วาห์นตื่นขึ้นมาในมิติว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
เขาตกใจอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะนึกออกว่าเคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อนแล้ว
หลังจากได้สติ พลังเขตแดนก็ถูกกางออกไปรอบๆ ทันที
เปลวเพลิงสีฟ้า สีทอง และสีแดงเริ่มกระจายออกไปทั่วบริเวณ
เมื่อมันหยุดลง ดวงตาหลายคู่ก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยรูปร่างที่ดูคล้ายกับ [ร่างจตุรเทพ] ทั้งสี่
ตัวที่อยู่ตรงหน้าวาห์นพอดีก็คือเจ้าพยัคฆ์ขาวที่กำลังยืนอย่างองอาจ ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คืออักษรรูนแปลกๆ ที่ติดอยู่ตามร่างกายของมัน
วาห์นพอสัมผัสได้ว่าพยัคฆ์ขาวกำลังอยู่ในช่วงวิวัฒนาการซึ่งมันจะเป็นประโยชนิอย่างมากสำหรับตัวเขาในอนาคต
เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมันเพื่อแสดงความขอบคุณ
พยัคฆ์ขาวคือร่างแปลงที่สำคัญมาก เรียกได้ว่ามันคือหัวใจหลักของสไตล์การต่อสู้ที่วาห์นใช้มาพักใหญ่ๆ แล้ว
เจ้าเสือยักษ์ขนาด 10 เมตรค่อยๆ ล้มตัวลงนอนไปกับความว่างเปล่าพร้อมกับส่งเสียงครางที่ทำให้อากาศรอบๆ สั่นไหว
ดวงตาสีน้ำเงินนั่นบ่งบอกว่ามันกำลังมีความสุขมาก
ครู่ต่อมา วาห์นก็เริ่มหันไปสนใจเหล่าสหายสามตัวที่เหลือ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ประกาศนามของพวกมันอย่างเป็นทางการก็ตาม
เขารู้ว่าเรื่องการตั้งชื่อน่าจะผูกกับปัจจัยต่างๆ ในโลกจริงด้วย จะฝืนทำอะไรลงไปไม่ได้เด็ดขาด
มังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออกนั้นกำลังมองเขาราวกับเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ส่วนนกไฟแห่งทิศใต้กลับใช้สายตาที่ออกแนว ‘เร่าร้อน’ หน่อยๆ
พอหันไปหาเจ้าเต่าดำแห่งทิศเหนือ… มันไม่ได้ส่งสายตาคิดถึงหรือหลงใหล แต่เป็นสายตาแห่งความภาคภูมิ
การจ้องมันแบบชัดๆ ทำให้วาห์นพบว่ายังมีดวงตาสีทองอีกคู่ที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ร่างของงูสีทองที่ขดอยู่กับกระดองของเต่าดำปรากฏขึ้นราวกับรู้ว่าวาห์นสัมผัสถึงมันได้แล้ว
วาห์นลอยเข้าไปใกล้อีกจนทำให้พวกมันทั้งสองต้องก้มหัวลงต่ำ
ในช่วงที่กำลังต่อสู้กับทีโอเน่อย่างดุเดือดอยู่นั้น จู่ๆ ระบบก็แจ้งเตือนว่าร่างเต่าดำได้ตื่นขึ้นแบบ 100% แล้ว
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้วาห์นเสียเวลาไปประมาณเสี้ยววินาที ผลที่ตามมาน่ะเหรอ? ก็โดนถีบจนหน้ายุบไงล่ะ
ตอนที่บอกทุกคนว่าทีโอเน่ไม่ใช่คนผิด วาห์นน่ะหมายความแบบนั้นจริงๆ… แต่จะให้อธิบายเรื่องระบบก็ไม่ได้อีก นับเป็นช่วงที่เขารู้สึกลำบากใจมาก
เขาหมายมั่นว่าจะทำให้ทุกคนลืมเรื่องนี้โดยเร็ว ต้องกลบแบบฝังลืมกันไปเลย…
วาห์นส่ายหัวเพื่อหยุดคิดเรื่องนี้ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้บนหัวของพวกมันทั้งสอง
ไม่กี่นาทีภายใต้ความเงียบงัน ดวงตาของวาห์นก็บังเกิดแสงบางอย่าง
รอยสักรูปเต่ากับมังกรเริ่มปรากฏขึ้นตามลำตัวของเขา ตามมาด้วยเกล็ดตรงแขน ไหล่ ศีรษะและขา
วาห์นที่มีสีหน้ามั่นใจยิ่งกว่าเดิมเริ่มเอ่ยคำออกมาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ทั่วมิติสั่นไหวอย่างหนัก
“นับจากนี้… เจ้าจะมีนามว่าเต่าทมิฬ (ซวนหวู่)” (TL: พยัคฆ์ขาว = ไป๋หู่)
เต่าทมิฬเริ่มเปล่งแสงสีเขียวไปทั่วพร้อมกับคำรามเสียงดังกึกก้อง
ราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ สัตว์อสูรทั้งสามตัวก็เริ่มคำรามออกมาเช่นเดียวกัน
พยัคฆ์ขาวปล่อยเสียงคำรามที่ทำให้ดวงวิญญาณต้องสั่นคลอน ส่วนของนกไฟนั้นคล้ายกับความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ
ที่ดูน่าเกรงขามที่สุดเห็นจะเป็นของมังกรฟ้าซึ่งแทบจะกลบเสียงของอีกสามตัวไปเลย นอกจากนั้นมันยังปล่อยสายฟ้าออกมารอบๆ ตัวด้วย
วาห์นหันไปหาเหล่าสัตว์อสูรที่ยังไม่ได้รับชื่อพร้อมให้คำมั่นแก่พวกมัน
“สักวัน… พวกเจ้าจะได้รับชื่ออย่างแน่นอน”
ทันทีที่พูดจบประโยค จิตของวาห์นก็เริ่มเลือนลางซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเวลาของมิตินี้ได้หมดลงแล้ว
—
เมื่อสติกลับคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือความร้อนจากร่างเล็กๆ ที่นอนกองอยู่ด้านบน
วาห์นยกมือขึ้นมาลูบเรือนผมสีดำแบบไม่คิดอะไรมาก ไม่นานดวงตาสีฟ้าใสก็ลืมตาตื่นขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำทะเล
เทพตัวเล็กลงไปซุกที่แผงอกของเขาโดยไม่พูดอะไร แต่แล้วความเจ็บปวดตรงส่วนล่างก็แล่นเข้าสู่สมองจนวาห์นต้องรีบกัดฟันเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องออกมา
อีกฝ่ายคงต้องการสื่อว่า ‘หึ ไม่ยอมให้ลุกไปไหนหรอก’ ทว่าวาห์นที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ทุกวี่ทุกวันนั้นได้คิดวิธีแก้เอาไว้แล้ว
เขาไล่นิ้วไปตามกระดูกสันหลังเล็กๆ โดยใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ควบคู่ไปด้วย
เฮสเทียร้องครางด้วยความเสียว ขณะเดียวกันร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้านก่อนที่ความรู้สึกต่างๆ จะเลือนหายไปจนหมด หรือก็คือขยับตัวไม่ได้นั่นเอง
พอรู้สึกว่าความเจ็บปวดตรงช่วงล่างหายไปแล้ว วาห์นก็พาตัวเองออกมาจากร่างของเฮสเทียได้อย่างง่ายดาย
เฮสเทียทำหน้าบูดบึ้ง แต่วาห์นก็แค่จูบเธอเบาๆ พร้อมกับนวดตรงนั้นตรงนี้จนสีหน้าของเธอดูดีขึ้น
‘…หืม?’
ตอนนี้คงยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่วาห์นรู้สึกว่าเฮสเทียไม่ได้แค่พยายาม ‘ปรับร่างกาย’ ของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธอยังพยายามเข้ามาปรับร่างกายของเขาด้วย
พอคลายร่างออกจากกันแล้ว วาห์นก็รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป… เป็นความรู้สึกที่ทำให้อยากกลับไปนอนต่อ
—
หลังจากแต่งตัวเสร็จ วาห์นก็มุ่งหน้ามาที่ลานฝึกทันที
ตอนนี้ที่ลานฝึกมีริวเพียงคนเดียวเพราะสาวๆ คนอื่นยังเตรียมตัวกันไม่เสร็จ
วาห์นสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมองดูหลุมบ่อมากมายด้วยแววตาสงสัย (TL: ที่วาห์นสู้กับทีโอเน่เมื่อวาน)
พอเห็นเขาเดินเข้ามา ริวก็ยิ้มและกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์นะวาห์น”
“…”
จู่ๆ บางอย่างในใจของวาห์นก็สั่งให้เขาก้าวต่อไปอีกหน่อยและสวมกอดเอลฟ์สาวแบบหลวมๆ
ริวเบิกตากว้างแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร หนำซ้ำเธอยังยกมือขึ้นมากอดแผ่นหลังและพิงหัวไปกับไหล่ของอีกฝ่ายด้วย
“ขอโทษนะ… ฉันแค่รู้สึกอยากกอดเธอขึ้นมาน่ะ” วาห์นกระซิบข้างใบหูเรียวยาว
เขาไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มของริวถึงส่งผลต่อตัวเองได้มากขนาดนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรต่อ
ริวขยับหัวออกเล็กน้อยเพื่อตอบกลับ
“ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลยวาห์น ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่พอดีด้วย
บางครั้งฉันก็อยากให้นายมาเอาใจแบบนี้เหมือนกันนะ…”
วาห์นยิ้มกว้างกว่าเดิมขณะเอาหน้าผากไปพิงกับริว และแล้วทั้งสองก็เพลินอยู่แบบนั้นโดยไม่ต้องพูดอะไรกันต่อ
ก่อนที่สาวๆ คนอื่นจะเดินมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ วาห์นก็จูบริวเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะผละตัวออกมา
ริวยิ้มอย่างเหม่อลอยขณะใช้มือแตะริมฝีปากตัวเอง แต่แล้วเธอก็ต้องรีบปรับสีหน้าเพื่อต้อนรับคนอื่นๆ
พอทุกคนมากันครบแล้ว ริวกับอาคิก็มาปรึกษากันสั้นๆ ว่าจะแบ่งการฝึกซ้อมยังไงดี จากนั้นก็ต่อด้วยการประลองกันเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เข้าใจความสามารถของอีกฝ่าย
อาคิเป็นผู้ใช้ดาบสั้นที่เน้นความเร็วและมีเทคนิคดีเยี่ยม ทว่าผลท้ายสุดเธอก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของริว
ในช่วงท้ายของการต่อสู้ อาคินั้นได้แต่ปัดป้องการโจมตีด้วยพลองไม้ของริวโดยที่ไม่อาจโต้กลับได้เลย
ไม่นานเธอก็หมดแรงจนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นพลางกล่าวชมเชยว่าฝีมือของริวนั้นสมแล้วที่ได้เป็นรองกัปตัน
ริวยื่นมือออกมาช่วยพยุงอาคิขึ้นและกล่าวชมเธอกลับเช่นกัน
จากนั้นทั้งสองก็หันไปคุยกับคนอื่นๆ ที่เอาแต่อ้าปากค้างเพราะมองการต่อสู้แทบไม่ทัน
—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
วาห์นเองก็มาดูการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยและสรุปออกมาได้สั้นๆ ว่าพวกเธอทั้งสองน่าทึ่งจริงๆ
การโจมตีของริวยังคงลื่นไหลไม่เปลี่ยน ส่วนของอาคิเองก็มีท่วงท่าที่งดงามไม่แพ้กัน
ในช่วงแรกนั้นเธอใช้ดาบสั้นปัดป้องการโจมตีหนักๆ ของริวได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบเลยด้วยซ้ำ
แต่พอเวลาผ่านไป ริวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีเรี่ยวแรงมากกว่าอาคิ แถมการโจมตีแต่ละครั้งของเธอก็รุนแรงขึ้นตามลำดับจนอีกฝ่ายรับมือไม่ไหว
หลังจากแบ่งกลุ่มกันได้แล้ว อาคิก็เริ่มฝึกให้กับคู่แฝดที่ไม่ค่อยมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ส่วนเมนูฝึกก็เน้นไปที่การพัฒนาด้านความว่องไว
วันนี้ริวจะเป็นผู้ฝึกให้กับฮารุฮิเมะ เฟนเรียร์ รวมไปถึงมิโคโตะด้วย
มิโคโตะนั้นค่อนข้างสนใจเรื่องการเคลื่อนไหวที่ริวใช้ เพราะนอกจากฝีเท้าจะต้องเร็วแล้วยังต้องมีการใช้เวทมนตร์ประกอบเข้าไปด้วย
ฮารุฮิเมะนั้นอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นจอมเวทสายสนับสนุนที่มีความคล่องตัวสูง มิโคโตะเลยอยากเป็นนักสู้แนวหน้าที่เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับศัตรูจำนวนมาก
วันนี้เป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นได้เห็น [ฟุตสึโนะมิทามะ] ซึ่งเป็นเวทมนต์แรงโน้มถ่วงของมิโคโตะ
พอเธอร่ายเวทเสร็จ ดาบสีม่วงก็หล่นลงมาจากท้องฟ้าและลงมาบรรจบกับวงแหวนเวทมนตร์หลายชั้นที่อยู่เหนือพื้น
ทุกครั้งที่ดาบสีม่วงทะลุวงแหวนได้หนึ่งชั้น พื้นที่วงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตรตรงด้านล่างก็จะจมลึกลงไปอีกหลายนิ้ว
ข้อเสียของเวทมนตร์ดังกล่าวก็คือมันกินพลังงานเป็นจำนวนมาก
วาห์นสามาถใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อตรวจสอบปริมาณ ‘มานา’ ในร่างกายของคนอื่นได้ และเขาก็รู้ทันทีว่ามิโคโตะนั้นใช้มันมากถึง 70% ในการร่ายเวทเพียงครั้งเดียว
เพราะต้องฝึกดาบและพยายามทำให้ค่าสถานะเกิดความสมดุล วาห์นคิดว่ามิโคโตะคงใช้ประโยชน์จากเวทมนตร์นี้ไม่ได้มากเท่าไหร่… นอกเสียจากว่าเขาจะคิดค้นวิธีเพิ่มปริมาณมานาขึ้นอีกหลายเท่า
‘ถ้าเป็นเครื่องลางล่ะ หรือไม่ก็อุปกรณ์สักชิ้นที่จุมานาได้นานๆ… เอาตามนี้ละกัน’
พอคิดเสร็จแล้ว วาห์นก็ดึงชุดอุปกรณ์วาดแบบออกมาเริ่มร่างมันทันที
เพราะไม่ได้ร่วมฝึกกับคนอื่นด้วย พรีเซียที่นั่งอยู่ข้างลานฝึกจึงหันมามองการกระทำของวาห์นแทน
พอใกล้หมดช่วงฝึก วาห์นก็ได้แบบแปลนของสนับข้อมือ กำไล หรือแม้แต่สร้อยคอมามากมายหลายแบบ
เขาจะทำสนับข้อมือขึ้นมาเปลี่ยนกับอันที่มิโคโตะใส่อยู่ตอนนี้ก็ได้ แต่คิดไปคิดมาแล้วสร้อยคอน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
ภาพของสร้อยคอที่ประดับอยู่บนทรวงอกอวบอิ่ม… นี่คือจินตนาการที่เกิดขึ้นจากความเป็นมืออาชีพล้วนๆ
มันคงไม่ต่างจากสร้อย [แซฟไฟร์สตาร์] ของเฮสเทียเท่าไหร่หรอก… ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนขุดหลุมให้ตัวเอง
ยังไงนี่ก็เป็นแค่แปลนต้นแบบเท่านั้น วาห์นกะจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อนเพราะถ้าบอกไปตอนนี้ มิโคโตะก็อาจจะไม่มีสมาธิฝึกต่อ
วาห์นรู้ดีกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์มากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียต่างๆ เช่นการได้รับค่าสถานะน้อยลง
ถ้าอยากเติบโตเร็วๆ นักผจญภัยจะต้องสู้กับมอนสเตอร์ที่มีพลังสูสี ขณะเดียวกันก็ต้องคอยผลักดันตัวเองอยู่ตลอด
ถ้าเอาแต่ใช้อุปกรณ์ที่ทรงพลังเกินไป ค่าสถานะที่ได้ก็จะเน้นหนักไปที่ความแม่นยำกับพลังเวท ส่วนค่าสถานะทางกายภาพอื่นๆ นั้นอาจจะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือไม่เพิ่มเลย
หลังจบช่วงฝึก พวกสาวๆ ก็มุ่งหน้ามายังห้องอาบน้ำในขณะที่วาห์นแยกไปที่ห้องสมุด
ที่จริงแล้วพรีเซียอยากตามวาห์นไปห้องสมุดด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลองเข้าสังคมกับคนอื่นและดูว่าพอจะมีอะไรที่ตัวเองช่วยได้หรือเปล่า
พรีเซียไม่อยากเป็นนักผจญภัยเพราะเธอไม่ชอบเรื่องการฆ่าฟัน บวกกับการต้องไปอยู่ในสถานที่มืดและหนาวเย็น
เพราะได้ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ภายใน ‘คุกใต้ดิน’ มาก่อน เธอจึงไม่อยากเข้าไปในสถานที่แบบเดียวกันเท่าไหร่
เธอมักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับ ‘การผสมวัตถุดิบ’ ‘การเล่นแร่แปรธาตุ’ และ ‘ข่ายเวทมนตร์’ โดยหวังว่ามันจะช่วยทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ โดยที่เธอไม่ต้องเข้าไปในดันเจี้ยนด้วยตัวเอง
—
ภายในห้องสมุด วาห์นกำลังนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้กล้าที่สังหารมังกรแดงตัวเท่าภูเขาย่อมๆ
นี่คือตำนานจากเรคคอร์ดอื่นและวาห์นก็พบว่าเนื้อหาของมันน่าสนใจดี
เขาชอบหนังสือจำพวกนี้มาก ส่วนหนังสือประเภทเรื่องเศร้าหรือสยองขวัญนั้นตอนนี้พวกมันตกกระป๋องไปซะแล้ว
ประเด็นหลักที่ทำให้เขาไม่ชอบพวกมันก็เพราะว่าส่วนใหญ่มักจะมีการดำเนินเรื่องแบบฝืนๆ จนถึงขั้นบังคับตัวละครมากเกินไป
วาห์นมักจะเอาตัวเองไปเปรียบกับตัวละครหลักซึ่งทำให้เขาเกิดความสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมคนพวกนั้นถึงชอบตัดสินใจแย่ๆ และทำให้ตัวเอง เพื่อน และครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต
เขาชอบแนวเรื่องราวที่ตัวเอกพยายามก้าวไปข้างหน้าและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดมากกว่า
แน่นอนว่าเรื่องเศร้าๆ ย่อมต้องเกิดขึ้นบ้าง แต่วาห์นรู้สึกว่ามันจะเป็นตัวช่วยให้ตัวเอกเติบโตและทำให้ชัยชนะมีความหมายมากกว่าเดิม
หลังจากอยู่อย่างเงียบๆ มาประมาณหนึ่งชั่วโมง วาห์นก็รู้สึกได้ถึงออร่าสีฟ้าปนเหลืองที่กำลังมุ่งหน้ามาหา
กระแสของออร่าดวงนี้ต่างจากพวกสาวๆ ที่เห็นเป็นประจำ ดูแวบเดียวก็รู้ว่ามันต้องเป็นของอาคิแน่นอน
วาห์นลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับวางหนังสือลงขณะรอให้อีกฝ่ายเดินมาถึง
ไม่นานอาคิก็เดินเข้ามาในห้องและเริ่มจ้องมองหนังสือนับพันๆ ที่อยู่บนชั้น ก่อนจะหันมาหาวาห์นด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“กัปตันคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว ขอโทษนะคะที่มาขัดจังหวะเวลาพักผ่อน…”
วาห์นอดไม่ได้ที่จะสำรวจอาคิเล็กน้อย ดูๆ ไปแล้วเธอก็เป็นสาวงามคนนึงเหมือนกัน
รูปร่างเพรียวบางตามแบบฉบับของเผ่ามนุษย์แมวถูกเสริมด้วยชุดทะมัดทะแมงที่มีสีดำ ขาว และทองซึ่งผสมรวมกันอย่างกลมกลืน
รอยยิ้มของเธอดูงดงามเป็นธรรมชาติมาก อาจสื่อได้ว่าเธอเป็นคนที่มีจิตใจดี
สิ่งเดียวที่ดูแปลกตาก็คือหางที่โค้งขึ้นเกือบตลอดเวลา เพราะหางของมนุษย์แมวส่วนใหญ่ที่วาห์นเคยเจอนั้นมักจะลู่ลงและแกว่งไปตามแรงโน้มถ่วง
ตอนนี้หางนั่นก็กำลังโค้งเป็นรูปตัว ‘S’ และอยู่สูงจนเกือบเท่าหัวไหล่ของเธอ
วาห์นถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะยิ้มตอบอาคิ
“ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก อาคิ เป็นอย่างที่เธอบอกนั่นแหละ
ฉันเองก็อยากคุยกับเธอเหมือนกัน มาได้ถูกจังหวะมาก…”
วาห์นนำชุดชาและขนมออกมาวางไว้บนโต๊ะซึ่งทำให้รอยยิ้มของอาคิกว้างขึ้น
หญิงสาวเอามือไขว้หลังและเดินเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริงก่อนจะนั่งลงบนโซฟาโดยเว้นระยะห่างระหว่างตามความเหมาะสม
เธอจัดกระโปรงจนเข้าที่ทั้งตอนก่อนและหลังนั่ง เรียกได้ว่ามีความเป็นกุลสตรีสุดๆ
คิ้วของวาห์นเลิกขึ้นเล็กน้อยเพราะสำหรับเขาแล้ว มันเกือบจะเป็นท่าทางที่ ‘ผิดปกติ’ เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ
อาคิหัวเราะคิกคักก่อนจะหยิบขนมไทยากิขึ้นมาเล็มพลางจิบชาไปด้วย
หางของเธอเกิดการกระตุกเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะขนมพวกนี้อร่อยเกิดคาด
ครู่ต่อมา อาคิก็เอียงศีรษะและถามขึ้นก่อน
“กัปตันจะไม่ถามอะไรฉันเหรอคะ?”
วาห์นวางถ้วยชาลงบนโต๊ะก่อนจะพยักหน้ารับ
“ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ ว่าจะถามอะไรดี
เรามาเริ่มจาก… สาเหตุที่เธอถูกส่งมาที่นี่ก็แล้วกัน
โลกิคิดอะไรอยู่ฉันไม่รู้หรอก… แต่ที่แน่ๆ ก็คือเธอไม่เคยทำเรื่องเปล่าประโยชน์
การที่เธอมาที่นี่ ในช่วงนี้ ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปอยู่แล้ว”
สีหน้าของอาคิไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เธอก็ถอนหายใจสั้นๆ
“ท่านโลกิอนุญาตให้ฉันพูดเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย… งั้นก็… มันเริ่มขึ้นจากผู้ชายงี่เง่าคนนึงค่ะ…”
เวลา 3 ชั่วโมงใกล้จะหมดลงแล้ว ส่วนเฮสเทียนั้นก็กำลังนอนซบตรงซอกคอของวาห์นพลางแหงนหน้าขึ้นมาจูบเขาเป็นระยะ
แม้ตัวจะแน่นิ่ง แต่วาห์นก็ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มจากเรือนร่างของเทพตัวเล็กได้เป็นอย่างดี
ส่วนความอบอุ่นที่เกาะกุมอยู่ตรงหน้าท้องนั่นก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด
หากมองแบบผิวเผิน ตอนนี้วาห์นก็เหมือนกับลูกไก่ในกำมือดีๆ นี่เอง
น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวเลย อาจเป็นเพราะตัวเองเชื่อใจเฮสเทียมาก… แม้ว่าอีกฝ่ายจะออกอาการ ‘ก้าวร้าว’ เป็นบางครั้งก็ตาม
—
เมื่อช่วงจำศีลสิ้นสุดลง เฮสเทียที่ยังนอนซบอยู่ก็ถูกแขนแข็งแรงเข้าโอบจากด้านหลัง ช
ดวงตาสีฟ้าลืมขึ้นพร้อมกับร่างกายที่กระตุกเล็กน้อย จากนั้นเสียงเอ่ยถามก็ดังตามมา
“วาห์นนนน นายตื่นแล้วเหรอ~!?” ขณะพูด เฮสเทียก็ยังอุตส่าห์เอาแก้มเข้ามาถูและพรมจูบที่ใบหน้าของวาห์นไม่หยุด
พอโดนจูบกลับบ้าง เฮสเทียก็เริ่มใส่นัวจนวาห์นต้องหยิกเข้าที่แก้มก้นเพื่อเบรกเธอไว้ก่อน
เฮสเทียค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลงพร้อมกับงัดท่าทางไร้เดียงสาออกมาใช้
“ต้องไปด้วยเหรอออ…? เราอดข้าวเย็นสักวันไม่เห็นเป็นไรเลย ไว้เจอคนอื่นๆ วันหลังก็ได้นี่~”
เพราะน้ำหนักที่เบาผิดธรรมชาติ วาห์นจึงหยิบเฮสเทียขึ้นมานั่งมาบนตักได้อย่างสบายๆ
เรื่องใต้สะดือน่ะเอาไว้ทีหลัง เพราะตอนนี้เขาแค่อยากปลอบให้เธอสบายใจก่อน
“เฮสเทีย ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าเหล่าทวยเทพที่อยู่มานานแบบเธอจะคิดอ่านกับเรื่องนี้ยังไง… หรืออย่างน้อยฉันก็เข้าใจแค่ผิวเผิน
สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือ ฉันรักเธอมากจริงๆ… แต่ชีวิตของพวกเราก็ยังต้องดำเนินต่อไปนะ
เวลาของเรายังมีอีกเยอะ อย่าทำให้คนอื่นต้องลำบากใจเลย…”
เฮสเทียทำหน้าเหมือนหมาหงอยก่อนจะพึมพำตอบ
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในชีวิต…
ต่อให้นายมีอายุขัยมากกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายสิบเท่า… ฉันก็กลัวว่ามันจะไม่พออยู่ดี
ฉันอยากรักษาช่วงเวลาที่เรามีให้กันไปนานๆ เพราะรู้ว่าต่อไปนายคงจะยุ่งกว่านี้…
ช่วยทำให้ฉันลืมนายไม่ลงทีเถอะ วาห์น ฉัน…ไม่อยากไปรักใครอีกแล้ว”
วาห์นลูบผมทรงทวินเทลข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนไปจับคางเพื่อทำให้อีกฝ่ายหันมาประสานตาด้วย
“ฟังนะเฮสเทีย… มองเข้ามาที่ตาของฉัน เธอจะได้รู้ว่าฉันไม่ได้พูดโกหก
ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์อยู่คนเดียวเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
ฉันยังไม่แน่ใจว่าต้องทำไงบ้าง แต่ขอสัญญากับเธอเลยว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอด…” วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงรักใคร่และจริงจังมาก
เรื่องนี้วาห์นเองก็ยังคิดไม่ตก แต่เขารู้ว่าหากพยายามมากพอ การกลับมาที่เรคคอร์ดนี้ก็น่าจะไม่ยากเกินความสามารถ
เมื่อถึงวันที่ดวงวิญญาณแข็งแกร่งเกินไปจนถูกบังคับให้ต้องออกจากที่นี่ วาห์นก็จะหาทางสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างเรคคอร์ดดันมาจิกับโลกอื่นๆ ด้วยตัวเอง
ตอนแรกเฮสเทียคิดว่านี่เป็นแค่การปลอบ แต่ท่าทางและน้ำเสียงจริงจังนี่มันยังไงกัน?
วาห์นไม่ใช่คนที่ชอบพูดลอยๆ หรือผิดสัญญา เรื่องนี้เธอรู้ดีที่สุด
แม้ว่าความวิตกในใจของเฮสเทียจะยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่มันก็จางหายไปเกือบหมดแล้ว
วาห์นมักจะทลายกำแพงที่เรียกว่า ‘สามัญสำนึก’ อยู่เป็นประจำ นี่คือสาเหตุที่ทำให้เธอเชื่อว่าเขาอาจทำตามที่พูดได้จริงๆ
เฮสเทียกลับมายิ้มได้อีกครั้ง จากนั้นเธอก็ใช้มือประคองใบหน้าของวาห์นก่อนจะมอบจูบที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น
ริมฝีปากของทั้งคู่ซ้อนทับกันอยู่หลายวินาทีก่อนที่พวกมันจะแยกออกจากกัน
เฮสเทียปิดท้ายอย่างเจ้าเล่ห์ด้วยการเคลื่อนตัวออกโดยปล่อยให้ร่างกายถูไถไปตามส่วนล่างของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด จากนั้นเธอจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง
กลีบดอกไม้สีขาวเริ่มไหลมารวมตัวกันเป็นเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของวาห์น
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เดินลงไปชั้นล่างและมุ่งหน้ามาที่ห้องอาหาร
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็น แต่หลายคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่นั่นแล้ว
คนที่ไม่อยู่ก็มีทีโอเน่ ทีโอน่า เอมิรุ มาเอมิ เลฟิย่า และอันนาคิตตี้ แต่วาห์นสัมผัสได้ว่าสี่คนหลังนั้นกำลังง่วนอยู่กับงานในครัว
เพราะพวกฝาแฝดยังทำอาหารได้ไม่หลากหลายนัก การมีเลฟิย่าและอันนาคิตตี้คอยช่วยจึงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเธอ
วาห์นไม่เคยชิมฝีมือของทั้งสองแบบจริงๆ จังๆ มาก่อน แต่มันก็คงหนีไม่พ้นอาหารจำพวกเนื้อตุ๋นหรือไม่ก็เนื้อย่างที่ชนเผ่าเร่ร่อนชอบทำกัน
วาห์นหันไปให้ความสนใจกับห้องใกล้เคียงที่ซึ่งออร่าของคู่แฝดอีกคู่พำนักอยู่ในนั้น
ออร่าของทีโอเน่นั้นดูวุ่นวายมาก ส่วนค่าความชื่นชอบของเธอก็มาหยุดอยู่ที่ 99(หลงรัก)
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าสภาพจิตใจของเธอกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ทีโอน่าคงกำลังช่วยให้พี่สาวสงบลง และทั้งสองน่าจะรอให้ไอส์กับเลฟิย่าทานข้าวเสร็จก่อนที่ทั้งสี่จะเดินทางกลับพร้อมกัน
ฉากดังกล่าวทำให้วาห์นต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะเขาตระหนักแล้วว่าการเกิดมาเป็นชาวอเมซอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สบายๆ แต่อย่างใด
พวกเธอน่ะแข็งแกร่ง ร่างกายก็มีความทนทานมากกว่าเผ่ามนุษย์ แต่สุดท้ายพวกเธอกลับต้องตกเป็นทาสของปัจจัยและอิทธิพลหลายอย่าง รวมไปถึงการกระทำของตัวเองด้วย…
ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นว่าวาห์นตื่นแล้ว
ฮารุฮิเมะกับเฟนเรียร์นั้นแสดงท่าทางดีอกดีใจตั้งแต่ตอนที่วาห์นยังเดินมาไม่ถึงด้วยซ้ำ
มีประสาทหูและจมูกที่ไวจัดๆ มันก็ดีแบบนี้นี่เอง
เฟนเรียร์รีบวิ่งไปกอดเอวของวาห์นพลางถูศีรษะไปกับแผงอกอย่างน่าเอ็นดู
“วาห์นดีขึ้นแล้ว เฟนเรียร์ดีใจ~”
มีไม่กี่ครั้งที่เฟนเรียร์จะดีใจจนออกนอกหน้าแบบนี้ วาห์นจึงลูบหูของเธอด้วย [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ก่อนจะตอบกลับ
“ขอโทษที่ทำให้เธอกังวลนะเฟนเรียร์ ตอนนี้ฉันโอเคสุดๆ เลย”
เฟนเรียร์พยักหน้าหงึกๆ และพูดซ้ำตามแบบฉบับของเธอ
“โอเคสุดสุดสุดสุดเลยใช่ไหม~?”
ตอนนี้ฮารุฮิเมะเองก็เดินเข้ามาใกล้เช่นกัน
พอเห็นความชื้นเล็กน้อยในดวงตาสีเขียว วาห์นจึงยื่นมือข้างที่ว่างออกไปลูบใบหูนุ่มฟู
ความเป็นห่วงของทุกคนนั้นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
หลังจากปล่อยให้สองสาวกลับไปนั่งที่โต๊ะ วาห์นก็ลงมานั่งข้างๆ ไอส์โดยมีเฮสเทียนั่งขนาบอีกฝั่ง
ไอส์จ้องมองการกระทำของเทพตัวเล็กด้วยความสนใจ ไม่นานเธอก็เริ่มเอาบ้างโดยพิงหัวไปกับไหล่ของวาห์นพร้อมรอยยิ้ม
ดูเหมือนฮารุฮิเมะเองก็อยากจะมีส่วนร่วม แต่รอบนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ‘ที่เต็ม’
เรนาร์ดสาวเลยต้องลงมานั่งจิบชาข้างๆ มิโคโตะด้วยอาการคอตกหูตกอย่างช่วยไม่ได้
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พรีเซียที่ยังคงนิ่งเงียบก็เอาแต่จ้องวาห์นเหมือนเคย
พอโดนวาห์นยิ้มใส่ดูบ้าง สาวมนุษย์แกะก็หลุดยิ้มนิดๆ ก่อนจะก้มหัวลงต่ำกว่าเดิม
ผ่านไปไม่นาน สาวๆ ทั้งสี่จากในครัวจึงเริ่มนำอาหารออกมาเสิร์ฟ ซึ่งเลฟิย่าก็เกือบจะทิ้งจานลงพื้นเมื่อเห็นวาห์นที่นั่งอยู่กับทุกคน
ฉากในห้องอาบน้ำหวนกลับมาเล่นงานจนใบหน้าของเธอแดงก่ำไปหมด
สิ่งที่เธอแอบหวังไว้ ก็คืออยากให้วาห์นตื่นตอนที่ตัวเองกลับไปแล้ว ตอนนี้ในหัวก็เลยมีแต่คำว่า ‘หมดกัน’ กับ ‘เอาไงต่อดี’
วาห์นที่เห็นท่าทางดังกล่าวก็ยังอุตส่าห์หวังดีโดยการ ‘แทง’ ย้ำเข้าไปอีก
“เลฟิย่า ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลฉัน…”
นอกจากใบหน้าที่แดงก่ำแล้ว รอบนี้ใบหูเรียวยาวก็ยังเกิดการขยับขึ้นลงด้วย
นับเป็นภาพน่ารักๆ ที่วาห์นเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ยะ-ยินดีค่ะ…” เธอตอบเสียงเบา
—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
จากทางซ้ายของเขา วาห์นเผลอไปได้ยินสิ่งที่เฮสเทียแอบพึมพำแบบไม่ตั้งใจ
“มาอีกหนึ่งแล้วสินะ…”
วาห์นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินขณะเริ่มนำอาหารของตัวเองที่อยู่ในช่องเก็บของออกมาเสิร์ฟบ้าง
ของส่วนใหญ่ที่ทั้งสี่เตรียมไว้นั้นเป็นอาหารแบบเบาๆ เช่นซุปเนื้อตุ๋นและสลัดผัก วาห์นจึงเพิ่มเมนูหนักๆ เข้าไป รวมถึงโลหะต่างๆ ซึ่งเป็นของโปรดของเฟนเรียร์
พอมองข้ามไปยังอีกฝั่ง วาห์นก็สบเข้ากับดวงตาสีดำของอนาคิตตี้
“วันนี้มันวุ่นไปหมดเลย ต้องขอโทษจริงๆ
อันนาคิตตี้ ฉันขอต้อนรับเธอเข้าสู่แฟมิเลียของเราอย่างเป็นทางการ
ต่อไปคงต้องรบกวนเธอแล้วล่ะ ในหลายๆ เรื่องเลย”
อันนาคิตตี้ยิ้มอย่างสุภาพก่อนตอบกลับ
“เรียกอาคิเฉยๆ ก็ได้ค่ะ พวกเพื่อนๆ ทุกคนก็เรียกฉันแบบนั้น
ฉันเองก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ กับตัน
ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด รับรองว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน”
วาห์นยิ้มตอบอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับสู่แฟมิเลียของเราอีกครั้งนะ อาคิ”
ถึงจะรู้ว่าโลกิเป็นคนสั่งการเรื่องนี้โดยตรง แต่มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับเฮสเทียแฟมิเลียที่กำลังขาดแคลนสมาชิกเก่งๆ
เขายังไม่รู้หรอกว่าอาคิทำอะไรได้บ้าง แต่ยังไงเธอก็เป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 4 ที่มีอายุค่อนข้างน้อย (TL: ยังไม่ถึง 20 ปี)
วาห์นคิดว่าเธอน่าจะผ่านประสบการณ์อะไรมาเยอะและคงเป็นตัวอย่างดีที่ดีให้กับคนอื่นๆ
เรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกกังวลก็คือ เพราะโลกิเป็นคนส่งมาเอง อาคิจึงน่าจะมีเป้าหมายแอบแฝง อย่างเช่นตำแหน่งคนสนิท หรือไม่ก็อะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น…
ถึงเฮสเทียจะวางท่าเป็นหมาดุขนาดนี้แล้วจำนวนผู้หญิงรอบตัวก็ยังเพิ่มขึ้นได้อยู่ดี แม้แต่วาห์นเองก็เริ่มรู้สึกชินซะแล้วสิ
เขาหยุดคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะถามหาอาสาสมัครที่จะไปเสิร์ฟอาหารและอยู่เป็นเพื่อนคู่แฝดชาวอเมซอน
น่าแปลกมากที่พรีเซียเป็นคนเอ่ยปากอาสาเอง โดยมีเฟนเรียร์ มาเอมิ และเอมิรุติดตามไปด้วย
วาห์นกล่าวขอบคุณพวกเธอก่อนจะเริ่มทานอาหารร่วมกับพวกสาวๆ ที่ยังอยู่
วันนี้บรรยากาศดูไม่ค่อยเฮฮานักเพราะไอส์เป็นคนเงียบๆ อยู่แล้ว เลฟิย่าก็เขี่ยอาหารไปมาโดยไม่กล้าพูดหรือสบตากับคนอื่น เฮสเทียยังคงนั่งพิงเขาราวกับกำลังหลับอยู่ ส่วนมิโคโตะกับฮารุฮิเมะเองก็เป็นพวกที่ชอบรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารและจะไม่พูดขณะที่ตัวเองยังทานไม่เสร็จ
โดยรวมแล้ววาห์นก็ไม่เห็นว่ามันแย่ตรงไหนเลย เพราะถึงจะเงียบ แต่มันก็ดูอบอุ่นและแฝงได้ด้วยความสงบ
หลังจากทานเสร็จ วาห์นก็เดินพาแขกทั้งสี่มาส่งที่ประตูหน้าพร้อมมอบกอดอำลา
เขากอดทีโอน่าและไอส์แรงเป็นพิเศษและปิดท้ายด้วยการจูบแบบสั้นๆ ส่วนที่โอเน่นั้นตอนนี้คงทำได้แค่กอดแบบหลวมๆ พร้อมส่งยิ้ม
อาการของทีโอเน่ดูดีขึ้นมาก แต่แล้วมันก็บีบบังคับให้เธอกระชับอ้อมกอดในเสี้ยววินาทีสุดท้าย
พอมาถึงตาของเลฟิย่า เอลฟ์ตัวน้อยก็เดินก้มหน้าเข้ามากอดเขาแบบหลวมๆ โดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
ไม่นานเธอก็แยกตัวออกมาก่อนจะรับคทาที่ฝากไว้กับไอส์ หันมาโค้งให้วาห์นเล็กน้อย และเดินออกไปด้วยท่าทางเร่งรีบ
วาห์นจ้องมองร่างทั้งสี่ที่กำลังเดินออกไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
การแยกจากคนใกล้ชิดมักทำให้เขารู้สึกเหงาหน่อยๆ จนอยากขออธิษฐานให้ตัวเองแยกร่างได้
วาห์นเริ่มนึกภาพตัวเองให้วิชาแยกเงาพันร่างพันร่างแบบเล่นๆ… แต่ไปๆ มาๆ แล้วเขาก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป
พวกสาวๆ อาจจะเกรงใจจนไม่กล้าพูดมันออกมา เพราะว่าสุดท้ายร่างแยกก็เป็นแค่กลุ่มก้อนพลังงาน ไม่ใช่กายเนื้อจริงๆ ของเขา
เผลอๆ มันจะพาลทำให้ร่างจริงติดนิสัยขี้เกียจไปด้วย…
ถ้าเอามาใช้ฝึกวิชาก็ยังพอว่า แต่จะให้เอามาใช้ดูแลคนรักนะเหรอ? เลิกคิดดีกว่า
ถ้าไม่ติดใจเรื่องนี้ ก็ยังมีเรื่องราคาของมันให้คิดอีก (TL: 25,000,000 OP/ตอนนี้วาห์นมีอยู่ไม่ถึง 1000,000 OP) ที่นี้ล่ะติดของจริงเลย
—-
(A/N: ไม่ใช่ว่าวาห์นจะซื้อหนังสือมาแล้วเรียนสกิลได้เลยนะครับ วาห์นต้องทำความเข้าใจกับมันด้วยตัวเอง ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็คือจบ
หนังสือสกิลที่วาห์นซื้อมันไม่เหมือนกับ ‘คัมภีร์’ ที่เบลล์อ่านแล้วใช้เวทมนตร์ได้เลย
คัมภีร์เป็นของหายากมากๆ และไม่สามารถคัดลอกหรือทำสำเนาได้ แต่ละเล่มเองก็จะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันไป
คัมภีร์นั้นถูกระบุว่าเป็นไอเท็ม [พิเศษ] ซึ่ง ‘ณ ตอนนี้’ ระบบจะไม่อนุญาตให้วาห์นซื้อไอเท็ม [พิเศษ] ของเรคคอร์ดที่เขาพำนักอยู่ได้
ถ้าวาห์นอยากได้จริงๆ การทุ่มเงินวาลิสเพื่อควานหาคัมภีร์สักเล่มอาจจะเป็นอะไรที่ง่ายดายกว่า
ช่องโหว่ของข้อห้ามนี้ก็คือวาห์นสามารถซื้อไอเท็ม [พิเศษ] จากเรคคอร์ดอื่นๆ ได้ แต่ราคาของมันย่อมต้องสูงมากเป็นธรรมดา
ข้อเสียอีกอย่างก็คือผลของสกิลหรือเวทมนตร์จากคัมภีร์ของเรคคอร์ดอื่นอาจเกิดความคลาดเคลื่อนเมื่อถูกนำมาใช้ในต่างเรคคอร์ด)
—-
พอส่งแขกเสร็จแล้ว วาห์นก็เดินกลับคฤหาสน์และพบเข้ากับเฮสเทียที่ออกมาดักรออยู่ก่อนแล้ว
น้ำก็มีคนมา ‘อาบ’ ให้เรียบร้อย ที่เหลือก็คือการอบอุ่นร่างกายก่อนนอนนั่นเอง… แต่เอาจริงๆ วาห์นอยากไปคุยกับอาคิก่อนน่ะสิ
เฮสเทียในตอนนี้ไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เธอแย้งว่าอาคิก็ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ถามคืนนี้หรือพรุ่งนี้มันก็ไม่ต่างกันหรอก
แค่นี้วาห์นก็รู้แล้วว่าไม่ต้องเถียงให้เสียเวลา เขาจึงอุ้มเทพตัวแสบขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินกลับห้องนอนทันที
หลังจากวางอีกฝ่ายลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ทั้งคู่ก็เริ่มกิจกรรมที่ทำกันเป็นประจำ
ผลจากการฝึกวันนี้นั้นถือว่าเฮสเทียก้าวหน้าไปมาก
เธออาจจะยังทำแบบไอส์ไม่ได้ แต่ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็คงได้เองและ
ทั้งสอง ‘ประกอบร่างกัน’ ก่อนจะผลอยหลับไปในที่สุด… ความรู้สึกเจ็บที่ผ่านมา บัดนี้วาห์นกลับมองว่ามันคือเรื่อง ‘ปกติ’ และเริ่มรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันแทน
เพราะใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว วาห์นจึงมุ่งหน้าไปทางห้องครัวและพบกับมิลาน ทีน่า เอมิรุ และมาเอมิที่กำลังเตรียมอาหารกันอยู่
เขาแค่ยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาและพูดขึ้น
“วันนี้ฉันจะช่วยด้วยนะ”
วาห์นยื่นมือออกไปลูบหัวและใบหูของทีน่าที่ทำหน้าหงอยๆ พร้อมกับผสานพลังงานอบอุ่นเข้าไปในฝ่ามือ
เด็กสาวเอียงศีรษะตามการเคลื่อนไหวของมือพลางเงยหน้ามาดูวาห์นที่กำลังใช้อีกมือหยิบผักขึ้นมาและเริ่มหั่นมันอย่างชำนาญ
มิลานยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกลับไปทำความสะอาดผักอย่างอื่นและส่งต่อไปให้วาห์นหั่น
วาห์นใช้มีดกวาดส่วนที่หั่นแล้วไปทางทีน่าและเธอก็เริ่มจัดพวกมันใส่จานอย่างสวยงาม
เอมิรุและมาเอมิเฝ้ามองทุกอย่างจากด้านข้างขณะกำลังปอกเปลือกมันฝรั่งและแสดงสีหน้าอิจฉาเมื่อเห็นทีน่า ‘ได้รับความเอ็นดู’ จากวาห์น
พวกเธอเคยได้ยินเรื่อง ‘ความสามารถ’ ของเขามาบ้างแล้วและอยากรู้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน
ทว่าในฐานะสาวใช้ การจะให้พวกเธอเข้าหาวาห์นก่อนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่สาวใช้บ้านไหนเขาทำกัน
ทั้งคู่เคยแอบฝันและถึงขั้นแอบหวังนิดๆ ว่าวาห์นจะเข้ามาหาในคืนแรกด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ที่ถูกช่วยออกมา สองฝาแฝดก็เกิดอาการเพ้อเล็กน้อยว่าจะได้อยู่กับผู้ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างมีความสุข (พื้นหลังสีชมพูติดประกายพร้อมดอกไม้)
นี่เป็นเรื่องที่ทั้งสองไม่เคยบอกใครมาก่อน ว่าความฝันของพวกเธอก็คือการย้ายมาอยู่ในเมืองเพื่อหลีกหนีชีวิตจำเจจองบ้านเกิด
การได้เป็นสาวใช้ของเด็กหนุ่มรูปหล่อแถมยังร่ำรวยอีกนั้น ถ้าไม่เรียกว่าโชคดีๆ สุดก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
และถึงจะไม่ได้เป็นภรรยาของเขา แต่พวกเธอก็ยังมีไม้เด็ดอย่าง ‘การบริการแบบแพ็คคู่’ เก็บซ่อนไว้อยู่อีก
วาห์นนั้นแสดงความเมตตาต่อพวกเธอมาโดยตลอด แถมยังมอบเงินใช้จ่ายให้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งสองจึงอยากใกล้ชิดเขามากกว่าเดิม
เพราะถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้หญิง วิธีดึงดูดให้เขามาสนใจนี่มัน… ต่อให้คิดอีกห้าวัน สิบวันก็ยังคิดไม่ออก
ไม่ใช่ว่าพวกเธอดูถูกหน้าตาตัวเอง แต่คนรักของวาห์นนั้นยังมีเทพธิดารวมอยู่ด้วย นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองจะเทียบเคียงได้เลย
นอกจากนั้นยังมีอุปสรรคที่มีชื่อว่า ‘รุ่นพี่เฟนเรียร์’ ซึ่งสัญชาตญาณต่างกรีดร้องบอกทั้งสองว่าถ้าเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เป็นต้องโดน ‘เขมือบ’ แน่นอน
พวกเธอรู้สึกกลัวสายตาสีแดงสว่างนั่นขึ้นสมองเลย ถึงอีกฝ่ายจะดูเด็กกว่ามากก็ตาม
หลังจากเตรียมอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งห้าก็นำพวกมันออกไปเสิร์ฟให้กับคนอื่นๆ ที่รออยู่
เกิดการสลับที่นั่งกันเล็กน้อยโดยฮารุฮิเมะเปลี่ยนมานั่งตรงที่ของริว หรือก็คือข้างๆ วาห์นนั่นเอง
เฮสเทียยังคงปักหลักอยู่ตรงด้านขวาเช่นเดิม ส่วนเพรเซียนั้นได้ยึดเอาที่นั่งฝั่งตรงข้ามไว้เรียบร้อยแล้ว
จากค่าความชื่นชอบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วาห์นรู้ว่าแกะสาวคงมี ‘ความคิดบางอย่าง’… แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องของอนาคตไปก่อนละกัน
ตอนนี้เขามีเรื่องให้คิดตั้งเยอะแยะ และการมีผู้หญิงเพิ่มมาอีกคนนั้นไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน… ที่จริง ถ้ามองว่ามันไม่ใช่ปัญหาซะก็สิ้นเรื่อง
เขาคงแค่วางเงื่อนไขแบบเดียวกับฮารุฮิเมะ ลิลลี่ และผู้หญิงคนอื่นๆ ไปก่อน
ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ในระหว่างทานอาหารกลางวัน พวกสาวๆ ก็คุยฟุ้งเรื่องของที่ไปซื้อกันมา ส่วนวาห์นที่ยังรู้สึกสงสัยจนต้องแอบหันมามองแบบเนียนๆ ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าฮารุฮิเมะนั้นใส่เสื้อผ้า ‘ครบถ้วน’
ตอนนี้เรนาร์ดสาวกำลังแนบชิดติดกับตัวของเขาโดยนำหางมาพันรอบเอว แต่เธอก็ยังคงรักษาท่าทางสง่างามไว้เช่นเดิมขณะรับประทานอาหารและพูดคุยกับคนอื่นอย่างสุภาพ
วาห์นเห็นว่าเฮสเทียทำตัวแปลกๆ แต่เธอก็ตอบกลับมาว่าไม่มีอะไรหลังจากถูกถามตรงๆ
เทพตัวเล็กแค่หัวเราะแห้งๆ และพึมพำบางอย่างที่เบาจนเขาไม่ได้ยิน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เฮสเทียหยุดเข้ามาอ้อนและขอให้เขาป้อนอาหารให้ทาน
นับเป็นภาพที่ทุกคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าขอให้เขาทำแบบเดียวกัน
ส่วนผู้กล้าที่แท้จริงอย่างเฟนเรียร์นั้นก็มีมิลานมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้อยู่แล้ว เธอจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
อุ้งมือของเผ่าวานากานดร์ทำให้การจับช้อนส้อมยากกว่าคนปกติหลายเท่า
เพื่อรักษามารยาทบนโต๊ะอาหาร เฟนเรียร์จึงมักจะทานสิ่งที่คนอื่นป้อนให้แทน
ถ้ามิลานกับทีน่าไม่อยู่ วาห์นก็จะเป็นคนรับหน้าที่นี้เอง
หลังจากทานกันเสร็จแล้ว ริวก็ถามขึ้น
“วาห์น คิดไว้หรือยังว่าช่วงบ่ายจะทำอะไร?”
วาห์นรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้วางแผนอะไรไว้จริงๆ นั่นแหละ
“ยังเลยนะ เธอมีธุระอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”
แม้จะคุยอยู่กับริวสองคน แต่วาห์นสังเกตเห็นว่าทุกคนต่างมองมาทางเขาแบบแปลกๆ อีกแล้ว
ริวพยักหน้าพลางพูดต่อ
“ฉันเคยคุยเรื่องนี้กับเฮสเทียไว้บ้างแล้ว อยากจะขอให้นายช่วยอัพเดทและดูกระดานค่าสถานะของสมาชิกในแฟมิเลียให้หน่อย
เพราะว่านายสามารถดูสกิลที่ซ่อนอยู่ได้ ยิ่งเข้าใจเรื่องศักยภาพของแต่ละคนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีกับทางเราในระยะยาว
นั่นรวมถึงของฉันเองด้วยนะ พอเสร็จแล้วเราจะได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการฝึกตามความเหมาะสม”
วาห์นเลิกคิ้วเล็กน้อยและพยายามนึกภาพตามสิ่งที่ริวพูด
เขาเคยบอกเธอกับเฮสเทียเรื่องสกิลแฝงของฮารุฮิเมะและเน้นย้ำว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ให้เจ้าตัวรู้เพราะมันจะทำให้การปลุกสกิลแฝงยากกว่าเดิม
ต่อให้เขาบอกเจ้าตัวแบบตรงๆ ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นริวล่ะก็ เธอคงแนะแนวทางให้กับคนอื่นได้แน่
ในส่วนของตัวริวนั้น วาห์นคงต้องช่วยแนะแนวเธอเป็นการส่วนตัวโดยไม่พูดอะไรเกินความจำเป็น
ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งน่าสนใจ โดยเฉพาะเหล่าตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเดิม…
ตอนนี้ยังไงมีใครพูดอะไรออกมา แต่วาห์นสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในห้องนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย แถมยังเป็นเพียงไปกี่ครั้งที่พรีเซียละสายตาจากเขาและหันไปมองเฮสเทียแทน
พอเข้าใจว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ วาห์นก็พูดดักทางไว้ก่อน
“พรีเซีย เธอยังไม่ต้องห่วงเรื่องเข้าร่วมแฟมิเลียหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ
ตอนนี้ค่อยๆ พักฟื้นร่างกายไปก่อนก็พอ
เธอสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้นานเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องรีบร้อนแล้วก็ค่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ…”
พอเห็นว่าวาห์นพูดด้วย พรีเซียจึงหันกลับมาหาเขาก่อนจะกระซิบตอบเบาๆ
“ถ้า… คุณว่าอย่างนั้น…”
บรรยากาศในห้องทำให้ทีน่ารู้สึกคล้อยตามคนอื่นอยู่เหมือนกัน แต่พอได้ยินสิ่งที่วาห์นคุยกับเพรเซียแล้วก็เลยตัดสินใจเก็บเอาไปคิดก่อน
มิลานเห็นท่าทางนั่นก็เลยลูบหัวลูกสาวเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะลูก รอต่ออีกหน่อยก็ได้
จะรับตราสัญลักษณ์ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะลูกยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าดันเจี้ยน
วาห์นเองก็คงอยากให้ลูกรอไปก่อน ดังนั้นไม่ต้องรีบหรอกนะ”
ทีน่าพยักหน้าแทนคำตอบและกลับไปทานอาหารต่อ
ไม่นานทุกคนก็ทานกันจนเสร็จและเริ่มเก็บจานชามไปล้าง
เพราะนี่เป็นโอกาสเหมาะ วาห์นจึงมอบสายวัดตัวให้กับมิลาน เอมิรุ มาเอมิ และฮารุฮิเมะ
สีหน้าแปลกๆ ของพวกเธอทำให้วาห์นต้องรีบอธิบายเรื่องที่เขาคิดจะทำชุดและอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับทุกคนในอนาคต
จะให้เขาไปวัดเองมันก็ได้อยู่หรอก แต่วาห์นอยากปล่อยให้คนที่มีประสบการณ์เรื่องตัดเย็บจัดการมากกว่า
—
ขณะที่ส่วนใหญ่กำลังง่วนเรื่องวัดตัว วาห์นก็เข้ามารออยู่อีกห้องพร้อมกับเฮสเทียและฮารุฮิเมะ
เพื่อทำให้การตรวจสอบง่ายขึ้น ทุกคน (ยกเว้นมิโคโตะ) จึงเปลี่ยนไปใส่ชุดสีดำขนาดเล็กที่สามารถเปิดส่วนหลังได้แทน
วาห์นคิดว่ามันดูเหมาะมาก แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อพบว่ามันไม่มีช่องให้หางผ่าน… ช่วงล่างนี้โผล่ยับเลย
คู่แฝดนั้นวัดตัวแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้วเพราะต่างมีขนาดเท่ากันเกือบทุกส่วน แฝดอีกคน หรือในกรณีนี้ก็คือมาเอมิ จึงเข้ามาที่ห้องตรวจก่อนใครเพื่อน
เธอนี่แหละที่เป็นคน ‘โชว์ของดี’ ต่อหน้าเขาก่อนจะลงมานั่งหันหลังที่เก้าอี้
วาห์นเห็นหางที่แกว่งไปมาอย่างช้าๆ ซึ่งดูก็รู้ว่าเธอพยายามยั่วเขาอยู่
เพราะตัดสินใจแล้วว่าช่วงนี้ควรละๆ ลงบ้าง ดังนั้นก่อนที่เฮสเทียจะเข้ามาตักเตือนมาเอมิ วาห์นก็เลยยื่นนิ้วชี้ออกไปจี้ตรงปลายหางของเธอเสียก่อน
“…อ้ะ!!”
มาเอมิถึงกับตกใจจนกระเด็นไปข้างหน้าและหมอบคว่ำลงกับพื้น… ที่นี้ล่ะเห็นกันหมดเลย
หญิงสาวหันกลับมามองใบหน้ายิ้มๆ ของวาห์นด้วยสีหน้าสับสน
“ขอบใจนะที่พยายามทำเพื่อฉัน แต่นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่ที่ควรทำอะไรแบบนี้หรอกนะ
ในอนาคตยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ แล้วเธอก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานด้วย
เธอกับน้องสาวน่ะพักเรื่องพวกนี้ไปก่อนเถอะ ที่ผ่านมาก็ลำบากมามากแล้วไม่ใช่เหรอ?”
มาเอมิใช้มือนวดตรงโคนหางที่ถูกวาห์นช็อตก่อนจะพยักหน้ารับ
“ค่ะ ท่านวาห์น… ต่อไปฉันจะทำตัวดีแล้วค่ะ”
เธอกลับมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้งด้วยท่าทางผิดหวัง… แต่แล้วก็สัมผัสได้ว่ามีพลังงานอบอุ่นบางอย่างไหลผ่านศีรษะไป
ความสับสนหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากค้นพบต้นตอของความอบอุ่นนั่น
มาเอมิเกือบจะ ‘แมวคราง’ ออกมาแล้วถ้าวาห์นไม่ได้เอามือออกไปเสียก่อน
“เป็นคำตอบที่น่ารักมาก… เอาล่ะ จะเริ่มแล้วนะ
เธออาจรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่ไม่นานมันก็จะดีขึ้นเอง”
เฮสเทียหันมองวาห์นแบบแปลกๆ แต่เจ้าตัวก็แค่ขยิบตาใส่จนทำให้เธอเป็นฝ่ายเขินแทน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วาห์นหยดเลือดของตัวเองลงบนแผ่นหลังของมาเอมิในขณะที่อีกสองคนจ้องมองด้วยความสนใจ
ตั้งแต่ที่เห็นมาเอมิถูกวาห์น ‘แหย่’ ฮารุฮิเมะก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมาบ้างและเริ่มสงสัยว่าต้องยังไงถึงจะโดนแหย่บ้าง
เรื่องนี้คงต้องคิดอีกพักใหญ่ๆ เลย เพราะนอกจากอยากโดนแหย่แล้ว เธอยังอยากโดนลูบหัวต่อด้วย สงสัยต้องหาคนมาช่วยคิดเพิ่ม…
———————————————————————————-
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: มาเอมิ เรน
เผ่าพันธุ์: เสือดาวหิมะ
เลเวล 1
พลังโจมตี: I28
ความอดทน: I33
ความแม่นยำ: I13
ความว่องไว: I51
พลังเวท: I18
สกิล: [เจมิไน: สกิลแฝง(ถูกผนึก)]
เวทมนตร์: –
สกิลที่กำลังพัฒนา: –
———————————————————————————-
วาห์นเลิกคิ้วเพราะนึกไม่ถึงว่ามาเอมิเองก็มีสกิลแฝงกับเขาเหมือนกัน แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นนามสกุลของเธอด้วย
“เธอมีนามสกุลว่า ‘เรน’ เหรอ?”
ความสงสัยนั่นทำให้มาเอมิรู้สึกดีใจและเริ่มอธิบายให้ฟัง
“อื้ม ในที่ราบสูงทางตอนเหนือ เราจะใช้นามสกุลตามชื่อเผ่าค่ะ อย่างเช่นสโนว์ ไอซ์ เรน สตอร์ม และสลีต
(TL: สโนว์ ไอซ์ เรน สตอร์ม สลีต = หิมะ น้ำแข็ง น้ำฝน พายุ ลูกเห็บ)
น้องสาวและฉัน พวกเราเคยอยู่เผ่าเรน เป็นเผ่าที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีฝนตกชุกเกือบตลอดทุกวันค่ะ” วาห์นพยักหน้าพลางพูดต่อ
“เป็นนามสกุลที่เหมาะกับเธอมากเลย ขอบใจนะมาเอมิ ที่ให้ฉันดูกระดานค่าสถานะ”
มาเอมิยิ้มแฉ่งก่อนจะโค้งให้วาห์นอย่างสุภาพ… ทว่าผลที่ออกมานั้นกลับไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก
เพราะชุดสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวลงตามแร้งโน้มถ่วง เผยให้เห็นทรวงอกไร้สิ่งปิดบังที่อยู่ภายใน
เขาไม่ค่อยมั่นใจว่ามาเอมิเป็นฝ่ายพลาดเอง หรือเป็นเพราะเธอยังไม่ยอมเลิกนิสัยเดิมๆ กันแน่
ตัวต้นเหตุเดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์เบิกบานกว่าเดิม ในขณะที่ฮารุฮิเมะเริ่มหัวเราะเสียงดัง
พอเขาหันไปสบกับดวงตาสีเขียว เธอจึงเปรยออกมา
“ทุกคนที่นี่ดูน่าสนใจทั้งนั้นเลยนะคะ~!”
ก่อนที่วาห์นจะได้ตอบอะไร เฮสเทียก็พูดเสริมทันที
“จะบอกว่าทุกคนชอบใช้ความใจดีของวาห์นให้เป็นประโยชน์ก็คงไม่ผิดนักหรอกนะ
ถึงนายจะอุตส่าห์พูดตักเตือนไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ปล่อยทีเด็ดออกมาในตอนจบอยู่ดี
ถ้าเมื่อกี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ อย่างน้อยๆ เธอก็ต้องพันเทปกาวไว้ข้างในแล้วล่ะ
มาพนันกันหน่อยไหมว่าคนน้องจะทำแบบเดียวกันหรือเปล่า~!?”
ฮารุฮิเมะหัวเราะไปกับคำพูดของเฮสเทียและพยายามพูดต่อ
“น่าทึ่งใช่ไหมล่ะคะ~?
ถ้าคุณวาห์นมีความสามารถไม่พอ เขาก็คงดึงดูดคนได้ไม่มากขนาดนี้
ขนาดพรีเซียที่ไม่ยอมเปิดใจให้คนอื่นยัง ‘จ้องงงง’ ใส่ตลอดเลย
วีรบุรุษก็แบบนี้แหละค่ะ ต้องมีผู้หญิงมาคอยรุมล้อมตลอด”
ราวกับเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดอย่างจริงจัง ฮารุฮิเมะเผยสีหน้ามีความสุขขณะทำท่าสวดภาวนาให้กับบางอย่างที่มีแต่เธอเท่านั้นที่จะเข้าใจ
แต่แล้วการพนันก็ต้องถูกเลื่อนออกไปก่อน เพราะคนถัดไปที่เข้ามาก็คือมิโคโตะนั่นเอง
เธอสวมกิโมโนสีม่วงแดงพร้อมโอบิสีเลือดที่พันอยู่รอบเอว
สิ่งที่ต่างไปจากปกติก็คือเธอไม่ได้สวมซาราชิ (TL: ผ้าพันหน้าอก) และปล่อยให้เนินเขาขนาดย่อมๆ ออกมาสูดอากาศหายใจข้างนอก
แม้จะมีอายุเพียง 14 ปี แต่ขนาดหน้าอกของเธอก็ปาไปแล้วประมาณคัพ C กลางๆ
หญิงสาวโค้งให้วาห์นเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับฮารุฮิเมะแทน
เธอลงไปนั่งเงียบๆ แบบไร้ท่าทางลังเล จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดกิโมโนออกและเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่อยู่ภายใน
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้พูดสักคำ วาห์นจึงกล่าวสั้นๆ ว่ามันอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยก่อนจะลงมือทันที
มิโคโตะพยักหน้าแทนการตอบขณะที่วาห์นหยดเลือดลงไปบนแผ่นหลังของเธอ
ทุกกระดานสถานะที่วาห์นเคยตรวจสอบนั้นมิสกิลแฝงติดมาด้วยตลอดเลย เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคอมโบนี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน
———————————————————————————-
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: ยามาโตะ มิโคโตะ
เผ่าพันธุ์: มนุษย์
เลเวล 2
พลังโจมตี: I75
ความอดทน: I70
ความแม่นยำ: H132
ความว่องไว: H119
พลังเวท: I50
สกิล: [ยาตาโนะคุโรการาสึ:C]
เวทมนตร์: [ฟุตสึโนะมิทามะ:B], [อะพอคคาลิปส์ (TL: วันสิ้นโลก): สกิลแฝง(ถูกผนึก)]
สกิลที่กำลังพัฒนา: [ต้านทานสภาวะผิดปกติ:C]
[ยาตาโนะคุโรการาสึ]
ระดับ: C
การใช้งาน: ตรวจหาศัตรูภายในระยะทำการ เผยตำแหน่งศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ ส่งผลกับมอนสเตอร์เท่านั้น และต้องเป็นมอนสเตอร์ที่ผู้ใช้เคยเจอมาแล้ว
ค้นหาพันธมิตร
การใช้งาน: ตรวจหาสมาชิกแฟมิเลียเดียวกันภายในระยะทำการ ส่งผลกับสมาชิกแฟมิเลียเดียวกันเท่านั้น
[ฟุตสึโนะมิทามะ]
ระดับ: B
การใช้งาน: กำหนดพื้นที่เพื่อสร้างสนามแรงโน้มถ่วงพิเศษขึ้น
บทร่าย: ขอสวดวิงวอนแด่ท่าน เทพสงครามผู้พิชิตทุกสิ่ง นำพาข้าจากแดนสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ ขอจงแบ่งพลังออกมา จากกายาแห่งเทพ สู่กายเนื้อแห่งปุถุชน เฉิดฉายแสงแห่งการชำระล้าง กวัดแกว่งดาบพิทักษ์ธรรม ดาบสยบมาร และดาบแห่งผู้ปกครอง ขอจงมาอยู่เบื้องหน้าข้า ณ บัดนี้ สวรรค์จุติ ครองพิภพ – ชินบุ โทวเซย์
(TL: เป็นบทร่ายจากเนื้อเรื่องเดิมจริงๆ แต่คนแปลไม่มีฉบับแปลไทย ก็เลยต้องแปลเอาเองตามความเหมาะสม ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วย)
[ต้านทานสภาวะผิดปกติ]
ระดับ: C
การใช้งาน: สลายผลของสภาวะผิดปกติ เช่นการติดพิษ โดยประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับระดับสกิล
———————————————————————————-
ดูเหมือนคอมโบของวาห์นจะยังไม่แตก เพราะมิโคโตะเองก็มีสกิลแฝงเหมือนกับคนอื่นเช่นกัน
เพราะยังไม่เคยเห็นเวทมนตร์แรงโน้มถ่วงมาก่อน เขาเลยรู้สึกสนใจอยู่บ้างและอยากเห็นว่ามันจะมีประโยชน์ในการต่อสู้จริงมากแค่ไหน
เรื่องที่เขามองว่าแปลกก็คือทั้งๆ ที่เป็นนักดาบฝีมือดี แต่ค่าสถานะของมิโคโตะนั้นออกจะต่ำไปเล็กน้อย
วาห์นสันนิษฐานว่าเธอคงเน้นหนักไปที่เรื่องการฝึกมากกว่าการลงไปล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยน ค่าสถานะถึงออกมาเป็นแบบนี้
หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว มิโคโตะก็จัดกิโมโนให้เข้าที่และพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ถ้ากัปตันไม่ว่าอะไร ฉันขออยู่ดูด้วยได้หรือเปล่าคะ?”
เพราะอนุญาตฮารุฮิเมะไปแล้วคนนึง จะมีเพิ่มมาอีกคนคงไม่เป็นไร
“ตามสบายนะ ถ้าดูเฉยๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอก”
มิโคโตะยิ้มตอบ ก่อนจะโค้งอีกครั้งและลงมานั่งข้างๆ ฮารุมิเนะในท่า ‘เซอิซา’ (TL: ท่านั่งสงบของชาวญี่ปุ่น)
แต่เพราะเธอลืมออกไปบอกให้คนอื่นเข้ามาได้ เฮสเทียจึงเป็นฝ่ายลุกออกไปในขณะที่มิโคโตะได้แต่เบิกตากว้างเพราะความผิดพลาดของตัวเอง
พอพยายามที่จะลุกขึ้น วาห์นก็โบกมือห้ามพลางหัวเราะ
“ช่างเถอะ ไหนๆ เฮสเทียก็ลุกไปแล้วนี่นะ
เธอลุกไปตอนนี้มันจะยิ่งแย่กว่าเดิม”
มิโคโตะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ยอมนั่งต่อตามที่วาห์นแนะนำ
ฮารุฮิเมะหัวเราะคิกคักจากด้านข้างและหันมากระซิบคุยด้วย
“ไม่ต้องเครียดนะ มิโคโตะ คุณวาห์นไม่ได้สนใจเรื่องความเป็นผู้ดีอะไรขนาดนั้นหรอก
ถึงเขาจะเป็น ‘กัปตัน’ เธอก็ควรทำตัวตามสบายกว่านี้… ถ้าอยากแสดงความภักดีจริงๆ น่ะนะ~!”
มิโคโตะนั้นเป็นพวกหน้าจริงจังทั้งวัน จริงจังถึงขึ้นที่ทำให้คิ้วของเธอแทบจะเอียง 45 องศาเกือบตลอด
ถึงจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเพื่อนสาวเท่าไหร่นัก แต่มิโคโตะก็พยักหน้ารับก่อนจะกลับไปนิ่งเงียบและนั่งหลังตรงเหมือนเดิม
ริวนั้นอยากให้วาห์นตรวจสอบเป็นการส่วนตัว คนที่เดินตามหลังเฮสเทียมาก็เลยเป็นเอมิรุซึ่งใส่ชุดแบบเดียวกันกับพี่สาวฝาแฝด
เฮสเทียคอยประกบติดหญิงสาวด้วยสีหน้าคาดหวังและค่อยๆ ยื่นมะเหงกออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้โค้งคำนับต่อหน้าวาห์น
“นี่แหนะ~!”
“!”
“มุขนี้พี่เธอน่ะเล่นไปแล้ว! รีบไปนั่งดีๆ เลย
เราจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น”
เอมิรุหันมาทำหน้าเจื่อนใส่จนเฮสเทียต้องพูดต่ออีกนิด
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้น
รีบๆ ทำให้เสร็จแล้วจะขอให้วาห์นลูบหัวนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”
ราวกับได้ยินคำวิเศษที่รอคอยมานาน เอมิรุรีบลงมานั่งหลังตรงพร้อมกับเอามือพาดตักอย่างว่าง่าย
วาห์นเห็นภาพนี้แล้วยังอดขำขึ้นมาไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดแบบเดิมๆ
“มันอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวนะ แต่แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ”
เอมิรุพยักหน้ารับทันที
“ค่ะ ขอแบบด่วนๆ เลยนะคะ ท่านวาห์น!”
วาห์นแอบคิดเล่นๆ ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่นะ ก่อนจะเริ่มหยดเลือดลงไป
สิ่งที่เขาอยากเห็นในรอบนี้ก็คือข้อมูลที่ต่างไปจากของมาเอมิ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะค่าสถานะของเอมิรุนั้นแทบจะลอกแบบกันมาเลย
วาห์นคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากสกิลแฝงที่เหมือนกันของทั้งคู่พลางเริ่มคิดหาวิธีเพื่อปลุกพวกมัน
———————————————————————————-
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: เอมิรุ เรน
เผ่าพันธุ์: เสือดาวหิมะ
เลเวล 1
พลังโจมตี: I28
ความอดทน: I33
ความแม่นยำ: I13
ความว่องไว: I51
พลังเวท: I18
สกิล: [เจมิไน: สกิลแฝง(ถูกผนึก)]
เวทมนตร์: –
สกิลที่กำลังพัฒนา: –
———————————————————————————-
หลังจากเก็บข้อมูลเรียบร้อย วาห์นก็ทำตามที่เฮสเทียเคยพูดและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] กับหัวและหูของเอมิรุก่อนจะปล่อยเธอออกไปนอกห้องพร้อมสีหน้าเปี่ยมสุข
หลังจากที่เธอออกไปแล้ว มิโคโตะก็ยืนขึ้นและโค้งให้อย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ กัปตัน ที่ให้ฉันอยู่ดูจนจบ
ฉันรู้ดีว่าไม่ควรมาขออะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
วาห์นส่ายหัวทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มิโคโตะ คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ
ตอนนี้เราอยู่แฟมิเลียเดียวกันแล้ว และฉันจะปฏิบัติกับทุกคนให้เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เธอก็ไม่ต้องเคร่งครัดขนาดนั้นหรอก
ส่วนเรื่องที่สำคัญ… เอาไว้ถึงเวลาแล้วฉันบอกจะเอง
ช่วงนี้ถ้าว่างๆ เธอก็อยู่คุยเล่นกับฮารุฮิเมะเถอะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีนี่นะ”
ถึงจะตั้งใจฟังสิ่งที่วาห์นพูดแบบคำต่อคำ แต่ดูเหมือนมิโคโตะจะตีความคนละอย่าง เพราะสิ่งต่อไปที่เธอทำก็คือลงไปคุกเข่าข้างเดียวและก้มหัวต่ออีกหลายวินาที
วาห์นเคยอ่านหนังสือจากตะวันออกมาบ้างและรู้ว่านี่เป็นท่าสวามิภักดิ์ต่อ ‘นายเหนือหัว’ ของเหล่านักรบ
เขาได้แต่ถอนหายใจข้างในพลางคิดว่าความจริงจังของมิโคโตะนั้นคงทำให้ชีวิตในอนาคตของเธอลำบากไม่ใช่น้อยๆ เลย
‘…แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นอนูบิสแฟมิเลียก็คงไม่เป็นไรหรอก มั้งนะ?’
จากด้านข้าง ฮารุฮิเมะนั้นกำลังใช้แขนเสื้อปิดปากพลางหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
“ทุกคนที่นี่น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ~! ชักอยากรู้แล้วสิว่าต่อไปจะเป็นยังไงกันน้า~”
หลังจากที่เธอพูดเสร็จ มิโคโตะก็จบพิธีกรรมเล็กๆ ของเธอพอดีก่อนจะพยักหน้าให้วาห์นและเดินออกจากห้องไป
วาห์นสัมผัสได้ว่าเธอกำลังเดินออกไปที่ลานซ้อม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหญิงสาวคงคิดจะฝึกดาบต่อในช่วงบ่าย
ไม่นานฮารุฮิเมะเองก็โค้งให้กับเขาอย่างสง่างามและเดินออกจากห้องไปเช่นเดียวกัน
วาห์นยิ้มแห้งๆ และพยักหน้าเล็กน้อย เพราะเขาเองก็เห็นว่ามันน่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ แต่ก่อนจะได้คิดเรื่องมิโคโตะหรือคนอื่นๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าคนใกล้ตัวมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เฮสเทีย เป็นอะไรหรือเปล่า? นี่เธอดูแปลกไปตั้งแต่ตอนมื้อกลางวันแล้วนะ”
ตอนนี้เฮสเทียดูสงบเสงี่ยมผิดหูผิดตามาก ราวกับมีเรื่องให้คิดหนักตลอดเวลา
ในระหว่างที่วาห์นตรวจค่าสถานะ เทพตัวเล็กก็เอาแต่จ้องออกไปที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างเกือบตลอด
หลังจากได้ยินคำถามของวาห์น เฮสเทียก็หันมาสบตาและหัวเราะร่า ก่อนจะสารภาพออกมาตามตรง
“เดี๋ยวคืนนี้โลกิจะมาหาน่ะ… แหะๆ”