Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 277

ตอนที่ 277

เป็นเวลาอันน่าหวาดหวั่นหลายนาทีที่วาห์นต้องฟังเสียงร้องทุรนทุรายของเฮสเทีย และพอยิ่งร้องเธอก็ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

แขนเล็กๆ เริ่มเลื่อนจากตรงหัวไหล่มาสู่ลำคอของวาห์นแทน เรียกได้ว่าจังหวะนี้เธอเอื้อมกอดแบบสุดแขนจริงๆ

ผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ เธอถึงจะสงบลงและเริ่มปรับลมหายใจเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแทน

ความพยายามที่จะปลอบเฮสเทียด้วยการลูบใบหน้าและจูบเบาๆ ตรงริมฝีปากนั้นไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่จูบตอบแล้ว เธอยังหันหน้าหนีไปด้านข้างอีกด้วย

วาห์นรู้ว่าเฮสเทียไม่ได้เกลียดเขา เธอแค่สร้างกำแพงจิตใจขึ้นมาชั่วขณะเท่านั้นเอง

เขาเริ่มหาวิธีใหม่โดยเลื่อนมือไปใกล้กับจุดเชื่อมต่อและพยายามใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อบรรเทาอาการปวดแทน

ทว่าคราวนี้เฮสเทียกลับหันมาจ้องแบบ ‘เคืองๆ’ และตามมาด้วยการโวยใส่

“วาห์น! นายห้ามเอาความรู้สึกนี้ไปนะ! ฮือออ ตาบ้าาาาา~!”

เฮสเทียปล่อยมือจากวาห์นและเปลี่ยนไปปิดตาร้องไห้แทน แต่ครั้งนี้เป็นการร้องเพราะความเศร้า

คำพูดนั่นทำให้วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโดดจากหอคอยบาเบลแบบเอาหัวลงพื้นก่อนเลย

ในช่วงที่สมองใช้การไม่ค่อยได้ ความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาพอดี…

ถึงมันจะเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด แต่เฮสเทียก็ให้ความสำคัญกับมันมากเสียจนไม่อยาก ‘ทำให้มันง่ายขึ้น’

สิ่งที่เธอเคยพูดเริ่มตามกลับมาหลอกหลอนจนเขารู้ว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว

การทำเหมือนเฮสเทียเป็นสาววันแรกแย้มนั้นคือสิ่งที่ผิด เพราะนี่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ที่ถูกรักษามาเป็นเวลา 10-20 ปี แต่เป็นหลายล้านปีต่างหาก

ขณะที่คนอื่นคิดว่าความบริสุทธิ์อาจจะสำคัญอยู่บ้าง แต่ตัวตนของเฮสเทียนั้นถูกหลอมรวมเข้ากับมันเป็นเวลานานเกินจะบรรยาย…

วาห์นกัดฟันเล็กน้อยขณะวางหน้าผากไว้ข้างหมอนที่เธอหนุนก่อนจะกระซิบเบาๆ

“ฉันรักเธอนะเฮสเทีย… จะเริ่มขยับแล้ว อดทนหน่อยนะ…”

เฮสเทียพยักหน้าแทนการตอบโดยที่ยังซ่อนใบหน้าไว้ใต้แขนเหมือนเดิม

ออร่าที่ดูสงบลงทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น แม้ว่ามันจะเชื่อถือไม่ค่อยได้แล้วก็ตาม

พอกลับมาให้ความสนใจกับร่างกายส่วนล่างอีกครั้ง วาห์นก็เพิ่งตระหนักว่ามันคับแน่นมาก

ถ้าบอกว่า ‘ไม่มีที่จะไป’ ก็คงไม่ใช่คำพูดเกินจริงเท่าไหร่

นี่นอกจากจะเข้ามายากแล้วมันยังออกยากอีกด้วย…

หากไม่ใช่เพราะร่างกายมีความทนทานสูง วาห์นคิดว่าการอยู่แบบนี้กับเฮสเทียคงจะเป็นอะไรที่สาหัสมาก

ตอนนี้วาห์นทำสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง จะให้มายอมแพ้กลางคันนั้นก็คงไม่ใช่เรื่อง

ทางเดียวก็คือกัดฟันและพยายามขยับต่ออย่างสุดความสามารถ

สสถานการณ์ตรงด้านล่างเริ่มน่ากลัวกว่าเดิมเมื่อเขาพยายามฝืนขยับตัวออกจนภายในของเฮสเทียแทบจะติดออกมาด้วย

เธอไม่มีทีท่าว่าจะขยับขยายที่ให้เลย และสิ่งที่วาห์นกลัวยิ่งกว่าการล้มเลิกกลางคันก็คือการทำให้เฮสเทียบาดเจ็บนี่แหละ

แต่ก่อนจะล้มเลิกขึ้นมาจริงๆ วาห์นก็ขยับออกมาได้เกือบหมด ท่ามกลางเสียงร้องที่พยายามเล็ดลอดออกจากไรฟันของเฮสเทีย

แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเธออยากให้เขาทำต่อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บปวด…

แม้จะไม่ได้ทำแบบนั้นบ่อยๆ แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่าในใจแบบสุดเสียง

ถ้าให้เวลาเตรียมตัวสัก 2-3 วัน เขาก็น่าจะลดขนาดของตัวเองลงได้ ทว่าตอนนี้มันไม่ทันแล้ว

แต่ถึงจะทำแบบนั้นจริงๆ เฮสเทียก็คงตามมา ‘กล่าวโทษ’ เขาที่หลังอยู่ดี

วาห์นรวบรวมความกล้าทั้งหมด เขาคว้ามือของเฮสเทียไว้ และจับมันแยกออกจากใบหน้าเคล้าน้ำตาของเธอ

“เฮสเทีย มาจูบกันเถอะ… อย่าไปคิดเรื่องเจ็บ แค่นึกถึงเรื่องจูบก็พอแล้ว

ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง แล้วก็พยายามอย่าต่อต้านให้มากนักล่ะ…”

วาห์นไม่รั้งรอเอาคำตอบอะไรทั้งสิ้น เขาโถมเข้าจูบและสอดลิ้นเข้าไปในปากของอีกฝ่ายทันที

เฮสเทียเริ่มจูบตอบอย่างดูดดื่มขณะที่วาห์นใช้มือซ้ายยกขาขวาของเธอขึ้น ส่วนอีกข้างก็คว้าหมับเข้าที่หน้าอกใหญ่ยักษ์

เสียงร้องต่างๆ จะถูกผนึกเอาไว้ด้วยการจูบ ขณะที่วาห์นเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อนวดคลึงสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแรงเล็กน้อย

หน้าอกของเฮสเทียนั้นนิ่มมากเสียจนเขาสามารถจับมันในรูปแบบหรือมุมไหนก็ได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย

จุดสีชมพูเล็กๆ ถูกนิ้วโป้งบดขยี้จนคลื่นแห่งความเสียวซ่านพุ่งเข้าสู่หัวใจที่เต้นระรัว

วาห์นพยายามยกเรียวขาเล็กๆ ขึ้นอีกหน่อย ก่อนจะพุ่งกลับเข้าสู่เบื้องลึกของเฮสเทียอีกครั้ง

เทพตัวเล็กครางด้วยความเจ็บปวด แต่นอกจากไม่ยอมถอนจูบออกแล้ว เธอยังเอาแขนมาโอบช่วงใต้รักแร้และเข้าจิกผมของวาห์นไว้ด้วย

‘…’

ไอ้เจ็บมันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ดูแล้วคงไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายเลย ดังนั้นเขาจึงทำเป็นลืมมันไปก่อน

ตอนนี้จุดซ่อนเร้นของเฮสเทียก็ยังคงทำหน้าที่ราวกับคีมหนีบเช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือความร้อนบางอย่างที่ซึมผ่านเข้ามาอย่างช้าๆ

วาห์นเข้าใจว่าความรู้สึกนี้น่าจะมาจากการที่ร่างกายของเฮสเทียพยายามผ่อนคลายและปรับตัวเข้าหาเขา

ปัญหาก็คือ กระบวนการดังกล่าวนั้นช่างช้าเหลือเกิน หากนำขนาดส่วนต่างของทั้งสองมาเทียบกัน

จุดเร้นลับของผู้หญิงถูกออกแบบมาให้ขยายได้มากขึ้นโดยมีปัจจัยหลายอย่าง เช่นการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วม และนั่นก็คือเป้าหมายต่อไปของวาห์น

พอเห็นออร่าสีชมพูที่เข้ามาจับกับตัว วาห์นก็นึกอะไรดีๆ ออกและเริ่มขยายพลังเขตแดนจนเต็มห้อง

ในระหว่างช่วงที่ฝึกสร้างไอเท็มนั้นวาห์นตระหนักว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างพื้นฐานที่เป็นทรงกลมของมันได้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็คือยับยั้งไม่ให้มันพุ่งผ่านวัตถุไปเฉยๆ

เขาลองทดสอบเพิ่มเติมด้วยการปรับความเข้มข้นและใช้มันเคลื่อนวัตถุที่อยู่ไกลออกไป

และตอนนี้เขาก็กำลังทำแบบเดียวกันโดยจำกัดพลังให้อยู่แต่ภายในห้อง

ข้าวของเริ่มสั่นไหวขณะที่พลังงานไร้รูปปรากฏออกมา

แม้แต่โลกิเองก็ยังต้องลืมตาตื่นขึ้นมาดูแบบเงียบๆ

วาห์นถอยออกมาเล็กน้อยและหันมาพูดกับเฮสเทียอีกครั้ง

“เฮสเทีย ลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอดูสิ… ไม่ต้องห่วงนะ ฉันผนึกพื้นที่ในนี้ไว้หมดแล้ว”

เฮสเทียคิดว่าวาห์นน่าจะกำลังทำอะไรบางอย่างแบบอ้อมๆ แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เธอก็พยายามสยบความเจ็บปวดลงและเริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา

เมื่อออร่าสีชมพูของเฮสเทียแพร่กระจายมาถึงตัว วาห์นก็รู้สึกเหมือนถูกปลุกเร้าอย่างหนักจน [จิตแห่งราชัน] ต้องเข้ามาต้านมันไว้

แต่ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายปิดมันเองและปล่อยให้ออร่าซึมเข้าสู่รูขุมขนพร้อมกับใช้ [พรแห่งอิกดราซิล] เพื่อผสานมันเข้าไปใน [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] แทน

ตั้งแต่ได้ผ่านประสบการณ์ครั้งแรกกับเฮเฟสตัส วาห์นก็สงสัยมาตลอดว่าออร่าของแต่ละคนนั้นจะส่งผลยังไงกับออร่าที่ไม่ใช่ของตัวเอง

สมมติฐานก็คือ เนื่องจากออร่าที่รับจากคนอื่นสามารถส่งผลมาถึงตัวเขาเองได้ งั้นเขาก็น่าจะโคจรพลังงานดังกล่าวเข้าไปในวิชาอื่นๆ ได้ด้วย

วาห์นไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำตามหลักการเดียวกับ [มาเกียเอเรเบีย] ที่เอวาคิดจะสอน

เขากำลังดูดซับพลังงานภายนอกเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็แปลงมันโดยใช้ตัวเองเป็นสื่อกลาง

แทนที่ออร่าจะทำให้วาห์นรู้สึกคึกมากขึ้น เฮสเทียกลับโดนความรู้สึกของตัวเองโถมเข้าใส่ผ่านทางฝ่ามือที่วาห์นใช้นวดหน้าอก

หัวใจที่เต้นแรงมาตลอดจึงถูกปลุกเร้าให้เต้นแรงยิ่งกว่าเดิมขณะที่ความร้อนในร่างกายพุ่งสูงขึ้น

เฮสเทียไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ความเจ็บปวดก็ยังไม่หายไป แต่เธอกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เธอออกแรงกอดแน่นขึ้นขณะที่ออร่าพลังศักดิ์สิทธิ์กระจายออกไปทั่ว

ความเจ็บปวดที่แสดงออกมาทางดวงตาค่อยๆ เลือนหายและถูกแทนที่ด้วยความหื่นกระหาย…

ร่างของเฮสเทียร้อนขึ้นตามลำดับ ขณะที่เส้นผมบางส่วนเริ่มลอยขึ้นมาให้เห็น

ส่วนล่างของเธอนั้นยังแน่นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันกลับถูกชโลมไปด้วยของเหลวปริมาณมาก

วาห์นยกมือขวาขึ้นมาจับใบหน้าของเฮสเทียไว้

“ฉันรักเธอนะ…”

เขาประทับจูบพร้อมกับค่อยๆ ขยับส่วนล่างออกมาได้ง่ายกว่าแต่ก่อน

เสียงครางของเธอนั้นไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่มันก็เริ่มแฝงเอาความหฤหรรษ์เข้ามาบ้างแล้ว

ยิ่งเวลาผ่านไป วาห์นก็ยิ่งขยับเอวได้ง่ายขึ้น แม้ว่าตอนขาเข้าจะติดปัญหาเดิมๆ ก็ตาม

เส้นทางที่เข้าไปได้เพียง 10 ซม. ในตอนแรก บัดนี้มันเพิ่มขึ้นมาเป็น 13 ซม. แล้ว

การที่อาวุธถูกบีบคั้นอย่างหนักเพียงครึ่งเดียวในขณะที่อีกครึ่งยังอยู่ในสภาพปกตินั้นเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก

วาห์นพยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านและจูบเฮสเทียต่อไปอีก

เวลาผ่านไปราวๆ 30 นาที ในที่สุดพลังศักดิ์สิทธิ์ของเฮสเทียก็เริ่มจางลง ตามมาด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนของเจ้าตัว

ใบหน้าของเธอมีสีแดงก่ำ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็กลายมาเป็นเสียงอย่างอื่นโดยสมบูรณ์แล้ว

เฮสเทียอยู่ในสภาพตื่นเต้นมากเพราะผลจากเทคนิคและวิชาของวาห์น แต่เธอก็ยังไม่ยอมขึ้นไปเที่ยวเล่นข้างบนสักที แม้ว่าร่างกายส่วนล่างจะผ่อนคลายและแฉะชื้นไปหมด

จู่ๆ โลกิก็มากระซิบข้างหูของวาห์นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“พวกครั้งแรกก็แบบนี้แหละนะ เสร็จยาก แถมยังต้องโดนของนายเข้าไปอีก… ป่านนี้คงชาหมดแล้วมั้ง

เอาล่ะ อย่าไปตามใจยัยนี่มาก รีบจัดการเจ้าปุ่มตรงนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะแห้งและเจ็บไปมากกว่านี้เถอะ”

พอวาห์นจะหันไปสบตากับเฮสเทียก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นหลับตาไปก่อนแล้ว เขาจึงยื่นมือออกไปตรงจุดดังกล่าวที่อยู่เหนือส่วนที่ทั้งสองเชื่อมต่อกัน

วาห์นยังไม่ใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ในทันทีเพราะอยากให้เธอได้รับความรู้สึกแบบเป็นธรรมชาติก่อน… แม้ว่าเมื่อกี้เขาจะโกงไปตลายตลบแล้วก็เถอะ

ยิ่งวาห์นใช้นิ้วกระตุ้นส่วนนั้น ของเหลวตรงช่องข้างเคียงก็จะยิ่งถูกหลั่งออกมามากขึ้น

นี่ไม่ใช่ความรู้ใหม่แต่อย่างใด ทว่าวาห์นกลับคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะช่วยได้มากขนาดนี้

เฮสเทียเริ่มหายใจถี่ขึ้นขณะที่วาห์นรักษาจังหวะของเอวและมือไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ

นอกจากจะเจออุปสรรคมากมายแล้ว เขาก็ยังต้องรุกต่อแบบไม่มีหยุดพักและเปลี่ยนจังหวะตามการตอบสนองของเฮสเทียไปเรื่อยๆ

มันคล้ายกับวิธีที่โลกิใช้ เพียงแต่ครั้งนี้เขาต้องเป็นคนค้นหาและขยี้จุดๆ นั้นด้วยตัวเอง

ทุกครั้งที่เปลี่ยนองศาการกระแทก วาห์นก็จะได้พบกับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ

ทันใดนั้นเอง เฮสเทียก็เริ่มร้องเสียงดังพลางรีบสูดอากาศกลับเข้าปอด

‘หืม?’

เสียงร้องนี่แหละที่วาห์นกำลังตามหาอยู่ จากนั้นเขาก็เริ่มย้อนรอยเพื่อหาจุดเมื่อกี้นี้ทันที

ในขณะที่ใช้มือช่วยเล้าโลมไปด้วย วาห์นก็ค่อยๆ ขยับเอวเข้าไปใหม่โดยเล็งตามจุดที่คิดว่าต้องใช้แน่ๆ

แต่พอเข้าไปถึง เฮสเทียก็เริ่มโวยวายขึ้นอีกรอบ

“ตรงนั้นไม่ได้น้าาา~!” ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเบาๆ

โลกิไม่รอช้าและรีบเข้ามาจี้ต่อทันที

“นั่นไง! จุดรวมประสาทตรงส่วนนั้นแหละ… เมื่อกี้บอกแล้วนะว่าอย่าไปฟังยัยนี่มาก

นายใส่ให้ยับเลย แปปเดียวก็จบแล้ว อ้อ ถ้านางเริ่มทำหน้าเหมือนคนเสียสติก็ไม่ต้องไปสนใจนะ เรื่องธรรมดา…”

เฮสเทียเบิกตากว้างและเข้ามาคว้าวาห์นไว้ก่อน

“วาห์น นายอย่าไปหลงกลยัยปีศาจนี่นะ! ถ้าทำแบบนั้นฉันต้องตายแน่เลย~!”

วาห์นถึงกับอึ้งไปเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เธอยังทำท่าเหนื่อยอ่อนอยู่เลย (TL: เล่นละครขี้เกียจอยู่สินะ)

เขาหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล ทว่าจากมุมมองของเฮสเทียนั้นมันฟังดูชั่วร้ายมาก

“ไม่เป็นไรนะ จนกว่าสติจะกลับมาครบ ฉันจะไม่ยอมให้เธอลอยหายไปไหนหรอก…”

วาห์นรู้ว่าฉากจบที่ดีที่สุดก็คือการทำให้เฮสเทียรู้สึกดีมากจนลืมเรื่องที่เคยเจ็บไปเลย

พอเฮสเทียจะออกเสียงค้าน ริมฝีปากของเธอก็ถูกวาห์นผนึกเอาไว้ทันที

วาห์นไม่สนใจออร่าที่เดี๋ยวก็จะดับเดี๋ยวก็จะระเบิดแล้วและเริ่มจู่โจมจุดอ่อนดังกล่าวอย่างไร้ความปราณี

เฮสเทียทั้งครางทั้งกรีดร้องและพยายามขยับเอวหนี แต่มีหรือที่แรงของเธอนั้นจะสู้วาห์นได้

ทุกครั้งที่วาห์นเข้าบดขยี้ กระแสไฟฟ้าก็จะไหลผ่านร่างของเธอแบบเต็มกำลัง

ภายในที่บิดไปมาอย่างหนักทำให้วาห์นต้องออกแรงและเร่งมือมากขึ้นอีก นี่ยังไม่นับเรื่องที่เขาต้องกลั้นใจไม่ให้ตัวเองหลั่งออกมาตั้งแต่นาทีที่แล้วด้วย

“อื้อออออ….!”

เฮสเทียกรีดร้องในลำคอตลอดเวลาที่ทั้งสองจูบกัน ตามมาด้วยการทุบตีที่แผ่นหลังของวาห์นราวกับคนบ้า

วาห์นนั้นโจมตีแบบตรงเป้าทุกครั้ง… จนกระทั่งร่างกายของเฮสเทียเริ่มบีบอัดเข้ามาอย่างรุนแรงและทำให้เขาต้องยอมปลดปล่อยทุกอย่างออกสู่ภายนอก

มันรุนแรงมากเสียจนเขาต้องหยุดเคลื่อนไหวกลางคันและไม่สามารถขยับไปไหนได้อีกเลย

เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของเฮสเทียนั้นคงจะได้ยินกันไปทั่วคฤหาสน์หากโลกิไม่ได้ตั้งเครื่องรางเอาไว้

เทพตัวเล็กสวมกอดวาห์นราวกับต้องการที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา

เฮสเทียเกิดเพ้อขึ้นมาด้วยว่าถ้าไม่ติดหน้าอกที่ทำหน้าที่แทนกันชน เธอก็คงทำสำเร็จไปแล้ว…

จากด้านข้าง โลกิกำลังเฝ้ามองทุกอย่างด้วยสีหน้าเร่าร้อน

ต่อจากเรื่องความอึดก็เป็นเรื่อง ‘ความแม่นยำ’ ที่ทำให้เธอรู้สึกประทับใจมาก

ทั้งๆ ที่เฮสเทียไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่ แต่วาห์นก็ยังอุตส่าห์โจมตีจุดอ่อนของเธอไม่แบบไม่พลาดเป้าเลย

โลกิรู้สึกราวกับว่าถ้าปล่อยให้วาห์นทำตามใจชอบ… เธอก็อาจจะได้ลิ้มลองสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็เป็นได้

จากของเหลวที่ตัวเองปล่อยออกมา ตอนนี้วาห์นเลยรู้สึกเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว

จะขยับออกก็ไม่ได้ แถมแรงดันจากด้านในก็ยังเพิ่มขึ้นทุกขณะ…

ไอ้ตอนที่ใช้แค่ลิ้นมันก็ดูน่าสนใจดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้วาห์นเริ่มกลัวแรงดันนี่ขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว

นี่เขากำลังโดนร่างกายของเทพตัวเล็กลงโทษ โทษฐานที่ไปพรากพรหมจรรย์ของเธอมางั้นเหรอ!?

วาห์นรู้สึกแย่มากๆ จนแสดงมันออกมาทางสีหน้าและทำให้โลกิเอียงหัวสงสัย

“เอ๋? ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงกัน?”

พอสอดส่องไปมาเธอก็พบสาเหตุและเห็นแบบจะๆ เลยว่าวาห์นนั้นกำลังโดนเฮสเทีย ‘บีบคั้น’ อย่างหนัก

โลกิเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าตอนนี้วาห์น ‘ขยับ’ ไปไหนไม่ได้เลย

หลังจาก 2 นาทีแห่งความกระอักกระอ่วน ร่างกายของเฮสเทียก็ผ่อนคลายลง

เธอปล่อยมือจากเส้นผมของวาห์นและล้มลงกับเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง

ดวงตาสีฟ้าดูราวกับกำลังจะปิดลงเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเรือนร่างก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเปียกชุ่ม

และทันทีที่เธอปล่อยมือจากวาห์น ตรงส่วนนั้นก็ ‘ปล่อย’ เขาตามเช่นกัน

โลกิที่เฝ้ามองจุดเชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดจึงโดนของเหลว(แรงดันสูง)กระเด็นใส่หน้าแบบเต็มๆ

เทพจอมเจ้าเล่ห์นิ่งค้างเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะลงไปนอนขำบนเตียงอย่างบ้าคลั่ง

วาห์นแค่รู้สึกโล่งอกที่สุดท้ายเฮสเทียก็ยอม ‘ปล่อย’ เขาไปเสียที

เขาถอนหายใจขณะลูบหัวและลงไปจูบเธอด้วยความเอ็นดู

หลังจากที่ผละออกไปแล้ว จู่ๆ ทั้งสองก็เริ่มพูดพร้อมกัน

“ฉันรักเธอ/นายนะ”

นี่คงเป็นบรรยากาศที่น่าซาบซึ้งมาก… หากไม่ใช่เพราะมีปีศาจสาวมาหัวเราะงอหายอยู่ตรงฉากหลัง… ยาวนานถึง 3 นาทีเต็ม

วาห์นพยักหน้าและถามกลับ

“ฉันเองก็มีเรื่องจะถามเหมือนกัน ว่าแต่เธออยากจะคุยเรื่องอะไรเหรอ?”

ก่อนจะเอ่ยตอบ โลกิก็เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างและวางคางไว้บนมือที่แปะอยู่บนเข่า

วันนี้เธอสวมชุดที่มักใส่เป็นประจำซึ่งประกอบไปด้วย กางเกงขาสั้นรัดรูป เสื้อรัดรูปสีน้ำเงินตัวจิ๋ว แขนเสื้อแยกแบบมีฮู้ดด้านหลัง และถุงน่องสีดำยาวพร้อมรองเท้าบูทสีน้ำเงิน

เธอมักจะนั่งแบบตามใจตัวเอง และแม้จะไม่มีอะไรโผล่ออกมาเนื่องจากใส่กางเกงอยู่ แต่มันก็เรียกสายตาจากคนอื่นได้ทุกครั้ง

ว่ากันตามตรงแล้วกางเกงแนบเนื้อนั่นมันแย่ยิ่งกว่ากระโปรงเสียอีก เพราะคนมองแทบไม่ต้องจินตนาการสิ่งที่อยู่ข้างในเลย…

โลกิเห็นสายตาที่วาห์นใช้มองอยู่แวบหนึ่งแต่เธอก็แค่ยิ้มและพูดต่อ

“เราต้องคุยกันเรื่องงานเดนาตัสครั้งหน้า รวมถึงแผนที่จะใช้ในวันนั้น

เรื่องนี้ฉันคุยกับเทพคนอื่นมาบ้างแล้ว แต่ในฐานะผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘ตัวแทน’ ของกลุ่ม ฉันเลยต้องมาคุยกับนายและทำการตัดสินใจเรื่องบางเรื่องโดยใช้ข้อมูลจากตรงนี้ด้วย

จากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น… อืมมม บอกตรงๆ เลยนะว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด เราคงได้ตามแก้กันอีกยาวเลย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอิชทาร์… แต่ฉันไม่คิดว่ารายนี้จะมีพิษสงอะไรนักหรอก

ฉันอุตส่าห์ท้าวอร์เกมไปแล้ว แต่ยัยนั่นยังคิดจะท้วงเรื่องนี้ในงานประชุมอยู่เลย… คอขาดไปแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
(TL: วอร์เกมจะถูกจัดหลังเดนาตัส หมายความว่าต่อให้อิชทาร์พูดยังไง จบการประชุมเมื่อไหร่ก็โดนโลกิแฟมิเลียเฉ่งอยู่ดี)

วาห์นมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิมขณะถามต่อ

“งั้นที่สำคัญกว่าก็คงเป็นเรื่องการตั้งครรภ์ของเฮเฟสตัสผ่านการใช้ [เอ็นคิดู] ใช่หรือเปล่า?”

โลกิพยักหน้ารับ

“อาจจะไม่ใช่แค่เฮเฟสตัสด้วยนะ… ฉันรู้สึกเหมือนโอกาสของตัวเองกำลังหดเล็กลงยังไงไม่รู้สิช

นี่ก็เรียกให้ทีมสำรวจรีบกลับมากันแล้วด้วย… อืม เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนละกัน

เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆ นะ

ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือปล่อยให้เฮเฟสตัสท้องคนเดียวไปก่อน ส่วนสาเหตุก็บอกไปง่ายๆ เลยว่าเป็นแค่ ‘เรื่องบังเอิญ’…”

โลกิเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจ

“แต่ต่อให้บอกไปแบบนั้น บางกลุ่มก็คงอยากเข้าหานายแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นอยู่ดี

ส่วนผลที่ตามมา… เรื่องนี้จะทำให้ชุมชนของทวยเทพและมนุษย์ปั่นป่วนกันยกใหญ่แน่นอน เพราะการตั้งครรภ์ของเฮเฟสตัสนั้นถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน…”

โลกิที่แม้จะตาปิดเกือบตลอดถึงกับต้อง ‘หรี่ตา’ ก่อนพูดต่อ

“นอกจากมันจะทำให้พวกนายทั้งคู่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว… ฉันยังเชื่อด้วยว่าเฮเฟสตัสคงไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับแน่นอน

ทางแก้ทางเดียวก็คือหาหลักฐานมายืนยันว่านี่มันไม่ใช่ ‘ความบังเอิญ’ และอาจต้องใช้ ‘หลักฐาน’ มากกว่าหนึ่งหรือตัวอย่างด้วย

ข้อเสียก็คือ แหม อันนี้น่าจะรู้ๆ กันอยู่นะ… รับรองว่าหัวกระไดบ้านนายคงไม่มีทางแห้งไปอีกนานเลยล่ะ

เราควรซ่อนเรื่อง [เอ็นคิดู] ไว้ก่อน จากนั้นก็ทำการคัดสรรเทพธิดาที่อยากเข้าหานาย ต่อด้วยการใช้พิธีสาบานเพื่อทุกอย่างไว้เก็บความลับ…”

โลกิเอียงศีรษะเล่นไปมาขณะพูดต่อ

“แต่เพราะพิธีสาบานเพื่อเก็บความลับมีช่องโหว่อยู่เยอะ นี่จึงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบถาวร…

อีกวิธีก็คือเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับและใช้มันแทนโล่ไปเลย

ข้อเสียของวิธีนี้คือนายจะเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่สะดวก…

นอกจากนี้ยังมีในกรณีที่นายไม่ต้องเป็นคนลงมือเอง… อืม ก็ ฉันฟังขั้นตอนจากเฮเฟสตัสมาแล้วล่ะ ประเด็นคือนายต้องอยู่แถวๆ นั้นด้วยใช่ไหม?”

เนื่องจากต้องใช้ทั้ง [เอ็นคิดู] [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] และ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ในระหว่างและหลังเสร็จกิจ วาห์นจึงต้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตลอด

เขาพยักหน้ารับก่อนที่โลกิจะพูดต่อ

“ดังนั้นต่อให้เราปิดบังตัวตนของนายไว้ ไม่นานก็คงโป๊ะแตกอยู่ดี…”

โลกินิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ‘สบตา’ กับวาห์นแบบตรงๆ

“วาห์น บอกฉันมาตามตรงเลยนะ ว่านายยังคิดจะเข้าดันเจี้ยนหลังจากที่ความลับถูกเปิดเผยไปแล้วหรือเปล่า?

วาห์นขมวดคิ้วเพราะเขาเองก็พอเข้าใจว่าทำไมโลกิถึงถามแบบนี้

หลังจากทุกอย่างถูกเปิดเผย เขาก็จะกลายเป็น ‘ที่ต้องการ’ ของเทพธิดาแทบทุกองค์ ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ทำกระบวนการแบบทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

การจะปล่อยให้บุคคลมีค่าลงไปเสี่ยงตายในดันเจี้ยนนั้น… เผลอๆ เขาจะโดนสั่งแบนหรือไม่ก็โดดกักตัวด้วยซ้ำ

นอกจากเหล่าเทพธิดาที่อยาก ‘ปกป้อง’ จนเกิดเหตุแล้ว วาห์นยังต้องเจอกับพวกที่อยากฆ่าเขาด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ

แต่ต่อให้วาห์นไม่ได้สนใจเรื่องดันเจี้ยนมากนัก เขาก็ยังสัมผัสได้ลางๆ ว่าโชคชะตาของตัวเองนั้นถูกผูกติดอยู่กับมัน

ราวกับมีแรงดึงดูดเบาๆ พยายามผลักดันให้เขาเข้าไปในนั้น

โลกิเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของวาห์นก็เลยพูดต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ

“ถ้างั้นเราก็ต้องให้ข้อมูลออกไปว่านี่คือกระบวนการที่ซับซ้อนและไม่ได้ทำกันง่ายๆ

ขณะเดียวกันก็ต้องผูกผู้ที่ผ่าน ‘การรักษา’ ด้วยพิธีสาบานต่ออีกชั้น…

แถมยังต้องคิดเรื่องการกำหนดค่ารักษาและออกกฎเกณฑ์มากำกับดูแลด้วย… ที่พูดมานี่นายคงไม่ชอบเลยใช่ไหม?”

การได้ยินโลกิพูดเรื่อง ‘จ่ายเงินเพื่อซื้อสิทธิ์ในการมีลูก’ ทำให้วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงเขาจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้างก็ตาม

เมื่อเห็นสีหน้านั่นแล้ว โลกิก็เลยพูดออกมาตรงๆ

“ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เราก็ต้องมาคัดสรรกันอยู่ดีว่าจะให้ใครท้องบ้าง… นี่นาย คงไม่ได้คิดเรื่องทำลายโลกอะไรแบบนี้อยู่ใช่ไหม?”

วาห์นถึงกับทำหน้างงเมื่อได้ยินความจริงจังในน้ำเสียงของเธอ

“นี่เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ก็น่ะใช่สิ ฉันไม่ได้คิดจะทำลายโลก…”

โลกิพยักหน้าก่อนจะอธิบาย

“วาห์น นายรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทพธิดาทุกคนตั้งครรภ์ได้?”

วาห์นครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังจนกระทั่งพบกับคำตอบ

“จะมีลูกครึ่งเทพเพิ่มขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อน…”

โลกิพยักหน้ารับ

“ถูกต้อง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกครึ่งเทพพวกนั้นมีลูกต่อไปอีก อาจจะกับเทพ หรือลูกครึ่งเทพด้วยกัน หรือไม่ก็กับมนุษย์…?”

วาห์นค่อนข้างสับสนในตอนแรก ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือภาพของผู้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เสมือนเดินกันอยู่ทั่วไปหมด…

สีหน้าของเขาดูเครียดกว่าเดิมเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมโลกิถึงถามเรื่อง ‘ทำลายโลก’…

โลกิยิ้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ดีที่นายยังเป็นคนคิดรอบคอบอยู่บ้าง แบบนี้อนาคตยังพอมีหวังขึ้นมาหน่อย

อย่างที่นายคิดไว้นั่นแหละ จำนวนของลูกครึ่งเทพบนโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เพราะมีความเป็นเทพมากกว่ามนุษย์ นายคงจะอยู่ได้อีกเป็นร้อยๆ หรือไม่ก็หลายพันปี

ในระหว่างนั้น ต่อให้นายมีลูกแค่ปีละคน กี่พันปีก็คูณเข้าไปสิ แถมยังไม่รวมพวกเด็กที่นายไม่ได้ทำเองอีก

ถ้าเด็กที่เกิดออกมาไม่ได้ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ผูกมัดแบบพวกเทพหรือลูกครึ่งเทพที่มีอยู่ในปัจจุบัน สมดุลของโลกก็จะเปลี่ยนไปแบบถาวร ทุกอย่างจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย

ผ่านไปอีกสัก 4-5 รุ่น บางเผ่าพันธุ์อาจจะสูญพันธุ์ไปเลยก็ได้ ในขณะที่เลือดเนื้อเชื้อไขของนายกระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก

นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายตั้งใจเอาไว้หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ เพราะเผ่าพันธุ์อื่นๆ แทบไม่มีทาง ‘แข่งขัน’ กับลูกๆ หลานๆ ของนายและลูกครึ่งเทพรุ่นใหม่ได้เลยนี่นะ”

มาถึงตรงนี้ สมองของเฮสเทียก็รับข้อมูลต่อไปไม่ไหวจนเริ่มมีควันออกมาให้เห็น

วาห์นกำลังทำท่าคิดหนักมากขณะพยายามนึกภาพตามที่โลกิเล่า

เขายังอธิบายให้ใครฟังไม่ได้เลยว่าหากต้องการ เขาสามารถอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่ต่างจากพวกเทพ

นี่เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังอีกยาวไกลมาก แต่เอาเข้าจริงๆ เขายังนึกภาพที่ตัวเองออกมาห้ามนู่นห้ามนี่ใส่พวกลูกๆไม่ออกเลย

ผ่านไปอีกหน่อย พวกลูกๆ ก็จะมีลูกของตัวเอง ตามมาด้วยลูกของหลานและเหลน…

โลกิค่อยๆ อธิบายต่อแบบเน้นหนักทุกคำพูด

“เราต้องจำกัดจำนวนเทพธิดาที่นายเข้าช่วย… โดยเฉพาะพวกที่นายเข้าช่วยแบบตรงๆ

นายมีความเป็นเทพประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นลูกของนายกับเทพธิดาก็จะมีความเป็นเทพราวๆ 87.5 เปอร์เซ็นต์

ถ้าโชคชะตารู้เห็นเป็นใจให้เด็กพวกนั้นมีลูกกับเทพหรือเทพธิดาต่อ… รุ่นต่อมาก็จะกลายเป็น 93.75 เปอร์เซ็นต์…

ต่อให้อยากปกป้องทุกคนมากแค่ไหน แต่นายก็คงหนีไม่พ้นพวกที่คิดจะผลักดันสายเลือดเทพแบบไม่เลือกวิธี

ในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า จะมีคนที่สามารถเทียบเคียงเทพบนสวรรค์อยู่เต็มไปหมด… ลูกๆ ของนายอาจอยู่ต่อไปอีกเป็นล้านๆ ปีแล้วมีทายาทนับไม่ถ้วน…”

นับเป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นรู้สึกกลัวเรื่องการมีลูกเป็นของตัวเองและไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจยังไงต่อดี

เขาไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ทว่าอนาคตมันช่างมืดมนซะเหลือเกิน ไม่ใช่แค่สำหรับตัวเขาคนเดียว แต่ยังรวมถึงลูกๆ หลานๆ ในอนาคตด้วย…

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ วาห์นก็กลับมาสบตากับโลกิอีกครั้ง

“เธอคิดว่าฉันควรจะทำยังไงดี? ฉันอยากจะช่วยถ้าทำได้… แต่ก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่ริเริ่มไปแล้ว

ถึงจะรู้ว่าโลกิปรารถนาการ ‘ทำลายล้าง’ แต่เป้าหมายของเธอก็มีแค่แดนสวรรค์เท่านั้น ส่วนโลกมนุษย์น่ะไม่เกี่ยว

ถ้าพูดออกมาได้ขนาดนี้ เธอย่อมต้องคิดแผนรับมือไว้แล้วสิ…

โลกิตอบแบบจริงจังเหมือนเดิม

“เราจะจับเทพธิดาที่รู้เรื่อง [เอ็นคิดู] กับขั้นตอนต่างๆ เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรให้หมด

จากนั้นพวกเธอก็ต้องทำพิธีสาบานว่าจะเลี้ยงลูกภายใต้การสังเกตการณ์ของทางเราอย่างใกล้ชิด

นอกจากลูกๆ ของนายแล้ว เรายังต้องปกป้องเด็กๆ ทุกคนที่เกิดมาจากกระบวนการนี้จนกว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่ม

เรายังต้องกำหนดเรื่องระยะเวลา ‘ฟื้นพลัง’ หลังจากที่นายใช้วิชานี้ รวมถึงการเพิ่มบางอย่างเข้าไปในกระบวนการ… ต้องเป็นบางอย่างที่นายเท่านั้นที่สามารถทำได้ด้วย… อืมมม ขั้นตอนส่วนใหญ่ พวกเทพกับเทพธิดาในกลุ่มพันธมิตรสามารถบริหารจัดการกันเองได้อยู่แล้ว

สิ่งที่นายต้องรับผิดชอบและจำใส่ใจให้ดีก็คือ… ต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ เพียงเพราะว่านายรู้สึกเห็นใจใครเป็นพิเศษ

ขอยกเอาลาเวอร์น่ามาเป็นตัวอย่างละกันนะ นั่นคือเทพธิดาที่นายไม่ควรรู้สึกเห็นใจเด็ดขาด… ส่วนบางคนนั้นต่อให้มีลูกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้ว เธอก็ไม่มีวันเป็นแม่ที่ดีได้ ฉันเองก็จัดอยู่ในกลุ่มหลังนี่แหละ ถ้าไม่จำกัดหรือผูกมัดตัวเองไว้กับอะไรสักอย่างล่ะก็ มีหวัง…”

วาห์นพยายามทบทวนสิ่งที่โลกิพูดออกมาอยู่หลายนาทีในขณะที่เฮสเทียใช้มือลูบหลังอย่างเป็นห่วง

เทพตัวเล็กไม่ใช่พวกที่คิดอะไรไกลขนาดนั้น คำอธิบายของโลกิจึงส่งผลกับเธอค่อนข้างมากเช่นกัน

ถึงจะไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ แต่เฮสเทียก็อยากมีลูกเป็นของตัวเองเข้าสักวัน… ตอนนี้เธอกลับรู้สึกลังเลไปหมด

บางทีธรรมชาติอาจจะสร้างข้อห้ามขึ้นมาด้วยเหตุผลเดียวกันล่ะมั้ง? ทุกอย่างก็เพื่อรักษาสมดุลและปกป้องกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง วาห์นก็ได้คำตอบในแบบของตัวเอง

“ฉันเห็นด้วยที่เราควรตั้งกฎเกณฑ์บางอย่าง… แต่งานวิจัยของฉันที่เกี่ยวกับวิธีเพิ่มอัตราการเกิดของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็จะยังดำเนินต่อไป

เผ่ามนุษย์กับเทพ (เพศชาย) ไม่ควรจะเป็นกลุ่มเดียวที่มีลูกได้อย่างอิสระ ในขณะที่เทพธิดากับเผ่าลูกครึ่งต่างๆ ต้องแบกรับความผิดหวังอยู่ฝ่ายเดียว

ฉันไม่คิดว่าอนาคตที่เธอวาดไว้จะหมายถึงการทำลายล้างหรอกนะ แต่มันดูเหมือนวิวัฒนาการซะมากกว่า

มันอาจจะดูวุ่นวายไปหมด แต่ความวุ่นวายก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกมาช้านานแล้ว

ฉันเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ ผ่านการนำและสร้างตัวอย่างที่ดี รวมไปถึงความพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของทุกคน”

วาห์นไม่มีทางทำนายหรือวางแผนรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกพันๆ ปีได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เขาเห็นว่าผิดเต็มประตูเลยก็คือการห้ามคนอื่นไม่ให้มีลูกเพียงเพราะความกลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง

นี่คือความเห็นแก่ตัวล้วนๆ และไม่มีทางเลยที่เขาจะออกมาห้ามไม่ให้ลูกมีครอบครัวเป็นของตัวเอง

จะให้เขาทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับคนที่อยากปกป้องได้ยังไงกัน?

วาห์นไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากำลังโอบเฮสเทียแน่นกว่าเดิมจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างทั้งสอง

เทพตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นไปและเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังมาก มากเสียจนเธอกล้าคิดที่จะมีลูกอีกครั้ง

หลังจากได้ยินคำตอบนั่นแล้ว โลกิก็เริ่มหัวเราะเสียงดังแถมยังใช้มือตีเข่าตัวเองด้วย

“นั่นแหละ คือคำตอบที่ถูกต้องงงง~!

นี่สิคือความงดงามของการเป็นมนุษย์ ตัดสินใจทำโดยไม่สนผลที่ตามมาและสนุกไปกับชีวิต!”

เสียงหัวเราะของโลกิยิ่งฟังดูเฮี้ยนขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นมาป้องปากก่อนจะพูดต่อ

“การเปลี่ยนแปลงคือความงดงามของชีวิต! ช่างหัวความซ้ำซาก ช่างแม่งกับความคาดหวัง เกิดมาทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้มันสุดเหวี่ยงสิเฟ้ย~!”

ดูเหมือนโลกิเริ่มจะนอตหลุดไปตัวสองตัวแล้ว

เธอลุกขึ้นจากโซฟาด้วยดวงตาลุกวาว ราวกับว่าได้เห็นอนาคตคตแบบใหม่ของโลกใบนี้

จากความตื่นเต้น (ที่น้อยกว่าอีกฝ่าย) วาห์นเองก็ลุกขึ้นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

อนาคตไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมที่อยู่เหนือการควบคุมไปซะหมด แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องสัมผัสด้วยตัวเอง

หากพยายามให้ถึงที่สุด วาห์นเชื่อว่าอนาคตคงจะไม่แย่เหมือนที่คุยกันในตอนแรกหรอก

อย่างน้อยๆ เขากับพวกผู้หญิงก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเด็กๆ เอง

การสั่งสอนอย่างเหมาะสมโดยไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะต้องกลายเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ นี่คือความคิดขั้นต้นที่วาห์นวางเอาไว้

เขาต้องทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าความสุขคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาและนำไปแบ่งปันกับคนอื่น ผ่านทางสายสัมพันธ์ที่ถูกหล่อหลอมจากเวลากับตัวเลือกที่เราเลือกเอง

เฮสเทียที่กำลังคลำทางตามกันมาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับคนอื่นเหมือนกัน

สิ่งที่เธอพอสรุปได้ในตอนนี้ก็คือวาห์นจะพยายามต่อไป เพื่อความสุขของสมาชิกในแฟเมิเลีย ในขณะเดียวกันเขาก็จะทำเพื่อยกระดับชีวิตของคนอื่นด้วย

โลกิมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาแวววาวก่อนจะถามขึ้น

“นี่ๆ จะตามเอาใจเฮสเทียคนเดียวเลยเหรอ~?

รู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันต้องทำงานเยอะขนาดไหน… แถมพอทำเสร็จแล้วก็มีของใหม่มาเพิ่มเฉยเลย?” ขณะพูด เธอก็ใช้สองมือนวดบั้นท้ายของตัวเองไปด้วย

“ดูสิ ต้องเดินไปนู่นไปนี่จนกล้ามเนื้อเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย~?”

เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก วาห์นที่แสดงสีหน้าสงสัยจึงยื่นนิ้วออกไปจิ้มเพื่อทดสอบว่ามันจริงหรือเปล่า

ดวงตาสีแดงเบิกกว้างขึ้นอีกนิดพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า

เทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์หันมาสบตากับเฮสเทียเพียงแวบเดียว ก่อนจะเดินข้ามโต๊ะเตี้ยและเอื้อมแขนไปกอดวาห์นไว้

วาห์นเองก็กำลังทำแบบเดียวกันแต่ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนกว่ามาก จนกระทั่งเขาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดก่อนที่เฮสเทียจะหงายหลังลงไปกับโซฟาเพราะโดนโลกิหยิกเอาที่ก้น

แต่ก่อนที่วาห์นจะได้หันไปดูเทพตัวเล็ก โลกิก็โน้มตัวมาข้างหน้าและมอบจูบที่ล้ำลึกและมากด้วยประสบการณ์ให้กับเขาเสียก่อน

ในเบื้องลึกของดันเจี้ยนชั้นที่ 30 นักดาบสาวผมทองกำลังประจัญหน้ากับมอนสเตอร์ยักษ์ 3 ตัวที่สูงประมาณ 5 เมตร

พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเลือดที่ต้านทานได้ทั้งความเสียหายแบบกายภาพและเวทมนตร์ แถมยังทำให้แต่ละตัวดูคล้ายกับไดโนเสาร์หรือไวเวิร์น

นอกจากร่างขนาดมหึมาแล้ว พลังโจมตีของพวกมันก็มากพอที่จะป่นหญิงสาวตัวเล็กให้เป็นผงได้ในพริบตา

การจู่โจมแต่ละครั้งทำให้พื้นดันเจี้ยนแตกเป็นแถบๆ ต่อด้วยฝุ่นผงและเศษซากที่จะเด็นออกมาราวกับสะเก็ดระเบิดชิ้นเล็กๆ

มอนส์เตอร์ตัวนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘บลัดซอรัส’ ซึ่งถูกเหล่านักผจญภัย (ที่มีความสามารถมากพอ) ออกตามล่าเป็นประจำ

พวกมันอาจมีความเร็วไม่มาก แต่ถ้าไม่สามารถโจมตีทะลุผ่านเกล็ดแข็งเข้าไปหรือโจมตีจุดอ่อนที่คอไม่ถึง การหลบหนีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเช่นกัน

แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวตัวเล็กคนนี้จะไม่สนใจเรื่องเกล็ดแสนทนทานของพวกมันเลย

เธอพุ่งไปตามทางก่อนจะดีดตัวขึ้นจนพื้นที่อยู่รอบๆ ร้าวไปหมด

‘กระสุนมนุษย์’ ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีเขียวขณะที่เธอใช้สิ่งที่ดูเหมือนดาบศักดิ์สิทธิ์บั่นหัวมอนสเตอร์ตัวหน้าสุด

เจ้าสองตัวที่เหลือดูไม่ค่อยสนใจเลยว่าเพื่อนตายยังไง พวกมันพยายามไล่ทุบเด็กสาวต่อ แต่เธอก็หลบหลีกได้ทุกครั้งไป

ขณะที่พวกมันกำลังใจจดใจจ่อกับเป้าหมาย เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านบน

จู่ๆ หญิงสาวผิวสีน้ำตาลก็หล่นลงมาจากฟ้าพร้อมใช้อาวุธขนาดใหญ่ขยี้ลงไปตรงหลังของมอนสเตอร์ตัวที่สองและทำให้กระดูกสันหลังของมันขาดสะบั้น

ตรงจุดที่อาวุธตกกระทบ พลังงานบางอย่างเริ่มเปล่งออกมาเสริมจนอวัยวะภายในของบลัดซอรัสตัวนี้แหลกเหลวไปหมด

นี่ก็คือคุณสมบัติ [พลังในการบดขยี้: A] ของตัวอาวุธและเป็นสิ่งที่ทำให้สาวผิวเข้มหัวเราะออกมาได้ทุกครั้ง

หลังจากที่ทำตามแผนสำเร็จ เธอก็ตีลังกาจากหลังของบลัดซอรัสและลงจอดบนพื้นจากนุ่มนวล

ส่วนบลัดซอรัสตัวสุดท้ายนั้น มันถูกสาวผิวเข้มอีกคนที่ใช้ดาบคู่เล็งโจมตีเข้าตรงส่วนคอเหมือนกับเจ้าตัวแรกที่ตาย

ถึงจะตัดผ่านเกล็ดของมันได้ แต่เธอก็ไม่สามารถเฉือนลำคอและกระดูกที่หนาได้ในครั้งเดียว

หญิงสาวต้องหมุนตัวกลับลงมาบนพื้น กระโดดขึ้นไปใหม่ และโจมตีเข้าที่จุดเดิมอีกครั้ง

บลัดซอรัสตัวสุดท้ายล้มลงไปในขณะที่ผู้สังหารได้แต่จ้องมอง ‘ดาบคู่อันทรงพลัง’ ในมือด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

จากด้านข้าง ปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียนั้นกำลังมองการต่อสู้ทั้งหมดด้วยความสนใจ

ตั้งแต่ที่เริ่มการออกสำรวจครั้งนี้ หญิงสาวทั้งสามดูราวกับเป็นคมดาบที่ไม่มีอะไรมาหยุดลงได้

ฟินน์รู้สึกประทับใจกับความสามารถของพวกเธอมาก มากถึงขั้นที่คิดจะไปสั่งทำอาวุธกับวาห์นในอนาคตด้วยซ้ำ

ตอนนี้เขาก็กำลังใช้อาวุธที่วาห์นเคยมอบให้เมื่อนานมาแล้วเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพของมันไม่อาจเทียบเท่ากับของรุ่นใหม่กว่าได้เลย

แม้แต่เลฟิย่าเองก็ยังได้รับคทาเวทมนตร์แสนอเนกประสงค์ซึ่งทำให้ดวงตาของริเวเรียส่องประกายทุกครั้งที่เธอใช้มันออกมา

หลังจากที่มอนสเตอร์ทั้งสามไปสบายแล้ว ปาร์ตี้สนับสนุนก็เคลื่อนพลและเริ่มเก็บเกี่ยวทรัพยากรต่างๆ จากศพก่อนที่พวกมันจะสลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน

ผิวหนังของบลัดซอรัสนั้นสามารถเอามาทำเป็นคัมภีร์สื่อสารระดับต่ำได้ ในขณะที่เลือดของพวกมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำหมึกเวทมนตร์ที่ใช้คู่กับคัมภีร์ดังกล่าว

การจะทำน้ำหมึกออกมาลิตรหนึ่งนั้นต้องใช้เลือดของบลัดซอรัสมากถึง 40 ลิตรด้วยกัน

แน่นอนว่ากระบวนการผลิตดังกล่าวไม่สามารถทำในดันเจี้ยนได้ นักผจญภัยส่วนใหญ่ก็เลยไม่ยอมเสียเวลามานั่งเก็บเลือดทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นรายได้ชั้นดี

ฟินน์เดินเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสาม หรือก็คือไอส์ ทีโอน่า และทีโอเน่นั่นเอง

“ทำได้ดีมาก ช่วงนี้พวกเธอจัดการได้เร็วกว่าเดิมเยอะเลยนะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของกัปตัน ไอส์ก็ทำหน้าดีใจขณะจ้องมอง [แกรม] ที่ไร้รอยขีดข่วนซึ่งเป็นอาวุธที่วาห์นมอบให้

ทีโอน่าเริ่มยิ้มกว้างและพูดแบบเพ้อๆ

“กัปตันเห็นฉันขยี้มันไหมคะ~? ทุกครั้งที่ได้อัดมอนสเตอร์ เลือดมันก็สูบฉีดไปหมดเลย~”

ราวกับจะเชิดชูชื่อของอาวุธ ทีโอน่าเริ่มแกว่ง [อเมซอนเริงระบำ] ไปมาอย่างเบิกบาน

แม้จะไม่ได้ทนทานเท่า [เออร์ก้า] แต่ทีโอน่าก็ชอบ [อเมซอนเริงระบำ] มากกว่าเพราะมันมีคุณสมบัติที่ทำให้ฝีเท้าของเธอว่องไวกว่าเดิม

มันยังช่วยลดแรงต้านเวลาที่เธอโจมตีด้วย แถมคุณสมบัติ [พลังในการบดขยี้] ก็เป็นอะไรที่ใช้แล้วมันมือมาก

คนเดียวที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำชมของฟินน์… ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นทีโอเน่

ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เธออยากได้ยินมากที่สุดในโลก แต่ทีโอเน่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของไอส์กับทีโอน่า

เธอเองก็ชอบดาบคู่ของตัวเองเช่นกัน เพราะนอกจากจะดีกว่าอาวุธอันเก่าแล้ว พวกมันยังดูงดงามอีกด้วย

ประเด็นก็คือยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มรู้ซึ้งว่าคุณภาพของพวกมันนั้นต่ำกว่าอาวุธที่อีกสองคนใช้อยู่มาก

ฟินน์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่

ทีโอเน่นั้นพยายามแข่งขันกับไอส์และน้องสาวมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอจะเจออุปสรรคเล็กน้อย

และในฐานะที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่สาว’ ศักดิ์ศรีของทีโอเน่จึงถูกบั่นทอนลงไปบ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มการสำรวจครั้งนี้

เรื่องที่สังเกตได้ง่ายๆ เลยก็คือเธอมานั่งบ่นให้เขาฟังเกือบทุกเย็น

หลังจากปล่อยให้ราอูลรับช่วงต่อ ฟินน์ก็เดินทางกลับค่ายพร้อมสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งประกอบไปด้วยแกเร็ธ ริเวเรีย เบต และเลฟิย่า

คนที่จิกกัดอาวุธพวกนี้ไว้ยับในตอนแรกอย่างเบตนั้น ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเจื่อนและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแทน

เขานึกว่าพวกมันเป็นของปาหี่และถูกสร้างขึ้นโดนช่างฝึกหัด หรือไม่ก็เป็นของที่วาห์นใช้เงินซื้อเพื่อเอาใจสาวๆ

หลังจากที่รู้ว่าวาห์นเป็นคนทำพวกมันขึ้นมาเองและได้เห็นประสิทธิภาพกับตา เบตก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าสาวๆ อีกเลย

ตอนนี้เขาได้แต่บ่นให้แกเร็ธฟังในระหว่างที่ทั้งคู่นั่งก๊งเหล้ากัน

ตั้งแต่ที่โดนพวกสาวๆ ‘เมิน’ ใส่ เบตก็อยู่ในสภาพเครียดจัดและต้องไป ‘ขอความช่วยเหลือ’ จากสาวชาวอเมซอนที่ย่านโคมแดงเพื่อ ‘ปลอดปล่อยความเครียด’

นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปเจอกัน เบตจึงอยากกลับขึ้นไปข้างบนเร็วๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่ต้องมานั่งดู ‘ผู้หญิงเพ้อ’ สองคนที่เอาแต่ทำให้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นสีชมพู

หลังจากกลับมาถึงที่พัก พวกสาวๆ ก็มารวมตัวกันอยู่ในเต็นท์และเริ่มพูดคุยสัพเพเหระต่างๆ จนกระทั่งมาถึงประเด็นที่เผ็ดร้อนที่จุดในช่วงนี้

ทีโอน่าเริ่มทำหน้าดีใจขณะขัดถู [อเมซอนเริงระบำ] อย่างทะนุถนอม

“อยากเจอวาห์นเร็วๆ จังเลยยย~!

รู้สึกเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานมาก ตอนนี้เขาจะเก่งขึ้นแค่ไหนแล้วนะ~?”

ทีโอเน่เริ่มพ่นพิษที่เก็บอยู่ในใจทันที

“เห้อ ช่วงนี้ก็เอาแต่พูดถึงวาห์นอย่างนู้น วาห์นอย่างนี้!

ดูตัวเองสิ นี่เอาสมองไปฝากวาห์นไว้หรือเปล่า!?”

ทีโอน่าไม่ได้แสดงท่าทีโมโหแต่อย่างใด เธอแค่ตอบพี่สาวกลับแบบยิ้มๆ

“อิจฉาล่ะสิที่วาห์นทำของดีให้ฉันกับไอส์

ขนาดเลฟิย่ายังได้คทาแจ่มๆ มาใช้เลยนะ แต่เธอกลับได้มาแค่มีดหั่นผลไม้ ฮ่าฮ่าฮ่า~!”

ไอส์ที่ไม่ได้ดูดำดูดีเรื่องบรรยากาศในเต็นท์ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก

“อืม อาวุธดีมาก ฉันชอบมัน… นี่เป็นดาบเล่มโปรด” ดวงตาสีทองของไอส์จ้องมอง [แกรม] อย่างมั่นอกมั่นใจ

มันต่างไปจากดาบที่เธอเคยใช้อย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยๆ [แกรม] ก็สามารถทนแรงและเพลงดาบของเธอได้แบบไร้รอยขีดข่วน

จริงๆ ไอส์ไม่ต้องขัดถู [แกรม] ก็ได้ แต่ที่ทำไปก็เพราะเห็นว่ามันเป็นตัวแทนของ ‘คนๆ นั้น’

ทีโอเน่กัดฟันกรอดเมื่อเห็นท่าทางของสองสาวพลางจ้องมองดาบของตัวเองราวกับว่ามันเป็นอาวุธไร้ประโยชน์

ถ้าคุณภาพของมันแย่กว่าดาบคู่ที่เธอเคยใช้ ทีโอเน่ก็คงคิดว่าวาห์นสับขาหลอกเธอไปแล้ว

ทีโอเน่รู้ว่าวาห์นหวังดี แต่ไอ้ความหวังดีนี่เองที่กลับกลายมาเป็นสิ่งย้ำเตือนถึง ‘ความล้มเหลว’ ของเธอเอง

เธอรู้ทั้งรู้ว่าวาห์นไม่ได้พยายามตามจีบ แต่การที่เขาให้ความสนใจกับผู้เป็นน้องมากกว่าก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

ช่วงนี้เรื่องของเธอกับฟินน์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แถมอีกฝ่ายยังออกมาประกาศชัดเจนว่าจะแต่งงานและมีลูกกับชาวพลูมเท่านั้นด้วย

เธอเคยให้สัญญาว่าจะใช้ยาเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล

ฟินน์ยังคงปฏิเสธหัวแข็งและไม่เคยหลงกลแผนการต่างๆ ของเธอเลย

ทีโอเน่ยังวางแผนให้ฟินน์ดื่มยาปลุกอารมณ์ แต่สุดท้ายเขาก็หลอกให้เธอดื่มมันเองจนเกิดเรื่องวุ่นวายถึงขั้นที่ต้องเรียกให้ริเวเรียมารักษาในขณะที่ทีโอน่าและไอส์จับตัวเธอไว้

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ทีโอเน่ก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับฟินน์กลับยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่เรื่องนี้เห็นจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

เลฟิย่าที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศในห้องแบบจับใจเริ่มพูดไกล่เกลี่ยทันที

“ดะ-เดี๋ยวพอกลับขึ้นข้างบน เราไปสั่งทำอาวุธกับท่านเฮเฟสตัสก็ได้นี่

ฉันมั่นใจว่าเธอคงทำอาวุธที่ดีกว่าของทีโอน่ากับไอส์ได้แน่”

ตามปกติแล้วทีโอเน่ควรจะใจเย็นลงเมื่อได้ยินคำพูดมีเหตุผล… หากไม่ใช่เพราะเอลฟ์สาวกำลังนั่งกอดคทา [ฟื้นฟู] ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่บนที่นอน

เธอถอนหายใจยาวๆ หลังจากมองดูเลฟิย่า ‘อุ้ม’ คทา

“ต่อให้เฮเฟสตัสทำอาวุธให้ใหม่ เดี๋ยววาห์นก็คงทำของมาโปะให้ยัยสองคนนี้เพิ่มอยู่ดี… เห้ออออ~!”

ยิ่งพูดก็ยิ่งเซ็งหนัก ทีโอเน่จึงลงไปนอนตะเกียกตะกายบนพื้นพลางเอามือมากุมหัว

ทั้งสามจ้องมองหญิงสาวที่ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว… จนกระทั่งทีโอน่าหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้

พอได้ยินเสียงหัวเราะเท่านั้นแหละ ทีโอเน่ก็หัวร้อนทันที

“อย่าขำสิ นี่ฉันเป็นพี่เธอนะ! หน้าอกก็ใหญ่กว่าด้วย!”

หลังจากโดนพี่สาวพาลใส่ ทีโอน่าก็ยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม

“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงโมโหไปแล้ว แต่วาห์นไม่เคยสนเรื่องพวกนั้นเลยนี่นะ~!

ฉันแค่ต้องเดินไปหาแล้วก็ขอให้เขาจูบ ง่ายๆ แค่นี้เอง แล้วถ้าเราอยู่กันแบบสองต่อสอง เขาก็อาจจะจับก้นด้วย… หรืออาจทำมากกว่านั้นก็ได้ ใครจะไปรู้วว~?”

ทีโอเน่ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมน้ำตาแต่ความโมโหขณะตะโกนเสียงดัง

“ทีโอน่า! อย่าให้มันมากนักนะ! คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของวาห์นหรือไง!?

หึ ถ้าฉันหรือเลฟิย่าลองดูบ้าง วาห์นก็คงยอมทำกับพวกเราเหมือนกันนั่นแหละ!”

“เอ๋!?”

เลฟิย่าที่จู่ๆ ก็โดนหางเลขไปด้วยเริ่มเข้าโหมดหน้าแดงอย่างรวดเร็ว แถมรอบนี้มันยังรุนแรงมากเสียจนควันลอยออกจากหัว ต่อด้วยการล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นเป็นคนที่สอง

แทนที่จะบอกปัดคำพูดของพี่สาว ทีโอน่าแค่พยักหน้าและพูดต่อ

“ฉันไม่คิดว่าวาห์นจะเป็นคนแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าเป็นเธอกับเลฟิย่า… ก็อาจจะได้อยู่ แต่เลฟิย่าคงต้องไปอีกพักนึงเพราะเธอยังเด็กไปล่ะมั้ง~?”

ไอส์ที่ต้องรอจนถึงวันเกิดตัวเองก็พยักหน้าเช่นกัน

“เลฟิย่าต้องรอ… สักปีนึง?”

คำพูดนั่นไม่ได้ทำให้เอลฟ์สาวอาการดีขึ้นเลย

“ฉะ-ฉันไม่คิด… ฉันไม่คิดว่าตัวเองเหมาะกับวาห์นหรอกนะ… ฮืออออ”

ไอส์หันมามองเธอและเอียงหัวด้วยความสงสัย

“เธอไม่ชอบ… วาห์น?”

จู่ๆ ไอส์ก็ดูเศร้าลงเล็กน้อยและเริ่มกลับไปขัด [แกรม] ที่ดูสะอาดหมดจดอยู่แล้วอีกรอบ

ก่อนที่เลฟิย่าจะคิดคำพูดเพื่อปลอบไอส์เสร็จ ที่โอเน่ก็พูดตอบน้องสาวแบบขันๆ

“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากนอนกับวาห์นล่ะ? เธอก็รู้นี่ว่าฉันชอบกัปตันและอยากมีลูกด้วยกันกับเขา”

ทีโอน่ายังยิ้มอยู่ แต่ตอนนี้เธอหยุดขำแล้วและเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงเรียบๆ แทน

“ฉันอยากให้เธอสมหวังกับกัปตันจริงๆ นะ… แต่บางครั้งเราก็อาจจะไม่ได้ในสิ่งที่หวังเอาไว้

เธอกับกัปตันอายุห่างกันตั้งหลายปี แถมเขายังยึดติดเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองด้วย

จนกว่าจะได้แต่งงานมีลูกกับชาวพลูมด้วยกัน ฉันไม่คิดว่าเขาจะยอมนอนกับเธอหรอก

เธออาจจะต้องรอไปอีก 10 ปีหรือมากกว่า ระหว่างนั้นก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ เพิ่มด้วย

แล้วก็… อย่าคิดนะว่าคนอื่นจะไม่รู้เวลาที่เธอทำตัวตอนอยู่กับวาห์นน่ะ ไม่รู้หรอกนะว่าที่ทำไปแค่เพราะเธออิจฉาหรืออยากแหย่เขาเฉยๆ แต่เธอน่ะไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวเลย ใช่ไหมล่ะ?”

ระหว่างที่ทีโอน่าร่ายยาว คิ้วของทีโอเน่ก็ลดต่ำลงและไร้การตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น

ทุกอย่างที่น้องสาวของเธอพูดล้วนเป็นความจริงแท้แน่นอน แถมเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย

ผลจากสิ่งที่เธอทำลงไปก็คือระยะห่างที่กว้างมากขึ้นแทนที่มันควรจะหดสั้นลง

ส่วนเรื่องวาห์น… เขาทำดีกับเธอและยังชมเชยเธอหลายครั้ง ถึงตอนนั้นเธอจะทำไปเพราะอยากเอาคืนทีโอน่าก็เถอะ

หากไม่ได้มีฟินน์อยู่ในใจ ทีโอเน่ก็คงเข้าหาวาห์นด้วยอีกคน เพราะอย่างน้อยๆ จิตใจที่ชอบเสียสละของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง

ทีโอเน่แค่ไม่อยากเสียรักครั้งแรกไป ถึงทุกอย่างจะเป็นตามที่น้องสาวบอกก็เถอะ

ถ้าเทียบกับวาห์นแล้ว… เขามีอายุพอๆ กับเธอและไม่ติดขัดเรื่องมีคนรักหลายคน แบบนี้ยังดูมีเหตุผลมากกว่าฟินน์อีก…

ทีโอน่าจ้องมองพี่สาวที่กำลังงัดข้อกับตัวเองในใจก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“วาห์นสัญญาว่า… ถ้ามีลูกด้วยกัน เราจะเลี้ยงพวกเขาแบบครอบครัว”

ทีโอเน่ขมวดคิ้วทันที

“จะเป็นไปได้ยังไง เธอก็รู้นี่ว่าธรรมเนียมของเรา…”

ทีโอน่าส่ายหัวและพูดอย่างมั่นใจ

“ไม่ ฉันเชื่อวาห์น ถ้าเขาบอกว่าได้ ฉันก็เชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนั้น

เธอก็เห็นแล้วนี่ ว่าเขาพยายามได้มากขนาดไหน

วาห์นคงไม่พูดออกมาแบบนั้นนอกจากว่าเขาจะมีแผน หรือไม่ก็รู้ว่ามีโอกาสสำเร็จอยู่บ้าง

ถ้าเป็นเขา ฉันเชื่อว่าลูกๆ ของเราจะได้อยู่อย่างอิสระ และห่างไกลจากเรื่องน่าเศร้าที่เทลิสคิวร่า”

ก่อนที่ทีโอเน่จะแย้งอีกรอบ ไอส์ก็พูดเสริมอีกครั้ง

“วาห์นไม่เคยพูดโกหก เขาจะแข็งแกร่งที่สุด”

ที่โอเน่มองแววตาลุกโชนของทั้งสองก็พอรู้แล้วว่า ‘จะเชื่อยัยสองคนนี้หมดเลยคงไม่ดีแน่’

การขัดธรรมเนียมของชาวอเมซอนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เธอเองก็คิดว่าวาห์นเป็นคนที่เชื่อถือได้… แต่ไม่ถึงกับที่ ‘สาวก’ สองคนนี้คิดไว้

เธอลองหันไปถามเลฟิย่าที่กำลังทำสีหน้าครุ่นคิดแทน

“เลฟิย่า เธอคิดว่าไง คิดว่าวาห์นน่าเชื่อถือแบบที่คนบ้าพวกนี่อ้างไหม?”

เลฟิย่าตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็โดนถาม แต่เพราะกำลังคิดเรื่องของวาห์นอยู่เช่นกัน เธอจึงให้คำตอบในแบบของตัวเอง

“คทาอันนี้ ผลการวิจัยของริเวเรียกับฉันสรุปออกมาว่า… มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ไม่ว่าจะพยายามศึกษาโครงสร้างของมันมากแค่ไหน สิ่งที่เราได้กลับมาเพิ่มก็คือคำถาม

‘ความซับซ้อนไม่รู้จบ’ นี่แหละคือสิ่งที่เราค้นพบ

ถ้าวาห์นทำคทานี้ขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่าความรู้ทางด้านวิศวกรรมเวทมนตร์ของเขาก้าวหน้ากว่าสิ่งที่เรารู้ไปแล้วเป็นพันๆ ปี…. ฉันคิดว่า… ฉันคิดว่าเขาน่าเชื่อถือมาก”

ในช่วงท้ายประโยค เลฟิย่าก็เริ่มหน้าแดงและก้มหัวลงไปนาบกับคทาที่กอดไว้แนบอกแทน

ทีโอเน่ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเพราะเธอรู้ว่าเลฟิย่านั้นเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ แถมริเวเรียเองก็เป็นจอมเวทที่เก่งที่สุดในเมือง

ถ้าทั้งสองไขความลับของคทานี้ไม่ได้ งั้นความสามารถของวาห์นก็คงเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก

ทีโอเน่เองก็พอรู้มาบ้างว่าเขาได้คิดค้นนวตกรรมที่เกี่ยวกับการหลอมขึ้นมาใหม่หลายอย่าง…

นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวาห์นนั้นมักทำอะไรที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของคนปกติและผลักดันตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

หากวาห์นบอกทีโอน่าไว้แบบนั้น แม้แต่ที่โอเน่เองก็เริ่มจะรู้สึกเชื่อตามไปด้วย

หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะมองไปทางเต็นท์ของฟินน์

“กัปตันคะ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ ฉันคง…”

ก่อนที่ทีโอน่าจะได้พูดจนจบ ฟินน์ก็โผล่มาที่ทางเข้าเต็นท์พร้อมกับริเวเรียพอดี

“เราจะกลับขึ้นไปข้างบนก่อนกำหนดนะ ท่านโลกิส่งข้อความมาบอกว่าอาจมีเรื่องเกิดขึ้นกับวาห์นและกลุ่มพันธมิตร

พวกเธอก็รีบเข้านอนได้แล้ว เพราะเดี๋ยวเราจะออกเดินทางแต่เช้าเลย”

ฟินน์ยิ้มปิดท้ายก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นพร้อมกับริเวเรียทันที

แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปไกล ริเวเรียก็หันกลับมาอีกครั้งเพื่อมองสีหน้าดีใจที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน

“สงสัยพวกเธอคงได้ไปเดตกับวาห์นเร็วๆ นี้สินะ”

ไอส์ยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่ทีโอน่ารีบวาง [อเมซอนเริงระบำ] และตะโกนขึ้นเสียงดัง

“ฉันนอนก่อนนะ~!”

เลฟิย่าเองก็ยิ้มนิดๆ และเริ่มเปลี่ยนเป็นชุดนอนเหมือนกัน

ส่วนที่โอเน่… ทีโอเน่ที่ทำหน้าตื่นเต้นกำลังจ้องค้างไปตรงจุดที่ฟินน์เคยยืนอยู่

จู่ๆ คนที่กำลังคิดถึงก็โผล่ออกมาตรงหน้าพอดี ความตื่นเต้นของเธอก็เลยพุ่งสูงทะลุชาร์ท

หลังที่ตัวการเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเป็นการส่วนตัวกับเธอเลย ทีโอเน่จึงได้แต่ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเสียงดังลั่น

“กัปตันบ้าที่สุดดดด~!”

ฟินน์หยุดชะงักไปชั่วครู่และหันมาหาริเวเรีย

“ริเวเรีย นี่ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

เอลฟ์สาวทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเริ่มอธิบาย

“เธอคงนึกว่านายจะแอบย่องมาหาตอนนอนล่ะมั้ง?

บางครั้งทีโอเน่ก็อ่านยากเหมือนกันนะ…”

ฟินน์ถอนหายใจหนักๆ พลางนวดขมับของตัวเองก่อนจะเริ่มเดินต่ออีกครั้ง

พอเดินไปได้เพียง 2-3 ก้าว เขาก็พูดขึ้นอีก

“หวังว่าทีโอเน่คงไม่รู้สึกเครียดจนเกินไปนะ

ฉันน่ะเคารพความรู้สึกของเธอ แต่บางทีเธอก็น่าจะเคารพความรู้สึกของฉันบ้าง…

ฉันผ่อนปรนเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ คงเพราะเธออยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วย…”

ฟินน์นั้นอายุ 38 ปี ส่วนริเวเรียก็ 97 ปี ทั้งสองนั้นถือว่าเป็นผู้สาวุโสที่สุดในแฟมิเลียคู่กันกับแกเร็ธ (54 ปี) อีกคน

ตอนที่ฟินน์สู้ชนะทีโอเน่เมื่อหลายปีก่อน เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเธอจะเปลี่ยนมาชอบเขาแทน นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ตามหลอกหลอนเขามานานเหลือเกิน

ฟินน์แอบหวังลึกๆ ว่าจะมีคนมาล้มทีโอเน่ลงอีกสักครั้ง เธอจะได้ไม่มาเครียดแบบตอนนี้…

จู่ๆ ภาพของเด็กหนุ่มตาสีน้ำทะเลก็ผุดขึ้นมาในหัวจนเขาต้องส่ายหัวแรงๆ และพึมพำกับตัวเอง “หวังว่าเด็กนั่นจะไม่สร้างปัญหาให้เราเพิ่มนะ…”

กว่าทุกคนจะมาถึงคฤหาสน์ฮาร์ธก็เกือบเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว

พอได้รับข้อมูลผ่านทางเครือข่าย เฮสเทียก็รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่วาห์นนำสมาชิกใหม่กลับมาด้วยถึง 3 คน

หากไม่ใช่เพราะมีเอน่ามาด้วย เทพตัวเล็กก็คงลุกไปต่อว่าเขาด้วยตัวเองแล้ว แต่งานนี้เห็นทีคงต้องปล่อยให้ ‘ภรรยาคนแรก’ เป็นคนจัดการด้วยตัวเอง

ในบรรดากลุ่มคนที่เธอสามารถต่อล้อต่อเถียงด้วยได้ เฮเฟสตัสกับเอน่านั้นถือเป็นบุคคลต้องห้ามนอกเสียจากว่าเฮสเทียจะเปิดใจยอมรับและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวาห์นให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

เมื่อวาห์นพาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน เฟนเรียร์ก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวและขมวดคิ้วเล็กน้อย

พอเห็นฝาแฝดทั้งสองในชุดเมด เธอก็ถามขึ้นทันที

“ลอกเฟนเรียร์งั้นเหรอ!?”

ก่อนที่ทั้งสองจะได้ตอบเด็กสาวที่มีดวงตาสีแดงน่ากลัว วาห์นก็เข้ามาห้ามทัพเสียก่อน

“เฟนเรียร์ ต่อไปสองคนนี้จะมาทำงานที่นี่นะ พวกเธอไม่ได้มาแทนที่เฟนเรียร์หรืออะไรแบบนั้นหรอก

ทำดีกับมาเอมิและเอมิรุให้มากๆ หน่อย… บางทีเธออาจจะมีคนมาตามใจเพิ่มก็ได้นะ”

เฟนเรียร์เปิดปิดกรงเล็บเล่นก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ และมองมาที่เพรเซียบ้าง

“ผู้หญิงแปลก?” เฟนเรียร์เอ่ยถามพลางมองเข้าไปในดวงตาสีเทาซีดของเพรเซียด้วยท่าทางสับสน

วาห์นชักสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะวางมือไว้บนไหล่ของเฟนเรียร์

“เฟนเรียร์ ผู้หญิงคนนี้ถูกรังแกมาหนักมาก

ตอนนี้เธอต้องการให้มีเพื่อนมาคอยดูแล ฉันอยากให้เฟนเรียร์กับทีน่าคอยปกป้องเพรเซียและทำให้เธอร่าเริงอีกครั้ง พอจะทำได้ใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของวาห์น หูของเฟนเรียร์ก็กระตุกเล็กน้อยขณะที่เธอกลับไปเปิดปิดกรงเล็บเล่นอีกหลายครั้งพลางจ้องเพรเซียด้วยสีหน้าจริงจัง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟนเรียร์ก็อ้าแขนออกและสวมกอดร่างบางของเพรเซียเอาไว้

“เฟนเรียร์ปกป้อง ตอนนี้เฟนเรียร์พี่สาวแล้ว!?”

วาห์นยิ้มเล็กน้อยในขณะที่สาวๆ คนอื่นเองก็ทำสีหน้าเอ็นดูเช่นกัน

คนเดียวที่ดูจะไม่ได้รับผลจากบรรยากาศเลยก็คือเพรเซียที่ยังคงยืนนิ่งและปล่อยให้เฟนเรียร์กอดตามใจชอบ

หลังจากจัดห้องให้ทั้งสามคนแล้ว เฟนเรียร์ก็ตัดสินใจเองว่าจะนอนกับเพรเซียเป็นการชั่วคราวโดยใช้ห้องที่เธอมักนอนกับมิลานและทีน่า

วาห์นรู้ว่ามิลานเองก็คงต้องมาช่วยดูแลเพรเซียอีกต่อ เขาเลยไม่ได้พูดคัดค้านแต่อย่างใด

เอมิรุกับมาเอมิตัดสินใจเลือกห้องเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ครัวและเปลี่ยนไปใส่ชุดเมดที่ดูคล้ายกับของเฟนเรียร์แทน

ชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดเมดก่อนหน้านี้นั้น จริงๆ แล้วมันคือชุด ‘ที่คุณผู้ชายเข้าถึงได้ง่าย’ ซะมากกว่า

แม้ว่าวาห์นอยากจะเผาชุดทิ้งไปให้หมด แต่สองสาวกลับขอเก็บพวกมันไว้เป็นที่ระลึกและนำไปใส่ตู้เสื้อผ้าในห้องนอนที่ทั้งสองใช้ร่วมกัน

พอเสร็จเรื่องจิปาถะต่างๆ แล้ว เอมิรุกับมาเอมิก็มาเข้าพิธีรับตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลียในขณะที่วาห์นและเอน่าแยกออกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว

ที่จริงทั้งสองก็อยากให้เขาอยู่ด้วย แต่วาห์นรู้ว่าสภาพจิตใจของแต่ละคนนั้นยังไม่กลับมาเป็นปกติดีเท่าไหร่ วาห์นไม่อยากให้ทั้งสองเน้นพึ่งพาเขาตั้งแต่แรกเริ่มเลย

พวกเธอควรทำความรู้จักกับสาวๆ คนอื่นไปก่อน อย่างน้อยก็ในช่วงแรกๆ

เพราะต่างบรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว วาห์นเลยอยากให้พวกเธอได้มีความสัมพันธ์แบบคนทั่วไปหลังจากที่สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้น

อาจจะฟังดูหยาบคายหรือหลงตัวเองไปบ้าง แต่วาห์นนั้นไม่มีเจตนาจะเข้าหาพวกเธอในแบบอย่างว่าเลย

อย่างน้อยๆ พวกเธอก็ควรคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ แบบมีเหตุผลให้ได้เองเสียก่อน

พวกเขาไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ออกมาพูดกัน แต่วาห์นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของมิลานหลังจากที่โดนเขาช่วยออกมา

ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะเรียกได้ว่าดีเหมือนเดิม แต่มิลานนั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องอนาคตของลูกสาวมากเป็นพิเศษจนถึงขั้น ‘ใช้ประโยชน์’ จากวาห์นเล็กน้อย

เขารู้ว่าคู่แฝดต้องมาแนวนี้แน่นอน และถ้าไม่รีบหยุดเอาไว้แต่เนิ่นๆ พวกเธอก็จะยิ่งรุกหนักกว่าเดิม

พอได้มาอยู่กันแบบสองต่อสองแล้ว… เอน่าก็เริ่มเทศน์วาห์นด้วยสีหน้าจริงจังมาก

‘…งานนี้ยาวแน่เลย’ คือสิ่งที่ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ

ครั้งก่อนเอลฟ์สาวได้เตือนเขาไปแล้วว่าด้วยเรื่องอันตรายจากภายในเมือง

ครั้งนี้เอน่าก็เลยพยายามสอนเรื่องความซับซ้อน ระหว่างกลุ่มและองค์กรต่างๆ

(TL: งานหยาบอีกละ นี่แปลนิยายหรือหนังสือเศรษฐศาสตร์)

แม้ว่าทางกิลด์จะเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการของโอราริโอ้ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง

พวกเขาแค่ช่วยควบคุมเรื่องต่างๆ ในระดับหนึ่งผ่านทางงานประชุมเดนาตัสโดยที่เหล่าเทพและเทพธิดานั้นต้องปฏิบัติตามกฎหรือมติที่ได้จากการประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด

อำนาจส่วนใหญ่ในเมืองนั้นอยู่ในมือของแฟมิเลียต่างๆ หรือก็คืออยู่ในมือของเทพและเทพธิดาที่คุมแฟมิเลียนั้นๆ นั่นเอง

กว่า 45% ของกระแสรายได้ในเมืองมาจากแฟมิเลียและกลุ่มตลาดที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยล้วนๆ

อธิบายง่ายๆ เลยก็คือเงินที่นักผจญภัยได้จากการขายคริสตัล และนำไปใช้เป็นค่ากินค่าอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นแหละ

หากเหมารวมเขตสถานบันเทิงเข้าไปในนั้นด้วย จาก 45% ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 85% ทันที

นอกเหนือจากภาษีทั่วไปแล้ว กระแสการเงินที่ทางกิลด์ควบคุมดูแลก็มีเพียง 5-7% เท่านั้น

อำนาจจริงๆ ที่พวกเขามีอยู่ก็คือสิทธิ์ขาดในการซื้อขายคริสตัลเวทมนตร์บวกกับการควบคุมแหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่อยู่ภายในเขตแดนของโอราริโอ้ทั้งหมด

พอมาถึงเรื่องที่วาห์นจะไปมีปัญหากับอิชทาร์แฟมิเลีย เอน่าก็พร่ำบอกว่าเขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีและไม่ทำให้เรื่องบานปลายจนเกินไปนัก

เพราะเหตุการณ์สังหารเทพธิดาเมื่อเร็วๆ นี้ การที่วาห์นจะไปข้องเกี่ยวกับแฟมิเลียที่ใหญ่โตและมีอิทธิพลมากกว่าลาเวอร์น่าแฟมิเลียเป็นร้อยๆ เท่าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

ที่จริงวาห์นจะท้าชนกับอิชทาร์แฟมิเลียแบบตรงๆ เพื่อบีบให้ทางนั้นปล่อยตัวฮารุฮิเมะก็ได้ แต่อิชทาร์เองก็ไม่จำเป็นต้องรับคำท้าแต่อย่างใด เพราะฮารุฮิเมะคือทาสที่เธอเป็นเจ้าของแบบถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง

ใช่แล้ว สถานภาพทางกฎหมายหลังจากที่ฮารุฮิเมะถูกเนรเทศออกมาจากบ้านเกิดและในระหว่างที่อยู่กับพ่อค้าชาวพลูมก็คือ ‘ทาส’ นั่นเอง

แม้จะถูกพวกโจร ‘ลักพาตัว’ และขายต่อให้กับคนอื่น แต่สถานภาพของฮารุฮิเมะก็ยังคงเป็นทาสเหมือนเดิม นั่นทำให้อิชทาร์มีสิทธิ์ในตัวเธอแบบถูกต้องต้องตามกฎหมาย

หากดึงดันที่จะเข้าชนแบบตรงๆ ให้ได้ วาห์นสามารถท้าอิชทาร์แฟมิเลียให้เข้าร่วม ‘วอร์เกม’ ที่จะถูกจัดขึ้น (หากมีแฟมิเลียท้ากัน) ก่อนงานมอนสเตอร์ฟีเรียในช่วงสิ้นเดือนหน้าได้

แต่ถ้ารอไม่ไหวจริงๆ เขาก็ต้องแอบเข้าไปพาตัวฮารุฮิเมะออกมาก่อนและซ่อนเธอไว้จนกว่าจะพบหลักฐานเพื่อเอาผิดอิชทาร์แฟมิเลีย

เอน่าสามารถส่งเรื่องให้ทางกิลด์สอบสวนเรื่องนี้ได้ แต่สุดท้ายก็คงไม่ได้อะไรมากนัก

เมื่อนานมาแล้ว มีแฟมิเลียมากมายที่กล่าวหาอิชทาร์แฟมิเลียว่าปิดบังข้อมูลและเลเวลของสมาชิกบางคน

ทางกิลด์จึงได้เข้ามาสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่ผลสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับไป

หลังจากที่อิชทาร์ได้รับเงินชดเชยกลับมา อำนาจภายในเขตสถานบันเทิงขอเธอก็พุ่งสูงขึ้นไปอีก

สุดท้ายเทพสาวก็ใช้เงินก้อนนั้นบดขยี้แฟมิเลียที่กล่าวหาเธอในตอนแรกจนพินาศไปตามๆ กัน

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอได้เป็นหัวหน้าของเขตสถานบันเทิงจนถึงทุกวันนี้ และเป็นเหตุผลที่ทางกิลด์ไม่ค่อยอยากชนกับเธอตรงๆ เท่าไหร่ นอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนาพอ

หลังได้ฟังคำอธิบายของเอน่า วาห์นก็เริ่มมีสีหน้าที่จริงจังขึ้นขณะคิดแผนตอบโต้และรับมืออิชทาร์ต่างๆ นาๆ

เอน่าเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและเข้ามาจับมือของวาห์นไว้

พอเห็นดวงตาสีเขียวมรกตที่อยู่ใกล้ๆ วาห์นก็รู้ตัวว่าเผลอตกไปอยู่ในห้วงความคิดโดยไม่สนใจเรื่องรอบตัวอีกแล้ว

เขายิ้มตอบพลางเอื้อมมือไปรอบๆ และนำร่างของเอน่าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน

ทั้งสองไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันมากนัก และสาเหตุที่ได้เจอกันคราวนี้ก็เพราะทางกิลด์มีเอี่ยวด้วยเล็กน้อย

เอน่าพักศีรษะไปกับหัวไหล่ของวาห์นพลางพูดเสียงต่ำ

“ได้ยินจากเฮเฟสตัสว่า… เธอท้องแล้วสินะ

พอนายแก้ปัญหาเรื่องนี้จบ อีกเดี๋ยวก็จะมีปัญหาใหม่ๆ เข้ามาอีกเพียบเลย…”

วาห์นขมวดคิ้วและเริ่มคิดตามสิ่งที่เธอพูด สุดท้ายเข้าก็ได้แต่แสดงสีหน้ารู้สึกผิด

เขารู้ว่าเธอพูดถูกทุกอย่าง แถมปัญหาต่างๆ ก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ถึงเอวาจะผนึกตัวเองอยู่ในลูกแก้ว แต่วาห์นก็ยังอุตส่าห์ไปขนปัญหามาเพิ่มอีกจนได้… สรุปแล้วเขาก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบปกติสุขและพักผ่อนแบบจริงๆ จังๆ เสียที

วาห์นพูดพึมพำหลังจากที่นำศีรษะไปพักไว้บนหัวไหล่ของเอน่าบ้าง

“เอน่า สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดนะ…

ฉันไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้ทุกคน แต่ถ้ามันมาจ่ออยู่ตรงหน้า… จะให้ทนอยู่เฉยก็คงไม่ได้หรอก

มีหลายเรื่องที่ฉันอยากทำมาก แต่ตอนนี้ก็คงได้แต่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

ฉันอยากไปสำรวจชั้นล่างสุดของดันเจี้ยน อยากไปสำรวจวัฒนธรรมรอบโลกกับฟาฟเนียร์… เห็นไหมว่ามีเรื่องที่อยากทำเยอะแยะไปหมดเลย”

เอน่าจับมือขวาของวาห์นและลูบมันเบาๆ ขณะที่เธอตอบกลับไป

“ฉันรู้… แค่มองก็รู้แล้วว่านายไม่ได้ถูกชะตาลิขิตให้มาใช้ชีวิตทั่วไป

นอกจากจะมีที่มาที่ไปแบบไม่น่าเชื่อแล้ว จิตใจกับร่างกายของนายก็ยังพัฒนาขึ้นเร็วมาก

สายตาของนาย… มันคือสายตาของคนที่จ้องมองไปยังอนาคต

สักวันนายอาจได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ก็ได้… ฉันจินตนาการภาพที่นายสั่งเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างภายในเมืองออกเลยล่ะ

ก็แค่… ฉันอยากให้นายมีชีวิตปกติบ้าง นานๆ ครั้งก็ยังดี

ฉันอยากเห็นนายผ่อนคลายและมีความสุข… ฉันไม่อยากเห็นนายต้องพังทลายเพราะความคาดหวังของคนอื่น… หรือเพราะอุดมการณ์ของตัวนายเอง”

หลังจากเงียบกันไปหลายนาที วาห์นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“หลังแต่งงานกันแล้ว… ฉันจะผันตัวไปช่วยคนอื่นๆ ฝึกฝีมือสักระยะนะ

เรื่องพัฒนาตัวเองก็คงทิ้งไปเลยไม่ได้หรอก เพราะคนที่แข็งแกร่งไม่พอ ก็จะปกป้องใครไม่ได้เลย… แต่ฉันจะหาเวลาพักให้มากขึ้นโดยเฉพาะตอนที่พวกเด็กๆ เกิดออกมา

ฉันจะใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุด… นั่นรวมไปถึงพวกเธอด้วย

เรื่องใช้ชีวิตแบบคนปกติคงจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ แหละนะ แต่อย่างน้อยฉันก็จะสร้างสถานที่หนึ่งขึ้นมา

มันจะเป็นสถานที่ที่พวกเธอกับลูกๆ จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน…”

เอน่าหันมาประสานตากับวาห์นด้วยสีหน้าที่ดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด

ชั่วอึดใจต่อมา เธอก็เริ่มหัวเราะคิกคักก่อนจะเอนหัวกลับลงไปบนใหล่ของเขาอีกครั้ง

“ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม แต่ฉันรู้ว่านายทำตามอย่างที่พูดได้แน่ๆ

ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันทีที่นายทำบางอย่าง ฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ

เหมือนกับเรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮารุฮิเมะนั่นไง คนอย่างนายนี่น้า~ ให้ยืนดูจากข้างสนามอย่างเดียวคงได้ขาดใจตายซะก่อน”

เอน่าหัวเราะต่ออีกเล็กน้อยในขณะที่วาห์นพูดค้านอะไรไม่ได้สักอย่าง

จากมุมมองของตัวเอง วาห์นรู้สึกว่าเอน่านั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักเขาดีมากแถมยังช่วยสั่งสอนและชี้ทางให้เขามาโดยตลอด ราวกับเป็นพี่สาวแท้ๆ เลยก็ว่าได้

หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว เอน่าก็เล่นกับมือของวาห์นเล็กน้อยจนกระทั่งเธอเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“…วาห์น นายอยากให้ฉันมีลูกหรือเปล่า?”

เพราะกำลังคิดเรื่องที่พูดกันไปก่อนหน้านี้ วาห์นก็เลยเลยตั้งตัวไม่ทันและไม่ได้ตอบออกไปในทันที

แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น เอน่าก็ปล่อยมือที่จับอยู่ออกและเปลี่ยนไปเล่นกับใบหูของเขาแทน

วาห์นกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกก่อนจะตอบกลับไป

“เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพร้อม… ฉันเชื่อว่าเธอต้องเป็นแม่ที่ดีได้อย่างแน่นอน”

เอน่าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย ราวกับไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น

“ถ้าท้องพร้อมกันกับเฮเฟสตัสได้ก็ดีสินะ เพราะมาคิดดูแล้ว อีกเดี๋ยวโลกิคงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแน่ๆ…

เธออาจจะไปสู้กับอิชทาร์แทนนายแล้วเอาเรื่องนั้นมาใช้เป็นข้อต่อรองเลยด้วยซ้ำ

ต่อจากเธอก็ยังมีอนูบิสกับโคลอี้อีก… ถ้าไม่มีลูกแบบพวกเธอบ้าง ฉันอาจจะได้เป็นแค่ ‘ภรรยาคนแรก’ ที่คอยช่วยเลี้ยงลูกคนอื่นก็ได้นะ

อนาคตยิ่งไม่ค่อยจะแน่นอนแบบนี้ เผลอๆ อาจจะพลาดโอกาสมีลูกไปเลยก็ได้

นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าลูกครึ่งเอลฟ์น่ะมีลูกยากมาก ถึงนายจะใช้ไอ้วิธีซับซ้อนที่เฮเฟสตัสเล่าให้ฉันฟังก็เถอะ

สำหรับเผ่าพันธุ์ที่เป็นลูกครึ่ง ต่อให้ร่างกายของเราพร้อมขนาดไหนมันก็อาจไม่มีความหมายอยู่ดี…”

วาห์นรู้ว่าสิ่งที่เอน่าบอกนั้นคือความจริง เพราะเหล่าเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ได้มีการทดสอบเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว

หากเผ่ามนุษย์ หรือมนุษย์แมวได้รับพรของพวกเธอเข้าไป อัตราท้องก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย เรียกได้ว่าท้อง 100 เปอร์เซ็นต์ก็คงไม่ใช่คำพูดเกินจริงไปนัก

แต่พอมาลองวิธีเดียวกันกับเผ่าลูกครึ่งเอลฟ์ และลูกครึ่งคนแคระ… อัตราสำเร็จอาจเหลือเพียงแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้น

ที่จริงสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มีลูกยากอยู่แล้ว พอเป็นลูกครึ่งก็เลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกครึ่งเอลฟ์บางคน (ทั้งเพศชายและหญิง ) อาจพยายามทั้งชีวิตเพื่อมีลูก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทายาทสืบสกุลแม้แต่คนเดียว

วาห์นเอื้อมมือไปประสานกับของเอน่าอีกครั้งพลางกระซิบเบาๆ

“ฉันจะแก้ปัญหาเรื่องนั้นเอง ยังไงเราก็ต้องมีลูกด้วยกันให้ได้… เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพร้อม ฉันก็จะลองต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม…”

พอบีบมือของเอน่า วาห์นก็สัมผัสได้ว่าว่ามันเย็นชืดจนผิดปกติ เขาก็เลยเอามันมาแนบอกและเริ่มใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อทำให้ร่างกายตัวเองอบอุ่น

เอน่าเริ่มยิ้มนิดๆ ซึ่งมันก็ดูดีขึ้นไปอีกเมื่อความร้อนจากร่างของวาห์นพุ่งผ่านมาที่ฝ่ามือของเธอ

นอกจากนี้ เธอยังสัมผัสได้ว่าร่างกายทุกส่วนของชายหนุ่มเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังปลอบเธออยู่

เอน่าดึงมือของเธอออกไปจากแผงอกกำยำ ก่อนจะจ้องมองเล็กน้อยและจูบเข้าที่ริมฝีปากของวาห์น

วาห์นเริ่มคว้าเอวบางแบบหลวมๆ แต่แล้วเธอก็ผละออกไปเสียก่อน

“ต้องรอให้ถึงคืนวันแต่งงานก่อนนะ… ฉันเคยสัญญาไว้ว่าจะรักษามันจนกว่าจะได้แต่งงาน

เป็นสัญญาที่ให้ไว้กับแม่… ยังไงก็อยากรักษามันไว้ให้ได้

เมื่อถึงตอนนั้น… อ่า ไว้ฉันจะไปปรึกษากับเฮเฟสตัสเองก็แล้วกัน”

‘…ตาสีเขียวมรกต ตาสีแดงทับทิบ ชุดแต่งงาน รออยู่บนเตียงพร้อมกันสองคน…’ นั่นคือทั้งหมดที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในหัวของวาห์น ณ ตอนนี้

สัญชาตญาณบางอย่างบังคับให้เขาต้องกลืนน้ำลายเสียงดังมากจนอีกฝ่ายได้ยิน

นั่นทำให้เอน่าหัวเราะออกมาขณะกอดหัวของเขาไว้กับส่วนคอของเธอ

“ถึงตอนนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้… แต่เรามาทำอย่างอื่นแทนก็ได้นี่

วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลยไม่ใช่เหรอ คงต้องให้รางวัลหน่อยแล้วล่ะ

ไหนๆ ก็ไม่ได้มาบ่อยๆ งั้นคืนนี้ฉันขอค้างที่นี่ละกันนะคะ… ที่รัก”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท