หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ช่วยกันร่างตารางเวลาขึ้นมาโดยส่วนใหญ่นั้นเน้นหนักไปที่การ ‘ผ่อนคลาย’
วาห์นจะตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน จากนั้นเขาก็จะเริ่มฝึกพื้นฐานการต่อสู้ระยะประชิดให้กับฮารุฮิเมะ เอมิรุ และมาเอมิ
ถึงฮารุฮิเมะอยากจะเน้นฝึกเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว แต่วาห์นคิดว่าการเพิ่มค่าความว่องไวและความอดทนเอาไว้บ้างก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
คู่แฝดที่หมายมั่นว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนก็ต้องฝึกเพิ่มทั้งสองค่านี้เช่นกัน โดยเฉพาะค่าความว่องไวที่เป็นจุดเด่นของเผ่าพันธุ์แมวเหมียวทั้งหลาย
ค่าความว่องไวของทั้งสองนั้นอยู่สูงกว่าค่าอื่นๆ มาก แถมร่างกายยังเป็นแบบเพรียวบางซึ่งเหมาะแก่การต่อสู้โดยใช้ความเร็วเป็นหลัก
พอจบการฝึกช่วงเช้าแล้ว วาห์นก็จะเจอกับ ‘ช่วงผ่อนคลาย’ อันแรกที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้จนกว่าจะถึงพักเที่ยง
เฮสเทียย้ำหนักย้ำหนาว่า ‘ต้องพักจริงๆนะ’ กับ ‘ต้องบอกคนอื่นด้วยนะว่านายอยากทำอะไร’
เพราะหากปล่อยไปเฉยๆ วาห์นก็จะเออออตามคนอื่นไปเรื่อยเหมือนอย่างเคย
หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้ว วาห์นจะ ‘ได้รับอนุญาต’ ให้ทำงานได้ แต่มันต้องไม่ใช่งานที่เคร่งเครียดหรือหนักจนเกินไปนัก
ตกเย็นจะจบลงด้วยการอาบน้ำ ทานมื้อเย็น จากนั้นก็เข้านอนตามปกติ
ตอนแรกวาห์นนึกว่าเรื่องนี้จะอยู่ในหมวด ‘ผ่อนคลาย’ ด้วย แต่เขากลับถูกห้ามไม่ให้เอาเวลาว่างไปใช้นวดคนอื่น ถ้าจะทำจริงๆ ก็ต้องเอาเวลาทำงานในช่วงบ่ายไปใช้
หากไม่ใช่การเดตหรืออะไรทำนองนั้น วาห์นควรพักในช่วงเย็นแทนที่จะเอาเวลาไปปรนเปรอคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว
ขณะทำตารางขึ้นมา วาห์นก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘มันจะเป็นแบบที่เขียนได้จริงๆ เหรอ?’
เขาได้หยุดช่วงสุดสัปดาห์อยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งดูแปลกที่ ‘งานหลัก’ ในตอนนี้กลายมาเป็นการพักผ่อนแทน
เพราะรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังพยายามฝึกอย่างหนัก การที่ตัวเองเอาเวลามานั่งๆ นอนๆ จึงเป็นความรู้สึกที่… ไม่ค่อยจะดีนัก
แต่เขาก็คงยอมตามน้ำไปก่อนนอกเสียจากว่ามีเหตุฉุกเฉินจริงๆ
หลังจากนั้น เฮสเทียก็เริ่มเขียนตารางเวลาส่งให้กับเครือข่ายขณะที่ริวและวาห์นออกไปอธิบายให้เหล่าสมาชิกทุกคนทราบ
ริวผู้รับหน้าที่เป็นรองกัปตันจะต้องคอยกำกับและดูแลทุกคนอยู่เกือบตลอดเวลา นั่นรวมถึงเรื่องการฝึกด้วย
เอลฟ์สาวอยากให้วาห์นใช้เวลาไปกับการพัฒนาสกิลของตัวเองโดยไม่ต้องมานั่งห่วงเรื่องการฝึกของคนอื่น แค่มาให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้งก็น่าจะพอแล้ว (TL: เรียกขวัญกำลังใจล้วนๆ)
ว่ากันตามตรง การจะให้พวกสาวๆ มาเลียนแบบวิธีสู้ของเขานั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นสไตล์ใช้ความเร็วของริวล่ะก็ อันนี้ยังพอเป็นไปหน่อย
ริวยังมีความสามารถทางด้านเวทมนตร์และสกิล [ร่ายเวทต่อเนื่อง] ที่ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอจึงเหมาะกับตำแหน่งครูฝึกที่สุดแล้ว
สุดท้ายวาห์นก็เป็นได้แค่ผู้สังเกตการณ์หรือไม่ก็คู่ฝึก (เป็นบางครั้ง) โดยเอาเวลาที่เหลือไปพัฒนาสกิลของตัวเองแทน
มิโคโตะที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกับฮารุฮิเมะเองก็ต้องฝึกแบบตัวคนเดียวเช่นกัน เพราะเพลงดาบของเธอนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์มาก ส่วนเวทที่ถนัดก็เป็นพวกเวทมนตร์ตรวจจับ
วาห์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าสกิล [ยาตาโนะชิโรการาสึ] ของเธอสามารถตรวจจับศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ได้ แถมยังระบุตำแหน่งของสมาชิกในแฟมิเลียเดียวกันได้ด้วย
อาจจะยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับสกิลตรวจจับของเขาเอง แต่มันก็เป็นวิชาที่น่าประทับใจและเหมาะกับหน่วยลาดตระเวนหรือไม่ก็คนที่ประจำอยู่แนวหน้าเป็นอย่างมาก
พอถึงตอนบ่าย ในที่สุดเพรเซียก็ตื่นขึ้นและทำให้เฟนเรียร์รู้สึกตื่นเต้นมากจนวาห์นเองยังรู้สึกได้
วาห์นตระหนักว่าเด็กสาวนั้นไม่ได้ติดใจเรื่องที่เขาสามารถสื่อถึงเธอได้ตลอด แถมเธอยังใช้มันแทนเครื่องมือสื่อสารเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่างหาก
ไม่นานหลังจากนั้น วาห์นก็เรียกรวมทุกคนให้มาที่ห้องทานอาหารในขณะที่คู่แฝดช่วยพยุงเพรเซียออกมาจากห้อง
ท่าทางของเธอดูอ่อนล้ามาก แต่วาห์นก็โล่งใจที่เห็นดวงตาสีเทากลับมามีประกายแสงอีกครั้ง
หลังจากมากันครบแล้ว วาห์นจึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเพรเซียโดยมีเฮสเทียและฮารุฮิเมะคอยขนาบข้าง
บรรยากาศในห้องดูสบายๆ โดยที่ทุกคนคุยเล่นกันบ้าง หยอกกันบ้าง บางทีก็หันไปจ้องมองพรีเซียด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
วาห์นรู้สึกว่านี่เป็นบรรยากาศที่ดีมากและอยากให้มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ
นี่คือภาพที่เขาอยากเห็นนับตั้งแต่ตอนได้ใกล้ชิดกับโลกิแฟมิเลียภายในดันเจี้ยน
ถ้าสมาชิกทุกคนคอยช่วยเหลือกันแบบนี้ตลอด ภาระของเขาก็จะเบาลงไปเยอะเลย
เพรเซียเองก็คงสัมผัสถึงบรรยากาศนี้ได้เช่นเดียวกัน ตอนนี้หญิงสาวกำลังแสดงสีหน้าซาบซึ้งแต่ก็ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมาอีกรอบ
เธอดูกล้าๆ กลัวๆ และติดขี้อายมากแต่ก็ยังดีกว่าท่าทางในตอนแรกเป็นไหนๆ
เพรเซียก้มหัวลงต่ำและพูดขึ้นเบาๆ
“ขอบคุณ… ที่รักษาให้นะคะ…”
วาห์นยิ้มอ่อนและพูดเสียงเบาเช่นกันเพื่อไม่ให้เธอตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอกเพรเซีย ฉันดีใจที่เห็นเธออาการดีขึ้นมาบ้างแล้ว… เธออยู่ที่คฤหาสน์นี้ได้นานตราบเท่าที่ต้องการเลยนะ
ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรทั้งนั้น เราจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป… ทุกคนที่นี่จะช่วยดูแลเธอเอง”
จนกว่าอาการของเพรเซียจะดีกว่านี้หรืออยู่ในขั้นที่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ วาห์นจะไม่ถามหรือกดดันอะไรทั้งสิ้น
เขาอยากให้เธออยู่ที่นี่กับฮารุฮิเมะและเฟนเรียร์เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจไปก่อน หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะจบเรื่องกับอิชทาร์แฟมิเลีย
มิลานกับทีน่าเองก็อยู่ด้วย ทั้งสองคงจะช่วยเธอได้มากเพราะต่างผ่านอะไรที่คล้ายๆ กันมาแล้ว
พอได้ฟังคำพูดนั่นและมองไปรอบๆ เพรเซียก็สังเกตเห็นว่านอกจากวาห์นแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น
ทุกคนมีท่าทางสบายๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เธอจึงเริ่มคิดว่านี่อาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจริงๆ
นึกย้อนกลับไปตอนที่วาห์นซื้อเธอมาใหม่ๆ เพรเซียคิดว่าเขาคงกำลังวางแผนล่อลวงจากนั้นก็เข้าจู่โจมในจังหวะที่เธอเผลอตัว
ความกลัวที่สุดในใจก็คือการถูกเจ้านายคนล่าสุดดึงกลับเข้าไปในขุมนรกหลังจากที่เชื่อใจเขาไปแล้วนี่แหละ
แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดีแถมยังรักษาแผลเป็นให้ด้วย
หลังมองไปรอบห้องอีกพักหนึ่ง เพรเซียก็หันกลับมาหาวาห์นก่อนจะก้มหัวให้อีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะ…”
จากนั้นวาห์นก็เริ่มอธิบายเรื่องตารางเวลาให้ทุกคนฟังโดยมีเฮสเทียคอยเสริม
นอกจากนั้นแล้วเขายังพูดเรื่องกฎข้อบังคับต่างๆ เป้าหมายของแฟมิเลีย รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิเลียกับกลุ่มพันธมิตรด้วย
เฮสเทียหยิบยกเรื่องอิชทาร์แฟมิเลียขึ้นมาพูดต่อและเตือนว่าถ้าจะไปไหนมาไหนนอกคฤหาสน์ก็ให้พาวาห์น ริว หรือคนอื่นๆ ที่พอเชื่อใจได้ไปด้วย
บรรยากาศดูเงียบเหงาลงไปบ้าง แต่มันก็ดีขึ้นทันทีที่อาหารเย็นถูกยกออกมาจากครัว
วันนี้มิลานมาอยู่ค้างด้วย เธอจึงตระเตรียมอาหารไว้หลายอย่างเพื่อฉลองให้กับเหล่าสมาชิกใหม่ของเฮสเทียแฟมิเลีย
คู่แฝดเองก็ช่วยเธอด้วยโดยเตรียมเมนูเบาๆ อย่างสลัดและข้าวโอ๊ตต้มเอาไว้ด้านข้าง
กระเพาะของเพรเซียยังไม่ค่อยปกติดีนัก ข้าวโอ๊ตต้มจึงเป็นเมนูที่เหมาะกับเธอมาก
หลังจากได้พูดคุยกับวาห์นในช่วงแรก เพรเซียก็กลับไปใช้วิธีพยักหน้าหรือตอบรับเบาๆ ทุกครั้งที่เฟนเรียร์คุยด้วยแทน
เฟนเรียร์เป็นคนคอยดูแลเธอตั้งแต่ที่มาถึง อีกทั้งยังอยู่ด้วยกันเกือบตลอด เพรเซียจึงรู้สึกสนิทและไว้ใจเด็กสาวกินจุคนนี้มากกว่าใคร
หลังจบช่วงมื้อเย็น ทุกคนก็ชวนกันไปอาบน้ำโดยที่วาห์นปลีกตัวไปแช่น้ำในฝั่งผู้ชายอย่างสบายอารมณ์
ตอนแรกเขานึกว่าเฮสเทียและริวอาจจะออกปากขอมาด้วยแต่กลับผิดคาดไปเลย
กำกั้นห้องน้ำนั้นไม่ได้เป็นแบบเก็บเสียง วาห์นจึงได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าดังลอดออกมาบ่อยๆ
มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากเพราะรู้ว่าพวกเธอคงกำลังสนุกกันอยู่…
—
ที่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง พวกสาวๆ กำลังแช่น้ำในบ่อใหญ่พร้อมกับสนทนากันอย่างออกรส ส่วนหัวข้อหลักก็คือร่างกายของกันและกันนี่แหละ
ทุกอย่างเริ่มจากสิ่งที่เฟนเรียร์พูดกับเพรเซีย จากนั้นฮารุฮิเมะก็เริ่มถามเกี่ยวกับรสนิยมของวาห์น
ตอนแรกคนอื่นๆ ทำเป็นเฉยๆ จากนั้นก็เริ่มหูผึ่งกัน สุดท้ายก็กลายมาเป็นอย่างที่เห็น
เฮสเทียผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้หญิงตัวเล็กหุ่นสะบึมพยายามเชิดหน้าอกอันไร้ที่ติให้ทุกคนได้ประจักษ์
“ถึงวาห์นจะไม่สนใจเรื่องขนาด แต่ฉันรู้ดีว่าเขาคิดว่าของฉันน่ะนิ่มที่สุด~!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
พอได้ฟังแล้วทุกคนถึงกับต้องมองของตัวเองสลับกับเฮสเทียเพื่อเปรียบเทียบเป็นการใหญ่
หากไม่นับมิโคโตะกับมิลาน ของคนอื่นๆ นั้นจัดอยู่ในระดับไม่เล็กไม่ใหญ่หรือไม่ก็อยู่ในช่วงกำลังโต
ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดของเฮสเทีย ริวค่อยๆ ย่องไปด้านหลังเทพตัวเล็กก่อนจะคว้าหมับเข้าให้จนเจ้าตัวต้องร้องเสียงหลงและรีบขยับออกห่าง
“ห้ามจับนะ ฉันให้วาห์นจับได้แค่คนเดียว…” เฮสเทียพึมพำเบาๆ
ริวจ้องมองเธอพร้อมเอ่ยตอบ
“นุ่มจริงๆ ซะด้วยสิ”
พอลองจับของตัวเองดูบ้าง เอลฟ์สาวก็พบว่ามันดูแข็งไปเลย
เธอพยายามตรวจรอบร่างกายเพรียวบางแต่แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ยิ่งลูบคลำ ใบหน้านิ่งๆ ก็ยิ่งดูกังวลมากขึ้นทุกขณะ
เอมิรุกับมาเอมิไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็เริ่มทำแบบเดียวกับริว แถมตอนหลังยังเปลี่ยนเป็นลูบๆ คลำๆ ร่างกายของกันและกันแทนด้วย
ร่างกายของคู่แฝดนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย การตรวจสอบแบบนี้ก็เหมือนตรวจสอบของตัวเองนั่นแหละ
ทั้งคู่มีหน้าอกขนาดปานกลางและร่างกายเพรียวบางซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเผ่าเสือดาวหิมะ
ท่ามกลางการกระทำแปลกประหลาดของหลายๆ คน เฟนเรียร์ก็พูดขึ้นบ้าง
“วาห์นชอบลูบๆ
วาห์นไม่สนเรื่องอื่นหรอก
เป็นเด็กดีแล้ววาห์นก็จะมาลูบๆ เอง~!”
คู่แฝดเอียงหัวหร้อมกันด้วยความสงสัย
“ลูบๆ เหรอ?” x2
ทุกคนนอกจากคู่แฝด มิโคโตะ และเพรเซียต่างทำหน้า ‘ระลึกถึงความหลัง’ พร้อมกันทันที
พวกเธอต่างเคยโดน ‘ลูบๆ’ กันมาแล้วโดยมีทั้งแบบสมยอมและแบบกึ่งๆ สมยอม (เป็นเหยื่อทดลอง)
แม้แต่ฮารุฮิเมะที่ถูกวาห์นลูบในระหว่างพบกันครั้งแรกก็ได้แต่ยิ้มและหลับตาพริ้มจนมิโคโตะอดถามขึ้นมาไม่ได้
“วาห์นเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?
แต่เขาดูจริงจังและสุภาพมากเลยนะ…”
ฮารุฮิเมะยิ้มสดใสกว่าเดิมและเริ่มสาธยายความดีของวาห์นแบบไม่ได้ติดเบรก
เธอเป็นนักพูดที่เก่งกาจพอตัวเลย แถมครั้งนี้กลุ่มที่เคยถูก ‘ลูบๆ’ ยังออกมาช่วยเสริมอีก แม้แต่ริวที่มักเงียบขรึมก็เอากับเค้าด้วย
พอถึงช่วงท้ายๆ คำว่า ‘หัตถ์เทวะ’ เลยกลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เรียกวิชาพิสดารพันลึกของวาห์น
ผู้ที่ได้ลิ้มลองมันมาแล้วนั้นเอาแต่ทำหน้าพึงพอใจ เล่นเอาผู้ที่ยังไม่เคยรู้สึกสงสัยปนคาดหวังมากยิ่งกว่าเดิม
มีเพียงเฟนเรียร์และเพรเซียเท่านั้นที่นั่งดูจากด้านข้างด้วยสีหน้าเฉยๆ
เฟนเรียร์พูดเสริมออกไปสองสามรอบ แต่เพรเซียก็แค่รับฟังเพียงอย่างเดียว
หลังจากทุกคนสงบลงแล้ว เธอจึงกระซิบถามเฟนเรียร์เป็นการส่วนตัว
“มันดี… ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ดวงตาของเฟนเรียร์สว่างขึ้นเล็กน้อย ตามมาด้วยคำตอบที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องคิดเลย
“วาห์นดีที่สุดเลย ที่สุดของสุดยอด!”
หลังคิดแผนเสร็จ วาห์นก็แอบเข้าไปไหนนั้นโดยหลบหลีกการตรวจจับต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง
เขาได้เสียงนอนกรนเล็ดลอดออกมาจากหลายๆ ห้อง แต่ว่าบางห้องก็ยังไม่เสร็จศึกกันและห้ำหั่นกันต่อไปแบบลืมวันลืมคืน
วาห์นทำจิตใจให้สงบและค่อยๆ เดินหน้าต่อโดยกางเขตแดนอำพรางแบบเต็มกำลัง
ในที่สุดเขาก็มาถึงโถงขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับห้องของฮารุฮิเมะ
และที่หน้าห้องของเธอ สาวชาวอเมซอนคนนั้นก็ยังนั่งเฝ้าอยู่แบบเดิม
พอเห็นชายสวมผ้าคลุมสีเทาเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็ยืนขึ้นและเอียงหัวด้วยความสงสัย
“หืมม~? ถ้าเป็นลูกค้าล่ะก็ ฉันคงต้องขอให้คุณถอดผ้าคลุมออกก่อนนะคะ
หลบซ่อนใบหน้าแบบนั้น ถือว่าผิดกฎของทางเราค่ะ”
วาห์นไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเลิกส่วนที่คลุมหน้าขึ้นและเผยให้เห็นเรือนผมสีขาว หูเสือ และดวงตาสีฟ้า
เมื่อเห็นใบหน้าของเขา คิ้วของหญิงสาวชาวอเมซอนก็เลิกขึ้นก่อนจะพูดต่อ
“อ้าว นายเองเหรอ?”
วาห์นส่งยิ้มกลับไปให้เธอ
“เรื่องวันก่อนต้องขอโทษด้วยนะ”
ถึงออร่าของอเมซอนสาวจะดูรุนแรงกว่าเดิม แต่วาห์นสังเกตเห็นว่ามันยังไม่ถึงขั้น ‘เป็นศัตรูกัน’
เธอยังคงยิ้มยั่วยวนไม่ต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรก
“โห? นี่มาง้อฉันถึงที่นี่เลยเหรอ~”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินออกมาหา วาห์นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน
“ที่ฉันมานี่เพราะเรื่องอื่นน่ะ…”
ก่อนจะได้พูดต่อ หญิงสาวก็เริ่มหัวเราะ
“ชายปริศนาที่เฝ้าตามหาฮารุฮิเมะไปทั่วก็คือวาห์น เมสันผู้โด่งดังนี่เอง… มาเล่นเป็นฮีโร่ถึงที่นี่เลยงั้นสิ?”
คิ้วของวาห์นขมวดเข้าหากันพร้อมกับใบหน้าที่ดูดุดันยิ่งขึ้น
ก่อนจะได้ถามกลับ อเมซอนสาวก็อธิบายต่อ
“ข้อมูลของนายนี่มีน้อยมากเลยนะ แต่มันก็ไม่ได้ลับสุดยอดขนาดนั้น
เรื่องที่แปลงร่างได้ นายเป็นคนประกาศออกมาเองไม่ใช่เหรอ~? (TL: ตอนที่ 84)
แล้วคิดว่าในเมืองมีเผ่ามนุษย์เสืออยู่กี่คนกันล่ะ แถมที่เป็นเสือขาวตาสีฟ้าก็เห็นจะมีแต่นายนี่แหละ…”
หลังจากนึกตามสิ่งที่เธอเล่า วาห์นก็ตระหนักว่าเขาไม่เคยพยายามซ่อนเรื่องพวกนี้แบบจริงๆ จังๆ เลย
“แล้วเธอจะมาหยุดฉันหรือเปล่า?”
หญิงสาวหรี่ตาเล็กลงขณะใช้มือลูบปุ่มที่เอาไว้ปลดช่วงล่างออก
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า… นายคิดจะทำอะไรล่ะมั้ง~?
ถ้ามาในฐานะลูกค้า ฉันก็ยินดีที่จะดูแลนายเอง แต่ถ้าคิดแตะต้องฮารุฮิเมะ… คงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้”
วาห์นขมวดคิ้วพลางถามต่อ
“เธอเป็นอะไรกับฮารุฮิเมะกันแน่? ท่าทางก็เหมือนกับจะเป็นห่วงเธอมาก แต่ฉันเห็นสภาพของฮารุฮิเมะแล้ว… แบบนี้เขาไม่เรียกว่า ‘ปกป้อง’ หรอกนะ”
รอยยิ้มของอเมซอนสาวเหือดหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจังแทน
“ฉันกำลังปกป้องเธออยู่… นายไม่รู้อะไรแล้วอย่ามาพูดดีกว่า
ถ้าทำได้ ฉันก็คงพาเธอออกไปจากที่นี่นานแล้ว”
วาห์นชักกรงเล็บออกมาและถามต่อด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยฮารุฮิเมะ ขอถามอีกทีนะ เธอจะมาขวางฉันหรือเปล่า?”
ต่อให้อิชทาร์สัมผัสได้ว่ามีคนบุกเข้ามา วาห์นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากเร่งมือให้เร็วขึ้น
ชายหนุ่มสงสัยจริงๆ ว่าเทพสาวคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงทิ้งคนเฝ้าฮารุฮิเมะไว้แค่คนเดียว
อเมซอนสาวถามกลับด้วยสีหน้าเกี้ยวกราด
“นายคิดว่าตัวเองมุ่งมั่นพอที่จะปกป้องฮารุฮิเมะได้ตลอดงั้นเหรอ!? ทำไมฉันฝากเธอไว้กับนายด้วย!?”
วาห์นบีบอัดพลังเขตแดนและใช้มันกดดันเธอแทนคำตอบ
กว่าร่างกายของเธอจะกลับมาขยับได้ในอีก 2-3 วินาทีถัดมา [เอ็นคิดู] ก็มาพันอยู่รอบแขนขาเรียบร้อยแล้ว ตามมาด้วยกรงเล็บของวาห์นที่จ่ออยู่ตรงหน้าท้อง
อเมซอนสาวมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจหลังจากพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหน ห่วงโซ่ทุกข้อก็ยังคงอยู่ที่เดิม
เธอมองลงไปหาวาห์นและกำลังจะอ้าปากด่าเขาอยู่รอมร่อ แต่ก่อนจะได้ส่งเสียงออกไป ความร้อนมหาศาลก็พุ่งผ่านร่างกายจนกล้ามเนื้อส่วนล่างใช้การไม่ได้
โซ่ที่พันอยู่รอบขาถูกคลายออก ก่อนที่มันจะค่อยๆ ลดระดับลงมาจนเธอตกอยู่ในท่าคุกเข่ากับพื้น
วางฝ่ามือลงบนศีรษะของเธอและพูดอย่างชัดเจน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่เคยพูดหรือให้สัญญาไปแล้ว
ไม่สำคัญว่ามันจะลำบากหรือยากเย็นแค่ไหน เพื่อคนที่ฉันห่วงใย วาห์น เมสันขอยอมตายดีกว่ายอมถอยหนี”
พูดเสร็จแล้ววาห์นก็เริ่มอัดออร่าของตัวเองเข้าไปในตัวหญิงสาวเพื่อกำจัดพลังงานแปลกปลอมบางอย่างที่อยู่ในตัวเธอ
ดวงตาสีม่วงเบิกกว้างขณะที่เธอกัดฟันแน่นเพื่อต้านทานพลังที่อีกฝ่ายส่งมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
ผ่านไปอีกหลายวินาที หญิงสาวก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงนั้นหดหายไปหมด
ภายในจิตใจก็ว่างเปล่าราวกับมีบางอย่างขาดหายไป ทว่าภายในความว่างเปล่านั้น เธอกลับรู้สึกเหมือน ‘ได้เป็นอิสระ’ ราวกับโซ่ตรวนที่ฝังอยู่จิตใจมานานได้ถูกปลดออกจนหมด
ในขณะเดียวกัน โซ่สีทองที่พันแขนและลำตัวก็ถูกปลดออกเช่นกัน ก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเข้ามาช่วยพยุงให้เธอนอนกับพื้น
“เธอไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่นนะ ตอนนี้หัวก็น่าจะโล่งขึ้นแล้ว ต่อไปอยากทำอะไรก็ทำเถอะ… แค่อย่ามาขวางฉันก็พอ”
วาห์นลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากขับพลังงานสีชมพูน่าขยะแขยงออกไปจากร่างของหญิงสาวจนหมด
เขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่ามันคืออะไร แต่สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่านั่นคือพลังศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘มนต์เสน่ห์’ ที่อิชทาร์ใช้ควบคุมหญิงสาวตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นห่วงฮารุฮิเมะมากแต่กลับปล่อยให้เธอทนทุกข์อยู่ที่นี่ต่อโดยไม่ทำอะไรเลย
เหตุผลเดียวที่วาห์นนึกออกก็คือเธอกำลังถูกพลังบางอย่างครอบงำจิตใจ แต่ถึงจะโดน ‘มนต์เสน่ห์’ เข้าไป เธอก็ยังมีสติอยู่บ้างและคอยอยู่ใกล้ๆ ฮารุฮิเมะเสมอ
คนที่สะกดเธอไว้คงจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้และบิดเบือนความคิดจาก ‘เฝ้าปกป้อง’ ให้เห็น ‘เฝ้าไม่ให้หนีไปไหน’ แทน
เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ แต่นับว่าจิตใจของหญิงสาวนั้นแข็งแกร่งมากเพราะป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่โดนเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์
อเมซอนสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าสับสน
“เอ๋ ได้ยังไงกัน? ไม่น่าเป็นไปได้เลย…”
วาห์นมองกลับลงมาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ
“เรื่องที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เคยสนใจอยู่แล้ว
พยายามทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงต่อไปก็ค่อยมาคิดทีหลัง… แล้วนี่เธอยังจะขวางฉันอยู่หรือเปล่า?”
เป็นเวลาหลายวินาทีที่หญิงสาวมองวาห์นราวกับว่าเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของโลกใบนี้
เธอพอมองออกว่าชายหนุ่มอ่อนแอกว่าตัวเองเล็กน้อย แต่เขากลับเอาชนะเธอได้ง่ายๆ ภายในเวลาไม่กี่วินาที แถมเธอยังไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลอะไรออกมาเลยนะ!
ตอนนี้เขาทำให้เธออ่อนแอจนแม้แต่ยืนยังยืนไม่ไหวเลย หนำซ้ำยังสลายมนต์เสน่ห์ที่อิชทาร์ร่ายไว้ออกไปได้ด้วย
อย่าว่าแต่ปกป้องฮารุฮิเมะเลย ตอนนี้เธอยังปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
‘อย่างน้อยผลที่ออกมาก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดนี่นะ’ หญิงสาวคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ชื่อของฉันคือไอช่า… ไอช่า เบลก้า… ได้โปรดปกป้องฮารุฮิเมะด้วยนะ
ตอนนี้ฉันจะเชื่อใจนายไปก่อน เดี๋ยวจะช่วยถ่วงเวลาให้สักพัก”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะวาง ‘โพชั่นฟื้นพละกำลังชั้นสูง’ ไว้บนพื้นเพื่อให้ไอช่ากลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง
หลังโดนจัดไปชุดใหญ่ ออร่าของเธอก็สงบลงกว่าเดิมมากจนเขาค่อนข้างวางใจ
ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของฮารุฮิเมะ วาห์นก็พึมพำออกมาเบาๆ
“เราทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง… อย่าเลือกทางที่ทำให้คนอื่นเสียใจอีกเลย
อิชทาร์ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก อีกเดี๋ยวเธอนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายโดนจัดการเสียเอง…”
พูดเสร็จวาห์นก็เปิดประตูและเข้าไปในห้องโดยไม่รอฟังคำตอบ
เขาสัมผัสได้ว่าไอช่าหยิบโพชั่นขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินไปตามห้องโถงด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมกว่าเดิมมาก
ขณะที่เขาให้ความสนใจกับเรื่องนอกห้อง ร่างของฮารุฮิเมะก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนฟูกที่เต็มไปด้วยของเหลวน่าขยะแขยง
ชายหนุ่มที่เข้ามาในห้องไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเข้าที่เลย เธอแค่หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดตามร่างกายก่อนจะเดินเข้ามาหา ‘ลูกค้าคนใหม่’
วาห์นจ้องมองการเคลื่อนไหวนั่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดและรีบดึงมือก่อนที่ฮารุฮิเมะจะเข้ามาถอดเสื้อผ้าของเขาออก
หญิงสาวแหงนมองด้วยสีหน้าสับสนและถามขึ้นทันที
“ไม่ชอบแบบนี้เหรอคะท่าน? ฉัน… อาจไม่ค่อยมีประการณ์แต่ว่า-”
ก่อนที่ฮารุฮิเมะจะได้พูดจนจบ วาห์นก็วางมือลงบนหูจิ้งจอกนุ่มฟูและเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อขับไล่ความรู้สึกด้านลบออกไป
“ฮารุฮิเมะ ฉันมาเพื่อพาเธอออกไปจากที่นี่ ทาเคมิคาสึจิไหว้วานให้ฉันมาช่วยเธอน่ะ…”
ตอนแรกนั้นฮารุฮิเมะยังรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่พอวาห์นเอ่ยชื่อของทาเคมิคาสึจิออกมา เธอก็รู้ทันทีว่าเขามาช่วยจริงๆ
ฮารุฮิเมะไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้จะมาถึง แถมความอบอุ่นจากมือนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกดีและปลอดภัยมากเหลือเกิน
ความเจ็บปวดที่ผ่านมาค่อยๆ สลายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก
ทว่าน้ำตาของฮารุฮิเมะกลับเริ่มซึมออกมาขณะที่เจ้าตัวส่ายหัวช้าๆ
“มันสายเกินไปแล้ว… ฉันไม่คู่ควรที่จะให้ใครมาช่วย ไม่คู่ควรเลยสักนิด
ตอนนี้ฉันเป็นแค่หญิงโสเภณี… เป็นผู้หญิงสกปรกที่ไม่ควรค่าให้ใครมาจดจำ
หากพาฉันออกไปจากที่นี่… คุณก็จะต้องมาลำบากทีหลัง”
แต่ละถ้อยคำที่เธอพูดทำหัวใจของวาห์นรู้สึกเหมือนโดนบีบคั้นอย่างหนัก
เขาส่ายหัวขณะประคองใบหน้าของเธอไว้และมองเข้าไปในดวงตาสีเขียว
“นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เธอเลือกเอง เธอมีสิทธิ์ที่จะเป็นอิสระและไขว่คว้าหาความสุขเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ
ฉันไม่รู้ว่า 3 ปีที่ผ่านมานั้นเธอมีชีวิตแบบไหน แต่ขอบอกไว้เลยว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงสกปรก” วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฮารุฮิเมะจับข้อมือของวาห์นไว้และชักหน้าหนีพร้อมพูดเสียงดังกว่าเดิม
“ไม่ คุณไม่เข้าใจ…”
ก่อนที่เธอจะพูดต่อ วาห์นก็ตัดสินใจชี้แจงบางอย่างเพราะมันอาจทำให้เธอใจเย็นลง
“ฮารุฮิเมะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะคิดยังไงกับเรื่องนี้… แต่ฉันเชี่ยวชาญเรื่องร่างกายของมนุษย์มากกว่าพวกหมอเก่งๆ ในเมืองซะอีก
ฉันขอยืนยันได้เลย… ว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่”
สีหน้าเศร้าโศกสลายหายไปราวกับภาพลวงตาและถูกแทนทีด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“….เอ๋~!!!? จะเป็นไปได้ยังไงกัน!”
เพื่อพิสูจน์เรื่องที่ตัวเองเข้าใจมาตลอด ฮารุฮิเมะหยิบผ้าเช็ดตัวที่เธอเคยเช็ดขึ้นมาถือไว้
“ดูนี่สิคะ ดูของสกปรกพวกนี้สิ!
ทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้ามา ฉันก็จะตื่นขึ้นพร้อมเหลวเหม็นๆ นี่ไง!”
วาห์นคว้าผ้าเช็ดตัวนั่นไว้ก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นเถ้าถ่านทันที
“หลังออกจากที่นี่แล้วเราค่อยมาพิสูจน์เรื่องนี้กันอีกทีก็ได้
ที่เธอต้องทำก็แค่ถามเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ก็ให้ผู้หญิงคนอื่นตรวจสอบให้
แต่ถ้าให้ฉันเดานะ ของเหลวพวกนี้ถูกใช้เพื่อกดดันเธอ แล้วก็ทำให้เธอไม่กล้าคิดหนีออกไปจากที่นี่…”
ดวงตาของฮารุฮิเมะเบิกกว้างขึ้นขณะพยายามไตร่ตรองทุกสิ่งที่วาห์นพูด จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นมาแนบหูของตัวเองพร้อมกับนั่งแหมะลงกับพื้น
“จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ… นี่เราไม่ใช่ผู้หญิงสกปรกหรอกเหรอ?”
ขณะที่หญิงสาวยังตกอยู่ในห้วงความคิด วาห์นก็ลงมานั่งคุกเข่าข้างๆ และช่วยจัดกิโมโนให้ดูเข้าทีเข้าทางมากขึ้น
ฮารุฮิเมะมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“จริงเหรอคะ? ฉันจะกลับไปมีความสุขได้จริงเหรอ? คุณจะช่วยฉันออกไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
วาห์นยิ้มให้เธอเล็กน้อยขณะตอบกลับไป
“แน่นอนสิ ต่อให้ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวจนไม่กล้าคิดหนี แต่ฉันก็จะลากเธอออกไปจากที่นี่อยู่ดี
โลกน่ะไม่ได้มีแค่ห้องเล็กๆ นี่นะ ปล่อยวางเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ออกไปหาความสุขข้างนอนแทนเถอะ
ไม่ต้องกังวลเรื่องอิชทาร์กับแฟมิเลียของเธออีกแล้ว ปล่อยให้ฉันกับคนอื่นๆ จัดการเรื่องนี้เอง”
คำพูดนั่นทำให้ดวงตาของฮารุฮิเมะแจ่มชัดยิ่งขึ้น พร้อมกับหางจิ้งจอกที่แกว่งกับพื้นไปมา
ครู่ต่อมา ฮารุฮิเมะก็ก้มหัวลงและพูดในสิ่งที่คิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พูดอีกแล้ว
“ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะคะ!”
วาห์นยิ้มให้ก่อนจะลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก… ไปกันเถอะ มีคนอยากเจอเธอจะแย่อยู่แล้ว
มากับฉัน… ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้วนะ”
พูดจบวาห์นก็อุ้มฮารุฮิเมะขึ้นมาจนเจ้าตัวตกใจเล็กน้อย ไม่นานเธอก็เอาแขนมาคล้องคอของเขาแต่โดยดี
เธอสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของวาห์นนั้นร้อนมาก ร้อนดั่งเตาไฟกลางบ้านที่ชั่วสร้างความอบอุ่นและขับไล่ความมืดให้ออกไปด้านนอก
ณ วินาทีนี้ ภาพที่ฮารุฮิเมะมองเห็นก็คือผู้กล้าที่อาจหาญเข้ามาช่วยปลดปล่อยเธอจากความทุกข์ทั้งปวง
ตอนนี้วาห์นดูไม่ต่างอะไรจากพวกวีรบุรุษจากนิทานก่อนนอน ส่วนตัวเธอก็เป็นเจ้าหญิงนั่นเอง
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าอนาคตจะมีอะไรรออยู่ แต่เธอก็หวังลึกๆ ว่า ‘ความสุขชั่วรันดร์’ อาจอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก…