คนผู้นั้นดวงตากระจ่างฟันงาม เพริศแพร้วผุดผ่อง ดูแล้วอายุราวสิบห้าสิบหกปี ยืนอย่างน่ามองอยู่บนบันไดหิน
ดวงตาโตมีชีวิตชีวาของนางกะพริบน้อยๆ พูดกับตัวเองว่า “เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นๆ”
จากนั้นนางก็ตบหน้าผากคล้ายตระหนักได้โดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นพี่ชายคนนั้น”
นางจึงไม่เดินหน้าต่อไปอีก นั่งยองอยู่บนบันไดหิน มือทั้งสองเท้าคางน้อยๆ รอคอยอยู่เงียบๆ
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้น ตอนแรกในดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจ คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้รวดเร็วปานนี้
จากนั้นก็ยิ้มระรื่นโบกไม้โบกมือ “พี่ชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็อึ้งไป ชื่อเหยาหรือ
เด็กสาวผู้นั้นยิ้มหวาน ผมยาวสลวยสีแดงเพลิงเกล้าขึ้นเป็นมวยปักด้วยกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ผิวกายละเอียดรนวลเนียนถูกห่อหุ้มด้วยใบไม้สีแดงเพลิงยักษ์ใบหนึ่ง เผยน่องเปล่งปลั่งอมชมพูและเท้าเปลือยเปล่าขาวโพลน
ที่ข้อเท้าขาวราวหิมะของนางมีสายโซ่สีดำแปลกประหลาดเส้นหนึ่งพันธนาการไว้
ส่วนบริเวณหว่างคิ้วก็มีลายเพลิงพิสดารสายหนึ่ง
เป็นชื่อเหยา ‘แม่นางกินยา’ ที่เจ้าคางคกเคยเรียกนั่นเอง
หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก!
ในกาลเวลาอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด นางจำศีลเก็บตัวที่ต้นไม้เทพแสงชาด ยามปรากฏกายก็ชักนำอสนีเคราะห์ทำลายพันธนาการ น่าสะท้านขวัญถึงที่สุด
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางชื่อเหยา”
หลินสวินกลับมาสงบนิ่ง หญิงผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ยากหยั่งถึงอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ดูเหมือนงดงามผุดผาด แต่ความจริงแล้วตัวนางดูพิสดารไปหมด
“พี่ชาย เจ้าก็คือเทพมารหลินสินะ หาไม่แล้วข้าก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าในแดนเผาเซียนแห่งนี้ จะมีใครที่ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝ่าขึ้นบันไดสวรรค์เป็นร้อยขั้นในทีเดียวได้อย่างเจ้า”
ชื่อเหยายิ้มละไม กลิ่นอายดุจกล้วยไม้ ดวงตามีชีวิตชีวาทรงเสน่ห์ น้ำเสียงกังวานใส
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้มีความจำเป็นต้องปกปิด
คราวนี้ชื่อเหยาลุกขึ้นยืดเอวบอบบางที่มือเดียวโอบรอบได้ แล้วจึงพูดเสียงใสว่า “พี่ชาย ที่จริงตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็อยากเจรจากับเจ้าตามลำพังเสียหน่อย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
หลินสวินประหลาดใจ “เจรจาเรื่องอะไร”
ชื่อเหยายิ้มละไมพูดว่า “เจรจาค้าขาย ถ้าข้าเดาไม่ผิด พี่ชายน่าจะมีไม้โพธิ์ที่ถูกพลังพิฆาตมรรคโจมตีอยู่ในมือท่อนหนึ่งใช่หรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป ดูเหมือนเยือกเย็น แต่ความจริงแล้วในใจออกจะสั่นสะท้าน
เขามีไม้โพธิ์ไหม้ดำท่อนหนึ่งอยู่ในมือจริงๆ เป็นสิ่งที่ได้มาจากซากอารามที่อริยะตู้จี้ทิ้งไว้
ในไม้โพธิ์นี้ยังมีพลังพิสดารสีทองผนึกไว้ ลึกลับและแปลกประหลาดถึงที่สุด คงเป็นพลังพิฆาตมรรคอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าชื่อเหยาผู้นี้ล่วงรู้ว่าเขามีสิ่งนี้อยู่กับตัวได้อย่างไร
“พี่ชาย เจ้าอย่าคิดมากเลย สาเหตุที่รับรู้ถึงไม้โพธิ์ได้ก็เพราะสัญชาตญาณที่เป็นพรสวรรค์ของสายเลือดข้า”
ดวงตากระจ่างของชื่อเหยาเจือแววประหลาด ยิ้มละไม
แต่ในใจหลินสวินกลับไม่อาจสงบได้ดังเดิม ชื่อเหยาผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงมีสัญชาตญาณพรสวรรค์ที่อัศจรรย์และน่าตกใจเช่นนี้
“พูดเช่นนี้ เจ้าจับตามองข้าตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
ชื่อเหยากะพริบตาดวงโตทรงเสน่ห์ แล้วพยักหน้าพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ไม้โพธิ์มีประโยชน์กับข้าอย่างยิ่ง หากเป็นไปได้ ข้าต้องชิงมาครองให้ได้”
เสียงใสกังวาน น้ำเสียงผ่อนคลาย แต่กลับเจือไปด้วยความแน่วแน่
ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอีก แล้วชี้ไปที่สายโซ่ประหลาดสีดำที่ข้อเท้าของตน เอ่ยว่า “หากพี่ชายยอมสละไม้โพธิ์ให้ ข้าก็ยินดีจะใช้สมบัตินี้แลกเปลี่ยนกับเจ้า”
หลินสวินใจสะท้านอีกครั้ง
เขาไม่ได้ลืมที่เจ้าคางคกพูดไว้ ว่าสายโซ่นี้เป็นสมบัติอริยะที่น่าพรั่นพรึงถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก!
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ สายโซ่เส้นนี้หนาประมาณนิ้วก้อย สีดำสนิทโปร่งใส พันอยู่บนข้อเท้าขาวโพลนทั้งสองข้าง เต็มไปกลิ่นอายมรณะน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่า
กลิ่นอายมรณะเหล่านี้กลับแปรสภาพเป็นลายมรรคอัศจรรย์และบิดเบี้ยว ประทับแน่นอยู่ทุกกระเบียดของสายโซ่
ไม่ว่าใครเห็นเข้าคงถูกดึงดูด แล้วจากนั้นก็หวาดหวั่นเพราะมัน!
ทว่าที่ทำให้หลินสวินไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริงก็คือ ชื่อเหยาถึงกับเอาสมบัติอริยะที่แปลกประหลาดน่าหวั่นกลัวเช่นนี้มาแลกเปลี่ยนกับไม้โพธิ์ นี่ทำให้หลินสวินออกจะเหนือความคาดหมาย!
“มูลค่าของมันมากกว่าสมบัติอริยะหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
ชื่อเหยายิ้มหวาน ฟันงามแวววาว ริมฝีปากเปล่งปลั่งกล่าว “สำหรับข้าแล้ว มันมีแรงดึงดูดยิ่งกว่าสมบัติอริยะเสียอีก ดังนั้นถึงยอมเอาสมบัติอริยะมาแลกเปลี่ยน แต่เมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่น เกรงว่าคงไม่ต่างอะไรกับไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง”
หลินสวินจึงยิ้มแล้ว “ถูกอย่างที่แม่นางพูด ข้ากับเจ้าคิดเหมือนกัน ไม้ผุๆ ท่อนนี้ ข้าไม่เคยคิดขายให้ใคร”
ชื่อเหยาอึ้งไป อดไม่ได้ถามว่า “พี่ชาย เจ้าไม่คิดดูอีกหน่อยหรือ”
นางพูดพลางกัดริมฝีปากสีชมพู เผยความลำบากใจ ดวงตากระจ่างไหววูบ ความน่าหลงใหลชวนตะลึงแผ่ซ่าน น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลมีจริตจะก้าน “ถ้าพี่ชายยอมตัดใจ บางที… ให้ข้าเอาตัวเข้าแลกก็ได้นะ”
ผิวพรรณของนางเรียบเนียน รูปลักษณ์งดงามผุดผาด เวลานี้เอ่ยปากอย่างขวยอาย พลันมีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุดเผยออกมา ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็เกรงว่าจะถูกยั่วยวนให้จิตใจเคลิบเคลิ้ม หัวสมองปั่นป่วน
แต่ดวงตาหลินสวินใสกระจ่างสงบนิ่ง ไม่มีความไหวหวั่นแม้แต่น้อย พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกเราฝึกปราณ จะละโมบลุ่มหลงหญิงงามได้หรือ ขอให้แม่นางสงวนตัวด้วย!”
ชื่อเหยาตาเบิกกว้างเหมือนทำใจเชื่อได้ยากอยู่บ้าง ครู่หนึ่งถึงหน้าแดงขึ้นมาแล้วพูดดูถูกว่า “เจ้ากับพี่ชายเผ่าคางคกทองสามขาคนนั้น เทียบกันแล้วช่างแข็งทื่อเสียจริง ไม่เข้าใจอารมณ์รักใคร่ของหนุ่มสาวเลยสักนิด”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “โฉมตรูเมื่อวายชนม์เป็นโครงกระดูก ร่างกายไม่ว่าสวยงามเพียงใดก็เป็นเพียงกระดูกหุ้มด้วยเนื้อหนัง แม่นางมีผิวพรรณงดงามจนล่มแคว้นได้ แต่ในสายตาข้าแล้ว ที่เห็นกลับเป็นโครงกระดูกขาวภายใต้ผิวหนัง รูปลักษณ์เช่นนี้ช่างน่าเบื่อขาดรสชาติ”
ชื่อเหยาคล้ายโกรธเคืองอยู่บ้าง กล่าวว่า “พี่ชาย เจ้ายังโสดมาตลอดใช่ไหม”
หลินสวินอึ้งไป
ก็เห็นว่าชื่อเหยาพ่นเสียงหัวเราะออกมา ชี้ไปที่หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ถูกข้าพูดจี้ใจดำจริงๆ ด้วย เจ้าคนไม่เข้าใจความรักของหนุ่มสาวอย่างเจ้า ต่อให้มีแม่นางมาชอบเจ้า เกรงว่าเจ้าคงจะไม่รู้ตัว”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “นี่ไม่เกี่ยวกับแม่นาง”
ชื่อเหยาเห็นหลินสวินยังดื้อดึง ก็ถอนใจเบาๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เอ่ยว่า “พี่ชาย เจ้าดื้อดึงปานนี้ทำให้ข้าจัดการยากนัก หากไม่ได้ไม้โพธิ์ ข้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต่อไปยังจะพูดถึงแสวงมรรคหยั่งรู้ปริศนาอะไรอีก”
หลินสวินเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ดังนั้นเจ้าคิดจะใช้กำลังแย่งไปหรือ”
ชื่อเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือคล้ายหงุดหงิด กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่ต้องคิดไปก่อน ไว้พูดกันทีหลังเถอะ”
เวลานี้หลินสวินพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นาง หากเป็นไปได้ข้าก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูของเจ้า ขอให้เจ้าไตร่ตรองให้ดี”
พูดจบเขาก็ไม่สนใจชื่อเหยาอีก ก้าวย่างขึ้นบันไดฝ่าด่านต่อ
สวบ!
เงาร่างของเขาหายลับ เริ่มประลองกับคู่ต่อสู้คนต่อไป
ส่วนตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของชื่อเหยามลายหายไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าสงบนิ่งเย็นชา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั้งร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกราวหิมะ ไม่มีความทรงเสน่ห์อย่างก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะดวงตาเปล่งประกายราวดวงดาราคู่นั้น มีประกายเทพเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบไหวเคลื่อนเลือนราง
‘อ่านไม่ขาด… อ่านไม่ขาดจริงๆ… ถ้าอ่านขาดได้ก็คงลงมือได้ตั้งนานแล้ว…’ นางพึมพำในใจ
ครู่หนึ่งผ่านไป นางสูดหายใจลึก เก็บงำกลิ่นอายเย็นเยียบรอบกาย สีหน้ากลับมางดงามและผุดผาดดังเดิม
ตอนนี้หลินสวินฝ่าผ่านบันไดขั้นที่หกสิบห้าแล้ว เงาร่างปรากฏขึ้น
“พี่ชาย หากเจ้าไปถึงจุดสูงสุดเป็นคนแรก ข้ารับรองว่าจะพิจารณาข้อเสนอแนะของเจ้าอย่างจริงจัง” ชื่อเหยาเผยรอยยิ้มอ่อนหวานสดใส พูดด้วยเสียงกังวาน
หลินสวินยักไหล่กล่าว “จะไปถึงจุดสูงสุดคนแรกหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่ข้าให้เจ้า หากเจ้ายังดื้อดึงทำเรื่องเหล่านี้ เกรงว่าใครก็คงรั้งไว้ไม่ได้ ทว่าข้าขอพูดตามตรงเช่นกันว่าผู้ที่เป็นศัตรูกับข้าย่อมจบไม่สวย ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในภายภาคหน้า”
ดวงตากระจ่างของชื่อเหยาทั้งคู่หรี่ลงจนมีรูปลักษณ์เหมือนคมดาบ จากนั้นก็หัวเราะอย่างไร้เสียงคล้ายไม่เห็นด้วย
ส่วนหลินสวินก็ไม่กล่าวมากความอีก ฝ่าด่านต่อไป
ถึงตอนนี้ทั้งสองไม่พูดคุยอีกสักประโยคเดียว บรรยากาศดูน่าอึดอัดยิ่ง
ชื่อเหยานั่งลงตรงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ฝ่าด่านแล้ว
มือขาวสะอาดราวหยกทั้งสองข้างของนางเท้าคางแล้วมองอยู่เงียบๆ เช่นนี้ ดวงตาไม่กะพริบสักครั้ง เหมือนต้องการรู้ชัดว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนเช่นไรกันแน่
ขั้นที่หกสิบสี่
ขั้นที่หกสิบสาม
……
ทุกครั้งที่เห็นหลินสวินเหยียบย่างลงบนบันไดขั้นหนึ่ง ในใจของชื่อเหยาจะปรากฏภาพยามตนฝ่าด่านขึ้นมา แล้วทำการเปรียบเทียบ
สุดท้ายแล้ว การเปรียบเทียบเช่นนี้ก็อยู่ที่เวลาที่ใช้ในการฝ่าด่าน
จากนั้นดวงตากระจ่างของชื่อเหยาก็ฉายแววประหลาดเป็นครั้งคราว เพราะกระทั่งตอนนี้ ความเร็วที่หลินสวินฝ่าด่านทุกครั้งเหนือกว่านางเล็กน้อย
ทว่านางไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะหากต้องการ นางก็ทำได้เช่นกัน
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงบันไดขั้นที่ห้าสิบ
แต่ชื่อเหยาที่นั่งอยู่บนบันไดขั้นที่สี่สิบเก้าพลันเอ่ยปากว่า “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า พี่ชายรู้ไหมว่าหมายความว่าอะไร”
น้ำเสียงกังวาน ไพเราะรื่นหู
ทว่าดวงตาดำของหลินสวินกลับหรี่ลงทันใด จากนั้นจึงพูดว่า “รอดพ้นเพียงหนึ่ง?”
ชื่อเหยาเม้มริมฝีปากเปล่งปลั่ง ยิ้มแต่ไม่พูด
หลินสวินก็ยิ้มด้วย ยกเท้าก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สี่สิบเก้าอย่างแผ่วเบา สีหน้าเป็นธรรมชาติ
ชื่อเหยาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นร่างงามก็ตึงเครียดเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น แล้วกลับมาสุขุมเยือกเย็นในทันใด เพียงแต่สายตาที่มองไปยังหลินสวินเจือไปด้วยความเยียบเย็นแล้ว
หลินสวินไม่ใส่ใจ เขาย่อมเข้าใจความหมายที่อยู่ในถ้อยคำของชื่อเหยาอย่างชัดเจน เป็นการเตือนว่าไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าทำเด็ดขาดเกินไป จะต้องเหลือโอกาสไว้กลับตัวได้บ้าง
แต่น่าเสียดาย ไม้โพธิ์นี้ไม่สามารถมอบให้ได้โดยเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้เกี่ยวโยงถึงความลับเรื่องการตายของอริยะตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬ มีความเร้นลับยิ่งใหญ่ราวกับเป็นข้อห้ามซ่อนอยู่!
หลินสวินไม่ยอมอ่อนข้อโดยง่ายอย่างแน่นอน
หากชื่อเหยาไม่เสียใจที่จะเป็นศัตรูกับตน ดื้อดึงหมายจะชิงของสิ่งนี้ เช่นนั้นหลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะปลิดชีพศัตรูอีกคนหนึ่ง!
“ดูท่า ไม่มีทางกล่อมได้อีกแล้ว…”
ชื่อเหยามองเงาร่างที่ก้าวขึ้นหน้าไปทีละก้าวพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว ในใจถอนหายใจเบาๆ
ถ้าเป็นไม้โพธิ์ธรรมดา ชื่อเหยาก็คร้านจะใส่ใจ
แต่ไม้โพธิ์ที่อยู่กับหลินสวินท่อนนั้นกลับต่างออกไป เคยถูกพลังพิฆาตมรรคโจมตี ความสูงค่าของมันมากพอจะทำให้ชื่อเหยาเข้าช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใด!
เพราะสิ่งนี้เป็นของต้องห้ามหายากตั้งแต่โบราณชิ้นหนึ่ง เดิมทีไม่ควรมีอยู่ ถูกทำลายไปกับกาลเวลา ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดถึงยังคงอยู่ได้
หากมีโอกาสได้เข้าใจปริศนาต้องห้ามภายในนั้นอย่างถ่องแท้…
เกรงว่าแม้แต่อริยะยังคลุ้มคลั่ง!
——
บันไดสวรรค์ทอดยาวลงมาจากขอบฟ้า ไม่อาจคาดเดาความสูงได้
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ฟ้าดินเงียบเชียบ
หลินสวินกวาดสายตาไปทั่ว นอกจากตนเองก็ไม่มีผู้ใดอีก
นี่คือภายในหอมกุฎ กล่าวอย่างเคร่งครัดหน่อยก็คือเป็นแดนลี้ลับพิสดารแห่งหนึ่ง
ภายในแดนลี้ลับมีเพียงบันไดสวรรค์
มหามรรคประหนึ่งฟ้า บันไดสวรรค์คือทางข้าม!
ก่อนเข้ามาหลินสวินทำความเข้าใจมาแล้วว่า การทดสอบของหอมกุฎนั้นง่ายดายมาก คือการปีนขึ้นบันไดโดยอาศัยมรรควิถีของตัวเอง ท้ายที่สุดดูว่าสามารถปีนไปถึงตำแหน่งไหนของบันไดสวรรค์มหามรรค
มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่อยู่หนึ่งพันขั้นแรก ที่เมื่อทางผ่านไปยังแดนเก้าบนปรากฏออกมาจึงจะเข้าไปในนั้นได้อย่างราบรื่น
ทว่าบันไดสวรรค์มหามรรคนี้ไม่ได้มีแค่หนึ่งพันขั้นเท่านั้น!
ครืน!
หลินสวินก้าวเท้าเหยียบลงบนขั้นที่หนึ่ง ชั่วพริบตาแรงกดดันมหามรรคก็ปรากฏ ทำให้ร่างของเขาชะงักไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นสีหน้าเขายังคงไม่แปรเปลี่ยน ก้าวไปขั้นถัดไป
ก้าวย่างมั่นคง ราวกับเยื้องกรายบนทางเรียบ ดุจเดินเล่นผ่อนคลายในสวน
ทุกขั้นบันไดพลังมหามรรคที่แผ่ออกมาล้วนแตกต่างกัน ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำอะไรหลินสวินได้
หลินสวินก้าวไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่วายหวนนึกถึงยามอยู่ในโลกชั้นล่าง ในสำนักศึกษามฤคมรกตมีเขาบันไดเช่นนี้ลูกหนึ่ง ภายในนั้นประทับร่องรอยมหามรรคที่แตกต่างกัน
ตอนนั้นขณะที่เขาปีนบันได เคยแข่งขันประลองฝีมือกับกู้อวิ๋นถิงอยู่กลายๆ
กู้อวิ๋นถิงในเวลานั้นโดดเด่นเจิดจ้า ถูกมองว่าเป็นคนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่นานนักก็เดินทางออกจากโลกชั้นล่าง เข้ามาฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ
ทว่าตอนนี้วันเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งไม่เหมือนดังเดิมแล้ว
ในดินแดนรกร้างโบราณคนโดดเด่นนับไม่ถ้วน ผู้กล้ามากมาย กู้อวิ๋นถิงในเวลานั้นไม่อาจกล่าวได้ว่ากลืนหายไปในฝูงชน แต่เมื่อเทียบกับตัวเขาขณะอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตแล้ว เห็นได้ชัดว่าหม่นแสงลงมาก
แท้จริงแล้ว นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรครูปแบบหนึ่ง
บนเส้นทางแสวงหามรรคา บางคนดั่งดาวหางที่พุ่งทะยาน และมีบางคนที่เหมือนดาวหางที่อับแสงร่วงหล่น หากหมายอยู่ค้างฟ้าไปตลอด ย่อมไม่ต่างอะไรจากการทวนกระแสน้ำ ยากเย็นยิ่งนัก!
เพราะบนโลกนี้แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่เคยขาดนักสู้ ไม่เคยขาดคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเจ้า!
‘ก็ไม่รู้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชีตอนนี้อยู่ที่ไหน…’
‘แล้วยังหลิ่วชิงเยียน การแสวงหามรรคแห่งศาสตร์ดนตรีของนางก้าวไปถึงขั้นไหนแล้ว’
สีหน้าหลินสวินเลื่อนลอย หวนนึกถึงคนรู้จักและประสบการณ์ที่ผ่านมาในวัยเยาว์ ถึงกับรู้สึกเหมือนอยู่โลกอีกใบ
หืม
ทันใดนั้นแสงประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของหลินสวิน ทำให้เขาได้สติตื่นจากภวังค์ความคิด
เมื่อมองไปก็เห็นว่าด้านหนึ่งของบันไดหินที่กำลังจะก้าวไป ปรากฏเปลวเพลิงเป็นลูกๆ มีทั้งสีขาวเงิน สีครามม่วง สีเหลืองทอง สีแดงเพลิง สีฟ้าอ่อน…
ลูกเปลวไฟทุกลูกสอดรับกับบันไดหินแต่ละขั้น ลอยอยู่กลางอากาศ ทอประกายแสงและอานุภาพที่แตกต่างกันออกไป
นี่คือ ‘เพลิงมรรค’!
ดังคำกล่าวที่ว่าเพลิงมรรคไม่ดับมอด มรรคาไม่หยุดยั้ง
พูดง่ายๆ ได้ว่า เพลิงมรรค ก็คือรอยประทับของการต่อสู้ที่ผู้ฝึกปราณทิ้งไว้บนบันไดสวรรค์มหามรรคแห่งนี้ ในนั้นแฝงด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้!
มีเพียงผู้แข็งแกร่งหนึ่งพันคนแรก ถึงมีสิทธิ์ประทับเพลิงมรรคของตนบนบันไดพันขั้นนี้
แน่นอนว่าเมื่อถูกโจมตีจนพ่าย เพลิงมรรคก็จะถูกกำจัดออกไป และมีผู้อื่นเข้ามาแทนที่
หลินสวินสีหน้าท่าทางขึงขังขึ้นมา
เขารู้ว่าการทดสอบของจริงมาถึงแล้ว
…
เพลิงมรรคลูกแรกมีสีเขียวอ่อน ตั้งอยู่ด้านข้างของบันไดขั้นที่หนึ่งพันนับจากด้านบน
วู้ม!
เมื่อหลินสวินเหยียบบันไดหินขั้นนี้ เบื้องหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรากฏฟ้าดินที่กว้างขวางว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
พร้อมกันนั้นเพลิงมรรคสีเขียวอ่อนลูกนั้นก็กลายร่างเป็นผู้หญิงรูปร่างอรชรคนหนึ่ง กลิ่นอายเยียบเย็น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศคร่ำเคร่งช่ำชอง
ฉึบ!
ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวก็พุ่งเข้ามา เงาร่างดุจรุ้งเทพสีเขียวสายหนึ่ง เจิดจรัสพร่าตา
นางสะบัดข้อมือขาว เถาวัลย์สีเขียวหยกเส้นหนามากมายทะลวงอากาศ มีมากเรือนพันเรือนหมื่น โบกสะบัดอย่างดุเดือดกลางฟ้าดิน ตัดสลับไปมา ปิดล้อมหลินสวินเอาไว้ กลายเป็นกรงขังแห่งหนึ่ง
ครึ่ก!
จากนั้นบนเถาวัลย์แต่ละเส้นก็ผลิหน่อแตกกิ่งอย่างบ้าคลั่ง ดอกไม้ประหลาดแต่ละดอกผลิช่อรับลม ส่องแสงวับวาวน่าสะพรึงกลัว หมายให้หลินสวินขาดใจตาย
“แก่นมรรคธาตุไม้ กำเนิดไม่สิ้น… นับว่ายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน”
นัยน์ตาหลินสวินสงบนิ่ง แต่รอบตัวเขาโคจรอานุภาพไร้รูปสายหนึ่ง
ตูม!
ดอกไม้ประหลาดที่อยู่ใกล้เพียงคืบล้วนแหลกเป็นผุยผง กิ่งก้านเขียวชอุ่มระเบิดออก เถาวัลย์เส้นหนาราวกับร่างงูแตกกระจายเป็นชิ้นๆ เส้นแล้วเส้นเล่า…
จากนั้นกรงขังพลันหายวับไป
และในเวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งเข้ามา
เพียงแต่ขณะที่นางกำลังเตรียมโจมตีรอบที่สอง บนร่างหลินสวินปลดปล่อยอานุภาพและกวาดออกไปเบาๆ ร่างของนางพลันสลายในทันที
ฉึบ!
เวลาต่อมาหลินสวินกลับมายังบันไดสวรรค์อีกครั้ง
เพียงแต่ด้านข้างบันไดหินที่เขายืนอยู่นั้น เพลิงมรรคสีเขียวอ่อนลูกนั้นเลือนหายไปแล้ว
หลินสวินไม่มั่วรีรอ ก้าวขึ้นบันไดหินขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า
นี่คือเพลิงมรรคสีเงินยวง แปลงเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าโบราณแสงทมิฬคนหนึ่ง แข็งแกร่งองอาจยิ่ง
ทว่าสำหรับหลินสวินแล้วก็ยังไม่มีค่ามากพอให้ใส่ใจ
ชั่วพริบตาเดียวผลแพ้ชนะปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
กระนั้นเพลิงมรรคของเขากลับไม่เลือนหาย แต่เคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหลัง ปรากฏอยู่ด้านข้างของบันไดหินขั้นที่หนึ่งพัน
หลังจากนั้นหลินสวินก้าวขึ้นต่อ
ขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบแปด
ขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบเจ็ด…
เพียงหนึ่งถ้วยชา หลินสวินก็ก้าวสู่บันไดมรรคขั้นที่ห้าร้อยได้แล้ว!
หากให้ผู้ฝึกปราณจากโลกภายนอกมาเห็นภาพนี้ ต้องขวัญหนีดีฝ่อเป็นแน่
สิ่งที่ต้องรู้คือผู้ฝึกปราณนับล้านในแดนเผาเซียน แม้ว่าส่วนใหญ่ในนี้จะไม่ได้เดินบนมกุฎมรรคา แต่ก็ไม่ได้ขาดยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย
หากปรารถนาจะติดอันดับหนึ่งพันคนแรกแห่งหอมกุฎ แค่คิดก็รู้ว่าการแข่งขันนั้นโหดร้ายแค่ไหน แทบจะมีแค่ยอดฝีมือในรุ่นเดียวกันเท่านั้นถึงสามารถผ่านไปได้
ถึงขั้นที่เมื่อขึ้นบันไดหินสูงขึ้นเรื่อยๆ พลังต่อสู้ก็จำเป็นต้องใช้ก็แข็งแกร่งตามไปด้วย เพราะไม่ขาดบุคคลขอบเขตมกุฎที่แต่ละคนแข็งแกร่งกว่าอีกคน!
และเพลิงมรรคแต่ละลูก ก็เป็นตัวแทนผู้แข็งแกร่งที่ติดอันดับหนึ่งในพันคนแรกแต่ละคน
หนึ่งถ้วยชาผ่านไปเวลาหนึ่งถ้วยชา เพลิงมรรคของผู้แข็งแกร่งห้าร้อยคนล้วนพ่ายแพ้ให้กับหลินสวินอย่างต่อเนื่อง ผลงานการต่อสู้เช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่าสะท้านโลกเพียงใด!
“ไม่เลว ไม่เลวเลย ถึงจะบอกว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่กลับทำให้ข้าเห็นมรรคาที่แตกต่างกันมากมาย โอกาสเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก”
หลินสวินจิตใจสงบนิ่ง ต่อให้ต่อสู้ยาวนานไม่หยุดพักถึงห้าร้อยหน กระนั้นก็ไม่ได้เผาผลาญพลังของเขาไปสักเท่าไร ไม่จำเป็นต้องหยุดพักแม้แต่น้อย
เขาก้าวต่อไป
ตามเวลาที่ล่วงเลย เขาเดินขึ้นไปก้าวแล้วก้าวเล่า และข้างกายเขา เพลิงมรรคแต่ละลูกก็เลื่อนไปเบื้องหลัง
ไม่นานนักหลินสวินมองเห็นเงาร่างหนึ่ง
นั่นเป็นชายหนุ่มผิวคร้ามเข้มคนหนึ่ง ทั่วร่างเผยกลิ่นอายตระหง่านมั่นคง
แต่อีกฝ่ายกำลังเหงื่อแตกพลั่ก ทั่วร่างแลดูไร้เรี่ยวแรง เห็นได้ชัดว่ากำลังฝ่าด่านบันไดสวรรค์มหามรรคเช่นเดียวกับหลินสวิน
เพียงแต่เห็นชัดว่าเขามาก่อนหน้านานแล้ว หว่างคิ้วเผยให้เห็นสีหน้าของความเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นหลินสวินชายหนุ่มผู้นั้นก็อดผงะไม่ได้ เอ่ยว่า “สหาย เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
“ประมาณหนึ่งเค่อก่อนหน้าเห็นจะได้”
หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
ใครจะคาดคิด เมื่อได้ยินคำตอบของเขาแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนยากจะเชื่อได้ เอ่ยเสียงหลง “เพียงแค่หนึ่งเค่อก็ฝ่ามาถึงบันไดขั้นที่สามร้อยยี่สิบเจ็ดแล้ว?”
ท่าทางของเขาราวกับเห็นผีตัวเป็นๆ อย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินส่งเสียงอืมตอบกลับไปแล้วขึ้นบันไดต่อ
เดิมทีชายหนุ่มยังไม่เชื่อ นึกว่าหลินสวินคุยโว ทว่าไม่ทันไรเขาก็สังเกตได้ว่า เพียงแค่ไม่กี่อึดใจหลินสวินก็จบการต่อสู้ ก้าวไปบนบันไดหินขั้นต่อไป
จากนั้นด้วยความเร็วเช่นนี้ ก็เดินขึ้นไปบนบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่า ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าเขา
ชายหนุ่มผู้นั้นจึงเชื่ออย่างหมดใจแล้ว ว่าเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่สามารถหาเหตุผลใดๆ มารองรับได้!
“ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของสหาได้หรือไม่”
เมื่อเห็นหลินสวินเดินผ่านตนไปแล้ว กำลังจะขึ้นไปข้างบนต่อ ชายหนุ่มผู้นั้นก็อดถามไม่ได้
“หลินสวิน”
หลินสวินตอบโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง
ชายหนุ่มผู้นั้นพลันสะดุ้ง ร้องเสียงหลงโดยพลัน “อะไรนะ ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”
ภายในเมืองโบราณเผาเซียน มีคนชื่อหลินสวินเพียงผู้เดียวเท่านั้น เขายังมีฉายาที่คุ้นหูมากยิ่งกว่าคือ…
เทพมารหลิน!
มีหรือชายหนุ่มจะไม่เคยได้ยิน
“มิน่าถึงได้วิปริตปานนี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนี่…”
เดิมทีในใจของชายหนุ่มยังรู้สึกไม่ยอมอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับยอมรับอย่างหมดใจ การเปรียบเทียบกับเทพมารหลิน ย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัว!
หนึ่งก้านธูปให้หลัง
หลินสวินมาถึงหน้าบันไดขั้นที่หนึ่งร้อยแล้ว!
ระดับความเร็วเช่นนี้ทำลายการทะลวงด่านของผู้ฝึกปราณคนใดๆ ที่เคยทำไว้ก่อนหน้าจนหมดสิ้น เรียกได้ว่าอานุภาพดั่งผ่าลำไผ่ รวดเร็วทะลุฟ้า
อีกทั้งตลอดเส้นทาง หลินสวินยังได้พบผู้ฝึกปราณบางส่วนที่กระจัดกระจายกันอยู่ ทำให้เกิดเสียงตื่นตระหนกตลอดทาง
ช่วยไม่ได้ ความเร็วในการมุ่งหน้าของหลินสวินรวดเร็วมากเกินไปจริงๆ!
เป็นอานุภาพที่แห่งการบดขยี้โดยแท้!
และผู้ฝึกปราณบนเส้นทางนี้ มีใครที่เคยพบเห็นคนพรรค์นี้ตัวเป็นๆ บ้าง
ทว่าเมื่อมาถึงบันไดขั้นที่หนึ่งร้อย หลินสวินเริ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดดันแล้ว
ซ้ำเขายังตระหนักได้ว่า นับจากจุดนี้เป็นต้นไป คู่ต่อสู้ที่ต้องพานพบ ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับ ‘บรรลุสูงสุด’ บนมกุฎมรรคา!
แต่ก็ยังคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของหลินสวิน
เขาไม่เคยแม้แต่จะหยุดพักฟื้นฟูกำลัง ก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าต่อ
สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกยินดีในใจก็คือ นับจากจุดนี้ไปทุกครั้งที่หลินสวินสามารถโค่นคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ ก็จะทำให้เขาได้พบเจอมกุฎมรรคาที่แตกต่างกันออกไป
บางคนใช้กระบี่เข้าสู่มรรค จนถึงระดับมกุฎสุดยอด การสังหารเฉียบขาด เจตกระบี่สะท้านฟ้า
บางคนอนุมานพลังมหามรรคบางอย่างที่ตนครอบครองจนถึงขั้นสุดยอด เมื่อสำแดงออกมาไปรากฏลักษณ์ประหลาด แข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัว
และมีบางคนเดินบนเส้นทางสายฝึกจิตวิญญาณ ครอบครองวิชาการโจมตีด้วยจิตวิญญาณที่พบเห็นได้ยากบนโลก เมื่อต่อสู้ล้วนทำให้คนยากจะป้องกัน
ถึงขั้นที่ยังมีผู้หลอมกายเช่นเดียวกับอาหลู่ ร่างกายทั้งร่างเคี่ยวกรำจนถึงขอบเขตมกุฎ จนแทบกล่าวได้ว่าเป็นอมตะก็ไม่ปาน อานุภาพแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
การประมือกับบุคคลขอบเขตมกุฎเหล่านี้ ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกกว้าง อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบมรรคและวิชาของตนจากการต่อสู้ ได้รับประโยชน์มากมาย
หลินสวินต่อสู้ไปเช่นนี้ ไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงบันไดขั้นที่หกสิบหกแล้ว
เพียงแต่ขณะที่เขาเพิ่งเตรียมตัวก้าวขึ้นไป เพลิงมรรคที่อยู่เบื้องหน้าก็เคลื่อนตัวถอยร่นลงไปอยู่อีกตำแหน่ง
ชั่วพริบตาเพลิงมรรคลำดับที่หกสิบห้า เข้ามาแทนที่เพลิงมรรคลำดับที่หกสิบหกที่พ่ายแพ้ให้แก่เขาตั้งแต่แรก
ในร้อยขั้นที่อยู่เบื้องหน้านี้ ยังมีคนกำลังทะลวงด่านอยู่หรือ
หลินสวินเงยหน้าขึ้นทันใด เพียงเหลือแลไปก็มองเห็นทันที ว่ามีเงาร่างหนึ่งอยู่เหนือขึ้นไปสิบกว่าขั้นบันได
น่าเสียดาย ไม่ทันรอให้เขาเห็นชัด ด้วยเหตุที่เพลิงมรรคจากด้านบนเลื่อนลงมา ทำให้เขายังไม่ทันก้าวไปขั้นถัดไปก็บังเกิดการต่อสู่อีกหนหนึ่ง และหายลับไปจากตำแหน่งนั้น
ขณะเดียวกันบนบันไดหินที่อยู่เบื้องหน้า เงาร่างนั้นส่งเสียงร้องเอ๊ะเบาๆ สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดด้านหลังจึงหันหน้ามาทันใด