Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2795 หายนะที่ทำนายได้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2795 หายนะที่ทำนายได้

ตอนที่ 2795 หายนะที่ทำนายได้

นอกแดนผนึกเรืองแสง

ตำหนักโอ่โถงหลายหลังตั้งตระหง่านอยู่ อาบอยู่ในแสงดารา ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม

ตั้งแต่สองสามีภรรยาลั่วชิงสวินถูกขังอยู่ในแดนผนึกเรืองแสง ขุมอำนาจสามเผ่าเทพชั้นยอดกับตระกูลฉินก็สร้างตำหนักมากมายที่นี่ ประจำการในบริเวณฟ้าดาราใกล้เคียง

หลายปีมานี้สามเผ่าเทพชั้นยอดกับตระกูลเผ่าฉินต่างส่งคนใหญ่คนโตที่เทียบได้กับขั้นหลุดพ้นสองคนมาประจำการที่นี่

หรือพูดอีกอย่างก็คือ นอกแดนผนึกเรืองแสงแห่งนี้มีผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหลุดพ้นดูแลอยู่แปดคน!

นี่เป็นกำลังพลที่น่ากลัวยิ่ง สร้างความหวาดหวั่นให้ขุมอำนาจเผ่าเทพจำนวนมากในแหล่งสถานศุภโชคได้ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ตระกูลฉินยังส่งผู้ฝึกปราณสามร้อยคนมาประจำการ คอยดูแลผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหลุดพ้นแปดคนนี้โดยเฉพาะ

ฟ้าดาราเวิ้งว้างเงียบสงัด แดนผนึกเรืองแสงที่อยู่ไกลออกไปอบอวลด้วยกลิ่นอายขุ่นมัวแรกกำเนิด รัศมีแสงแสบตายาวหลายพันจั้งสายแล้วสายเล่าฉายวาบเป็นครั้งคราว คล้ายสายฟ้าเรียวยาวเจิดจ้าเป็นสายๆ

นั่นคือพลังแห่งกาลเวลา!

ทั้งแดนผนึกเรืองแสงถูกกระแสเวลาอันปั่นป่วนปกคลุม น่ากลัวถึงขีดสุด

ทว่าตั้งแต่ช่วงเกือบสองร้อยปีที่คู่สามีภรรยาลั่วชิงสวินถูกขังอยู่นี้ นอกแดนผนึกเรืองแสงกลับเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่เกิดคลื่นลมแต่อย่างใด

อันที่จริงหากมีคนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นแปดคนอยู่ที่นี่ มองไปทั้งแหล่งสถานศุภโชค เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่กล้ามาหาเรื่อง

“สหายยุทธ์ทุกท่าน ข้าเกิดสังหรณ์บางอย่างจึงได้ใช้วิชาลับทำนายดู และทำนายเจอลางหายนะบางอย่าง เกรงว่าช่วงใกล้ๆ นี้จะเกิดเรื่องใหญ่ จึงขอเชิญทุกท่านมาพูดคุย”

วันนี้จู่ๆ ก็มีเสียงชราแหบแห้งหนึ่งดังขึ้นในส่วนลึกของตำหนักหนึ่งในแดนผนึกเรืองแสง

ทันใดนั้นกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นกลางฟ้าดารา ต่างพุ่งไปยังตำหนักหลังนั้นอย่างฉับไว

ส่วนลึกของตำหนักนี้ ผู้ยิ่งใหญ่สองคนอย่างเหลียงชิวสุ่ย เหลียงชิวอวิ๋นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง

คนที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้คือเหลียงชิวสุ่ย เขามีผมและเคราหนวดดุจหิมะ ใบหน้าซูบตอบ มือถือบรรทัดหยกสีดำที่มีกลิ่นอายหม่นทะมึนเล่มหนึ่ง

เหลียงชิวอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ร่างผอมแห้ง รอยย่นแน่นเต็มใบหน้า แต่งกายชุดดำทั้งชุด ทั้งร่างมีหนาวเยือกเสียดกระดูกเป็นริ้วๆ โอบล้อม

พวกเขามาจากเผ่าเทพตระกูลเหลียงชิวแห่ง ‘ยุคมรรคราชัน’ ในอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยแห่งของแหล่งสถานศุภโชค รากฐานพลังและอำนาจของตระกูลเหลียงชิวสามารถจัดอยู่ในห้าอันดับแรก!

พวกเขามาจากเผ่าเทพตระกูลเหลียงชิวแห่ง ‘ยุคมรรคราชัน’ ในอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยแห่งของแหล่งสถานศุภโชค รากฐานพลังและอำนาจของตระกูลเหลียงชิวสามารถจัดอยู่ในห้าอันดับแรก!

ตระกูลเหลียงชิวยังเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่สามเผ่าเทพชั้นยอดที่ประจำการนอกแดนผนึกเรืองแสงนี้

“หายนะหรือ เหอะๆ มีเรื่องไม่กลัว กลัวแต่จะไม่มี ประจำการอยู่ที่นี่มาเกือบสองร้อยปี ข้าล่ะเบื่อจะแย่แล้ว”

ที่มาพร้อมกับเสียงคือแสงเทพสายหนึ่งที่พุ่งเข้าตำหนัก แล้วกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักพรตแดงเพลิง คิ้วกระบี่เนตรดารา ยามยกมือวาดเท้าล้วนเผยความอหังการ

อิ๋งเซี่ยวยวน!

คนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นจากเผ่าเทพตระกูลอิ๋งแห่งยุคเงาเมฆ ดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่ม แต่ความจริงแล้วมีชีวิตมาไม่รู้กี่หมื่นปี

ที่ปรากฏตัวตามเขามาติดๆ คือหญิงชุดม่วงรูปงามหมดจดผู้หนึ่ง มือถือคทาสมประสงค์หยกขาวเล่มหนึ่ง บนคทาสมประสงค์มีอักษรมรรคแปลกประหลาดว่า ‘อสนีเซียน’ สลักอยู่

อิ๋งชิง!

มาจากเผ่าเทพตระกูลอิ๋งเช่นเดียวกับอิ๋งเซี่ยวยวน

ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวก็นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งที่วางอยู่บนพื้นด้านหนึ่งตามสบาย

“พี่อิ๋งพูดถูก พวกเราหวังว่าใกล้ๆ กับแดนผนึกเรืองแสงจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ”

เสียงหัวเราะเบิกบานเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นเงาร่างสองร่างก็เข้าตำหนักมาแทบจะพร้อมกัน

ผู้พูดร่างสูงโปร่ง แขนเสื้อกว้างไหวกระพือ สวมเกี้ยวประดับบัวทองม่วง มือถือแส้หางม้าที่คล้ายหมอกควัน

เยี่ยนอันเต้า!

คนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นของเผ่าเทพตระกูลเยี่ยนยุคต้นพิสุทธิ์

ส่วนข้างกายเยี่ยนอันเต้าคือชายชุดขาวผู้หนึ่ง รูปลักษณ์งามสง่า พาดกระบี่สำริดโบราณที่มีรอยเลือดกระดำกระด่าง

เขามีนามว่าเยี่ยนอันสิง มาจากเผ่าเทพตระกูลเยี่ยนเช่นเดียวกับเยี่ยนอันเต้า

ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเทพตระกูลอิ๋งของอิ๋งเซี่ยวยวนกับอิ๋งชิง หรือเผ่าเทพตระกูลเยี่ยนของเยี่ยนอันเต้าและเยี่ยนอันสิง ล้วนอยู่ในสิบอันดับแรกของเผ่าเทพในโลกยุคสมัยร้อยกว่าแห่ง

แม้ด้อยกว่าตระกูลเหลียงชิวอยู่บ้าง แต่ยังเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในแหล่งสถานศุภโชค!

สรุปแล้วสามเผ่าเทพนี้ก็คือเผ่าเทพชั้นยอดที่มีความสามารถสมชื่อ ในตระกูลล้วนมีพวกน่ากลัวเทียบเท่าระดับนิรันดร์ควบคุมดูแล

ไม่นานนักคนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นของเผ่าเทพต้าฉินก็มาแล้ว

คือฉินเวิ่นเจินและฉินจิ่วอี้

ฉินเวิ่นเจินผิวสีทองแดง รูปลักษณ์เกรียงไกร องอาจห้าวหาญ

ฉินจิ่วอี้ผอมแห้งเหมือนไม้ไผ่ เบ้าตาลึกโหล คล้ายลมสามารถพัดเขาปลิวไปได้

หลังจากทั้งสองเข้าตำหนักมาแล้วก็แยกกันนั่งประจำที่ แต่กลับนั่งบนเบาะรองนั่งที่อยู่ท้ายสุด

ช่วยไม่ได้ ในแง่ระดับปราณพวกเขาอาจเทียบเคียงทุกคนในนี้ได้ แต่ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังกลับห่างชั้นยิ่งกับสามเผ่าเทพชั้นยอด เป็นเพียงขุมอำนาจชั้นรองเท่านั้น

ยามนี้คนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นแปดคนมากันครบแล้ว

“ในเมื่อสหายยุทธ์ทำนายเห็นลางหายนะบางอย่าง เช่นนี้แล้วจะต้องเกี่ยวกับแดนผนึกเรืองแสงเป็นแน่ นี่หมายความว่าจะมีคนมาช่วยสามีภรรยาคู่นั้นใช่หรือไม่”

อิ๋งเซี่ยวยวนในชุดนักพรตแดงเพลิง รูปลักษณ์เหมือนเด็กหนุ่มเอ่ยถาม

สายตาคนอื่นต่างมองไปที่เหลียงชิวสุ่ยเช่นกัน

“น่าจะเป็นเช่นนั้น”

เหลียงชิวสุ่ยพยักหน้า

“หรือลั่วทงเทียนกลับมาแล้ว”

อิ๋งเซี่ยวยวนตาเป็นประกาย

“ยังไม่อาจชี้ชัด”

ขณะที่เหลียงชิวสุ่ยพูด สายตาก็มองไปยังฉินเวิ่นเจินและฉินจิ่วอี้ “ถ้าลั่วทงเทียนกลับมาที่แหล่งสถานศุภโชคอีกครั้ง ต้องถือกระบี่ศุภโชคเจ้าไปในแดนเทพต้าฉินของพวกเจ้าแน่ ขอถามพวกเจ้าสองคนว่าช่วงนี้แดนเทพต้าฉินเกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่”

ฉินเวิ่นเจินกับฉินจิ่วอี้สบตากันปราดหนึ่ง ต่างส่ายหน้า “ช่วงนี้พวกเราสองคนไม่ได้ข่าวอะไรเลย”

“ไม่ได้ข่าวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดเรื่อง”

เหลียงชิวสุ่ยเอ่ยเสียงขรึม “เป็นไปได้สูงว่าหายนะที่ข้าสันนิษฐานได้ก่อนหน้านี้จะมาจากแดนเทพต้าฉิน”

ฉินเวิ่นเจินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เอ่ยว่า “จริงหรือ”

อิ๋งเซี่ยวยวนเอ่ย “กับเรื่องเช่นนี้สหายยุทธ์เหลียงชิวสุ่ยย่อมไม่อาจล้อเล่น คงไม่ใช่ว่าลั่วทงเทียนมาแดนเทพต้าฉินแล้ว แต่ถูกตระกูลฉินของพวกเจ้าปิดข่าวกระมัง”

เสียงเผยความกังขา

พวกอิ๋งชิง เยี่ยนอันเต้า เยี่ยนอันสิงต่างก็มองไปยังฉินเวิ่นเจินและฉินจิ่วอี้

ใครๆ ต่างรู้ชัดว่าตอนนั้นลั่วทงเทียนชิงโลงนิรันดร์ไปจากแดนเทพต้าฉิน หากเผ่าเทพต้าฉินอยากฮุบสมบัตินี้ย่อมไม่อาจแพร่งพรายข่าวออกมา

สีหน้าของฉินเวิ่นเจินและฉินจิ่วอี้ล้วนเปลี่ยนไปแล้ว

“เรื่องนี้ข้าสองคนไม่รู้จริงๆ ถ้าทุกท่านสงสัยข้าก็จะไปสืบเอง” ฉินเวิ่นเจินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปาก

เหลียงชิวสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว หายนะที่ข้าทำนายได้ก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้นในแดนผนึกเรืองแสงแห่งนี้ นี่ก็หมายความว่าถ้าลั่วทงเทียนมาแล้ว เกรงว่าตระกูลฉินของพวกเจ้าจะรั้งเขาเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้เขาบุกออกมาจากแดนเทพต้าฉิน”

“น่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”

พวกอิ๋งเซี่ยวยวนต่างคึกคัก

แต่ฉินเวิ่นเจินและฉินจิ่วอี้กลับหนักใจ

การคาดเดาของเหลียงชิวสุ่ยทำให้พวกเขาตระหนักได้ฉับพลัน ว่าถ้าลั่วทงเทียนทะลวงผ่านแดนเทพต้าฉินมาจริงๆ เช่นนั้นเกรงว่าตระกูลฉินของพวกเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยแน่!

“ไปแดนเทพต้าฉินคราวนี้ หนึ่งก้านธูปก็ถึงแล้ว ทุกท่านรอสักครู่ ข้าจะไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้”

ฉินจิ่วอี้ที่ร่างผอมแห้งเบ้าตาลึกโหลลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านนอกทันที

ไม่มีใครรั้งไว้

สิ่งที่พวกเขาถกกันก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการคาดเดา ถ้าให้ฉินจิ่วอี้ไปสืบข่าวที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้ เช่นนั้นก็ย่อมดีกว่า

“ไม่ว่าอย่างไรทุกท่านก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี ถ้าเป็นลั่วทงเทียนจริงๆ ในเมื่อเขากล้ากลับมาอีกจะต้องมีที่พึ่งแน่ จะชะล่าใจไม่ได้”

เหลียงชิวสุ่ยลูบเคราเอ่ยเสียงขรึม

“คนที่ไล่ฆ่าลั่วทงเทียนในตอนนั้นคือกำลังพลของตระกูลฉิน แต่ตอนนี้พวกเราสามเผ่าเทพล้วนควบคุมดูแลอยู่ที่นี่ ถ้าลั่วทงเทียนกล้ามาก็เป็นการรนหาที่ตายเอง”

แววตาอิ๋งเซี่ยวยวนมีแต่ความดูแคลน

คนอื่นก็พากันหัวเราะ

สิ่งที่อิ๋งเซี่ยวยวนพูดตรงกับสิ่งที่พวกเขาคิด

ลั่วทงเทียนคนเดียวจะต้านทานกำลังพลของพวกเขาสามเผ่าเทพชั้นยอดได้หรือ

มีเพียงฉินเวิ่นเจินที่อึดอัดนัก

เห็นได้ชัดว่าคำพูดเช่นนั้นของอิ๋งเซี่ยวยวน เป็นการถากถางว่าตอนนั้นพวกเขาตระกูลฉินไร้ความสามารถ ไม่อาจขวางลั่วทงเทียนไว้ได้ และถูกอีกฝ่ายชิงเอาโลงนิรันดร์หนีไป

“ถ้าลั่วทงเทียนมาแล้วจริงๆ ทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่ายามชิงโลงนิรันดร์กลับมาควรให้ใครได้ไป”

จู่ๆ เยี่ยนอันเต้าที่ไม่พูดจามาตลอดตั้งแต่เข้าตำหนักก็เอ่ยถาม

ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเงียบงัน

แววตาทุกคนไหววูบ ต่างสบตากัน แม้ไม่เคยพูด แต่บรรยากาศที่ค่อยๆ อึดอัดขึ้นเช่นนั้นกลับพิสูจน์ว่า ไม่ว่าใครในหมู่พวกเขาต่างไม่ยินยอมรามือจากสมบัตินี้

“ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ยังเร็วเกินไป ถ้าลั่วทงเทียนมาจริงๆ เช่นนั้นก็รอหลังจากฆ่าเขาค่อยถกเรื่องนี้กัน”

เหลียงชิวสุ่ยเอ่ยปากทำลายความเงียบ

…..

ในฟ้าดาราอันเวิ้งว้าง

รูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนก้าวเดินไปเบื้องหน้า

ภาพตรงหน้าหลินสวินเหมือนแสงเงาวูบไหว เปลี่ยนแปลงฉับไว ไม่อาจมองเห็นภาพที่แท้จริงได้ อันที่จริงเป็นเพราะความเร็วในการเคลื่อนไหวเช่นนั้นสะท้านโลกยิ่งนัก

“ด้วยพลังของเฉินหลินคง ตอนนั้นยังไม่อาจพาพ่อแม่เจ้าออกมาจากแดนผนึกเรืองแสงนั้น จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเขตแดนกาลเวลาที่ปกคลุมอยู่นอกแดนผนึกเรืองแสงไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง”

ระหว่างทางไท่เสวียนกล่าวว่า “แต่จากที่เจ้าพูด ข้ากลับรู้สึกกลายๆ ว่าเป็นไปได้สูงยิ่งว่ากุญแจที่เปิดเขตแดนกาลเวลานั้นอาจจะเป็นโลงนิรันดร์”

“โลงนิรันดร์หรือ” หลินสวินประหลาดใจทันที

“ใช่ ตอนนั้นพ่อแม่เจ้ามาแหล่งสถานศุภโชคเพื่อหนีเคราะห์ แต่กลับถูกเผ่าเทพต้าฉินไล่ฆ่าจนติดอยู่ในแดนผนึกเรืองแสง แต่เจ้าไม่คิดว่าพ่อแม่เจ้าน่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘แดนผนึกเรืองแสง’ อยู่ก่อนแล้วหรือ หาไม่แล้วพวกเขาที่เข้าไปในแหล่งสถานศุภโชคเป็นครั้งแรกจะรู้จักสถานที่ลึกลับเช่นนี้ได้อย่างไร”

ไท่เสวียนเอ่ยช้าๆ “ตอนนั้นถ้าพ่อแม่เจ้าหนีไปที่อื่นคงพบเจออันตรายมากมาย แต่แดนผนึกเรืองแสงต่างออกไป หากหนีเข้าไปในนั้น ขนาดขั้นหลุดพ้นยังทำอะไรไม่ได้ ถึงกับเป็นไปได้สูงว่าระดับนิรันดร์ยังเปิดเขตแดนกาลเวลานั้นไม่ได้ ก็ด้วยเหตุนี้ ถ้าพ่อแม่เจ้าหลบอยู่ในนั้นกลับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

หลินสวินพลันเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เอ่ยว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ท่านแม่ข้าจะต้องรู้เรื่องนี้จากท่านตาทวดแน่”

ไท่เสวียนพยักหน้าน้อยๆ แล้วพลันเอ่ยว่า “ข้าถึงกับสงสัยอยู่บ้าง ว่าสถานที่ที่ลั่วทงเทียนได้โลงนิรันดร์มาในตอนนั้นก็คือแดนผนึกเรืองแสง”

ในใจหลินสวินสะท้านไหว

ยังไม่ทันรอให้เขาถาม จู่ๆ ไท่เสวียนที่อยู่ข้างๆ ก็ชะงักเท้า ดวงตามองไปยังฟ้าดาราที่ไกลออกไปพลางร้องเอ๊ะเบาๆ เอ่ยว่า “มีกลิ่นอายขั้นหลุดพ้นกำลังทะยานมาเต็มกำลังจากไกลๆ”

ขณะพูดเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างของเขากับหลินสวินก็หายลับไปในห้วงอากาศ ไม่เหลือร่องรอยแม้สักเสี้ยว

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท