ขณะที่อัลเลนกำลังดูแลฟรีเน่อย่างทนุถนอมอยู่นั้น เสียงแห่งความวุ่นวายก็เริ่มดังไปทั่วเบลิตบาบิลี่
สมาชิกระดับหัวกะทิทั้ง 8 คนของเฟรย่าแฟมิเลียได้บุกเข้ามาข้างในและเริ่มกวาดล้างทุกอย่างแบบไม่เลือกหน้า
เฟรย่านั้นมีข้อมูลของเบลิตบาบิลี่และตึกโดยรอบอยู่ก่อนและได้วางกำลังคนเพื่อดักทางหนีของอิชทาร์ไว้หมดทุกด้านแล้ว
เทพสาวรู้ดีว่าถ้าอยากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เธอก็ต้องจัดการแบบถอนรากถอนโดคนให้หมดในครั้งเดียวเลย
ตราบใดที่อิชทาร์ยังอยู่ เธอก็จะคอยโปรยมนต์เสน่ห์เพื่อเกณฑ์คนไปทั่ว จากนั้นก็กลับมาแว้งกัดอยู่เรื่อยไป
เลเวลที่ต่ำสุดในหน่วยรบส่วนตัวของเฟรย่านั้นคือเลเวล 5 ซึ่งแน่นอนว่านักรบอเมซอนของอิชทาร์นั้นเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
แม้ว่าหน่วยรบหลักของอิชทาร์จะหลบหนีออกไปตั้งแต่เริ่มแรก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความคิดแบบนั้น
ยังมีสมาชิกอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นแบบเดียวกับทัมมุซ หรือก็คือพวกที่ภักดีแบบไม่ลืมหูลืมตา
ส่วนใหญ่เป็นคนที่อิชทาร์เคย ‘ดูแลแบบถึงเนื้อถึงตัว’แทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีมนตร์เสน่ห์ คนพวกนี้ก็จะคอยปกป้องอิชทาร์และเบลิตบาบิลี่จนกว่าชีวิตจะหาไม่
สำหรับสมาชิกส่วนที่เหลือนั้น พวกเขาคิดถ้าสู้ก็ตายหนีก็ไม่น่ารอด งั้นก็อยู่สู้ต่อดีกว่า
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างแฟมิเลียทั่วไปกับแฟมิเลียอาชญากรรม
สำหรับแฟมิเลียอาชญากรรมนั้นการที่ตกอยู่ในสภาพ ‘เรือล่ม’ ก็เหมือนกับตัวเองได้ตายไปแล้ว จะหนีไปเข้าแฟมิเลียธรรมดาก็ไม่ได้ จะไปเข้าแฟมิเลียอาชญากรรมอื่นก็คงไม่มีใครอยากรับเพราะเดี๋ยวจะซวยไปด้วย
ครั้งนี้เฟรย่าถึงขนาดพากลุ่มนักรบทั้งสี่ที่มีชื่อว่า ‘พี่น้องกัลลิเวอร์’ ออกมาสู้ด้วย
การที่เผ่าพันธุ์พลูมจะให้กำเนิดคู่แฝดหรือแฝดสามนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การมีแฝดสี่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ยิ่งเป็นแฝดสี่ที่มีสกิลโจมตีประสานกันได้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
พลูมทั้งสี่มีส่วนสูง 120 ซม. และผมสีขาวเหมือนกัน พวกเขามีชื่อว่าเกรอร์ อัลฟริก ดวาลิน และเบอร์ลิง
ทุกคนเป็นนักผจญถัยเลเวล 5 และสวมชุดเกราะที่ปิดบังใบหน้าเหมือนๆ กัน
ไม่มีใครรู้ว่าคนไหนคือคนไหน อย่างเดียวที่แตกต่างกันก็คืออาวุธที่แต่ละคนถืออยู่
พอมีคนจดจำสี่พี่น้องตามอาวุธที่แต่ละคนใช้ ข่าวใหม่ก็เริ่มแพร่กระจายออกมาว่าพวกเขาสามารถสลับไปใช้อาวุธของกันและกันได้ด้วย
ข้อมูลที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือเกรอร์ผู้เป็น ‘พี่ใหญ่สุด’ นั้นชอบใช้ดาบใหญ่มากเป็นพิเศษ
พอประสานการโจมตีเข้าด้วยกัน สี่พี่น้องก็สามารถสังหารเหล่าสมาชิกของอิชทาร์แฟมิเลียได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ถ้าหากมีพวกเก่งหน่อยๆ โผล่ออกมา เกรอร์ก็จะโดดเข้าใส่เป็นคนแรก จากนั้นพี่น้องที่เหลือจะตามเข้ามาโอบรอบด้านและเผด็จศึกในเวลาต่อมา
ถึงศัตรูจะอ่อนแอกว่ามาก แต่พี่น้องทั้งสี่ก็ยังโจมตีร่วมกันอย่างจริงจังโดยไม่ชะล่าใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาสู้แบบเงียบๆ ไม่มีการประกาศนาม ไม่มีการเยาะเย้ยอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะหันมาคุยกันเอง
แต่ต่อให้ทั้งสี่จะดูเก่งกาจยังไง พวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับชายหนุ่มอีกคนที่พุ่งผ่านกองกำลังของเบลิตบาบิลี่ดุจดั่งคลื่นโหมกระหน่ำได้เลย
ตอนนี้ร่างสูง 2 เมตรกว่าๆ นั้นถูกชโลมไปด้วยเลือดของศัตรูเพียงอย่างเดียว
ดาบยักษ์ 2 เล่มถูกกวัดแกว่งราวกับว่าพวกมันเบาเหมือนกิ่งไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในระยะจะถูกทำลายโดยปราศจากความลังเล แน่นอนว่ารวมถึงพวกขยะที่ต้องการเข้าใกล้เทพธิดาที่อยู่ด้านหลังด้วย
เฟรย่าเดินตามออตตาร์โดยทำเหมือนศัตรูราวๆ 50 คนตรงนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ
ทั้งสองเดินเข้ามาถึงพื้นที่ชั้นในที่ซึ่งอิชทาร์มักจะใช้เพื่อจัด ‘งานรื่นรมย์’ ยามค่ำคืน
ห้องๆ นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตรและถูกห้อมล้อมไปด้วยผ้าม่านกับกลิ่มเครื่องหอมอบอวน
ตรงกลางห้องยังมีเตียงขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยหมอนหลายขนาด ผ้าห่ม และอุปกรณ์เพื่อความรื่นรมย์หลายชิ้น
อิชทาร์ที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนั้นกำลังได้รับการปรนนิบัติจากชายหนุ่ม 2 คน แต่แล้วดวงตาก็เธอก็เบิกกว้างเมื่อหันไปเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
แต่ก่อนที่เธอจะได้เปิดปาก เฟรย่าก็หัวเราะอย่างสนุกสนานและพูดขึ้น
“เชิญต่อได้ตามสบายเลยนะ
ไหนๆ นี่ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในโลกมนุษย์ของเธอแล้วหนิ อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่าเลย~”
ดวงตาของเฟรย่านั้นแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก ราวกับกำลังต้องมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
สองหนุ่มที่อยู่ข้างอิชทาร์นั่น เธอมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีดีแค่รูปร่าง แต่ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ดูแล้วคงเป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่า ‘นายบำเรอ’
จากมุมมองของเฟรย่า คนจำพวกนี้เปรียบเสมือนมดปลวกไร้ค่า ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะจ้องมองเธอด้วยซ้ำ
อิชทาร์มองเฟรย่าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ราวกับว่ากำลังมองสิ่งที่อยู่สูงกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเคียงได้
ไม่นานสายตาของเธอก็เคลื่อนไปหาออตตาร์ผู้มีสมญานามว่า ‘คิง’
ร่างกำยำนั่นดูเหมือนถูกสลักออกมาจากหินแกรนิต เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่อาจซ่อนความแข็งแกร่งที่อยู่ภายในได้เลย
พอเลื่อนขึ้นมาประสานตาด้วย อิชทาร์ก็ต้องตกใจรอบสองเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอแม้แต่นิดเดียว
พอตกใจก็เลยเริ่มได้สติและเห็นว่านอกจากออตตาร์จะถือดาบยักษ์เข้ามาแล้ว ทั่วตัวของชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงมากมาย
อิชทาร์รีบโบกมือไล่ชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ฟะ-ฟะ-เฟรย่า มาได้ไงเนี่ย? ทะ-ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอหรอกนะ!
นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่เธอนึกอยากจะมาก็มา!”
ถึงจะพยายามปั้นหน้าเข้มสุดๆ แต่สิ่งที่อิชทาร์ได้กลับมาก็มีแค่น้ำตาของตัวเองที่ใกล้จะเอ่อล้นและสีหน้าขบขันของอีกฝ่าย
เธอพยายามร่ายมนตร์เสน่ห์ใส่ออตตาร์แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าอะไรเลย
พอเห็นว่าเฟรย่าไม่ได้พูดตอบกลับมา อิชทาร์ก็เลยยิ่งขวัญอ่อนจนต้องพูดสุภาพกว่าเดิม
“เฟรย่า มะ-ไม่ทราบว่าเธอมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
มีเรื่องที่ฉันพอจะช่วยได้มั้ย..?”
ตอนนี้หนทางรอดเดียวก็คือยอมไปก่อน ถึงจะเกลียดมากแค่ไหนก็ต้องทน!
สีหน้าของเฟรย่าดู ‘อ่อนลง’ ขณะที่มุมปากเผยรอยยิ้มนิดๆ
“แน่นอน อิชทาร์ที่รัก~
คืองี้นะ ช่วงปีที่ผ่านมาฉันรู้สึกปวดๆ ที่คอมากเลยล่ะ…”
เฟรย่าพูดพลางใช้มือนวดหลังคอของตัวเองไปด้วย
“ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป เธอช่วยทำให้มันหายปวดทีจะได้ไหม~?”
แม้จะรู้ว่าเฟรย่ากำลังสื่อถึงอะไร แต่ตอนนี้คงทำได้แค่ตามน้ำสุดชีวิต!
“อะ-เอ่อ อยากให้ฉันนวดให้มั้ย?”
อิชทาร์พยายามข่มใจสุดๆ แต่ตอนนี้ฟันของเธอก็เริ่มกระทบกันจนเกิดเสียงเล็กน้อยแล้ว
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือไม่น่าไล่สองคนนั้นออกไปเลย
ถึงทั้งคู่จะเป็นแค่เลเวล 1 แต่อย่างน้อยๆ อิชทาร์ก็คงไม่ต้องมายืนเหงาอยู่คนเดียว
ห้องที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็น ‘ราชินี’ มากว่า 50 ปีนั้น… ตอนนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย
—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
เฟรย่าใช้มือป้องปากพลางหัวเราะร่าเมื่อได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่าย
“เด็กโง่ เรื่องแบบนั้นฉันให้ออตตาร์ทำก็ได้~!
คนของฉันน่ะเก่งอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับพวก… ของเธอหรอกนะ~”
ออตตาร์ที่เข้าใจนายหญิงมากกว่าใครๆ เริ่มวาดดาบออกไปหนึ่งครั้งและทำให้ข้าวของบางส่วนปลิวตามไปด้วย
เสี้ยววินาทีต่อมา ทุกอย่างในห้องที่อยู่เหนือหัวของอิชทาร์ก็โดนผ่าออกเป็นสองซีก
เสาหนาเป็นเมตร? แล้วไง? สุดท้ายก็โดนหั่นเหมือนกันหมด
อย่างเดียวที่อิชทาร์รู้สึกได้ก็คือ… เหมือนว่าผมกลางศีรษะของตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย
พอเห็นสภาพของอิชทาร์แล้วเฟรย่าก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม
“ฮ่าๆ วิเศษมาก นี่เธออยากเป็นผู้นำทรงผมแนวใหม่ใช่ไหมอิชทาร์?”
ไอ้กลัวมันก็กลัวอยู่ แต่ตอนนี้ความโกรธของอิชทาร์มันมีมากกว่าแล้วน่ะสิ
“ยัยบ้าเฟรย่า! แกมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำกับฉันแบบนี้!?
ทำไมแกต้องเข้ามายุ่งวุ่นว่ายกับฉันทุกรอบเลยห้ะ!?” เทพสาวกรีดร้องลั่น
จากนั้นเฟรย่าก็เดินเข้ามาใกล้จนอิชทาร์ล้มก้นจ้ำเบ้า แข้งขาแหวกออกจนไม่เหลือราศีแห่งความเป็นเทพอยู่เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ผลพวงจากกิจกรรมก่อนหน้าก็เริ่มไหลออกมาจากตรงหว่างขาและทำให้บรรยากาศจริงจังหายไปเกือบหมด
เฟรย่าไม่สนใจภาพตรงหน้า เธอเดินเข้ามาเรื่อยๆ พลางตอบคำถามของอีกฝ่ายไปด้วย
“หลายปีก่อน คนที่ตัดสินใจต่อต้านฉันก็คือตัวเธอเอง
รู้ไหมว่าตอนนั้นฉันเมตตามากแค่ไหน? แต่แล้วเธอก็เหยียบย่ำความเมตตานั่นจนป่นปี้หมด~
นี่เธอคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะใจดีไปตลอด~?”
แววตาของ ‘ผู้ล่า’ ทำเอาอิชทาร์แทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้
เธอรู้สึกอิจฉาเฟรย่ามาโดตลอด เพราะอีกฝ่ายทั้งสวยกว่า แถมมนตร์เสน่ห์ก็รุนแรงกว่าตัวเองหลายเท่า
เฟรย่าไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา ไม่เห็นว่าเธอเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ อย่างมากที่อิชทาร์ทำได้ก็คือคอยตามก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
เริ่มแรก เฟรย่าค่อยๆ สร้างขุมกำลังของตัวเองและพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง ส่วนอิชทาร์นั้นโปรยเสน่ห์ใส่คนอื่นไปทั่ว จากนั้นก็พยายามสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบเธอนัก บางคนถึงกับไม่ฟังคำสั่งเลยด้วยซ้ำ ส่วนเฟรย่ากลับถูกห้อมล้อมไปด้วยข้ารับใช้ผู้ภักดี
ตอนนี้เธอพยายามใช้มนตร์เสน่ห์กับออตตาร์ร่วมร้อยกว่าครั้งแล้ว แต่หมอนี่ก็ยังมีท่าทางเหมือนเดิม
เทพธิดาคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเขานั้นเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเฟรย่าที่กำลังใช้สายตาจ้องมองราวกับว่าเธอคือแมลงตัวนึง
อิชทาร์เริ่มเอ่ยถามด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“บอกหน่อยสิเฟรย่า… ว่าเราต่างกันตรงไหน?
ทำไมเธอถึงได้อยู่แบบสุขสบายไปวันๆ โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย?
ทำไมเธอถึงได้นั่งอยู่บนยอดหอคอยนั่น ในขณะที่ฉันต้องมาจมปลักอยู่ในย่านสกปรกที่มีแต่โจรกับลูกน้องไม่เอาไหน?
ทำไมทุกคนถึงหลงใหลและยกเธอให้เป็นดาวเด่น ในขณะที่ฉันต้องอยู่ในเงามืด แถมคนรอบข้างก็เอาแต่ดูแคลน?”
เสียงส่วนใหญ่อาจจะบอกว่าเฟรย่านั้นสวยกว่าอิชทาร์ แต่โดยแก่นแท้แล้วทั้งคู่ก็ยังเป็นเทพธิดาแห่งความงามเหมือนกัน
อิชทาร์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเฟรย่าถึงหยิบจับอะไรก็ดีไปหมด แต่ตัวเองกลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและความล้มเหลวมาตลอด
เฟรย่าทำท่าเหมือนกับกำลังคิดคำตอบแบบจริงจัง เธอเอียงหัวไปมาพลางลูบคางและใช้สีหน้าครุ่นคิด
หลังจากปล่อยให้อิชทาร์รอต่ออีกหน่อย เธอก็ยิ้มและตอบกลับไป
“ตกใจเลยนะเนี่ยที่เห็นว่าเธอกล้าเอาเราสองคนมาเปรียบเทียบกันด้วย
ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้~?”
เป็นเสี้ยววินาทีที่อิชทาร์รู้สึกโกรธมาก มากพอที่จะเลิกกลัวและตะโกนด่าอีกฝ่ายได้เลย
แต่ทันทีที่เปิดปาก อิชทาร์ก็รู้สึก ‘คลื่นไส้’ ตามมาด้วยความเจ็บแปลบที่ลำคอ…
ทันทีที่ตัวเองพูดจบ เฟรย่าก็ดึงมีดสีดำออกมาเชือดคออิชทาร์ทันที เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสเถียงกลับด้วยซ้ำ
เฟรย่าจ้องมองสีหน้าแห่งความเจ็บปวดนั่น ก่อนที่อิชทาร์จะเริ่มยกมือขึ้นมาบีบปากแผลเพื่อยับยั้งไม่ให้เลือดไหลออกมาจนหมด
ผิวสีเข้มที่ดูมีเสน่ห์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่อิชทาร์ต้องเรียกใช้อาร์คานั่มเพื่อห้ามเลือด
แต่บังเอิญว่ามีดที่เฟรย่าใช้นั้นลงคำสาปเอาไว้ มันก็เลยไม่ได้ผลเท่าไหร่
เพราะเฟรย่าไม่อยาก ‘ฆ่าเทพด้วยกัน’ เธอก็เลยเลือกที่จะกดดันให้อีกฝ่ายใช้อาร์คานั่มออกมาปกป้องตัวเอง
โทษของการใช้อาร์คานั่มบนโลกมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างเดียว… และร่างของอิชทาร์ก็เริ่มเปล่งแสงออกมาทันที
อิชทาร์พยายามพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แค่สำลักเลือดที่กระเด็นออกมาเปื้อนใบหน้าของเฟรย่า
เฟรย่าจ้องมองแสงสว่างที่เข้ามาย่อยสลายร่างของอิชทาร์ อีกไม่นานมันก็จะส่งเธอกลับไปที่สวรรค์แล้ว
เพราะถูก ‘ส่งกลับ’ จากการทำผิดกฎ อิชทาร์คงจะต้องรออีกนานกว่าจะได้กลับมาเหยียบโลกมนุษย์อีกครั้ง เผลอๆ อาจนานกว่าลาเวอร์น่าหลายเท่า
สำหรับเหล่าทวยเทพแล้ว นี่คือวิธีจบปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไป
ผู้แพ้ไม่ได้ตายแบบจริงๆ จังๆ แถมสักวันคงได้กลับลงมาอีก ดังนั้นมันจึงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก
หลังจากที่ร่างของอิชทาร์สลายไปหมดแล้ว เฟรย่าก็ยกผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าพร้อมกับพูดทิ้งท้าย
“ทึ่งเลยแฮะ ก่อนตายก็ยังอุตส่าห์ทำให้ใบหน้าของฉันเปื้อนได้อีก
แย่หน่อยนะที่มัน… เช็ดออกง่าย”
พูดเสร็จเธอก็โยนผ้าทิ้งไว้ตรงนั้น ไว้บนพื้นที่เต็มไปด้วยผ้าม่านเหม็นสาป…
“ออตตาร์ที่รัก ช่วย…เผาให้หมดเลยนะ
ฉันไม่อยากเห็นตึกของอิชทาร์แฟมิเลียอีกแล้ว ไม่อยากเห็นแม้แต่ตึกเดียว~”
สีหน้าของออตตาร์ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็ตอบรับเหมือนเช่นทุกครั้ง
“น้อมรับบัญชา”
(A/N: อาจจะดูค่อนข้างเหมือนในอนิเมะนะครับ ดวงชะตาของอิชมาร์มันออกจะเปลี่ยนยากหน่อย เพราะมันขาดตั้งแต่ไปเป็นศัตรูกับเฟรย่าแล้ว สิ่งที่เฟรย่ารออยู่ก็คือเหตุผลที่จะเอามาใช้กำจัดเธอนั่นเอง~!
แล้วก็ ส่วนตัวผมคิดว่ามันแปลกนะครับที่หลังจากโดนส่งกลับไปแล้ว อิชทาร์ก็ไม่เคยปูดเรื่อง ‘เวทมนตร์เพิ่มเลเวล’ ของฮารุฮิเมะให้ใครรู้เลย (ในเนื้อเรื่องเดิม) เพราะว่าเวทมนตร์ ‘ติดต่อผ่านเทพพยากรณ์’ นั้นมันมีอยู่จริงน่ะครับ (TL:เวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้สื่อสารระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์)
สุดท้ายผมก็เลยตีความเอาเองว่าอิชทาร์คงจะประมาณว่า ‘ไหนๆ ก็โดนส่งกลับมาแล้ว เรื่องของโลกมนุษย์ก็ช่างมันละกัน’
ถ้าเกิดว่าปากมากสักหน่อย พวกเบลล์คงได้วุ่นวายกับเรื่องของฮารุฮิเมะกันอีกยกใหญ่ (O,…,O)~!)
หลังจากอุ้มอาคิกลับมาส่งห้อง วาห์นก็ออกมานั่งรับลมที่ระเบียงขณะจ้องมองบริเวณรอบๆ ตัวคฤหาสน์
ขณะนี้เป็นเวลาตี 3 แล้ว เขาก็เลยไม่อยากกลับไปนอนต่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้สู้มาสดๆ ร้อนๆ
แม้จะสงบลงไปมาก แต่ร่างกายก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดอยู่บ้าง
ตอนสู้กับคนที่เก่งแบบทีโอเน่นั้นวาห์นคาดคะเนไม่ถูกเลยว่าตัวเองก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว การต่อสู้กับทัมมุซนั้นเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกเรื่องประสาทรับรู้ต่างๆ และทำให้รู้ด้วยว่าตัวเองยังพัฒนาไปได้อีกเยอะ
วาห์นอาจจะไม่ได้เข้าดันเจี้ยนในช่วงนี้ แต่เขาก็ยังประมือกับคนที่มีเลเวลสูงกว่าได้เพราะมีเหล่าสกิลต่างๆ มาช่วยอุดช่องว่าง
ตามปกติแล้ววาห์นไม่ค่อยมีโอกาสได้สู้กับนักผจญภัยที่เก่งกาจบ่อยนัก ต้องบอกเลยว่ามันไม่เหมือนกับการสู้กับมอนสเตอร์แม้แต่น้อย
มอนสเตอร์คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งกว่านักผจญภัยส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ทว่าสไตล์การต่อสู้ของพวกมันกลับมีแต่แบบเดิมๆ
ถ้ารู้แนวทางการโจมตีและจุดอ่อนของมอนสเตอร์ การจัดการพวกมันก็จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด
ต่อให้เป็นโกไลแอธที่ว่าแน่ หากเตรียมตัวดีๆ วาห์นก็คงไม่ต้องลำบากแบบนั้น
ถ้าเป็นวาห์นตอนนี้ล่ะก็ เขามั่นใจว่าน่าจะโค่นมันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ประเด็นสำคัญก็คือค่าสถานะของวาห์นไม่ได้เพิ่มขึ้นจากตอนนั้นมากนัก
สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คือสามารถในการต่อสู้ ความรู้ และความชำนาญจากการฝึกซ้อมต่างๆ
แค่ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพียงวิชาเดียวก็ทำให้เขาเก่งแบบก้าวกระโดดแล้ว เพราะขนาดคู่ต่อสู้ที่มีเลเวลสูงกว่ายังไม่ตามความเร็วไม่ทันเลย
ถ้าเลเวลอัพอีกสักครั้งสองครั้ง วาห์นเชื่อว่าคงไม่มีนักผจญภัยคนไหนเอาชนะตนเองได้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็น ‘สัตว์ประหลาด’ อย่างออตตาร์จากเฟรย่าแฟมิเลียก็เถอะ…
วาห์นนยังไม่มีโอกาสได้พบกับคนๆ นี้ ทว่า ‘ตำนาน’ ของออตตาร์ผู้โด่งดังนั้นทุกคนในเมืองย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน
ออตตาร์ยังได้รับขนานนามว่าเป็นนักผจัญภัยที่เก่งกาจที่สุด สมกับฉายา ‘คิง’ ของเขา
ถ้าขึ้นมาถึงเลเวล 5 เมื่อไหร่ วาห์นเชื่อว่าตัวเองพอมีทางชนะอยู่บ้าง หากสู้ระยะใกล้ไม่ไหวก็เปลี่ยนเป็นระยะไกลก็ได้นี่
เพราะวาห์นสามารถเคลื่อนไหวหลบหลีกได้อย่างอิสระภายในเขตแดน คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะโจมตีเขาโดนแบบจังๆ
ถ้าสลับเป็นการสู้ระยะไกลหรือเวทมนตร์อย่างเดียว วาห์นคิดว่าเรื่องนี้ตัวเองคงกินขาด
แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ต้องรอให้ถึงเลเวล 5 ก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
วาห์นรู้ว่าการเพิ่มค่าสถานะในช่วงหลังจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ เพราะต้องออกไปหามอนสเตอร์ที่พอฟัดพอเหวี่ยงหรือเก่งกว่าตัวเอง
การที่เขาสู้กับพวกที่เลเวลเยอะกว่าได้นั้นอาจทำให้เรื่องยากกว่าเดิม
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราฟาร์มมอนสเตอร์ไปเรื่อยแล้วจู่ๆ จะเก่งขึ้นมาได้เอง
ถ้าอยากอยู่สูงกว่านี้ วาห์นจะต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงและฟันฝ่าอุปสรรคที่ยากกว่าที่แล้วๆ มา
นี่เป็นเหตุผลที่นักผจญภัยหลายคนมาหยุดอยู่ตรงเลเวล 3 ส่วนพวกเลเวล 5 นั้นต้องบอกว่าหายากยิ่งกว่ายาก
พอความสามารถทางร่างกายเพิ่มขึ้น คุณภาพของอาวุธและอุปกรณ์ก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทุกอย่างมันจะยากตามๆ กันไป
นี่แหละที่ทำให้โลกิแฟมิเลียใช้วิธีแหวกแนวในการเพิ่มพลังให้กับสมาชิก
พวกเขาจะให้เหล่าเด็กใหม่สู้กับมอนสเตอร์หรือบอสที่เก่งกว่าด้วยตัวเองโดยมีพี่เลี้ยงคอยคุมอยู่ห่างๆ
พวกพี่เลี้ยงจะลงมือก็ต่อเมื่อเด็กใหม่สู้ต่อไม่ไหว ทว่าบ้างครั้งเรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น
อุบัติเหตุเล็กน้อยที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตคือเรื่องปกติธรรมดามาก โดยเฉพาะกับเหล่านักผจญภัยและหน่วยสนับสนุนมือใหม่ทั้งหลาย
วาห์นเริ่มสงสัยแล้วว่าวิธีเพิ่มพลังที่ดีที่สุดนั้นต้องเป็นแบบไหนกันแน่ เพราะนอกจากในกรณีของตัวเองแล้วเขายังต้องคิดเผื่อคนอื่นๆ ด้วย
เขาคอยสังเกตริวกับเฟนเรียร์มาพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ทั้งสองก็แทบไม่ได้อะไรเลยจากการล่ามอนสเตอร์ในช่วงชั้นบน
เฟนเรียร์นั้นน่าจะฆ่ามอนสเตอร์ไปเกินหมื่นตัวแล้ว แต่ค่าสถานะกลับเพิ่มแค่นิดหน่อยเอง
วาห์นเป็นประเภทที่ชอบห่วงจนเกินเหตุ เขาก็เลยยังไม่อยากปล่อยให้เธอลงไปที่ช่วงชั้นกลาง
ไอ้ปลอดภัยมันก็ปลอดภัยอยู่หรอก แต่แบบนี้การเติบโตของเหล่าสมาชิกก็จะหยุดนิ่งไปด้วย
แถมความคิดของพวกเธอส่วนใหญ่ที่ว่า ‘ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยววาห์นก็มาช่วยเอง’ คงไม่มีโอกาสได้แก้ไขกันเสียที
วาห์นถอนหายใจออกมาเเป็นไอก้อนใหญ่ก่อนที่พวกมันจะสลายหายไป
หากกปรับให้ผิวหนังมีอุณหภูมิร้อนกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็ สักพักคงเริ่มมีไอออกมาจากร่างกายของเขาด้วย
ตอนนี้อากาศหนาวมากเสียจนมีเกล็ดน้ำแข็งมาเกาะอยู่บนผืนหญ้า ทว่าวาห์นที่เปลือยท่อนบนอยู่นั้นกลับดูไม่สะทกสะท้านเลย
พอเริ่มเบื่อๆ เขาก็เลยลองแปลงเป็นร่างเต่าทมิฬอีกครั้ง แบบนี้จะได้ฝึกความเคยชินต่อเนื่อง
ถ้ามีคนแอบมองอยู่ล่ะก็… รับรองว่ามันคงเป็นอะไรที่เตะตาไม่น้อย
—-
จากชั้นสูงสุดของหอคอยบาเบล เทพธิดาสาวผมเงินกำลังจ้องมองภาพในกระจกยักษ์ด้วยสายตาลุ่มหลง
ส่วนคนที่อยู่ในภาพก็คือวาห์นที่กำลังนักเอกเขนกอยู่บนระเบียงโดยมีเมฆทึบและแสงจันทร์เป็นฉากหลังนั่นเอง
สายตาของเธอดูร้อนแรงมาก แถมดวงตาก็เริ่มปรากฏแสงสีแดงเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ร่างเต่าทมิฬออกมา
เทพสาวมักจะใช้กระจกส่องดูเด็กหนุ่มทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนไฮไลท์ของคืนนี้ย่อมหนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างวาห์นกับทัมมุซ
เพราะเรื่องนี้มีอิชทาร์เข้ามาเอี่ยวด้วย เฟรน่าก็เลยเฝ้าติดตามทุกอย่างแบบละเอียดเพื่อคิดหาวิธีเรียกความสนใจจากวาห์น
ถึงเฮเฟสตัสจะเข้ามาขัดขวางไม่ให้ทั้งสองพบกัน แต่ถ้าเป็นวิธีแบบอ้อมๆ ล่ะ?
พิธีสาบานทำให้เฟรย่าไม่สามารถใช้วิธีเข้าหาแบบตรงๆ ได้ แต่คำสาบานนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เลย
ตอนนี้ ‘อิชทาร์’ ผู้เป็นศัตรูได้กลายมาเป็นศัตรูของวาห์นเช่นกัน เฟรย่าก็เลยนึกอยากทำอะไรสักอย่างกับยัยเทพธิดาที่แส่หาเรื่องไม่เลิก
ต่อให้ไม่ได้เข้าหาวาห์น แต่ก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายเข้าหาเธอเอง เพราะเด็กนั่นออกจะเป็นคน ‘ซื่อๆ’ นี่นะ
อย่างน้อยๆ เธอก็สามารถใช้แผนนี้เพื่อต่อรองกับเฮเฟสตัสและโลกิได้ อาจจะถึงขั้นได้ถอนคำสาบานออกด้วย
เฟรย่าแตะใบหน้าที่อยู่ในภาพสะท้อนก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“วาห์น… เมื่อไหร่จะมาเป็นของฉันสักทีน้า~?
นายไม่เบื่อพวกผู้หญิงที่เอาแต่ตามเกาะติดบ้างเหรอ… ฉันจัดการพวกเธอเลยดีไหมนะ ชีวิตของนายจะได้ง่ายขึ้น? อื้มมม~”
พูดเสร็จเฟรย่าก็จูบที่ภาพสะท้อน ราวกับว่ามันสามารถทำให้เธอใกล้ชิดเด็กหนุ่มได้มากกว่าเดิม
ถึงเฟรย่าจะทำพิธีสาบานว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับวาห์น แต่นั่นก็ไม่ร่วมถึงเหล่าหญิงสาวที่อยู่รอบตัวเขาสักหน่อย
ทุกอย่างย่อมมีช่องโหว่ และเฟรย่าก็เก่งเรื่องหาช่องโหว่นั่นซะด้วยสิ
การปล่อยให้คนที่มีศักยภาพสูงหลุดมือไปนั้นมันไม่ใช่ตัวเธอเลย โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นวาห์นเอาชนะคนที่มีเลเวลสูงกว่า…
ท่วงท่าของเขาได้ตราตรึงเข้าไปในจิดใจของเธอ แล้วก็ยังมีใบหน้าเยือกเย็นตอนเผาดวงตาของทัมมุซอีก
ทันทีที่วาห์นเสียบดาบลงตรงหัวใจของทัมมุซ เฟรย่าก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองโดนเสียบไปด้วย… ทำเอาช่วงล่างเปียกไปเล็กน้อยเหมือนกัน
—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
เฟรย่าผ่อนลมหายใจร้อนๆ ขณะเริ่มใช้นิ้วซุกซนเพื่อเติมเต็มความกระหายให้กับตัวเอง
ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขณะที่เธอใช้มือข้างที่ว่างลูบไล้ไปตามภาพของวาห์นพลางจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน
เฟรย่าแค่ต้องการเวลาเจอกันเพียงไม่กี่นาที จากนั้นเขาก็จะตกเป็นของเธอตลอดกาล… แค่นึกภาพที่วาห์นคอยตามปรนนิบัติด้วยสีหน้านิ่งเฉยก็ทำให้รู้สึกเสียวสุดๆ แล้ว
เธอจะปลุกศักยภาพของวาห์นให้ตื่นขึ้นและดูว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน
ตัวเธอในตอนนี้นั้นเดาอะไรไม่ได้มากเพราะยังไม่เคยเห็นดวงวิญญาณของวาห์นมาก่อน
เพราะคอยเก็บข้อมูลตั้งแต่ตอนที่วาห์นมีเรื่องกับอนูบิสและโอซิริสแฟมิเลีย เธอเลยยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงมีสกิลหรือเวทมนตร์ที่เอาไว้เก็บซ่อนดวงวิญญาณของตัวเอง
ถ้าถึงขั้นที่อนูบิสยอมติดตามตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรกล่ะก็ มันต้องเป็นดวงวิญาณที่วิเศษที่สุด ยิ่งนึกก็ยิ่งอยากเห็นด้วยตาตัวเอง
นอกจากเทพสุนัขนั่นแล้ว ขนาดเฮเฟสตัสที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครหรือแม้แต่จอมป่วนอย่างโลกิก็ยังเข้ามาปกป้องเด็กคนนั้น
เสียงครางของเฟรย่าดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะล้มลงไปซบกับภาพสะท้อนและจ้องมองมือที่เปียกชื้นของตัวเอง
เทพสาวใช้ลิ้นเลียมันนิดหน่อยก่อนจะหยดส่วนที่เหลือลงบนภาพของวาห์น
เฟรย่าจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้า จากนั้นเธอก็เริ่มลูบ ‘น้ำหวาน’ ของตัวเองไปทั่วร่างกายเสมือนของอีกฝ่าย
แม้จะไม่ใช่ของจริง แต่เธอก็รู้สึกหวงแหนมันเป็นอย่างมาก
“ออตตาร์… ไปเรียกทุกคนมา
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่อิชทาร์จะได้เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของฉัน…”
พอสิ้นเสียง ร่างสูงใหญ่ที่เฝ้าดูทุกอย่างอยู่ในเงามืดก็พยักหน้ารับ
“น้อมรับบัญชา”
ขณะที่ออตตาร์เดินออกจากห้อง เฟรย่าก็ยืนขึ้นพร้อมกับที่ภาพสะท้อนของวาห์นจางหายไป
เธอเดินเข้าไปในห้องห้างๆ ที่เป็นห้องส่วนตัวและเอาไว้ใช้เก็บชุดมากมาย
เฟรย่าลากนิ้วไปตามชุดหรูหราพร้อมรอยยิ้ม
“ฮื่มม… จะส่งสหายเก่ากลับสวรรค์ทั้งที เราควรใส่ชุดไหนดีนะ~?”
นิ้วของเฟรย่าหยุดลงที่ชุดวันพีซสีดำแบบคอวีที่ตัดค่อนข้างลึกและเปิดหลัง
นี่คือชุดกระโปรงรัดรูปที่ทำมาจากไหมชั้นดีของทวีปตะวันออก
แม้จะไม่มีคุณสมบัติป้องกันใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าราคาของมันกลับสูงถึง 20,000,000 วาลิส
หลังจากนำชุดออกจากที่แขวน เฟรย่าก็โยนมันลงกับเก้าอี้นอนก่อนที่อาภรณ์เทพของเธอจะค่อยๆ สลายกลายเป็นกลีบดอก
หากวาห์นอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็คงสังเกตเห็นว่ามันดูคล้ายกับชุดของเฮสเทียไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่กลีบดอกนั้นมีสีดำและแดงแทนที่จะเป็นสีขาวบริสุทธิ์
ถึงแสงในห้องจะมีไม่มากนัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรือนร่างที่งดงามทุกสัดส่วนดูหมองลงได้เลย
เฟรย่าลากนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าของตัวเองพลางรำพึงออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ได้ยิน
“เมื่อไหร่นายถึงจะมาช่วยอุ่นร่างกายให้ฉันนะ?…วาห์น”
—
เทพธิดาผิวสีเข้มที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองเพิ่งจะโดน ‘สั่งประหาร’ ไปนั้นกำลังไล่เตะคนส่งข่าวรูปงามที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่านอกจากทัมมุซจะทำงานพลาดแล้ว เขายังเสียชีวิตจากการต่อสู้กับเด็กที่เธอหมายปองไว้อีกด้วย
อิชทาร์เปลี่ยนไปกัดเล็บตัวเองด้วยความเครียดขณะตะโกนเสียงดัง
“ฟรีเน่! เราทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ?
เธอส่งไอช่าออกไปถล่มแฟมิเลียเล็กๆ นั่นแล้วพาทาสของฉันกลับมาไม่ได้หรือไงยะ!?”
พออิชทาร์โวยวายเสร็จ กลุ่มก้อนเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายกับกับผู้หญิงก็หันมามองเธอ
แม้จะสูงถึง 200 ซม. แต่น้ำหนักของเธอก็ปาเข้าไป 240 กก. เช่นกัน บวกกับใบหน้าที่ดูคล้ายกับกบและกล้ามเนื้อแน่นปึก ‘ฟรีเน่ จามิล’ ผู้เป็นกัปตันของอิชทาร์แฟมิเลียนั้นเชื่ออย่างสนิทใจ(และป่าวประกาศไปทั่ว)ว่าเธอคือหญิงสาวที่งดงามที่สุด งามยิ่งกว่าอิชทาร์ผู้เป็นเทพธิดาของตัวเองเสียอีก
หลังจากเลียปากตัวเองอย่างน่าขนลุก สาวอเมซอนผู้มีนามว่าฟรีเน่ก็ตอบอิชทาร์
“ทำไมท่านอิชทาร์ถึงได้โง่เง่าแบบนี้เนี่ย? เหตุผลที่ต้องส่งไอ้หมอนั่นไปคนเดียวก็เพราะว่าท่านกลัวกลุ่มพันธมิตรจะไหวตัวทันไม่ใช่หรือไง
ถ้าส่งคนไปเพิ่มก็ซวยกันหมดสิ แถมยิ่งเราเสียกำลังคนไปแบบนี้ วอร์เกมครั้งหน้าก็ไม่รู้จะชนะได้หรือเปล่า”
อิชทาร์เรื่องบ่นต่ออย่างอารมณ์เสีย
“ก็ฉันไม่เห็นว่าแกจะคิดอะไรออกเลย! ถ้าเราเอายัยเรนาร์ดนั่นกลับมาไม่ได้ แบบนี้ต่อไปสู้พวกเฟรย่าไม่ได้สิยะ
เห้อ ทำไมเราถึงมีแต่ลูกน้องไม่เอาไหน แต่ยัยเฟรย่ากลับมีผู้ชายหล่อๆ มาห้อมล้อมไม่เว้นวัน…”
ฟรีเน่ถ่มน้ำลายทิ้งก่อนจะเริ่มบ่นสวน
“นิสัยน่าเกลียดจริงๆ… ตัวเองทำไม่ดีก็มาโทษคนอื่น
หึ เอาเถอะๆ ตราบใดที่เอาชนะโลกิแฟมิเลียได้ ต่อไปเราจะไปแย่งนังอัปลักษณ์นั่นกลับมาให้ท่านตอนไหนก็คงไม่มีใครว่าอะไร
แต่ฉันขอเจ้าหนุ่มนั่นละกัน ชื่อวาห์น เมสันใช่ไหม?
หมอนี่โชคดีจริงๆ ที่จะได้มาอยู่กับโฉมงามผู้นี้ วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า~!”
ฟรีเน่นั้นยังคิดเองเออเองมาตลอดว่าตัวเองคือ ‘สาวพิฆาตใจหนุ่มๆ’ ส่วนเป้าหมายหลักก็หนีไม่พ้นเด็กหนุ่มหรือวัยรุ่นหน้าตาดีทั้งหลาย
แม้แต่ฉายา ‘อันดร็อกโตนัส’ ของเธอก็มีความหมายว่า ‘ปลิดบุรุษ’
สาวเลเวล 5 ร่างใหญ่ยักษ์คนนี้ได้ปลิดชีพเด็กหนุ่มไปแล้ว 103 คน หลังจากที่เสร็จกิจกันไป
เพื่อลบล้างหลักฐาน เธอมักจะทุบศพจนแม้แต่ญาติเองก็จำหน้าไม่ได้ ก่อนจะนำเศษซากที่เหลือไปทิ้งไว้ในท่อระบายน้ำใต้เมือง
พอได้ยินฟรีเน่พูดแบบนั้นแล้วอิชทาร์ก็วีนแตกทันที
“ไม่ได้เด็ดขาด! นั่นมันเด็กที่ฉันเล็งไว้นะ! นี่ฉันยังต้องหาคนมาแทนทัมมุซด้วย
ถ้ากระหายมากนักก็เชิญออกไปหาคนอื่นข้างนอกนู่น!”
ฟรีเน่ทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะลุกขึ้นยืน
เธอก้มมองอิชทาร์ที่ตัวเตี้ยกว่าและพูดเสียงเรียบ
“งั้นเรามาแข่งกันไหมว่าใครจะถึงตัวเขาก่อน อยากรู้จริงๆ ว่าท่านอิทาร์จะทำอะไรหลังจากที่เด็กนั่นผ่านมือฉันมาแล้ว วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า~!”
ฟรีเน่เดินจากไปโดยไม่สนใจเทพธิดาของตัวเองอีก ตอนนี้หญิงสาวคิดจะไปหาคนมาดับกระหายจริงๆ นั่นแหละ
ในฐานะที่เป็นสาวงามและเป็นสาวบริการที่ทุกคนใฝ่หามากที่สุด แน่นอนว่าเธอต้องเป็นฝ่ายออกไป ‘เลือก’ ลูกค้าเองอยู่แล้ว
ถ้าลูกค้าไม่ยอมจ่าย ‘ค่าบริการ’ ล่ะก็… ฟรีเน่ก็จะบริการเสริมเข้าไปอีก หลักๆ ก็คือจะบริการต่อไปอีกคืนและต่อไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าลูกค้าจะ ‘พอใจ’
เกิดเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยในตอนนี้ไอส์และเลฟิย่าพยายามสวมเสื้อผ้าให้วาห์น แต่ไม่นานพวกเธอก็ทำจนสำเร็จ จากนั้นทั้งสี่จึงเริ่มปรึกษากันว่าจะพาเขาไปพักที่ไหนดี
เพราะไม่แน่ใจว่าวาห์นจะตื่นตอนไหน สถานที่ที่เหมาะที่สุดย่อมต้องเป็นห้องนอนของเขาเอง
ตอนนี้วาห์นถูกใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทีโอน่าเลยจัดให้เขาขึ้นขี่หลังตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่าอาการ ‘ร้อนรุ่ม’ จะกำเริบ
พอเดินมาถึงเชิงบันได พวกเธอก็พบกับฮารุฮิเมะที่มาดักรออยู่ก่อน ทุกคนจึงเดินตรงมาที่ห้องของวาห์นกันอย่างพร้อมเพรียง
กลุ่มของไอส์รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอจะได้เข้าไปในนั้น…
—
ภายในห้องนอนของวาห์น เฮสเทียกำลังนั่งบนโซฟาโดยมีอันนาคิตตี้ที่ทำหน้าเขินอายนั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งสองหยุดการสนทนาทันทีที่เห็นทุกคนเข้ามาข้างใน
เฟนเรียร์ในชุดเมดก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เด็กสาววิ่งเตาะแตะมาทางประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิดหลังจากได้เห็นสภาพของวาห์น
เธอจ้องมาทางกลุ่มผู้มาใหม่และถามขึ้น
“ใครทำวาห์น?”
แม้พวกเธอเกือบทุกคนจะแข็งแกร่งกว่าเฟนเรียร์อยู่หลายขั้น แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทันทีที่ทีโอเน่จะออกหน้ารับผิด เฮสเทียก็พูดขัดเสียก่อน
“เฟนเรียร์ วาห์นไม่เป็นไรหรอก แค่นอนพักก็หายแล้ว ตอนนี้เราต้องไม่ทำเสียงดังนะ ตกลงไหม?”
ใบหน้าของเทพตัวเล็กดูอ่อนโยนมาก แต่จากมุมมองของเหล่าแขกในวันนี้… ดวงตาสีฟ้าใสนั่นกลับดูน่ากลัวยิ่งกว่านัยน์ตาสีแดงสดของเฟนเรียร์ซะอีก
ส่วนคนที่ได้รับผลของมันไปเต็มๆ ก็คงหนีไม่พ้นทีโอเน่
หลังจากที่วาห์นถูกวางลงบนเตียง เฮสเทียก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุกคนในห้องได้ยินชัดเจน
“สำหรับคนที่ไม่ได้คบกับวาห์นอย่างเป็นทางการ ขอให้ออกไปก่อนนะ
เราจะเสิร์ฟอาหารเย็นในอีก 2-3 ชั่วโมงจากนี้ อยากให้เหล่าแขกอยู่ทานด้วยกันก่อน จากนั้นก็จะได้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮสเทียแล้ว ทุกคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปก่อนจะเริ่มทยอยกันออกจากห้อง
เฟนเรียร์นั้นอยากอยู่ต่อ แต่เฮสเทียก็บอกให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนพรีเซียแทน
พวกที่ยังอยู่ก็มีทีโอน่า ไอส์ เฮสเทีย วาห์น และทีโอเน่ซึ่งถูกขอให้อยู่ต่อในฐานะคนก่อเรื่องในวันนี้
เฮสเทียได้ยินเรื่องราวจากมิโคโตะและอันนาคิตตี้มาบ้างแล้ว แต่ส่วนที่เหลือนั้นเธออยากให้วาห์นเป็นคนเล่าเอง
พอหันไปมองทีโอเน่ เธอก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้ายอมรับผิดเต็มประตู… ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกแย่ลดน้อยลงเลย
การที่วาห์นถึงขั้นหมดสติแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุต้องไม่ใช่เรื่องเบาๆ ที่ตีมือเปาะแปะแล้วจะปล่อยตัวกลับบ้านได้ แถมเขายังไม่ยอมให้เฟนเรียร์อยู่ดูตอนสู้อีกต่างหาก แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าทั้งสองเล่นกันแรงขนาดไหน
เฮสเทียหยุดสนใจทีโอเน่เป็นการชั่วคราวและเริ่มหันไปประเมินอีกสองคนที่เหลือ
เธอเคยเห็นสองสาวแบบผ่านๆ ในงานวันเกิดของวาห์น แต่ทั้งสามก็ไม่ได้มาแนะนำตัวรู้จักกันอย่างเป็นทางการ
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเธอก็ลงไปสำรวจดันเจี้ยนแบบระยะยาวและได้กลับขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
พอได้มาเห็นใกล้ๆ แล้วเฮสเทียจึงตระหนักว่าทีโอน่าดูเป็นคนที่ร่าเริงมาก ร่างกายก็ดูอ่อนเยาว์สมบุคลิก
อาจจะเป็นการอธิบายที่แปลกประหลาด แต่เฮสเทียรู้สึกว่าทีโอน่านั้นดูคล้ายกับสายลมเบาๆ หรือไม่ก็อากาศบริสุทธิ์สดชื่น
เรื่องนิสัยใจคอคงมองแบบปราดเดียวไม่ได้ แต่ที่ค่อนข้างมั่นใจก็คือ การมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วยนั้นย่อมต้องส่งผลดีต่อวาห์นแน่นอน
พอหันมามองไอส์บ้าง ความรู้สึกประทับใจเมื่อกี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ไอส์ดูเหมือน ‘เด็กสาว’ มากกว่า ‘หญิงสาว’ เสียอีก
รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นแทบจะไร้ที่ติราวกับเป็นตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้น
ถ้าบอกว่าเธอคืองานสร้างของทวยเทพสักองค์ เฮสเทียก็อาจจะพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
เรื่องรูปร่างหน้าตามันก็เรื่องนึง แต่สีหน้าว่างเปล่าตลอดเวลานี่สิ… แม้จะไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไม แต่เฮสเทียรู้สึกว่าการปล่อยให้ไอส์อยู่กับวาห์นแบบสองต่อสองนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
วาห์นเองก็มีความนึกคิดที่ผิดมนุษย์มนาอยู่แล้ว หากอยู่กับไอส์นานๆ… เกรงว่าจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่
จู่ๆ เฮสเทียก็ถามหญิงสาวทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“บอกฉันทีสิว่าพวกเธอคิดยังไงกับวาห์น
ฉันไม่อยากได้ยินอะไรง่ายๆ แบบ ‘ชอบเขา’ หรือ ‘รักเขา’ นะ
ฉันอยากรู้ว่าทำไมพวกเธอถึงชอบเขา รวมไปถึงเรื่องแผนในอนาคตด้วย
ฉันขอพูดแบบไม่ปิดบังว่าตัวเองรักวาห์นมาก อาจจะมากกว่าพวกเธอหลายๆ คนรวมถึงเทพธิดาคนอื่นๆ ด้วย
วาห์นคือคนที่ฉันตัดสินใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ และฉันจะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์เพียงเพราะนิสัยอ่อนโยนและการชอบเอาอกเอาใจคนอื่นอย่างเด็ดขาด
ถ้าอธิบายได้ไม่ดีพอ ฉันคงต้องขอให้พวกเธอหยุดคิดเรื่องความสัมพันธ์ระยะยาวรวมไปถึงเรื่องของอนาคตด้วย
วาห์นต้องการความมั่นคงในชีวิต… ถ้าพวกเธอมอบสิ่งนี้ให้เขาไม่ได้ งั้นเป็นเพื่อนกันก็พอ… ไม่ต้องถึงขั้นคนรักหรอก”
ทีโอน่าไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เธอเอ่ยตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ดูมีความสุข
“ฉันบอกได้เลยว่าคุณคงเป็นห่วงวาห์นมาก แต่ฉันไม่คิดว่าความรู้สึกของตัวเองจะน้อยกว่าคนอื่นหรอกนะ
ฉันคือผู้หญิงคนแรกที่ตกหลุมรักวาห์น และเขาก็คือวีรบุรุษที่ช่วยดึงฉันให้หลุดพ้นจากความมืดในอดีต
ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด แต่ฉันก็จะอุทิศทุกอย่างให้กับวาห์น… หากไม่มีเขา ก็จะไม่มีฉันในวันนี้เช่นกัน”
ทีโอน่าไม่ได้ทำให้สถานะ ‘รักแท้’ ของตัวเองต้องผิดหวัง เธอตอบเฮสเทียอย่างแน่วแน่และไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ตามปกติแล้วเธอไม่ใช่คนพูดอะไรซับซ้อน แต่เรื่องของหัวใจ… แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่อง ‘ตามปกติ’
เฮสเทียพยักหน้ายอมรับเพราะรู้ว่าทีโอน่าพูดมันออกมาจากใจ ไร้ซึ่งสารปรุงแต่ง
นอกจากนี้เธอก็เป็นอีกคนที่ไม่เข้ามายุ่มย่ามในชีวิตวุ่นๆ ของวาห์น เรื่องตบตีจากความหึงหวงจึงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
ที่จริงเฮสเทียรู้สึกว่าทีโอน่านั้นนำหน้าตัวเองอยู่หลายก้าวด้วยซ้ำ
ในขณะที่เธอยังทำตัวเอาแต่ใจและติดหวงบ้างเป็นบางคราว ทีโอน่ากลับมีความสุขทุกครั้งที่เห็นวาห์นมีความสุข แม้ความสุขที่ว่านั่นจะไม่ได้มาจากเธอก็ตาม
ถึงจะเป็นแค่มนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เร่งรีบเรื่องความรัก หนำซ้ำยังคอยพัฒนาตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาวาห์นอีก
พอหันไปหาอีกคน เฮสเทียก็เห็นสีหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยของไอส์
สายตาครุ่นคิดของหญิงสาวผมทองยังคงจดจ่ออยู่กับชายหนุ่มที่ไม่สามารถขยับตัวได้
เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนจ้อง ดวงตาสีทองก็หันมาสบกับดวงตาสีฟ้าใสของเฮสเทีย ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะดูจริงจังขึ้นมาบ้าง
การที่ไอส์จะพูดอะไรยาวๆ ออกมานั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย แถมครั้งนี้เธอยังพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดๆ
“ฉันชอบวาห์นมาก… ฉันรักเขา… รักเขามากกว่าทุกคน
เขาแข็งแกร่งและเติบโตเร็วมาก… เขาทำให้ฉันเชื่อว่าอนาคตจะสดใสกว่าตอนนี้
ฉันอยากจะเดินไปในเส้นทางเดียวกับเขา… และดูว่าจะพบกับความสุขที่หายไปหรือเปล่า
ถึงคุณจะผลักฉันออกไป… ฉันก็จะหาทางกลับมาหาเขาอยู่ดี
การได้อยู่กับเขา… ทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร”
แม้จะทำหน้าคิ้วขมวด แต่เฮสเทียก็ไม่ได้พยายามพูดขัดจังหวะไอส์
เธอรู้ว่าวาห์นต้องการแรงกระตุ้นเพื่อทำให้เขาเติบโต
อีกอย่าง ถ้าเขาตัดสินใจหรือสัญญาว่าจะช่วยใครแล้วล่ะก็ เป็นใครก็ฉุดเขาไว้ไม่อยู่
ต่อให้เธอสวมบทนางร้ายเพื่อขวางกั้นทั้งคู่ ไอส์กับวาห์นก็คงหาทางเจอกันได้อยู่ดี
…แต่มีเรื่องหนึ่งที่เฮสเทียหวาดกลัวที่สุด นั่นก็คือ ‘ถ้าวาห์นอยากอยู่กับเด็กคนนี้้ไปนานๆ เขาจะต้องเก่งกว่านี้’
ความฝันของไอส์ (ปราบมังการดำตาเดียว) บวกกับการเป็นที่หมายปองของนักผจญภัยเลเวลสูงหลายคน… ยังดีที่วาห์นเป็นพวก ‘ตายยาก’ เพราะงานนี้คงได้เหนื่อยกันอีกยาว
“ได้โปรดอย่าปล่อยให้วาห์นทำอะไรเกินตัวนักนะ…” นี่คือสิ่งเดียวที่เฮสเทียกล่าวเตือนทั้งสอง
จากนั้นเธอก็ประสานมือราวกับกำลังสวดอ้อนวอนขอร้องเด็กสาวทั้งสองอย่างจริงจัง
พอได้คำตอบรับที่น่าพอใจแล้ว เธอจึงหันกลับไปหาทีโอเน่
“แล้วเธอล่ะ? จำได้ว่าเธอทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดครั้งนั้น…
คิดว่าเธอเองก็คงชอบวาห์นสินะ แล้วเรื่องวันนี้มันอะไรกัน?
ถ้าคำตอบฟังไม่ขึ้นล่ะก็…”
จากผู้หญิงทุกคนรอบตัววาห์น เฮสเทียรู้สึกว่าสาวอเมซอนคนนี้ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
เป็นถึงพี่สาวของทีโอน่า แต่กลับทำให้วาห์นตกอยู่ในสภาพแบบนี้?
ตอนนี้เฮสเทียยังไม่รู้ว่าวาห์นได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้น ‘เสียชีวิต’ แต่ก็พอเดาออกว่าเรื่องคงร้ายแรงมากจากท่าทางและสีหน้าของทีโอเน่
ทีโอเน่เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวขณะไล่มองไอส์ ทีโอน่า วาห์น และกลับมาที่เฮสเทีย
เธอกอดแขนไว้ใต้เนินอกและเริ่มอธิบายด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“นับตั้งแต่ได้เห็นวาห์นต่อสู้กับโกไลแอธ ฉันก็รู้แล้วว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่คู่ควรให้กับใครสักคนแน่นอน
จากนั้นไม่นานก็มาเจอกันตอนอาบน้ำ นั่นทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและอยากแหย่เขาขึ้นมาอีกหน่อย
พอรู้ว่าเขามาคบกับน้องสาว ฉันก็รู้สึกอิจฉามาก… รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่สาวที่ไม่ได้ความ
ฉันรักผู้ชายคนนึงมาหลายปีแล้ว… แต่ฟินน์ไม่เคยรักตอบเลย… พอได้ยินทีโอน่าพูดถึงวาห์นบ่อยๆ แล้วฉันก็…”
ทีโอเน่ถอนหายใจยาวๆ ขณะมองมาทางน้องสาวของตัวเอง จากนั้นเธอก็ส่ายหัวและเล่าต่อ
“พอเห็นสภาพของทีโอน่ากับไอส์ ฉันก็ยิ่งร้อนใจ
ฉันรุกฟินน์หนักขึ้นและใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เขาใจอ่อน แต่ยิ่งทำแบบนั้น เขาก็ยิ่งห่างเหินกว่าเดิม…
จังหวะนั้นฉันไม่รู้จะทำไงแล้ว… ก็เลยหันไปแหย่วาห์นกับทีโอน่าเพื่อระบายความทุกข์ของตัวเอง…”
ทีโอเน่มีสีหน้าเศร้าสลดอยู่บ้าง เพราะเธอเห็นชัดเจนว่าสายตาของเฮสเทียนั้นดูน่ากลัวขึ้นทุกขณะ ขนาดทีโอน่ากับไอส์ยังมองเธอแบบแปลกๆ เลย
เธอตระหนักดีว่าตัวเองทำผิดและกำลังเอาความรู้สึกไม่ดีต่างๆ มาลงที่วาห์นแทน
เพราะเขาทั้งหล่อ ทั้งมากความสามารถ แถมยังคบอยู่กับคู่แฝดของตัวเองอีกด้วย
การจะให้เธอมายืนดูอยู่ข้างสนามแล้วบอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค… เธอทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เธอก็อธิบายต่อ
“ตอนที่ตามทีโอน่าไปเดตด้วย… ฉันรู้สึกอิจฉาเธอสุดๆ เลย
วาห์นทั้งดีและแสดงความรักกับเธอเกือบตลอด แต่คนที่ฉันรักมา 3 ปีกลับไม่เคยสนใจไยดีสักอย่าง
เพราะวาห์นเป็นคนที่เข้าหาง่าย… ฉันก็เลยทำนิสัยเห็นแก่ตัว ฉันอยากให้เขาหันมาสนใจบ้าง…”
ทีโอเน่หันไปมองที่เตียงด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง
“หมอนี่มันอ่อนโยนได้โล่จริงๆ… ถึงฉันจะไม่เคยทำอะไรให้ เขาก็ยังอุตส่าห์ทำดีด้วย ดีเกือบเท่าน้องสาวที่เป็นคนรักเลยล่ะ
เขาไม่เคยทำเหมือนฉันเป็นคนนอก ไม่เคยตอบโต้ตอนที่โดนแหย่
เขาจะไม่ทำแบบนี้ก็ได้ แต่สุดท้ายก็ยังทำเหมือนฉันเป็นเพื่อน ทำเหมือนกับจะยอมรับทั้งๆ ที่ฉันเป็นแบบนี้… นี่แหละ ที่ทำให้ความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไปทีละนิด
ก่อนลงไปสำรวจดันเจี้ยน วาห์นได้มอบอาวุธเป็นของขวัญให้กับพวกเราทุกคน
ถึงของที่ได้มาจะมีคุณภาพสูง แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ดีเท่ากับของทีโอน่าหรือไอส์”
พอมาถึงจุดนี้ สีหน้าของทีโอเน่ก็เริ่มสั่นไหวราวกับกำลังกลั้นเสียงสะอื้น
“ฉันรู้สึกกลัว… เพราะต่อให้วาห์นทำดีด้วยแค่ไหน แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ใช่คนรักของเขา
ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น จะบอกว่าเป็นคู่แฝดก็เลยอยากให้ปฏิบัติแบบเดียวกันคงไม่ได้… ฉันแค่อยากมีความสุขบ้างก็เท่านั้นเอง
ถึงจะไม่เท่ากับน้องสาว แต่ฉันก็อยากให้เขามาเป็นห่วงเป็นไยสักนิดก็ยังดี… เพราะฉันเริ่มยอมแพ้เรื่องฟินน์แล้ว”
ทีโอเน่ปล่อยเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดราวกับกำลังเสียดสีตัวเอง ขณะเดียวกันน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นออกมาให้เห็น
เธอไล่มองทั้งสามคนก่อนจะถามด้วยสีหน้าน่าสมเพช
“รู้ไหมว่าฟินน์พูดอะไร… ตอนที่ฉันบอกว่าจะไปตกหลุมรักวาห์นแทนถ้าเขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ?”
ราวกับว่าทีโอเน่รู้สึกหวาดกลัวมากและกำลังถูกลมหนาวพัดใส่ เธอออกอาการสั่นเล็กน้อยจนต้องกอดตัวเองให้แน่นกว่าเดิม
“เขาพูดว่า ‘นั่นคงจะดีที่สุดแล้ว ฉันหวังว่าวาห์นจะทำดีกับเธอนะ’
เขาไม่ได้หยุดคิดก่อนเลยด้วยซ้ำ ฉันปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินชะตาชีวิต… แต่ฟินน์ก็ทำเหมือนว่ามันคือคำถามที่ฉันแค่พูดลอยๆ…”
เหตุผลที่ทีโอเน่เครียดจัดก็เพราะว่าจิตใจของเธอนั้นยุ่งเยิงไปหมดหลังจากถูกฟินน์หักอกจนมันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน
เธอยังจำรอยยิ้ม ‘ให้กำลังใจ’ บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
ตอนนั้นเขาต้องเงยหน้าขึ้นมาหาเพราะกำลังง่วนอยู่กับงานเอกสารมากมาย
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมา เขาก็เริ่มกลับไปทำงานต่อโดยไม่เฉลียวใจเลยว่านี่เป็นการถาม-ตอบที่สำคัญขนาดไหน
เพราะไม่อยากรบกวนเวลางาน ทีโอเน่จึงฝืนยิ้มให้อย่าง ‘สดใส’ ก่อนจะกล่าวลาสั้นๆ และเดินออกมาจากห้องทำงาน
ทีโอเน่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากพลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
“วันนี้ฉันตั้งใจมาหาเรื่องจนกว่าวาห์นจะยอมสู้ด้วย
ฉันคิดว่าถ้าวาห์นสู้ได้ดีพอ อย่างน้อยๆ สัญชาตญาณก็น่าจะเปลี่ยนเป้ามาที่เขาแทน
อาจจะไม่ต้องเร็วๆ นี้ก็ได้ แต่ฉันหวังว่าตัวเองคงจะอาการดีขึ้น จากนั้นก็รอให้วาห์นเก่งพอจะเอาชนะตัวเองได้
เมื่อวันนั้นมาถึง วาห์น ทีโอน่า และฉันก็จะได้ช่วยกันสานฝันให้เป็นจริง…
ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบธรรมเนียมของชาวอเมซอนเหมือนกัน ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวไปมีชีวิตแบบนั้นหรอก…
ฉันอยากให้ลูกเป็นอิสระ… เธอจะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนกับพวกเราในอดีต”
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทีโอเน่ขณะที่เธอมองวาห์นอีกครั้ง
“แต่แทนที่จะแพ้… วาห์นกลับเอาชนะใจของฉันได้ ถึงแม้ว่า… แม้ว่า…”
ทีโอเน่จำได้ไม่มีวันลืมเลยว่าตัวเองรู้สึกแย่แค่ไหนที่พลั้งมือลงไป
สภาพของวาห์น… แค่คิดก็ปวดใจเหลือเกิน
ราวกับว่าร่างกายกำลังตอบสนองต่อความคิดดังกล่าว ทีโอเน่นั่งแหมะลงกับพื้นเพราะเรี่ยวแรงที่ขาหายไปไหนก็ไม่รู้
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความกลัว
“ฉันขอโทษ… ฉะ-ฉันแค่อยากได้รับความรักบ้างเท่านั้นเอง…”
ทีโอน่ายังโกรธพี่สาวตัวเองไม่หาย แต่พอเห็นสภาพตอนนี้แล้วเธอย่อมรู้สึกใจอ่อน
ทั้งสองต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาทั้งชีวิต และเธอก็รู้จักทีโอเน่ดีกว่าใครๆ
ต่อให้ติดใจเรื่องนี้ไปอีกนานแสนนาน ทีโอน่าก็คงไม่มาพูดตอกย้ำพี่สาวทุกวี่ทุกวันจนกว่าตัวเองจะหายโกรธหรอก
วิธีแก้ข้อบาดหมางนั้นมีอยู่มากมาย การกล่าวโทษกันไปมาถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์สักเท่าไหร่
สุดท้ายทีโอน่าก็ทนไม่ไหวและเดินเข้าไปสวมกอดพี่สาวของตน
เธอลูบหลังศีรษะของทีโอเน่อย่างแผ่วเบา ก่อนจะมองขึ้นไปหาเฮสเทียด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษด้วยนะเฮสเทีย บางครั้งทีโอเน่ก็ทำเกินไปหน่อย… แต่เธอไม่ใช่คนไม่ดีหรอก
ขอร้องล่ะ อย่าเกลียดเธอเพราะความผิดครั้งนี้เลย… คนที่เจ็บที่สุดก็คือเธอ (ทีโอเน่) อยู่ดีนั่นแหละ”
ครั้งนี้แม้แต่ไอส์ก็ออกมาช่วยพูดเช่นกัน
“การไม่ได้รับความรัก… มันเจ็บปวด”
เพราะสูญเสียพ่อแม่ไปและต้องทนทุกข์อย่างมากในอดีต ไอส์เลยรู้สึกเห็นใจเรื่องระหว่างทีโอเน่กับฟินน์อยู่ไม่น้อย
เฮสเทียขมวดคิ้วขณะจ้องมองไปมาระหว่างทีโอน่าและไอส์ก่อนจะหันกลับไปหาทีโอเน่ที่กำลังสะอื้นไห้
เทพตัวเล็กรู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดจริงๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวจนไม่กล้าถามเรื่องที่เกิดขึ้นแบบละเอียด
วาห์นคือผู้เคราะห์ร้ายจากเรื่องคราวนี้ เฮสเทียเลยกะจะให้เขาเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
ตอนนี้เธอตระหนักแล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายและชัดเจนอย่างที่คิดเอาไว้
ไอ้เห็นใจมันก็เห็นใจอยู่หรอก แต่เธอเป็นห่วงวาห์นมากกว่าและไม่อยากให้เขาต้องมาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้
ขณะกำลังขบคิดอยู่ หัวมหึมาก็โผล่ออกมาจากพื้นและทำให้ทุกคนในห้องพากันสะดุ้งตกใจ
ไอส์วางมือลงบนด้ามดาบของตัวเองอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ต้องเดาเลยว่าหัวที่ว่านั่นคือหัวของตัวอะไร
โชคดีที่หญิงสาวได้เจอฟาฟเนียร์มาบ้างแล้ว สุดท้ายเธอก็เลยยั้งมือได้ทัน
เมื่อไอส์สงบลง คนอื่นๆ ในห้องก็พาลสงบลงเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอได้เจอกับ ‘มังกรสายพันธุ์พิเศษ’ ของวาห์น
ฟาฟเนียร์จ้องมองพวกเธอด้วยแววตา ‘ไร้เดียงสา’ ก่อนจะหันไปหาวาห์นที่นอนอยู่บนเตียง
หลังจากผงกหัวไปมาด้วยความสับสน ฟาฟเนียร์ก็หันไปพูดกับพวกสาวๆ
(*เฮสเทียๆ วาห์นบอกว่าอย่าไปใจร้ายกับทีโอเน่เลย… เขาบอกว่ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเลยเถิดแน่ๆ… ถึงได้บอกให้เฟนเรียร์ไปที่อื่น แล้วก็ใช้ไอเท็มมากั้นไว้อีกชั้นไงล่ะ
วาห์นบอกว่าถ้าอยากจะโทษ ก็ขอให้โทษเขาที่ปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้เองคับ~…*)
เสียงอธิบายแบบ ‘เด็กๆ’ ของฟาฟเนียร์ทำให้เฮสเทียได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะโบกมือไล่ให้มันกลับไปอารักขาทีน่า
การที่วาห์นเรียกมันออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าเขากำลังตามบทสนทนาอย่างตั้งใจและไม่อยากเห็นทีโอเน่ต้องรับผิดทุกอย่าง
แม้เฮสเทียจะรู้สึกค้างคาอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเพราะไม่อยากขัดแย้งกับวาห์น
ผ่านไปอีกสักเดี๋ยว เธอถึงจะรายงานเรื่องนี้ไปยังเครือข่ายและดูว่าคนอื่นๆ คิดเห็นยังไงบ้าง
ดวงตาของทีโอเน่สั่นไหวเล็กน้อยขณะมองไปยังร่างของวาห์นด้วยใบหน้าสีแดงระเรื่อ
ทำผิดขนาดนี้แล้ววาห์นยังอุตส่าห์ทำเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายผิดแทน จะใจดีไปถึงไหน?
เกือบจะโดนฆ่าตายอยู่แล้วก็ยังทำเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แถมยังพลิกกลับมาเอาชนะใจของเธอได้ นี่กะจะไม่ยอมให้ตัดใจกันเลยเลยสินะ?
จู่ๆ ความร้อนในร่างกายของทีโอเน่ก็พุ่งสูงขึ้นจนทีโอน่าต้องรีบหันไปหาไอส์ด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไอส์ เราต้องรีบพาทีโอเน่ออกไปจากที่นี่ ด่วนเลย”
ไอส์หันไปมองทีโอเน่เพียงแวบเดียวก่อนจะพยักหน้าและยกเธอใส่หลังทีโอเน่
พอจัดท่าจนมั่นคงดีแล้วทั้งสามก็รีบออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของเฮสเทีย
พอคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เฮสเทียก็เดินไปล็อคประตูก่อนจะเปิดใช้งานเครื่องรางเก็บเสียงที่โลกิทิ้งไว้ให้
จากนั้นเธอก็เดินมาที่ข้างเตียงก่อนจะคลานขึ้นไปบนร่างของวาห์นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังได้ยินอยู่ เฮสเทียจึงพูดเสียงต่ำ
“วาห์น… อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงแบบนี้สิ
ขอร้องล่ะ ถ้านายมาด่วนตายแบบนี้… ฉันก็คงไม่อยากอยู่บนโลกมนุษย์ต่อไปอีกแล้ว
ฉันคงติดตามดวงวิญญาณของนาย… จนกว่านายจะได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง… ดีกว่าต้องทนอยู่บนโลกที่ไม่มีนาย”
ขณะพูด เสื้อผ้าของเทพตัวเล็กก็สลายกลายเป็นกลีบดอกประดับเตียงอย่างรวดเร็ว
แม้จะประหม่าเล็กน้อย แต่วาห์นก็รู้ว่าเฮสเทียนั้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากเรื่องคราวนี้ ยังดีที่เธอไม่ได้รู้แบบละเอียด…
ตอนนี้ออร่าของเธอกลายเป็นสีเขียวและชมพู ตรงส่วนขอบก็เริ่มมีสีม่วงให้เห็น
นี่แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกอิจฉา ริษยา หวาดกลัว และหลงรักในเวลาเดียวกัน
วาห์นอยากลุกขึ้นมาปลอบ ทว่าร่างกายก็ดันไม่ยอมตื่นสักที
ไอเท็ม [รูปปั้นฮีโร่] นั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตแบบไร้เหตุผล แต่มันคือการปกป้องร่างกายจากผลของการฟื้นฟูเฉียบพลันที่ผิดธรรมชาติ
วาห์นอาจใช้ [ทลายพันธนาการ] เพื่อยกเลิกผลของมันได้ แต่การทำแบบนั้นอาจส่งผลเสียร้ายแรงในภายหลัง
เฮสเทียถอดเสื้อผ้าของวาห์นออกอย่างช้าๆ ขณะพึมพำ
“รู้นะว่านายขยับตัวไม่ได้… แต่ฉันก็ยังอยากอยู่ใกล้ให้มากที่สุด ขอโทษละกันที่ฉันมันเห็นแก่ตัว
รีบๆ ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว… ฉันจะรออยู่ข้างๆ นี่แหละ”
สายตาของเฮสเทียสอดส่องไปทั่ว จนกระทั่งมาบรรจบอยู่ตรง ‘ของรักของหวง’ และทำให้เธอผ่อนลมหายใจเบาๆ
ดูแล้วมันก็คงขยับขยายไม่ได้เหมือนกับผู้เป็นเจ้าของ ท่านอนที่ช่วงนี้ชอบทำกันเป็นประจำก็คงต้องงดไว้ก่อน
เฮสเทียไม่รู้เลยว่าวันนี้วาห์นเฉียดตายมากขนาดไหน สิ่งเดียวที่เธอรู้และสนใจก็คือตอนนี้ ณ เวลานี้ ในที่แห่งนี้ พวกเขาทั้งสองได้อยู่ด้วยกันแล้ว… ก็เท่านั้นเอง
