วาห์นตื่นขึ้นในตอนเช้าแบบสลึมสลือและรู้สึกว่าวันนี้ร่างกายของเฮสเทียค่อนข้างร้อนกว่าวันอื่นๆ… แน่ล่ะ ก็เล่นไม่ได้ใส่อะไรเลยนี่นา
หน้าอกเปลือยเปล่าของเทพตัวเล็กกำลังแนบไปกับแผงอกของเขา ในขณะที่เจ้าตัวนอนหนุนแขนตัวเองอย่างสบายใจเฉิบ
ใบหน้าได้รูปกำลังยิ้มแบบเพ้อๆ และมีน้ำลายไหลออกมาเป็นทาง
มันไหลจากปากของเธอลงมาที่แขนแล้วก็มากองอยู่ตรงแผงอกของเขาเต็มไปหมดเลย
แต่จุดที่หนักกว่านั้นก็คือ… ความอึดอัดตรงร่างกายส่วนล่างนี่แหละ
ในช่วงที่กำลังเข้าได้เข้าเข็มกันอยู่ เฮสเทียก็เกิดนึกอะไร ‘แจ่มๆ’ ออก นั่นก็คือการนอนทั้งแบบนั้นโดยที่ยัง ‘ร่วมร่าง’ กับวาห์นอยู่
เนื่องจากวาห์นสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนัก
ปัญหาก็คือ ต่อให้วาห์นลดขนาดลงมาเป็นปกติแล้ว ร่างกายของเฮสเทียก็ยังตามมา ‘ขย้ำ’ เขาไว้อยู่ดี
วาห์นถูกอีกฝ่ายพูด ‘หว่านล้อม’ จนเชื่อว่าเดี๋ยวร่างกายคงปรับตัวได้เอง แต่พอเอาเข้าจริงๆ… มันไม่เหมือนกับที่พูดไว้เลยนี่หว่า
ดูแล้วเฮสเทียคงจะเพลียมาก วาห์นเลยอยากปล่อยให้เธอนอนต่อในขณะที่ตัวเองออกไปทำกิจวัตรประจำวัน
หลังจากโดนจิ้มแก้มอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น
สิ่งที่เฮสเทียทำเป็นอย่างแรกก็คือเอื้อมมือออกไปจับตรงท้องน้อยเพื่อตรวจสอบ ‘สินค้า’ ที่คาอยู่ด้านใน จากนั้นเธอก็หันไปสบกับดวงตาสีเขียวและยื่นหน้าเข้าไปจูบทันที
“อรุณสวัสดิ์ รักนายนะ~”
วาห์นยิ้มตอบก่อนจะเริ่มทำแบบเดียวกัน
“อรุณสวัสดิ์ รักเธอเหมือนกัน… แต่ฉันต้องออกไปข้างนอกแล้วล่ะ” เขาพูดพลางใช้มือลูบเส้นผมสีดำไปด้วย
เฮสเทียทำหน้าเคลิ้มและนำหัวของอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมอก
“ฉันชอบแบบนี้จัง… อยากอยู่ต่ออีกหน่อย”
เธอเปลี่ยนมากอดที่ไหล่ของวาห์นแบบหลวมๆ พร้อมกับแกล้งทำเป็นหลับต่อ
พอขจัดความยับยั้งชั่งใจของตัวเองออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าเฮสเทียนั้นจะแสดงนิสัยเอาแต่ใจหนักกว่าเดิมโดยที่ไม่ต้อง ‘โวยวาย’ แบบแต่ก่อน
เธอทั้งกล้าแสดงออกและดูเฉยเมยในเวลาเดียวกันจนวาห์นเริ่มตระหนักแล้วว่าสิ่งที่โลกิเคยพูดนั้นหมายถึงอะไร
ตอนนี้คนอื่นๆ น่าจะเริ่มตื่นกันแล้ว วาห์นจึงพูดขึ้นอีกรอบ
“ฉันต้องไปล้างหน้าแล้วนะเฮสเทีย…”
แทนที่จะเอ่ยตอบ เฮสเทียกลับแกล้งนอนต่อจนวาห์นได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับไปด้านข้างเพื่อแยกตัวออกมาเอง
“…อึก!” แต่ทันทีที่ทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนโดน ‘บีบคั้น’ อย่างหนักจนขยับไปไหนไม่ได้เลย
เฮสเทียลืมตาพลางถอนใจเบาๆ
“เห้อออ ฉันอยากให้เราเจอกันเร็วกว่านี้จังเลยย…”
เธอเริ่มสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องและดีดเขาออกไปด้านนอก
วาห์นจูบเฮสเทียอีกครั้งก่อนจะวางถังใส่น้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวไว้ใกล้ๆ หากเธอต้องการใช้
หลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว เฮสเทียก็เอาแต่จ้องไปทางประตูก่อนจะลูบตรงท้องน้อยของตัวเอง
“รู้สึกเหงาจัง…” จากนั้นเธอก็นำผ้ามาชุบน้ำและเริ่มเช็ดตัว ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ
จริงอยู่ที่เมื่อคืนได้หลับไปบ้างแล้ว แต่การนอนโดยที่มีบางอย่างอยู่ในร่างกายนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
มีหลายครั้งที่เธอสะดุ้งตื่นและอยากปลุกวาห์นขึ้นมาทำต่อซะเหลือเกิน
ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง เฮสเทียก็จดบันทึกในใจว่าตัวเองควรจะหาเวลาไปถามเหล่าผู้มีประสบการณ์ ว่าด้วยเรื่อง ‘ทำยังไงถึงจะรับวาห์นเข้าไปได้หมด’
เมื่อคืนเธอพยายามแบบสุดตัวแล้ว แต่อย่างมากก็รับวาห์นเข้าไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเอง
เรื่องนี้ทำให้เฮสเทียรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะมันเหมือนกับว่าเธอกำลัง ‘ล้มเหลว’ ในฐานะคนรัก
หากให้วาห์น ‘ลดสักหน่อย’ มันก็น่าจะเป็นไปได้ แต่เรื่องนี้เฮสเทียมุ่งมั่นแบบสุดๆ ว่าจะต้องทำได้โดยไม่ต้องให้เขาช่วย…
—
วาห์นที่ยังไม่รู้ชะตากรรมในห้องนอนของตัวเองนั้นกำลังดำเนินกิจวัตรประจำวันอย่างราบรื่น
เขาไปอาบน้ำแบบสบายๆ ฝึกซ้อมเวทมนตร์แบบสบายๆ และก็ไปสอดส่องการฝึกของคนอื่นแบบสบายๆ
แต่เพราะไม่มีมิลานกับทีน่าอยู่ด้วย บรรยากาศเลยต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
ขณะที่ริวกำลังฝึกให้ฮารุฮิเมะ เอมิรุ และมาเอมิ พรีเซียก็มานั่งใกล้ๆ กับวาห์นที่นั่งสมาธิอยู่ด้านข้าง
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่แค่นั่งกอดเข่ามองวาห์นขณะใช้มือถูกันไปมา
อากาศในเช้าวันนี้นั้นหนาวมาก หนาวจนพรีเซียที่เป็นพวกขี้หนาวอยู่แล้วยังต้องใส่ถุงน่องเพิ่มเข้าไปใต้กางเกงขาสั้น
วาห์นเห็นแล้วก็เกิดความสงสารจนต้องใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่ออุ่นพื้นที่โดยรอบ
นอกจากค่าความชื่นชอบที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว ท่าทางของพรีเซียก็ดูไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่
—
เนื่องจากเธอไม่ต้องไปอาบน้ำกับคนอื่น พรีเซียเลยเดินตามวาห์นมาที่ห้องสมุดและ ‘ขโมย’ ที่นั่งที่ฮารุฮิเมะใช้เมื่อวาน
วาห์นรู้สึกกระอักกระอ่วนหน่อยๆ แต่เขาก็จะไม่ยอมให้พฤติกรรมของพรีเซียมาทำให้ตัวเองเขวหรอก
เขาเคยแอบคิดนิดๆ ด้วยว่าสักวันเธอคงอยากเข้ามากอดด้วย ถ้าให้สารภาพล่ะก็ เขาเองก็รู้สึกสนใจอยู่เหมือนกัน
ผมและหางนุ่มฟูนั่นดูยังไงก็น่าจับจริงๆ นั่นแหละ
พอฮารุฮิเมะตามมาถึง เธอก็เอียงหัวแบบงงๆ ก่อนจะยิ่มอย่างมีเลศนัย
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจเรื่องที่ที่นั่ง ‘โดนแย่ง’ แต่กลับไปหยิบหนังสือและนำเบาะรองมาวางไว้ใกล้ๆ กับขาของวาห์นแทน
“ขอโทษด้วยนะคะ~” เธอกล่าวก่อนจะนั่งลงไป
ฮารุฮิเมะนั่งโดยพิงหลังไปกับโซฟาตรงตำแหน่งที่อยู่ถัดจากขาของวาห์นเพียงเล็กน้อย
ตอนแรกวาห์นกะว่าจะหัวเราะอย่างเดียว แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาเสริม
“บางทีเธอก็ทำตัวน่ารักมากเลยนะ ฮารุฮิเมะ”
หูของฮารุฮิเมะกระดิกไปมาตามจังหวะกายส่ายหาง
“ช่วงนี้ฉันรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ… ได้มาเจอและสัมผัสกับอะไรตั้งมากมาย
ที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะคุณวาห์นช่วยฉันออกมาจากที่นั่น”
วาห์นรู้ว่าฮารุฮิเมะรู้สึกตื้นตันจริงๆ เพราะออร่าของเธอก็กำลังบอกเขาแบบนั้น
เรนาร์ดสาวมักจะแสดงท่าทางสุภาพและสง่างามราวกับผู้ดีอยู่เสมอ แต่มันมักจะค่อยๆ หดหายไปทุกครั้งที่เธออยู่กับวาห์น
พอเห็นหูนั่นแล้ว วาห์นก็ถอนหายใจและเปรยออกมา
“ถ้าขอลองจับหูนั่น… จะได้หรือเปล่า?
ฉันจะไม่โกหกเธอหรอกนะ เพราะพวกมันดูน่าสนใจจริงๆ…”
ตั้งแต่ได้อ่าน ‘ห้วงฝันใต้แสงจันทร์’ วาห์นก็ตัดสินใจว่าจะเฉียบขาดให้มากกว่าเดิม แม้ในกรณีของเฮสเทียนั้นจะเละไม่เป็นท่า แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ เช่นความต้องการของตัวเองล่ะก็ เขาจะพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น
ออร่าของฮารุฮิเมะกำลังสั่นไหวอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับใบหน้าของเธอ ทว่ากลับเป็นพรีเซียที่พูดขึ้นมาก่อน
“คุณชอบ… ลูบๆ เหรอ?”
ทั้งสองหันขวับไปทางสาวมนุษย์แกะที่กำลังกอดหนังสือแนบอก
วาห์นรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้ตัวเอง แต่เขาก็พูดออกไปตามตรง
“ตั้งแต่ที่เข้าเมืองมา ฉันก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้อยู่นะ
ฉันยังมีสกิลที่ชื่อว่า [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ด้วย
หลักๆ ก็คือถ้าโดนสกิลนี้เข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายแบบไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลย”
ขณะพูด มือซ้ายของวาห์นก็เริ่มเปล่งแสงอ่อนๆ ก่อนที่มันจะขยับเข้าหาหูจิ้งจอกนุ่มฟู
ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างไปชั่วขณะ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ปิดลง ราวกับเจ้าตัวกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกแปลกใหม่
พรีเซียที่ดูอยู่ด้านข้างเคยเห็นมันมาก่อน เธอจึงเอ่ยถามต่อ
“เป็นแบบเดียว… กับที่รักษาให้ฉัน”
วาห์นพยักหน้ารับขณะที่ยังไม่หยุดมือ
“นี่คือ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] นอกจากจะทำให้ผ่อนคลายแล้วมันยังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ด้วย ต่อให้อาการจะสาหัสแค่ไหนก็เถอะ…”
พรีเซียก้มหัวราวกับกำลังครุ่นคิดก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“ถ้าไม่ว่าอะไร… ฉันอยากให้คุณ… ทำให้มั่ง”
วาห์นวางหนังสือที่มือขวาลงพร้อมกับส่ายหน้า
“เอาจริงๆ นะ ฉันเองก็อยากลูบเธอเหมือนกัน
เธอน่ะดู ‘น่าลูบ’ มากเลย แต่อีกใจฉันก็คิดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
เธอกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำมานาน ถ้ายังไม่กล้าเปิดใจรับคนอื่น ฉันก็คงได้แต่สรุปว่าเธอยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้”
สายตาของพรีเซียดูหมองลง แต่ไม่นานก็มีประกายเล็กๆ ผุดขึ้นมาให้เห็น
เธอหันไปสบตากับวาห์นอีกครั้งและพูดขึ้น
“ฉันจะพยายาม… ทุกคนดูเป็นคนดี… โดยเฉพาะเฟนเรียร์… กับมิลาน”
พอเพรเซียพูดถึงตรงนั้น เธอก็วางหนังสือลงบนโต๊ะทันที
“ฉันจะไป… ช่วยสอนหนังสือให้คนอื่น”
วาห์นเฝ้ามองแผ่นหลังที่กำลังเคลื่อนออกไปและรู้สึกว่ามั่นดูมั่นคงขึ้น… ดูมุมานะมากกว่าเดิม
เรื่องที่วาห์นกังวลสุดๆ ก็คือการที่เพรเซียพยายามเข้าหาเขาคนเดียวโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว นี่จึงเป็นสัญญาณที่ดีมาก
เพราะเขาไม่ได้หยุดมือไว้ สีหน้าเพลิดเพลินของฮารุฮิเมะจึงถูกยกระดับเป็น ‘เคลิ้ม’ แทนแล้ว
“ที่นี่ก็เหลือเราแค่สองคนแล้วนะคะ~ จะทำมากกว่าเดิมฉันก็ไม่ถือหรอก~…”
ดวงตาสีเขียวดูหยาดเยิ้มขึ้นอีกเป็นกอง ในขณะที่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ฮารุฮิเมะ เธอจะได้อยู่ที่นี่อีกนานเลยนะ… อย่างที่พูดไปแล้วว่าฉันน่ะสนใจ… ก็… ในหลายๆ เรื่องเลย
แต่จนกว่าจะแข็งแกร่งและเข้มแข็งกว่านี้ ฉันคงจะพาเธอเข้ามาพัวพันในชีวิตด้วยไม่ได้หรอกนะ
ถ้าอยากอยู่เคียงข้างกันจริงๆ เธออาจจะต้องหาแรงผลักดันอย่างอื่นที่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว”
ฮารุฮิเมะพยักหน้าหงึกๆ ขณะหลับตา ก่อนจะเปิดมันขึ้นและพูดต่อ
“คุณวาห์น ฉันเจอแรงผลักดันนั่นแล้วนะคะ… ฉันจะแข็งแกร่งกว่านี้ เพื่อเราทั้งคู่ แล้วก็เพื่อปกป้องคนอื่นๆ ในแฟมิเลียด้วย
ฉันอยากทำให้เราสามัคคีกันมากขึ้น แล้วก็ไปเจออะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นด้วยกัน~!
อย่างที่คุณเคยพูดไว้ไงคะ ตอนนี้ฉันคิดว่าทุกคนเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันจริงๆ นะ…”
ขณะพูด ฮารุฮิเมะก็นำมือมากุมไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง
ตอนนี้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากกว่าครั้งไหนๆ มากเสียจนบางส่วนแพร่ออกนอกร่างกาย
ขนาดวาห์นเองก็เหมือนจะสัมผัสถึงความอบอุ่นนี้ได้ด้วย นั่นทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเธอกำลังพูดความจริง ดูไปดูมาก็คล้ายความปรารถนาของเขาเองอยู่เหมือนกัน
วาห์นรู้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงดูเป็นห่วงสภาพจิตใจของเขาซะเหลือเกิน เพราะเขาเองก็นึกอยากจะห้ามฮารุฮิเมะด้วยเหตุผลเดียวกันนี่แหละ
การที่แนวคิดของเขาแพร่ไปถึงคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกแปลกๆ ที่ปล่อยให้เธอลงไปนั่งแบบนั้น
“มานั่งนี่สิ เราอ่านด้วยกันก็ได้นะ…” วาห์นพูดพลางตบเบาะที่อยู่ข้างๆ
หูที่โค้งงอของฮารุฮิเมะกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มก็ดูกว้างกว่าเดิม
เธอลุกขึ้นจากเบาะอย่างคล่องแคล่ว จัดชุดกิโมโนจนเข้าที่ ก่อนจะโค้งให้และลงมานั่งข้างวาห์น
ในช่วงที่ลงมานั่ง ฮารุฮิเมะก็วางหางลงบนตักของเขาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
วาห์นสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“อ่า… ทางเผ่าเรนาร์ดมีธรรมเนียมที่คล้ายกับเรื่องหูของเผ่าเอลฟ์หรือเปล่า?” ขณะถาม เขาก็ซื้อหนังสือผ่านระบบและเริ่มอ่านแบบผ่านๆ ไปด้วย
ฮารุฮิเมะส่ายหัวและตอบกลับไป
“ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ แต่การยอมให้จับหางนั้นจะแสดงถึงความใกล้ชิด… แต่ถ้าคุณวาห์นมีหางแล้วเราเอามันมาพันกัน อันนั้นจะเป็นการแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราคบกันอยู่ค่ะ”
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแปลงร่างเป็นเผ่าอื่นได้ ฮารุฮิเมะจึงตอบด้วยท่าทางเขินอาย
พอยืนยันได้ว่าเธอพูดจริง วาห์นก็ยิ้มตอบ
“ถ้าเธอได้ขึ้นเป็นเลเวล 3-”
พูดถึงตรงนั้น ไฟในดวงตาสีเขียวก็ลุกโชนขึ้นทันที
“เราจะลงดันเจี้ยนกันวันไหนคะ?”
ขณะกำลังใช้มือลูบไล้หางสีทอง วาห์นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่ แต่ยังไงก็น่าจะต้องรอให้จบเรื่องกับทางอิชทาร์แฟมิเลียก่อน
ตอนนี้ก็ฝึกพื้นฐานที่ริวจัดให้ไปพลางๆ ก่อนนะ…”
วาห์นเริ่มคิดบางอย่างออกขณะเฝ้ามองปฏิกิริยาของฮารุฮิเมะที่ดูนิ่งจนผิดคาด
ดูเหมือนว่าหางของเผ่าเรนาร์ดจะไม่ได้อ่อนไหวแบบเผ่ามนุษย์แมว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะขนที่หนากว่ามาก…
วาห์นส่ายหัวเพื่อหยุดคิดเรื่องหางๆ ก่อนจะย้อนกลับมาที่ความคิดตอนแรก
“ฮารุฮิเมะ ฉันมีสกิลที่ช่วยเรื่องการเติบโตด้วยนะ แต่ฉันต้องฝังสิ่งที่เรียกว่า ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ เข้าไปในหัวใจของเธอก่อน…”
ฮารุฮิเมะนั้นไม่มีสกิลที่ช่วยเรื่องการเติบโตอยู่เลย เธอจึงน่าจะได้รับประโยชน์เต็มๆ จาก [โพรมีธีอุส] แถมค่าความชื่นชอบของเธอก็เต็มไปแล้วด้วย
ฮารุฮิเมะใช้เวลาคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะยิ้มหวาน และเริ่มปลดสายโอบิออกจากตัว
แต่ก่อนที่เธอจะทำเสร็จ วาห์นก็พูดขัดขึ้น
“หันหลังแทนก็ได้นะ เราไม่จำเป็นต้องทำจากด้านหน้าหรอก”
“แต่คุณวาห์นก็ไม่จำเป็นต้องใส่จากด้านหลังเหมือนกันใช่ไหมคะ~?”
ฮารุฮิเมะไม่รอให้วาห์นคิดหาอะไรมาค้าน เธอปลดกิโมโนลงจากไหล่และเผยให้เห็นทรวงอกสีขาวที่อยู่ในวัยกำลังโต
“เริ่มได้เลยค่ะ ฉันอยากเห็นมันกับตา” เธอพูดแบบเสียงดังฟังชัด
วาห์นส่ายหัวแบบปลงๆ ก่อนจะเรียกเมล็ดเปลวเพลิงขึ้นมาไว้ที่มือ
“ฉันจะฝังเมล็ดนี่เข้าไปในหัวใจของเธอนะ… มันจะช่วยเร่งการเติบโตโดยขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเธอเอง”
“ความรู้สึกเหรอคะ?” ฮารุฮิเมะถามขณะมองเมล็ดด้วยสีหน้าหลงใหล
วาห์นพยักหน้ารับและพูดต่อ
“อื้อ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน… เมล็ดเปลวเพลิงจะช่วยทำให้เธอเติบโตเร็วขึ้นโดยใช้ความผูกพันระหว่างเราเป็นปัจจัยหลัก”
ฮารุฮิเมะเข้ามาจับมือของวาห์นไว้ทันที
“เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเองค่ะ… ว่าฉันไปได้ไกลแค่ไหน”
วาห์นใช้มือซ้ายลูบหัวของฮารุฮิเมะขณะยื่นมือขวาเข้าไปและใส่เมล็ดลงตรงตำแหน่งหัวใจของเธออย่างนุ่มนวล
เพราะเคยโดนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว วาห์นจึงเตรียมรับความเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากกัดฟันเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเพิ่ม
ฮารุฮิเมะรู้สึกร้อนหน้าอกมาก ราวกับว่าความรู้สึกของเธอกำลังไหลมารวมกันอยู่ตรงนั้น
มันรุนแรงขึ้นจนถึงจุดๆ หนึ่ง ก่อนจะแผ่กระจายออกไปทั่วร่างกายทุกส่วน
แต่สิ่งที่อยู่นอกขั้นตอนก็คือความร้อนอีกสายที่มารวมกันตรงท้องน้อยของฮารุฮิเมะจนเจ้าตัวได้แต่หลับตาและเพลิดเพลินไปความรู้สึกดังกล่าว
พอความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว วาห์นก็ให้ฮารุฮิเมะหันหลังเพื่อที่เขาจะได้ตรวจสอบค่าสถานะของเธอฃ
เรนาร์ดสาวได้สกิล [พรแห่งโพรมีธีอุส:A] เพิ่มขึ้นมาตามคาด รวมถึงค่าสถานะบางส่วน
ค่าที่เปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดดก็คือ ‘พลังเวท’ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 60%
วาห์นสังเกตเห็นด้วยว่าเธอยังได้รับสกิล [จิตวิญญาณฟื้นฟู:D] เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
สกิลนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญหากฮารุฮิเมะต้องการใช้เวทมนตร์เป็นหลักในอนาคต
สกิลส่วนใหญ่นั้นจะไม่ตื่นขึ้นจนกว่าจะเลเวล 2 เรียกได้ว่าเธอได้เปรียบคนอื่นไปแล้วก้าวหนึ่ง
(A/N: ถ้าไม่ออกล่ามอนสเตอร์ ค่าสถานะก็จะเพิ่มขึ้นไม่มากครับ)
———————————————————————————–
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ
เผ่าพันธุ์: เรนาร์ด
เลเวล 1
พลังโจมตี: I11->I15
ความอดทน: I28->I33
ความแม่นยำ: I12->I16
ความว่องไว: I30->I36
พลังเวท: F367->D587
สกิล: [อินาริ: สกิลแฝง(ถูกผนึก)], [พรแห่งโพรมีธีอุส:A]
เวทมนตร์: [อูจิเดะ โนะ โคซูจิ: B], [โคโคโนเอะ: D]
สกิลที่กำลังพัฒนา: [ธิดาเทพแห่งจันทรา: สกิลแฝง(ถูกผนึก)], [จิตวิญญาณฟื้นฟู:D]
[อูจิเดะ โนะ โคซูจิ]
ระดับ: B
เวทมนตร์เพิ่มเลเวลสำหรับเป้าหมายเดียว ต้องรอตามเวลาที่กำหนดจึงจะร่ายได้อีกครั้ง ไม่สามารถใช้กับตัวผู้ร่ายเองได้ เสริมค่าสถานะทั้งหมดของเป้าหมายเป็นจำนวน 30% ของยอดรวมค่าสถานะทั้งหมด
บทร่าย: จงเติบโตขึ้น พลังและกายา อณูแห่งความมั่งคั่งและความปรารถนา จนกว่ากาลเวลาจะเคลื่อนผ่าน จงนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์และภาพมายา จงเติบโตขึ้น จงนำพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาสู่กายเนื้อนี้ จงนำพาแสงสีทองจากเบื้องบน ลงสู่ค้อนแห่งโลกา นำมาซึ่งโชคลาภอันประเสริฐแด่ตัวเจ้า จงเติบโตขึ้น (TL: ‘อูจิเดะ โนะ โคซูจิ’ คือค้อนนำพาโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นครับ)
[โคโคโนเอะ]
ระดับ: D
เวทมนตร์เสริมพลังพิเศษที่สามารถสร้างหางให้กับผู้ใช้ได้มากถึง 9 หาง จำนวนหางที่สร้างได้จริงจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของตัวผู้ใช้เอง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือผลของเวทมนตร์ที่ใช้ตามจำนวนหางที่สร้างขึ้น (จำนวนหางที่สร้างได้ในปัจจุบัน: 4)
บทร่าย: โคโคโนเอะ หิมะอันเป็นที่รัก สีเลือดอันเป็นที่รัก แสงสีขาวอันเป็นที่รัก ขอให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้า – ความรักที่พบเจอท่ามกลางสองพันราตรี นามของข้าคือจิ้งจอกแสนกล อดีตผู้ทำลายล้าง นามของข้าคือบทบรรเลงโบราณ อดีตผู้ใฝ่ฝัน สำหรับเจ้าผู้สยายปีกดั่งปักษา ข้าขอนำพาวิญญาณทั้งเก้าเข้าสู่กายา เสียงสะท้อน บทเพลงทองคำ บทกวีอันศักดิ์สิทธิ์ของทามาโมะ ใบหน้าขาวนวล ขนทองอร่าม ราชันเก้าหาง โอ หางแห่งอสูร กลืนกินทุกชีวิต ให้พรแด่ทุกสรรพสิ่ง (ร่ายเวทที่ต้องการเสริมคุณสมบัติ) – จงเต้นระบำ!
[จิตวิญญาณฟื้นฟู]
ระดับ:D
เพิ่มอัตราการฟื้นฟูของพลังงานทางจิตและพลังเวท (มานา)
[พรแห่งโพรมีธีอุส]
ระดับ:A
อัตราการเติบโตจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ที่เป็นคนใช้สกิลนี้ให้ ตราบใดที่ผู้ใช้สกิลยังมีชีวิตอยู่ ผู้รับพรนี้จะมีเติบโตที่รวดเร็วโดยขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่มีต่อผู้ใช้สกิล หากความรู้สึกจืดจางลง เมล็ดเปลวเพลิงที่อยู่ภายในหัวใจก็จะเริ่มจางหายไปเช่นกัน
วาห์นยังคงอยู่ในท่าทำสมาธิ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังเพื่อสอดส่องรอบๆ ไปด้วย
ตอนแรกเขานึกว่ามิโคโตะจะเข้ามาถามต่อ แต่เธอกลับเดินออกไปฝึกที่ตำแหน่งเดิมและกำลังเหวี่ยงดาบแบบมือเดียวโดยออกท่าคล้ายกับการเหวี่ยงแส้แทน
ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะแกะเคล็ดวิชานี้ด้วยตัวเองแทนการถามตรงๆ
ขณะที่ยังหลับตาอยู่ วาห์นก็เริ่มใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อสอดส่องคนอื่นๆ อย่างละเอียด
ทุกคนดูมีศักยภาพพอประมาณ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยฝึกหนักกันมาก่อน การเคลื่อนไหวถึงยังดูขัดๆ อยู่บ้าง
นอกเหนือจากเฟนเรียร์แล้ว ฮารุฮิเมะก็เป็นอีกคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก
หากตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆ เธออาจจะสำเร็จวิชา ‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ ได้เร็วกว่ามิโคโตะเสียอีก
‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ นั้นจริงๆ แล้วก็คือวิชาสำหรับนักสู้ที่ไม่ได้เน้นเรื่องพละกำลังเป็นหลัก
ทั้งริวหรือแม้แต่สึบากิเองก็ใช้วิชานี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แน่นอนว่าทุกอย่างมักจะมีข้อยกเว้น ซึ่งในกรณีนี้ก็คือทีโอน่าที่มีทั้งฝีเท้าว่องไวและพละกำลังมหาศาล
หลังจากฝึกกันเสร็จ พวกสาวๆ ก็พากันไปอาบน้ำในขณะที่วาห์นเข้าครัวเพื่อช่วยมิลานเตรียมอาหารเช้า
แม้จะมีเพรเซียมาคอยนั่ง ‘จ้องงง’ ไปด้วย แต่บรรยากาศในช่วงที่วาห์นได้เตรียมอาหารคู่กันกับมิลานนั้นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก
ไม่นานพวกคู่แฝดและทีน่าก็ตามเข้ามาช่วยก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะและทานมื้อเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง
เฮสเทียนั้นยังไม่ตื่นลงมาเลย ที่นั่งข้างๆ วาห์นจึงถูกเปลี่ยนเป็นริวกับฮารุฮิเมะแทน
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่มิลานและทีน่าก็เดินกลับไปแล้วโดยมีริวและฟาฟเนียร์ติดสอยห้อยตามไปด้วย
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเธอก็จะมาเยือนอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์รอบหน้า
อันที่จริงพวกเธอจะแวะมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการเดินมาที่นี่จะกินเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นเอง
ถ้าใช้เวทมนตร์ช่วยเสริม ริวสามารถเดินทางมาที่นี่โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที
ส่วนฟาฟเนียร์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ 30 วินาทีก็บินมาถึงแล้ว
ถึงฟาฟเนียร์จะไม่ได้ใช้ความสามารถนี้เท่าไหร่ แต่มันสามารถบินได้เร็วถึง 4100 กม./ชม. เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นกระสุนปืนดีๆ นี่เอง
เพราะไม่มีเฮสเทียมาคอยแง่งใส่ ฮารุฮิเมะกับพรีเซียเลยเดินตามวาห์นมาที่ห้องสมุดและจบลงด้วยการอ่านหนังสือกันแบบเงียบๆ
ฮารุฮิเมะนั้นลงมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเขา แต่เธอก็ไม่ได้เข้ามารบกวนแต่อย่างใด
พรีเซียพยายามนั่งห่างออกไปและคอย(แอบ)มองทั้งสองผ่านหนังสือที่ถือไว้ในมือ
แน่นอนว่ามันดูโจ่งแจ้งมากเสียจนวาห์นไม่ต้องเสียเวลาถามเลยว่าเธออ่านอะไรอยู่… ถามไปก็ตอบไม่ได้หรอก
แม้จะอยากทดสอบ ‘ความปุกปุย’ ของเธอ แต่วาห์นก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรทำแบบนั้น
ฮารุฮิเมะเองก็เช่นกัน… ถึงหางนั่นจะดูนุ่มมากก็เถอะ
เรนาร์ดสาวมีความสูงประมาณ 150 ซม. ส่วนหางของเธอนั้นยาวเกือบ 80 ซม. เลยทีเดียว
และตอนนี้เจ้าหางที่ว่านั่นก็กำลังส่ายไปมาอยู่บนโซฟานี่เอง ราวกับว่าเจ้าของหางกำลังใช้มันยั่วเขาอย่างสุดความสามารถ
โลกิพูดไว้ไม่ผิดเลยว่าเขามักจะชอบและสนใจอะไรที่ดูแปลกใหม่อยู่เสมอ ราวกับว่ามันคือแอ่งน้ำในทะเลทรายที่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ
ดูๆ แล้วสองคนนี้คงไม่ปฏิเสธเขาแน่นอน ดังนั้นถ้าวาห์นไม่หักห้ามใจตัวเองแล้วใครจะเป็นคนห้ามเขาไว้ล่ะ…?
สุดท้ายวาห์นก็เอาชนะใจตัวเองได้สำเร็จและอยู่รอดมาถึงช่วงพักเที่ยงก่อนจะได้พบกับเฮสเทียที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเกินจะบรรยาย
เทพตัวเล็กเข้ามากอดเอวของวาห์นไว้แน่น ตามมาด้วยการเขย่งขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากโดยไม่สนใจสายตายของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
วาห์นค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็จูบตอบเบาๆ ก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะ
พวกสาวๆ เริ่มกลับมามองเขาแบบแปลกๆ อีกครั้ง มีเพียงเฟนเรียร์เท่านั้นที่หันมาคุยตามปกติและได้รับจูบที่หน้าผากเป็นของแถม
ในระหว่างที่ทานอาหาร เฮสเทียจะคอยเข้ามาป้อนให้วาห์นบ้างล่ะ เป่าของร้อนๆ ให้บ้างล่ะ เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังส่งสายตา ‘คาดหวัง’ มาที่เขาด้วย
เพราะไหนๆ ก็บอกอะไรหลายอย่าง และทำอะไรหลายอย่างร่วมกันไปแล้ว วาห์นจึงไม่ติดใจที่จะ ‘ดูแล’ เธอบ้างขณะปล่อยให้ฮารุฮิเมะเข้ามาช่วยเฟนเรียร์แทน
ต่อให้ไม่มีใครถามอะไร ทุกคนก็รู้อยู่ดีแล้วว่าเมื่อคืนต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
ฮารุฮิเมะรู้ว่าเฮสเทียต้องการทำให้มันดู ‘ชัดเจน’ โดยไม่ต้องกล่าวมันออกมาเป็นคำพูด
หลักๆ ที่เธอต้องการจะสื่อนั้นก็คือ ‘ถ้าอยากใกล้ชิดวาห์น ก็ขอให้มาตรงๆ อย่าใช้วิธีอ้อมค้อม’
หลังจากจบช่วงมื้อเที่ยง เฮสเทียกับวาห์นก็จูบกันอีกครั้งก่อนที่เธอจะปล่อยเขาไปทำงาน
ส่วนตัวเธอเองนั้นมีแผนว่าจะไปนั่งดูพวกสาวๆ เรียนหนังสือที่ห้องสมุดต่อ
คนที่ดูลังเลเห็นจะมีแต่พรีเซียที่เฝ้ามองตามแผ่นหลังของวาห์นก่อนจะโดนเฟนเรียร์ลากตัวให้ไปด้วยกัน
ในระหว่างทางไปห้องทำงาน วาห์นก็กลับมาคิดเรื่องการหาเพื่อนผู้ชายเพิ่มและวิธีที่จะพาฮารุฮิเมะออกไปข้างนอกโดยไม่ให้ลำบากคนอื่น
หากไม่นับริวกับฟาฟเนียร์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงแล้ว กำลังหลักของเฮสเทียแฟมิเลียก็จะประกอบไปด้วยวาห์น เฟนเรียร์ และมิโคโตะ
ยังดีที่ฮารุฮิเมะใช้เวทมนตร์เพิ่มเลเวลได้ วาห์นจึงน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับศัตรูเลเวล 6 ในขณะที่เฟนเรียร์กับมิโคโตะเข้าต่อกรกับศัตรูเลเวล 3 หรือต่ำกว่า
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น วาห์นก็ตระหนักว่าทางแฟมิเลียควรแก้ไขและเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ให้ได้โดยเร็ว
นอกเหนือจากเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้ว เขายังต้องมีสมาชิกเลเวล 4-5 เพื่อกระจายฐานกำลังออกไปอีก
ริวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่วาห์นอยากหาจอมเวทเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญเรื่องเวทป้องกันและข่ายเวทมนตร์มาเสริมด้วย
ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันรวมถึงเรื่องที่มีปัญหากับอิชทาร์แฟมิเลียนั้นทำให้มันเป็นไปได้ยาก
อิชทาร์เป็นเจ้าแม่แห่งสถานบันเทิง นั่นหมายความว่าเขาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเฟมิเลียอาชญากรรมที่ทำงานในเขตดังกล่าวเช่นกัน
ถึงทางนั้นจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่ปัญหาเรื่องสมาชิกเลเวลต่ำก็จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าทุกคนจะได้เข้าดันเจี้ยนและเก็บเลเวลกันอย่างจริงจัง
พอเดินมาถึงห้องทำงาน วาห์นก็เริ่มออกแบบอุปกรณ์ต่อ พร้อมกับทดสอบทฤษฎีบางอย่างที่เคยคิดเอาไว้
นี่เป็นความคิดที่วาห์นไม่อยากมอบเครดิตให้คนคิดเลย… เพราะเขาอยากให้พวกสาวๆ ลองมาสวมชุดและอุปกรณ์ที่คิดขึ้นมาเองดูสักครั้ง หรือให้พูดอีกอย่างก็คือมา ‘จับแต่งตัว’ นั่นแหละ
จากค่าความแม่นยำที่สูงพอตัว วาห์นเชื่อว่าตัวเองสามารถเย็บและตัดชุดได้ในระดับนึง
อาจต้องมีการศึกษาและฝึกเพิ่มเติมด้วย แต่เรื่องนี้มิลานกับฮารุฮิเมะก็น่าจะพอช่วยเขาได้
ไอส์ที่ดูเหมือน ‘ตุ๊กตา’ ที่สุดนั้นได้กลายมาเป็นเป้าหมายแรกของเขาไปแล้ว
วาห์นพยายามนึกภาพชุดที่เหมาะสมกับเธอโดยที่มันต้องต่างออกไปจากชุดในเนื้อเรื่องเดิมอยู่บ้าง
ตอนนี้เธอกำลังสวมชุดเกราะแบบหลายชั้นและค่อนข้างเทอะทะกว่ามาก ดูก็รู้แล้วว่ามันน่าจะ ‘ใส่ก็ยาก ถอดก็ยาก’
หลังจากมอบ [แกรม] ให้ไอส์ วาห์นก็รู้ว่าชุดสีขาวและน้ำเงินน่าจะเหมาะกับเธอที่สุด
สิ่งแรกที่นึกออกก็คือชุดเกราะที่เบา ไม่เทอะทะจนเกินไป และทำให้ผู้สวมดู ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เขาตัดสินใจว่าตัวเองควรจะออกไปชอบปิ้งกับไอส์อีกครั้งเพื่อสังเกตดูชุดและสีที่เธอชอบ
พอได้ชุดต้นแบบมาแล้ว วาห์นจะนำมันไปดัดแปลง แก้ไข ปรับแต่งมันตามคำแนะนำของผู้สวมใส่ หรือไม่ก็เสริมความสามารถเพิ่มเข้าไปอีก…
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา วาห์นก็เลือกซื้อหุ่นที่มีรูบร่างคล้ายกับทีโอน่า ไอส์ และริวจากระบบ
หลาย ‘เหตุการณ์’ ที่เจอมากับตัวทำให้วาห์นจดจำรูปร่างเปลือยเปล่าของทั้งสามได้อย่างแม่นยำ เรื่องการหาหุ่นที่มีรูปร่างคล้ายกันจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
วาห์นเคยฝึกเรื่องการแกะสลักรูปปั้นกับเอวามาแล้ว ดังนั้นหากต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม เขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
แน่นอนว่าวาห์นไม่ได้แกะสลักส่วนใบหน้า รวมไปถึงส่วนที่… ไม่เป็นการสมควรเท่าไหร่
ถ้าทำแบบนั้นแล้วมีใครเดินเข้ามาเจอล่ะก็คงจะเป็นเรื่องแน่นอน
แม้จะไม่ใช่คนจริงๆ แต่วาห์นก็รู้สึกดีใจที่ได้จับ ‘พวกเธอ’ แต่งตัวด้วยผ้าหลากสีและชนิด
เขาตบแต่งไอส์ด้วยเสื้อผ้าสีขาว สีเขียว และสีทอง ส่วนทีโอน่านั้นจะเป็นสีครีม สีน้ำตาล และสีอุ่นผสมกัน
สำหรับริว เธอดูจะชอบสีที่หาได้ตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นสีเขียวใบไม้ สีเบจ สีน้ำเงินธรรมชาติ สีน้ำตาล
โครงการนี้อาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน แต่อย่างน้อยวาห์นก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ ‘สนุก’ มาก
เย็นนี้ไม่มีแขกมาที่คฤหาสน์ แต่เฮสเทียก็มาเล่าให้ฟังว่าปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียนั้นน่าจะกลับมาถึงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้
พอมาบวกกับการคิดเรื่องของพวกเธอไปบ้าง วาห์นเลยรู้สึกคาดหวังว่าไอส์และทีโอน่าจะมาเยี่ยมในเร็ววัน
อาจจะน้อยกว่าหน่อย แต่เขาก็อยากเจอทีโอเน่กับเลฟิย่าอีกครั้งเช่นกัน รวมไปถึงการขอคำแนะนำจากแกเร็ธด้วย
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การพบหากับกลุ่มพันธมิตรเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่วาห์นก็ยังเป็นที่รู้จักในฐานะช่างตีเหล็กฝีมือดี แม้ว่าเรื่องสกิล [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] ของเขาจะยังไม่ถูกเปิดเผยก็ตาม
ทางกิลด์จะเข้ามายุ่มย่ามอะไรได้หากสมาชิกของโลกิแฟมิเลียแค่เดินทางเพื่อมา ‘ซื้ออุปกรณ์’ เฉยๆ…
เพราะตอนนี้สมาชิกหลายคนของโลกิแฟมิเลียก็ใช้สิ่งของที่เขาสร้างหรือซื้อจากระบบอยู่แล้ว นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
หลังช่วงมื้อเย็น เฮสเทียได้มาอาบน้ำกับวาห์นอีกครั้งขณะคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ก่อนจะออกไปเตรียมตัวเข้านอน
เฟนเรียร์ยังคงปักหลักอยู่กับพรีเซียเช่นเดิม เฮสเทียจึงพยายามใช้ประโยชน์จากตรงนี้อย่างเต็มที่ แถมโลกิยังอุตส่าห์ทิ้งเครื่องรางเอาไว้ให้ด้วย
แต่ถึงเธอจะดึงดันยังไง วาห์นก็ไม่ยอมท่าเดียวและเตือนว่าเธอควรพักเรื่องนั้นไปสักระยะ
เนื่องจากเธอปฏิเสธที่จะให้เขารักษา การจัดกิจกรรมช่วงกลางคืนแบบติดๆ กันหลังเสียพรหมจรรย์ไปแล้วจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง
อีกเรื่องหนึ่งที่วาห์นไม่มีทางพูดออกมาก็คือ… เขาเริ่มรู้สึกกลัวร่างกายส่วนล่างของเฮสเทียขึ้นมาหน่อยๆ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน เขาหวังจริงๆ ว่าเวลาพักรักษาตัวจะช่วยปรับสภาพให้มัน ‘ง่ายขึ้น’ และไม่เจ็บราวกับถูกคีมหนีบ
เฮสเทียคิดว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่แม้จะรู้ว่าวาห์นเป็นห่วงร่างกายของเธอจริงๆ
พอรู้ว่าเดี๋ยวจะมีผู้หญิงมาเยี่ยมเพิ่ม เธอก็ไม่อยากรอช้าและมาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพ เรื่องอันตรายจากการติดเชื้อนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับเธออยู่แล้ว
หลังจากขึ้นมานั่งบนตัววาห์น เสื้อผ้าของเฮสเทียก็แตกกระจายออกไปรอบๆ
จากมุมมองวองวาห์นนั้น ตอนนี้สายตาของเฮสเทียดู ‘หลอน’ มาก
เขาไม่เคยเห็นเธอทำหน้าแบบนี้มาก่อนจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกและอยากเอ่ยถามเบาๆ
แต่ก่อนจะได้พูดออกไป น้ำเสียงร้อนๆ หนาวๆ ก็ดังขึ้น
“วาห์น… เรารักกัน… ใช่ไหมคะ?”
วาห์นตอบกลับแบบไม่ลังเล
“แน่นอน ฉันก็ต้องรักเธอสิเฮสเทีย
เธอเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันเลยนะ”
รอยยิ้มแปลกๆ ของเฮสเทียยิ่งดูกว้างขึ้นกว่าเดิม
“อื้อ… แต่นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นพวกขี้หึง… ถึงปากจะบอกว่าเปิดใจไปแล้วก็เถอะ
ฉันรู้ดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน… แล้วมันก็ไม่ใช่จุดสูงสุดในหัวใจของนายด้วย…”
มือเรียวเล็กค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่กระดุมเสื้อของวาห์น
“ตอนที่เราอยู่กันแบบนี้ ถึงจะไม่ได้เป็นจริงก็เถอะ แต่ฉันก็อยากเป็นแค่คนเดียวในหัวใจของนาย… ฉันอยากสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น
ฉันมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดให้นายไปแล้ว เรื่องแค่นี้นายคงพอทำให้ฉันได้ใช่ไหม…?”
วาห์นรู้สึกเหมือนสมองกำลังโดนคำพูดของเฮสเทียตอกใส่ไม่หยุดเลย
และแม้จะไม่มาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนและความชื้นแฉะที่หลั่งไหลออกมาจากร่างการส่วนล่างของเธอ
เฮสเทียไม่ยอมเปิดโอกาสให้วาห์นพูดอะไรต่อ เธอโน้มตัวเข้าไปประสานตาในระยะประชิดทันที
“อย่าเห็นแก่ตัวนักเลยวาห์น… ฉันรู้ดีว่าตัวเองไหวหรือไม่ไหว… ร่างกายฉัน ฉันดูแลเองได้… นายจะเอาความสงสารมาใช้ปฏิเสธสิ่งที่ฉันปรารถนาจากหัวใจไม่ได้หรอกนะ
หยุดลังเลได้แล้ว… ไม่งั้นฉันจะสงสัยเรื่องความรู้สึกของนายไปตลอด…
ฉันรู้ว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่พออยู่คนเดียวแล้วมันก็อดคิดไม่ได้… ช่วยทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจเวลาที่นายไม่อยู่ด้วยเถอะนะ”
ถึงจะรู้ว่าเฮสเทียไม่มีเวทมนตร์เสน่ห์ แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้อยตาม
เธอมักจะใช้คำพูดนุ่มนวลเพื่อช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบอยู่เสมอ ทว่าครั้งนี้มันกลับทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวผิดปกติ
วาห์นนั้นสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย
พอเฮสเทียจะถอยหลังออกมา วัตถุแข็งบางอย่างก็ดันโผล่ขึ้นมา ‘ขวางทาง’ จนเธอได้แต่ยิ้มกว้าง
“ฉันรักนายนะวาห์น… นับจากนี้และตลอดไป… โปรดอย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”
หลังจากที่โลกิหยุดหัวเราะ เธอก็มองดูอีกสองคนกอดกันก่อนจะหาววอดใหญ่และเริ่มคลานออกจากเตียง
วาห์นจูบหน้าผากของเฮสเทียก่อนจะหันไปถาม
“ไม่ค้างที่นี่เหรอ?”
โลกิที่กำลังคลานห่างออกไปเหลียวหลังกลับมาตอบพร้อมส่ายบั้นท้ายไปมา
“ช่วงนี้น่าจะมีคนคอยดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรกับเฮสเทียแฟมิเลียอยู่ตลอดนะ
ถ้าฉันนอนนี่ เราอาจจะเจอปัญหาเพิ่มทีหลัง” โลกิขึ้นมานั่งใส่เสื้อผ้าตรงขอบเตียงโดยเริ่มจากถุงน่องก่อน
วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถูกต้องแล้ว แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป โลกิที่สวมถุงน่องเสร็จก็หันมาพูดต่อ
“ก็อย่างที่เคยบอก ฉันไม่อยากไปเหยียบเท้าเฮเฟสตัสเท่าไหร่หรอกนะ เดี๋ยวอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยมาใหม่ละกัน
ตราบใดที่ฉันท้องก่อนเดนาตัส ทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น” โลกิพูดพลางใช้มือลูบหน้าท้องด้วยสีหน้าหลงใหล
วาห์นถอนหายใจก่อนจะนำผ้าเช็ดตัวออกมาห่มให้กับเฮสเทียที่นอนสลบไสลไปแล้ว
เทพจอมเจ้าเล่ห์เฝ้ามอง ‘การดูแล’ แบบสุดๆ ของวาห์นสลับกับเฮสเทียด้วยความรู้สึก… อิจฉาเหรอ?
เธอกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นทันทีและเริ่มกลับไปใส่เสื้อผ้าต่ออีกครั้ง
เมื่อใส่ชิ้นสุดท้ายเสร็จ โลกิก็หมุนคอไปมาก่อนจะเดินออกไปที่ประตู
เพราะอยู่ห่างออกไปแล้ว เธอจึงไม่ได้ยินเสียงของวาห์นที่เดินตามและเข้ามาคว้าเอวไว้
โลกิหันมามองอย่างสงสัยขณะที่วาห์นพูดขึ้น
“งั้นฉันขอออกไปส่งข้างหน้าก็แล้วกัน…”
วาห์นรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเลยที่ปล่อยให้เธอกลับไปคนเดียวแบบนี้
โลกิหัวเราะเบาๆ พร้อมยกมือของตัวเองขึ้นมาซ้อนทับอีกที
เมื่อเดินมาถึงห้องโถง เธอก็แงะนิ้วของวาห์นออกก่อนจะหันมาจ้องตรงๆ
ทั้งคู่นั้นไม่จำเป็นต้องก้มหรือเงยหน้าแต่อย่างใดเพราะมีความสูงไล่เลี่ยกัน
จู่ๆ วาห์นก็เอื้อมมือไปสัมผัสกับแผ่นหลังของโลกิ ก่อนจะเข้ามาแนบชิดและจูบที่ริมฝีปาก
นี่ไม่ใช่การจูบอันเร่าร้อนแบบในห้องนอน แต่วาห์นรู้สึกว่ามันเป็นจูบที่มีความหมายยิ่งกว่านั้นอีก
พอเริ่มคิดว่าจะแกล้งอีกฝ่ายยังไงดี เขาก็โดนลวนลามเข้าที่บั้นท้ายเสียก่อน สุดท้ายก็เลยได้แต่หัวเราะเบาๆ ผ่านจมูก
แต่แน่นอนว่ามันยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก
วาห์นลดมือทั้งลงไปช้อนบั้นท้ายและยกโลกิขึ้นจากพื้นเพื่อเป็นการเอาคืน
หลายอึดใจต่อมา เขาก็วางเธอลงพร้อมกับที่อีกฝ่ายใช้มือผลักเบาๆ ตรงแผงอก
ก่อนที่เธอจะออกไปพบกับอากาศหนาวเย็นด้านนอก วาห์นก็ยื่นผ้าคลุมอุ่นๆ ให้ แม้จะรู้ว่าเธอสามารถใช้พลังเพื่อต้านทานสภาพอากาศได้
โลกิสวมมันด้วยรอยยิ้มแฉ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ครั้งหน้าขอเป็นแบบสองต่อสองละกัน อาจะมีไวน์สักนิด แล้วก็บรรยากาศอบอุ่นสักหน่อย~!
ฉันให้นายเป็นคนจัดการก็แล้วกัน อย่าลืมทำให้มันน่าสนใจด้วยล่ะ”
โลกิหรี่ตามองวาห์นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไปสู่ความมืดด้านนอก
วาห์นถอนหายใจพลางส่ายหัวเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยอ่านผู้หญิงคนนี้ออกเลย
เรื่องที่ผ่านมาทำให้เธอดูน่าเชื่อถือ แต่นิสัยชอบหลอกลวงนั่น… แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่ามันจะโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่
เรื่องจริงกับเรื่องโกหกนั้นคือสองสิ่งที่ผสมปนเปอยู่กับโลกิมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เขาก็เชื่อว่าเธอคงไม่คิดที่จะทรยศหรอก
นั่นคือสิ่งที่วาห์นเห็นจาก [ความปรารถนาของหัวใจ] ของเธอ
ถึงจะถูกพลังศักดิ์สิทธิ์บังคับให้หลอกคนอื่น เขาก็ยังเชื่อว่าเธอไม่มีทางหลอกความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเองแน่นอน
วาห์นสรุปได้ว่าคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากระวังตัวเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็เริ่มคิดเรื่องการพบกับโลกิในครั้งถัดไป…
เฮสเทียนั้นยังไม่ได้สติเหมือนเดิม ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาพหลับลึกขณะยิ้มอย่างมีความสุขและกอดหมอนที่อยู่ข้างๆ
แต่ทันทีที่เขาลงไปนอนด้วย เธอก็ยังอุตส่าห์ละเมอปีนขึ้นมาอยู่บนตัวในสภาพเปลือยเปล่าได้อีก
นี่ไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือแกล้งหลับกันแน่!?
หลังจากได้ทึ่งไปกับร่างกายที่เบาและนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย วาห์นก็นำผ้าห่มขึ้นมาคลุมและหลับตาลงเช่นกัน…
—
เช้าวันถัดมา วาห์นตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบกับดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายที่รออยู่ด้านหน้า
เฮสเทียเคลื่อนตัวเข้ามาประคองใบหน้าและจูบตรงริมฝีฝากก่อนที่เขาจะได้บอก ‘อรุณสวัสดิ์’ เสียอีก
วาห์นจับเอวบางแบบหลวมๆ ขณะที่ทั้งสองอยู่ต่อไปแบบนั้นเป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งเฮสเทียถอนปากออกไปเอง
“วาห์น ฉันรักๆๆ นายมากเลยย~”
นั่นเป็นคำพูดตื่นเต้นที่ทำให้เขายิ้มตามไปด้วย
“ฉันก็รักเธอนะเฮสเทีย ขอบคุณ…”
เฮสเทียคว้าศีรษะของเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกขณะที่ยังกรี๊ดไม่เลิก
วาห์นกะจะรอต่ออีกพักหนึ่งแต่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“เดี๋ยวเราคงต้องไปอาบน้ำกันก่อนนะ
ฉันน่ะไม่ค่อยถือหรอก แต่แค่อายนิดๆ เวลาคนอื่นมองมาแบบแปลกๆ…”
ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เฮสเทียก็ทราบเรื่องมาบ้างแล้วและรู้สึกอับอายเช่นกัน
หลังจากนอนเล่นกันต่ออีกหน่อย ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ห้องอาบน้ำโดยเลือกใช้บ่อเดียวกัน
เฮสเทียสะดุ้งโหยงเมื่อร่างกายส่วนล่างต้องเจอกับน้ำร้อนๆ ทว่าเธอก็ยังส่ายหัวปฏิเสธการรักษาจากวาห์นเหมือนเดิม
ถึงจะไม่ได้เกรี้ยวกราดแบบเมื่อคืน แต่น้ำเสียงของเธอนั้นฟังดูจริงจังมาก
“ฉันอยากสัมผัสกับทุกๆ อย่างเลย… มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงธรรมดาที่อุทิศทุกอย่างให้กับคนรัก…”
จากนั้นวาห์นก็ช่วยชำระล้างร่างกายของเธอท่ามกลางบรรยากาศสีชมพู
เฮสเทียไม่ได้มีท่าทางเกาะแกะแบบตอนก่อนๆ แล้วและเอาแต่เพลิดเพลินไปกับความเอาใจใส่ระดับพรีเมี่ยม
พออาบกันเสร็จ เธอก็กลับไปที่ห้องเพื่อนอนต่อ ส่วนวาห์นนั้นเดินไปที่ลานฝึกหลังคฤหาสน์
มิลานกับทีน่านั้นมาถึงลานฝึกก่อนแล้ว แต่หลังจากนี้พวกเธอจะต้องเดินทางกลับไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ โดยมีริวและฟาฟเนียร์เป็นคนคอยคุ้มกัน
ทั้งสองยังมีห้องอยู่ในหอพักหญิงของร้านและมักจะทำงานในช่วงกะบ่ายเป็นประจำ
ที่จริงมิลานกับทีน่าไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นแล้วก็ได้ แต่บางครั้งมันก็ทำให้ทั้งสองหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านต่างๆ แถมบรรยากาศของร้านก็เป็นกันเองมากเลย สุดท้ายวาห์นจึงปล่อยให้พวกเธอทำตามใจชอบไปก่อน
หากไม่นับซีล ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนมีเลเวลตั้งแต่ 3 จนถึง 6 แถมก็ยังมีลูกค้าประจำส่วนใหญ่ที่ดูน่าเชื่อถือและพร้อมยื่นมือเข้าช่วยตลอด
เนื่องจากวาห์นไม่ต้องฝึกตามเมนูที่ริวเป็นคนจัดการ เขาเลยออกมาอยู่ด้านข้างและเริ่มฝึกในแบบของตัวเอง
จุดประสงค์ของการฝึกนั้นคือการพัฒนาและปรับปรุงสกิลต่างๆ รวมไปถึงเวทมนตร์และทักษะติดตัว เนื่องจากการเพิ่มค่าสถานะโดยปราศจากเอ็กซีเลียนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
(TL: เตือนความจำ – จะคิดว่าเอ็กซีเลียคือค่าประสบการณ์หรือ Exp ที่ได้จากมอนสเตอร์ก็ได้ครับ)
มันยังเป็นโอกาศดีที่จะได้ฝึกสู้กับคนอื่นและพัฒนาประสาทการรับรู้ต่างๆ ไปด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือมิโคโตะที่กำลังฝึกอยู่ด้านข้างคนเดียว
เธอมักจะถือดาบคาตานะในท่าร่างที่ดูมั่นคงขณะปรับลมหายใจและเข้าสู่สมาธิขั้นสูง
ทันทีที่รู้สึกว่าสมาธิขึ้นสู่จุดสูงสุด เธอก็จะโจมตีออกมาอย่างรวดเร็วและผ่าเสาไม้ที่อยู่ด้านหน้าออกเป็นสองเสี่ยง
วาห์นคิดว่ามันเป็นวิชาที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก แต่กว่ามิโคโตะจะทำสมาธิได้ก็กินเวลานาน แถมบ้างครั้งสมาธิของเธอก็ดันมาแตกเอาตอนโจมตีอีก
ดูแล้วเธอน่าจะฝึกแบบนี้มานานมากๆ แต่ทำไมถึงยังเกิด ‘ความลังเล’ ตอนตวัดดาบอยู่อีกล่ะ?
วาห์นเริ่มนึกอยากจะพัฒนาวิชาดาบของตัวเองขึ้นมานิดๆ หลังจากดูเธอฝึกอยู่นานสองนาน
ถึงจะไม่มีเทคนิคหรือวิธีทำสมาธิแบบมิโคโตะ แต่สกิล [นักดาบ] ของวาห์นก็อยู่ในระดับ A และสามารถนำไปปรับใช้ในการต่อสู้จริงได้
เพราะใช้สัญชาตญาณบวกกับสกิลแฝงมาตลอด วาห์นเลยไม่มีเพลงดาบประจำตัวอยู่เลย
ส่วนการฝึกของสึบากินั้นก็เน้นหนักไปที่เรื่อง ‘ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์’ หรือก็คือไปเสริมไอ้ที่พูดมาเมื่อกี้นั่นแหละ
การพัฒนาวิชาดาบนั้นจำเป็นต้องใช้พรสวรรค์เป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสีย
ในกรณีที่ต้องสู้กับศัตรูบางประเภท วิชาดาบอาจทำให้การต่อสู้ดูไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
วาห์นอยากให้มิโคโตะฝึกโดยการต่อสู้จริงมากกว่าการฝึกด้วย ‘ทฤษฎี’ แบบนี้ เพราะนอกจากจะมีช่องโหว่แล้วการโจมตีของเธอก็ดูอ่านออกได้ง่ายมาก
อาจเป็นการเทียบแบบไม่ยุติธรรมนัก แต่วาห์นมองว่าการรำดาบของสึบากินั้นคือ ‘คลื่นที่โหมกระหน่ำเรื่อยๆ’ ส่วนของมิโคโตะคือ ‘ความแม่นยำที่ปราศจากความยืดหยุ่น’
ต้องไม่ลืมว่าสึบากินั้นเป็นนักผจญภัยเลเวล 5 ที่มากด้วยประสบการณ์ ในขณะที่มิโคโตะเป็นแค่นักผจญภัยเลเวล 2 อายุน้อย
ร่างกายในวัย 14 ปีคงจะเอาไปเทียบกับร่างกายวัย 36 ปีไม่ได้… แต่เดี๋ยวก่อนสิ
เพราะทีโอน่า ทีโอเน่ และไอส์นั้นแข็งแกร่งกว่ามิโคโตะมาก วาห์นเลยต้องคิดเรื่องนี้ใหม่และสรุปออกมาว่า ‘อายุ’ นั้นไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ความแข็งแกร่ง’
หลังจากมองต่ออีกหน่อย วาห์นก็ดึงคาตานะเล่มใหญ่ที่เคยซื้อไว้นานแล้วออกมา
เพราะมีพลังโจมตีที่ต่ำมาก เขาจึงไม่เคยนำมันออกมาใช้สู้จริงเลยสักครั้ง
หากเพ่งสมาธิแบบจริงจัง เขาก็จะมองเห็นมวลกล้ามเนื้อที่มิโคโตะใช้ได้อย่างชัดเจน การเลียนแบบท่าร่างจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ
จากนั้นเขาก็ลองเลียนแบบการหายใจและพบว่ามันช่วยทำให้จิตใจสงบขึ้นได้จริงๆ
วาห์นพยายามเลียนแบบต่อไปอีกและพบว่ามีบางจุดที่ควรได้รับการแก้ไข
อย่างแรกเลยก็คือนี่เป็นท่าที่ไม่รองรับการเคลื่อนไหวไปด้านข้าง เพราะเขาต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้าซ้าย ส่วนเท้าขวาที่อยู่ด้านหลังจะทำหน้าที่เป็นแกนหมุน
นี่เป็นท่าที่ควรนำมาใช้สู้กับนักดาบด้วยกัน แต่ไม่เหมาะกับการต่อสู้แบบอื่นๆ เลย
นั่นนำมันมาสู่จุดอ่อนที่สอง ซึ่งก็คือไม่เหมาะที่จะใช้โจมตีก่อน แต่จะออกไปทางแนวโจมตีสวนกลับซะมากกว่า
จริงอยู่ที่เพลงดาบนี้มีพลังโจมตีที่รุนแรงมาก แต่ถ้าไม่เปลี่ยนตำแหน่งของเท้าเสียก่อน เขาก็จะโจมตีต่อเนื่องไม่ได้เลย
หากคู่ต่อสู้มีความเร็วมากกว่า การเคลื่อนไหวนี้ก็จะเป็นช่องโหว่ที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ทันที
ตอนแรกวาห์นก็ไม่ได้สังเกต แต่เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่ามิโคโตะนั้นเก็บดาบเข้าฝักไปแล้วและกำลังเฝ้ามองมาทางนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
วาห์นเริ่มหายใจช้าๆ หลายครั้ง แต่แทนที่จะใช้สองมือถือคาตานะไว้ด้านหน้า เขากลับใช้ท่าร่างแบบหลวมๆ ขณะลดปลายดาบลงจนเกือบติดพื้น
เขาเปลี่ยนการทิ้งน้ำหนักของเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปเป็นแบบเฉลี่ยให้เท่ากันแทน
ด้วยการเอียงตัวเล็กน้อย วาห์นสามารถเปลี่ยนให้เท้าข้างใดเป็นแกนหมุนแทนก็ได้ และหลังจากทำจนคล่องแล้ว เขาก็เคลื่อนที่เข้าไปหาเสาไม้ต้นหนึ่ง
เพราะวาห์นพุ่งแบบ ‘ตัวไปก่อนดาบ’ มันก็เลยดูเหมือนมีช่องว่างเต็มไปหมด แต่ในกรณีนี้ เขาสามารถเปลี่ยนทิศทางเมื่อไหร่ก็ได้หากจำเป็น
วาห์นปรับน้ำหนักอีกครั้งโดยพิงตัวไปกับไหล่ในขณะที่มีตัวดาบตามมาติดๆ
เขาปล่อยให้ปลายดาบขยับอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ในมือขวา ก่อนจะนำมันออกมาข้างหน้าโดยทำมุมกับพื้น
วาห์นใช้หัวไหล่เป็นตัวควบคุมแรงหมุนขณะวาดมันออกไปด้านหน้า
แรงจากหัวไหล่พุ่งผ่านต้นแขน ข้อศอก ไปจนถึงข้อมือที่รออยู่ และเป็นจังหวะเดียวกับที่เสาไม้ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
หลังจากเก็บดาบกลับเข้าช่้องเก็บของ วาห์นก็พยักหน้าไปทางมิโคโตะและพูดเรียบๆ
“การโจมตีควรจะไล่ลื่นเหมือนน้ำหรือไม่ก็เป็นอิสระเหมือนกับสายลม
ถ้าเน้นฝึกการเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ ตลอด เธอก็จะไม่สามารถปรับตัวตามศัตรูที่เร็วกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าได้ทัน
ในดันเจี้ยนยังมีมอนสเตอร์อีกหลายชนิดที่มีความทนทานและพลังกำลังมหาศาล
พวกมันคงไม่รอให้เธอปรับตัวได้ก่อนหรือใช้วิชาจนครบกระบวนท่าหรอก…”
มิโคโตะโค้งต่ำทันทีที่วาห์นพูดจบ
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะค่ะ!”
ท่าทางจริงจังนั้นทำให้วาหน์ส่ายหัวและพูดต่อ
“ดาบจะเคลื่อนไหวไม่ได้หากไม่มีนักดาบ
ถ้านักดาบเถรตรงจนเกินไป ความเถรตรงนั่นก็จะส่งผลกับเพลงดาบที่ใช้ด้วย…”
วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนำดาบออกมาชูขึ้นฟ้าราวกับไม่ได้จดจ่อเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
เขาปรับน้ำหนักอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] และหายไปจากตรงนั้น
มิโคโตะมองการเคลื่อนไหวของวาห์นด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่คนอื่นเองก็เริ่มมองมาทางนี้แล้ว
หลังจากที่วาห์นโจมตีออกไปอีก 8 ครั้ง เขาก็เก็บดาบก่อนจะหันไปมองทุกคนแบบยิ้มๆ
เขาเริ่มลงไปนั่งสมาธิอย่างสงบ ทั้งๆ ที่ในใจกลับรู้สึกดีมากที่ได้โชว์ความเทพออกมาให้ทุกคนได้เห็น… นานๆ ทีก็ขอสักทีละกัน
การโจมตีของวาห์นนั้นดูน่าประทับใจจริงๆ ทว่าสิ่งที่มิโคโตะติดใจมากที่สุดกลับเป็นเสาไม้ที่วาห์นโจมตีเมื่อกี้นี้
ดูผิวเผินมันก็ยังอยู่ดี แต่พอมิโคโตะเอามือไปแตะ… มันก็ขาดออกทันที
หากเทียบกับการโจมตีของเธอซึ่งมีรอยตัดที่ใหญ่และไม่เรียบเนียนเท่า รอยตัดของวาห์นนั้นดูแม่นยำและไร้ความ ‘ลังเล’ ใดๆ ทั้งสิ้น
มิโคโตะไม่เคยวัดพลังกับวาห์นมาก่อน แต่ตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นยังมีทักษะ วิชา และสมาธิที่เหนือกว่าตนเองอยู่หลายขุม
เรื่องที่แย่ที่สุดก็คือ มิโคโตะตามการเคลื่อนไหวและท่าทางของวาห์นได้ทัน… อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้วิชา ‘หายตัว’ น่ะนะ
นั่นหมายความว่าการโจมตีในช่วงแรกของวาห์นนั้นไม่ได้ของที่อยู่เหนือความสามารถหรือค่าสถานะของเธอเลย… จะทำตามก็ทำได้ แต่ทำไมเธอถึงไม่เคยคิดพัฒนาหรือปรับปรุงมันมาก่อนเลยล่ะ?
หลังจากที่ทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียกลับกันไปแล้ว วาห์นก็แนะนำมิโคโตะกับฮารุฮิเมะให้มิลาน ริว และทีน่าได้รู้จัก
เพราะเป็นถึงรองกัปตันและพี่ใหญ่ของแฟมิเลีย ริวจึงให้การต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดี ส่วนทีน่านั้นออกจะรู้สึกขัดๆ เนื่องจากมีผู้หญิงมาอยู่ล้อมรอบวาห์นเพิ่มอีกถึง 2 คน
มิลานดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไรนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอรู้สึกเป็นห่วงเพรเซียซึ่งบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
วาห์นไปตรวจร่างกายให้เธออีกครั้งและสรุปออกมาว่าเพรเซียแค่รู้สึกเหนื่อยมากเท่านั้นเอง หนทางแก้ก็คือปล่อยให้นอนต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
เฟนเรียร์ก็เป็นอีกคนที่รู้สึกห่วงเพรเซียมาก วาห์นจึงปล่อยให้เธอเป็นคนดูแลหญิงสาวต่อ
มิลานนั้นคอยช่วยอยู่ห่างๆ โดยใช้เวลาที่เหลือไปกับการสอนคู่แฝดเรื่องงานบ้านงานเรือนรวมถึงการทำอาหารหลากหลายเมนู
เอมิรุกับมาเอมิเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาก่อน ทักษะการทำอาหารของพวกเธอจึงไม่หลากหลายเท่าไหร่นัก อย่างมากก็แค่ปรุงรสและย่างเนื้อด้วยเครื่องเทศที่้เตรียมขึ้นมาเอง
ทีน่านั้นหันไปพูดคุยกับฮารุฮิเมะและมิโคโตะเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอดีตของทั้งสอง เธอรู้แค่ว่าวาห์นออกไปตามหาฮารุฮิเมะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินสาเหตุและที่มาที่ไปทั้งหมด
ไม่นานความขัดแย้งในใจของเด็กสาวก็มลายหายไปพร้อมกับที่เธอตัดสินใจว่าจะเป็นเพื่อนกับฮารุฮิเมะแทน
ในขณะนั้นเอง วาห์นได้ปลีกตัวออกมายืนอยู่บนระเบียงที่สูงที่สุดของตัวคฤหาสน์และเฝ้ามองบริเวณรอบๆ ด้วยสายตาครุ่นคิด
ริวเองก็มายืนอยู่ด้วยเพราะพวกเขาอยากลองหาวิธีจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลียแบบพึ่งพากลุ่มพันธมิตรให้น้อยที่สุด
ตอนนี้โลกิเริ่มระดมกำลังพลบางส่วนแล้ว แถมเธอยังส่งสารไปทางทีมสำรวจให้รีบกลับมาโดยเร็วที่สุดอีกด้วย
ตอนนี้เฮสเทียกำลังเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อส่งข้อความผ่านทางเครือข่ายและอ่านสมุดบันทึกเพื่อดูว่ามีข่าวอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า
อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็นแม้เวลาจะล่วงเลยมาจนถึงตอนบ่ายแล้ว ลมที่พัดผ่านระเบียงนั้นสามารถกัดผิวคนทั่วไปได้สบายๆ เลย
แม้ตัวเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่วาห์นสังเกตเห็นออร่าอันสั่นไหวของริวก็เลยเข้าใจว่าเธอคงรู้สึกหนาว
เขาถอนหายใจออกมาเป็นก้อนไอขนาดใหญ่ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เธอ
“ถ้าหนาวก็เข้าไปข้างในก่อนได้นะ ริว” พูดเสร็จวาห์นก็ยื่นเสื้อคลุมขนสัตว์แบบหนาพิเศษให้
ริวรับและสวมมันพร้อมรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
วาห์นเห็นว่าหูของเธอกลายเป็นสีแดงที่ไม่ได้เกิดจากความเขินแต่เป็นเพราะอากาศหนาวเย็นนี่แหละ
เขาจึงเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ก่อนจะยื่นมือออกไปปิดหูเรียวยาวนั่นไว้
สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือมันเย็นมากจริงๆ ซะด้วย วาห์นยิ้มเมื่อเห็นออร่าของริวสว่างขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ติดสีแดงจางๆ
ทั้งสองยืนแบบนั้นต่อไปอีกสักพักโดยไม่พูดอะไรกันจนกระทั่งสีหน้าของเอลฟ์สาวดูดีขึ้น
เพราะมีเพียงคนรักหรือสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถจับหูของเผ่าเอลฟ์ได้ ริวเลยรู้สึกร้อนวูบวาบมากเป็นเท่าตัว
แต่ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นสัมผัสมัน แถมตอนอาบน้ำด้วยกันนั้นเธอก็เผยทุกอย่างแบบหมดเปลือกไปแล้วด้วย
เพราะได้ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้ว ริวเลยเพลิดเพลินกับความอบอุ่นขณะจ้องมองดวงตาสีน้ำทะเลของวาห์น
หลังจากที่สมองเลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่าน วาห์นก็ใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ผสานกับพลังเขตแดนเพื่อทำให้บรรยากาศอบอุ่นไปทั่วทั้งระเบียง
พอเห็นแบบนั้นริวจึงหัวเราะและเอ่ยถามแบบติดตลก
“นี่นายลืมเหรอว่าทำแบบนี้ได้?”
คราวนี้วาห์นเป็นฝ่ายหน้าขึ้นสีบ้างขณะค่อยๆ ลดมือลง
เขาจดจ่อไปกับเรื่องของอิชทาร์แฟมิเลียเพียงอย่างเดียวจนกระทั่งเห็นออร่าของเธอเนี่ยแหละ
ริวเอียงหัวเล็กน้อยขณะถามต่อ
“วาห์น นายชอบนอนหนุนตักหรือเปล่า?”
วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
ในหมู่กิจกรรมที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายนั้น การได้นอนตักถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เลย แถมพอเจอแบบนั้นเข้าไปก็เป็นต้องหลับทุกที ถ้าบอกว่าไม่ชอบก็คงหลอกตัวเองแล้วล่ะ
ริวพยักหน้าราวกับกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็ถอดเสื้อคลุมออกและกางมันไว้บนพื้น
ถึงวาห์นจะอุ่นอากาศโดยรอบไปแล้ว แต่พื้นหินของระเบียงก็ยังกัดผิวได้อยู่ดี
หลังจากที่เห็นเธอนั่งลง วาห์นก็รู้ทันทีว่าต้องทำยังไงต่อและรีบลงไปนั่งข้างๆ ริว
เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะกระชับชายเสื้อด้านหน้าและพยักหน้าให้
วาห์นไม่อิดออดและพิงหัวลงไปบนตักทันที
ริวเริ่มลูบหัววาห์นอย่างเอ็นดูซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เฮสเทียทำ ต้นขาของเธออาจจะนิ่มสู้เทพตัวเล็กไม่ได้ แต่วาห์นคิดว่าสัมผัสยืดหยุ่นจากกล้ามเนื้อที่มีอยู่เล็ฏน้อยนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เขาไม่ได้หลับแต่แค่หลับตาและเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่ทั้งสองมีร่วมกัน…
แต่แล้วเฮสเทียก็ขึ้นมาที่ระเบียงและเห็นภาพนี้พอดี ดวงตาของสองสาวจ้องประสานราวกับกำลังหยั่งเชิงกันเล็กน้อย
สิ่งแรกที่เฮสเทียรู้สึกคือความอิจฉา แต่พอนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาในห้องนอน เธอก็ต้องดับมันลง
ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะปล่อยให้ทั้งสองอยู่แบบนี้ต่อไปดีหรือเปล่า วาห์นก็ลืมตาตื่นขึ้นและหันมาหาเพราะเขาสัมผัสถึงเธอได้
ริวเองก็จัดเสื้อผ้าจนเข้าที่ก่อนจะยืนขึ้นและพับเสื้อคลุมที่ใช้รองนั่งขึ้นมาถือไว้
เฮสเทียรู้สึกอึดอัดหน่อยๆ เพราะนึกว่าตัวเองเป็นคนทำลายบรรยากาศ แต่รอยยิ้มของวาห์นก็ทำให้เธอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทั้งสามเดินกลับเข้าไปด้านในที่อุ่นกว่าและทิ้งระเบียงอันเงียบเหงาเอาไว้ข้างหลัง
—
ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์อย่างวาห์นนั้นย่อมต้องมีของดีพกติดตัวไว้อยู่แล้ว เขานำโซฟายาวออกมาตั้งไว้ทันทีที่เข้ามาข้างใน
ริวนั่งโดยรักษาระห่างจากวาห์นเล็กน้อยและยิ้มให้กับเฮสเทียเพื่อเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ’
เฮสเทียค่อนข้างหนักใจเพราะจากเรื่องเมื่อกี้ก็ทีนึงแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจที่ริวมอบให้ เธอจึงยอมแต่โดยดีและขึ้นไปนั่งบนตักของวาห์น
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแบบนั้น ส่วนวาห์นเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะน้ำหนักของเฮสทียนั้นเบาหยองจนเรียกได้ว่าผิดธรรมชาติ
จากการตรวจสอบด้วย [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] ทำให้วาห์นเชื่อว่าร่างกายของเฮสเทียประกอบไปด้วยคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่ทำให้เธอนุ่มและเบากว่าพวกสาวๆ หรือเทพธิดาคนอื่นๆ
พอนั่งจนได้ที่แล้วเฮสเทียจึงเริ่มอธิบาย
“เรื่องที่นายให้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้าทาสผิดกฎหมายน่ะ ทางกิลด์กำลังสืบสวนต่ออยู่นะ
พวกเขากำลังตามล่ารายชื่อของผู้ประกอบการ ลูกค้า รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้”
วาห์นพยักหน้าเข้าใจและอยากถามเรื่องเจ้านายคนก่อนของเพรเซีย ทว่าเฮสเทียก็ยังคงพูดต่อไปอีก
“ฉันคุยเรื่องอิชทาร์กับเฮเฟสตัสและโลกิแล้ว โลกิบอกว่าเธอวางแผนที่จะท้าอิชทาร์แฟมิเลียแข่งวอร์เกมเพื่อไม่ให้ทางนั้นท้วงเรื่องที่เราลักพาตัวฮารุฮิเมะมา
ที่จริงฉันก็ไม่อยากบอกโลกิเท่าไหร่หรอกนะ แต่เฮเฟสตัสไม่อยากให้เรามีความลับต่อกัน นั่นรวมถึงข้อมูลเรื่องสกิลของฮารุฮิเมะด้วย
เพราะสุดท้ายเราก็คงได้ไปสำรวจดันเจี้ยนกับโลกิแฟมิเลียอยู่ดี
ทางนั้นก็ย้ำมาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้ถึงที่สุด หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะหมดช่วงที่เราโดนลงโทษ”
วาห์นเองก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะปกป้องฮารุฮิเมะจนกว่าเธอจะแข็งแกร่งกว่านี้เอง เรื่องนี้คนมีคนช่วยอยู่แล้วล่ะ…”
วาห์นหันไปยิ้มให้รับริวที่ยิ้มตอบและพยักหน้ากลับมา เฮสเทียกำลังพิงแผงอกของเขาอยู่ เธอก็เลยพลาดชอตเมื่อกี้นี้ไปและเริ่มพูดต่อ
“ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่านายไม่ควรออกไปนอกคฤหาสน์นับตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงงานเดนาตัสครั้งหน้า
ส่วนเรื่องที่เฟนเรียร์อยากออกไปล่ามอนสเตอร์ ฉันว่าถ้าให้เธอคอยดูแลเพรเซียไปเรื่อยๆ ก็น่าจะทดแทนตรงส่วนนั้นได้
ปล่อยให้โลกิจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลีย ทางเราก็คอยคุ้มครองสมาชิกกับคนในคฤหาสน์
ส่วนนาย… ไปหาเวลาพักจริงๆ จังๆ ซะบ้าง เพราะอีกเดี๋ยวก็คงมีเรื่องมาถามหาเองและ ไม่ต้องออกไปหามันให้เหนื่อยหรอก…”
ในช่วงท้ายนั้นเฮสเทียแหงนหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับเขาโดยตรง
มันคือสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง และแม้แต่ริวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ผู้หญิงทุกคนที่รายล้อมวาห์น รวมไปถึงเอวาจากในลูกแก้วต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘พักบ้างเถิด’
หากไม่ติดเรื่องช่วยฮารุฮิเมะเสียก่อน วาห์นก็คงทำตามนั้นอยู่แล้ว… จริงๆ นะ
ตอนนี้เรนาร์ดสาวอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว ตราบใดที่วาห์นไม่ประมาทเรื่องความปลอดภัยในคฤหาสน์ ทุกอย่างก็น่าจะโอเค
ถึงฝั่งนั้นจะมีหน่วยลอบโจมตี แต่ก็คงไม่อาจหนีจมูกของเฟนเรียร์หรือพลังเขตแดนของวาห์นพ้นอยู่ดี
วาห์นบีบมือของเฮสเทียเพื่อแสดงว่าเขาไม่ขัดข้องแต่อย่างใด
“เป็นแบบนั้นก็ดี… ฉันอาจฝึกวิชาบ้างนิดหน่อย แต่เวลาส่วนใหญ่คงเอาไปทุ่มให้งานอดิเรกแทน
ฉันอยากลองสร้างเครือข่ายของพวกผู้ชายดู หรือบางทีอาจจะเอาเวลาไปศึกษาเรื่องอื่นๆ…”
คำพูดของนั่นทำให้เฮสเทียถอนหายใจเล็กน้อยเนื่องจาก ‘การพักผ่อน’ ที่วาห์นสาธยายออกมานั้นดูไม่ค่อยเหมือนการพักผ่อนเลย
ถ้าเธอกับคนอื่นๆ ไม่เล่นไม้แข็ง เขาก็คงกลับไปทำเรื่องหนักๆ และทุ่มเทไปกับมันแทน
อย่างน้อยความคิดที่จะหาเพื่อนผู้ชายนี่ก็ยังพอผ่าน แถมเป็นเรื่องที่ทางเครือข่ายพูดถึงอยู่พอดี
เฮเฟสตัสกับเอน่าอยากให้วาห์นคุยกับผู้ชายคนอื่นดูบ้าง เขาจะได้แยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงออก
ด้วยนิสัยส่วนตัวของวาห์น เป็นเรื่องยากที่เขาจะมี ‘เพื่อนผู้หญิงจริงๆ’ เพราะต่างได้รับการปรนนิบัติและเอาใจใส่เป็นอย่างดี… ดีจนเกินเพื่อน
พอไม่มีการรักษาระยะห่างระหว่างกัน ความสัมพันธ์ของวาห์นกับพวกผู้หญิงก็เลยพัฒนาและเบ่งบานจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้
พวกเธอหวังว่าวาห์นจะได้เฮฮากับผู้ชายด้วยกันบ้าง ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ชาย-หญิงที่ไม่ใช่ของตัวเอง ต่อไปเขาจะได้ไม่โดนผู้หญิงจูงจมูกเอาง่ายๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไปเสียหมด หรืออย่างน้อยก็ไม่คิดว่ามันจะดีเท่ากับที่เฮเฟสตัสและเอน่าหวังไว้
เฮสเทียถือว่าตัวเองเป็นพวก ‘ไม่ฝักฝ่ายใด’ แต่ครั้งนี้เธอค่อนข้างเห็นด้วยกับซีลและสาวๆ จากเจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม
วาห์นมีเพื่อนผู้ชายนั้นนับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าสนิทกันจนขอเข้าร่วมแฟมิเลียด้วยคงจะไม่ดีแน่
เป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นโรคกลัวผู้ชาย การจะให้มาอยู่บ้านหลังเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ซีลยังหยิบยกสถานการณ์แปลกๆ อย่างเช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากชายคนอื่นรู้สึกอิจฉาและเริ่มเข้าหาผู้หญิงในเครือข่าย?
ถ้าความรู้สึกนั้นได้รับการตอบรับก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นแล้วมันเกิดลุกลามไปกันใหญ่ล่ะ?
ความสามัคคีในกลุ่มจะเกิดการแตกหักทันที และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือวาห์นนั่นเอง
แม้แต่เอน่าก็ค้านหรือรับประกันเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเธอรู้ดีว่าสถานการณ์ของหลายๆ คนนั้นเป็นแบบไหน
ทุกคนดูเข้มแข็งและใจกล้าขึ้นเมื่ออยู่กับวาห์นไปนานๆ แต่ถ้าเพิ่มผู้ชายคนอื่นเข้าไปในนั้นล่ะ?
พอวาห์นพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เฮสเทียก็เลยถามต่อ
“เพื่อนผู้ชายที่ว่านี่ใครบ้างเหรอ? นายคิดไว้หรือยัง?”
เขาเพิ่งไตร่ตรองเมื่อไม่นานมานี้ก็เลยตอบได้ทันที
“โอวกะก็ดูเป็นคนดีนะ แรงผลักดันเพื่อพัฒนาฝีมือของหมอนั่นไม่ธรรมดาเลย…
ทาเคมิคาสึจิอาจจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้แย่ไปหมด…
ส่วนเวลฟ์ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว เดี๋ยวคงได้ทำงานวิจัยด้วยกันบ้างล่ะ…
แกเร็ธน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะอีกเดี๋ยวฉันก็จะได้เป็นพ่อคนเหมือนกันแล้ว…”
(TL: แกเร็ธมีครอบครัวแล้วครับ)
เฮสเทียนั่งฟังและพยายามวิเคราะห์ตามชื่อที่วาห์นพูดออกมา
เธอรู้สึกวิตกนิดๆ เมื่อได้ยินชื่อของทาเคมิคาสึจิ เพราะหมอนี่ชอบหว่านเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติและพูดจีบหญิงไปเรื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก
แค่นี้ก็น่าจะสรุปได้เลยว่า ‘ไม่ผ่าน’ แต่อีกใจหนึ่ง เฮสเทียก็หวังลึกๆ ว่าทาเคมิคาสึจิอาจจะช่วยดึงผู้หญิงบางส่วนออกไปจากชีวิตของวาห์นได้บ้าง
ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘ก๊อง’ ดังขึ้นในใจเมื่อวาห์นพูดถึงแกเร็ธและเรื่องที่จะเป็นพ่อคนในอนาคต
ริวเองก็เบิกตากว้างเช่นกันแม้จะรู้เรื่องที่เฮเฟสตัสท้องไปแล้ว
ตอนนี้สภาพร่างกายของเธอยังดูเหมือนปกติ แต่เฮเฟสตัสได้ขอให้เทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่พอเชื่อใจได้เข้าตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าเทพสาวไม่เชื่อคำพูดของวาห์น แต่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากเสียจนเธออยากได้ความเห็นที่สองจากเทพด้วยกันเอง ซึ่งผลตรวจก็เป็นที่น่าพึงพอใจมาก
การได้ยินเรื่องนี้จากปากของวาห์นเองนั้นส่งผลต่อริวมากยิ่งกว่าตอนรู้รอบแรกเสียอีก
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาว การมีลูกนั้นเปรียบเสมือนเรื่องที่อยู่ไกลตัวมาตลอด แต่พอจินตนาการภาพที่วาห์นกลายเป็นพ่อของลูกตัวเอง…
เฮสเทียยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเพราะเริ่มตระหนักแล้วว่าสภาพจิตใจของวาห์นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือจากวัยรุ่นไปเป็นคุณพ่อมือใหม่
บางอย่างกำลังบอกเธอว่าโอกาสใกล้ชิดกำลังหดเล็กลงหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เธอย้ำกับตัวเองว่าจะไปพบกับเฮเฟสตัสให้บ่อยกว่านี้ และถึงจะไม่ชอบขี้หน้า ‘อดีตคู่กัด’ มากแค่ไหน การไปปรึกษาโลกิก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
ส่วนเรื่องแกเร็ธนั้น เธอรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นสมาชิกของโลกิแฟมิเลียแต่ก็ไม่เจอกันมาก่อน
นี่เป็นอีกเรื่องที่ควรเอาไปให้โลกิวิเคราะห์ว่าเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีของวาห์นได้หรือเปล่า
อย่างน้อยวาห์นก็เริ่มคิดเรื่องผ่อนคลายบ้างแล้ว ตอนนี้ถึงตาที่เธอต้องเริ่ม ‘ทำงานหนัก’ เพื่ออนาคตของตัวเองบ้างล่ะ
ยิ่งคิดเฮสเทียก็ยิ่งตื่นเต้นไปกับเรื่องที่อยากทำกับวาห์นนับต่อจากนี้…
หลังจากเฮสเทียสงบลงแล้ว เธอก็มานั่งอยู่หลังวาห์นและเฝ้าดูเขาใช้สกิล [พรแห่งอิกดราซิล] เพื่อเลียนแบบความสามารถในการอ่านค่าสถานะ
เขาหยดเลือดของตัวเองลงบนแผ่นหลังของฮารุฮิเมะ และแม้จะรู้อยู่แล้ว แต่เฮสเทียก็ต้องประหลาดใจที่เห็นตราสัญลักษณ์เปล่งแสงให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง
เธอสังเกตเห็นว่ามันดูต่างจากพลังที่ตนและเทพคนอื่นๆ ใช้อยู่บ้าง
ลวดลายกับอักษรที่ปรากฏขึ้นมานั้นมีจำนวนและความซับซ้อนมากกว่าซึ่งแม้แต่เธอเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงจะอ่านมันแทบไม่ออก แต่เฮสเทียก็ยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่วาห์นพูดนั้นเป็นความจริง
เธอนึกอยากจะให้เขาไล่ตรวจสอบพวกสาวๆ แต่ละคนขึ้นมาตะหงิดๆ… แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ
ฮารุฮิเมะขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่กำลังหลับตาอยู่ ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกเจ็บปวด แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกสับสนกับตัวเองเหลือเกิน
แม้จะนึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นโรคกลัวผู้ชาย แต่คราวนี้มันกลับไม่แสดงอาการออกมาเลย ที่จริงแล้วมันออกจะเป็นความรู้สึกที่ดีปนหวั่นไหวนิดๆ ด้วยซ้ำ
ฮารุฮิเมะรู้สึกสับสนต่อไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 5 นาทีก่อนที่วาห์นจะดึงสติของเธอกลับมา
“ขอบใจมากนะฮารุฮิเมะ จัดเสื้อผ้าได้แล้วล่ะ”
ฮารุฮิเมะดึงชุดกิโมโนสีแดงของเธอขึ้นก่อนจะจัดโอบิจนเข้าที่ท่ามกลางเสียงถอนหายใจเบาๆ
อย่างที่วาห์นคาดการณ์ไว้ ค่าสถานะของฮารุฮิเมะนั้นมีบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ ด้วย
ที่จริงแล้วมันออกจะน่าเหลือเชื่อมากจนเขารู้สึกสมเพชอิชทาร์เพราะเธอคงไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรือใช้ประโยชน์จากมันได้อีกต่อไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเธอเก็บฮารุฮิเมะไว้เพราะสกิลเวทมนตร์ 2 อย่างซึ่งก็ไม่ต่างไปจากที่เฮสเทียเห็น ทว่าเด็กสาวคนนี้กลับซ่อนบางอย่างที่ดีกว่านั้นเยอะ
ตอนนี้วาห์นเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของตัวละครที่เกี่ยวพันกับเนื้อเรื่องเดิมขึ้นมาบ้างแล้ว บอกได้เลยว่าเขาอยากตามไปตรวจสอบค่าสถานะของไอส์ซะเดี๋ยวนั้นเลย…
———————————————————————————–
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ
เผ่าพันธุ์: เรนาร์ด
เลเวล 1
พลังโจมตี: I11
ความอดทน: I28
ความแม่นยำ: I12
ความว่องไว: I30
พลังเวท: F367
สกิล: [อินาริ: สกิลแฝง(ถูกผนึก)] (A/N: วาห์นไม่ได้บันทึกรายการที่ถูกผนึกนะครับ ดังนั้นตรงส่วนนี้เฮสเทียจะมองไม่เห็น)
เวทมนตร์: [อูจิเดะ โนะ โคซูจิ: B], [โคโคโนเอะ: D]
สกิลที่กำลังพัฒนา: [ธิดาเทพแห่งจันทรา: สกิลแฝง(ถูกผนึก)] (A/N: วาห์นไม่ได้บันทึกรายการที่ถูกผนึกนะครับ ดังนั้นตรงส่วนนี้เฮสเทียจะมองไม่เห็น)
[อูจิเดะ โนะ โคซูจิ]
ระดับ: B
เวทมนตร์เพิ่มเลเวลสำหรับเป้าหมายเดียว ต้องรอตามเวลาที่กำหนดจึงจะร่ายใหม่ได้อีกครั้ง ไม่สามารถใช้กับตัวผู้ร่ายเองได้ เสริมค่าสถานะทั้งหมดของเป้าหมายเป็นจำนวน 30% ของยอดรวมค่าสถานะทั้งหมด
บทร่าย: จงเติบโตขึ้น พลังและกายา อณูแห่งความมั่งคั่งและความปรารถนา จนกว่ากาลเวลาจะเคลื่อนผ่าน จงนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์และภาพมายา จงเติบโตขึ้น จงนำพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาสู่กายเนื้อนี้ จงนำพาแสงสีทองจากเบื้องบน ลงสู่ค้อนแห่งโลกา นำมาซึ่งโชคลาภอันประเสริฐแด่ตัวเจ้า จงเติบโตขึ้น
(TL: ‘อูจิเดะ โนะ โคซูจิ’ คือค้อนนำพาโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นครับ)
[โคโคโนเอะ]
ระดับ: D
เวทมนตร์เสริมพลังพิเศษที่สามารถสร้างหางให้กับผู้ใช้ได้มากถึง 9 หาง จำนวนหางที่สร้างได้จริงจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของตัวผู้ใช้เอง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือผลของเวทมนตร์ที่ใช้ตามจำนวนหางที่สร้างขึ้น (จำนวนหางที่สร้างได้ในปัจจุบัน: 4)
บทร่าย: โคโคโนเอะ หิมะอันเป็นที่รัก สีเลือดอันเป็นที่รัก แสงสีขาวอันเป็นที่รัก ขอให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้า – ความรักที่พบเจอท่ามกลางสองพันราตรี นามของข้าคือจิ้งจอกแสนกล อดีตผู้ทำลายล้าง นามของข้าคือบทบรรเลงโบราณ อดีตผู้ใฝ่ฝัน สำหรับเจ้าผู้สยายปีกดั่งปักษา ข้าขอนำพาวิญญาณทั้งเก้าเข้าสู่กายา เสียงสะท้อน บทเพลงทองคำ บทกวีอันศักดิ์สิทธิ์ของทามาโมะ ใบหน้าขาวนวล ขนทองอร่าม ราชันเก้าหาง โอ หางแห่งอสูร กลืนกินทุกชีวิต ให้พรแด่ทุกสรรพสิ่ง (ร่ายเวทที่ต้องการเสริมคุณสมบัติ) – จงเต้นระบำ!
———————————————————————————–
มันต่างไปจากของลิลลี่ที่เป็นซัพพอร์ตเตอร์ในมังงะ ฮารุฮิเมะนั้นมีสกิลแฝงถึง 2 สกิลด้วยกัน
หากดูตามชื่อที่ระบุ วาห์นเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์สนับสนุนบางแขนง
เรื่องต่อไปก็คือค่าพลังเวทที่สูงจนผิดปกติทั้งๆ ที่ฮารุฮิเมะไม่เคยออกไปล่ามอนสเตอร์มาก่อน ตรงส่วนนี้น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากสกิลแฝงเช่นกัน
เขารู้ว่าสกิลแฝงนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวบางคนมาตั้งแต่เกิด ทว่าการปลดผนึกมันออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้
แน่นอนว่าวาห์นไม่ได้มองข้ามเรื่องเวทมนตร์พิเศษของเธอเช่นกัน และเขาก็เพิ่งมานึกได้ทีหลังว่ามันเหมาะกับตัวเองมากขนาดไหน
ค่าสถานะของวาห์นนั้นสูงเกินเลเวลปัจจุบันอยู่แล้ว หากเพิ่มเวทมนตร์ของฮารุฮิเมะเข้าไปอีก เขาก็จะมีพลังใกล้เคียงกับนักผจญภัยเลเวล 4 ขั้นปลาย
พอรวมเรื่องสกิลแฝง อาวุธ เครื่องป้องกัน และอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปด้วย การต่อสู้แบบสูสีกับพวกเลเวล 6 ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป…
หลังจากอธิบายสกิลต่างๆ ให้ทั้งสองฟัง เฮสเทียก็รู้สึกช็อคมากจนต้องกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองบันทึกไว้อีกครั้ง
กระดานค่าสถานะของเธอนั้นระบุไว้แค่ชื่อเวทมนตร์ แต่ของวาห์นกลับมีข้อมูลและบทร่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย
ดูจากสีหน้าในตอนแรกของวาห์นแล้ว มันคงมีอะไรมากกว่านั้นอยู่อีก
การที่เขาไม่พูดมันออกมาน่าจะเพื่อประโยชน์ของตัวฮารุฮิเมะเอง ดังนั้นเฮสเทียจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ถามทีหลัง
แม้จะรู้เรื่อง [โคโคโนเอะ] อยู่แล้ว แต่ฮารุฮิเมะก็รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ยินเรื่องเวทมนตร์อีกบท
ไอช่าเป็นคนบอกเรื่องนี้ให้ฮารุฮิเมะทราบมาบ้าง แต่เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันพิเศษมากแค่ไหน
นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีใครพูดหรือสอนอะไรเธออีกเลย อย่างมากก็มีคนมาให้ความรู้ในเรื่องของการเป็น ‘สาวบริการฝึกหัดที่ดี’ เท่านั้นเอง
พอรู้แบบนี้แล้วไฟในใจของเธอก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองต้องเป็นประโยชน์แก่วาห์นและเฮสเทียแฟมิเลียในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เธออาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องเวทมนตร์สนับสนุนล่ะก็สบายหายห่วง
ฮารุฮิเมะกำหมัดเล็กน้อยและพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
“รู้แล้วค่ะว่าตอนนี้ฉันอยากทำหน้าที่อะไร!
ฉันอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทสนับสนุนและเรียนรู้เวทมนตร์ฟื้นฟูกับเสริมพลังเพิ่มเติมค่ะ~!”
วาห์นที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดีก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
งานนี้เฮสเทียเองก็แย้งอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะศักยภาพและสกิลของฮารุฮิเมะนั้นเหมาะสมกับหน้าที่นี้จริงๆ
หากฮารุฮิเมะฝึกและพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เธอก็จะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกอันดับต้นๆ ของแฟมิเลียได้อย่างแน่นอน
วาห์นยื่นมือออกไปลูบหัวของฮารุฮิเมะอย่างเอ็นดูโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องแต่อย่างใด มีแต่เฮสเทียที่แหละดูอึดอัดเล็กน้อย
เธออยากปกป้องวาห์นและพวกเด็กๆ ทุกคนที่จะมาเข้าร่วมแฟมิเลียในอนาคต ดังนั้นเรื่องที่จะผลักไสไล่ส่งฮารุฮิเมะออกไปนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
จิ้งจอกสาวไม่ใช่คนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้และย่อมไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน ทางเดียวที่ทำได้ก็คือลดทิฐิของตัวเองลง ประนีประนอม และอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข
หลังจากคิดได้แบบนั้นแล้ว เฮสเทียก็ถอนหายใจและจัดสีหน้าของตัวเองใหม่
“เวทมนตร์ของเธอดูเหลือเชื่อมากเลยนะฮารุฮิเมะ ฉันดีใจที่เราได้เธอมาอยู่ด้วย
เมื้อกี้ฉันแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป ต้องขอโทษจริงๆ นะ… ฉันต้องขอโทษนายอีกคนนะวาห์น
ฉันรู้แล้วว่าบางทีตัวเองก็รู้สึกอิจฉาไม่เข้าเรื่องไปหน่อย…”
ฮารุฮิเมะยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะโค้งคำนับให้กับเฮสเทีย
“ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้ท่านเฮสเทียลำบากใจนะคะ
ฉันรู้ว่าท่านคงเป็นห่วงวาห์นมาก และขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะแย่งเขาไปจากท่านหรือคนอื่นๆ เลย… เรามาร่วมมือกันและสนิทกันไว้จะเป็นการดีที่สุดค่ะ”
ฮารุฮิเมะนั้นพูดจาและใช้ท่าทางที่สุภาพมากแม้ว่าอีกฝ่ายจะกำลังขอโทษเธออยู่ก็ตาม
วาห์นพยักหน้าเล็กน้อยและคิดว่านี่เป็นพฤติกรรมที่น่ายกย่องมาก พอหันไปหาเฮสเทีย เขาก็ยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าทุกคนดีกันแล้ว ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะเสริม
ที่จริงฉันกลัวว่าต่อไปเธอจะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนี้หรอกนะเฮสเทีย”
เฮสเทียถอนหายใจแรงๆ ขณะหันข้างมาหาเขาแบบเอาเรื่อง
“กล้ามากนะที่พูดเรื่อง ‘งานยุ่ง’ กับคนอื่น คุณกัปตันควรห่วงตัวเองก่อนที่กว่าไหม~!?
(พึมพำ) ช่วงนี้ก็ไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด…”
ช่วงประโยคหลังนั้นเฮสเทียพูดเสียงเบามากจนแม้แต่วาห์นเองก็ฟังไม่ทัน แต่แน่นอนว่าหูจิ้งจอกของฮารุฮิเมะนั้นไม่ได้มีไว้ประดับหัวเล่นๆ
เธอเดินเข้ามาหาเทพธิดาของตัวเองและกระซิบข้างหูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านเฮสเทียคะ เรื่องนี้ฉันอาจพอช่วยได้ค่ะ… จริงอยู่ที่ตัวฉันเองก็มีประสบการณ์ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็เคยได้รับการศึกษาเกี่ยวกับ… เรื่องบางเรื่องมาบ้างแล้วนะคะ”
ตาของเฮสเทียพลันเบิกกว้างก่อนจะหันขวับไปหาฮารุฮิเมะและลากเรนาร์ดสาวกลับไปคุยต่อที่ห้องของตัวเองเป็นการด่วน
เพื่อป้องกันไม่ให้วาห์นถามอะไรต่อ เฮสเทียก็ตะโกนข้ามไหล่กลับมา
“ไปใช้เวลาอยู่กับเฟนเรียร์และคนอื่นๆ ซะบ้างไป~!
อีกเดี๋ยวที่นี่คงมีคนแวะมาเพียบเลย ไปบอกและให้พวกเธอเตรียมตัวรับแขกไว้ด้วย นายจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยทีหลัง!”
ขณะที่พวกเธอก้าวเข้าไปในห้องนอนฝั่งตรงข้าม ฮารุฮิเมะก็หันกลับมามองวาห์นด้วยประกายตาที่ทำให้เขารู้สึกยังไงๆ ชอบกล
เขาตัดสินใจทำตาม ‘คำแนะนำ’ ของเฮสเทียและเดินลงไปชั้นล่างจนกระทั่งมาถึงห้องที่พวกเธอใช้เรียนหนังสือกันอยู่
หนึ่งในข้อดีของการจับสัมผัสและออร่าของคนอื่นได้ก็คือการที่เขาไม่ต้องออกตามหาใครสักคนแบบห้องต่อห้องนี่แหละ
วาห์นเห็นว่าเฟนเรียร์นั้นนั่งถัดจากเพรเซียขณะกำลังอ่านหนังสือสำหรับเด็กให้เธอฟังไปด้วย
พวกคู่แฝดเองก็กำลังง่วนอยู่กับการจดจำตัวอักษรต่างๆ จนวาห์นต้องอมยิ้ม
หลังจากเห็นว่าใครเข้ามา มาเอมิก็วางตำราลงขณะยืนขึ้นและโค้งคำนับพร้อมกับเอมิรุ จากนั้นก็ตามมาด้วยการพูดแบบคูณสอง
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ นายท่าน” x2
วาห์นยักไหล่และเริ่มอธิบาย
“ไม่ต้องเรียกฉันแบบนั้นหรอก แค่วาห์นเฉยๆ ก็พอแล้ว
เรียกแบบนี้แล้วฉันรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ… เฮ้อ เอาเป็นว่าเรียกกัปตันแทนก็ได้มั้ง?”
สองสาวหันไปสบตากันเองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กันและเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง
“ท่านวาห์นคะ” x2
แววตาของทั้งคู่ทำให้เขายิ้มแบบปลงๆ ก่อนจะเดินมาหยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะแทน
‘สองคนนี้จัดการลำบากแฮะ แถมทำอะไรก็เป็นแบบคูณสองอีก แบบนี้ต้องเหนื่อยสองเท่าเลยสิเรา…’
วาห์นยกหนังสือภาพขึ้นมาดูและเห็นว่าว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษที่ช่วยเจ้าหญิงให้รอดพ้นจากมังกร (TL: เชร็คมั้ง ^0^)
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจก็คือการที่สีผมของตัวเอกนั้นเกือบจะมีสีเดียวกับเส้นผมของเขาเอง (TL: ไม่ใช่เชร็คละ)
“วาห์นอ่านให้เราฟัง!?” เฟนเรียร์รู้สึกตื่นเต้นและถามขึ้นทันที
ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร เฟนเรียร์ก็ตบไหล่ของเพรเซียซึ่งทำให้เธอยืนขึ้น
วาห์นรู้สึกกังวลกับวิธีสื่อสารของทั้งคู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่พร้อมกับนำหมอนรองนั่ง 4 ใบออกมาวางไว้ด้านหน้าแบบพร้อมสรรพ
เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นเมื่อเพรเซียลงมานั่งตรงด้านหน้าของวาห์นโดยไม่สนใจหมอนเลยแม้แต่น้อย
‘หืม?’
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยถาม เพรเซียก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาข้างหน้าจนวาห์นต้องรีบลุกขึ้นมาจับมันไว้ด้วยมือซ้าย
“เพรเซีย… เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นอีกแล้วนะ… เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ…”
ราวกับอ่านใจออกว่าวาห์นต้องการอะไร สองฝาแฝดเดินมาดึงตัวเพรเซียออกเบาๆ และจัดให้เธอนั่งลงกับหมอนแทน
เฟนเรียร์เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เด็กสาวเปลี่ยนมานั่งกอดเพรเซียจากด้านหลังพลางลูบหัวปลอบไปด้วย
“โอ๋ๆ เป็นเด็กดีนะ ไม่ดื้อไม่ซน….”
หลังจากโดนพาตัวออกมา ดวงตาสีเทาซีดของเพรเซียก็ยังคงจับจ้องมาที่วาห์นอย่างเหม่อลอย…
เพราะวาห์นไม่ได้ใช้ [จิตแห่งราชัน] อยู่ในขณะนั้น เขาเลยรู้สึก ‘แย่’ แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
มันเป็นความรู้สึกวิตกกังวลที่ผสมผสานกับความเกลียดชังขั้นรุนแรงจนเขาต้องกัดฟันแน่น
หากไม่นับตอนที่ไปพบมิลานในสภาพดูไม่ได้แล้ว นี่คงเป็นครั้งที่วาห์นรู้สึกโกรธมากที่สุด
ตอนนี้เขาไม่ได้พยายามระงับหรือใช้สกิลเพื่อหยุดมันไว้แต่อย่างใด วาห์นปล่อยให้อารมณ์แง่ลบของตัวเองโลดแล่นได้อย่างเต็มที่จนพวกสาวๆ เริ่มแสดงสีหน้าเป็นห่วง
เฟนเรียร์ดูเหมือนจะโดนผลกระทบเข้าไปเต็มๆ จนดวงตาเริ่มฉายแสงสีแดงสด แต่เธอก็พยายามหยุดมันไว้โดยเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับเพรเซียแทน
แต่พอจะหยุดก็หยุดมันเองไม่ได้ วาห์นจึงเริ่มขยายพลังเขตแดนเพื่อสงบจิตใจลงขณะนั่งพักโดยยกมือขึ้นมาปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้
วาห์นในตอนนี้นั้นปรารถนาเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือชื่อของปีศาจที่เคยทำร้ายเพรเซีย
เขาอยากให้มันได้ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ และอย่างน้อยๆ เรื่องนี้ก็อาจทำให้อาการของเด็กสาวดีขึ้นมาบ้าง
วาห์นนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนเราสามารถทำเรื่องแบบนี้ลงคอได้ยังไงกัน…
ในขณะที่ตัวเองกำลังหัวเสียแบบสุดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เป็นเสียงพูดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน…
วาห์นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เสียงนั่นทำให้จิตใจของเขาแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อยจนต้องเงี่ยหูฟังต่อไป
ผ่านไปอีกหลายวินาที วาห์นก็ได้ยินเสียงนั่นอีกครั้งก่อนจะเงยดวงตาที่เปียกชื้นขึ้นมามองเด็กสาวตรงหน้า
สามสาวที่เหลือต่างปิดปากเงียบสนิทในขณะที่เพรเซียพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“คุณ… ร้องไห้… เพื่อฉันเหรอ?”