Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 298

ตอนที่ 298

วาห์นขอเวลาทุกคนเล็กน้อยเพื่อที่เขาจะได้อธิบายและทดสอบสกิลใหม่ให้ดูกันเป็นขวัญตา

แน่นอนว่าเขาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฮารุฮิเมะก่อนที่เฟนเรียร์จะโดดเข้ามาร่วงวงด้วย

วาห์นประทับตราลงบนหัวไหล่ของเด็กสาว นั่นทำให้ตรารูปฮารุฮิเมะที่ฝ่ามือจางหายไป นี่เป็นการยืนยันว่าตราประทับจะใช้ได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นตามที่ระบุอยู่ในระบบ

เพื่อเป็นการทดสอบเพิ่มเติม วาห์นพยายามประทับตราบนฝ่ามือของพรีเซีย แต่ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดูเหมือน ‘เป้าหมาย’ อาจจะต้องเป็นสมาชิกแฟมิเลียเดียวกัน แต่นั่นก็ทำให้พรีเซียอยากเข้าร่วมแฟมิเลียในฐานะหน่วยสนับสนุนซะเดี๋ยวนั้นเลย

วาห์นพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดก่อน แต่งหญิงสาวก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกไปหาเฮสเทียที่ชั้นบนพร้อมกับเฟนเรียร์ทันที

กัปตันของเฮสเทียแฟมิเลียได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะโดนสมาชิกคนอื่นๆ (ยกเว้นริว) เกลี้ยกล่อมให้ประทับตาที่ตัวเองดูบ้าง

หลักๆ ก็คือพวกเธออยากเป็นตราประทับรูปหน้าตัวเองบ้าง แค่นั้นเลย…

พอเสร็จธุระแล้ว วาห์นก็ออกไปหาอาคิและพบว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้องของเฮสเทียพร้อมกับพวกพรีเซีย

เขาเคาะประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปแล้วก็ต้องนิ่งค้างเมื่อสายตาทั้งสี่หันมาจ้อง

วาห์นค่อยๆ เดินถอยหลังกลับก่อนจะปิดประตูตามหลังพลางนึกด่าตัวเองในใจ

ดูเหมือนว่าพรีเซียคงคิดเรื่องนี้ดีแล้ว และเขาก็เข้าไปตอนที่เธอกำลังถอดเสื้อเพื่อทำพิธีพอดี

หลังจากรอยืนอยู่พักหนึ่ง อาคิก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“พรีเซียบอกว่าถ้านายอยากดู เธอก็ไม่ติดอะไรหรอกนะ”

วาห์นหัวเราะปนถอนหายใจโล่งอกก่อนจะตอบกลับ

“ที่จริงฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอน่ะ เหตุการณ์คราวนี้… ฉันอยากรู้ว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า?”

อาคิพยักหน้าพลางพิงกำแพงก่อนจะเริ่มอธิบาย

“ก็… มีเรื่องนึงนะ ไม่นานมานี้พวกเราพบกลุ่มชาวอเมซอนที่กำลังเข้าใกล้ตัวคฤหาสน์ แต่ทีมรักษาความปลอดภัยรอบๆ ก็เข้ามาขวางไว้ก่อน

ถึงตราสัญลักษณ์จะไม่ทำงานแล้ว แต่พวกเธอก็ยังถือว่าเป็นคนของอิชทาร์แฟมิเลียอยู่ดี

ทีมที่เข้าสกัดเลยคุมตัวพวกเธอเพื่อสอบปากคำเพิ่ม

ผู้นำกลุ่มที่ชื่อไอช่า เบลก้า บอกว่ารู้จักกับนายและฮารุฮิเมะด้วย

พอเสร็จพิธีข้างในแล้วฉันก็ตั้งใจว่าจะเดินไปบอกนายนี่แหละ เรื่องนี้นายคงต้องออกไปดูเองว่าจะเอายังไงต่อ”

มาถึงตรงนี้วาห์นก็กำลังพิงกำแพงข้างๆ อาคิพลางทำหน้าคิดหนัก แต่ทำไปทำมาเขาก็เริ่มไหลลงไปนั่งกับพื้นแทน

อาคิจ้องมองชายหนุ่มแบบยิ้มๆ ก่อนจะลงมานั่งข้างๆ แบบไหล่ชิดกัน

หญิงสาวทำท่าเหมือนกับรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่

“…อยากให้ฉันส่งพวกเธอกลับไปหรือเปล่า?”

วาห์นรีบส่ายหัวก่อนจะอธิบาย

“ไม่ต้องหรอก เธอคนนั้นพูดความจริง… ไอช่าเป็นคนที่คอยปกป้องฮารุฮิเมะก่อนที่ฉันจะช่วยเธอออกมา

เราคุยกันไม่มาก แต่ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้เธออยู่เหมือนกัน และฮารุฮิเมะเองคงอยากออกไปพบเธอด้วย

เธออุดอู้อยู่แต่ในคฤหาสน์มาพักใหญ่ๆ แล้วนี่นะ…”

หูของอันนาคิตตี้กระตุกนิดๆ และเอียงไปมาด้วยความสับสน

“แล้วทำไมนายต้องทำหน้าคิดหนักด้วยล่ะ?”

จากนั้นเธอก็หัวเราะดังขึ้นพลางหรี่ตาเล็กน้อย

“นายกลัวว่าพวกเธอจะพากันมาขอเข้าเฮสเทียแฟมิเลียล่ะสิ อืมมม เห็นว่าในนั้นมีเลเวล 3 อยู่ตั้งหลายคนเลย… แบบนี้แฟมิเลียของเราคงเก่งกว่าเดิมมาก…

นี่ๆ รู้ใช่ไหมว่าต่อให้พวกเธอมาอยู่ด้วย นายก็ไม่จำเป็นต้องไปจีบหรือเข้าหาจนครบทุกคนสักหน่อย~?”

วาห์นได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายเหตุการณ์ตอนได้เจอไอช่าครั้งแรกในย่านโคมแดง

เขารู้สึกกังวลจริงๆ เพราะชาวอเมซอนนั้นเป็นพวกที่จริงจังและหัวแข็งมาก โดยเฉพาะกับเรื่องความปรารถนาของตัวเอง

เหตุการณ์ที่วาห์นกลัวสุดๆ ก็คือถ้าไอช่าเอาเขาไปโฆษณาให้พรรคพวกฟังอีกต่อ… นี่เฮสเทียแฟมิเลียคงจะไม่ระเบิดตามอิชทาร์แฟมิเลียไปใช่ไหม?

ถ้าเกิดเขามีลูกกับทีโอน่าขึ้นมา จากนั้นก็ไปประชัญกับคาลี (Tl:เทพธิดาของชนเผ่าอเมซอน) โดยที่ฝั่งตัวเองยังมีสมาชิกชาวอเมซอนอีกเป็นขโยง มันจะไม่เละเทะวุ่นวายกว่าเดิมใช่ไหม?

อาคิพยายามคิดตามสิ่งที่วาห์นพูดก่อนจะถามต่อ

“วาห์น ในอนาคตนายอยากให้แฟมิเลียของเรามีพลังมากกว่านี้หรือเปล่า?”

วาห์นแหงนหน้ามองเพดานก่อนจะตอบกลับ

“อยากสิ ฉันอยากให้พวกเรามีพลังมากกว่านี้… แต่ก็อยากเพิ่มพลังให้กลุ่มพันธมิตรไปพร้อมๆ กันด้วย ไม่ใช่ว่าจะโฟกัสมาที่พวกเราฝ่ายเดียว…”

พอพูดออกมาแบบนี้แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของวาห์น แต่แน่นอนว่าอาคินั้นเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่แรกแล้ว

“งั้นวิธีแก้ก็ง่ายมาก นายก็ให้พวกเธอเข้าร่วมกับแฟมิเลียที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรแทนสิ

เพราะเรื่องคราวนี้เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้นการที่กลุ่มพันธมิตรจะเก็บตกสมาชิกที่เหลือรอดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แล้วเราก็ไม่ได้ละเมิดบทลงโทษที่ทางกิลด์กำหนดไว้ด้วย

นายรู้ไหมว่าขนาดแฟมิเลียที่เน้นเรื่องนักสู้เลเวลสูงๆ อย่างเฟรย่าแฟมิเลียยังมีสมาชิกตั้งพันกว่าคน ต่อไปนายก็น่าจะมีโอกาสได้สร้างปาร์ตี้ระดับสูงแบบเดียวกับโลกิแฟมิเลียด้วย… ฉันถึงบอกแต่แรกไงว่าไม่ควรเอาเรื่องฐานที่มั่นกับที่พักอาศัยมาปนกัน”

วาห์นพยักหน้าเห็นด้วยกับอาคิ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี

สิ่งที่อาคิเล่าทำให้วาห์นตระหนักว่าการรับพวกไอช่ามาเพิ่มอาจจะไม่ได้แย่แบบที่คิดไว้ เพราะอย่างน้อยๆ พลังต่อสู้โดยรวมของแฟมิเลียก็จะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

มันยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ขยายการบริหารจัดการงานของแฟมิเลียและเริ่มสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตอีกด้วย

ตอนนี้เรื่องสัดส่วนชาย/หญิงในเฮสเทียแฟมิเลียนั้นมันไม่มีอยู่จริง เรื่องนี้วาห์นคิดว่าคงต้องรอให้มีผู้ชายเข้ามาสมัครเพิ่มในอนาคต แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยตามที่อาคิเสนอเสียก่อน

ชาวอเมซอนที่ไอช่าพามาด้วยน่าจะเป็นพวก ‘ประสบการณ์ช่ำชอง’ ดังนั้นการเชื้อเชิญให้ผู้ชายมาเข้าแฟมิเลียน่าจะไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าเรื่อง ‘ธุรกิจขายบริการ’ นั้นเลิกคิดไปได้เลย

ข้อเสียนอกเหนือจากสิ่งที่วาห์นคิดไว้ในตอนแรกก็คือ สมาชิกของเฮสเทียแฟมิเลียจะอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ มากขึ้นเรื่อยๆ…

วาห์นส่ายหัวแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นและส่งมือให้กับอาคิ

“เดี๋ยวฉันจะออกไปพบพวกเธอดูก่อนละกัน เรื่องนี้คงต้องขอคำปรึกษาจากเฮเฟสตัสและโลกิด้วย… บางทีพวกไอช่าอาจจะไม่อยากเข้าสังกัดแฟมิเลียก็ได้นะ”

อาคิยิ้มอย่างสุภาพก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องเพื่อนำคัมภีร์ติดตัวไปด้วยก่อนจะออกไปพร้อมกับวาห์น

หลังจากบอกเรื่องนี้ให้ฮารุฮิเมะทราบ ทั้งสามและมิโคโตะก็เดินทางไปยังที่ที่พวกไอช่าโดนกักตัวอยู่

เพราะมีหน่วยข่าวกรองและเก็บข้อมูลที่แข็งแกร็งที่สุด โลกิแฟมิเลียจึงเป็นพวกแรกที่ทราบข่าวและส่งทีมเข้ามาสกัดไอช่า

ที่น่าตลกก็คือหัวหน้าทีมดังกล่าวนั้นมีเลเวลน้อยกว่าไอช่าเสียอีก

เพราะไม่ได้คิดจะสู้ตั้งแต่แรก กลุ่มของไอช่าจึงยอมแพ้ทันที ขนาดอาวุธยังไม่ได้พกกันมาสักชิ้นเลย

พวกเธอกำลังถูกคุมตัวอยู่ที่โกดังใกล้เคียงซึ่งถูกใช้เป็นฐานชั่วคราวของกองกำลังรักษาความปลอดภัย

ครั้งนี้แม้แต่ทางกิลด์เองก็ส่งตัวแทนมาเช่นกัน วาห์นก็เลยต้องตอบคำถามสามสี่ข้อก่อนจะถูกพาไปยังห้องที่ไอช่าถูกคุมตัวอยู่

พอเข้ามาในห้อง วาห์นก็เห็นไอช่าในสภาพที่ถูกใส่กุญแจมือ ส่วนตามเสื้อผ้าและร่างกายนั้นดูเปรอะเปื้อนเล็กน้อย

ดูเหมือนจะไม่มีใครแอบเข้ามาทำร้ายเธอ แต่นี่ก็เป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เช่นกัน

เพราะอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าที่บางและน้อยชิ้นอยู่แล้ว วาห์นก็เลยยิ่งรู้สึกสงสารเข้าไปใหญ่

เขารีบเข้าไปทำลายกุญแจมือโดยไม่สนใจคำทัดทานจากตัวแทนกิลด์เลยแม้แต่น้อย

ตัวแทนสาวโดน [จิตแห่งราชัน] กดจนตัวเกือบแบนติดพื้น ไม่นานเธอก็รีบขอตัวออกไปก่อน

ไอช่าถูข้อมือไปมาและเริ่มยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นฮารุฮิเมะ (น้ำตาซึม) ที่ยืนอยู่ข้างหลังวาห์น

เธอลุกจากโต๊ะและพูดขึ้น

“วาห์น เมสัน… นี่ฉันติดหนี้นายอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?

ดีใจที่ได้เจอเธออีกนะ หนูน้อยฮารุฮิเมะ

‘วีรบุรุษ’ หนุ่มน้อยคนนี้ดูแลเธอดีหรือ_เปล่าล่ะ?”

ฮารุฮิเมะกุมมือไว้บนหน้าอกตัวเองก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมีความสุข

“ดีมากเลยค่ะ~! แต่ถ้าไม่ได้คุณไอช่าคอยช่วย ฉันก็คงจะไม่ได้อยู่ถึงตอนนี้ เพราะชีวิตตัวเองก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้… ขอบคุณมากเลยนะคะ!”

มิโคโตะที่ยืนข้างฮารุฮิเมะเองก็ก้มหัวลงต่ำและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าฉันติดหนี้คุณอย่างใหญ่หลวง

ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยปกป้องเพื่อนของฉันมาตลอด ฉัน ยามาโตะ มิโคโตะ สักวันจะต้องตอบแทนหนี้ครั้งนี้อย่างแน่นอน!”

ไอช่ายิ้มให้กับทั้งสองก่อนจะหันไปพูดกับมิโคโตะ

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกนะยัยหนู… เพราะฉันเองก็ติดหนี้หนุ่มน้อยคนนี้ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

เพราะตอนนั้นได้เขามาช่วยคลายมนตร์สะกด ฉันก็เลยมีโอกาสช่วยเหลือพี่น้องออกมาได้ตั้งมากมาย

สมาชิกที่ฉันพามาด้วยส่วนใหญ่ก็เป็นพวกฝีมือดีที่อยากใช้ชีวิตในเมืองต่อ ส่วนพวกที่เหลือก็มีเหตุผลของตัวเอง

ไม่มีใครติดหนี้ฉันหรอก… ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายใช้คืนให้”

วาห์นนึกอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ แต่เขาก็ซ่อนมันไว้ภายใต้รอยยิ้มขณะฟังสองสาว ‘ใช้หนี้’ กันไปมา

เขาบอกได้เลยว่าไอช่าคงอยากเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียเพราะฮารุฮิเมะเองก็อยู่ที่นี่ด้วย

พอเธอเข้ามาแล้ว พรรคพวกบางคนก็คงอยากตามมาเช่นกัน

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้เสนอเรื่องนี้ออกมา อาคิที่กำลังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเครือข่าย (คอยจดเหตุการณ์ทุกอย่างลงคัมภีร์) ก็ยืนขึ้นและเริ่มใช้รอยยิ้มแบบพวกนักธุรกิจ

“คืองี้นะคุณไอช่า เมื่อกี้ฉันได้คุยกับท่านโลกิเรียบร้อยแล้ว

ถ้าหากว่าคุณกำลังคิดเรื่องของพรรคพวกที่พาออกมา ฉันว่าเราน่าจะหาทางออกที่ทุกฝ่ายพึงพอใจได้อย่างแน่นอน”

ไอช่าหันไปหาหญิงสาวมนุษย์แมวด้วยสีหน้าสงสัย อาคิเลยยิ้มกว้างและเริ่มอธิบายต่อ

“สวัสดีค่ะ ฉันอันนาคิตตี้ ออทั่ม เป็นนายกองของเฮสเทียแฟมิเลียและผู้ช่วยส่วนตัวของวาห์นที่คอยจัดการเรื่องอะไรแบบนี้”

เรื่องตำแหน่งนายกองนั้นทุกคนรู้กันดี แต่ไอ้ผู้ช่วยส่วนตัวนี่… แม้แต่วาห์นเองก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ

เขาเลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดปฏิเสธออามา นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายฉายแววตาหยอกเย้าเล็กน้อย

อาคิหันกลับไปหาไอช่าและเริ่มพูดต่อ

“ต่อไปคุณจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น แต่ตอนนี้คงบอกได้แค่ว่าเฮสเทียแฟมิเลียกำลังถูกเพ่งเล็งอย่างหนัก

คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะให้อดีตสมาชิกของอิชทาร์แฟมิเลียมาเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียในตอนนี้ เพราะยังไงแฟมิเลียของเราก็เพิ่งจะมีเรื่องกันไป

ถึงเฟรย่าแฟมิเลียจะเป็นฝ่ายที่ชิงลงมือ แต่ผู้คนบางส่วนก็ตีความไปแล้วว่าเราน่ะเป็นพวกเดียวกัน

แบบนั้นก็เท่ากับว่าวาห์นได้ส่งเทพธิดากลับสวรรค์ไป 2 องค์แล้ว นี่เลยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก

ที่จริงการรับคุณกับพรรคพวกบางส่วนเข้ามานั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตัวเลือกที่ดีกว่าก็คือให้คุณกระจายคนเข้าไปในแฟมิเลียของกลุ่มพันธมิตรแทน

ถ้าหากว่าเราพาทุกคนเข้าเฮสเทียแฟมิเลีย สมาชิกก็อาจจะเกิดการแบ่งแยกกัน เพราะพวกที่เข้ามาใหม่มีจำนวนมากกว่าสมาชิกเดิมหลายเท่า เรื่องความแข็งแกร่งเองก็เหมือนกัน”

—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

เรื่องนี้วาห์นยังไม่ได้ออกความเห็น แต่เอาจริงๆ เขาก็คิดว่ามันฟังดูไม่เลวนัก

อาคิคงปรึกษากับทุกคนในเครือข่ายดีแล้ว ไม่งั้นเธอคงไม่มาอธิบายเยอะขนาดนี้หรอก

เขาเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยิ้มอย่างจริงใจและพูดเสริมบ้าง

“ตอนนี้เฮสเทียแฟมิเลียต้องคอยรบกวนคนอื่นบ่อยๆ น่ะ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ของทางเรายังเป็นเลเวล 1 กันอยู่เลย

พวกเธอเพิ่งจะเริ่มฝึกได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวก็คงได้ลงดันเจี้ยนกันแล้ว แต่ยังไงหนทางก็ยังอีกยาวไกล

ถ้าเกิดว่าตอนนี้มีกลุ่มนักผจญภัยระดับสูงเข้ามาอยู่ด้วย ความมานะของพวกเธอก็อาจจะลดน้อยลงกว่าเดิม

เพราะส่วนใหญ่อยากจะขึ้นเป็นนักผจญภัยชั้นแนวหน้า ฉันเลยไม่อยากเห็นพวกเธอเปลี่ยนมาเป็นหน่วยสนับสนุนเพียงเพราะว่ามีสมาชิกใหม่ที่เก่งกว่าเข้ามากันเยอะ”

ไอช่ามองวาห์นกับอาคิสลับกันไปมาก่อนที่เธอจะเริ่มยิ้มบ้าง

“เหหหหห~? เหตุผลแบบนั้นฉันว่ามันก็เหมาะสมแล้วล่ะ…แต่รู้สึกเหมือนมันจะมีอย่างอื่นด้วยนี่สิ~?”

ไอช่าเริ่มเปลี่ยนไปใช้สีหน้ายั่วยวน จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาหาวาห์นจนอาคิกับฮารุฮิเมะเริ่มมีปฏิกิริยาแปลกๆ

อาคินั้นยังคงรักษารอยยิ้มไว้แบบเดิม แต่เธอก็เขยิบเข้ามาขวางทางเดินของไอช่าแบบเงียบๆ ในขณะที่ฮารุฮิเมะนั้นเข้ามาใกล้วาห์นมากที่สุดพร้อมกับจับแขนเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้

“คุณไอช่าคะ…”

ไอช่าไม่ได้เดินถอยออกแต่กลับหยุดยืนอยู่ตรงนั้นและเริ่มหัวเราจนน้ำตาเล็ด

หญิงสาวไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสถานการณ์ตรงหน้ามันดูน่าขันจริงๆ

เธอใช้มือลูบปุ่มกางเกงที่เอาไว้ปลดช่วงล่างขณะมองวาห์นที่เริ่มกัดฟันเล็กน้อยเพราะเผลอนึกถึงตอนที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก

ไอช่าผ่อนลมหายใจร้อนผ่าวขณะมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล

“เห้ออ ฉันเองก็อยากลองดูสักครั้งนะ… แต่ก็ไม่อยากไปเหยียบเท้าพวกเด็กๆ ของนายเข้า หนี้ครั้งนี้ขอติดนายไว้ก่อนละกัน แต่ในอนาคตฉันจะต้องได้ ‘ใช้คืน’ แน่ ตกลงนะวาห์น~?”

หลังจากหยอกล้อกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ลงมานั่งที่โต๊ะและเริ่มคุยเกี่ยวกับรายละเอียดที่อาคิเสนอ

สรุปคร่าวๆ ก็คือกำลังคนส่วนใหญ่จะไปเข้าร่วมกับเฮเฟสตัสแฟมิเลีย เพราะทางนั้นยังต้องการนักสู้จำนวนมาก

ส่วนไอช่ากับพวกที่เหลือนั้นจะไปเข้ากับโลกิแฟมิเลียและกลายเป็นส่วนหนึ่งของปาร์ตี้ที่สองและสาม

ไอช่าจะเข้าไปในฐานะนายกองคนใหม่ของปาร์ตี้ที่สามซึ่งเป็นกลุ่มที่มีชาวอเมซอนเข้าร่วมมากที่สุด

ในกลุ่มที่ไอช่าพาไปด้วยนั้น วาห์นยังเห็นว่ามีหญิงสาวหน้าอ่อนคนหนึ่งรวมอยู่ ซึ่งเขาได้รู้จากฮารุฮิเมะทีหลังว่าชื่อของเธอคือเลน่า แทลลี่ นั่นเอง

ที่น่าประหลาดสุดๆ ก็คือเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเบตและการที่เธอติดตามไอช่าไปด้วยนั้นก็เพราะว่าอยากใกล้ชิดเขาให้มากกว่าเดิม

วาห์นนั้นคิดว่าเบตเป็นพวกหลงตัวเองและขี้รำคาญมาโดยตลอด พอเห็นว่ามีหญิงสาวร่าเริงพยายามเข้าหาชายหนุ่ม เขาก็เลยรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน

เรื่องนี้วาห์นก็รู้ไม่ละเอียดมากนัก แต่ดูเหมือนทั้งสองจะหลับนอนด้วยกันหลายต่อหลายครั้งแล้วและฝ่ายหญิงก็พยายามอย่างหนักที่จะทำให้ฝ่ายชายยอมรับตนเองในฐานะคนรักแทนที่จะเป็นแค่สาวบริการ

เธอเองก็เป็นอีกคนที่โดนมนตร์เสน่ห์ของอิชทาร์เข้าเล่นงาน วาห์นก็เลยรู้สึกเห็นใจและอยากช่วยให้ทั้งคู่ลงเอยกันอย่างมีความสุข

หลังจากที่กลุ่มของไอช่าแยกย้ายกันออกไปแล้ว วาห์นก็รู้สึกโล่งอกมากเพราะมันไม่ได้กลายมาเป็นเรื่องหนักใจแบบที่คิดไว้

เขาอยากเร่งพัฒนาสมาชิกปัจจุบันให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องที่บอกไอช่าไปนั้นก็ล้วนแต่เป็นความจริง

เพราะมีทั้งระบบ [อัพเกรด] และสกิล [ครูฝึก] วาห์นเลยอยากรู้จริงๆ ว่าตัวเองจะช่วยส่งเสริมพวกสาวๆ ได้มากน้อยแค่ไหน

เขายังต้องไปลองทดสอบผลของ [ตราประทับของผู้ท้าชิง] เพื่อดูให้แน่ใจว่ามันจะแก้ปัญหาเรื่องการเติบโตของตัวเองได้หรือเปล่า

การลงดันเจี้ยนในช่วงชั้นล่างพร้อมกับสมาชิกในตอนนี้นั้นยังถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป

อย่างน้อยๆ วาห์นก็อยากลองสู้กับโกไลแอธอีกครั้งและดูว่าตัวเองพัฒนาไปถึงไหนแล้ว

ตอนอิชทาร์แฟมิเลียก็ถูกจัดการไปแล้ว ปัญหาของชาวอเมซอนก็เคลียร์เรียบร้อย วาห์นเลยรู้สึกโล่งเป็นพิเศษ

การอยู่แต่ในคฤหาสน์นั้นตอนแรกวาห์นรู้สึกเฉยๆ แต่พอนานวันเข้า เขาก็ตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่ประเภทที่รอให้อีกฝ่ายเปิดก่อน

สองสัปดาห์ล่าสุดนั้นเป็นช่วงที่ทำให้วาห์นรู้สึกอึดอัดจนอยากแอบหนีออกจากคฤหาสน์เพื่อไปเที่ยวในเมืองและลงดันเจี้ยนอยู่เหมือนกัน

เขายังคิดถึงการไปที่ร้านอาหารและพาพวกสาวๆ ออกไปเดตด้วย

ตอนนี้ภัยคุกคามต่างๆ ก็หมดไป เป้าหมายต่อไปก็คือพัฒนาตัวเอง ออกไปดูแลพวกสาวๆ ในเครือข่าย และวางแผนร่วมกับเฮเฟสตัสและโลกิเพื่อรอรับมือเฟรย่า

แม้ทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมไว้เกือบหมดแล้ว แต่วาห์นก็ยังอยากเพิ่มอะไรเล็กน้อยเข้าไปในพิธีแต่งงานของตัวเองด้วย

โครงการลับที่เขาอุบไว้ไม่บอกใครเลยก็คือชุดแต่งงานของเฮเฟสตัสเและเอน่าที่ทำเองกับมือ

แค่นึกภาพที่ทั้งสองเขินจนหน้าแดงก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาราวกับคนบ้า

ฮารุฮิเมะที่นั่งอยู่ข้างๆ พอเห็นภาพนี่เข้าก็เลยอดใจไม่ไหว ยกมือขึ้นมาจิ้มแก้มของวาห์นอย่างเอ็นดู

“ดูมีความสุขมากเลยนะคะ ดีจัง~!”

พอได้ยินแบบนี้แล้วรอยยิ้มของวาห์นก็เจื่อนลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มกังวลว่าช่วงนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า… พอเริ่มดีขึ้นหน่อย ความซวยก็มักจะตามมาอยู่เสมอ

‘ขอลาพักร้อนสักเดือนสองเดือนได้ไหมนะ เจ้าค่ากรรม…’

หลังจากคืนที่ ‘ได้อยู่คนเดียว’ แบบนี้ วาห์นรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป หรือถ้าพูดให้เจาะจงหน่อยก็คือมีบางอย่าง ‘หายไป’

รู้สึกว่าการประกอบร่างกับเฮสเทียทุกคืนนั้นได้ฝังเข้าไปอยู่ในสมองของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรแอบแฝง แต่ตอนนี้ร่างกายดันมีปฏิกิริยาแปลกๆ ไปแล้วน่ะสิ

นานมากแล้วที่เขาสั่งเจ้าสหายร่วมศึกไม่ได้ และตอนเช้าๆ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้มันตื่นตัวมากกว่าปกติ…

พอเดินลงมาทานข้าวเช้าและเห็นขอบตาที่ดำเป็นหมีแพนของเฮสเทีย วาห์นก็รู้เลยว่าเขาไม่ได้คิดเป็นตุเป็นตะไปคนเดียว สุดท้ายเขาก็ต้องอุ้มเธอกลับห้องด้วยความเป็นห่วง

วาห์นยังนวดให้เฮสเทียอีกเล็กน้อยและสังเกตเห็นว่าตอนนี้เธอมีปฏิกิริยาแบบเดียวกับโลกิแทนแล้ว หวังว่าเธอจะอาการดีขึ้นหลังจากได้นอนอีกสักตื่น

สำหรับเรื่องอื่นๆ ในคฤหาสน์ ตอนนี้อาคิได้กลายมาเป็น ‘ศูนย์รวมข้อมูล’ ของทุกคนไปแล้ว เพราะเธอตอบคำถามได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาจุกจิกแค่ไหนก็ตาม

แม้จะเคารพในตัวริวแบบสุดๆ เหมือนเดิม แต่บางครั้งความเงียบและสีหน้านิ่งๆ ของเอลฟ์สาวก็ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เข้าหาได้ยาก

เพราะอาคิมาช่วยดูแลตรงจุดนี้ วาห์นก็เลยมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น

เขารู้สึกแปลกใจมากที่เห็นฮารุฮิเมะไปนั่งข้างอาคิแทนที่จะพยายามมานั่งข้างตัวเองเหมือนเช่นทุกวัน

ช่วงนี้จิ้งจอกสาวคงกำลังปรับตัวอยู่ และวาห์นเชื่อว่าเธอน่าจะพยายามเข้าหาเขาในลักษณะที่ ‘เป็นธรรมชาติ’ มากกว่าเดิม

หากไม่ใช่เพราะออร่าสีชมพูที่โถมใส่เขาไม่หยุด วาห์นก็คงเชื่ออย่างสนิทใจว่าฮารุฮิเมะเริ่มเปลี่ยนมาคิดเรื่องอนาคตของตัวเองแทนแล้ว

ที่เปลี่ยนไปมากอีกคนเห็นจะเป็นพรีเซีย เพราะช่วงนี้เธอค่อนข้างเปิดใจรับและคุยกับคนอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับฮารุฮิเมะ มิโคโตะ และเฟนเรียร์

เพราะเฟนเรียร์ชอบให้มีคนมาแปรงขนให้ เธอก็เลยสนิทกับฮารุฮิเมะมากเป็นพิเศษ

ภาพที่ทั้งสองผลัดกันแปรงขนให้กันนั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป

วาห์นยังตระหนักด้วยว่าช่วงนี้เฟนเรียร์ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าแต่ก่อน แถมตอนนี้ก็ไม่ต้องเข้าดันเจี้ยนเพื่อ ‘ระบายอารมณ์’ เลยด้วย

นี่อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่วาห์นก็ยังอยากให้เด็กสาวมีชีวิตปกติโดยไม่ต้องมาพะวงกับเรื่อง ‘ความหิว’ อีกเลย

ไม่กี่วันต่อมา ตอนนี้วาห์นรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างดูสงบซะเหลือเกิน

หลังจากเริ่มนำกฎต่างๆ ออกมาใช้ ทุกอย่างในคฤหาสน์ก็ดูเรียบร้อยมาก

ถ้าไม่เดินไปคุยกับใครแบบเจาะจง วาห์นก็จะใช้เวลาไปกับงานและเวลาว่างของตัวเองแทน

เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าการมีเวลาส่วนตัวจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตได้มากขนาดนี้

นอกจากนั้นแล้วเขายังหาเวลาไปเรียนเรื่องการจัดการแฟมิเลียจากอาคิด้วย… บางครั้งก็เลิกเรียนเร็วหน่อยและเปลี่ยนไปเล่นสนุกกับเธอแทน

แต่ช่วง ‘เล่นสนุก’ นี่แหละที่ทำให้วาห์นมีโอกาสได้ตรวจสอบค่าสถานะต่างๆ ของริวและอาคิ

ริวนั้นค่อนข้างโอเคกับการใช้ชีวิตของวาห์นในตอนนี้ เพราะมันทำให้ทั้งสองมีเวลาอยู่ด้วยกันแบบสองต่อสองมากขึ้น

เพราะเป็นพวกที่ไม่ชอบแสดงความรักเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย ก่อนหน้าที่เธอก็เลยได้แต่เก็บมันไว้ในใจ

มีอยู่วันนึงที่ริวได้อยู่คฤหาสน์นานหน่อย ทั้งสองก็เลยไปนั่งเล่นกันอยู่ที่ห้องสมุดพลางคุยเรื่องความก้าวหน้าของสาวๆ แต่ละคนไปด้วย

พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่หวือหวาจนเกินไปนัก แต่อย่างน้อยๆ วาห์นก็ได้เห็นท่าทางเขินอายในตอนที่อีกฝ่ายโดนเขาแง่มหู

(A/N: นักผจญภัยเลเวล 4 แน่นอนว่าสกิลเพียบ

———————————————————————————-

[[ค่าสถานะ]]

ชื่อ: ริว ไลอ้อน

เผ่าพันธุ์: เอลฟ์

เลเวล 4

พลังโจมตี: F385

ความอดทน: F311

ความแม่นยำ: B798

ความว่องไว: A804

พลังเวท: C645

สกิล: [เอโอลัส:สกิลแฝง(ถูกผนึก)], [ภูติน้อยขับกล่อม:C], [ประจุพลัง:C], [เอโร่มานา:A], [ร่ายเวทต่อเนื่อง:A]

เวทมนตร์: [จ้าวแห่งสายลม:สกิลแฝง(ถูกผนึก)], [ลูมินัสวินด์:B], [โนอาห์ฮีล:D]

สกิลที่กำลังพัฒนา: [นักล่า:B], [ต้านทานสภาวะผิดปกติ:B], [ต้านทานเวทมนตร์:C]

[ภูติน้อยขับกล่อม]

ระดับ:C

การใช้งาน: เพิ่มประสิทธิภาพของเวทมนตร์ในช่วงเวลากลางคืน

[ประจุพลัง]

ระดับ:C

การใช้งาน: เพิ่มพลังโจมตีตามปริมาณมานาที่ใส่ลงไป

[เอโร่มานา]

ระดับ:A

การใช้งาน: เพิ่มพลังโจมตีตามความเร็วในการวิ่งของผู้ใช้

[ร่ายเวทต่อเนื่อง]

ระดับ:A

การใช้งาน: ทำให้ผู้ใช้สามารถร่ายเวทในระหว่างเคลื่อนที่ได้ เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมพลังเวทและยับยั้งผลสะท้อนจากการที่เวทมนตร์ถูกขัดจังหวะ

[ลูมินัสวินด์]

ระดับ:B

การใช้งาน: เวทมนตร์โจมตีที่อัญเชิญละอองดาวสีเขียวลงมาฟาดฟันศัตรู

บทร่าย: ณ ท้องนภาแห่งผืนป่าอันไกลโพ้น หมู่ดาราเจิดจรัสท่ามกลางความมืด โปรดฟังเสียงจากข้าผู้น้อย ปกปักษ์รักษาด้วยเพลิงแห่งดารา แผ่แสงแห่งเมตตาแด่ผู้ที่เคยทอดทิ้งเจ้า จงมาเถิด วายุพเนจร วายุผู้ท่องไปทั่ว ข้ามผ่านท้องฟ้า มุ่งสู่แดนไพร รวดเร็วเหนือสิ่งอื่นใด อาบแสงแห่งดาวเดือน พิชิตศัตรูให้สิ้น

[โนอาห์ฮีล]

ระดับ:D

การใช้งาน: เวทมนตร์ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูค่าพละกำลังบางส่วน

บทร่าย: บทเพลงแห่งผืนป่าอันไกลโพ้น เสียงแห่งชีวิตอันแสนคิดถึง ขอจงโปรดเผื่อแผ่เมตตา รักษาผู้ที่พาลพบเจ้า

[นักล่า]

ระดับ:B

การใช้งาน: เสริมความสามารถต่างๆ เมื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เคยสู้ชนะไปแล้ว

[ต้านทานสภาวะผิดปกติ]

ระดับ:B

การใช้งาน: สลายผลของสภาวะผิดปกติ เช่นการติดพิษ โดยประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับระดับสกิล

[ต้านทานเวทมนตร์]

ระดับ:C

การใช้งาน: เพิ่มความต้านทานต่อการโจมตีด้วยเวทมนตร์

———————————————————————————-

[[ค่าสถานะ]]

ชื่อ: อันนาคิตตี้ ออทั่ม

เผ่าพันธุ์: มนุษย์แมว

เลเวล 4

พลังโจมตี: E441

ความอดทน: F320

ความแม่นยำ: C605

ความว่องไว: C663

พลังเวท: G206

สกิล: [ตรึงใจ:สกิลแฝง(ถูกผนึก)], [แผดเสียงสั่งการ:D], [ย่างก้าวไร้สัมผัส:D]

เวทมนตร์: [ทำนองฉับพลัน:C]

สกิลที่กำลังพัฒนา: [นักล่า:B], [ต้านทานสภาวะผิดปกติ:C], [นักดาบ:B]

[นักดาบ]

ระดับ:B

การใช้งาน: เพิ่มความเข้าใจของสกิลและเทคนิคการใช้ดาบ ช่วยเพิ่มความสามารถในการจับการเคลื่อนไหวและระยะการรับรู้ของผู้ใช้ขึ้นในระดับหนึ่ง

[แผดเสียงสั่งการ]

ระดับ:D

การใช้งาน: เพิ่มระดับเสียงของผู้ใช้ขึ้นตามระดับความเครียด ทำให้เสียงสั่งการกระจายออกไปไกลกว่าเดิม

[ย่างก้าวไร้สัมผัส]

ระดับ:D

การใช้งาน: เพิ่มความเข้าใจด้านการเคลื่อนไหวและฟุตเวิร์ค เพิ่มความสามารถที่เกี่ยวกับการอำพรางตัวในระดับปานกลาง

[ทำนองฉับพลัน]

ระดับ:C

การใช้งาน: เพิ่มค่าความว่องไวของเป้าหมาย

บทร่าย: พายุร่อนเร่ จงแปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนอง~!

[นักล่า]

ระดับ:B

การใช้งาน: เสริมความสามารถต่างๆ เมื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เคยสู้ชนะไปแล้ว

[ต้านทานสภาวะผิดปกติ]

ระดับ:C

การใช้งาน: สลายผลของสภาวะผิดปกติ เช่นการติดพิษ โดยประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับระดับสกิล

———————————————————————————-

อย่างที่คาดไว้ไม่ผิด เพราะวาห์นค่อนข้างมั่นใจว่าริวกับอาคินั้นต้องมีสกิลแฝงอยู่อย่างน้อยๆ หนึ่งสกิล

ดูเหมือนว่ายิ่งมีบทบาทในเนื้อเรื่องเดิมมากเท่าไหร่ ตัวละครตัวนั้นก็จะมีสกิลแฝงที่แข็งแกร่งตามไปด้วยดั่งเช่นในกรณีของฮารุฮิเมะกับริว

ช่วงนี้วาห์นเริ่มรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสกิลแฝงขึ้นมาบ้างแล้ว

ข้อมูลดังกล่าวนั้นยังรวมถึงอิทธิพลของพวกมันต่อการเติบต่อของเจ้าของสกิลและการใช้งานด้วย… ทว่าอย่างหลังนี่คงต้องรอให้สกิลของใครสักคนตื่นขึ้นมาเสียก่อน

เขารู้ว่าการพัฒนาสกิลแฝงนั้นเป็นอะไรที่ยากสุดๆ จนมันอาจไม่มีวันตื่นขึ้น

ต่อให้ใช้วิธีกระตุ้นด้วยการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงชีวิตก็อาจไม่ได้ผล เพราะสกิลของแต่ละคนนั้นมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป…

—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

เมื่อมาถึงช่วงสุดสัปดาห์ หลายๆ อย่างในคฤหาสน์ก็ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

พอมิลานกับทีน่ามาถึง พวกเธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงจากเหล่าสมาชิกในคฤหาสน์ทุกคน

จากนั้นวาห์นก็ได้ใช้เวลาอยู่กับสองแม่ลูกอย่างเต็มที่

ทีน่านั้นดูสงบลงกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับตัวเธอในอดีต แต่อย่างน้อยเธอก็ยอมเปิดใจคุยกับทุกคน

เด็กสาวตัวน้อยดูสนิทกับเฟนเรียร์และพรีเซียมากที่สุด ที่รองลงมาหน่อยก็คือพวกคู่แฝด

ฮารุฮิเมะเองก็อยากไปตีสนิทกับทีน่าเช่นกัน แต่สุดท้ายเธอก็โดนมิโคโตะและมิลานลากไปเก็บเพราะกลัวว่าจะหลุดอะไรที่ไม่ดีออกไป… ตัวฮารุฮิเมะเองนั้นยังต้องปรับต้องสอนกันอีกเยอะ

แต่ยิ่งทุกอย่างสงบเท่าไหร่ วาห์นกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น

เขาอยากออกไปทำอะไรสักอย่างข้างนอกมากกว่าอุดอู้และ ‘ผ่อนคลาย’ อยู่แต่ในคฤหาสน์

ช่วงนี้จะเอาเวลาไปทำเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เพิ่มก็ได้ แต่ไอ้ความรู้สึกที่ว่า ‘ทุกอย่างมันราบรื่นเกินไป’ มักทำให้เขาสมาธิหลุดตลอด

อีกสองสัปดาห์ก็จะถึงงานเดนาตัสครั้งหน้าแล้ว วาห์นคิดว่ามันคงจะเต็มไปด้วยอุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง

มีบางเรื่องที่เขาต้องไปจัดการก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ทั้งการตั้งครรภ์ของโลกิ การออกไปพบกับสาวๆ ที่ไม่ได้มาคฤหาสน์ รวมไปถึงการจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลีย

ถึงเขาจะได้อยู่กับเฮสเทียเกือบตลอด แต่บางครั้งหัวใจก็รู้สึก ‘คันๆ’ เมื่อหวนนึกถึงคนรักคนอื่นอย่างโลกิและเฮเฟสตัส

เพราะมี ‘เวลาว่าง’ เหลือเฟือ วาห์นเลยได้คิดเรื่องการออกเดตในสถานที่ใหม่ๆ วิธีพูดคุยกับพวกสาวๆ หรือแม้แต่บรรยากาศและสถานที่สำหรับการมีครั้งแรกกับพวกเธอ

เพราะไม่สามารถออกไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ได้ วาห์นก็เลยไม่ได้เจอกับโคลอี้ รวมถึงสาวๆ คนอื่นอย่างซีล อาเนีย และลูนัวร์ด้วย

วาห์นยังอยากไปเยี่ยมโมน่าและชิซูเนะเช่นกัน เพราะยังไงทั้งสองก็เป็นคนที่เขาช่วยออกมาจากกลุ่มพ่อค้าทาส

พอวาห์นคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็เลยกลับไปคิดเรื่องการพบปะและสังสรรกับผู้ชายคนอื่นๆ เพราะดูเหมือนตัวเองยังคาดความรู้ความเข้าใจในมุมมองของผู้ชายอยู่หลายอย่าง

วาห์นรู้ว่าการมีภรรยาหรือคนรักหลายคนมันไม่ใช่เรื่องแปลก… แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่มีคนรักมากมายเท่ากับตัวเองมาก่อน

เมื่อนึงถึงปฏิกิริยาของเวลฟ์ในอดีต วาห์นก็เริ่มตระหนักว่าสถานภาพของตัวเองนั้นค่อนข้างนักหน่วงมาก และสักวันมันอาจดำเนินมาถึงจุดที่เขาควบคุมไม่อยู่

วาห์นหวังว่าเอน่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้เมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังพิธีแต่งงาน

ถึงจะมีความสนใจในตัวผู้หญิงหลายคน แต่วาห์นก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะรักพวกเธอได้ไม่เท่ากัน นี่คือเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

ตั้งแต่ตอนที่อาคิพูดเตือนเรื่องการเปลี่ยนแฟมิเลียไปเเป็น ‘ฮาเร็ม’ ส่วนตัว วาห์นก็พยายามคิดหาทางแก้ไขมาตลอดเพราะไม่อยากให้คนนอกมองเฮสเทียแฟมิเลียในมุมแปลกๆ

อย่างแรกเลยก็คือต้องไปคุยกับเหล่าคนรักทั้งหลาย และพยายามเข้าหาผู้หญิงให้น้อยลง

การอยู่กับอาคิและเฮสเทียทำให้วาห์นได้รู้ว่าความสัมพันธ์นั้นมีหลายระดับ

แม้จะ ‘เล่นสนุก’ กับอาคิหลายครั้งและทำให้ค่าความชื่นชอบเพิ่มมาเป็น 85 แต่พอเธอสงบลง มันก็จะกลับไปเป็น 80 เหมือนเดิม

ทว่าเฮสเทียนั้นมักจะอยู่ในสภาพตื่นเต้นตลอดแบบไม่มีลง นั่นทำให้วาห์นต้องสยบเธอด้วยวิธีต่างๆ เพื่อกันไม่ให้ร่างกายของเทพตัวเล็กทำงานหนักจนเกินไป

เพราะวาห์นไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงทุกคนได้ เขาเลยเข้าใจว่าบางความสัมพันธ์อาจเป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น

ถามว่าเศร้าไหม? ก็ต้องเศร้าอยู่แล้ว เพราะมีหลายคนที่เขารู้สึกหลงใหลตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงจิตใจ

วาห์นไม่มั่นใจว่าการทำอะไรกับพวกเธอนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าหากวันนึงมีบางคนที่ตัดสินใจเดินจากไปล่ะ?

สิ่งเดียวที่วาห์นห่วงก็คือความสุขของพวกเธอเอง แต่การแยกจากคนที่ห่วงใยยังไงมันก็ทำให้รู้สึกเศร้าอยู่ดี

ถ้าดูแลได้ไม่ดีพอหรือทำให้สาวๆ พอใจไม่ได้ สักวันพวกเธอก็คงเริ่มเหินห่างเหมือนอย่างที่อาคิทำกับราอูล

ทว่าการได้เห็นว่าอาคิยังมีใจให้ราอูลอยู่เล็กน้อยนั้นยิ่งทำให้วาห์นงงหนักกว่าเดิมนี่สิ…

หนึ่งในเรื่องที่ทำให้วาห์นรู้สึกเซ็งนิดหน่อยก็คือการที่ทีโอน่าและทีโอเน่ไม่ได้มาที่นี่เนื่องจาก ‘เหตุส่วนตัว’

ตั้งแต่จบการต่อสู้ในวันนั้น สภาพจิตใจทีโอเน่ก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนเจ้าตัวตกอยู่ในสภาพตื่นตัวตลอด

หลังจากที่เรื่องแพร่งพรายออกไป ทีโอเน่ก็โดนคาดโทษอย่างหนักและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบวาห์นไปอีกนาน

เพราะช่วงนี้ทีโอเน่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทีโอน่าก็เลยต้องอยู่คุมซึ่งทำให้เธอพลอยมาที่นี่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ตอนนี้ทั้งคู่ก็เลยไปปลดปล่อยความบ้าคลั่งอยู่ในดันเจี้ยน ลำบากริเวเรียกับแกเร็ธที่ต้องคอยตามไปคุมอีกต่อ

เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดอีเว้นท์ประหลาดๆ อย่างการที่ไอส์กับเลฟิย่าแวะมานั่งเล่นในห้องทำงานของวาห์นแค่สองคน

พอได้เห็น ‘หุ่นจำลอง’ ของตัวเอง สายตาของไอส์ก็ลุกวาวจนวาห์นต้องนำสายวัดออกมาวัดสัดส่วนล่าสุดของเธอ ตามมาด้วยการให้ลองเหล่าเสื้อผ้าที่เขาทำขึ้นมาบ้างแล้ว

เพราะเธอมักจะคล้อยตามทุกอย่างที่ไอส์ทำ เลฟิย่าก็เลย(เผลอ)ปล่อยให้วาห์นวัดตัวด้วยอีกคน… จากนั้นก็รีบให้เขาสัญญาว่าจะไม่ไปบอกเรื่องนี้กับคนอื่น

มันอาจไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรนัก แต่วาห์นก็ดีใจที่เห็นพวกเธอสวมชุดที่เขาเป็นคนออกแบบเองกับมือ

ไอส์นั้นไม่พลาดเรื่องทำคะแนนอยู่แล้ว ไม่นานเธอก็ขอให้วาห์นเป็นคนสวมและถอดชุดให้ด้วยตัวเอง

นอกจากมันจะสนุกแล้ว วาห์นยังได้ตรวจสอบสัดส่วนของพวกเธออย่างละเอียดด้วย… จนความคิดแปลกๆ เริ่มแล่นเข้ามาในหัว

‘เปลี่ยนจากนักผจญภัยไปเป็นช่างตัดเสื้อดีไหมนะ?’

วันนี้วาห์นได้ตระหนักอีกอย่างแล้วว่าตัวเองนั้นชอบสร้างสิ่งของต่างๆ ให้คนที่ห่วงใยใช้

ที่จริงแล้ววาห์นออกจะชอบอะไรแนวนี้มากกว่าการตีเหล็กในโรงหลอมซะอีก ส่วนที่ทำไปทั้งหมดนั่นก็เพื่อเฮเฟสตัสล้วนๆ

หลังจากตีแหวน [คำสัญญา] ขึ้นมา วาห์นก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย

อย่างมากเขาก็แค่ร่างแบบแปลนอุปกรณ์ต่างๆ ไว้สำหรับโครงการในอนาคต

เขาเดาว่าแรงบรรดาลใจคงจะกลับมาอีกครั้งเมื่อถึงยามจำเป็น ตัวอย่างเช่นมีคนขอ หรือไม่ก็อยากหารายได้พิเศษ…

“วาห์น… ทำชุดชั้นในได้หรือเปล่า?”

ไอส์มักจะสวมชุดแบบเปิดหลัง นั่นทำให้ตัวเลือกชุดชั้นในของเธอมีไม่มาก ส่วนใหญ่ก็แค่ใช้เทปแบบเดียวกับที่นักผจญภัยหญิงใช้กัน

พอได้ยินแบบนั้นแล้ว แม้แต่เลฟิย่าเองก็เปรยออกมาแบบเขินๆ ว่าอยากได้สักชิ้นเหมือนกัน

วาห์นเห็นภาพนี้เข้าไปก็ถึงกับเกิดอาการ ‘หัวใจละลาย’ ตามมาด้วยแรงบรรดาลใจที่แล่นกลับมาอย่างรวดเร็ว

(A/N: ในเรื่องอาจจะบรรยายไม่ชัดเจนว่านี่คือการข้ามเวลามาประมาณ 6 วันนะครับ อีก 14 วันก็จะถึงงานเดนาตัสแล้ว~!

สำหรับคนที่รู้สึกว่าการมาของอาคินั้นเป็นเรื่องที่แปลก… หน้าที่หลักๆ ของเธอก็คือช่วย ‘จัดการ’ แฟมิเลียเป็นหลักครับ

ส่วนหน้าที่อีกอย่างที่โลกิกำชับมาก็คือคอยจับตาดูวาห์นกับเฮสเทีย

วาห์นอาจจะเป็นนักผจญภัยที่เก่งพอตัว แต่ตอนนี้เขายังไม่ค่อยมีคุณสมบัติของผู้นำ รวมถึงความรู้ในการบริหารจัดการคนจำนวนมาก

ริวทั้งแข็งแกร่งและมาดนิ่ง แต่แม้แต่เธอเองก็ยังขาดความเป็นผู้นำ เธอออกจะเหมาะกับแนวผู้ตามมากกว่า

อาคิเป็นนายกองที่มากประสบการณ์และรู้หลักการทำงานของแฟมิเลียเป็นอย่างดี รวมไปถึงเรื่องการเตรียมการก่อนเข้าสู่ดันเจี้ยนด้วย

เธอเป็นหน่วยสนับสนุนตั้งแต่อายุ 12 ปี และกลายเป็นนักผจญภัยเต็มตัวเมื่ออายุครบ 14 ปี

นอกจากมีความรู้มายมากแล้วเธอยังเป็นผู้หญิงที่มั่นคง และไม่ต้องพึ่งพาวาห์นแบบพวกสาวๆ ที่เขาช่วยออกมาจากย่านโคมแดง

บางคนบอกว่าบทของเธอกำลังทับซ้อนกับเอน่า ขอบอกไว้เลยนะครับว่าพวกเธอทั้งสองมีบทบาทต่างกัน

อาคิจะมาดูแลให้แน่ใจว่าเฮสเทียแฟมิเลียทำงานได้ตามปกติ ส่วนเอน่านั้นหลักๆ แล้วเธอจะมาดูแลให้แน่ใจว่าวาห์นทำงานได้ตามปกติครับ o3o)

วาห์นหันไปมองทีโอเน่ที่กำลังฉายแววตาลุกโชนแบบพร้อมสู้เต็มที่

นานแล้วที่เขาไม่ได้สู้กับคนที่เก่งกว่าตัวเองอยู่หลายขั้น ดูๆ ไปก็รู้สึกท้าทายอย่างน่าประหลาด

วาห์นไม่รู้ว่าฝีมือจะตกไปมากน้อยแค่ไหนเหมือนกัน

อย่างตอนสู้กับลูกน้องของลาเวอร์นานั่น เขาได้ใช้อุปกรณ์เข้าช่วย

ส่วนตอนประจัญหน้ากับไอช่า เขาก็งัดของโกงๆ แบบ [เอ็นคิดู] ออกมาปิดคดี

แต่ถึงกระนั้น วาห์นก็ไม่คิดว่าการสู้กับทีโอเน่ตอนนี้จะมีประโยชน์สักเท่าไหร่ เพราะเธอกำลังทำตัวแปลกมากและดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

ดูแล้วเธอไม่น่าจะควบคุมพลังของตัวเองอยู่ และอาจจบลงด้วยการที่ใครคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส…

สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ให้กับสายตาดุดันและได้แต่ถอนหายใจพร้อมลุกขึ้นจากโซฟา

ต่อให้สถานการณ์ดูแย่แค่ไหน วาห์นก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำท้าอยู่ดี

วาห์นไม่ใช่พวกชอบแข่งขัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โดนท้า เขากลับไม่อยากเป็นฝ่ายถอยหนี

ไม่ว่าจะเจออุปสรรคยากเย็นแค่ไหน เขาก็มักจะผลักดันตัวเองไปข้างหน้าได้เสมอ

หากไม่กล้าพอที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ความมั่นคงของชีวิตในตอนนี้อาจเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เขาก้าวต่อ

ถ้าต้องการจริงๆ วาห์นจะอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้

ไม่ต้องไปลงดันเจี้ยนให้เหนื่อย คอยหารายได้จากช่องทางอื่นและเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับพวกสาวๆ

มันคงดูสุขสงบมาก แต่เขาคิดว่านี่อาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

เขากลัวนิดๆ ว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ว่ามันจะผลักไสคนรอบข้างให้ห่างออกไปจากเดิม…

นอกจากคนที่อยู่ในห้อง ณ ตอนนั้น ฮารุฮิเมะกับมิโคโตะเองก็ตามมาที่ลานฝึกเช่นกัน

ที่จริงเฟนเรียร์ก็อยากมาด้วย แต่วาห์นกลัวว่าการเห็นเขาโดนอัดจะทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่

ตอนนี้เธอก็เลยอยู่ภายใต้การดูแลของเฮสเทีย พรีเซีย กับพวกคู่แฝด และถูกกันให้ห่างจากลานฝึกให้มากที่สุดเท่าที่พวกเธอจะสามารถทำได้

สิ่งที่วาห์นไม่รู้ในขณะนั้นก็คือ ห้องที่พวกเธออยู่นั่นมันก็ของนอนของเขานั่นแหละ

เพราะมีเครื่องลางกั้นเสียงตั้งอยู่ในห้อง มันจึงยับยั้งประสาทรับรู้ที่เฉียบคมของเด็กสาวได้ในระดับหนึ่ง

ทีโอเน่เริ่มบิดร่างกายไปมาขณะจ้องมองวาห์นที่กำลังใช้ท่าร่างแบบปล่อยตัวตามสบาย

ขณะหมุนหัวไหล่ราวกับกำลังจะใช้มันแบบเต็มกำลัง เธอก็ถามขึ้น

“ขอถามอะไรหน่อยสิวาห์น ถ้านายเอาจริงขึ้นมา คิดว่าจะชนะฉันได้หรือเปล่า? ”

คำถามของเธอทำเอาคนอื่นๆ อึ้งไปเล็กน้อยเหมือนกัน

เพราะการจะให้นักสู้เลเวล 3 เอาชนะเลเวล 5 ได้นั้นมันออกจะเกินไปหน่อย

พวกเธอยิ่งอึ้งหนักเมื่อวาห์นพยักหน้าอย่างมั่นใจก่อนจะตอบกลับ

“ถ้าเอาจริง โอกาสชนะของฉันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์…”

วาห์นอยากเสริมด้วยว่าถ้าให้สู้กันถึงตาย โอกาสของเขาน่าจะเพิ่มขึ้นจนเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

[เอ็นคิดู] คืออาวุธที่ทรงพลังมาก และถ้าสามารถถ่วงเวลาได้นานพอ พลังจาก [ร่างจตุรเทพ] ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบไปเอง

ราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทีโอเน่พยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปเหยียดแข้งเหยียดขาและเริ่มพูดต่อ

“นายรู้ไหมว่าฉันกับทีโอน่าไม่ได้อยู่กับโลกิแฟมิเลียตั้งแต่แรกเริ่ม

สำหรับชาวอเมซอนที่เข้าเมืองมาใหม่ๆ ตัวเลือกของเราก็มีแค่การเข้าร่วมกับแฟมิเลียขนาดเล็กและค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ… หรือไม่ก็จบลงที่การขายบริการ

เพราะธรรมเนียมปฏิบัติที่ต่างออกไปของเรา ชาวอเมซอนเลยไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในสังคมทั่วไปสักเท่าไหร่… แต่เราก็ยังโชคดีที่ได้ไปอยู่กับแฟมิเลียเล็กๆ แทน

พอแกร่งขึ้นกว่าเดิม เราก็เริ่มท้าสู้ไปทั่วเพราะตอนนั้นกัปตันของเราน่ะอ่อนแอเกินไปแล้ว ความก้าวหน้าของเราจึงเข้าสู่จุดหยุดนิ่ง…”

ทีโอเน่ยืดตัวขึ้นและหมุนคอไปมาก่อนจะเหยียดนิ้วเสียงดังกร๊อบๆ

เธอดูซึมลงไปบ้างแต่ก็ยังเล่าเรื่องต่อ

“เพราะความลำพอง เราก็เลยประกาศออกไปว่านอกจากจะเข้าร่วมกับแฟมิเลียที่เอาชนะเราได้แล้ว เราจะยอมเป็นผู้หญิงของผู้ชนะด้วย

นายต้องรู้ไว้นะว่าเราต่างไปจากชาวอเมซอนคนอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เราก็ประกาศออกไปแบบนั้นโดยหวังว่าจะได้พบกับผู้ชายที่คู่ควร

หลังจากเอาชนะนักสู้ไปแล้วกว่า 70 คน เราก็ได้เจอกับแกเร็ธ… แล้วก็ฟินน์

ตอนนั้นเราเป็นแค่นักผจญภัยเลเวล 3 แน่นอนเลยว่าไม่มีทางสู้กับพวกเลเวล 5 ขั้นปลายได้อยู่แล้ว

นี่แหละที่ทำให้เราได้มาอยู่กับโลกิแฟมิเลีย

ฟินน์คือคู่ต่อสู้ของฉัน และสุดท้ายฉันก็เป็นฝ่ายอยากอุทิศตัวให้

เพราะเขาทั้งหล่อ ทั้งเก่งกาจ และเป็นคนที่ชอบเสียสละ…-”

แต่แล้วก็มีเสียงแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง

“อย่าเข้าใจผิดนะวาห์น ถึงจะเคารพในตัวแกเร็ธมาก แต่ฉันก็ไม่เคยคิดอะไรจริงจังอะไรกับเขาเลย~!” ทีโอน่ารีบตะโกนบอกด้วยสีหน้าตื่นๆ

ทีโอเน่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางลนลานของน้องสาวฝาแฝดก่อนจะพูดต่อ

“อย่าโดนหลอกเอานะวาห์น ชาวอเมซอนน่ะไม่ใช่พวกที่พูดอะไรออกไปแล้วมากลับคำทีหลังหรอก

ยัยนั่นแค่ไม่อยากยอมรับว่าแกเร็ธไม่ได้สนใจเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว… แถมเขายังทำเหมือนกับเธอเป็นแค่เด็กกะโปโลคนนึงด้วย”

“ทีโอเน่ ยัยพี่ทรยศ~! ถึงมันจะจริงแต่ก็ไม่เห็นต้องบอกวาห์นเลยนี่…” ทีโอน่าลงไปนั่งปลงบนพื้นหญ้าด้วยสายตายอมแพ้

เป็นเรื่องยากที่จะให้ชายวัย 51 ปีมาสนใจเด็กที่มีอายุเพียง 12 ปีในขณะนั้น

ทีโอน่าไม่ได้รักแกเร็ธ และเขาก็ไม่มีคุณสมบัติเยี่ยงวีรบุรุษที่เธอใฝ่หา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่พยายามทำอะไรเลย…

วาห์นอมยิ้มก่อนจะเหลือบมองทีโอน่าที่ยังจิตตกไม่เลิก

“งั้นเดี๋ยวคงต้องไปขอบคุณแกเร็ธสักหน่อยแล้ว… เพราะฉันไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตจะเป็นยังไงถ้าไม่ได้เจอกับทีโอน่าในตอนนั้น”

พอได้ยินประโยคนี้่เข้าไป ทีโอน่าถึงกับดีดตัวขึ้นจากพื้นและเปลี่ยนมาทำสีหน้าเขินอายขณะหัวเราะ ‘แหะๆๆ~’ แทน

ถือว่าวาห์นนั้นจัดอยู่ในพวกคนที่ใจกว้างมาก เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบและไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดของสาวชาวอเมซอนเท่าไหร่

ทีโอเน่ก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะเฝ้ามองทั้งสองด้วยความอิจฉา

ก่อนจะหมดอารมณ์อยากสู้ เธอก็พูดต่อ

“บอกตามตรงนะวาห์น ฉันเองก็ชอบนายนิดๆ… แต่ไม่มากเท่ากับฟินน์หรอกนะ

ฉันรู้สึกอิจฉาที่เห็นพวกนายมีความสุข ในขณะที่ตัวเองต้องพยายามจนแทบจะคลานกับพื้น

แต่ต่อให้ฟินน์เปลี่ยนใจ หลังจากมีลูกด้วยกันแล้ว ฉันก็คงไม่ได้กลับมาอยู่กับเขาอยู่ดี…”

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ทีโอเน่รู้สึกชอบฟินน์มากเลยก็คือ จิตใจที่แน่วแน่ มั่นคง ไม่ยอมโค้งงอให้กับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าเขายอมใจอ่อนและเสียคุณสมบัติข้อนี้ไป เธอก็คงจะเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะออกไปท่องโลกเพื่อตามหาผู้ชายคนถัดไป…

หลังจากได้ฟังจนจบ สีหน้าของวาห์นก็ดูจริงจังขึ้นขณะเฝ้ารอคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทีโอเน่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย

“คนที่ฉันจะเคารพน่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเอาชนะฉันได้… ฉันเลยอยากให้นายทุ่มสุดตัว แล้วก็ถ้าทำได้จริงๆ…”

ทีโอเน่เปลี่ยนไปกัดฟันแน่นพร้อมตั้งท่าต่อสู้โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ

วาห์นขมวดคิ้วนิดๆ และเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามบ้าง

“ที่จะบอกก็คืออยากให้ฉันงัดทุกอย่างออกมาใช้… แล้วเธอก็จะสู้แบบมือเปล่าใช่ไหม?”

ทีโอเน่ยังคงตั้งท่าแบบเดิมด้วยสีหน้าจริงจังแทนการตอบกลับ

ด้วยทักษะ สกิล และอุปกรณ์มากมายที่มี วาห์นจึงต้องหยุดคิดชั่วขณะ

ถึงอีกฝ่ายจะออกปากอนุญาตเอง แต่วาห์นก็คิดว่าการใช้อุปกรณ์หรือใช้ไอเท็มเข้าช่วยด้วยนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย

เขาอยากสู้กับเธอโดยใช้เพียงสกิลกับทักษะติดตัวเพียงอย่างเดียว แต่แบบนั้นก็เท่ากับลดโอกาสชนะของตัวเองลงจนเกือบจะเป็นศูนย์… นอกจากว่าเขาจะพยายามฆ่าเธอแบบจริงจัง

นี่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้วาห์นนึกถึงสายตากังวลของเฮสเทีย… เป็นสายตาที่เกิดจากความลังเลของเขา

นั่นทำให้เขาตัดสินใจได้ในทันที

วาห์นหันไปหาใครบางคนในหมู่คนดูก่อนจะพูดขึ้น

“ฮารุฮิเมะ ต้องรบกวนเธอแล้วล่ะ…”

จิ้งจอกสาวรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก แต่เธอก็รีบขานรับอย่างมีความสุขก่อนจะเริ่มร่ายเวทพร้อมขยับตัวราวกับกำลังเต้นรำ

แม้จะยังไม่ได้ฝึกแบบจริงจัง แต่ดูเหมือนฮารุฮิเมะจะเริ่มติดนิสัยร่ายเวทพร้อมกับเต้นไปด้วย… ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่ามันจำเป็น หรือเธอแค่อยากเต้นกันแน่

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีฟ้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกายของวาห์นไว้

นั่นเป็นสัญญาณให้เจ้าตัวใช้ร่างพยัคฆ์ขาวออกมาพร้อมระเบิดพลังเขตแดนแบบเต็มกำลัง

ทีโอเน่กับทีโอน่าเพิ่งจะขึ้นมาเป็นนักผจญภัยเลเวล 5 ขั้นต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน พวกเธอจึงอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนาค่าสถานะต่างๆ

หลังได้รับเวทมนตร์ของฮารุฮิเมะเข้าไป ตอนนี้ค่าสถานะของวาห์นจึงขึ้นมาอยู่ที่เลเวล 4 ขั้นปลาย และถ้ารวมกับการใช้ร่างพยัคฆ์ขาวด้วยก็จะกลายเป็นเลเวล 5 ขั้นต้นเช่นกัน

หากรวมไอเท็มและอุปกรณ์เข้าไปเพิ่ม ค่าสถานะของเขาก็น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเลเวล 6 ขั้นต้นได้เลย…. ถ้าดูจากค่าสถานะเพียงอย่างเดียวนะ

สำหรับผู้ที่ขึ้นไปถึงเลเวล 6 ได้ เรื่องฝีมือ ประสบการณ์ และสมาธิย่อมต้องเยอะกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

นี่ยังไม่นับเรื่องไพ่ตายหรืออะไรทำนองนั้นอีก

หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ตอนนี้วาห์นกับทีโอเน่ก็มีค่าสถานะพอๆ กัน แต่อีกหนึ่งปัญหาก็คืออัตราส่วนของมัน

เพราะวาห์นเน้นหนักไปที่ค่าพลังเวท ส่วนของทีโอเน่จะเน้นไปที่ค่าสถานะทางกายภาพ

ทีโอเน่ยังมีจุดๆ หนึ่งที่ต่างไปจากทีโอน่า นั่นก็คือพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ค่าสถานะของของทั้งสองดูคล้ายกันมาก แต่ก็มีเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เธอเหนือกว่าอยู่ก้าวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม วาห์นก็ยังรู้สึกมั่นใจอยู่ดี…

ดวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าของวาห์นเข้าจับจ้องดวงตาสีน้ำตาลของทีโอเน่ก่อนที่เขาจะโยนรูปปั้นตัวเล็กๆ ไปทางเธอ

แม้จะอยู่ในสภาวะเฝ้าระวัง แต่ทีโอเน่ก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การโจมตี เธอจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมารับมันไว้

ก่อนจะได้ถามว่านี่คืออะไร วาห์นก็เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“นี่คือไอเท็มหายากที่มีชื่อว่า [รูปปั้นฮีโร่]… ฉันสร้างมันขึ้นโดยใช้เทคนิคพิเศษและเอ็กซีเลียที่ได้จากมอนสเตอร์

ไม่ว่าจะเจ็บหนักขนาดไหน ร่างกายของผู้ที่ถือมันไว้จะได้รับการฟื้นฟูทันที ต่อด้วยค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า

ผลข้างเคียงก็คือร่างของผู้ใช้จะอยู่ในสภาพจำศีลชั่วคราวในอีกไม่กี่นาทีต่อมา…”

คำอธิบายของวาห์นนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัว

เพราะถ้าเขาไม่ได้พูดเกินจริง รูปปั้นเล็กๆ นี่อาจจะเป็นไอเท็มช่วยชีวิตที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้

ขณะสบตากับทีโอเน่ วาห์นก็นำรูปปั้นอันที่สองขึ้นมาถือบ้าง

“เต็มที่เลยนะ…”

ทีโอเน่กำ [รูปปั้นฮีโร่] ไว้แน่น ก่อนจะเก็บมันเข้าไปในตัวล็อคของเสื้อที่อยู่ใกล้กับลำคอ

วาห์นนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวล็อคนั่นมีคุณสมบัติคล้ายกับล็อคเก็ต แถมเขายังเผลอเหลือบไปเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นด้วย

รูปขนาดเล็กของ ‘เด็กหนุ่ม’ ผมบลอนด์นั่นคงเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากฟินน์

ถึงจะเข้าใจเรื่องของ ‘ความรัก’ มาบ้างแล้วว่าใครจะเลือกรักกับใครก็ได้ แต่วาห์นก็รู้สึกหงุดหงิดฟินน์อยู่ดี

เพราะความใจอ่อนต่อเพศตรงข้ามของตัวเอง การ ‘ทำให้พวกเธอต้องผิดหวัง’ จึงไม่มีอยู่ในสารบบของเขา

นี่คือสิ่งที่วาห์นไม่เข้าใจและไม่อยากที่จะเข้าใจเท่าไหร่นัก

การได้เห็นหญิงสาวตรงหน้ารักใครสักคนโดยรู้ทั้งรู้ว่าจะไม่มีวันได้อะไรกลับมามันช่างเป็นเรื่องที่… น่าเศร้าเหลือเกิน

เขาได้แต่คิดเรื่อยเปื่อยในใจขณะรอให้อีกฝ่ายกลับมาตั้งท่าเตรียมสู้

ทันทีที่เธอทำแบบนั้น วาห์นก็เริ่มเกร็งร่างกายและเปลี่ยนไปใช้ท่านั่งยองกับพื้นแทน

“ทีโอเน่ ฉันจะเริ่มล่ะนะ…”

พูดจบ วาห์นก็หายไปจากตรงนั้นโดยไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย…

วาห์นเดินออกจากห้องหลังโลกิออกไปได้ไม่นานนัก เขามีสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย

ท่าทางมั่นใจของโลกิทำให้วาห์นต้องคิดแล้วคิดอีกว่าคืนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง

สิ่งหนึ่งที่พอเข้าใจก็คือ สำหรับกิจกรรมบางประเภทนั้น ยิ่งคนเยอะมันก็ยิ่งน่าสนใจกว่าเดิม

สำหรับวาห์นแล้วมันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะเขาต้องให้ความสนใจกับทุกคนแบบเท่าเทียมกัน แทนที่จะหลงมัวเมาไปกับผู้หญิงเพียงคนเดียว

ตัวอย่างเช่นตอนที่อยู่กับเฮเฟสตัส… ทั้งสองจัดกันหนักมากเสียจนเธอเกือบจะต้อง ‘ไล่’ เขาในวันถัดมา

แผนผังที่นั่งถูกเปลี่ยนไปอีกครั้ง ดูเหมือนโลกิขับจะไล่ฮารุมิเมะออกไปและลงมานั่งตรงนั้นแทน

ตอนนี้เรนาร์ดสาวกำลังนั่งหน้าจ๋อยอยู่กับเฟนเรียร์และพรีเซียขณะที่ตัวการยังคงนั่งสบายๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอวาห์นมาถึง บรรยากาศจึงเริ่มดีขึ้นตามลำดับแต่ก็ยังมีติดขัดบ้างเล็กน้อย

สำหรับสาวๆ ส่วนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้พบกับโลกิซึ่งอีกฝ่ายนั้นปราศจากความเขินอายใดๆ ทั้งสิ้นและเอาแต่พูดเย้าแหย่ปนชมเชยพวกเธอต่างๆ นาๆ

เป้าหมายหลักก็เห็นจะเป็นเฟนเรียร์ซึ่งตัวเฟนเรียร์นั้นไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่พอโลกิเบนเป้าไปหาพรีเซียเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องเป็นราว

เด็กสาวจิกกรงเล็บลงกับโต๊ะและเริ่มโวยทันที

“โลกิไม่ดี! อย่ามาพูดแกล้งพรีเซียนะ!”

ที่จริงโลกิรู้เรื่องของพรีเซียมาบ้างแล้วและคงจะไม่ไปยุ่งอะไรกับเธอหรอก เพียงแต่ว่าสายตาของหญิงสาวที่เอาแต่จ้องวาห์นตลอดนี่… ดูยังไงก็น่าสนใจจริงๆ

พอเห็นเฟนเรียร์ทำท่าทางเป็นเชิงบอกว่า ‘ห้ามแตะเด็ดขาด’ โลกิจึงหัวเราะแห้งๆ และหันไปดื่มไวน์ที่วาห์นเคยให้ไว้แทน

เธอได้ยินเรื่องของพวกผู้หญิงในคฤหาสน์มาเหมือนกัน และบอกได้เลยว่าทุกคนต่างมี ‘เอกลักษณ์ของตัวเอง’ กันทั้งนั้น

ถึงจะสัญญากับวาห์นไปแล้วว่าจะ ‘ไม่ไปเก็บดอกไม้ตามทาง’ แต่นิสัยเจ้าชู้ที่ทำมาตลอดนั้นใช่ว่าจะตัดก็ตัดกันได้ง่ายๆ

อีกเดี๋ยวก็จะได้ไปสนุกกับวาห์นและเฮสเทียอยู่แล้ว ความตื่นเต้นของโลกิจึงเผลอหลุดออกมาเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวเริ่มจินตนาการเรื่องที่คิดจะทำกับพวกสาวๆ ในอนาคต

หลังจบช่วงมื้อเย็นแล้วทุกคนยังอยู่คุยเล่นกันต่อ จากนั้นก็คงจะไปอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน

มิลานกับฮารุฮิเมะได้กลายมาเป็น ‘ครูผู้สอนอ่านเขียน’ อย่างสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่ศิษย์เอกอย่างเฟนเรียร์และทีน่าก็คอยมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย

มิโคโตะเข้าไปขอคำแนะนำบางอย่างจากริว จากนั้นทั้งสองก็เลยกลับออกไปที่ลานฝึกด้านนอก

พรีเซียนั้นพออ่านเขียนได้อยู่แล้ว เธอต่างจากคู่แฝดที่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นและกำลังง่วนอยู่กับหนังสือเรียนเล่มยักษ์

ส่วนวาห์น เฮสเทีย และโลกินั้น ทั้งสามกำลังเตรียมตัวในแบบของตัวเองเพื่อรอรับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง

ตอนแรกเฮสเทียอยากจะไปอาบน้ำกับวาห์นด้วย แต่เธอก็โดนโลกิลากไปอีกฝั่งแทน

โลกิคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สอนเฮสเทียเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ

เธอพูดเรื่องที่ต้องระวังและบางอย่างที่อาจดูไม่เหมาะสมสำหรับวาห์น

เด็กหญิงเฮสเทียเลยต้องก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอนจาก ‘อดีตศัตรู’ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

ตอนนี้วาห์นกำลังแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์เหมือนเช่นเคย

เพราะสัมผัสออร่าของทั้งสองได้อย่างชัดเจน เขาจึงรู้ว่าตัวเองควรจะออกไปเมื่อไหร่

กว่าผู้หญิงคนอื่นๆ จะเข้ามาอาบน้ำบ้าง โลกิกับเฮสเทียก็แต่งตัวเสร็จแล้วและออกมาพบกับวาห์นที่ด้านนอกพอดี

พอเข้ามาในห้องนอนใหญ่ โลกิก็ดึงเครื่องรางบางอย่างออกมาจากไหนไม่รู้เพราะวาห์นไม่เห็นว่าชุดของเธอจะมีช่องไว้ใส่ของอยู่เลย

สีหน้าสงสัยของวาห์นทำให้โลกิแลบลิ้นนิดๆ ก่อนจะนำเครื่องรางดังกล่าวไปวางไว้ที่มุมห้องทั้งสี่ พอทำเสร็จแล้ว สนามพลังก็เริ่มทำงานและทำให้บรรยากาศในห้อง ‘หนาแน่น’ ขึ้น

หลังจากทดสอบอะไรอีกเล็กน้อย วาห์นก็เข้าใจว่าเสียงจะเดินทางผ่านความหนาแน่นนี้ไปได้ไม่ไกลนัก

โลกิเริ่มทดสอบโดยการป้องปากตะโกนจากตรงมุมห้องเสียจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด และแม้จะอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร วาห์นและเฮสเทียกลับไม่ได้ยินอะไรเลย นั่นรวมถึงเสียงหัวเราะของโลกิที่ควรจะดังขึ้นหลังจากนั้นด้วย

จากนั้นเธอจะเดินเข้ามาอยู่ในระยะ 3 เมตร

“คราวนี้จะเสียงดังแค่ไหนก็สบายหายห่วง~”

วาห์นจดบันทึกในใจว่าจะต้องตามไปถามเรื่องเครื่องรางจากโลกิทีหลังให้ได้

ส่วนเฮสเทียนั้นก็เอาแต่หน้าแดงและจินตนาการจนสติลอยไปไหนต่อไหนแล้ว ทว่าโลกิก็หันมาพูดด้วยและดึงให้มันลอยกลับมาเสียก่อน

“เฮสเทีย เธอต้องเลือกแล้วล่ะ

เธอจะเลือกแบบ ‘ธรรมดา’ โดยเชื่อใจและปล่อยให้วาห์นจัดการทุกอย่างก็ได้ หรือจะเลือกแบบที่ต้องเปิดใจให้กว้าง… แต่มันก็จะมีความหมายมากกว่า

เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเธอ เธอจะเลือกแบบแรกและสนุกกันแบบสองต่อสองก็ได้ แต่ ถ้าครั้งแรกของเธอมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วย มันก็จะเปลี่ยนแนวความคิดของเธอแบบสุดๆ ไปเลย

อย่าลืมนะว่าต่อให้รอบนี้ไม่มีฉัน แต่ครั้งหน้าเธอก็อาจจะได้อยู่กับผู้หญิงคนอื่นในสถานการณ์แบบเดียวกัน… เอาล่ะ จะเลือกแบบไหนดี?”

คล้ายกับครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอกัน เฮสเทียเริ่มสวดภาวนาบางอย่างเพื่อสงบจิตใจของตัวเองลง จากนั้นเธอก็หันกลับมาหาโลกิด้วยใบหน้าติดแดงๆ

“ฉันรู้ว่าต่อไปตัวเองต้องทำเรื่องเห็นแก่ตัวแน่นอน งั้นก็ขอให้ครั้งแรกนี่… มาช่วยเปลี่ยนความคิดหน่อยละกัน

ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้กับวาห์นในอนาคต แล้วก็ไม่อยากกลับไปคิดอีกรอบให้เสียเวลาด้วย”

ขณะพูด ชุดของเฮสเทียก็ค่อยๆ ‘สลาย’ กลายเป็นกลีบดอกสีขาวและลงไปเรียงรายอยู่รอบเท้าของเธอแทน

เสื้อผ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ก็มีริบบิ้นสีน้ำเงินใต้ทรวงอก เครื่องประดับบนศีรษะ และชุดชั้นในสีขาวที่เอว

โลกิเริ่มพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย

“ตัดสินใจได้น่าชื่นชมมาก~!

ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็จะช่วยนำทางให้เอง เธอจะได้ไม่เจ็บมากหรือทำอะไรที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

พอผ่านช่วงนั้นไปได้ อืมมม เดี๋ยวก็ดีเองแหละ ฮ่าๆ”

ขณะที่หัวเราะแบบแปลกๆ โลกิก็เริ่มถอดชุดแนบเนื้อของตัวเองออกมีละชิ้น

เธอเตะรองเท้าบูทออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะลงมานั่งที่ขอบเตียงและค่อยๆ แกะถุงน่องออก

แต่แล้วเธอก็ต้องหันกลับมาหาอีกสองคนที่ยังจ้องมาไม่เลิก

“นี่มัวรออะไรกันอยู่ ต้องให้ส่งการ์ดเชิญก่อนหรือไง~?

(หันไปหาเฮสเทีย)

ถ้าเธอไม่รู้จะทำอะไรดี งั้นก็ช่วยวาห์นถอดเสื้อผ้าไปพลางๆ หรือไม่ก็ไปนอนรอบนเตียงก่อนก็ได้”

ตอนนี้โลกิถอดแขนเสื้อเสร็จพอดี ก่อนจะเริ่มนำชิ้นผ้าที่หน้าอกออก

พอแอบชำเลืองมองวาห์นและเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นตามปกติ เธอก็ถอนหายใจโล่งอก

เฮสเทียทำตามคำแนะนำของโลกิและเริ่มช่วยวาห์นถอดเสื้อผ้าแบบเก้ๆ กังๆ ด้วยมืออันสั่นคลอน

ทั้งเธอและตัววาห์นเองคงจะลืมไปว่าเขาสามารถถอดเสื้อผ้าออกผ่านระบบเลยก็ได้

เขาหันไปหาโลกิที่ยิ้มตอบอย่างเย้ายวน ก่อนที่เธอจะถอดกางเกงขาสั้นออก เผยให้เห็นชุดชั้นในสีน้ำเงินบางที่อยู่ภายใน

ของที่วาห์นยังไม่ได้ถอดก็มีเพียงบ๊อกเซอร์เท่านั้น ตอนนี้ทุกคนก็เลยเหลือเสื้อผ้าติดตัวกันอยู่เพียงชิ้นเดียว

โลกิเริ่มชิงลงมือก่อนแบบไม่อายใคร เธอถอดชั้นในออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นไปนอน ‘ให้ท่า’ อยู่บนเตียง

ถึงจะ ‘ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน’ แต่จุดซ่อนเร้นของโลกินั้นดูราวกับไม่เคยถูกใช้งานที่ไหนมาก่อนเลย

เทพจอมเจ้าเล่ห์ที่มักทำทุกอย่างแบบไม่สนใจใคร บัดนี้เริ่มมีใบหน้าขึ้นสีแดงให้เห็นบ้างแล้ว

“เป็นไง? นี่ปกติฉันไม่ให้ใครมาจ้องแบบนี้หรอกนะ”

วาห์นอมยิ้มและพูดในสิ่งที่คนถามไม่ทันคาดคิดมาก่อน

“เธอดูสวยมาก”

ดวงตาสีแดงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่โลกิจะหุบขาลงและเริ่มคลานมาที่กลางเตียง

“เริ่มกันเลยดีกว่า ก่อนที่ฉันจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้”

วาห์นเผลอจ้องจังหวะการคลานของอีกฝ่ายเพลินเลย แต่พอได้ยินคำพูดนั่น เขาก็ก้มไปถอดบ๊อกเซอร์ของตัวเองทันที

เฮสเทียเองก็เลิกโอ้เอ้และรีบถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายออกเช่นกัน

ต่อให้ไม่นับทรวกอกอวบอิ่มที่เกือบจะไร้ที่ติ เรือนร่างของเทพตัวเล็กก็ทำให้วาห์นใจเต้นไม่เป็นส่ำไปพักหนึ่ง

นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าตัวเองเป็นล้านเท่า เขาอาจจะเกิดปอดแหกขึ้นมาแทนก็ได้ (TL: โลลิโลลิโลลิ)

แต่ก่อนที่วาห์นจะยลโฉมเรือนร่างของเฮสเทียเสร็จ โลกิก็พูดแทรกขึ้นมา

“โอ้โหเฮสเทีย เห็นแบบนี้แล้วไม่รู้สึกอิจฉาก็แปลกละ”

จากนั้นเธอก็หันมาจับเนินอกราบเรียบของตัวเองก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหัวเบาๆ

หลังจากนำมือออกไปแล้ว วาห์นก็ได้เห็นจุดเล็กๆ ที่มีสีพีชเป็นครั้งแรก

ถึงจะเอาไปอวดใครไม่ได้ แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า ‘บ๋อแบ๋ไม่มีอะไรเลย’

อาจเป็นเพราะคำพูดของโลกิจากตอนก่อนหน้านี้ เฮสเทียที่มีสีหน้ามั่นใจกว่าเดิมเริ่งดึงวาห์นเข้ามาใกล้พร้อมพูดขึ้น

“ไม่เห็นเป็นไรเลย วาห์นไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้สักหน่อย~!

ถึงหน้าอกของฉันจะดีที่สุด แต่คนอื่นๆ ก็มีข้อดีแตกต่างกันไปนี่นะ”

เพราะไม่คิดว่าจะได้รับ ‘คำปลอบ’ จากอริเก่า โลกิจึงทำหน้าเหวอไปเหมือนกันขณะที่อีกสองคนตามขึ้นมาบนเตียง

ตอนนี้เธอรู้สึกว่าทุกคนดูเก้ๆ กังๆ ไปหมด ทั้งๆ ที่วาห์นเองก็เคยผ่านประสบการณ์มาบ้างแล้ว

มันจะราบรื่นกว่านี้มากหากเขารุกหนักกว่านี้ แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอเคยบอกว่าจะ ‘นำทางให้เอง’

หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ โลกิได้ขอให้วาห์น ‘คอยช่วย’

เขาจึงกลายสภาพมาเป็น ‘คนตาม’ ทั้งๆ ที่ควรจะรุกใส่หญิงสาวทั้งสองก่อน

เธอเริ่มตระหนักว่าตัวเองควรหาคนมา ‘สอน’ วาห์นแบบเป็นเรื่องเป็นราวสักทีนึง ไม่งั้นต่อไปคนอื่นๆ คงได้ลำบากกันอีกเยอะ

เรื่องนี้โลกิไม่ควรสอนเองเป็นอย่างยิ่ง เธอจึงเริ่มใช้สมองคิดไปมาขณะจัดท่าให้วาห์นนอนลงกับเตียง

—————

จากนั้นเธอก็หันมาพูดกับเฮสเทียบ้าง

“เอาล่ะ จากที่เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ฉันฟัง เธอน่าจะรู้บ้างแล้วว่าต้องทำยังไง

ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดีก่อนล่ะก็ รับรองว่าเจ็บแน่

จะลองให้วาห์นนวดให้ก็ได้นะ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือเธอควรจะ ‘เสร็จ’ สัก 2-3 ครั้งก่อนจะใส่เข้าไป

เดี๋ยวจะลองแสดงให้ดูแบบคร่าวๆ ละกัน…” ขณะพูด โลกิก็ขึ้นมานั่งยองๆ ตรงส่วนเอวของวาห์นและ ‘เผย’ ทุกอย่างให้อีกสองคนได้เห็น

ถึงจะดูผอมมาก แต่โลกิก็สูงพอๆ กับวาห์นและมีร่างกายที่โตเป็นเต็มที่ จะติดก็แค่เรื่องหน้าอกนี่แหละ

เอวของเธอดูโค้งเว้าและค่อนข้างกว้าง บั้นท้ายก็แน่นและให้ความรู้สึกที่ดีต่อผู้ถูกนั่งทับ รวมๆ แล้วท่าทางของเธอดูเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญกับเรื่องที่กำลังจะทำในตอนนี้มาก

โลกิหันไปพูดกับเฮสเทียอีกครั้ง

“ไปนั่งตรงหน้าของวาห์นแล้วก็อย่าไปทับแขนเข้าล่ะ เพราะเธอต้องให้เขาใช้มันพยุงช่วยด้วย

วาห์น… ฉันว่านายคงจะพอเข้าใจอยู่แล้วนะ”

ถึงจะดูไม่ค่อยเป็นงานนัก แต่สุดท้ายเฮสเทียก็ขึ้นมาประจำที่ได้สำเร็จ

“ขอโทษนะ…” เธอพูดแบบเขินๆ

ถึงจะมองไม่เห็นโลกิในขณะนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือภาพจุดซ่อนเร้นที่เห็นไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนเช้า

มันเริ่มมีกลิ่นเย้ายวนออกมาบ้างแล้ว นี่เป็นสัญญาณบอกว่าเฮสเทียกำลังเข้าสู่สภาพ ‘เครื่องติด’

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงของโลกิดังขึ้น

“ค่อยๆ โน้มตัวมาข้างหน้าแต่ไม่ต้องเยอะมากนะ แล้วก็ลดเอวลงด้วย จะได้ไม่เป็นตะคริว

ถ้าไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปแบบเต็มๆ ล่ะก็ วาห์นคงไม่เป็นไรหรอก

แต่ถ้าแบบนั้นขึ้นมา เขาก็น่าจะสลัดพวกเราลงได้อยู่ดี” โลกิพูดจบพอดีกับที่เฮสเทียนั่งทับลงไปแล้วแบบเต็มๆ…

วาห์นรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นตรงริมฝีปากและคางก่อนที่ร่างของเฮสเทียจะเด้งกลับขึ้นไป

“อย่าไปถ่วงเขาหมดเลยสิ มาข้างหน้านิดนึง… เอ้านี่ จับมือฉันไว้” โลกิเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ

หัวใจของเฮสเทียแทบจะหลุดออกจากร่างหลังจากที่เอา ‘ปากล่าง’ ไปจูบกับวาห์นเล็กน้อย

ลมหายใจร้อนๆ ของเขาทำให้เธอตื่นตระหนกมาก และไม่นานความรู้สึกดังกล่าวก็ทำให้ช่องท้องเกิดร้อนวูบวาบอย่างไม่มีเหตุผล

พอเห็นโลกิส่งมือให้ เฮสเทียก็จับมันไว้และรู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะเลย

ด้วยสีหน้า ‘อ่อนโยน’ โลกิปล่อยมือข้างหนึ่งออกก่อนจะถอยหลังไปอีกหน่อย

“วาห์น นายเบาๆ มือกับเฮสเทียไปก่อนนะ… ฉันจะสอนอะไรให้เธอหน่อย”

วาห์นพยักหน้ากับตัวเองขณะนำหน้าเข้ามาสัมผัสกับร่องเล็กๆ ที่เริ่มเผยอออกนิดๆ

เขารู้สึกได้ถึงมือของโลกิที่ยื่นมาจับอาวุธคู่กายขณะที่ตัวเองยังคงง่วนอยู่กับเรื่องตรงหน้า

ร่างกายของเฮสเทียเริ่มเกร็งเมื่อวาห์นใช้ลิ้นโลมเลียด้านในแบบเป็นจังหวะ

เธอเกร็งตัวเป็นระยะๆ ขณะที่ความรู้สึกเสียวซ่านพุ่งผ่านร่างกาย ทว่าดวงตาสสีฟ้าก็ยังคง ‘จับจ้อง’ ไปทางคู่อริเก่า

ตอนนี้โลกิได้นำอาวุธของวาห์นมาทาบกับ ‘ปากทางเข้า’ ของตัวเอง ก่อนจะยกเอวขึ้นอีกเล็กน้อยจนส่วนปลายสัมผัสกับริมฝีปากล่างของเธอแบบพอดิบพอดี

เธอชี้ไปตรงรูเล็กๆ ที่อยู่บนสุดก่อน

“ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอต้องไปสนใจนะ ดูให้แน่ใจด้วยว่าเจ้าท่อนนี่เข้าไปอีกรูนึง…”

หลังจากเห็นเฮสเทียพยักหน้า โลกิก็สูดหายใจลึกๆ หลายครั้งก่อนจะปรับมุมต่ออีกหน่อยและค่อยๆ สอดปลายอันแข็งกร้าวเข้าไปข้างใน

ทุกครั้งที่หายใจออก เธอก็จะลดตัวลงทีละนิดจนกระทั่งผ่านไปได้แล้วประมาณครึ่งทาง

เพราะมีประสบการณ์มากกว่าเฮเฟสตัสหลายเท่า การน้อมรับวาห์นเข้าไปข้างในจึงไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาอะไรนัก เพียงแต่เธออยากทำให้เฮสเทียดูแบบช้าๆ เท่านั้นเอง

เธอยังสงสัยด้วยว่าวาห์นนั้นจะอึดสักแค่ไหน เพราะนี่เป็นเรื่องที่เฮเฟสตัสเคยคุยไว้ฟุ้งเลย

ถึงร่างกายของคนที่อยู่ด้านล่างจะกระตุกเล็กน้อย เธอก็สังเกตเห็นว่าวาห์นยังคงมีสมาธิและพยายามฝ่าแนวป้องกันของเฮสเทียอย่างขะมักเขม้น

โลกิพยายามเอนตัวมาข้างหลังเพื่อที่เฮสเทียจะได้เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่พอเครื่องของตัวเองเริ่มติดขึ้นมาบ้าง ความอดทนของเธอจึงลดลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากเอนตัวเข้าไปหาเฮสเทียจนหน้าอกชนกัน โลกิก็ลดเอวลงไปจนมิดด้าม

เธอถอนหายใจอย่างพึงพอใจก่อนจะเปรยออกมา

“ต่อให้นายไม่ว่าอะไร มาเจอแบบนี้ ฉันก็คงไปเล่นกับคนอื่นไม่ได้แล้วล่ะ…”

วาห์นนั้นไม่ใช่คนที่ ‘ใหญ่ที่สุด’ ที่โลกิเคยเจอ แต่ทั้งความยืดหยุ่น ความหนา บวกกับความร้อนสูง ทุกอย่างทำให้เธอรู้สึกลุ่มหลงไปหมด

แม้ว่าส่วนปลายของเขาจะเข้ามาประชิดจนติดชายแดนแล้ว แต่กำแพงชั้นในของเธอก็ยังพยายามลดต่ำลงเพื่อไปต้อนรับมันอีก

จากมุมมองของวาห์น เขารู้สึกดีมากจนอยากจะหลั่งออกมาซะเดี๋ยวนั้นเลย ราวกับว่ามีบางอย่างที่อุ่นและเนียนนุ่มกำลังกำเขาไว้อย่างแน่นหนา

ภายในของโลกินั้นต่างไปจากทุกอย่างที่เขาเคยเจอมา

ส่วนเรื่องที่โลกิ ‘ลงมาต้อนรับ’ เป็นอย่างดี… แน่นอนว่าเขาสัมผัสถึงมันได้แบบจับใจเลย

เป็นช่วงเวลาหลายวินาทีที่โลกิไม่ได้ขยับเขยื้อนและเอาแต่จ้องมองเฮสเทียที่ถูกวาห์นเล้าโลมจนใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้ว

เทพตัวเล็กกัดฟันแน่นและหายใจผ่านจมูกเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา

แม้ว่าโลกิจะตั้งกำแพงเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เฮสเทียก็รู้สึกเขินอยู่ดีที่มีคนอื่นมาจ้องแบบนี้

เพราะนอกจากใบหน้าของตัวเองจะดูแทบไม่ได้แล้ว เธอยังต้องคอยหักห้ามไม่ให้ร่างกายคล้อยตามความหฤหรรษ์ที่พยายามแทรกซึมไปทั่ว

วาห์นมองไม่เห็นเลยว่าข้างบนนั้นเกิดอะไรกันขึ้นบ้าง แต่เขาคิดว่าโลกิน่าจะไปแบบช้าๆ เพื่อให้เวลาเฮสเทียปรับตัว

เขายังคงใช้ลิ้นเข้าจัดการกับของเหลวที่ไหลออกมาจากเฮสเทียแบบไม่มีหยุด ขณะเดียวกันก็ใช้มือนวดตรงกลีบดอกชั้นในไปพร้อมๆ กันด้วย

เขาอยากลองดูเหมือนกันว่าจะทำให้เธอเสร็จโดยที่ไม่ไปยุ่งกับเจ้าเจ้าตุ่มแข็งชันได้หรือเปล่า… ดูจากภายในที่บิดไปมาแล้วก็น่าจะได้อยู่นะ

เสียงหายใจผ่านจมูกของเฮสเทียเริ่มยาวขึ้น รุนแรงขึ้น ทว่าวาห์นก็ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไร้ความปราณี

เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นภาชนะที่กำลังถูกเติมจนใกล้จะล้นอยู่แล้ว แถมยังต้องมาทนสายตาจ้องมองของอดีตคู่กัดอีก…

มือที่พยายามจะสะบัดให้หลุดก็ดันถูกอีกฝ่ายจับล็อคอย่างแน่นหนา

ตอนนี้เธอได้แต่พิงหน้าอกไปกับร่างของอีกฝ่ายในสภาพที่หายใจแทบไม่ทัน

แต่ก่อนที่จะมีอะไร ‘ล้น’ ออกมา เฮสเทียก็เริ่มหอบเสียงดังซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โลกิโน้มหน้าเข้ามาจูบริมฝีปากของเธอ

เฮสเทียตกใจกับจูบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจนลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ นั่นเปิดโอกาสให้วาห์นฝ่าแนวป้องกันของเธอไปได้อย่างงดงามและดุดันมาก

เฮสเทียอยากจะปิดปากและกัดฟันอีกครั้ง ทว่าลิ้นที่รุกล้ำเข้ามาข้างในกลับไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นได้ง่ายๆ

ในระหว่างที่ร่างกายสั่นอย่างรุนแรง เธอก็หอบหายใจหนักๆ ภายใต้การจู่โจมผสานระหว่างโลกิและวาห์น

ผ่านไปอีกหลายวินาที เอวของเฮสเทียก็ตกลงอย่างหมดเรี่ยวแรงในขณะที่เจ้าตัวเริ่มจูบตอบโลกิตามสัญชาตญาณ

หลังจากมาถึงห้องสมุด วาห์นก็ปีนบันไดไม้ขึ้นไปบนชั้นวางหนังสือและเอื้อมไปหยิบเล่มที่อยู่สูงที่สุด

ที่จริงวาห์นจะเก็บหนังสือเข้าช่องเก็บของและอ่านมันผ่านระบบก็ได้ แต่เขาชอบวิธีอ่านแบบดั้งเดิมมากกว่า เว้นแต่ว่ามันจะเป็นหนังสือเรียน

หนังสือที่เขาเลือกออกมานั้นดูเหมือนจะเป็นนิยายรักที่เหล่าสตรีชอบอ่านกัน

วาห์นเหน็บมันไว้ที่แขนก่อนจะปีนบันไดลงมาและหาที่นั่งที่สบายที่สุด

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ห้วงฝันใต้แสงจันทร์’ แต่งโดย ‘เวนทัส วาลิม’

ตัวหนังสืออยู่ในสภาพใหม่แกะกล่องเพราะเพิ่งถูกสร้างผ่านระบบเมื่อไม่นานมานี้เอง ดูๆ ไปก็ไม่เข้ากับรูปเล่มและตัวหนังสือที่เก่าแก่ของมันเลยแม้แต่น้อย

วาห์นสามารถอ่านเขียนได้ทุกภาษา ดังนั้นตัวหนังสือแปลกๆ นี่จึงไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด

2-3 ชั่วโมงต่อมา เขาก็ยังคงพลิกสู่หน้าต่อไปและอ่านมันด้วยความสนใจ…

นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสาวผู้มีนามว่าแองเจลิก้า

บิดาของแองเจลิก้านั้นได้หมั้นหมายเธอไว้กับสมาชิกของตระกูลคู่อริที่แข่งขันห้ำหั่นกันมานาน

ช่วงหลังมานี้ทั้งสองตระกูลรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต่อสู้และพยายามหาทางประนีประนอมด้วยการแต่งงาน

วิธีนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต เช่นการหันไปไล่บี้ตระกูลอื่นในละแวกเดียวกันแทน

แองเจลิก้ารู้สึกท้อไปกับโชคชะตาของตัวเอง ไม่ใช่เพราะต้องแต่งเข้าตระกูลดังกล่าว แต่เป็นเพราะเธอหลงรักชายหนุ่มผู้เป็นน้องของคู่หมั้นตัวเอง

ทั้งสองเคยแอบพบกันหลายครั้งแล้วและให้สาบานกันไว้ว่าสักวันจะหนีตามกันไปอยู่ดินแดนอันห่างไกล ห่างจากอิทธิพลและความขัดแย้งของตระกูล

แต่ตอนนี้เธอกลับต้องมาแต่งงานกับทายาทผู้ที่ใครๆ ก็ลือกันว่าเป็นคนโหดร้าย ทารุณ แถมยังชอบจับสาวชาวบ้านมาปู้ยี่ปู้ยำ

พอชายหนุ่มคนรักพยายามขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็ถูกบิดาลงโทษอย่างหนักในฐานะผผู้ที่ขัดความเจริญของตระกูล

ด้วยความรู้สึกจนตรอก ชายหนุ่มได้สารภาพออกมาว่าตัวเองนั้นมีใจให้แองเจลิก้า

ทว่าสุดท้ายเขาก็ถูกจับขังคุกใต้ดินจนกว่าวันวิวาห์จะผ่านพ้นไป

ส่วนพี่ชายคนโตนั้น ด้วยนิสัยโหดร้ายเป็นทุนเดิม เขายิ่งรู้สึกสนใจการแต่งงานครั้งนี้มากกว่าแต่ก่อน มากจนถึงขั้นอดไม่ได้ ต้องลงมาพูดจาเสียดสีเยาะเย้ยใส่น้องชายหลายต่อหลายหน

เขายังไปพูดกับแองเจลิก้าว่าหากไม่ยอมแต่งงานด้วย เขาก็จะไม่มีทางปล่อย ‘คนรักเก่า’ ของเธอให้เป็นอิสระเด็ดขาด

ในฐานะผู้นำตระกูลคนถัดไป ทายามหนุ่มย่อมมีอำนาจเหนือน้องชายที่เป็นเพียงบุตรคนที่ 5 อยู่แล้ว

ถึงจะรู้สึกเศร้ามากแค่ไหน แองเจลิก้าก็ตกลงปลงใจยอมแต่งงานกับปีศาจในคราบมนุษย์เพื่อช่วยเหลือคนรัก

ต่อให้ต้องทนทุกข์จากน้ำมือของสามี แต่ถ้าคนรักอยู่รอดปลอดภัย เธอก็ดีใจแล้ว

หลายสัปดาห์ที่ต้องทนอยู่กับคู่หมั้นผู้โหดร้าย แองเจลิก้าพยายามแข็งขืนมาตลอดจนกระทั่งอีกฝ่านทนไม่ไหวและพยายามขืนใจเธอ

การใช้น้ำตาและกำลังเข้าต่อต้านนั้นไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ขู่ให้เธอเงียบและพรากเอาความบริสุทธิ์ของเธอไป

ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจก็คือการเห็นคนรักได้รับอิสระหลังจบพิธีแต่งงาน

เรื่องราวยิ่งดูเลวร้ายเมื่อย่างเข้ายามราตรี คู่หมั้นหนุ่มพยายามบังคับให้เธอทำเรื่องไร้ยางอายหลายต่อหลายอย่าง

ในแต่ละครั้ง เขาก็จะใช้คำคู่แบบเดิมๆ เพื่อให้เธอสมยอม

เพราะเสียความบริสุทธิ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว แองเจลิก้าจึงยอมทำตามโดยให้ชายหนุ่มสาบานว่าเขาจะต้องปฏิบัติกับน้องชายอย่างดี

ชายหนุ่มให้สัญญาว่าน้องชายจะปลอดภัย ตราบเท่าที่เธอยังคงเชื่อฟังเขาทุกอย่าง

แองเจลิก้ากล้ำกลืนความปวดร้าวไว้ข้างในและยอมฉีกศักด์ศรีของตัวเองทิ้งเพื่อคนรัก

เมื่อถึงวันวิวาห์ แองเจลิก้าก็เข้าพิธีแต่งงานพร้อมรอยยิ้มปลอมๆ ที่แปะอยู่บนใบหน้า

เธอเห็นว่าแขกที่มาร่วมงานในวันนั้นต่างมีรอยยิ้มแบบเดียวกับตัวเองไม่เว้นแม้กระทั่งครอบครัวของเธอ

พวกเขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องที่เธอต้องทนทุกข์ แต่ทุกอย่างก็เพื่อสนธิสัญญาที่ยังคงค้ำคออยู่

มารดาของแองเจลิก้าได้แอบมอบขวดใส่เม็ดยาให้เธอ 2 กระปุก

ขวดแรกคือยาปลุกอารมณ์ ส่วนขวดที่สองนั้นก็คือยาแก้ปวด

พวกเขาต่างรู้ดีว่าทายาทหนุ่มเป็นคนแบบไหน และรู้ด้วยว่าต่อไปบุตรสาวคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

พิธีแต่งงานล่วงเลยมาถึงช่วงกลางคืน แองเจลิก้านั้นอยู่ในอ้อมแขนของสามีโดยมีเหล่าสมาชิกครอบครัวทั้งสองฝั่งคอยร้องเชียร์ก่อนที่เขาจะพาเธอเข้าสู่เรือนหอ

พอได้อยู่กันตามลำพังแล้ว แองเจลิก้าก็ร้องขอให้ปล่อยคนรักเก่าของเธอไป ทว่าชายหนุ่มกลับแสยะยิ้มขณะจับเธอกดลงกับเตียง

เขาตอบกลับไปว่าจะทำตามเงื่อนไขก็ต่อเมื่อพ้นคืนนี้ไปแล้วเท่านั้น

เป็นเรื่องปกติที่สามีและภรรยาจะต้อง ‘อยู่ด้วยกัน’ ในคืนวันแต่งงานในขณะที่สมาชิกตระกูลคนอื่นๆ ดื่มฉลองร่วมกัน

เป็นอีกครั้งที่แองเจลิก้าต้องยอมทำตามและคอย ‘บริการ’ ให้สามีใหม่จนถึงเช้า

เมื่อยามเช้ามาถึง แองเจลิก้าก็ไม่เหลือทั้งแรงกายและแรงใจเพราะสามีนั้นหนักมือกับเธอมาก

เพราะรู้ว่าเธอต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ ชายหนุ่มจึงบังคับเธอสารพัดและลงโทษทุกครั้งที่เธอทำผิดพลาด

ยิ่งเขาลงโทษ เธอก็ยิ่งทำผิดพลาดได้ง่ายขึ้น สถานการณ์ของเธอจึงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก

ตอนนี้ร่างกายของแองเจลิก้าเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำมากมาย นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าโชคชะตานั้นโหดร้ายกับเธอมากแค่ไหน

แองเจลิก้าถอนหายใจเมื่อเห็นแสงตะวันลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างและพยายามขอร้องสามีอีกครั้ง

ปีศาจร้ายยิ้มตอบก่อนจะส่งคนรับใช้ให้ไปนำตัวน้องชายมาที่ห้อง

แองเจลิก้าที่แม้จะเหนื่อยล้าจนใจแทบขาดกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีที่จะได้เห็นคนรักอีกครั้งหลังจากต้องแยกจากกันมานาน

เธอยกตัวขึ้นจากเตียงในขณะที่สามีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจากด้านข้าง

ก่อนจะเข้าใจว่าเสียงหัวเราะนั่นหมายถึงอะไร เขาก็ตบเข้าที่บั้นท้ายอย่างแรกจนใบหน้าของเธอฟุบลงกับเตียงอีกครั้ง

ชายหนุ่มจับแองเจลิก้าจากด้านหลังและเริ่มขืนใจเธอต่อ ทั้งๆ ที่คนรับใช้เดินกลับเข้ามาแล้วพร้อมกับโถใบหนึ่ง

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

แองเจลิก้าไม่เข้าใจความหมายของโถใบนั้นจนกระทั่ง ‘สามี’ เริ่มอธิบายให้ฟังว่าผู้เป็นน้องได้เสียชีวิตไปไม่นานหลังจากที่ถูกคุมขัง ส่วนสาเหตุก็คือโรคปวดบวมและทนพิษแผลไม่ไหว

ตลอดเวลาที่เธอต้องตกเป็นทาสและพยายามเอาอกเอาใจปีศาจร้าย… เลือดและน้ำตาทุกหยดกลับหมดไปกับความพยายามที่จะช่วยปลอดปล่อยชายหนุ่มที่จากไปแล้ว…

เจ้าปีศาจโบกมือไปทางคนรับใช้อีกครั้ง นั่นเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มเทอัฐิลงกับพื้นและทำให้มันไปกองอยู่ตรงหน้าแองเจลิก้าพอดี

หญิงสาวได้แต่มองเถ้ากระดูกด้วยสีหน้าว่างเปล่าขณะปล่อยให้ตัวเองถูกสิ่งที่เรียกว่า ‘สามี’ กระทำชำเราต่อไปเรื่อยๆ…

วาห์นรีบปิดหนังสือเสียงดังก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นขี้เถ้าและโปรยส่วนที่เหลือออกไปนอกหน้าต่างทันที

เขาทนอ่านมันต่อไปเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ว่าคนรักของเธอจะได้รับอิสระและทั้งสองอาจได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งเพราะโชคชะตารู้สึกเห็นใจ

แต่ยิ่งอ่านไปไกลเท่าไหร่ สำหรับแองเจลิก้านั้นทุกอย่างกลับดูแย่ลงเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นอ่านอะไรเศร้าๆ แบบนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจแทนหญิงสาวคนนั้น แถมเป็นหญิงสาวที่ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ

“เห้อ…”

วาห์นกลับไปนั่งโซฟาตามเดิมพลางมองขึ้นไปข้างบนและตั้งคำถามในใจว่าตัวเองรู้สึกเห็นใจคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า

เพราะได้มาอยู่ในเรคคอร์ดที่เคยเป็นแค่มังงะมาก่อน ตามทฤษฎีแล้ว วาห์นเชื่อว่าการเดินทางไปยังเรคคอร์ดของแองเจลิก้านั้นมีความเป็นไปได้สูง แต่อีกใจหนึ่ง วาห์นกลับพบว่ามันฟังดูไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะต้องออกไปไล่ช่วยทุกคนเพียงเพราะมาอ่านเจอเรื่องเศร้าในนิยาย

การเดินทางของเขาคงไม่มีวันจบลงแน่นอนหากต้องไปแวะเวียนเปลี่ยนโชคชะตาและพยายามทำให้ทุกคนมีความสุข

ทุกเรคคอร์ดที่เขาเดินทางผ่านนั้น แต่ละชีวิตก็จะมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง เรื่องเศร้าอีกมากมาย และรวมไปถึงโชคชะตาที่เขาสามารถเปลี่ยนมันได้ตามการกระทำ… ทุกอย่างมันมากเกินไป

“เห้อออ…”

วาห์นถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สองและพยายามหยุดคิดเรื่องในหนังสือ

ตอนนี้เขาได้เข้ามาพัวพันกับอีกหลายชีวิตและแปรเปลี่ยนโชคชะตาต่างๆ ไปหมดแล้ว

หากไม่สามารถรับประกันความสุขของตัวเองและของคนรอบตัวได้ เขาจะยังมีหน้าไปเปลี่ยนชะตาของของอื่นได้อีกเหรอ? โดยเฉพาะคนที่ในขณะนี้ยังไม่มีอยู่จริง…

หากเลือกไปที่เรคคอร์ดังกล่าว เขาก็จะทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมา

ส่วนคนที่ต้องทนทุกข์แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแองเจลิก้าเท่านั้น ยังมีโลกอีกทั้งใบและคนนับล้านหรือพันล้านที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก

วาห์นปิดตาลงเพื่อสงบจิตใจขณะปล่อยให้สัมผัสรับรู้ล่องลอยออกไปรอบๆ

เขา ‘เห็น’ พวกสาวๆ ที่เพิ่งกลับมาจากชอปปิ้งและกำลังแยกออกเป็นสามกลุ่ม

พวกเธอแต่ละคนนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางครั้งอาจดูเหมือนถูกผูกติดกับเขา แต่สุดท้ายก็ต้องแยกจากกัน

วาห์นอาจรู้สึกเห็นใจและเข้าใจพวกเธอ แต่เขาคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่นอน หากไม่ใช่เพราะมีระบบกับ [ความปรารถนาของหัวใจ] คอยช่วย

วาห์นเพิ่งตระหนักว่า หากต้องการ เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของแต่ละคนได้ไม่ยาก…

ถ้าเขาหยุดให้ความสนใจ หยุดตั้งข้อห้ามนู่นนี่นั่นขึ้นมา เขาก็คงจะสนุกกับชีวิตมากกว่านี้

เขาจะทำอะไรก็ได้ เลือกนอนกับใครก็ได้ที่อยากนอนด้วย

เขาสามารถวิจัยในสิ่งที่ตัวเองชอบ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราจากการสร้างไอเท็มขายไปวันๆ

เพราะสามารถอัพเดทสถานะได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเผ่าเทพ เขาจะลงดันเจี้ยนเมื่อไหร่ก็ได้ (ตราบใดที่ไม่ประมาท) และอาจพิชิตมันโดยไม่ต้องกลับขึ้นไปพักข้างบน

เขาสามารถหาลูกน้องมาเพิ่มเรื่อยๆ ฝึกให้จนเก่ง และสร้างกองทัพไร้ผู้ต้านทานขึ้นมา…

ทุกอย่างนี้คือในกรณีที่วาห์นโยนสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นทั้งหมดทิ้งไป

วัตถุประสงค์หลักที่เขามาเยือนโลกใบนี้คือการเสาะหา ‘ความสุข’ และ ‘อิสรภาพ’ โดยไม่ไประรานหรือหลอกใช้ประโยชน์จากคนอื่น

เวลาบางช่วงบางตอนอาจดูขลุกขลักไปบ้าง แต่วาห์นก็มีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับทุกคน

แต่ละคนต่างส่งอิทธิพลต่อชีวิตของกันและกันโดยมีเขาคอยดูแลอีกต่อหนึ่ง

ความเห็นอกเห็นใจของวาห์นนี่เองที่ทำให้พวกเธอรู้สึกเชื่อใจเขามาก ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตามมา… ถือว่าเป็นสีสันของชีวิตก็แล้วกัน

คนที่เข้ามาแล้วสีสันจะเยอะหน่อยก็มี เฮเฟสทัส เอน่า เฮสเทีย โคลอี้ ทีโอน่า ไอส์… ล้วนแต่เป็นคนที่วาห์นรักมากที่สุด

แม้แต่เทพธิดาอย่างโลกิที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะญาติดีด้วยก็ต่างจากที่คิดไว้ตอนแรกมาก

เธอทำเพื่อวาห์นหลายอย่าง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยให้อะไรตอบแทนเลยนอกจากคำสัญญาปากเปล่าและปัญหามากมาย

แม้เทพสาวจะเปิดใจกับเขาแบบสุดๆ แต่วาห์นก็บอกให้เธอรอก่อนในขณะที่ตัวเองหันไปจัดระเบียบชีวิตอันยุ่งเหยิง

นอกจากจะไม่ปริปากบ่นแล้ว เธอยังรับฟังคำขอของเขาและแอบให้ความช่วยเหลือมาตลอด

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอพยายามเข้าสกัดอิชทาร์แฟมิเลียเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาผ่อนคลายและปกป้องฮารุฮิเมะได้ง่ายขึ้น….

เป็นอีกครั้งที่วาห์นตระหนักถึงการความโลเลของตัวเอง

ถึงจะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่เขายังขาดความสามารถในการวิเคราะห์เชิงลึก

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเชื่อใจคนอื่นมากจนเกินไป แต่อย่างน้อยวาห์นก็พอเข้าใจว่าตัวเองยังขาดคุณสมบัติข้อไหนบ้าง

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้หรือแก้ไขภายในวันเดียว… ประสบการณ์และเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาได้

เขาเปลี่ยนไปมากในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เดินทางเข้าเมือง แล้วถ้าเป็นอีก 1 ล่ะ? หรือ 10 ปี? หรือ 100 ปีนับจากนี้?

แค่อีก 8 เดือนนับจากตอนนี้ วาห์นก็จะกลายเป็นพ่อคนแล้ว… เขารู้สึกได้เลยว่าเรื่องนี้จะนำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแน่นอน

“งั้นวิธีเดียวที่ทำได้… ก็คือใช้ชีวิตต่อไปสินะ… ตอนพูดฟังดูง่าย แต่พอทำจริงทำไมมันยากจังเลย?” วาห์นพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เขาเริ่มหัวเราะไปกับ ‘ข้อสรุป’ ของตัวเองขณะลุกขึ้นจากโซฟาและมุ่งหน้าไปทางพื้นที่ส่วนกลาง

หากไม่สามารถหาคำตอบได้และอยากได้ประสบการณ์เพิ่ม วิธีที่ดีที่สุดก็คือการออกไปหาประสบการณ์นั่นเอง

มัวแต่นั่งเงียบๆ คนเดียวแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ทำไมถึงไม่เข้าหาคนอื่นเพื่อช่วยกันแบ่งเบาปัญหา?

ราวกับตระหนักถึงบางอย่าง วาห์นหยุดเดินชั่วคราวพร้อมเผยรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า

เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มด้านบน

“ชีวิตอาจเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน… แต่การใช้ชีวิตคือประสบการณ์ที่แต่ละคนใช้ร่วมกัน

ร่างกายของเราจะไม่มีวันแก่ลง ต่อให้อยู่ที่ ‘ป่าทิศตะวันตก’ ไปอีกพันปีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เราก็จะไม่ได้มาสัมผัสกับ ‘ชีวิต’ ในเมืองนี้…

พอเข้าใจซะแล้วสิ ว่าทำไมพวกเทพถึงลงมาที่โลกมนุษย์แทนการอยู่บนสวรรค์

พวกเขาเป็นอมตะ คงอยู่ตลอดกาล มีอายุขัยไม่รู้จบ… แต่ช่วงเวลาเดียวที่ต่างมีอิสรภาพ ก็คือช่วงที่ลงมายังพื้นโลกนี่แหละ…”

วาห์นหัวเราะกับตัวเองและเริ่มเดินต่อโดยหยุดกังวลเรื่องที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ถึงจะได้เดินทางผ่านเรคคอร์ดมากมายในอนาคต แต่มันก็ไม่มีความหมายเลยหากเขาไม่ได้ ‘ใช้ชีวิต’ และสัมผัสกับทุกอย่าง

วาห์นตัดสินใจว่า แทนที่จะกังวลเรื่องอนาคต (อย่างน้อยก็เรื่องโลกใบอื่นที่อยู่เหนือการควบคุม) เขาควรจะใส่ใจกับช่วงเวลาและโลกที่อยู่ปัจจุบันให้มากกว่านี้

ต่อให้ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก แต่ความสุขก็ไม่เคยอยู่ใกล้เกินเอื้อม สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือยื่นมือออกไปและคว้ามันเอาไว้…

เป็นเวลานานหลายวินาทีที่วาห์นไม่รู้ว่าจะตอบเพรเซียยังไงดีและได้แต่จ้องมองสีหน้าอันว่างเปล่าของเธอ

ตอนแรกวาห์นคิดว่าตัวเองหูฝาดไปด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะริมฝีปากที่ขยับไปมาและการที่เพรเซียถามคำถามเดิมซ้ำเป็นรอบที่สี่แล้ว

วาห์นอยากร้องอุทานดังๆ และลุกไปปลอบหญิงสาว แต่เขาก็เปลี่ยนใจและเลือกที่จะตอบคำถามนั่นแทน

“ฉันอยากช่วยเธอ… อยากทำให้คนที่ทำร้ายเธอต้องชดใช้”

“คุณจะ… ทำร้ายฉันหรือเปล่า?” เพรเซียตอบสนองด้วยคำถามข้อใหม่

นั่นทำให้วาห์นยิ่งกัดฟันแน่นจนเลือดเกือบออก เขามองตรงเข้าไปในดวงตาของเธอและพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ฉันไม่มีวันทำร้ายเธอ… ฉันอยากจะรักษาเธอ เธอไม่ควรต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้… นี่มันไม่ถูกต้องเลย!”

หากเศษสวะนั่นมายืนอยู่ต่อหน้าในตอนนี้ วาห์นสาบานได้เลยว่าเขาคงกระชากลำไส้มันออกมาเพื่อดูว่าภายในยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า

เพรเซียยังคงนิ่งเงียบไปหลายนาทีและวาห์นสังเกตเห็นว่าเธอไม่แม้แต่จะกระพริบตาขณะเฝ้ามองเขาอย่างต่อเนื่อง

เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดไปแล้วเธอจะเข้าใจหรือเปล่า ยังดีที่เฟนเรียร์เองก็ไม่ชอบความเงียบนี่และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“วาห์นคนดี วาห์นไม่เคยทำร้ายเพรเซีย วาห์นอัดแต่พวกคนไม่ดี เพรเซียเป็นเด็กดี”

เพื่อเน้นย้ำสิ่งที่ตัวเองพูด เฟนเรียร์เริ่มลูบหัวของเพรเซียด้วยอุ้งมืออย่างแผ่วเบา

เพรเซียจ้องวาห์นต่อไปอีกพักหนึ่งจนกระทั่งเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง

“คุณ… รักษาฉันได้?”

เป็นเสี้ยววินาทีที่วาห์นคิดว่าตัวเองเห็นประกายเล็กน้อยในดวงตาของเพรเซีย เป็นดั่งประกายแสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด

แทนที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด วาห์นเริ่มลากเล็บไปตามฝ่ามือของตัวเองจนเกิดรอยแผลและมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ที่มืออีกข้างและนำมันมาทาบที่รอยตัด

ไม่นานแผลก็จางหายไปหมดจนไม่เหลือแม้กระทั่งรอยแผลเป็น

เป็นครั้งแรกที่เพรเซียหันออกจากใบหน้าของวาห์นและเปลี่ยนมาจ้องมือของเขาแทน

วาห์นเห็นว่าเธอเอนตัวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย เขาจึงขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ และปล่อยให้เธอตรวจสอบฝ่ามือได้ตามใจชอบ

เพรเซียยังคงจ้องมองด้วยสีหน้าว่างเปล่า ก่อนจะยื่นมือของเธอออกมาสัมผัสมันไว้

สิ่งแรกที่วาห์นสัมผัสได้ก็คือความเย็นของมือนั่น เขาต้องฝืนใจตัวเองเพื่อไม่ให้ใช้พลังออกไปและทำให้มัน ‘อบอุ่น’ ในตอนนี้เลย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เพรเซียก็ขยับมือออกพร้อมกับม้วนแขนเสื้อของตัวเองขึ้นและเผยให้เห็นแผลเป็นมากมายเหลือคณานับ

มีรูเล็กๆ อยู่จำนวนหนึ่งซึ่งน่าจะเกิดจากการโดนจี้ด้วยแท่งเหล็กร้อนๆ ตามมาด้วยรอยสลักตัวอักษรอย่าง ‘เดรัจฉาน’ และ ‘ทาส’ ซึ่งทำให้วาห์นหัวหมุนไปหมด

ในสภาพเหม่อลอย เพรเซียลากนิ้วไปตามรอยแผลเป็นหลายแห่ง รวมถึงคำพูดดูถูกเหล่านั้นด้วย

วาห์นอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเล็กน้อยเพราะความรู้สึกเครียดไปกับบรรยากาศ เขาคิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ออกเลยและได้แต่เฝ้าดูการกระทำของเธอภายใต้ความเงียบ

วาห์นเห็นเพรเซียสัมผัสกับคำว่า ‘เดรัจฉาน’ เป็นเวลานาน ก่อนที่เธอจะเริ่มพึมพำด้วยเสียงสั่นไหว

“ฉัน… ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน… ได้โปรด… ทำให้มันหายไปที”

เพรเซียยื่นแขนออกมาหาวาห์นที่พยักหน้าตอบ

“อาจจะรู้สึกเจ็บๆ คันๆ หน่อยนะ… นั่นเป็นเพราะบาดแผลของเธอกำลังถูกกระตุ้นให้ฟื้นตัว…”

หลังจากไหลเวียนพลังไว้ที่นิ้วชี้ วาห์นก็ค่อยๆ ลากมันผ่านคำๆ นั้นเป็นอย่างแรกและเริ่มลบมันออก

ยิ่งแผลเป็นใหญ่มาก ผู้ถูกรักษาก็จะยิ่งเจ็บปวด แต่วาห์นสังเกตเห็นว่าเพรเซียนั้นไม่สะดุ้งสะเทือนเลยและยังคงจ้องมองที่แขนตัวเองแบบตาไม่กระพริบ

เป็นครั้งแรกที่เพรเซียเริ่มแสดงอาการหวั่นไหวขณะสัมผัสกับผิวสีอมชมพูของตัวเอง

แม้ว่าจะหลงเหลืออาการคันอยู่เล็กน้อย แต่คำอันแสนเกลียดชังนั่นก็หายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความทรงจำ… กับผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งสะอาดสะอ้าน

วาห์นเห็นดวงตาเปียกชื้นที่เริ่มมีแสงกลับมาให้เห็น ก่อนที่เพรเซียจะสะอื้นเสียงดังลั่น มันดังมากเสียจนเฮสเทียกับฮารุฮิเมะยังต้องลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

พอเข้ามาแล้วทั้งสองก็เห็นน้ำตาบนใบหน้าของทุกคนในห้องขณะที่ทั้งสามสาวกำลังพยายามปลอบเพรเซียที่ลงไปกองอยู่กับพื้น

วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสของเฮสเทียและสีเขียวสงบนิ่งของฮารุฮิเมะด้วยสีหน้าเจ็บปวดซึ่งทำให้ทั้งสองรู้ทันทีว่าเขากำลัง ‘ขอความช่วยเหลือ’

หากทำได้ วาห์นคงเข้าไปรักษาแผลเป็นทั้งหมดของเพรเซียเสียแต่ตอนนี้เลย

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะรับมือกับฉากตรงหน้ายังไงดี เพราะความโกรธเมื่อกี้นี้ วาห์นเลยอยู่ในสภาพทำตัวไม่ถูกและอยากให้เอน่าหรือเฮเฟสตัสมาอยู่ด้วยในตอนนี้เหลือเกิน

สำหรับฮารุฮิเมะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นวาห์นในสภาพ ‘หลงทาง’ จนต้องรีบลงมานั่งข้างๆ เขาก่อนจะพยายามปลอบหญิงสาวเผ่ามนุษย์แกะที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานมานี้เอง

ฮารุฮิเมะยังจำชื่อของเพรเซียไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เธอพอมองออกว่าสถานการณ์คงเลวร้ายมากหากดูจากท่าทางของวาห์น

เนื่องจากไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงเช่นกัน เธอจึงเริ่มจากกระซิบคำปลอบโยนไปทางหญิงสาวที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

เฮสเทียที่แสดงอาการลังเลอยู่นั้นรู้สึกทึ่งกับการตัดสินใจอย่างฉับไวของฮารุฮิเมะจริงๆ

แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทว่าฮารุฮิเมะก็ออกตัวอย่างรวดเร็วในขณะที่เทพธิดาอย่างเธอกลับได้แต่มองจากด้านข้าง

สิ่งหนึ่งที่เฮสเทียรู้ก็คือวาห์นกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดี…

วาห์นขอบคุณฮารุฮิเมะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองเฮสเทียแทน

ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าจะถามเธอว่าอะไร ที่รู้แน่ๆ ก็คือเฮสเทียคือที่พึ่งสุดท้ายและเธอต้องมีวิธีดีๆ แน่นอน

เทพตัวเล็กอาจแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเป็นบางครั้ง แต่เนื้อในของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น

วาห์นเชื่ออย่างสนิทใจว่าสิ่งที่เอน่าหรือมิลานทำได้นั้น เฮสเทียเองก็สามารถทำได้เช่นกัน…

สายตาคาดหวังของวาห์นทำให้เฮสเทียรู้สึกกลัวและกดดันมาก แต่นอกเหนือจากสองอย่างนั้นแล้ว ไฟดวงเล็กๆ ในใจก็เริ่มลุกโชนขึ้นอย่างช้าๆ

มันขับไล่ความกลัวและเรียกเอาความมั่นใจกลับมาสู่ดวงตาของเฮสเทียอีกครั้ง

“ช่วยขยับออกจากเพรเซียสักเดี๋ยวนึงนะ”

แม้ไม่เข้าใจว่าเฮสเทียตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แต่ทุกคนก็ยอมทำตามและค่อยๆ ถอยออกไป… ทุกคนยกเว้นเฟนเรียร์น่ะสิ

วาห์นต้องเป็นคนบุ้ยใบ้ให้เฟนเรียร์ถอยออกมาด้วยตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้กับเฮสเทีย

ตอนแรกออร่าของเทพตัวเล็กดูสั่นไหวไปหมด แต่วาห์นสังเหตุเห็นว่ามันดูสงบขึ้นเยอะเลย

เมื่อทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว เพรเซียก็ยังคงร้องไห้ต่อไปซึ่งก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก

เฮสเทียมานั่งคุกเข่าลงข้างๆ แต่แทนที่จะปลอบเพรเซียแบบตรงๆ เธอกลับประคองใบหน้าของหญิงสาวให้มาสบตาด้วยแทน

เป็นการกระทำที่ดูไร้ซึ่งความอ่อนโยน แต่มันก็ถูกทดแทนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่ตามมา

“เธออยากให้ความทรงจำไม่ดีหายไปหรือเปล่า?”

เพรเซียจ้องประสานกับดวงตาสีฟ้าใสขณะที่เสียงสะอื้นของเธอค่อยๆ บรรเทาลง

ของเหลวที่ใบหน้ายังคงไหลออกมาไม่หยุด แต่อย่างน้อยเธอก็ฝืนขย้อนคำพูดออกมาจนได้

“ได้โปรด… ได้โปรดช่วยฉันด้วย…”

เฮสเทียนำศีรษะของเพรเซียมาไว้ในอ้อมอกอกแม้ว่าเขาแกะแหลมคมนั่นจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม เธอลูบเรือนผมสีเงินขณะพูดต่อ

“วาห์นจะช่วยเธอเอง… แต่เธอต้องเชื่อใจเขาด้วย
จะไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก จงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและอยู่อย่างมีความสุขเถอะ

หนึ่งในเหตุผลที่เทพอย่างเรารู้สึกอิจฉาคนทั่วไปก็เพราะความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองนี่แหละ…

แม้จะพบกับเรื่องเศร้าขนาดไหน ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา พวกเธอก็สามารถแสวงหาความสุขต่อไปได้

ตอนนี้ไม่มีอะไรมาขวางแล้วนอกเสียจากตัวเธอเอง…

อย่าปล่อยให้ความทรงจำเลวร้ายเข้าครอบงำไปตลอด… อย่าปล่อยให้คนเลวพวกนั้นมีอำนาจเหนือจิตใจของเธอ

สักวันเธอจะเป็นมากกว่าสิ่งที่พวกมันนึกฝัน… แต่อย่างน้อยสำหรับในตอนนี้… เธอปลอดภัยแล้ว”

วาห์นรู้สึกราวกับว่าคำพูดปลอบโยนของของเฮสเทียนั้นเป็นดั่งคาถาเวทมนตร์วิเศษ

ทุกคำล้วนแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและความมั่นใจจนแม้แต่เขาเองยังรู้สึกเคลิ้มไปด้วย และเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้น เพราะนอกจากเฟนเรียร์แล้ว ทุกคนต่างแสดงสีหน้าราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด ส่วนคนที่โดนผลเข้าไปแบบเต็มๆ อย่างเพรเซียเองก็เริ่มสูดหายใจแรงๆ แทนการกลับร้องไห้ต่อ

หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นสูงกว่าเดิมและกล่าวอ้อนวอนต่อชายหนุ่มคนเดียวในห้อง

“ได้โปรดรักษาฉันด้วย… ฉันอยากจะลืมให้หมด… ฉันไม่อยากเห็นรอยแผลเป็นพวกนี้อีกแล้วค่ะ!”

แม้ว่าภายในของตัวเองจะยังวุ่นวายอยู่บ้าง แต่วาห์นก็พยักหน้าให้และพูดอย่างหนักแน่น

“ฉันจะรักษาให้เอง จะลบมันออกให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่รอยเดียวเลย”

วาห์นยืนขึ้นจากพื้นในขณะที่เฮสเทียช่วยพยุงร่างของเพรเซียขึ้นเช่นกัน

ด้วยมืออันสั่นคลอน เพรเซียค่อยๆ ถอดเสื้อแขนยาวของตัวเองออกจนวาห์นเข้าใจว่าเธอคงอยากจะให้รักษา ‘ตอนนี้เลย’

เขาพยักหน้าให้กับคู่แฝดซึ่งทั้งสองก็เข้าใจทันทีพร้อมกับเข้าไปช่วยเพรเซียอีกแรง ส่วนเฮสเทียกับฮารุฮิเมะนั้นเดินเข้ามาหาวาห์นเพื่อดูว่าเขาต้องการคนช่วยอะไรเพิ่มหรือเปล่า

“ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง พวกเธอไม่ต้องห่วง”

วาห์นเริ่มจากการโบกมือไปในอากาศและดึง [โต๊ะนวด] ที่เขาซื้อไว้ออกมา

มันเป็นโต๊ะยาวที่ลาดเอียงเล็กน้อยและมีรูไว้สำหรับใส่ศีรษะเวลานอนคว่ำ

ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางกระจกบานใหญ่ไว้ใกล้ๆ เพื่อที่เพรเซียจะได้ตรวจสอบร่างกายของตัวเองในช่วงก่อนและหลังการรักษา

วาห์นเดาว่าเธอคงอยากจะดูร่างกายให้ทั่วๆ เสียก่อน ในระหว่างนั้นเขาก็จะปล่อยให้คนอื่นๆ ไปอาบน้ำอาบท่าในขณะที่ตัวเองเริ่มติดต่อไปทางกลุ่มที่เกี่ยวข้อง

อาจเป็นเพราะการที่ต้องตกเป็นทาสมานาน แม้จะเหลือเพียงกางเกงในชิ้นเดียว แต่เพรเซียก็ไม่มีท่าทางเขินอายเลยแม้แต่น้อย

พอได้เห็นหมดทุกอย่างแล้วทุกคนก็รู้ซึ้งทันทีว่าเจ้าของคนก่อนของเพรเซียนั้นวิปริตแค่ไหน

นอกจากใบหน้าไร้รอยแผลของเพรเซียแล้ว ทุกอย่างที่เหลือนั้นดูเละเทะไปหมด… ไม่เว้นแม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นตรงด้านหน้าและด้านหลัง

พอเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกถอดออก สาวๆ บางคนก็ถึงกับตัวสั่นไปเลย

สำหรับฮารุฮิเมะนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นร่องรอยแห่งความโหดร้ายเกินคำบรรยาย

สิ่งเดียวที่หญิงสาวทำได้ก็คือใช้มือปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา

แม้ออร่าจะดูยุ่งเหยิงมาก แต่อย่างน้อยเฮสเทียก็ยังรักษาสีหน้าอ่อนโยนเอาไว้แบบเดิม

ไม่นานเทพตัวเล็กก็เดินเข้าไปหาเพรเซียเพื่อช่วยพยุงร่างอันบอบช้ำอีกครั้ง

เพราะวาห์นนำสิ่งของต่างๆ ออกมาวางรอไว้แล้ว เฮสเทียจึงรู้ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง

การได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองแบบเต็มๆ ทำให้แสงในดวงตาของเพรเซียใกล้ดับลงอีกครั้ง ยังดีที่ข้างกายนั้นมีเทพตัวเล็กคอยกระซิบปลอบเรื่อยๆ

“นี่ไม่ใช่เธอ… นี่คือสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้เธอ

แสดงให้พวกมันเห็นสิ ว่าเธอไม่ใช่ทาส… ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้วและจะไม่ต้องเห็นหรือพบกับอะไรแบบนี้อีก”

เป็นคำปลอบที่ดูได้ผลดีทีเดียว เพราะแสงในดวงตาของเพรเซียกลับมาลุกโชนยิ่งกว่าเก่า ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินและลงมานั่งบนโต๊ะโดยมีเฮสเทียคอยช่วย

เพราะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแผลเป็นด้านหน้า เพรเซียเลยตัดสินใจนอนหงายขณะมองวาห์นด้วยสายตาอ้อนวอนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดมันลง

พอได้เห็นแผลทุกส่วนแล้ว วาห์นจึงรู้ว่างานนี้เธอต้องเจ็บกว่าที่เขาคำนวณไว้แน่นอน

“เราจะเริ่มจากการนวดคลายกล้ามเนื้อก่อนนะ มันจะช่วยทำให้เธอเจ็บน้อยลง

ผลข้างเคียงก็คือเธอจะขยับตัวไม่ค่อยได้ ดังนั้นอย่าตกใจไปล่ะ…”

เพรเซียพยักหน้าเล็กน้อยในสภาพปิดตาแน่นเหมือนเดิม

วาห์นสูดลมหายใจลึกๆ และเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อทำตามที่ตัวเองอธิบายไว้เมื่อกี้นี้พร้อมกับรักษาแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยเลย

ความตึงเครียดในร่างกายจางหายไปอย่างรวดเร็วจนเพรเซียต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและเปลี่ยนไปมองเฮสเทียที่กุมมือของเธออยู่ข้างๆ

ขั้นตอนนี้กินเวลาประมาณ 40 นาที แต่วาห์นก็สามารถรักษาและลบรอยแผลเป็นที่อยู่ด้านหน้าออกไปได้จนหมด

แน่นอนว่าส่วนที่ยากสุดๆ ก็คือการจัดการกับรอยแผลตรงช่วงหว่างขานั่นเอง

เพรเซียที่ไม่ควรจะขยับตัวได้ถึงกับเกร็งร่างกายอย่างรุนแรงและกัดฟันแน่นในระหว่างที่วาห์นต้องสัมผัสตรงบริเวณดังกล่าว

หลังจากจบขั้นตอนนี้แล้ว เฮสเทียก็ช่วยพยุงเธอขึ้นมาที่กระจกเป็นครั้งที่สอง

สภาพร่างกายด้านหน้าที่ดูหมดจดไร้ซึ่งแผลเป็นเล่นเอาหญิงสาวร้องไม่ออกและได้แต่จ้องมองภาพสะท้อนด้วยดวงตาสั่นไหว

สิ่งแรกที่สมองของเธอสรุปได้ก็คือ ‘นี่เป็นภาพลวงตา’ ตามมาด้วย ‘เรากำลังฝันอยู่ใช่ไหม?’

พอสมองใช้การไม่ได้ชั่วคราว ร่างกายก็เลยหยุดเคลื่อนไหวไปด้วย งานนี้เฮสเทียเลยต้องโบกมือให้เอมิรุมาช่วยพยุงเพรเซียกลับไปที่โต๊ะด้วยอีกแรง

ด้านหลังของเพรเซียนั้นดูสาหัสยิ่งกว่าด้านหน้าเสียอีก

วาห์นต้องใช้เวลาไปประมาณชั่วกว่าๆ ถึงจะจัดการทุกอย่างได้หมด

แม้จะฟันธงไม่ได้ แต่เขาค่อนข้างมันใจว่ารอยส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากการถูกหวดด้วยแส้

แผลเป็นบางแห่งยังมีความลึกเกินหนึ่งเซนติเมตร พูดอีกอย่างก็คือเธอถูดแส้ฟาดตรงจุดเดิมซ้ำกันหลายครั้ง

ดูจากสีที่คละกันไปมาของแผลเป็น ปีศาจนั่นคงจะราดโพชั่นคุณภาพต่ำซ้ำไปมาในระหว่างที่ทรมานเธอไปด้วย

ในระหว่างการรักษา เพรเซียนั้นแทบไม่สะดุ้งสะเทือนเหมือนอย่างที่วาห์นอธิบายไว้เลย

มันไม่ใช่เพราะเธอมีความอดทนสูง แต่เป็นเพราะเซลล์ประสาทของเธอนั้นดูท่าจะเสื่อมสภาพไปหมดแล้ว…

หลังจากใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 2 ชั่วโมง รอยแผลเป็นทั้งหมดบนร่างกายของเพรเซียก็อันตรธานหายไปจนหมด

เพราะเธอตรวจสอบด้านหลังไม่ค่อยถนัด วาห์นเลยนำกระจกขึ้นมาเพิ่มให้เป็นสามด้านซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ร้านเสื้อผ้าใช้ในห้องเปลี่ยนชุด

เพรเซียไล่ดูทุกจุดอย่างละเอียด ไม่เว้นแม้แต่ตรงส่วนหางและใบหูที่เคยมีรอยไหม้เกรอะกรัง

ครู่ต่อมา เธอก็เริ่มมีอาการชักและหมดสติไปอย่างรวดเร็ว ดีที่มีคู่แฝดอยู่ข้างๆ และรับร่างเอาไว้ได้ทัน

ตอนนี้ตัวช่วยหลักนั้นไม่อยู่แล้ว เพราะวาห์นขอให้เธอส่งข้อความแทนเขา เฮสเทียจึงออกไปจากห้องเมื่อไม่นานมานี้เอง

วาห์นอุ้มร่างไร้สติของเพรเซียมาที่ห้องอาบน้ำฝั่งผู้หญิงโดยมีฮารุมิเนะ เอมิรุ มาเอมิ และเฟนเรียร์ตามมาติดๆ

ในขณะที่สาวๆ กำลังถอดเสื้อผ้ากันอยู่ วาห์นก็เดินไปทางฝั่งบ่อตื้นก่อนจะลงไปทั้งแบบนั้นโดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก

ที่จริงวาห์นจะถอดชุดผ่านระบบก็ได้ แต่เขาคิดว่ามันคงจะไม่ดีหากเพรเซียตื่นมาเห็นเข้า

ไม่นานพวกสาวๆ ก็ตามเข้ามาในสภาพเปลือยเปล่าหมดทุกคนแบบไม่สนสักนิดว่าในห้องน้ำนั้นมีวาห์นอยู่ด้วย

ฮารุฮิเมะเองก็เอากับเขาเช่นกัน หญิงสาวยิ้มให้วาห์นอย่างสุภาพก่อนจะเข้ามารับหน้าที่อาบน้ำให้กับเพรเซีย

วาห์นกล่าวขอบคุณเบาๆ พร้อมกับพยายาม ‘ไม่มอง’ อาหารตาที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องและเปลี่ยนเอาชุดแห้งๆ มาใส่แทน

สีหน้าของเขาดูแข็งกร้าวขึ้นในระหว่างที่เดินไปทางห้องของเฮสเทียเพื่อดูว่าเธอเจอข้อมูลอะไรเข้าหรือเปล่า

วาห์นอยากไปลากคอไอ้สารเลวนั่นด้วยตัวเอง… มันอาจไม่ทำให้เพรเซียรู้สึกดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ ก็คือเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ทั้งกับเพรเซียและกับโทสะอันคุกรุ่นของเขา

ไม่ว่ามันจะไปซ่อนอยู่ในนรกขุมไหน รับรองเลยว่าเดี๋ยวมันต้องไม่ได้ตายดีแน่นอน

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท