Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 263

ตอนที่ 263

หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ช่วยกันร่างตารางเวลาขึ้นมาโดยส่วนใหญ่นั้นเน้นหนักไปที่การ ‘ผ่อนคลาย’

วาห์นจะตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน จากนั้นเขาก็จะเริ่มฝึกพื้นฐานการต่อสู้ระยะประชิดให้กับฮารุฮิเมะ เอมิรุ และมาเอมิ

ถึงฮารุฮิเมะอยากจะเน้นฝึกเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว แต่วาห์นคิดว่าการเพิ่มค่าความว่องไวและความอดทนเอาไว้บ้างก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

คู่แฝดที่หมายมั่นว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนก็ต้องฝึกเพิ่มทั้งสองค่านี้เช่นกัน โดยเฉพาะค่าความว่องไวที่เป็นจุดเด่นของเผ่าพันธุ์แมวเหมียวทั้งหลาย

ค่าความว่องไวของทั้งสองนั้นอยู่สูงกว่าค่าอื่นๆ มาก แถมร่างกายยังเป็นแบบเพรียวบางซึ่งเหมาะแก่การต่อสู้โดยใช้ความเร็วเป็นหลัก

พอจบการฝึกช่วงเช้าแล้ว วาห์นก็จะเจอกับ ‘ช่วงผ่อนคลาย’ อันแรกที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้จนกว่าจะถึงพักเที่ยง

เฮสเทียย้ำหนักย้ำหนาว่า ‘ต้องพักจริงๆนะ’ กับ ‘ต้องบอกคนอื่นด้วยนะว่านายอยากทำอะไร’

เพราะหากปล่อยไปเฉยๆ วาห์นก็จะเออออตามคนอื่นไปเรื่อยเหมือนอย่างเคย

หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้ว วาห์นจะ ‘ได้รับอนุญาต’ ให้ทำงานได้ แต่มันต้องไม่ใช่งานที่เคร่งเครียดหรือหนักจนเกินไปนัก

ตกเย็นจะจบลงด้วยการอาบน้ำ ทานมื้อเย็น จากนั้นก็เข้านอนตามปกติ

ตอนแรกวาห์นนึกว่าเรื่องนี้จะอยู่ในหมวด ‘ผ่อนคลาย’ ด้วย แต่เขากลับถูกห้ามไม่ให้เอาเวลาว่างไปใช้นวดคนอื่น ถ้าจะทำจริงๆ ก็ต้องเอาเวลาทำงานในช่วงบ่ายไปใช้

หากไม่ใช่การเดตหรืออะไรทำนองนั้น วาห์นควรพักในช่วงเย็นแทนที่จะเอาเวลาไปปรนเปรอคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะทำตารางขึ้นมา วาห์นก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘มันจะเป็นแบบที่เขียนได้จริงๆ เหรอ?’

เขาได้หยุดช่วงสุดสัปดาห์อยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งดูแปลกที่ ‘งานหลัก’ ในตอนนี้กลายมาเป็นการพักผ่อนแทน

เพราะรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังพยายามฝึกอย่างหนัก การที่ตัวเองเอาเวลามานั่งๆ นอนๆ จึงเป็นความรู้สึกที่… ไม่ค่อยจะดีนัก

แต่เขาก็คงยอมตามน้ำไปก่อนนอกเสียจากว่ามีเหตุฉุกเฉินจริงๆ

หลังจากนั้น เฮสเทียก็เริ่มเขียนตารางเวลาส่งให้กับเครือข่ายขณะที่ริวและวาห์นออกไปอธิบายให้เหล่าสมาชิกทุกคนทราบ

ริวผู้รับหน้าที่เป็นรองกัปตันจะต้องคอยกำกับและดูแลทุกคนอยู่เกือบตลอดเวลา นั่นรวมถึงเรื่องการฝึกด้วย

เอลฟ์สาวอยากให้วาห์นใช้เวลาไปกับการพัฒนาสกิลของตัวเองโดยไม่ต้องมานั่งห่วงเรื่องการฝึกของคนอื่น แค่มาให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้งก็น่าจะพอแล้ว (TL: เรียกขวัญกำลังใจล้วนๆ)

ว่ากันตามตรง การจะให้พวกสาวๆ มาเลียนแบบวิธีสู้ของเขานั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นสไตล์ใช้ความเร็วของริวล่ะก็ อันนี้ยังพอเป็นไปหน่อย

ริวยังมีความสามารถทางด้านเวทมนตร์และสกิล [ร่ายเวทต่อเนื่อง] ที่ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอจึงเหมาะกับตำแหน่งครูฝึกที่สุดแล้ว

สุดท้ายวาห์นก็เป็นได้แค่ผู้สังเกตการณ์หรือไม่ก็คู่ฝึก (เป็นบางครั้ง) โดยเอาเวลาที่เหลือไปพัฒนาสกิลของตัวเองแทน

มิโคโตะที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกับฮารุฮิเมะเองก็ต้องฝึกแบบตัวคนเดียวเช่นกัน เพราะเพลงดาบของเธอนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์มาก ส่วนเวทที่ถนัดก็เป็นพวกเวทมนตร์ตรวจจับ

วาห์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าสกิล [ยาตาโนะชิโรการาสึ] ของเธอสามารถตรวจจับศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ได้ แถมยังระบุตำแหน่งของสมาชิกในแฟมิเลียเดียวกันได้ด้วย

อาจจะยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับสกิลตรวจจับของเขาเอง แต่มันก็เป็นวิชาที่น่าประทับใจและเหมาะกับหน่วยลาดตระเวนหรือไม่ก็คนที่ประจำอยู่แนวหน้าเป็นอย่างมาก

พอถึงตอนบ่าย ในที่สุดเพรเซียก็ตื่นขึ้นและทำให้เฟนเรียร์รู้สึกตื่นเต้นมากจนวาห์นเองยังรู้สึกได้

วาห์นตระหนักว่าเด็กสาวนั้นไม่ได้ติดใจเรื่องที่เขาสามารถสื่อถึงเธอได้ตลอด แถมเธอยังใช้มันแทนเครื่องมือสื่อสารเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่างหาก

ไม่นานหลังจากนั้น วาห์นก็เรียกรวมทุกคนให้มาที่ห้องทานอาหารในขณะที่คู่แฝดช่วยพยุงเพรเซียออกมาจากห้อง

ท่าทางของเธอดูอ่อนล้ามาก แต่วาห์นก็โล่งใจที่เห็นดวงตาสีเทากลับมามีประกายแสงอีกครั้ง

หลังจากมากันครบแล้ว วาห์นจึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเพรเซียโดยมีเฮสเทียและฮารุฮิเมะคอยขนาบข้าง

บรรยากาศในห้องดูสบายๆ โดยที่ทุกคนคุยเล่นกันบ้าง หยอกกันบ้าง บางทีก็หันไปจ้องมองพรีเซียด้วยความรู้สึกเป็นห่วง

วาห์นรู้สึกว่านี่เป็นบรรยากาศที่ดีมากและอยากให้มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ

นี่คือภาพที่เขาอยากเห็นนับตั้งแต่ตอนได้ใกล้ชิดกับโลกิแฟมิเลียภายในดันเจี้ยน

ถ้าสมาชิกทุกคนคอยช่วยเหลือกันแบบนี้ตลอด ภาระของเขาก็จะเบาลงไปเยอะเลย

เพรเซียเองก็คงสัมผัสถึงบรรยากาศนี้ได้เช่นเดียวกัน ตอนนี้หญิงสาวกำลังแสดงสีหน้าซาบซึ้งแต่ก็ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมาอีกรอบ

เธอดูกล้าๆ กลัวๆ และติดขี้อายมากแต่ก็ยังดีกว่าท่าทางในตอนแรกเป็นไหนๆ

เพรเซียก้มหัวลงต่ำและพูดขึ้นเบาๆ

“ขอบคุณ… ที่รักษาให้นะคะ…”

วาห์นยิ้มอ่อนและพูดเสียงเบาเช่นกันเพื่อไม่ให้เธอตกใจ

“ไม่เป็นไรหรอกเพรเซีย ฉันดีใจที่เห็นเธออาการดีขึ้นมาบ้างแล้ว… เธออยู่ที่คฤหาสน์นี้ได้นานตราบเท่าที่ต้องการเลยนะ

ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรทั้งนั้น เราจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป… ทุกคนที่นี่จะช่วยดูแลเธอเอง”

จนกว่าอาการของเพรเซียจะดีกว่านี้หรืออยู่ในขั้นที่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ วาห์นจะไม่ถามหรือกดดันอะไรทั้งสิ้น

เขาอยากให้เธออยู่ที่นี่กับฮารุฮิเมะและเฟนเรียร์เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจไปก่อน หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะจบเรื่องกับอิชทาร์แฟมิเลีย

มิลานกับทีน่าเองก็อยู่ด้วย ทั้งสองคงจะช่วยเธอได้มากเพราะต่างผ่านอะไรที่คล้ายๆ กันมาแล้ว

พอได้ฟังคำพูดนั่นและมองไปรอบๆ เพรเซียก็สังเกตเห็นว่านอกจากวาห์นแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

ทุกคนมีท่าทางสบายๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เธอจึงเริ่มคิดว่านี่อาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจริงๆ

นึกย้อนกลับไปตอนที่วาห์นซื้อเธอมาใหม่ๆ เพรเซียคิดว่าเขาคงกำลังวางแผนล่อลวงจากนั้นก็เข้าจู่โจมในจังหวะที่เธอเผลอตัว

ความกลัวที่สุดในใจก็คือการถูกเจ้านายคนล่าสุดดึงกลับเข้าไปในขุมนรกหลังจากที่เชื่อใจเขาไปแล้วนี่แหละ

แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดีแถมยังรักษาแผลเป็นให้ด้วย

หลังมองไปรอบห้องอีกพักหนึ่ง เพรเซียก็หันกลับมาหาวาห์นก่อนจะก้มหัวให้อีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ…”

จากนั้นวาห์นก็เริ่มอธิบายเรื่องตารางเวลาให้ทุกคนฟังโดยมีเฮสเทียคอยเสริม

นอกจากนั้นแล้วเขายังพูดเรื่องกฎข้อบังคับต่างๆ เป้าหมายของแฟมิเลีย รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิเลียกับกลุ่มพันธมิตรด้วย

เฮสเทียหยิบยกเรื่องอิชทาร์แฟมิเลียขึ้นมาพูดต่อและเตือนว่าถ้าจะไปไหนมาไหนนอกคฤหาสน์ก็ให้พาวาห์น ริว หรือคนอื่นๆ ที่พอเชื่อใจได้ไปด้วย

บรรยากาศดูเงียบเหงาลงไปบ้าง แต่มันก็ดีขึ้นทันทีที่อาหารเย็นถูกยกออกมาจากครัว

วันนี้มิลานมาอยู่ค้างด้วย เธอจึงตระเตรียมอาหารไว้หลายอย่างเพื่อฉลองให้กับเหล่าสมาชิกใหม่ของเฮสเทียแฟมิเลีย

คู่แฝดเองก็ช่วยเธอด้วยโดยเตรียมเมนูเบาๆ อย่างสลัดและข้าวโอ๊ตต้มเอาไว้ด้านข้าง

กระเพาะของเพรเซียยังไม่ค่อยปกติดีนัก ข้าวโอ๊ตต้มจึงเป็นเมนูที่เหมาะกับเธอมาก

หลังจากได้พูดคุยกับวาห์นในช่วงแรก เพรเซียก็กลับไปใช้วิธีพยักหน้าหรือตอบรับเบาๆ ทุกครั้งที่เฟนเรียร์คุยด้วยแทน

เฟนเรียร์เป็นคนคอยดูแลเธอตั้งแต่ที่มาถึง อีกทั้งยังอยู่ด้วยกันเกือบตลอด เพรเซียจึงรู้สึกสนิทและไว้ใจเด็กสาวกินจุคนนี้มากกว่าใคร

หลังจบช่วงมื้อเย็น ทุกคนก็ชวนกันไปอาบน้ำโดยที่วาห์นปลีกตัวไปแช่น้ำในฝั่งผู้ชายอย่างสบายอารมณ์

ตอนแรกเขานึกว่าเฮสเทียและริวอาจจะออกปากขอมาด้วยแต่กลับผิดคาดไปเลย

กำกั้นห้องน้ำนั้นไม่ได้เป็นแบบเก็บเสียง วาห์นจึงได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าดังลอดออกมาบ่อยๆ

มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากเพราะรู้ว่าพวกเธอคงกำลังสนุกกันอยู่…

ที่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง พวกสาวๆ กำลังแช่น้ำในบ่อใหญ่พร้อมกับสนทนากันอย่างออกรส ส่วนหัวข้อหลักก็คือร่างกายของกันและกันนี่แหละ

ทุกอย่างเริ่มจากสิ่งที่เฟนเรียร์พูดกับเพรเซีย จากนั้นฮารุฮิเมะก็เริ่มถามเกี่ยวกับรสนิยมของวาห์น

ตอนแรกคนอื่นๆ ทำเป็นเฉยๆ จากนั้นก็เริ่มหูผึ่งกัน สุดท้ายก็กลายมาเป็นอย่างที่เห็น

เฮสเทียผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้หญิงตัวเล็กหุ่นสะบึมพยายามเชิดหน้าอกอันไร้ที่ติให้ทุกคนได้ประจักษ์

“ถึงวาห์นจะไม่สนใจเรื่องขนาด แต่ฉันรู้ดีว่าเขาคิดว่าของฉันน่ะนิ่มที่สุด~!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

พอได้ฟังแล้วทุกคนถึงกับต้องมองของตัวเองสลับกับเฮสเทียเพื่อเปรียบเทียบเป็นการใหญ่

หากไม่นับมิโคโตะกับมิลาน ของคนอื่นๆ นั้นจัดอยู่ในระดับไม่เล็กไม่ใหญ่หรือไม่ก็อยู่ในช่วงกำลังโต

ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดของเฮสเทีย ริวค่อยๆ ย่องไปด้านหลังเทพตัวเล็กก่อนจะคว้าหมับเข้าให้จนเจ้าตัวต้องร้องเสียงหลงและรีบขยับออกห่าง

“ห้ามจับนะ ฉันให้วาห์นจับได้แค่คนเดียว…” เฮสเทียพึมพำเบาๆ

ริวจ้องมองเธอพร้อมเอ่ยตอบ

“นุ่มจริงๆ ซะด้วยสิ”

พอลองจับของตัวเองดูบ้าง เอลฟ์สาวก็พบว่ามันดูแข็งไปเลย

เธอพยายามตรวจรอบร่างกายเพรียวบางแต่แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ยิ่งลูบคลำ ใบหน้านิ่งๆ ก็ยิ่งดูกังวลมากขึ้นทุกขณะ

เอมิรุกับมาเอมิไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็เริ่มทำแบบเดียวกับริว แถมตอนหลังยังเปลี่ยนเป็นลูบๆ คลำๆ ร่างกายของกันและกันแทนด้วย

ร่างกายของคู่แฝดนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย การตรวจสอบแบบนี้ก็เหมือนตรวจสอบของตัวเองนั่นแหละ

ทั้งคู่มีหน้าอกขนาดปานกลางและร่างกายเพรียวบางซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเผ่าเสือดาวหิมะ

ท่ามกลางการกระทำแปลกประหลาดของหลายๆ คน เฟนเรียร์ก็พูดขึ้นบ้าง

“วาห์นชอบลูบๆ

วาห์นไม่สนเรื่องอื่นหรอก

เป็นเด็กดีแล้ววาห์นก็จะมาลูบๆ เอง~!”

คู่แฝดเอียงหัวหร้อมกันด้วยความสงสัย

“ลูบๆ เหรอ?” x2

ทุกคนนอกจากคู่แฝด มิโคโตะ และเพรเซียต่างทำหน้า ‘ระลึกถึงความหลัง’ พร้อมกันทันที

พวกเธอต่างเคยโดน ‘ลูบๆ’ กันมาแล้วโดยมีทั้งแบบสมยอมและแบบกึ่งๆ สมยอม (เป็นเหยื่อทดลอง)

แม้แต่ฮารุฮิเมะที่ถูกวาห์นลูบในระหว่างพบกันครั้งแรกก็ได้แต่ยิ้มและหลับตาพริ้มจนมิโคโตะอดถามขึ้นมาไม่ได้

“วาห์นเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

แต่เขาดูจริงจังและสุภาพมากเลยนะ…”

ฮารุฮิเมะยิ้มสดใสกว่าเดิมและเริ่มสาธยายความดีของวาห์นแบบไม่ได้ติดเบรก

เธอเป็นนักพูดที่เก่งกาจพอตัวเลย แถมครั้งนี้กลุ่มที่เคยถูก ‘ลูบๆ’ ยังออกมาช่วยเสริมอีก แม้แต่ริวที่มักเงียบขรึมก็เอากับเค้าด้วย

พอถึงช่วงท้ายๆ คำว่า ‘หัตถ์เทวะ’ เลยกลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เรียกวิชาพิสดารพันลึกของวาห์น

ผู้ที่ได้ลิ้มลองมันมาแล้วนั้นเอาแต่ทำหน้าพึงพอใจ เล่นเอาผู้ที่ยังไม่เคยรู้สึกสงสัยปนคาดหวังมากยิ่งกว่าเดิม

มีเพียงเฟนเรียร์และเพรเซียเท่านั้นที่นั่งดูจากด้านข้างด้วยสีหน้าเฉยๆ

เฟนเรียร์พูดเสริมออกไปสองสามรอบ แต่เพรเซียก็แค่รับฟังเพียงอย่างเดียว

หลังจากทุกคนสงบลงแล้ว เธอจึงกระซิบถามเฟนเรียร์เป็นการส่วนตัว

“มันดี… ขนาดนั้นเลยเหรอ”

ดวงตาของเฟนเรียร์สว่างขึ้นเล็กน้อย ตามมาด้วยคำตอบที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องคิดเลย

“วาห์นดีที่สุดเลย ที่สุดของสุดยอด!”

หลังคิดแผนเสร็จ วาห์นก็แอบเข้าไปไหนนั้นโดยหลบหลีกการตรวจจับต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง

เขาได้เสียงนอนกรนเล็ดลอดออกมาจากหลายๆ ห้อง แต่ว่าบางห้องก็ยังไม่เสร็จศึกกันและห้ำหั่นกันต่อไปแบบลืมวันลืมคืน

วาห์นทำจิตใจให้สงบและค่อยๆ เดินหน้าต่อโดยกางเขตแดนอำพรางแบบเต็มกำลัง

ในที่สุดเขาก็มาถึงโถงขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับห้องของฮารุฮิเมะ

และที่หน้าห้องของเธอ สาวชาวอเมซอนคนนั้นก็ยังนั่งเฝ้าอยู่แบบเดิม

พอเห็นชายสวมผ้าคลุมสีเทาเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็ยืนขึ้นและเอียงหัวด้วยความสงสัย

“หืมม~? ถ้าเป็นลูกค้าล่ะก็ ฉันคงต้องขอให้คุณถอดผ้าคลุมออกก่อนนะคะ

หลบซ่อนใบหน้าแบบนั้น ถือว่าผิดกฎของทางเราค่ะ”

วาห์นไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเลิกส่วนที่คลุมหน้าขึ้นและเผยให้เห็นเรือนผมสีขาว หูเสือ และดวงตาสีฟ้า

เมื่อเห็นใบหน้าของเขา คิ้วของหญิงสาวชาวอเมซอนก็เลิกขึ้นก่อนจะพูดต่อ

“อ้าว นายเองเหรอ?”

วาห์นส่งยิ้มกลับไปให้เธอ

“เรื่องวันก่อนต้องขอโทษด้วยนะ”

ถึงออร่าของอเมซอนสาวจะดูรุนแรงกว่าเดิม แต่วาห์นสังเกตเห็นว่ามันยังไม่ถึงขั้น ‘เป็นศัตรูกัน’

เธอยังคงยิ้มยั่วยวนไม่ต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรก

“โห? นี่มาง้อฉันถึงที่นี่เลยเหรอ~”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินออกมาหา วาห์นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน

“ที่ฉันมานี่เพราะเรื่องอื่นน่ะ…”

ก่อนจะได้พูดต่อ หญิงสาวก็เริ่มหัวเราะ

“ชายปริศนาที่เฝ้าตามหาฮารุฮิเมะไปทั่วก็คือวาห์น เมสันผู้โด่งดังนี่เอง… มาเล่นเป็นฮีโร่ถึงที่นี่เลยงั้นสิ?”

คิ้วของวาห์นขมวดเข้าหากันพร้อมกับใบหน้าที่ดูดุดันยิ่งขึ้น

ก่อนจะได้ถามกลับ อเมซอนสาวก็อธิบายต่อ

“ข้อมูลของนายนี่มีน้อยมากเลยนะ แต่มันก็ไม่ได้ลับสุดยอดขนาดนั้น

เรื่องที่แปลงร่างได้ นายเป็นคนประกาศออกมาเองไม่ใช่เหรอ~? (TL: ตอนที่ 84)

แล้วคิดว่าในเมืองมีเผ่ามนุษย์เสืออยู่กี่คนกันล่ะ แถมที่เป็นเสือขาวตาสีฟ้าก็เห็นจะมีแต่นายนี่แหละ…”

หลังจากนึกตามสิ่งที่เธอเล่า วาห์นก็ตระหนักว่าเขาไม่เคยพยายามซ่อนเรื่องพวกนี้แบบจริงๆ จังๆ เลย

“แล้วเธอจะมาหยุดฉันหรือเปล่า?”

หญิงสาวหรี่ตาเล็กลงขณะใช้มือลูบปุ่มที่เอาไว้ปลดช่วงล่างออก

“ก็ขึ้นอยู่กับว่า… นายคิดจะทำอะไรล่ะมั้ง~?

ถ้ามาในฐานะลูกค้า ฉันก็ยินดีที่จะดูแลนายเอง แต่ถ้าคิดแตะต้องฮารุฮิเมะ… คงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้”

วาห์นขมวดคิ้วพลางถามต่อ

“เธอเป็นอะไรกับฮารุฮิเมะกันแน่? ท่าทางก็เหมือนกับจะเป็นห่วงเธอมาก แต่ฉันเห็นสภาพของฮารุฮิเมะแล้ว… แบบนี้เขาไม่เรียกว่า ‘ปกป้อง’ หรอกนะ”

รอยยิ้มของอเมซอนสาวเหือดหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจังแทน
“ฉันกำลังปกป้องเธออยู่… นายไม่รู้อะไรแล้วอย่ามาพูดดีกว่า

ถ้าทำได้ ฉันก็คงพาเธอออกไปจากที่นี่นานแล้ว”

วาห์นชักกรงเล็บออกมาและถามต่อด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน

“ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยฮารุฮิเมะ ขอถามอีกทีนะ เธอจะมาขวางฉันหรือเปล่า?”

ต่อให้อิชทาร์สัมผัสได้ว่ามีคนบุกเข้ามา วาห์นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากเร่งมือให้เร็วขึ้น

ชายหนุ่มสงสัยจริงๆ ว่าเทพสาวคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงทิ้งคนเฝ้าฮารุฮิเมะไว้แค่คนเดียว

อเมซอนสาวถามกลับด้วยสีหน้าเกี้ยวกราด

“นายคิดว่าตัวเองมุ่งมั่นพอที่จะปกป้องฮารุฮิเมะได้ตลอดงั้นเหรอ!? ทำไมฉันฝากเธอไว้กับนายด้วย!?”

วาห์นบีบอัดพลังเขตแดนและใช้มันกดดันเธอแทนคำตอบ

กว่าร่างกายของเธอจะกลับมาขยับได้ในอีก 2-3 วินาทีถัดมา [เอ็นคิดู] ก็มาพันอยู่รอบแขนขาเรียบร้อยแล้ว ตามมาด้วยกรงเล็บของวาห์นที่จ่ออยู่ตรงหน้าท้อง

อเมซอนสาวมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจหลังจากพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหน ห่วงโซ่ทุกข้อก็ยังคงอยู่ที่เดิม

เธอมองลงไปหาวาห์นและกำลังจะอ้าปากด่าเขาอยู่รอมร่อ แต่ก่อนจะได้ส่งเสียงออกไป ความร้อนมหาศาลก็พุ่งผ่านร่างกายจนกล้ามเนื้อส่วนล่างใช้การไม่ได้

โซ่ที่พันอยู่รอบขาถูกคลายออก ก่อนที่มันจะค่อยๆ ลดระดับลงมาจนเธอตกอยู่ในท่าคุกเข่ากับพื้น

วางฝ่ามือลงบนศีรษะของเธอและพูดอย่างชัดเจน

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่เคยพูดหรือให้สัญญาไปแล้ว

ไม่สำคัญว่ามันจะลำบากหรือยากเย็นแค่ไหน เพื่อคนที่ฉันห่วงใย วาห์น เมสันขอยอมตายดีกว่ายอมถอยหนี”

พูดเสร็จแล้ววาห์นก็เริ่มอัดออร่าของตัวเองเข้าไปในตัวหญิงสาวเพื่อกำจัดพลังงานแปลกปลอมบางอย่างที่อยู่ในตัวเธอ

ดวงตาสีม่วงเบิกกว้างขณะที่เธอกัดฟันแน่นเพื่อต้านทานพลังที่อีกฝ่ายส่งมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า

ผ่านไปอีกหลายวินาที หญิงสาวก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงนั้นหดหายไปหมด

ภายในจิตใจก็ว่างเปล่าราวกับมีบางอย่างขาดหายไป ทว่าภายในความว่างเปล่านั้น เธอกลับรู้สึกเหมือน ‘ได้เป็นอิสระ’ ราวกับโซ่ตรวนที่ฝังอยู่จิตใจมานานได้ถูกปลดออกจนหมด

ในขณะเดียวกัน โซ่สีทองที่พันแขนและลำตัวก็ถูกปลดออกเช่นกัน ก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเข้ามาช่วยพยุงให้เธอนอนกับพื้น

“เธอไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่นนะ ตอนนี้หัวก็น่าจะโล่งขึ้นแล้ว ต่อไปอยากทำอะไรก็ทำเถอะ… แค่อย่ามาขวางฉันก็พอ”

วาห์นลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากขับพลังงานสีชมพูน่าขยะแขยงออกไปจากร่างของหญิงสาวจนหมด

เขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่ามันคืออะไร แต่สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่านั่นคือพลังศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘มนต์เสน่ห์’ ที่อิชทาร์ใช้ควบคุมหญิงสาวตรงหน้า

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นห่วงฮารุฮิเมะมากแต่กลับปล่อยให้เธอทนทุกข์อยู่ที่นี่ต่อโดยไม่ทำอะไรเลย

เหตุผลเดียวที่วาห์นนึกออกก็คือเธอกำลังถูกพลังบางอย่างครอบงำจิตใจ แต่ถึงจะโดน ‘มนต์เสน่ห์’ เข้าไป เธอก็ยังมีสติอยู่บ้างและคอยอยู่ใกล้ๆ ฮารุฮิเมะเสมอ

คนที่สะกดเธอไว้คงจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้และบิดเบือนความคิดจาก ‘เฝ้าปกป้อง’ ให้เห็น ‘เฝ้าไม่ให้หนีไปไหน’ แทน

เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ แต่นับว่าจิตใจของหญิงสาวนั้นแข็งแกร่งมากเพราะป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่โดนเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์

อเมซอนสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าสับสน

“เอ๋ ได้ยังไงกัน? ไม่น่าเป็นไปได้เลย…”

วาห์นมองกลับลงมาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ

“เรื่องที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เคยสนใจอยู่แล้ว

พยายามทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงต่อไปก็ค่อยมาคิดทีหลัง… แล้วนี่เธอยังจะขวางฉันอยู่หรือเปล่า?”

เป็นเวลาหลายวินาทีที่หญิงสาวมองวาห์นราวกับว่าเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของโลกใบนี้

เธอพอมองออกว่าชายหนุ่มอ่อนแอกว่าตัวเองเล็กน้อย แต่เขากลับเอาชนะเธอได้ง่ายๆ ภายในเวลาไม่กี่วินาที แถมเธอยังไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลอะไรออกมาเลยนะ!

ตอนนี้เขาทำให้เธออ่อนแอจนแม้แต่ยืนยังยืนไม่ไหวเลย หนำซ้ำยังสลายมนต์เสน่ห์ที่อิชทาร์ร่ายไว้ออกไปได้ด้วย

อย่าว่าแต่ปกป้องฮารุฮิเมะเลย ตอนนี้เธอยังปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

‘อย่างน้อยผลที่ออกมาก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดนี่นะ’ หญิงสาวคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ชื่อของฉันคือไอช่า… ไอช่า เบลก้า… ได้โปรดปกป้องฮารุฮิเมะด้วยนะ

ตอนนี้ฉันจะเชื่อใจนายไปก่อน เดี๋ยวจะช่วยถ่วงเวลาให้สักพัก”

วาห์นพยักหน้าก่อนจะวาง ‘โพชั่นฟื้นพละกำลังชั้นสูง’ ไว้บนพื้นเพื่อให้ไอช่ากลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง

หลังโดนจัดไปชุดใหญ่ ออร่าของเธอก็สงบลงกว่าเดิมมากจนเขาค่อนข้างวางใจ

ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของฮารุฮิเมะ วาห์นก็พึมพำออกมาเบาๆ

“เราทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง… อย่าเลือกทางที่ทำให้คนอื่นเสียใจอีกเลย

อิชทาร์ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก อีกเดี๋ยวเธอนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายโดนจัดการเสียเอง…”

พูดเสร็จวาห์นก็เปิดประตูและเข้าไปในห้องโดยไม่รอฟังคำตอบ

เขาสัมผัสได้ว่าไอช่าหยิบโพชั่นขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินไปตามห้องโถงด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมกว่าเดิมมาก

ขณะที่เขาให้ความสนใจกับเรื่องนอกห้อง ร่างของฮารุฮิเมะก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนฟูกที่เต็มไปด้วยของเหลวน่าขยะแขยง

ชายหนุ่มที่เข้ามาในห้องไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเข้าที่เลย เธอแค่หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดตามร่างกายก่อนจะเดินเข้ามาหา ‘ลูกค้าคนใหม่’

วาห์นจ้องมองการเคลื่อนไหวนั่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดและรีบดึงมือก่อนที่ฮารุฮิเมะจะเข้ามาถอดเสื้อผ้าของเขาออก

หญิงสาวแหงนมองด้วยสีหน้าสับสนและถามขึ้นทันที

“ไม่ชอบแบบนี้เหรอคะท่าน? ฉัน… อาจไม่ค่อยมีประการณ์แต่ว่า-”

ก่อนที่ฮารุฮิเมะจะได้พูดจนจบ วาห์นก็วางมือลงบนหูจิ้งจอกนุ่มฟูและเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อขับไล่ความรู้สึกด้านลบออกไป

“ฮารุฮิเมะ ฉันมาเพื่อพาเธอออกไปจากที่นี่ ทาเคมิคาสึจิไหว้วานให้ฉันมาช่วยเธอน่ะ…”

ตอนแรกนั้นฮารุฮิเมะยังรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่พอวาห์นเอ่ยชื่อของทาเคมิคาสึจิออกมา เธอก็รู้ทันทีว่าเขามาช่วยจริงๆ

ฮารุฮิเมะไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้จะมาถึง แถมความอบอุ่นจากมือนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกดีและปลอดภัยมากเหลือเกิน

ความเจ็บปวดที่ผ่านมาค่อยๆ สลายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก

ทว่าน้ำตาของฮารุฮิเมะกลับเริ่มซึมออกมาขณะที่เจ้าตัวส่ายหัวช้าๆ

“มันสายเกินไปแล้ว… ฉันไม่คู่ควรที่จะให้ใครมาช่วย ไม่คู่ควรเลยสักนิด

ตอนนี้ฉันเป็นแค่หญิงโสเภณี… เป็นผู้หญิงสกปรกที่ไม่ควรค่าให้ใครมาจดจำ

หากพาฉันออกไปจากที่นี่… คุณก็จะต้องมาลำบากทีหลัง”

แต่ละถ้อยคำที่เธอพูดทำหัวใจของวาห์นรู้สึกเหมือนโดนบีบคั้นอย่างหนัก

เขาส่ายหัวขณะประคองใบหน้าของเธอไว้และมองเข้าไปในดวงตาสีเขียว

“นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เธอเลือกเอง เธอมีสิทธิ์ที่จะเป็นอิสระและไขว่คว้าหาความสุขเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ

ฉันไม่รู้ว่า 3 ปีที่ผ่านมานั้นเธอมีชีวิตแบบไหน แต่ขอบอกไว้เลยว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงสกปรก” วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ฮารุฮิเมะจับข้อมือของวาห์นไว้และชักหน้าหนีพร้อมพูดเสียงดังกว่าเดิม

“ไม่ คุณไม่เข้าใจ…”

ก่อนที่เธอจะพูดต่อ วาห์นก็ตัดสินใจชี้แจงบางอย่างเพราะมันอาจทำให้เธอใจเย็นลง

“ฮารุฮิเมะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะคิดยังไงกับเรื่องนี้… แต่ฉันเชี่ยวชาญเรื่องร่างกายของมนุษย์มากกว่าพวกหมอเก่งๆ ในเมืองซะอีก

ฉันขอยืนยันได้เลย… ว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่”

สีหน้าเศร้าโศกสลายหายไปราวกับภาพลวงตาและถูกแทนทีด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“….เอ๋~!!!? จะเป็นไปได้ยังไงกัน!”

เพื่อพิสูจน์เรื่องที่ตัวเองเข้าใจมาตลอด ฮารุฮิเมะหยิบผ้าเช็ดตัวที่เธอเคยเช็ดขึ้นมาถือไว้

“ดูนี่สิคะ ดูของสกปรกพวกนี้สิ!

ทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้ามา ฉันก็จะตื่นขึ้นพร้อมเหลวเหม็นๆ นี่ไง!”

วาห์นคว้าผ้าเช็ดตัวนั่นไว้ก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นเถ้าถ่านทันที

“หลังออกจากที่นี่แล้วเราค่อยมาพิสูจน์เรื่องนี้กันอีกทีก็ได้

ที่เธอต้องทำก็แค่ถามเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ก็ให้ผู้หญิงคนอื่นตรวจสอบให้

แต่ถ้าให้ฉันเดานะ ของเหลวพวกนี้ถูกใช้เพื่อกดดันเธอ แล้วก็ทำให้เธอไม่กล้าคิดหนีออกไปจากที่นี่…”

ดวงตาของฮารุฮิเมะเบิกกว้างขึ้นขณะพยายามไตร่ตรองทุกสิ่งที่วาห์นพูด จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นมาแนบหูของตัวเองพร้อมกับนั่งแหมะลงกับพื้น

“จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ… นี่เราไม่ใช่ผู้หญิงสกปรกหรอกเหรอ?”

ขณะที่หญิงสาวยังตกอยู่ในห้วงความคิด วาห์นก็ลงมานั่งคุกเข่าข้างๆ และช่วยจัดกิโมโนให้ดูเข้าทีเข้าทางมากขึ้น

ฮารุฮิเมะมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“จริงเหรอคะ? ฉันจะกลับไปมีความสุขได้จริงเหรอ? คุณจะช่วยฉันออกไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?”

วาห์นยิ้มให้เธอเล็กน้อยขณะตอบกลับไป

“แน่นอนสิ ต่อให้ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวจนไม่กล้าคิดหนี แต่ฉันก็จะลากเธอออกไปจากที่นี่อยู่ดี

โลกน่ะไม่ได้มีแค่ห้องเล็กๆ นี่นะ ปล่อยวางเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ออกไปหาความสุขข้างนอนแทนเถอะ

ไม่ต้องกังวลเรื่องอิชทาร์กับแฟมิเลียของเธออีกแล้ว ปล่อยให้ฉันกับคนอื่นๆ จัดการเรื่องนี้เอง”

คำพูดนั่นทำให้ดวงตาของฮารุฮิเมะแจ่มชัดยิ่งขึ้น พร้อมกับหางจิ้งจอกที่แกว่งกับพื้นไปมา

ครู่ต่อมา ฮารุฮิเมะก็ก้มหัวลงและพูดในสิ่งที่คิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พูดอีกแล้ว

“ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะคะ!”

วาห์นยิ้มให้ก่อนจะลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก… ไปกันเถอะ มีคนอยากเจอเธอจะแย่อยู่แล้ว

มากับฉัน… ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้วนะ”

พูดจบวาห์นก็อุ้มฮารุฮิเมะขึ้นมาจนเจ้าตัวตกใจเล็กน้อย ไม่นานเธอก็เอาแขนมาคล้องคอของเขาแต่โดยดี

เธอสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของวาห์นนั้นร้อนมาก ร้อนดั่งเตาไฟกลางบ้านที่ชั่วสร้างความอบอุ่นและขับไล่ความมืดให้ออกไปด้านนอก

ณ วินาทีนี้ ภาพที่ฮารุฮิเมะมองเห็นก็คือผู้กล้าที่อาจหาญเข้ามาช่วยปลดปล่อยเธอจากความทุกข์ทั้งปวง

ตอนนี้วาห์นดูไม่ต่างอะไรจากพวกวีรบุรุษจากนิทานก่อนนอน ส่วนตัวเธอก็เป็นเจ้าหญิงนั่นเอง

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าอนาคตจะมีอะไรรออยู่ แต่เธอก็หวังลึกๆ ว่า ‘ความสุขชั่วรันดร์’ อาจอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก…

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท