิดตัวหันหัวมา แว้งกัดเขา เขาจึงยกมือซ้ายตบไปหนึ่งที!
ป๊าบ!
เขาตบปากใหญ่ของมันจนคำรามกรอดๆ มีเลือดไหลตรงมุมปาก!
ฟางเจิ้งกล่าวไปอีกว่า “เดรัจฉาน ยังกล้าใช้อุบายอีกเรอะ”
พูดจบยังไม่ทันที่หมาป่าจะโต้ตอบ เขาก็ตบมันที่บ้องหูไปอีกสามที! ฟางเจิ้งที่ฝึกวิชาหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์มาแล้วมีพลังสูงมาก ตบจนหน้าหมาป่าเดียวดายบวมจน คล้ายหัวหมู
“เอ๋ง เอ๋ง…” หมาป่าเดียวดายร้องหลังถูกทุบตี หมาป่าหิวโหยที่เพิ่งจะดุร้าย พอเผชิญหน้ากับหลวงจีนหัวโล้นฟางเจิ้งกลับดูหวาดกลัว
มันฟังคำพูดฟางเจิ้งเข้าใจ ดังนั้นจึงเห่าเป็นการอ้อนวอน
ฟางเจิ้งก็เข้าใจเช่นกัน หมาป่าเดียวดายตัวนี้หิวโซ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือกจึงลงมือกับคนข้างกองไฟเหล่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากเป็นสถานการณ์ปกติมันคงไม่เข้าใกล้ไฟ
“ช่างเถอะ เห็นแก่ที่นายทำผิดครั้งแรก และก็ไม่ได้ทำร้ายใครถึงชีวิต อาตมาเป็นคนที่มีคุณธรรมเหลือล้น จากนี้ไปก็อยู่ฝึกที่วัดเอกดรรชนีแล้วกัน หากฝึกสำเร็จ นายจะ หลุดพ้นจากกายทั่วไป สำเร็จสภาวะจิตหลุดพ้น” ฟางเจิ้งวางมาดขรึมพูดขึ้น เพียงแต่ว่าเขาเองยังไม่เชื่อคำพูดนี้มากนัก ถึงระบบจะมหัศจรรย์ แต่บนโลกนี้มีพระพุทธองค์อยู่จริงหรือ? จะสำเร็จพระธรรมได้จริงๆ หรือ? เขาเองจะสำเร็จได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย แล้วจะรับประกันได้ยังไงว่าหมาป่าจะสำเร็จ?
พูดจบฟางเจิ้งก็โยนหมาป่าลงพื้น
ทำเอาฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน หูหานและจ้าวต้าถงตกใจจนรีบไปหลบอยู่ข้างหลัง
ฟางอวิ๋นจิ้งเตือน “ไต้ซือระวัง!”
หม่าเจวียนพูดเสริมเช่นกัน “ไต้ซือ ทำไมถึงปล่อยมันแบบนี้ล่ะ? นี่มันหมาป่านะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอก!”
หูหานกับจ้าวต้าถงพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วยกับหม่าเจวียน
ฟางเจิ้งประนมสองมือไปทางสามคนนี้พลางท่องบทสวด “อมิตพุทธ พวกโยม ไม่ต้องกังวล หมาป่าตัวนี้มีสติปัญญา ในเมื่ออาตมาปล่อยเขาแล้ว เขาย่อมรู้ดีชั่ว” พูดจบก็ไม่สนว่าคนเหล่านี้จะเชื่อหรือไม่ แต่หมุนตัวกลับมาต่อว่าหมาป่าเดียวดาย “มารผจญ ยังไม่คุกเข่าขอโทษพวกโยมเขาอีก?”
พวกเขาเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ในใจหมดคำจะพูดแล้ว
หูหานพึมพำ “หมาป่าฟังภาษาคนรู้เรื่องจริงๆ เหรอ? หากใช่ ฉันจะคุกเข่าใต้ภูเขา…”
เพิ่งพูดก็เห็นหมาป่าตัวนั้นขาอ่อนลง คุกเข่าลงจริงๆ ทั้งยังพยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย ราวกับกำลังคุกเข่ากราบ
เห็นดังนั้น สี่คนต่างมองหน้ากันราวกับเห็นผี แววตาที่มองฟางเจิ้งมีความเกรงขามและเคารพมากกว่าเดิม สี่คนนี้ยังประนมสองมือกันอย่างไม่นัดหมายแสดงความเคารพฟางเจิ้ง “ไต้ซือเก่งกาจจริงๆ! ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยพวกเราเอาไว้!”
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางว่า “อมิตพุทธ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ามากกว่าสร้าง เจดีย์เจ็ดชั้น นี่เป็นสิ่งที่อาตมาควรทำ พวกโยม หมาป่าตัวนี้หิวโซเลยทำร้ายพวกโยม ถ้ามีอาหารก็แบ่งให้มันได้ไหม?”
ฟางเจิ้งไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ลำพังอาหารของตนก็มีไม่มาก จะให้เลี้ยงหมาป่าตัวนี้ เดาว่าพรุ่งนี้เขาคงไม่มีกิน ดังนั้นเลยโยนให้กับสี่คนนี้เสียเลย
หลังเห็นถึงความมหัศจรรย์ของฟางเจิ้ง สี่คนนี้ยอมต่อฟางเจิ้งตั้งนานแล้ว เคารพดั่งพระเจ้า
จ้าวต้าถงรีบกล่าวขึ้น “ไต้ซือ ในเมื่อท่านว่าอย่างนั้น ผมจ้าวต้าถงยอมหิวเพื่อให้มันกินได้ครับ”
กล่าวจบ จ้าวต้าถงรีบเอาเนื้อแห้ง ขนมปังกรอบ ไส้กรอกในกระเป๋าหลังออกมา แล้วแบ่งห่อรวมโยนให้หมาป่า
หมาป่าเงยหน้ามองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งลูบหัวมัน “ยังไม่ขอบคุณพวกโยมเขาอีก?”
หมาป่าก้มกราบอีกครั้ง
มันกราบต่อเนื่องกันแบบนี้ทำให้จ้าวต้าถงรู้สึกเขินอาย หม่าเจวียน หูหานและฟางอวิ๋นจิ้งจึงหยิบอาหารมาแบ่งให้หมาป่าเล็กน้อย หมาป่าขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นมองฟางเจิ้ง
“กินเถอะ คืนนี้นายคอยระวังความปลอดภัยให้พวกโยมเขาข้างนอก พรุ่งนี้ถึงเปิดประตูวัด นายค่อยเข้ามาไหว้พระ” ฟางเจิ้งเหมือนพูดกับคน อีกทั้งหมาป่ายังพยักหน้าเข้าใจราวกับคนอีก จากนั้นก็นอนหมอบกินอาหาร เห็นได้ว่าหิวจริงๆ
“ไต้ซือ เอ่อ จริงๆ แล้วไม่ต้องรบกวนพี่หมาป่าให้มาดูแลความปลอดภัยของเราหรอก” จ้าวต้าถงกลัวหมาป่าตรงหน้าจริงๆ หมาป่าก็คือ หมาป่า ไม่ว่าจะแสดงออกว่าโอนอ่อนเพียงไหน ด้วยนิสัยบ้าระห่ำของมัน ไม่ว่าทำอะไรก็ทำให้เขากลัวจนขนลุก
หูหานก็พูดเสริมด้วยเช่นกัน “ใช่ ไต้ซือ ไม่ต้องรบกวนพี่หมาป่าหรอกครับ”
[1] อู่ซง หรือในสำเนียงแต้จิ๋ว บู๊สง เป็นตัวละครในเรื่องซ้องกั๋ง เป็นโจรที่มีบทบาทสำคัญมาก วันหนึ่งอู่ซงจะผ่านเนินจิ่งหยางกัง ก่อนเดินทางก็พบว่ามีประกาศเสือร้ายมาอาละวาดกินคนในเนินจิ่งหยาง อู่ซงเข้าร้านเหล้าดื่มจนเมามาย และจะขึ้นเนินโดยไม่ฟังคำตักเตือนของเจ้าของร้าน ด้วยฤทธิ์เหล้าก็ไปเมาหลับอยู่กลางป่า แต่แล้วก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเสือ อู่ซงตกใจมากแต่เขาไม่หนี พยายามต่อสู้กับเสือ จนสามารถจับเสือกดคอ แล้วทุบกะโหลกจนตาย นับแต่นั้นชื่อเสียงของอู่ซงก็โด่งดังด้วยฉายา “อู่ซงตีเสือ”
ตอนที่ 8 จับรางวัลต่อเนื่อง
วงล้อว่างเปล่าหมุน มองไม่เห็นว่ามีอะไร ไม่ให้ความรู้สึกรอคอยเลยสักนิด
หนึ่งนาทีต่อมา
“ติ๊ง! ยินดีด้วยท่านได้รับวิชาเทพคุ้มกันแห่งพุทธ [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]!”
ฟางเจิ้งอึ้งไป “วิชาเทพ? ร้ายกาจมากไหม?”
ปึก!
ตำราสีเหลืองเล่มหนึ่งตกลงในมือฟางเจิ้ง เขาก้มหน้ามองแวบหนึ่ง ทั้งเล่มเป็นสีเหลือง ข้างหลังมีสัญลักษณ์สวัสดิกะ[1]卍 ดูแล้วเหมือนกับดอกเบญจมาศที่รอวันเบ่งบานมาก
“เป็นตำราที่ดูมีพลังจริงๆ…ระบบ นายเข้าถึงแก่นของหนังในประเทศที่เป็นเกาะแล้ว! การออกแบบเล่มก็ถือว่าไม่เลว…” ฟางเจิ้งกล่าวพลางพลิกตำรา ด้านหน้าเขียนตัว อักษรใหญ่ที่ดูมีพลังไว้หลายตัว [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]!
ฟางเจิ้งเปิดตำราโดยจิตใต้สำนึก หนึ่งเค่อต่อมาตาลาย ตอนที่เห็นชัดอีกครั้งก็มาอยู่บนดอกไม้หนึ่ง! ตรงหน้าเป็นหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่บนแท่นเปล่งแสงทองอร่าม มองมาทางฟางเจิ้ง หลวงจีนรูปนั้นขยับแล้ว! สองมือประนมไว้ตรงหน้าอก เหมือนกำลังท่อง บทสวด แต่ต่อมาฟางเจิ้งเห็นภาพน่าเหลือเชื่อ อดพูดขึ้นไม่ได้ “เวรแล้ว! ตายแน่! ตายแน่ๆ!”
โครม!
หินยักษ์ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!
ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ “ยอดเยี่ยม แกร่งขนาดนี้เชียว! อย่างกับเหล็ก!”
หลังหลวงจีนรูปนั้นปล่อยฝ่ามือแล้วก็ดึงฝ่ามือกลับ สองมือประนมอีกครั้งจะใช้วิชาอีกรอบ เมื่อเขาโคจรพลังแล้ว ฝ่ามือกับต้นแขนก็ขยายใหญ่ขึ้นตาม หนากว่าเดิม หนึ่งเท่า! สองฝ่ามือประหนึ่งเหล็กกล้าตบออกไป กำลังสูงส่งไร้ใครเปรียบ!
โครม หินใหญ่ขนาดเท่าคนอีกก้อนถูกตบจนแหลก!
จากนั้นหลวงจีนรูปนั้นก็กลับมาท่าเดิมอีกครั้ง
สามครั้งผ่านไปหลวงจีนรูปนั้นเริ่มมีท่าทางอื่นๆ เริ่มแสดงไปทีละกระบวนท่า [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์] มีการเปลี่ยนรูปแบบไม่มาก แก่นแท้อยู่ที่หัตถ์ ศัตรูขยับ เราขยับ หนึ่งหัตถ์ปะทะ หนึ่งพลังสยบสิบ! ไม่ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนรูปแบบเป็นพันเป็นหมื่น แค่ฝ่ามือเดียวก็ทำลายได้อย่างง่ายดาย!
ฟางเจิ้งดูจบแล้ว ภาพตรงหน้าหายไป จากนั้นรู้สึกว่าเอ็นกับกระดูกทั่วร่างคันแปลกๆ สองฝ่ามือขยายใหญ่และเจ็บ ในความคิดมีภาพขยับวูบผ่านอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวเหมือนผ่านไปสิบยี่สิบปี แต่ในสิบยี่สิบปีนี้เขาฝึกฝนวิชาหัตถ์ชุดนี้อย่างหนัก จนกระทั่งตระหนักรู้ถึงแก่นแท้แล้วถึงสิ้นสุดลง!
ตอนที่ฟางเจิ้งลุกขึ้นยืนดูเวลา ก็พบว่าผ่านไปเพียงสามวินาที! แต่เขารู้สึกยาวนานราวกับผ่านไปหนึ่งยุคจริงๆ!
ส่วนความเข้าใจต่อ[หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]ก็บรรลุถึงแก่นแท้ยิ่งกว่าเดิม เหมือนฝึกฝนสิบยี่สิบปี กระทั่งร้อยปีจริงๆ
“ไม่เลว ระบบนี่เจ๋งจริงๆ แค่สามวินาทีก็เปลี่ยนฉันจากเศษขยะให้เป็นยอดฝีมือสูงส่งได้” ฟางเจิ้งพึมพำด้วยความแปลกใจ ก่อนตรงไปยังห้องอาบน้ำ ชะล้างร่างกายให้รู้สึกสดชื่น ส่วนมีดและตะบองข้างกายโยนทิ้งไปแล้ว มีหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์อยู่กับตัว กับแค่หมาป่าเขาไม่สนใจแล้ว แต่เริ่มอยากให้หมาป่ามา การช่วยหนึ่งชีวิตคนมีค่ากว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!
มิหนำซ้ำยังได้จับรางวัลอีก!
เอาล่ะ จากนี้ไปต่างหากที่สำคัญ…
“นี่พี่ระบบ จับรางวัลต่อเลยดีกว่า” ฟางเจิ้งกล่าว
วงล้อหมุนอีกครั้ง
ฟางเจิ้งพลันมีสีหน้าขมขื่น “ช่างเถอะ นายอย่าเอาของที่ไม่ดีมาให้ฉันละกัน จะจับก็จับเลย บอกฉันด้วยว่าได้อะไร”
“ติ๊ง ยินดีด้วยนายได้รับความสามารถพิเศษ วิชาภาษาสัตว์!”
“เอ่อ มันมีประโยชน์อะไรเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป ถึงจะเข้าใจความหมายแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังถาม
“หลังเรียนวิชาภาษาสัตว์แล้วจะสื่อสารกับทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ได้ ฟังพวกมันเข้าใจ พวกมันก็ฟังนายเข้าใจเหมือนกัน”
“…” ฟางเจิ้งพูดไม่ออกอยู่เล็กน้อย ก่อนบ่น “พี่ระบบ นายว่าฉันหรือเปล่าเนี่ย? เห็นว่าฉันอยู่บนเขาคนเดียวกลัวเหงาเลยให้ฉันเป็นพวกเดียวกับสัตว์รึไง?”
แต่ระบบไม่สนใจเขา
“ก็ได้ ในเมื่อจับแล้วก็ใช้แล้วกัน” ฟางเจิ้งพูดจบ เหมือนมีกระแสบริสุทธิ์วูบผ่านในความคิด จากนั้นมีบางสิ่งเพิ่มมาในความคิด ศึกษาไม่แตกฉาน แต่กลับมีอยู่จริงๆ ความรู้สึกเย็นสบายนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร หลายวินาทีต่อมาก็หายไป ฟางเจิ้งเกิดการตระหนักรู้บางอย่าง แต่บอกไม่ถูก ทว่าเขาก็รู้ว่าน่าจะคุยกับสัตว์ได้แล้ว
หลังจับรางวัลเสร็จ ฟางเจิ้งก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันยังอวยพรเงียบๆ “หมาป่าน้อย นายเองก็หลับฝันดีเถอะ…”
ทว่าฟางเจิ้งกลับนอนไม่หลับ!
“เฮ้อ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ากว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ความโลภเป็นบาปดั้งเดิม เวรจริงๆ ฉันดันอยากให้หมาป่ามาจริงๆ เสียได้ จากนั้นช่วยคน จากนั้นรับผลประโยชน์ คุณธรรมพังป่นปี้หมดแล้ว…” ฟางเจิ้งลุกขึ้นนั่งด่าทอเบาๆ
“ช่างเถอะ ฉันเองก็ไม่ใช่คนเลวอะไรจริงๆ ออกไปดูหน่อยแล้วกัน” ฟางเจิ้งพูดจบก็สวมจีวรเดินออกไป
ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า นอกวัด พวกวัยรุ่นที่กางเต็นท์เสร็จแล้ว ก่อกองไฟ ตั้งแคมป์ในป่านั่งอยู่รวมกัน กำลังคุยกันเรื่องที่ประสบมาในหลายวันนี้
โดยเฉพาะจ้าวต้าถงที่คุยโม้ น้ำลายกระเด็นไปไกลสามสิบนิ้ว อยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่กางร่มคงเป็นหวัดเอาง่ายๆ
ขณะจ้าวต้าถงกำลังพูด หม่าเจวียนพลันแทรกขึ้น “เงียบ ตรงนั้นเหมือนมีบางอย่าง!”
จ้าวต้าถงหันไปมอง ภายใต้แสงจันทร์ตรงนั้นเหมือนมีบางอย่างจริงๆ! ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พืชหญ้าออกเป็นสีเหลือง หญ้าก็สูงมากจึงมองไม่เห็นว่าหลังกอหญ้า มีอะไร เห็นเพียงหญ้าขยับไหวเบาๆ ส่งเสียงดังแกรกๆ
หม่าเจวียนจับแขนฟางอวิ๋นจิ้งเอาไว้แน่นพลางพูดเบาๆ “อวิ๋นจิ้ง จะมีผีหรือเปล่า? หรือไม่ก็อาจจะเป็นหมาป่า?”
“มะ…ไม่ใช่หรอกมั้ง…” ฟางอวิ๋นจิ้งพยายามปรับสีหน้าสงบนิ่ง แต่ว่าคำพูดกลับติดอ่าง
จ้าวต้าถงหยิบท่อนไม้ใหญ่ที่เตรียมไว้ข้างๆ ขึ้นมาจุดไฟเป็นคบเพลิง “อย่ากลัว ถ้าเป็นหมาป่าก็ไม่เป็นไร หมาป่ากลัวไฟ พวกเรามีไฟอยู่ พวกมันไม่กล้าแน่”
“แฮ่…” เสียงคำรามดังแว่วมาจากกลางพุ่มไม้ จากนั้นมีปากยาวยื่นมาจากกลางพุ่ม เผยคมเขี้ยว ดวงตาสีเขียว ขนสีเทา นั่นหมาป่า! บนหน้าหมาป่าตัวนี้มีรอยแผลเป็น ดวงตาแคบยาว หางตก แขนขาสี่ข้างย่ำบนหญ้าอย่างมีจังหวะ ทั้งยังขู่กรอดๆ เหมือนเตือนว่ามันพร้อมจู่โจมฆ่าคนทุกเมื่อ!
“ระวัง นี่หมาป่าเดียวดาย! น่ากลัวกว่าฝูงหมาป่าอีก!” หูหานร้องด้วยความตกใจ
หม่าเจวียน “หมายความว่าไง? หมาป่าตัวเดียวน่ากลัวกว่าฝูงหมาป่าเหรอ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งดันแว่นตาขึ้นแล้วตอบกลับ “หมาป่าจะอยู่เป็นฝูง ถ้าเจอหมาป่าตัวเดียว นั่นหมายความว่า มันถูกไล่ออกมา และหมาป่าที่ถูกไล่ออกมาก็มีความเป็นไปได้เดียวคือมันเคยเป็นจ่าฝูงมาก่อน ถูกจ่าฝูงตัวใหม่ท้าสู้แพ้แล้วออกจากฝูงมา ร่างกายหมาป่า ชนิดนี้คือ เนื้อแท้ มีสติปัญญา มีความบ้ากว่าหมาป่าทั่วไปมาก ที่สำคัญคือ มันจะสู้ สุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด! ไฟไม่ทำให้มันกลัวเลย”
หม่าเจวียนรู้สึกกลัวจริงๆ แล้วจึงไปหลบหลังฟางอวิ๋นจิ้ง
[1] เครื่องหมายสวัสดิกะ แสดงถึงวัดในพระพุทธศาสนา สื่อความหมายถึงพลวัตร การเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นเครื่องหมายแห่งการหล่อเลี้ยง ทุกสรรพสิ่ง
ตอนที่ 7 บนเขามีหมาป่า
หูหานรีบเข้าไปดึงเชือกก่อนถามขึ้น “เชือกนี่เหรอ?”
“ใช่ เชือกนี่แหละ!” จ้าวต้าถงตอบกลับ
“แน่นมาก ไม่มีปัญหา นายมัดเชือกไว้ที่ตัว พวกฉันจะดึงนายขึ้นไป!” หูหานกล่าว
จ้าวต้าถงรีบขานรับ แค่เชือกข้างๆ นี่ผูกไว้แน่นก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาแล้ว เขายื่นมือไปจับไว้แน่นก็พอ
หูหานข้างบนบอกให้ฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียนออกแรงดึงพร้อมกัน รวมกับจ้าวต้าถงที่ออกแรงปีนหน้าผาแล้วจึงปีนขึ้นมาได้เร็วมาก
พอจ้าวต้าถงขึ้นมา สี่คนก็นั่งแผ่อยู่บนพื้น ครั้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พวกเขาต่างมีสีหน้าหวาดกลัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ฟางอวิ๋นจิ้งได้สติกลับมาจึงพูดขึ้น “นี่ ฟ้าจะมืดแล้ว!”
“แย่แล้ว ทางภูเขาเดินยากด้วย หากตกลงไปอีกก็อาจจะไม่มีต้นไม้ใว้จับหรือเชือกให้พวกเราแล้ว” หม่าเจวียนว่า
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” จ้าวต้าถงพลันพูดขึ้น
“อะไรไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?” หูหานถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
จ้าวต้าถง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าตอนไต้ซือของวัดเอกดรรชนีมองฉันจะมีแววตาแปลกๆ แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่มีเจตนาร้ายต่อฉันหรอก ตอนนี้มานึกๆ ดูแล้วเขาอาจจะเห็นว่าฉันมีภัยมากกว่า เพียงแต่ท่าทีของฉันก่อนหน้านี้ขี้โมโหเกินไป เขาเลยไม่บอกก็เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว หากเขาบอก ฉันก็คงต่อยเขาสักหมัดแน่ๆ…”
ฟางอวิ๋นจิ้งเสริม “ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเขาเห็นหม่าเจวียนจะหกล้ม เลยวางรองเท้าเอาไว้บนขั้นบันได ช่วยหม่าเจวียนเอาไว้ จากนั้นเขาทำนายว่าจ้าวต้าถงมีโอกาสจะ ตกเขา เลยผูกเชือกไว้ที่นี่ ช่วยจ้าวต้าถงไว้ ฉันว่านะพวกเราเจอคนประหลาดเข้าแล้วล่ะ! หลวงจีนวัดเอกดรรชรนีเป็นไต้ซือจริงๆ! ไม่ใช่คนลวงโลก!”
หม่าเจวียนก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันว่าพวกเราเข้าใจเขาผิดแล้วล่ะ พวกเราทำไม่ดีต่อเขา ทั้งยังต่อว่า ไปอีก…ลับหลังยังพูดจาไม่ดีอีกเยอะเลย”
หูหานเกาหัว “เอ่อ พวกเธอดูฟ้าก่อนมันใกล้จะมืดแล้ว พวกเราลงเขาไปอันตรายมากแน่ อย่างนั้นกลับไปดีกว่าไหม จะได้ไปขอโทษไต้ซือท่านนั้นด้วย มืดแล้วตั้งแคมป์บนเขาดีกว่า ถ้าไต้ซือเก่งกาจขนาดนี้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลว”
“ถ้าเป็นคนเลวพวกเราคงตายไปนานแล้ว ไป กลับไปกัน!” หม่าเจวียนว่า
“ไป! ก่อนหน้านี้ฉันทำกับเขาแบบนั้น แต่เขาก็ยังช่วยฉัน ยังไงก็ต้องขอบคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นมโนธรรมของฉันจะไม่สงบ” จ้าวต้าถงกล่าว
หม่าเจวียนเห็นด้วย “ฉันก็ด้วย”
“ฉันอยากไปจุดธูป เจ้าอาวาสเก่งขนาดนี้ วัดนี้น่าจะไม่ธรรมดา” หูหานเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร…” ฟางอวิ๋นจิ้งพูดเตือน
“เอ่อ…”
………
ช่วงที่สี่คนกลับมายังประตูวัดเอกดรรชนีอีกครั้ง ความรู้สึกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการดูถูกอย่างตอนมา เหลือเพียงความเคารพ ทว่าที่สี่คนนี้แปลกใจคือตรงปากประตูมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง มองดีๆ หัวโล้นภายใต้แสงดูเด่นตามาก นั่นคือ เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง!
“ไต้ซือ สวัสดี พวกเรากลับมาอีกแล้ว” พวกเขาพูดพร้อมกันอย่างน่าประหลาด ขณะเดียวกันยังโค้งตัวแสดงความเคารพ เป็นการขออภัย และยังมีความเคารพจาก ใจจริงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองทุกคนด้วยสีหน้าอบอุ่น แต่กลับหัวเราะอย่างเบิกบานในใจ ‘นี่คือความรู้สึกของการเป็นไต้ซือสินะ? เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ! เฮอะๆ…’
ฟางเจิ้งเพิ่งจะยิ้มในใจก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้น “ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เป็นไต้ซือต้องนิ่งไว้แม้ฟ้าถล่ม ขนาดคนแค่นี้ยังทำให้นายยิ้มแย้มได้ ภายภาคหน้าพันคน หมื่นคน แสนคนมากราบไหว้นายจะเป็นยังไง? น้ำใจและจิตใจของไต้ซือนั้น ต้องบ่มเพาะทีละหยดๆ”
รอยยิ้มฟางเจิ้งพลันแข็งข้าง ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น ถ่อมตัวและมีสติปัญญา “พวกโยม คืนเชือกอาตมามาก่อนได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” พวกเขาต่างอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนตรงแบบนี้
จ้าวต้าถงหยิบเชือกส่งให้
ฟางเจิ้งรับเชือกมาแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในวัด ไม่รอให้จ้าวต้าถงพูด แต่ปิดประตูใหญ่ ดังปัง!
จ้าวต้าถงกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงฟางเจิ้งดังแว่วมาจากในวัด “ดึกแล้ว วัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องอาหารและที่พัก ในเมื่อพวกโยมมีแคมป์ เตรียมของมาครบแล้วก็พักผ่อน ข้างนอกเถอะ ขอแนะนำอย่างหวังดีนะ บนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่า ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย”
ไม่เตือนก็แล้วไป ทว่าพอเตือนแล้วพวกเขาต่างขนหัวลุก
จ้าวต้าถง “ไต้ซือ ท่านบอกว่ามีหมาป่าแล้วทำไมถึงให้เราอยู่ข้างนอกล่ะ? นี่มันอันตรายไม่ใช่เหรอ? ท่านเป็นคนจิตใจดี ให้พวกเราเข้าไปเถอะ ไม่พักในกุฏิก็ได้ ให้เราพักในลานวัดก็ได้”
“ใช่แล้วท่านไต้ซือ นั่นหมาป่าเลยนะ! พวกเราไม่มีอาวุธด้วย” หม่าเจวียนร้อนรนแล้วเหมือนกัน
แต่ฟางเจิ้งข้างหลังประตูมีสีหน้าดิ้นรน…
“ติ๊ง! หากไม่มีกฎก็ควบคุมสิ่งโดยรอบไม่ได้ จะทำลายกฎของวัดไม่ได้ ขืนทำลายกฎ ระดับการประเมินจะลดขั้นลง”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่เปิดประตู แต่กล่าวออกไป “อมิตพุทธ พวกโยมรีบตั้งแคมป์เถอะ อย่างน้อยในละแวกใกล้วัดอาตมาก็ยังปลอดภัย”
พูดจบฟางเจิ้งรีบเดินไปยังห้องครัวไปหามีดหั่นผักมาหนึ่งเล่มกับไม้ตะบองวางไว้ ข้างหมอน คิดว่าหากหมาป่ามาจริงๆ เขาจะใช้มันไว้ช่วยคน
แต่ลำพังตัวเขาเองไม่ได้หวังไว้มากขนาดนั้น เขามีแรงเท่าไรก็รู้ตัวดี! อย่าว่าแต่ หมาป่าเลย แค่หมีบ้าขึ้นมาก็จับเขากดไว้กับพื้นได้แล้ว…
แต่ว่าฟางเจิ้งก็ไม่ได้กังวลจริงๆ ถึงจะมีข่าวลือว่าบนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่า แต่ก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น อย่างน้อยบนเขาหลายปีมานี้เขาก็เคยได้ยินเสียงหมาป่า ตอนเด็ก พอโตมาแล้วไม่เคยเจอหมาป่าอีกเลย เล่าขานว่าผู้คนเหี้ยมโหดนัก ขู่หมาป่า จนตกใจหนีเข้าไปในป่าลึกแล้ว
และเพราะแบบนี้เองฟางเจิ้งถึงกล้าให้คนเหล่านี้พักนอกวัด หากมีหมาป่าวิ่งอยู่ ข้างนอกทุกวันจริงๆ เขาคงไม่ให้พวกเขาอยู่ข้างนอก แม้ระบบจะไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่สน ถึงยังไงนี่ก็เกี่ยวกับชีวิตคน
แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกถึงอันตรายอยู่ จึงได้เตรียมมีดหั่นผักกับไม้ตะบองไว้
แม้กำลังเขาคนเดียวจะน้อยมากจนมองข้ามได้ แต่ตอนนี้มีนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มี หลังอวยพรให้คนพวกนั้นปลอดภัยในคืนนี้อยู่เงียบๆ แล้วถึงหลับตานอนลงบนเตียง
ฟางเจิ้งพึมพำ “นี่ระบบ ฉันช่วยคนสองครั้งแล้ว มีโอกาสจับรางวัลสองครั้งใช่หรือเปล่า?”
“ใช่!”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จับเลยได้ไหม?” ฟางเจิ้งถาม
“ได้”
“ให้ฉันจับเองได้ไหม? นายอย่ากำหนดความเป็นตายให้ฉันสิ ดีเลวยังไงให้ฉันร่วมบ้าง” ฟางเจิ้งกล่าวอย่างขมขื่น
“ได้!”
หนึ่งเค่อต่อมาปรากฏวงล้อยักษ์ตรงหน้าฟางเจิ้ง! บนวงล้อมมีเข็มอันหนึ่ง เห็นครั้งเดียวเขาก็เข้าใจแล้วว่าเล่นยังไง หมุนวงล้อจับรางวัลนั่นเอง! แต่ต่อมาเขาก็หน้าเขียวคล้ำ! บนวงล้อนั่นไม่มีอะไรเลย!
“พี่ระบบ หมายความว่าไงกัน? ไม่มีอะไรเลยนี่!”
“ติ๊ง! มีของรางวัลอยู่ ฉันจะบอกผลกับนายเอง”
‘นายนี่มัน…’ ฟางเจิ้งด่าในใจแล้วก็ยอมรับชะตา ก่อนดึงวงล้อแบบตามอำเภอใจแล้วรอผล
ตอนที่ 6 เชือกหนึ่งเส้น
“เอาล่ะหม่าเจวียน ฉันว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ นะ เธอลองคิดดูสิ ถ้าไม่มีรองเท้านั่น ตอนนี้เธอจะเป็นยังไง? หัวคงจะแตกเลือดอาบแล้ว…ที่นี่เป็นยอดเขา หากเจ็บหนักขึ้นมาจริงๆ พวกเราคงพาเธอลงเขาไปรักษาไม่ทันแน่” ฟางอวิ๋นจิ้งนั่งยองลงตบหลัง หม่าเจวียน ช่วยให้เธอเบาความโกรธลง เพียงแต่ว่าขณะพูด นัยน์ตาฟางอวิ๋นจิ้งฉายแววสงสัย เธอกำลังคิดเหมือนกับจ้าวต้าถง ‘นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?’
หม่าเจวียนเองก็ไม่ใช่คนเขลา เมื่อครู่นี้เพิ่งล้มลง ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้วก็ใคร่ครวญ พลันตัวสั่นระริกพลางเอ่ยขึ้น “อวิ๋นจิ้ง ต้าถง หูหาน ก่อนหน้านี้…เจ้าอาวาสบอกว่าฉันจะมีภัยนองเลือดไม่ใช่เหรอ? จากนั้นฉันก็เป็นแบบนี้ ถ้าเขาไม่วางรองเท้าไว้ นี่มันตรงตามคำพยากรณ์รึเปล่า? พวกเธอว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเขามองเห็นจริงๆ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…เอ่อ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ดีกว่ามั้ง? แต่ฉันเริ่มกลัวแล้วนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเรารีบไปกันเถอะ” หูหานว่า
จ้าวต้าถงกล่าวต่อ “ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน พวกเรา…เอ่อ ฟางเจิ้งนายออกมาอีกแล้วเหรอ? เอาเชือกมาทำอะไร?”
ฟางเจิ้งมองจ้าวต้าถงอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก โยมอย่าถามเลย ถามแล้วเดี๋ยวโยมจะโกรธอีก”
พูดจบฟางเจิ้งก็ออกจากวัดไป
หม่าเจวียนมองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้งพลางว่า “ฟางเจิ้ง ขอบคุณสำหรับรองเท้าที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะ!”
“อื้ม” ฟางเจิ้งขานรับแล้วเดินไปไกล
“เขาเป็นคนซื่อจริงๆ…ตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยอีกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” หม่าเจวียนยิ้มเฝื่อน
ฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “ไม่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ฉันว่าพวกเรากลับกันก่อนดีกว่า วัดเอกดรรชนีมันแปลกๆ ตอนขึ้นเขา ชาวบ้านบอกว่าที่นี่ร้างไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเธอดูสิ นี่มันร้างที่ไหนกัน? แล้วยังมีเจ้าอาวาสคนนี้อีก ไม่เห็นเหมือนหลวงจีนเลยสักนิด? ท่าทีก็ดูพิลึก…”
“พิลึกจริงๆ วัดนี้ก็แปลกด้วย ตอนเข้ามาให้ความรู้สึกจิตใจสงบ หลวงจีนนั่นก็ให้ความรู้สึกไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่พวกเธอเคยเห็นวัดไหนบ้างที่เป็นแบบนี้? จริงๆ นะ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นผลจากธูปหลงใหลบางอย่าง…หรือไม่ก็ หลวงจีนนี่ก็เป็นปีศาจ” จ้าวต้าถงพูดเสริม
“นายพูดน้อยๆ คอยดูให้มากๆ ได้หรือเปล่า?” หูหานต่อว่า
“นายสั่งสอนฉันเรอะ? เอาเถอะ รีบไปกันดีกว่า” จ้าวต้าถงตอบ
หม่าเจวียนแทรกขึ้น “ไม่ตั้งแคมป์แล้วเหรอ?”
“เปลี่ยนที่ตั้งแคมป์เถอะ…” ฟางอวิ๋นจิ้งตอบ
หม่าเจวียนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร พวกเขาออกจากวัดทันที เตรียมลงเขา แต่ก็เจอกับฟางเจิ้งที่เพิ่งกลับมาตรงปากทางลงเขา
“พวกโยมจะไปกันแล้วเหรอ?” ฟางเจิ้งไม่แปลกใจที่คนเหล่านี้จะลงเขาแม้แต่น้อย เพราะเขาเห็นอนาคตของจ้าวต้าถงก่อนแล้ว
พอเห็นสีหน้าฟางเจิ้งเหมือนรู้ทุกอย่าง พวกเขาก็รู้สึกขนลุกกว่าเดิม
จ้าวต้าถงหัวเราะเสียงดัง “ใช่ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ต้องรีบลงเขา ฟางเจิ้ง พวกเราไม่รบกวนนายแล้วล่ะ”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ก็ดี พวกโยมค่อยๆ เดินล่ะ เส้นทางภูเขาสูงชัน ระวังด้วย”
พูดจบฟางเจิ้งชำเลืองตามองจ้าวต้าถงอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายดูไม่เป็นตัวของตัวเองจึงเดินจากไปช้าๆ
“ต้าถง นายว่าฟางเจิ้งนั่นชอบนายหรือเปล่า?” หูหานถาม
“จะบ้าเรอะ ฉันชอบผู้หญิง! อย่างน้อยก็ต้องเหมือนอวิ๋นจิ้ง” จ้าวต้าถงตำหนิด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งหน้าแดงเล็กน้อย ซ้ำยังว่ากล่าวไป “พูดอะไรกัน?”
“เฮอะๆ…” จ้าวต้าถงก็หน้าแดงเล็กน้อยแล้ว เกิดความไม่มั่นใจเล็กน้อยจึงเร่งฝีเท้าเดินไป
จ้าวต้าถงนำหน้า หูหานปิดท้าย สองสาวอยู่ตรงกลาง ไม่มีใครพูดอะไร
ระหว่างทางลงเขาพวกเขาคุยเล่นกัน ไม่นานก็ลืมเรื่องทุกข์บนเขาไป ตอนนี้เองจ้าวต้าถงพลันร้องเสียงหลง เดินลื่นเอาหัวปักลงไป!
แต่ว่าหูหาน ฟางอวิ๋นจิ้งและหม่าเจวียนห่างจากเขาอยู่ช่วงหนึ่งจึงดึงไว้ไม่ทัน เห็นจ้าวต้าถงตกหน้าผาไป สองสาวได้แต่ตกใจจนตะลึงค้าง
หูหานก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน แต่ว่าก็ยังเป็นผู้ชาย มีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็ว รีบวิ่งไปดูสถานการณ์แล้วตะโกนเสียงดัง “จ้าวต้าถง! จ้าวต้าถง!”
ฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียนได้สติจึงวิ่งเข้ามา น้ำตาไหลพลางตะโกน “จ้าวต้าถง นายอยู่ไหน?”
“จ้าวต้าถง นายส่งเสียงหน่อยสิ!”
“จ้าวต้าถง นายอย่าทำให้พวกเรากลัวนะ!”
………….
แม้พวกเขาจะตะโกน แต่ในใจก็เข้าใจความจริงแล้ว ตกหน้าผาแบบนี้ ข้างล่างเป็นเหวลึกแทบไร้ก้น ตกลงไปจะต้องมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดีแน่ จบแล้ว…
หม่าเจวียนสับสนไปหมด ด่าทอต่อว่า “ไอ้หลวงจีนลวงหลอกบ้านั่นบอกว่าทำนายดวงชะตาได้ไม่ใช่เหรอ? เห็นว่าฉันมีภัยนองเลือด แล้วทำไมถึงไม่เห็นว่าจ้าวต้าถงมีภัย ถึงชีวิตล่ะ? ฮือๆๆ ไอ้คนโกหก จ้าวต้าถงพูดถูก นักบวชเป็นพวกลวงโลกกันทั้งหมด…ฮือๆๆ”
แต่ทันใดนั้นเอง
“อย่าเพิ่งด่า อย่าเพิ่งตะโกน ยังไม่ตาย! ฉันจับต้นไม้เอาไว้ได้!” เสียงจ้าวต้าถงพลันดังแว่วมา สามคนอึ้งไปก่อน จากนั้นต่างดีใจกันขึ้นมา
หูหานตื่นเต้น “นายจับไว้ให้ดีๆ อย่าตกลงไปล่ะ ฉันจะขึ้นเขาไปหาเชือกมาดึงนายขึ้นไป!”
ฟางอวิ๋นจิ้งเสริม “ใช่ๆๆ นายอย่าใจร้อนนะ!”
“ไม่ใช่…” จ้าวต้าถงตะโกนขึ้นมา
ผลสุดท้ายหม่าเจวียนพูดเสียงดัง “ไม่ใช่อะไร? นายจับไว้ให้แน่น อย่าตกลงไปนะ ฉันจะลงเขาไปเรียกคนมาช่วย”
“ไม่ใช่ พวกเธอฟังฉันพูดก่อน” จ้าวต้าถงตะโกนขึ้นมา
“ไม่ใช่อะไรเล่า? ตอนนี้นายอย่าเพิ่งพูด ฉันจะไปหาเชือกก่อน” หูหานตอบกลับ
จ้าวต้าถง “ไม่ใช่ นายฟังฉัน!”
หูหานจะพูดอะไรบางอย่าง ฟางอวิ๋นจิ้งพลันนึกอะไรออก “เชือกเหรอ? นายจะบอกว่าต้องการเชือกเหรอ?”
หูหานเกาหัวข้างหลัง “ก็ใช่สิ ไม่หาเชือกแล้วจะหาอะไร?”
“ฉันจำได้ว่าหลวงจีนวัดเอกดรรชนีเพิ่งเอาเชือกลงมาไม่ใช่เหรอ ตอนเขากลับไปก็ไม่ได้ถือเชือกไปด้วย ใช่หรือเปล่า?” ฟางอวิ๋นจิ้งกล่าว
หม่าเจวียนเกาหัวแล้วพูดขึ้น “เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”
หูหานก็พยักหน้า
ฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “เขาเอาเชือกไว้ที่นี่ ไม่ต้องขึ้นเขา หาดูรอบๆ…”
“พวกเธอไม่ต้องหา ฟังฉันพูดให้จบก่อนได้หรือเปล่า?” จ้าวต้าถงแทบจะร้องไห้แล้ว เขาห้อยอยู่กลางอากาศ กางเกงยังขาดอีก ไอ้นั่นออกมาโดนลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอะไรคือ ลมพัดเย็นสบาย! นี่มันสบายจริงๆ! แต่คนข้างบนไม่ให้เขาพูด ทำเอาเขาร้อนใจอยากจะด่าไปนัก
“พูดมา” ฟางอวิ๋นจิ้งว่า
“เชือกอยู่ข้างฉันนี่! ไม่รู้ว่ามันผูกได้ยังไงเหมือนกัน ห้อยลงมาข้างฉันพอดีเลย พวกเธอดูหน่อยว่าเชือกข้างบนผูกไว้แน่นไหม! ถ้าผูกไว้แน่นฉันจะได้ปีนขึ้นไป บ้าเอ๊ย ต้นไม้นี่ใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว พวกเธอเร็วหน่อย!” จ้าวต้าถงมองเชือกที่ห้อยลงมาข้างมือพอดี อยากจะร้องไห้ ในที่สุดก็ได้พูดแล้ว!
ฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน หูหานสามคนนิ่งอึ้งไป! จากนั้นพลันได้สติกลับมา รีบก้มหน้ามองสำรวจ พบเชือกเส้นหนึ่งอยู่บนพื้น เพียงแต่อยู่ในหญ้า มองเห็นไม่ชัดก็เท่านั้น ปลายเชือกอีกข้างผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่บนหน้าผาอย่างแน่น เห็นได้เลยว่าแข็งแรงมาก!
ตอนที่ 5 รองเท้าหนึ่งข้าง
ความจริงการยั่วโมโหฟางเจิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะระบบเตือนอีกครั้งว่าหากทำผิดจะถูกหักคะแนน ซ้ำยังเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! ฟางเจิ้งคงแคะอิฐเขวี้ยง ใส่แล้ว…
ตอนนี้เองเสียงสุภาพดังแว่วมา “เอาล่ะ หม่าเจวียน จ้าวต้าถง พวกเธออย่าเสียงดังนักเลย เขาแค่พูดประโยคเดียว ทั้งยังไม่ให้พวกเราจ่ายเงินอีก อภัยได้ก็อภัยเถอะ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ‘ยังมีคนที่มีความเป็นธรรมอยู่จริงๆ มิน่าถึงได้หน้าตาดีนัก คนนิสัยดีย่อมหน้าตาดีเป็นธรรมดา!’
แต่ต่อมาฟางเจิ้งก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง
ได้ยินฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “เฮ้อ น่าเสียดายหลวงจีนนั่นภายนอกก็ดูดีนะ รับสืบทอดต่อวัด ไม่ฝึกพระธรรม แต่ดันเรียนการโอ้อวดหลอกลวงคนอื่น…”
ฟางเจิ้งน้ำตานองหน้า คิดในใจ ‘ฉันถูกหลอกมากกว่าเธออีก! ฉันไปหลอกใคร? เวรจริงๆ อุตส่าห์พูดเตือนแล้วเป็นแบบนี้เนี่ยนะ? ทำไมทำกันแบบนี้?’
“ติ๊ง! นี่คือเหตุผลว่าพระถังซัมจั๋งไปเอาพระไตรปิฎกแล้วยังต้องจ่ายเงิน คำสอนของพระพุทธองค์จะถ่ายทอดกันตามอำเภอใจได้ยังไง? เมื่อถ่ายทอดแล้วก็ไม่มีมูลค่าแล้ว กระทั่งไม่มีใครสำนึกในบุญคุณ”
“นี่พี่ระบบ ในที่สุดก็พูดภาษาคนสักทีนะ! ได้ จากนี้ฉันจะไม่บอกความลับสวรรค์ตามอำเภอใจแล้ว บางคนก็สมควรถูกลงโทษ” ฟางเจิ้งทำเสียงหึหึด้วยความโกรธ
“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นั่นคือบุญกุศลครั้งใหญ่! จะได้รับคะแนนเพิ่มเยอะ”
“อะไรนะ? เธอจะตายเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป
“ติ๊ง! เส้นทางภูเขาเอกดรรชนีเดินยาก หากบาดเจ็บขึ้นมาแล้วอยู่ในสถานการณ์ไม่มีคนภายนอกช่วยล่ะก็ เธอมีชีวิตไม่ถึงตอนลงเขาแน่”
“อืม…ช่างเถอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเด็ก อีกอย่างวัดก็ตกแต่งใหม่แล้ว ขืนมีคนตายขึ้นมา คราวหลังคงไม่มีใครมาจุดธูป…” ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนหมุนตัวเดินกลับไป
ช่วงที่ฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ คลำลำต้นพลางพึมพำด้วยความแปลกใจ “แปลก นี่มันต้นโพธิ์จริงๆ ด้วย ทำไม่ถึงแตกกิ่งในฤดูใบไม้ร่วงกัน มันอยากตายรึไง? เป็นเมล็ดจากภาคใต้จริงๆ รนหาที่ตายในสภาพอากาศภาคเหนือที่ ไม่คุ้นชิน…”
เห็นฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงก็มองฟางเจิ้งด้วยความตื่นตัวพลางตะโกนไป “เณรน้อย แกมาทำอะไรอีก? จะบอกให้นะ พวกเราไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่จุดธูป แค่มาดูเท่านั้น!”
ฟางเจิ้งยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากพวกโยมจะดูดวง อาตมาก็ดูให้ไม่ได้หรอก หากพวกโยมจะจุดธูป บนโต๊ะบูชามีให้ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีหนึ่งดอกสองร้อยหยวน จะจุดหรือไม่จุดก็ตามสบาย” พูดจบก็ไม่สนใจจ้าวต้าถงที่มีสีหน้ามึนงง แต่มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่หม่าเจวียนหกล้มมาชน หลังตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอดรองเท้าไว้ วางไว้ตรงจุดที่หม่าเจวียนล้ม
ใกล้จะฤดูหนาวแล้ว รองเท้าฟางเจิ้งเป็นรองเท้าฝ้าย สวมแล้วอุ่นเล็กน้อย แต่ตอนไม่สวมจะเย็นๆ ตอนแรกเขาคิดจะถอดจีวรวางไว้ด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ทำแบบนั้นจะถูกมองว่าหยาบคายได้ ดีไม่ดีจะถูกไอ้คนอารมณ์ร้อนนั่นทุบตีเอา คงได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนจะให้ไปเอาของหลังลานวัด เขาก็ขี้เกียจอีก…
“นี่เณรน้อยทำอะไรอยู่?” จ้าวต้าถงมองฟางเจิ้งอย่างไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งตอบ “เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ ที่นี่คือ วัดของอาตมา อาตมาจะทำอะไรย่อมมีเหตุผล อย่าขยับของของอาตมา…”
ฟางเจิ้งพูดจบพลันอึ้งไป มีภาพหนึ่งขยับวูบผ่านในดวงตา เห็นจ้าวต้าถงลื่นตกเขาไป ดีที่เจ้าคนนี้ร่างกายแข็งแรงเหมือนวัวจึงจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ทัน จึงไม่ตกลงไปตาย แต่ก็ค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ขึ้นไม่ได้ ลงก็ไม่ได้
“เณรน้อย มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง? จะบอกให้นะ ฉันไม่ชอบผู้ชาย!” จ้าวต้าถงถูกฟางเจิ้งจ้องมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย หลังมองจ้าวต้าถงอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะ หมุนตัวจากไป จ้าวต้าถงเห็นแววตา ‘ลึกซึ้ง’ นั้นแล้วขนลุกไปทั้งตัว
ฟางเจิ้งเดินไปพลางเอ่ยต่อ “อย่าขยับรองเท้าอาตมา ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับห้าร้อย!”
“ทำไมไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?” จ้าวต้าถงตะโกนด้วยความโมโห แต่ฟางเจิ้งพูดถูก นี่คือ วัดของเขา เป็นกฎที่เขาตั้ง ต่อให้จ้าวต้าถงจะร้ายกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าจ้าวต้าถงก็ยังคงจับตาดูไว้พลางพูดเย้ยเยาะ “แกคงจะตั้งใจวางไว้สิท่า ให้พวก อวิ๋นจิ้งเตะ จากนั้นก็อาศัยจังหวะหลอกเอาเงิน? มีฉันอยู่แกอย่าหวังเลย ฉันจะดูอยู่ ตรงนี้ ดูซิว่าแกจะยังมีลูกเล่นอะไรอีก!”
ตอนนี้เอง หม่าเจวียน ฟางอวิ๋นจิ้ง หูหานสามคนดูต้นโพธิ์เสร็จแล้วเดินออกมา หม่าเจวียนอยู่หน้าสุด พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร กลุ้มใจจัง พวกเราไม่มีแฟนจะขอลูกได้ด้วยเหรอ? พอแล้วจริงๆ…”
ขณะพูดอยู่นี้ หม่าเจวียนเดินสะดุด ตัวเอียงดิ่งลง ร้องเสียงแหลมเล็ก “กรี๊ด!”
“ระวัง!” จ้าวต้าถงตกใจ แต่พูดเตือนก็สายไปแล้ว
ปึก!
หม่าเจวียนเอาหัวชนเข้ากับบันไดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับพื้น ก่อนกุมหัวพูดขึ้น “โอ๊ย เจ็บ!…นี่มันกลิ่นอะไร? เหม็นจัง…” ขณะบ่น หม่าเจวียนใช้มือหยิบของที่ตนเพิ่งกระแทกขึ้นมามองก็พบว่าเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง จึงโมโหโดยพลัน “ใครมันชั่วแบบนี้หะ? ทำไมถึงวางรองเท้าไว้มั่วซั่วแบบนี้?”
“นั่นของอาตมาเอง” ตอนนี้เอง หลวงจีนหัวโล้นมาปรากฏกายตรงหน้าหม่าเจวียน จากนั้นหยิบรองเท้าในมือเธอไป จนเธอได้สติกลับมาแล้วก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะต่อว่า ทว่าฟางเจิ้งเร็วกว่า เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในอุโบสถแล้วเดินอ้อมกลับกุฏิไป
หม่าเจวียนมีสีหน้าไม่ดีนัก บ่นพึมพำพูดถึงวัดและหลวงจีนเสียๆ หายๆ
แต่จ้าวต้าถงที่อยู่ข้างๆ กลับมองตามฟางเจิ้งไปด้วยสีหน้าตกใจ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเมื่อครู่ไม่หยุด ฟางเจิ้งถอดรองเท้าวางไว้อย่างดี จากนั้นหม่าเจวียนล้มลงหัวกระแทก…นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? จ้าวต้าถงอยากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก แต่ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งบอกว่าหม่าเจวียนจะมีภัยนองเลือด ถ้าฟางเจิ้งไม่วางรองเท้าไว้ตรงนั้น ด้วยมุมแหลมของบันไดนั่นแล้ว เกรงว่าหม่าเจวียนคงได้นองเลือดไปแล้วแน่ นี่ก็เป็น ภัยนองเลือดไม่ใช่เหรอ?
ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวต้าถงที่อึ้งไป ฟางอวิ๋นจิ้งก็อึ้งงันเช่นกัน มองบันไดบนพื้นแล้วมองตรงหน้าผากหม่าเจวียน ก่อนมองไปยังฟางเจิ้งที่หายไปแล้ว ถามจ้าวต้าถง “จ้าวต้าถง ตอนพวกเราเข้ามาไม่เห็นมีรองเท้าเลยนี่ มันมาจากไหน?”
จ้าวต้าถงยิ้มเฝื่อน “ฉันพูดไปพวกเธอคงไม่เชื่อแน่ หมอนั่น…อะแฮ่มๆ เจ้าอาวาสคนนั้นจงใจถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได”
“จงใจให้ฉันเหม็นน่ะสิ? หรือไม่ก็ไม่ชอบหน้าฉัน?” หม่าเจวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห
แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังมีความสุข วินาทีที่หม่าเจวียนหัวกระแทกกับรองเท้า เขาก็ได้รับข่าวจากระบบ
“ติ๊ง! ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ระบบจะให้โอกาสนาย จับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นการให้กำลังใจ!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “ยังมีข้อดีนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมนายไม่บอกฉันเร็วๆ? อืม ยังไม่จับดีกว่า ยังมีโอกาสจับรางวัลอีกครั้งรอฉันอยู่…อะแฮ่มๆ ไม่ใช่สิ ยังมีอีกคนรอที่ให้ฉันไปช่วยอยู่ ต้องรีบช่วยคน จะมามัวพูดไร้สาระกับนายไม่ได้แล้ว ว่าแต่เชือกฉันล่ะ?”
ตอนที่ 4 เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้
เด็กสาวอีกคนค่อนข้างเงียบ สวมแว่นตา มีท่าทีสุภาพเรียบร้อยดั่งคนในภาพวาด
เธอส่ายหน้าพลางว่า “อย่าพูดแบบนั้น คนดีๆ ก็มี”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ในวัดมีแต่หลวงจีนอ้วนฉุ ฉันไม่เชื่อเรื่องพุทธแล้ว ฉันเปลี่ยนศาสนาเป็นพระเจ้าแล้ว จากนี้ฉันคือบุตรของพระเจ้า ไปที่ไหนก็มีพระเจ้าคุ้มครอง” เด็กหนุ่มตัวใหญ่หน้าเรียวยาวพูดจบก็ขยับไม้กางเขนตรงคอ
“เอาล่ะ มาพูดจาไม่ดีแบบนี้หน้าประตูวัดคนอื่นไม่ดีหรอก ฉันเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว เข้าไปพักกันหน่อยเถอะ พวกเธอจะเข้าไปกันหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นถาม
“หูหานพูดถูก ไป เข้าไปดูกัน” เด็กหญิงร่างท้วมกล่าว
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปดูกัน พักสักเดี๋ยว ดื่มน้ำสักหน่อย แล้วเราค่อยเริ่มทำอาหารป่ากินกัน กินเสร็จจะได้ตั้งแคมป์”
พอได้ยินเรื่องตั้งแคมป์กับทำอาหารป่า วัยรุ่นเหล่านี้ต่างพากันตื่นเต้น
เพียงแต่ว่ายิ่งใกล้วัดมากเท่าไร พวกเขาต่างรู้สึกจิตใจสงบมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนรุ่ม ในตอนแรกค่อยๆ หายไป จนเดินมาถึงประตูวัดเอกดรรชนี พวกเขาต่างสงบลงโดย ไม่รู้ตัว เสียงพูดคุยน้อยลง เด็กหนุ่มใบหน้าเรียวยาวมองป้ายวัดแวบหนึ่ง “ศาลเจ้า เอกดรรชนี? เป็นที่ที่มีนิ้วเดียวจริงๆ เล็กมาก…เล็กกว่าโบสถ์ทุกที่ที่ฉันไปอีก”
“เอาเถอะ รู้แล้วว่านายเชื่อพระเจ้า มาถึงถิ่นคนอื่นแล้วพูดให้น้อยๆ ลงหน่อย” เด็กสาวเรียบร้อยต่อว่า
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวไม่คิดอย่างนั้นจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกสองครั้งแล้วเดินขึ้นไป
“อวิ๋นจิ้ง แปลกจริงๆ พอมาถึงวัดแล้วความกลุ้มในใจฉันหายไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก มันเงียบสงบ ความรู้สึกสบายใจแบบนี้มันเหมือนกับว่าวางเรื่องทุกข์ใจไว้ที่นี่ได้ทุกเรื่องเลย” เด็กสาวร่างท้วมรั้งเด็กสาวเรียบร้อยพลางพูดเบาๆ
“เสี่ยวเจวียน ฉันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน พอเข้ามาแล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัว เสียงดังเอะอะข้างนอกหายไปหมด แม้แต่สวนสาธารณะธรรมชาติยังไม่มีแบบนี้เลย” อวิ๋นจิ้งตอบเบาๆ
“ฉันว่านี่น่าจะเป็นห้วงสมาธิในตำนาน ไม่แน่ว่าที่นี่อาจจะมีไต้ซือ” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นนามหูหานเอ่ยต่อ
“หูหาน นายอย่าไปตามหม่าเจวียนกับอวิ๋นจิ้งเลย ถ้าที่นี่มีไต้ซือ ฉันจะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ! ฉันว่านะมันเป็นเพราะในใจพวกเธอต่างหาก พอเข้าวัดหรือวิหารอะไรพวกนี้แล้วในใจเลยเกิดความยำเกรง หรือไม่ก็เป็นธรรมชาติที่จะคิดว่าพระเจ้าปกป้อง จิตใจเลยมีที่พึ่งพาไม่เป็นทุกข์ก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มหน้ายาวกล่าว
“เอ๋? จ้าวต้าถง ที่นายพูดมันก็มีเหตุผลอยู่บ้างเหมือนกันนะ ไม่อยากเชื่อว่าปีนเขาครั้งนี้ นายจะเป็นนักปรัชญาไปแล้ว” หม่าเจวียนพูดหยอกล้อพลางหัวเราะอิอิ
จ้าวต้าถงเงยหน้าขึ้น “จริงๆ ฉันก็เป็นนักปรัชญาอยู่แล้ว!”
“อมิตพุทธ คุณโยมทั้งหลาย อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ฟางเจิ้งก็ไม่เคยได้รับการอบรมพุทธศาสนาขั้นพื้นฐานมาก่อน เคยเห็นแต่จากละครในโทรทัศน์ แล้วก็ทำตามพูดตามหลวงจีนหนึ่งนิ้วในเวลาปกติ
“หืม? นายเป็นหลวงจีนที่นี่เหรอ? ทำไมฉันคิดว่านายอายุไม่มากไปกว่าฉันสักเท่าไรเลยล่ะ? แล้วยังเป็นเจ้าอาวาสอีก? ขี้โม้ล่ะมั้ง?” จ้าวต้าถงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“จ้าวต้าถง อย่าทำตัวไร้มารยาทแบบนี้นะ!” ฟางอวิ๋นจิ้งดึงจ้าวต้าถงไว้
จ้าวต้าถงไม่คิดดังนั้นจึงพูดต่อ “ฉันก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรนี่ หรือว่าที่ฉันพูดไม่จริง?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นเพิ่งจะขมวดคิ้วก็ได้ยินเสียงจากระบบ “เป็นเจ้าอาวาส เป็นไต้ซือในอนาคต จะมาไม่พอใจเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ ควรจะใจกว้าง ให้อภัยทุกสิ่ง”
‘คนอื่นมาพูดแบบนี้ ฉันขมวดคิ้วก็ไม่ได้เหรอ?’ ฟางเจิ้งถามในใจ
“ไม่ได้ นี่คือความรู้พื้นฐานของไต้ซือ หากนายทำแบบนี้ เมื่อภารกิจสำเร็จแล้วจะถูกหักคะแนน”
‘เวรจริงๆ นี่นายขู่ฉันเหรอ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ
ระบบเมินฟางเจิ้ง ไม่โต้ตอบอะไรอีก
ฟางเจิ้งว่าในใจด้วยความโกรธ ‘อย่าคิดนะว่าจะขู่ฉันได้!’ พูดจบ ฟางเจิ้งก็พยายามท่องอยู่ในใจ จิตใจดั่งหัวใจเยือกแข็ง ฟ้าถล่มจงนิ่งเฉยไว้…จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าสุภาพอ่อนโยน “อาตมาอายุพอๆ กับพวกโยมจริงๆ คุณโยม วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็ก มีแค่อุโบสถกับลานวัดที่เปิดให้กับคนภายนอก โยมเชิญตามสบาย”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็คิดจะบอกไปอีกว่าหากมีเรื่องอะไรให้มาเรียกได้ แต่ระบบกลับกระโดดออกมา “เป็นไต้ซือ นายควรจะเป็นที่เคารพ ไม่ใช่สามเณรที่จะให้ใครเรียกไปๆ มาๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็ห้ามทิ้งฐานะตัวเอง”
จากนั้นฟางเจิ้งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับ เพียงแต่ทันทีที่หมุนตัวกลับมีสีหน้าไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะศาสนิกชนพวกนี้ แต่เป็นเพราะระบบ! ไม่ได้การแล้ว นี่มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว!
“เจ้าอาวาส รอเดี๋ยวค่ะ ขอถามหน่อยว่าที่นี่นับถือพระโพธิสัตว์แขนงใดคะ?” ตอนนี้เองเสียงเด็กสาวก็ดังแว่วมา
ฟางเจิ้งรีบเก็บความคิดชั่วร้ายทางสีหน้าไปก่อนหมุนตัวกลับด้วยสีหน้าอบอุ่น มองหม่าเจวียนที่ถามเมื่อครู่พลางตอบกลับอย่างนุ่มนวล “วัดนี้นับถือพระแม่กวนอิม คุณโยมยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วล่ะ พวกเราไปดูเองดีกว่า นี่เณรน้อย นายไปเล่นเถอะ” จ้าวต้าถงพูดขึ้น
ความโกรธในใจฟางเจิ้งพุ่งพรวด แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ เพราะระบบกระโดดออกมาอีกแล้ว “อดกลั้นไว้!”
‘ไอ้เวรเอ๊ย!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ จากนั้นระงับความโกรธไว้ ขณะจะพูดอะไรบางอย่างพลันอึ้งไป
นัยน์ตามีภาพวูบผ่าน เห็นหม่าเจวียนเดินออกมาจากอุโบสถแล้วสะดุดธรณีประตู ศีรษะดิ่งลงพื้นกระแทกกับบันไดประตู หัวแตกเลือดนอง…แม้ไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ก็เจ็บสาหัส พอมองหม่าเจวียนอีกครั้ง ตรงระหว่างคิ้วเป็นสีแดงคล้ำ
ฟางเจิ้งจะพูดบางอย่าง แต่ระบบชิงพูดก่อน “เห็นความลับสวรรค์ได้ แต่พูดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกลดอายุขัย เสื่อมสภาพทางเพศ!”
‘อะไรวะเนี่ย ระบบ นายมันขี้โกงชะมัด!’ ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว ระบบทรมานกันเกินไป ดังนั้นจึงได้แต่กลืนคำพูดตรงริมฝีปากไป หลังมองหม่าเจวียนเงียบๆ ปราดหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า “คุณโยมจงระวังทุกเรื่อง วันนี้อาจจะมีภัยนองเลือด”
“ไอ้หลวงจีนเหม็นโฉ่! แกว่าไงนะ? เชื่อไหมว่าฉันจะให้แกนองเลือดเดี๋ยวนี้เลย?” จ้าวต้าถงโกรธใหญ่แล้ว รูดแขนเสื้อขึ้นเผยกล้ามเนื้อ มีท่าทีโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ประกอบกับสีหน้าแบบนี้แล้วจึงดูมีพลังขึ้นมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งกำลังจะมองค้อนแต่ก็ระงับเอาไว้โดยพลัน ตามนิสัยของระบบแล้วเดาว่าไม่น่าจะยอมให้เขาแสดงสีหน้าที่เป็นการดูถูกชื่อเสียงไต้ซือ ดังนั้นจึงอดกลั้นเพลิงโทสะไว้อย่างแน่วแน่ มองจ้าวต้าถงด้วยจิตใจสงบ จากนั้นส่ายหน้าพลางว่า “พูดในสิ่งที่ควรจะพูดแล้ว พวกโยมตามสบาย”
จากนั้นหมุนตัวจากไป
คล้อยหลัง ฟางเจิ้งได้ยินหม่าเจวียนพูดด้วยความโมโห “หลวงจีนนี่น่ารังเกียจชะมัด! มีอย่างที่ไหนกันมาแช่งคนอื่นแบบนี้! อุตส่าห์คิดว่าสง่าอยู่บ้าง ดูเป็นมิตร ให้คนอื่น สบายใจ แต่ดูแล้วคงจะเป็นพวกลวงโลก!”
“ฉันก็บอกแล้วนี่ หลวงจีนสมัยนี้มีแต่พวกลวงโลก! มีของจริงที่ไหนกัน? รู้รึยังว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงให้เขาไสหัวไปไวๆ? คงจะออกมาแล้วก็…พวกเธอคงไม่รู้หรอก ตอนแรกฉันเคยไปมาหลายวัดแล้ว หลวงจีนก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้น! พูดว่าเธอจะมีภัยนองเลือดให้ตกใจ จากนั้นก็ให้บริจาคเงินจุดธูปขอพรอะไรพวกนั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เพื่อหลอกเหรอ? เจ้านี่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เป็นพวกลวงหลอกจนเป็นนิสัย ฉันว่านะทุกคนแค่ดู ก็พอแล้ว จะได้รีบไป ที่แบบนี้ฉันว่าไม่น่ามองหรอก มีวัดอยู่ในป่าเขาแบบนี้ ไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดีก็เป็นที่ไว้ฆ่าคนนั่นแหละ…” จ้าวต้าถงพูดเสียงดังมาก เหมือนกลัวว่าฟางเจิ้งจะไม่ได้ยิน
เห็นได้ว่ากำลังยั่วโมโหฟางเจิ้ง…
ตอนที่ 5 รองเท้าหนึ่งข้าง
ความจริงการยั่วโมโหฟางเจิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะระบบเตือนอีกครั้งว่าหากทำผิดจะถูกหักคะแนน ซ้ำยังเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! ฟางเจิ้งคงแคะอิฐเขวี้ยง ใส่แล้ว…
ตอนนี้เองเสียงสุภาพดังแว่วมา “เอาล่ะ หม่าเจวียน จ้าวต้าถง พวกเธออย่าเสียงดังนักเลย เขาแค่พูดประโยคเดียว ทั้งยังไม่ให้พวกเราจ่ายเงินอีก อภัยได้ก็อภัยเถอะ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ‘ยังมีคนที่มีความเป็นธรรมอยู่จริงๆ มิน่าถึงได้หน้าตาดีนัก คนนิสัยดีย่อมหน้าตาดีเป็นธรรมดา!’
แต่ต่อมาฟางเจิ้งก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง
ได้ยินฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “เฮ้อ น่าเสียดายหลวงจีนนั่นภายนอกก็ดูดีนะ รับสืบทอดต่อวัด ไม่ฝึกพระธรรม แต่ดันเรียนการโอ้อวดหลอกลวงคนอื่น…”
ฟางเจิ้งน้ำตานองหน้า คิดในใจ ‘ฉันถูกหลอกมากกว่าเธออีก! ฉันไปหลอกใคร? เวรจริงๆ อุตส่าห์พูดเตือนแล้วเป็นแบบนี้เนี่ยนะ? ทำไมทำกันแบบนี้?’
“ติ๊ง! นี่คือเหตุผลว่าพระถังซัมจั๋งไปเอาพระไตรปิฎกแล้วยังต้องจ่ายเงิน คำสอนของพระพุทธองค์จะถ่ายทอดกันตามอำเภอใจได้ยังไง? เมื่อถ่ายทอดแล้วก็ไม่มีมูลค่าแล้ว กระทั่งไม่มีใครสำนึกในบุญคุณ”
“นี่พี่ระบบ ในที่สุดก็พูดภาษาคนสักทีนะ! ได้ จากนี้ฉันจะไม่บอกความลับสวรรค์ตามอำเภอใจแล้ว บางคนก็สมควรถูกลงโทษ” ฟางเจิ้งทำเสียงหึหึด้วยความโกรธ
“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นั่นคือบุญกุศลครั้งใหญ่! จะได้รับคะแนนเพิ่มเยอะ”
“อะไรนะ? เธอจะตายเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป
“ติ๊ง! เส้นทางภูเขาเอกดรรชนีเดินยาก หากบาดเจ็บขึ้นมาแล้วอยู่ในสถานการณ์ไม่มีคนภายนอกช่วยล่ะก็ เธอมีชีวิตไม่ถึงตอนลงเขาแน่”
“อืม…ช่างเถอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเด็ก อีกอย่างวัดก็ตกแต่งใหม่แล้ว ขืนมีคนตายขึ้นมา คราวหลังคงไม่มีใครมาจุดธูป…” ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนหมุนตัวเดินกลับไป
ช่วงที่ฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ คลำลำต้นพลางพึมพำด้วยความแปลกใจ “แปลก นี่มันต้นโพธิ์จริงๆ ด้วย ทำไม่ถึงแตกกิ่งในฤดูใบไม้ร่วงกัน มันอยากตายรึไง? เป็นเมล็ดจากภาคใต้จริงๆ รนหาที่ตายในสภาพอากาศภาคเหนือที่ ไม่คุ้นชิน…”
เห็นฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงก็มองฟางเจิ้งด้วยความตื่นตัวพลางตะโกนไป “เณรน้อย แกมาทำอะไรอีก? จะบอกให้นะ พวกเราไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่จุดธูป แค่มาดูเท่านั้น!”
ฟางเจิ้งยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากพวกโยมจะดูดวง อาตมาก็ดูให้ไม่ได้หรอก หากพวกโยมจะจุดธูป บนโต๊ะบูชามีให้ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีหนึ่งดอกสองร้อยหยวน จะจุดหรือไม่จุดก็ตามสบาย” พูดจบก็ไม่สนใจจ้าวต้าถงที่มีสีหน้ามึนงง แต่มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่หม่าเจวียนหกล้มมาชน หลังตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอดรองเท้าไว้ วางไว้ตรงจุดที่หม่าเจวียนล้ม
ใกล้จะฤดูหนาวแล้ว รองเท้าฟางเจิ้งเป็นรองเท้าฝ้าย สวมแล้วอุ่นเล็กน้อย แต่ตอนไม่สวมจะเย็นๆ ตอนแรกเขาคิดจะถอดจีวรวางไว้ด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ทำแบบนั้นจะถูกมองว่าหยาบคายได้ ดีไม่ดีจะถูกไอ้คนอารมณ์ร้อนนั่นทุบตีเอา คงได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนจะให้ไปเอาของหลังลานวัด เขาก็ขี้เกียจอีก…
“นี่เณรน้อยทำอะไรอยู่?” จ้าวต้าถงมองฟางเจิ้งอย่างไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งตอบ “เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ ที่นี่คือ วัดของอาตมา อาตมาจะทำอะไรย่อมมีเหตุผล อย่าขยับของของอาตมา…”
ฟางเจิ้งพูดจบพลันอึ้งไป มีภาพหนึ่งขยับวูบผ่านในดวงตา เห็นจ้าวต้าถงลื่นตกเขาไป ดีที่เจ้าคนนี้ร่างกายแข็งแรงเหมือนวัวจึงจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ทัน จึงไม่ตกลงไปตาย แต่ก็ค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ขึ้นไม่ได้ ลงก็ไม่ได้
“เณรน้อย มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง? จะบอกให้นะ ฉันไม่ชอบผู้ชาย!” จ้าวต้าถงถูกฟางเจิ้งจ้องมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย หลังมองจ้าวต้าถงอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะ หมุนตัวจากไป จ้าวต้าถงเห็นแววตา ‘ลึกซึ้ง’ นั้นแล้วขนลุกไปทั้งตัว
ฟางเจิ้งเดินไปพลางเอ่ยต่อ “อย่าขยับรองเท้าอาตมา ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับห้าร้อย!”
“ทำไมไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?” จ้าวต้าถงตะโกนด้วยความโมโห แต่ฟางเจิ้งพูดถูก นี่คือ วัดของเขา เป็นกฎที่เขาตั้ง ต่อให้จ้าวต้าถงจะร้ายกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าจ้าวต้าถงก็ยังคงจับตาดูไว้พลางพูดเย้ยเยาะ “แกคงจะตั้งใจวางไว้สิท่า ให้พวก อวิ๋นจิ้งเตะ จากนั้นก็อาศัยจังหวะหลอกเอาเงิน? มีฉันอยู่แกอย่าหวังเลย ฉันจะดูอยู่ ตรงนี้ ดูซิว่าแกจะยังมีลูกเล่นอะไรอีก!”
ตอนนี้เอง หม่าเจวียน ฟางอวิ๋นจิ้ง หูหานสามคนดูต้นโพธิ์เสร็จแล้วเดินออกมา หม่าเจวียนอยู่หน้าสุด พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร กลุ้มใจจัง พวกเราไม่มีแฟนจะขอลูกได้ด้วยเหรอ? พอแล้วจริงๆ…”
ขณะพูดอยู่นี้ หม่าเจวียนเดินสะดุด ตัวเอียงดิ่งลง ร้องเสียงแหลมเล็ก “กรี๊ด!”
“ระวัง!” จ้าวต้าถงตกใจ แต่พูดเตือนก็สายไปแล้ว
ปึก!
หม่าเจวียนเอาหัวชนเข้ากับบันไดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับพื้น ก่อนกุมหัวพูดขึ้น “โอ๊ย เจ็บ!…นี่มันกลิ่นอะไร? เหม็นจัง…” ขณะบ่น หม่าเจวียนใช้มือหยิบของที่ตนเพิ่งกระแทกขึ้นมามองก็พบว่าเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง จึงโมโหโดยพลัน “ใครมันชั่วแบบนี้หะ? ทำไมถึงวางรองเท้าไว้มั่วซั่วแบบนี้?”
“นั่นของอาตมาเอง” ตอนนี้เอง หลวงจีนหัวโล้นมาปรากฏกายตรงหน้าหม่าเจวียน จากนั้นหยิบรองเท้าในมือเธอไป จนเธอได้สติกลับมาแล้วก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะต่อว่า ทว่าฟางเจิ้งเร็วกว่า เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในอุโบสถแล้วเดินอ้อมกลับกุฏิไป
หม่าเจวียนมีสีหน้าไม่ดีนัก บ่นพึมพำพูดถึงวัดและหลวงจีนเสียๆ หายๆ
แต่จ้าวต้าถงที่อยู่ข้างๆ กลับมองตามฟางเจิ้งไปด้วยสีหน้าตกใจ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเมื่อครู่ไม่หยุด ฟางเจิ้งถอดรองเท้าวางไว้อย่างดี จากนั้นหม่าเจวียนล้มลงหัวกระแทก…นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? จ้าวต้าถงอยากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก แต่ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งบอกว่าหม่าเจวียนจะมีภัยนองเลือด ถ้าฟางเจิ้งไม่วางรองเท้าไว้ตรงนั้น ด้วยมุมแหลมของบันไดนั่นแล้ว เกรงว่าหม่าเจวียนคงได้นองเลือดไปแล้วแน่ นี่ก็เป็น ภัยนองเลือดไม่ใช่เหรอ?
ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวต้าถงที่อึ้งไป ฟางอวิ๋นจิ้งก็อึ้งงันเช่นกัน มองบันไดบนพื้นแล้วมองตรงหน้าผากหม่าเจวียน ก่อนมองไปยังฟางเจิ้งที่หายไปแล้ว ถามจ้าวต้าถง “จ้าวต้าถง ตอนพวกเราเข้ามาไม่เห็นมีรองเท้าเลยนี่ มันมาจากไหน?”
จ้าวต้าถงยิ้มเฝื่อน “ฉันพูดไปพวกเธอคงไม่เชื่อแน่ หมอนั่น…อะแฮ่มๆ เจ้าอาวาสคนนั้นจงใจถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได”
“จงใจให้ฉันเหม็นน่ะสิ? หรือไม่ก็ไม่ชอบหน้าฉัน?” หม่าเจวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห
แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังมีความสุข วินาทีที่หม่าเจวียนหัวกระแทกกับรองเท้า เขาก็ได้รับข่าวจากระบบ
“ติ๊ง! ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ระบบจะให้โอกาสนาย จับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นการให้กำลังใจ!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “ยังมีข้อดีนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมนายไม่บอกฉันเร็วๆ? อืม ยังไม่จับดีกว่า ยังมีโอกาสจับรางวัลอีกครั้งรอฉันอยู่…อะแฮ่มๆ ไม่ใช่สิ ยังมีอีกคนรอที่ให้ฉันไปช่วยอยู่ ต้องรีบช่วยคน จะมามัวพูดไร้สาระกับนายไม่ได้แล้ว ว่าแต่เชือกฉันล่ะ?”
ตอนที่ 3 เนตรสวรรค์
กุมารทองด้านข้างหล่อเหลา กุมารีหยกงดงาม
กระทั่งฟางเจิ้งกำลังคิดว่า ‘พอทำภารกิจระบบเสร็จแล้วก็จะสึก หาหญิงสวยๆ แบบนี้สักคน!’
แต่เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้น กุมารีหยกกะพริบตา
อ้อมอุโบสถไป ลานข้างหลังเปลี่ยนไปเช่นกัน มีพืชดอก กุฏิสองห้องหน้าต่างสะอาดขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือในกุฏิมีห้องน้ำ! ถึงจะตกแต่งแบบโบราณ แต่ก็ไม่แย่ไปกว่าใน เมืองใหญ่เลย เรื่องการอาบน้ำและถ่ายหนักเบาไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนการถ่ายออกไป ทางไหนนั้น ฟางเจิ้งหาอยู่นานก็ไม่พบ คงเป็นของจากระบบ น่าจะต่างจากแบบธรรมดา
ห้องครัวก็ถูกติดด้วยแผ่นกระเบื้อง และยังมีเครื่องครัวครบครัน เป็นห้องครัวสมัยใหม่เลยก็ว่าได้! มองไม่ออกเลยว่าอยู่ในถิ่นกันดาร
ฟางเจิ้งพอใจกับมันมาก ขณะกำลังจะกล่าวชมนั้น เขาพลันนึกอะไรออกจึงเอ่ยขึ้น “นี่ระบบ ตอนนั้นรัฐบาลต่อสายสัญญาณให้พวกเรา แล้วก็เป็นแบบไร้สายด้วย ถึงจะเป็นแค่สัญญาณโทรศัพท์ก็เถอะ แต่ว่า…มันจะมีประโยชน์อะไร?”
“ยกระดับให้ทั้งหมดแล้ว คลื่นสัญญาณ ความเสถียร เครือข่ายรวดเร็ว” ระบบตอบกลับอย่างง่ายดายมาก
ฟางเจิ้งแสยะยิ้ม ยกนิ้วโป้งขึ้น “นายนี่เจ๋งจริงๆ พระพุทธองค์เองก็ออนไลน์กับเขาด้วยเหรอ?”
“ไม่ว่าอยู่ในยุคสมัยไหน ข้อมูลเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”
“พูดดี ถ้าอย่างนั้นก็ให้โทรศัพท์ฉันหน่อยสิ? เอาแบบที่เล่นเน็ตได้ หรือคอมพิวเตอร์ก็ดี” ฟางเจิ้งพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“…” ระบบเงียบไป
ฟางเจิ้งเห็นระบบเงียบไป มีโอกาสสูงที่จะไม่เล่นด้วยจึงไม่คิดอะไรอีก แต่จะเดินกลับห้อง
“ติ๊ง! ระบบประกาศภารกิจที่สอง ญาติโยมจุดธูปสิบดอกในหนึ่งเดือน หากสำเร็จ รางวัลคือ โอ่งพุทธหนึ่งใบ! หากภารกิจล้มเหลวจะเริ่มใหม่อีกครั้ง จะหยุดจนกว่าจะสำเร็จแล้วถึงไปภารกิจต่อไปได้”
“นี่ล้อฉันเล่นเหรอ พี่ระบบ ให้จุดธูปสิบดอกอย่างยากลำบากแล้วให้โอ่งใบเดียวเนี่ยนะ? แล้วอีกสองสามใบข้างหลังวัดล่ะ ไม่ใช้แล้วเหรอ? ถ้าไม่อย่างนั้นเรามาเปลี่ยนกันหน่อยดีกว่า? อย่างเช่นเป็นเงินอะไรพวกนี้” ฟางเจิ้งพูดไปพลาง ชี้โอ่งน้ำใหญ่สามใบข้างหลังวัดไปพลาง เขาไม่ใช่พวกหน้าเงิน แต่ตอนนี้เขามีปัญหาเรื่องอาหาร ไม่อยากเพิ่งได้ระบบมาก็หิวตายอยู่บนเขา
ผลคือ ระบบเงียบอีกครั้ง
“เอาเถอะ เจ้าโง่ ถ้าไม่สนใจกันก็หายไปซะ เฮ้อ นายพูดเหมือนภารกิจนี้มันง่ายนักแหละ วัดเอกดรรชนีร้างมาหลายปีแล้ว สิบวันถึงครึ่งเดือนถึงจะมีคนมาสักการะสักคน นายให้จุดธูปสิบดอกในหนึ่งเดือน ไม่มาเป็นฉันไม่รู้หรอก! อีกอย่างนายให้ฉันเป็น เจ้าอาวาส แต่ก็ให้วัดมาอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว ฉันไม่ได้ศึกษาพระธรรมลึกซึ้งอะไรมากนัก ถ้ามีคนมาจริงๆ ถามนิดถามหน่อยฉันตายแน่ รั้งใครเอาไว้ไม่ได้ ก็คงเป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์…”
พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งตบเข้าที่หน้าผากตัวเอง “ระบบ เมื่อกี้นายบอกว่าฉันยังมีโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้งไม่ใช่เหรอ?”
“ติ๊ง! ทุกครั้งที่ทำภารกิจที่กำหนดสำเร็จจะได้รับโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง! ตอนนี้นายมีโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง จะเริ่มจับเลยไหม?”
“เอาเลย!”
“ติ๊ง! จับเสร็จสิ้น ยินดีด้วยได้รับเนตรสวรรค์! จะรับเลยหรือไม่?”
“เดี๋ยว! นายล้อฉันเล่นเหรอ ฉันยังไม่ได้จับเลย นี่นายจับให้เหรอ? นายทำโดยพลการได้ไง! ทำแบบนี้มันไร้ยางอาย! รู้ไหม?” ฟางเจิ้งโกรธมาก ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้หมุนวงล้อใหญ่หรือไม่ก็ทุบไข่ทองคำ สรุประบบบอกผลเขา เป็นการลดขั้นตอนการจับรางวัลให้!
แต่ระบบก็ยังไม่สนใจเขา!
ฟางเจิ้งพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “ได้ นายเป็นพี่ใหญ่นี่ ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมาว่า เนตรสวรรค์มีประโยชน์อะไร? แล้วก็ขอรับไว้เลย!”
หนึ่งเค่อต่อมา ฟางเจิ้งรู้สึกเพียงแค่บนหัวมีแสงทองสายหนึ่งส่องลงมา จากนั้น เจ็บดวงตาสองข้าง น้ำตาไหลราวกับฝนตก หลังขยี้ตาอยู่นาน ตอนที่ลืมตาขึ้นเขาอึ้งไป พบว่าโลกสว่างขึ้น! เดิมทีเขาสายตาสั้นร้อยกว่าแต่ตอนนี้เห็นอะไรก็ชัดไปหมด! ความรู้สึกมันเหมือนกับกระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นพลันได้รับการเช็ดถูจนสะอาด มองอะไร ก็สบายตา!
“ติ๊ง! เนตรสวรรค์ทำให้มองเห็นเรื่องใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในสามวัน! ทุกวันเนตรสวรรค์จะมีผลต่อคนละหนึ่งครั้ง แต่ว่าเราจะเลือกใช้งานหรือปิดไว้ก็ได้ หากจะยกระดับก็ต้องใช้เงินบริจาคจุดธูปซื้อกับระบบ!”
“ใช้เงินซื้อ?” ฟางเจิ้งงุนงงอีกครั้ง เขาไม่คิดเลยว่าระบบจะไม่เหมือนกับทั่วไป ไม่เหมือนระบบของพุทธศาสนาเลยจริงๆ แต่เหมือนกับตัวแทนป้าในตลาดผักมากกว่า!
ระบบพูดต่อ “ใช่! แต่จะใช้ได้แค่เงินบริจาคจุดธูปเท่านั้น เงินที่ไม่ใช่หรือไม่มี แรงปรารถนาใช้ไม่ได้”
“ความหมายคือ เงินที่ฉันเก็บมาจากถนนก็ใช้ไม่ได้เหรอ?” ฟางเจิ้งถาม
“ถูกต้อง!”
ฟางเจิ้งเบะปาก หยั่งเชิงถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นจะยกระดับเนตนสวรรค์ต้องใช้ เงินเท่าไร?”
“คนมีห้าเนตร เนตรเนื้อ เนตรสวรรค์ เนตรปัญญา เนตรธรรม เนตรพุทธ เนตรเนื้ออยู่กับกายมนุษย์ หลังเสริมให้แข็งแกร่งแล้ว เมื่ออะไรผ่านตาแล้วจะไม่ลืม มองเห็นได้ในยามกลางคืน เนตรสวรรค์แบ่งเป็นเก้าขั้น ทุกการยกระดับสามขั้นจะเพิ่มอภินิหารพิเศษหนึ่งอย่าง เนตรสวรรค์ของนายคือขั้นแรก จะยกระดับไปขั้นสองต้องใช้เงินบริจาคจุดธูปหนึ่งหมื่นหยวน[1]!”
“หนึ่งหมื่นหยวน? นั่นก็ไม่มากนี่…เอ่อ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน” ฟางเจิ้งนึกถึงปัญหาเรื่องปากท้อง ค้นในกระเป๋าดูแล้วอยู่ในสภาพอับจนมีเงินอยู่ไม่กี่เหมา หนึ่งหมื่นหยวนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ประกอบกับวัดเอกดรรชนีกันดารมาก จะให้คนมาบริจาคจุดธูป หมื่นหยวนเหรอ? ฟางเจิ้งเหมือนเห็นภาพตัวเองครึ่งตัวจมลงไปในดิน จากนั้นก็เขียนพินัยกรรมลาลับ
ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังสิ้นหวัง พลันมีเสียงพูดคุยดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งหูผึ่งทันที แอบเครียดในใจ ‘มีคนมา!’
ฟางเจิ้งรีบสวมสบงขาดๆ ที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วฝากเอาไว้ให้ และยังมีจีวรเก่าๆ สีแดง สวมครบชุดแล้วก็ส่องกระจกเล็กน้อย พบว่านอกจากจะดูหนุ่มไปหน่อยแล้ว ที่เหลือก็ดูเหมือนหลวงจีน! โดยเฉพาะดวงตา อาจเป็นเพราะการเบิกเนตรสวรรค์จึงคล้ายๆ บ่อน้ำโบราณไร้ระลอกคลื่น ลุ่มลึกอย่างยิ่ง เขามองอยู่นานก็เกิดความรู้สึกจิตใจสงบ
‘เอาเถอะ จากนี้ไปใครเร่งรัดฉัน ฉันจะถลึงตาข่มมัน!’ ฟางเจิ้งหัวเราะเฮอะๆ ขณะเดียวกันเสียงพูดคุยข้างนอกเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ข้างนอกวัดเอกดรรชนี ชายสองหญิงสองมาถึงหน้าประตูวัด ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษา สวมชุดออกกำลังกาย แบกกระเป๋าปีนเขา ดูจากไม้เท้าปีนเขาในมือแล้วมีความเป็นมืออาชีพอยู่บ้าง
“โอ้โห บนเขามีวัดด้วย!” นักศึกษาชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยสิววัยรุ่นพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เด็กสาวร่างท้วมก็พูดอย่างประหลาดใจเช่นกัน “จริงด้วย! ฉันได้ยินชาวบ้านตรงตีนเขาบอกมาว่าบนเขาลูกนี้มีวัดอยู่แห่งหนึ่ง เหมือนว่าจะร้างนะ แต่ก็ไม่เห็นร้างเลยนี่ ดูดีออก ชาวบ้านนั่นพูดโกหกนี่นา”
“ฉันว่าเขาไม่ได้โกหกหรอก แค่คงอยากบอกเธอว่าวัดนี้มันลวงโลก! ยังต้องมีวัดอยู่อีกเหรอ สมัยนี้มีพระพุทธจริงๆ ที่ไหนกัน เป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น” เด็กชายใบหน้า เรียวยาว รูปร่างกำยำอีกคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ
“ก็ใช่ สมัยนี้นักบวชที่กินดื่มเที่ยวเล่นการพนันใช่นักบวชจริงๆ ที่ไหนกัน” เด็กสาวร่างท้วมพยักหน้า
[1] หยวน สกุลเงินจีน หนึ่งหยวนเท่ากับประมาณ4-5บาท เงินรองคือ เหมา สิบเหมาเท่ากับหนึ่งหยวน
ตอนที่ 2 ระบบพระพุทธองค์
ขาฟางเจิ้งที่ยกขึ้นหยุดชะงัก ไม่ใช่เพราะไต้ซือหรือเจ้าอาวาสอะไร แต่เพราะ วัดใหญ่ที่สุด! หลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยพูดอยู่หลายครั้งว่าความปรารถนาสูงสุดของเขาคือสร้างวัดเอกดรรชนีให้เป็นวัดใหญ่เหมือนกับวัดเมฆาขาว! อีกทั้งวัดเมฆาขาวก็เป็นเพียงวัดขนาดกลางเท่านั้น มีพื้นที่ร้อยกว่าหมู่[1]จะไปเทียบกับวัดใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างไร?
ฟางเจิ้งคิดมาตลอดว่าตนไม่ติดค้างใคร แต่เขาต้องยอมรับว่าเขาติดค้างหลวงจีนหนึ่งนิ้วเยอะมาก ตอนหลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพก็ไม่ได้ร้องขออะไรเขา แต่แววตานั้นกลับเหมือนขอร้องบางอย่าง ตอนนั้นฟางเจิ้งพยักหน้า…
‘เฮ้อ เป็นลูกผู้ชายรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้สิ ช่างเถอะ!’ ฟางเจิ้งส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นายต้องการให้ฉันทำอะไร?”
“ส่งเสริมพระธรรมให้รุ่งเรือง” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ได้ ถือว่าผ่านทาง ไม่มีปัญหา!”
“ติ๊ง! ระบบพระพุทธองค์ผูกมัดสำเร็จแล้ว ร่างสถิตจะต้องหมั่นเพียรฝึกสมาธิ ส่งเสริมพระธรรมให้เจริญรุ่งเรือง ชี้นำทุกสรรพสัตว์! หากผิดศีล จะไม่มีทายาทสืบต่อไป”
‘เวรเอ๊ย!’ ฟางเจิ้งด่าทอในใจ ก่อนพูดขึ้น “ทำไมนายไม่บอกก่อนเล่า!”
“ก็ร่างสถิตไม่ได้ถาม?” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งตะลึง ไม่มีทายาทสืบต่อไป? นี่จะเป็นหมันตลอดชีวิตเหรอ? เขายังอยากแต่งงานมีลูกนะ! นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!
“ตอนนี้เปลี่ยนได้หรือเปล่า?” ฟางเจิ้งถามเสียงอ่อย
“ได้!” ระบบตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“อย่างนั้นก็ดี ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ฟางเจิ้งพูดต่อ
“หลังร่างสถิตตายจะปลดข้อผูกมัดให้เอง” ระบบเอ่ยช้าๆ
“ไอ้เวรเอ๊ย!” ฟางเจิ้งอดใจไม่ไหวด่าออกไป
“เปรี้ยง!” สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง พื้นเป็นสีดำสนิท ฟางเจิ้งถึงกับขาชา
“เป็นคนที่พระพุทธองค์เลือก จะต้องระวังคำพูด ห้ามด่าทอตามอำเภอใจ” ระบบกล่าว
“ด่าในใจได้หรือเปล่า?” ฟางเจิ้งถามต่อ
“….” ระบบเองก็หมดคำจะพูด
“ระบบทำการผูกมัดแล้ว ขอประกาศภารกิจแรกของระบบ ต้องเก็บกวาดทั้งวัดให้สะอาดในหนึ่งวัน เมื่อสำเร็จจะได้รับรางวัลเสกป้ายวัดอันใหม่!”
“เอ่อ ว่าแต่ป้ายวัดมีประโยชน์อะไรเหรอ?” ฟางเจิ้งสงสัย ก็แค่ป้ายวัดเอง ยังเอามาเป็นรางวัลระบบอีก? ตอนนี้เขาก็มีอยู่แล้วนี่!
“ได้รับการปลุกเสกเพิ่มจากพระพุทธองค์ ยกระดับความยิ่งใหญ่ของวัด”
“ตอนนี้ไม่มีเลยเหรอ?”
“ไม่มี”
“เวรกรรม…” ฟางเจิ้งเบะปากพลางไม่คิดอย่างนั้น ก่อนแบกสัมภาระกลับกุฏิ ในเมื่อไปไหนไม่ได้ ก็เป็นนักบวชอย่างสงบสุขนี่แหละ
จากนั้นฟางเจิ้งหยิบไม้ขนไก่มาเริ่มเก็บกวาดลาน วัดนี้ไม่ได้สกปรกมาก เพียงแค่หลังหลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพแล้วก็มีฝุ่นเกาะจำนวนมากเท่านั้น ยุ่งกับงานในช่วงบ่าย ก่อนตะวันลาลับ ในที่สุดก็ทำความสะอาดวัดเสร็จ เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าพลางว่า “ระบบ เสร็จแล้ว!”
“ติ๊ง! เก็บกวาดได้สะอาดมาก สมบูรณ์แบบ! พระธรรมปลุกเสกป้ายวัดเอกดรรชนี!”
เสียงวิ้งดังขึ้น แสงทองส่องลงบนป้ายวัด เห็นเพียงป้ายวัดขยับแสงวูบวาบราวกับทองคำ!
ฟางเจิ้งอดคิดในใจไม่ได้ “หากเป็นทองบริสุทธิ์ ถอดลงมาน่าจะเอาไปขายได้ราคาสูงอยู่?”
“ป้ายวัดเป็นหน้าตาของวัด ห้ามเอาไปขาย” ระบบเตือนอย่างไม่เกรงใจ
ฟางเจิ้งเบะปาก “ฉันแค่คิดก็ไม่ได้เหรอ? จริงๆ นะ ก็นายไม่ให้เงินฉัน แล้วยังจะห้ามไม่ให้ฉันคิดเรื่องพวกนี้อีกเหรอ? นายมีอำนาจทุกอย่างแล้ว ยังจะมาสนใจ ฝันกลางวันของฉันอีกทำไม?”
ผลคือ ระบบไม่สนใจเขา
แสงทองอาบไล้อยู่สิบนาทีก็หายไป
ทว่าป้ายวัดก็ยังเป็นป้ายเก่าที่ผุพังเล็กน้อยอันเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป มองแวบแรกฟางเจิ้งยังเกิดความเคารพ เกิดความรู้สึกจิตใจสงบ! ความกลัดกลุ้มในใจพลันหายไป ความรู้สึกนั้นสุขสบายจริงๆ!
“เฮ้ย มหัศจรรย์จริงๆ!” ฟางเจิ้งอดพูดอย่างปลงอนิจจังไม่ได้
“ติ๊ง! เนื่องจากร่างสถิตสำเร็จภารกิจแรกในระดับสมบูรณ์แบบ รางวัลระบบจะมอบรางวัลวัดให้อีก จับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง!”
ฟางเจิ้งยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นแสงทองสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า เหมือนกับพระพุทธองค์ ทุบค้อนเหล็กลงมา!
“เวรแล้ว นี่ไม่ใช่ซ่อมแล้ว นี่มันจะพังกันชัดๆ!” ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง ถอยเข้าไปในวัด แต่แสงทองนอกวัดขยับวูบผ่านขวางเขาไว้ข้างนอก ไม่ว่าเป็นหรือตายก็เข้าไปไม่ได้
บนวัดยังมีระฆังใหญ่ใบหนึ่ง เปล่งแสงทองอร่าม
มือของเศียรพระพุทธรูปภายในทุบค้อนเหล็กลงมา มองไม่ออกว่ากำลังทำอะไร ผ่านไปราวสิบนาที ระฆังสีทองหายไป พระพุทธองค์ก็หายไปเช่นกัน แต่ทั้งวัดเปลี่ยนไปแล้ว!
กำแพงวัดที่เดิมทีถล่มลงซ่อมกลับมาใหม่อีกครั้ง เป็นผนังสีแดงดูเด่นตาเป็นพิเศษ
ต้นโพธิ์ที่แห้งตายไปนานแล้วภายในลานมีสีเขียวขึ้นมา กิ่งไม้แก่มีหน่ออ่อน!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ด่ายิ้ม “เจ้านี่แตกกิ่งในฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยนะ ไม่กลัวถูกแช่แข็งตายเรอะ? จริงๆ แล้วก็ยังอยากจะตัดแกไปทำฟืนอยู่เหมือนกัน แต่เป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้”
น่าเสียดายต้นโพธิ์พูดไม่ได้ขยับไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องตบปากมันสักที…
ซ่อมอุโบสถเสร็จแล้ว มีภาพแกะสลักสวยงาม ชายคายกสูง สวยงามจริงๆ! ขณะเดียวกันทุกที่มีกลิ่นอายของธรรมะ นี่คือความงามแบบธรรมชาติ งามจนเหมือนกับศิลปะธรรมชาติชั้นสูง!
ตรงประตูก็มีเทวรูปพระเวทโพธิสัตว์[2] เดิมทีแขนหายไปข้างหนึ่ง คทาสยบมาร ในมือก็ชำรุด ตอนนี้ยืนอยู่ตรงนั้นสมจริงราวกับมีชีวิต เดิมทีชุดเกราะสีลอกไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาทองอร่ามอีกครั้ง พระหัตถ์ข้างหนึ่งเท้าสะเอว พระหัตถ์อีกข้างกด คทาสยบมารลงพื้น ดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่มาก!
วัดเอกดรรชนีเป็นวัดเล็ก เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์สร้างขึ้นแบบนี้ บอกกับผู้มาเยือนว่านี่คือ วัดเล็ก ไม่ดูแลอาหารสามมื้อ หากเป็นวัดขนาดกลางอย่างเช่นวัดเมฆาขาว พระเวทโพธิสัตว์ในพระวิหารจะใช้สองมือกอดคทาสยบมาร ความหมายคือดูแลอาหารและที่พักสามวัน หากเป็นวัดใหญ่อย่างวัดเส้าหลิน พระเวทโพธิสัตว์จะกอดคทาสยบมาร สองมือประนม ความหมายคือ ดูแลอาหารและที่พักเจ็ดวัน!
ดังนั้นแล้วพระเวทโพธิสัตว์ไม่ใช่เพียงเทพปกปัก แต่ยังเป็นป้ายประกาศของแต่ละวัดใหญ่ หากเป็นแขกคนเฒ่าคนแก่ มองพระเวทโพธิสัตว์แวบเดียวก็รู้อะไรมากแล้ว
เดินผ่านธรณีประตูสูงไปจะวางกล่องบริจาคสีแดงเอาไว้หนึ่งใบ มองไม่เห็นว่าข้างในมีเงินเท่าไร
ฟางเจิ้งมองกล่องบริจาคพลางส่ายหน้าเบาๆ ในภาพจำเขา ตอนนั้นที่วัดเอกดรรชนีโด่งดังที่สุดก็ยังไม่เคยเห็นธนบัตรสีแดงในกล่องบริจาคมาก่อน กลับกันพวกเขายากจนมาตลอด
ใต้กล่องบริจาควางเบาะนั่งไว้สามใบสำหรับให้คนมาคารวะเทพ
ตรงข้ามกับประตูใหญ่มีเทวรูปสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่องค์หนึ่ง ในอ้อมอกอุ้มทารกคนหนึ่ง ทางซ้ายขวาเป็นชายหญิงกำลังปรนนิบัติ นั่นคือ พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรกับกุมารทองกุมารีหยก
นี่ก็เป็นเทพที่วัดเอกดรรชนีบูชามาตลอด เพียงแต่พระแม่กวนอิมในตอนแรกไม่ได้อยู่กับกุมารทองกุมารีหยก อีกทั้งตอนสร้างยังดูไม่ได้อยู่เล็กน้อย กระทั่งเครื่องหน้า ไม่ชัดเจน พระแม่กวนอิมตอนนี้สมจริงดั่งมีชีวิต คล้ายๆ กับหุ่นขี้ผึ้ง สวยเพียบพร้อม น่าเกรงขาม ศักดิ์สิทธิ์และมีเมตตากรุณา
[1] หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
[2] พระเวทโพธิสัตว์ คือ เทพธรรมบาลผู้ปกปักพุทธศาสนาตามความเชื่อของ ชาวพุทธมหายานในจีน
ตอนที่ 1 หลวงจีนยากจน
เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกคู่ขนานแห่งหนึ่ง…
ฤดูใบไม้ร่วงทางภาคเหนือ ท้องฟ้าไกลลิบ อากาศเย็นสบาย เมฆขาวลอยล่องเต็มฟ้า นกกระจอกบินไปทางใต้ สายลมเย็นสบายพัดพาใบไม้ทองอร่ามโปรยปราย ถือเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม!
แต่ก็มีบางคนไม่คิดแบบนี้
ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองกู่หลินมีภูเขาลูกหนึ่ง ยืดยาวมาจากเทือกเขาฉางไป๋ มีนามว่าเทือกเขาทงเทียน เทือกเขาทงเทียนมีภูเขาโดดขึ้นมาอยู่ลูกหนึ่ง นามว่า ภูเขาเอกดรรชนี ภูเขาไม่ถือว่าสูง แต่กลับมองเห็นฟ้าไกล น่าเสียดายไม่มีน้ำ บนภูเขา มีวัดแห่งหนึ่งนามว่าวัดเอกดรรชนี! วัดมีทางเข้าแค่หน้าหลังสองทาง ด้านหน้าเป็นวัด ด้านหลังเป็นกุฏิ และก็เป็นที่พักของเหล่านักบวช…เฮอะๆ ให้พูดจริงๆ คือที่พักของสามเณรฟางเจิ้ง เพราะทั้งวัดมีแค่เขาคนเดียว
เมื่อวานนี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วของวัดเอกดรรชนีมรณภาพไปแล้ว วัดเล็กที่เดิมทีชำรุดแทบจะจบสิ้นลง ตอนนี้อ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
ภายในลานวัดมีต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาถวายให้ในตอนนั้น ขนย้ายมาจากภาคใต้ พอปลูกต้นโพธิ์แล้วผู้มีอิทธิพลคนนั้นกลับต้องโทษประหาร เรื่องที่จะสร้างให้กับวัดจึงไม่เป็นจริงและไม่มีเรื่องราวต่อไปอีก
ถึงจะปลูกต้นโพธิ์แล้ว แต่อากาศทางภาคเหนือหนาวเหน็บ ตอนนั้นก็หนาวจนเกือบตาย ตอนนี้เหลือเพียงลำต้นแห้งๆ ฟางเจิ้งคิดอยู่หลายครั้งว่าอีกสักสองสามปีคงจะตัดมาเป็นฟืนได้…
เวลานี้ฟางเจิ้งยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ในมือถือเอกสารฉบับหนึ่ง แววตาดูคับแค้นใจยิ่ง เงยหน้าเพ่งมองฟ้าพลางสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ เป็นวันซวยจริงๆ ฉันแค่อยากสึก! ตอนนี้มาให้เอกสารเก่าๆ แบบนี้ทำไม? หรือแค่เพราะเอกสารเก่าๆ นี่ฉันถึงต้องเป็น เจ้าอาวาสวัดร้างนี่อย่างนั้นเหรอ? หนึ่ง วัดนี่ไม่มีเงิน สองไม่มีคน แม้แต่ธูปยังไม่มี นอกจากพายุฝนกับสีเขียวขจีแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ!
เฮ้อ…ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่งงานมีลูก จากนั้นตายอย่างสงบ แบบนี้มันยากเรอะ? ตอนแรกก็มีหลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งเลี้ยงฉันจนโตอย่างลำบาก ฉันก็อดทน ตอนนี้หลวงจีนเฒ่าไปแล้ว ทำไมฉันยังต้องเปื่อยตายอยู่ในวัดนี้? ไม่! ไม่มีวัน!”
พูดจบ ฟางเจิ้งม้วนเอกสารฉบับนั้นแล้วโยนไว้ในโพรงไม้
จากนั้นกลับเข้าห้อง เก็บสัมภาระเตรียมเดินทาง!
ทว่าตอนที่เดินมาถึงประตูใหญ่ของวัดเอกดรรชนี เขากลับหยุดลง หันไปมอง ป้ายทรุดโทรมของวัดพลางอดนึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ไม่ได้ เหตุที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วมีนามเรียกอย่างนี้นั่นเป็นเพราะเขามีเพียงนิ้วเดียว นิ้วเดียวทำอะไรได้? เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงทำอะไรไม่ได้เลย แต่หลวงจีนหนึ่งนิ้วกลับทำนาด้วยตัวเองได้ จากนั้นอาศัยการบิณฑบาตนำเงินจากการขายกับข้าวมาส่งฟางเจิ้งเข้าโรงเรียนจนถึงมัธยมปลาย
ประตูบานนี้ หลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนส่งฟางเจิ้งลงเขาไปเรียนหนังสือ และเป็น ประตูบานนี้ ทุกครั้งที่ฟางเจิ้งกลับมาจะเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วรอเขาอยู่หน้าประตู
เพียงแต่ว่าผ่านไปในแต่ละปีแต่ละวัน ฟางเจิ้งตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ หลวงจีนหนึ่งนิ้วเตี้ยลง หลังค่อมมากขึ้น อาการปวดต่างๆ ถามหา แต่ฟางเจิ้งไม่เคยเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วเจ็บปวดมาก่อน ท่านยังคงยิ้มพูดทำนองว่า ได้เห็นฟางเจิ้งเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวัน วัดเอกดรรชนีมีคนสืบทอดต่อแล้ว แค่นี้เขาก็ดีใจและพอใจแล้ว
พอได้ฟังดังนั้น ทุกครั้งฟางเจิ้งจะห่อเหี่ยว พูดอยู่ในใจว่า หลวงจีนท่านนี้ไม่เหมือนไต้ซือเลยสักนิด! ไต้ซือไม่ควรพูดแบบนี้ หรือจะพูดให้ฉันคิดได้กัน?
น่าเสียดายค่าเรียนมัธยมปลายสูงเกินไป หลวงจีนหนึ่งนิ้วร่างกายเริ่มแย่ลง ไม่มีแรงส่งฟางเจิ้งเรียนหนังสือต่อ ฟางเจิ้งเลยขึ้นเขากลับมาอยู่กับหลวงจีนหนึ่งนิ้ว น่าเสียดายหลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่ให้เขาทำนา ให้แต่อ่านพุทธคัมภีร์ เรียนพระธรรม กินข้าว ตักน้ำอะไรทำนองนี้ตามที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วทำ
เวลาผ่านไปสามปี หลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพแล้ว
ฟางเจิ้งเรียนมัธยมปลายไม่จบมาสามปี คนรุ่นเดียวกันใกล้จะขึ้นปีสี่ แต่เขายังอยู่ วัดเอกดรรชนี จึงเต็มไปด้วยความคับแค้นต่อที่นี่ อยากจะพูดกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วว่าจะลงเขาไปหางานทำหลายครั้ง ไปใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ไม่อยากลำบากแล้ว
แต่ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว เขาจะทำใจพูดต่อไม่ได้
ฟางเจิ้งคิดมาตลอดว่าเขาคือ ซุนหงอคง ส่วนหลวงจีนหนึ่งนิ้วคือบ่วงของพระถังซัมจั๋งสวมอยู่ที่หัว ให้เขาไม่มีอิสระไปชั่วชีวิต แต่หลังจากหลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพไปจริงๆ แล้วเขาพลันพบว่าเขาผิด! หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่ใช่บ่วงรัดหัว แต่เป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุด! เป็นบุพการี เป็นทุกอย่าง!
ดังนั้นเขาถึงร้องไห้ คุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพหลวงจีนหนึ่งนิ้วหนึ่งวัน หลังกลับขึ้นเขามาแล้วก็ยังร้องไห้อีกเจ็ดวัน!
หกวันก่อนหน้านี้เสียใจจริงๆ วันต่อมาหิว…
ดีที่วันที่เจ็ดหน่วยราชการส่งคนมาถวายข้าวและบะหมี่ให้ จากนั้นมอบเอกสารฉบับนี้ไว้ ทั้งยังเลื่อนขั้นจากสามเณรเป็นเจ้าอาวาสให้ฟางเจิ้ง! ถึงวัดจะไม่อยู่ในการดูแลของรัฐบาล การเลื่อนขั้นก็ไม่ใช่ แต่เอกสารฉบับนี้กลับมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อย นับตั้งแต่นี้ไปฟางเจิ้งก็เป็นคนที่มีหลักแหล่งอย่างถูกต้อง
แต่ว่าฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะเป็นนักบวช เขาอยากสึก แต่งงานมีลูก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข! เขาไม่อยากจนอีกแล้ว!
พอนึกได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหันหลับกลับไปมองพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร กลางอุโบสถพลางตะโกนด้วยความโกรธ มีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไรที่พวกท่านได้รับ การเซ่นไหว้บูชา แต่พวกเรากลับต้องยากจน? ผมจะไม่คอยรับใช้อีกแล้ว! ไม่ทำแล้ว! จะไปแล้ว!
‘ติ๊ง!’ ตอนนี้เองเกิดเสียงดังในความคิดฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ตะโกนเสียงดัง “ใคร?”
“ยินดีด้วยร่างสถิต ตรงตามเงื่อนไขการเปิดระบบพระพุทธองค์ มีวัดหนึ่งแห่งสำเร็จ มีผลทันที ท่านจะได้รับการปกป้องจากสวรรค์ เบิกเนตรหมื่นโลก”
“เล่นบ้าอะไร?” ฟางเจิ้งคิดว่ามีคนจะทำให้ตนอับอายจึงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใคร!
เขาค้นไปทั่วตัวก็พบกับโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง เป็นรุ่นโนเกียเมื่อหลายปีก่อน ยังรับสายได้ ทุบถั่ววอลนัทก็ได้ เสียงก็มีสองเสียง ไม่มีอินเทอร์เน็ต! ของแบบนี้ไม่มีทางใช้คำพูดระดับสูงแบบนี้ได้แน่!
ที่เหลือก็ไม่ใกล้เคียงกับความจริงตอนนี้เลย ไม่มีทางพูดได้
‘ติ๊ง! ตอบร่างสถิต ฉันคือ ระบบพระพุทธองค์ นายคือ คนที่พระพุทธองค์เลือก’
“ระบบ? ระบบพระพุทธองค์?” ฟางเจิ้งนึกถึงอะไรบางอย่างจึงถามออกไป “สูตรโกงเหรอ?”
‘จะอธิบายแบบนั้นก็ได้’
“ถ้างั้นนายเอาอะไรมาให้ฉันได้?” ฟางเจิ้งถามขึ้นจากนั้นยิ้มแห้งพูดต่อ “เอาล่ะ ไม่ต้องตอบ ฉันจะสึกลงเขาแล้ว จะมาเป็นพระพุทธองค์อะไร…”
‘ชื่อเสียงเงินทองและผู้หญิง!’
“ฉันว่าฉันต้องทบทวนสักหน่อยแล้ว จริงๆ แล้วฉันก็ซาบซึ้งในพระธรรมอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยหลวงตาหนึ่งนิ้วก็เคยบอกไว้” ฟางเจิ้งรีบเปลี่ยนคำทันที
‘ไม่ให้หรอก!’ ระบบตอบกลับอย่างเชื่องช้า
“เวรเอ๊ย นี่ล้อฉันเล่นเรอะ? ไม่เล่นด้วยแล้ว ฉันจะลงเขา!” ฟางเจิ้งหิ้วสัมภาระ จะเดินจากไป
เสียงระดับดังขึ้นอีกครั้ง ‘แต่ฉันจะช่วยนายให้เป็นเจ้าอาวาสและไต้ซือที่หมื่นคน บนโลกนี้เลื่อมใส เปลี่ยนวัดเอกดรรชนีให้เป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก!’