Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 261

ตอนที่ 261

ขณะที่วาห์นเพลิดเพลินไปกับตักของเฮสเทีย คนอื่นๆ ก็มีกำลังดูแลเพรเซีย (ยังไม่ได้สติ) อย่างเต็มที่

หลังจากช่วยเช็ดตัวและทำให้ร่างกายของเธออบอุ่น คู่แฝดก็จับเพรเซียสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงขาสั้นตัวใหม่ก่อนจะพาเธอกลับไปที่ห้องของทั้งสอง

ตอนแรกพวกเธออยากพาเพรเซียไปส่งที่ห้องของเฟนเรียร์ แต่การอุ้มเธอขึ้นบันใดโดยไม่มีวาห์นอยู่ด้วยนั้นออกจะดูเสี่ยงไปหน่อย

แม้ว่าวาห์นจะจัดที่นอนเอาไว้ให้ถึง 2 เตียง แต่คู่แฝดก็มักจะนอนเตียงเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่

พวกเธอวางเพรเซียลงบนเตียงเบอร์ 2 และกลับไปทำงานต่อโดยปล่อยให้เฟนเรียร์และฮารุฮิเมะอยู่เป็นเพื่อน

ตอนนี้เป็นเวลา 10:00 น. แล้วแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเช้า คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์คราวนี้จะมากันครบ

เฮสเทียได้แจ้งเรื่องฮารุฮิเมะให้ทุกคนทราบไปแล้ว นั่นรวมถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วย

เอน่าเองก็อยากมาที่คฤหาสน์อีกครั้งหากไม่ติดเรื่องงานเข้าเสียก่อน ดังนั้นคนที่มาเป็นกลุ่มแรกก็เลยกลายเป็นริว มิลาน และทีน่าแทน

สาเหตุที่ทั้งสามมาได้ก็เพราะว่าริวนั้นไม่ใช่ลูกจ้างประจำของร้าน และวันนี้ก็เป็นวันหยุดของมิลานและทีน่าพอดี

คู่แม่ลูกยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เป็นการถาวรเพราะมิลานอยากทำงานเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ต่อไปอีกพักหนึ่ง

มาเอมิทราบดีว่าวันนี้จะมีแขกมากันเยอะ เธอจึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและพาทั้งสามมาที่ห้องว่างเพื่ออธิบายเรื่องราวพร้อมกันกับเอมิรุ

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มิลานนึกถึงเรื่องคราวก่อนทันทีและรู้สึกเห็นใจเพรเซียเป็นอย่างมาก ส่วนทีน่าเองก็ต่อมน้ำตาแตกตามประสาเด็กทั่วไป

อาจไม่ถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย แต่เธอก็กอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นพร้อมกับดวงตาอันเปียกชื้น

ริวเผยสายตาเย็นชาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ในใจของเธอกลับรู้สึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของวาห์นมากกว่าทุกสิ่ง

เพราะรู้ว่าเพรเซียจะไม่เป็นไรตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ริวจึงอยากไปดูให้แน่ใจว่าวาห์นยังสบายดีอยู่

เพราะยังไงซะ หัวใจหลักของแฟมิเลียก็คือวาห์นนี่แหละ… อาจจะของเธอด้วยล่ะมั้ง?

เอลฟ์สาวขอตัวเพื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เธอเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเปิดมันออกเมื่อได้ยินเสียงขานรับของเฮสเทีย

พอเข้าไปแล้ว ริวก็เห็นวาห์นนอนพักอยู่บนตักของเทพตัวเล็กที่กำลังลูบเส้นผมของเขาอย่างเอ็นดู

ความกังวลในใจของริวเลือนหายไปในทันที เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวอย่างสุภาพและเดินกลับไปที่ห้องรับแขก

เอลฟ์สาวพอบอกได้ว่าเฮสเทียนั้น ‘เอาอยู่’ ครั้นจะอยู่ต่อไปก็คงเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ

เรื่องหนึ่งที่ริวเพิ่งนึกขึ้นได้ก็คือเธอไม่เคยให้วาห์นนอนหนุนตักมาก่อนเลย… ฟังดูเป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน สำหรับในอนาคตน่ะนะ

หลังจบช่วงมื้อกลางวัน กลุ่มที่มาถึงคฤหาสน์เป็นรายต่อไปก็คือกลุ่มของทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียนั่นเอง

ทาเคมิคาสึจิมาพร้อมกับโอวกะ ชิกุสะ และหญิงสาวผมดำสนิทที่พกดาบคาตานะมากด้วย

นี่เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดของวันนี้ ดังนั้นหลังจากสัมผัสได้ถึงออร่าของทั้งสาม วาห์นจึงตื่นขึ้นมาสบกันดวงตาสีฟ้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใย

มือเรียวบางค่อยๆ เสยผมตรงหน้าผากของวาห์นออกก่อนจะพยายามโน้มตัวลงมาจูบ…

“อ่ะ/อ่ะ…”

ฉากเด็ดบังเกิดขึ้นจากความไม่ประสีประสาของเธอเอง เพราะตอนที่เฮสเทียโน้มตัวลงมานั้นเธอลืมนึกถึงหน้าอกขนาดยักษ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดและจบลงด้วยการ ‘ถม’ ใบหน้าของวาห์นจนมิด

วาห์นเพลิดเพลินอยู่กับสัมผัสนุ่มนิ่มอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเฮสเทียขยับตัวออกไปอย่างเร่งรีบ

สุดท้ายเขาก็เลยได้แต่หัวเราะแห้งๆ ขณะลุกขึ้นนั่งกับเตียง

พอตั้งสติได้แล้ว วาห์นจึงโน้มตัวเข้าไปหาเฮสเทียและจูบที่ริมฝีปากพร้อมกระซิบเบาๆ

“ขอบใจนะเฮสเทีย ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ถึงจะผิดแผนไปหน่อย แต่เฮสเทียก็แสดงสีหน้ามีความสุขเพราะอย่างน้อยมันก็ดูได้ผลดีนี่นะ

เธอเดินนำวาห์นออกจากห้องเพื่อออกไปต้อนรับทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียที่อยู่ใกล้กับประตูหน้า

เมื่อเห็นริวที่ห้องโถง วาห์นก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าขอบคุณเรื่องอะไร

เอลฟ์สาวเพียงแต่ทักทายตอบอย่างสุภาพและเดินกลับไปแจ้งคนอื่นๆ ว่าแขกกลุ่มใหม่มาถึงแล้ว

และก่อนที่พวกเขาจะได้ทันเคาะประตู วาห์นก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีพร้อมกับสอดส่องผู้ติดตามของทาเคมิคาสึจิไปด้วย

แน่นอนว่าทาเคมิคาสึจิอยู่ที่ไหน โอวกะก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย

หนึ่งในหญิงสาวสองคนที่เหลือนั้นเขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนอีกคนก็เคยเห็นผ่านๆ จากในมังงะมาก่อน

‘ฮิตาจิ ชิกุสะ’ คือหญิงสาวที่เขาเจอในเหตุการณ์ลักพาตัวรอบก่อน รูปร่างของเธอดูผอมบางบวกกับส่วนสูงประมาณ 149 เซนติเมตร

เธอมีผมสีดำสั้นระต้นตอ ส่วนด้านหน้านั้นยาวลงมาจนปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้ แต่โดยรวมก็ถือว่ามันเข้ากับท่าทางอ่อนโยนและขี้อายของเธอเป็นอย่างมาก

นอกจากหน้าอกแบนเรียบของเธอแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของชิกุสะก็คือโล่ขนาดยักษ์ที่ถูกสะพายอยู่ด้านหลังซึ่งเกือบจะใหญ่กว่าตัวผู้ถือเสียอีก

วาห์นนึกภาพผู้หญิงตัวเล็กถือโล่ยักษ์และออกไปยืนอยู่ตรงแนวหน้าไม่ออกเลย…

หญิงสาวอีกคนก็คือยามาโตะ มิโคโตะที่สูงประมาณ 151 เซนติเมตรและสวมกิโมโนสีลาเวนเดอร์แบบเดียวกันกับชิกุสะ

เห็นได้ชัดว่าหน้าอกของเธอนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะเจ้าตัวถึงขั้นต้องใช้ผ้ารัดไว้เพื่อไม่ให้มันมาเกะกะเวลาต่อสู้

ตอนนี้ทั้งสองมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ซึ่งยังห่างจากรูปร่างในมังงะอยู่บ้าง แต่วาห์นพอมองออกว่ามิโคโตะนั้นโตเร็วกว่าใครเพื่อนเลย

เธอมีผมสีดำสนิทเหมือนชิกุสะ แต่ที่ต่างกันก็คือสีของดวงตาที่เข้มกว่ามาก

มิโคโตะนั้นมีสีหน้าจริงจังและนิ่งสงบ แต่คงมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าออร่าของเธอดูตื่นเต้นมากแค่ไหน

ทาเคมิคาสึจิโค้งอย่างสุภาพหลังจากที่วาห์นเชิญทุกคนเข้ามาข้างใน

อย่างน้อยคราวนี้เด็กๆ ของเขาก็ล้วนทำตามอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ปริปากบ่น แต่พอช่วงแลกเปลี่ยนคำทักทายจบลง โอวกะก็มองตรงมาหาวาห์นและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงใจร้อน

“ท่านหญิงซันโจวโนะอยู่ที่ไหน?”

ทาเกะ (TL: ทาเคมิคาสึจิ) ได้แต่หัวเราะแห้งๆ และก้มหัวอีกครั้งเป็นเชิงขอโทษ

“ฮ่าฮ่า ต้องขอโทษแทนโอวกะด้วยนะ เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่เราได้รับข่าวแล้ว

เราตามร่องรอยของท่านหญิงมาถึง 3 ปี แต่นายกลับหาเธอพบและช่วยเธอออกมาได้ใน 3 วัน

เรื่องนี้เล่นเอาแฟมิเลียของเราปั่นป่วนไปหมดเลย”

เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นพบโอวกะ เขาเลยไม่ติดใจอะไรมากและโค้งตอบทาเกะก่อนจะพาทุกคนไปที่ห้องรับแขก

ภายในนั้น ฮารุฮิเมะกำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีคู่แฝดที่กำลังจัดชุดชาอย่างเก้ๆ กังๆ

เมื่อเห็นเหล่าสมาชิกจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย ดวงตาของฮารุฮิเมะก็เริ่มเปียกชื้นทันที ทว่าใบหน้างามนั้นยังคงความสง่างามไว้เช่นเดิม

เธอลุกขึ้นจากโซฟาและพยายามโค้งต่ำที่สุดไปทางเหล่าสหายที่ไม่ได้เจอกันมานาน

โอวกะถอนหายใจโล่งอก่อนจะวางมือบนไหล่ของวาห์น

“ขอบคุณ” เขาพูดอย่างหนักแน่น

จากนั้นโอวกะก็ตามทาเกะเข้าไปในห้องพร้อมด้วยชิกุสะที่ตามหลังไปติดๆ

หญิงสาวคนสุดท้ายหันมาโค้งให้กับวาห์นพร้อมกับพึมพำเบาๆ

“ท่านวาห์น ขอบคุณมากเลยค่ะ…”

วาห์นทำได้แค่พยักหน้ารับคำขอบคุณจากมิโคโตะ

ในฐานะเพื่อนสนิทของฮารุฮิเมะ เธอได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากกว่าใครๆ และรู้สึกขอบคุณวาห์นที่ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

เธอก้มต่ำอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“นี่คือการพบกันครั้งแรกของเราสินะคะ ฉัน ยามาโตะ มิโคโตะ

ขอบคุณที่ช่วยฮารุฮิเมะเอาไว้ค่ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยตอบแทนได้ล่ะก็ โปรดบอกมาได้เลย”

วาห์นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะผายมือไปเข้าไปในห้อง

“เราเป็นพันธมิตรกันนะ มิโคโตะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตอบแทนอะไรหรอก

ฉันช่วยฮารุฮิเมะเพราะอยากช่วย ไม่ใช่แค่เพราะถูกขอให้ช่วย

อย่าห่วงเรื่องนี้มากนักเลย ตอนนี้รีบเข้าไปพบเธอก่อนเถอะ”

ในระหว่างที่คุยกับวาห์น สีหน้าจริงจังของมิโคโตะนั้นไม่ได้จืดจางลงเลยแม้แต่น้อย เธอโค้งให้เขาอีกครั้งและรีบเดินเข้าไปในห้องทันที

วาห์นเฝ้ามองฮารุฮิเมะกอดหญิงทั้งสองโดยมีโอวกะยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนทาเกะนั้นก็กำลังคุยกับคู่แฝดอย่างสุภาพ

วาห์นสังเกตเห็นว่าสองสาวแสดง (คู่แฝด) สีหน้าเขินอายเล็กน้อยจนเขาต้องเลิกคิ้วสงสัย

เฮสเทียเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ขณะจ้องมองภาพตรงหน้าและถามเสียงต่ำ

“นายจะไม่ไปตีสนิทกับสองคนนั้นหน่อยเหรอ? ฉันว่าคนที่ตัวเล็กๆ น่าจะชอบเจ้าโย่งนั่นนะ แต่คนที่ทำหน้าจริงจังตลอดนี่สิ…”

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของวาห์นแม้น้อย เขาเลยรู้สึกตกใจที่เฮสเทียเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองจนต้องหันไปมองสีหน้ายิ้มกริ่มของเทพตัวเล็ก

พอรู้ว่ากำลังโดนหยอกเล่น เขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเช่นกัน

หากหันไปช้ากว่านี้อีกนิด วาห์นก็คงจะได้เห็นว่าสีหน้าจริงจังของเฮสเทียแทนแล้ว

เธอถอนหายใจหนึ่งเฮือกและจ้องมองมิโคโตะก่อนจะหันไปทางคู่แฝดที่กำลังโดนเสน่ห์โดยธรรมชาติของทาเคมิคาสึจิเข้าเล่นงานอย่างหนัก

เฮสเทียพอมองออกว่าแฝดสองคนนั้นค่อนข้างเปิดกว้างจนไม่ถึงขั้นกลัวผู้ชายคนอื่น ดังนั้นโอกาสที่พวกเธอจะหยุดพึ่งพาวาห์นในอนาคตก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย

ปัญหาจริงๆ ก็คือม้ามืดอย่างมิโคโตะเนี่ยแหละ

ยังดีที่ตอนนี้เธอกำลังสนใจแต่ฮารุฮิเมะจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น

ทั้งสองคน (มิโคโคะกับฮารุฮิเมะ) ดูสนิทกันมาก อายุก็น่าจะพอๆ กัน

เนื่องจากฮารุฮิเมะเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ เฮสเทียรู้ว่าเธอคงได้เจอกับมิโคโตะแทบทุกวันราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน

พอบวกนิสัยอ่อนโยนของวาห์นเข้าไปด้วยแล้วเรื่องที่แอบคิดเล่นๆ ก็อาจเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้…

ถึงวาห์นจะแพ้ทางให้กับพวกผู้หญิงที่เคยเจอเรื่องเลวร้ายในอดีต แต่เล่าสมาชิกจากเครือข่ายก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาชอบคนที่จริงจังและมีความพยายามสูงมากกว่าพวกที่ทำตัวบอบบางอยู่หลายขั้น

นั่นเองที่ทำให้มิโคโตะซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับวาห์นดูเป็นคู่แข่งที่หาตัวจับยากหากเธอตัดสินใจว่าจะเข้ามาเป็น ‘น้องใหม่’ ในอนาคต…

หลังจากที่ทุกคนลงมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ทางทาเคมิคาสึแฟมิเลียก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นฮารุฮิเมะนั่งใกล้กับวาห์นมากเป็นพิเศษ แถมเธอยังนำหางมาพันรอบเอวของเขาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ

เฮสเทียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังต้องขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะทำเป็นไม่เห็นแทน

ก่อนหน้านี้เธอได้ ‘จับมือ’ กับฮารุฮิเมะไปแล้ว แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็คงต้องรอให้มีสายตาสอดส่องน้อยกว่านี้เสียก่อน

พอหันไปทางแขกผู้มาเยือน อย่างแรกที่เธอเห็นก็คือสายตาครุ่นคิดของมิโคโตะจนได้แต่แอบถอนหายใจขณะฟังวาห์นเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วาห์นเล่าทุกอย่างแบบละเอียดและพูดเรื่องที่อิชทาร์นั้นเหมือนจะรู้ว่าต้องมีคนช่วยฮารุฮิเมะแน่นอน อย่างน้อยๆ เธอก็มีข้อมูลของเขาเตรียมไว้อยู่แล้ว

ตอนนี้พวกเขาคงซื้อเวลาได้สักพัก แต่ตราบใดที่ยังไม่ไปเคลียร์กับทางอิชทาร์แฟมิเลีย เรื่องคราวนี้ก็คงจะไม่จบลงง่ายๆ

เรื่องที่วาห์นบอกคนอื่นไม่ได้ก็คือภารกิจช่วยเหลือฮารุฮิเมะซึ่งได้รับมาจากเดอะพาธนั้นยังไม่ขึ้นเป็น [ภารกิจสำเร็จ] แม้ว่าเขาจะช่วยเธอออกมาแล้วก็ตาม

นั่นเป็นการสื่อว่าอิชทาร์ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และเดี๋ยวคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน

หนึ่งในเงื่อนไขความล้มเหลวระบุเอาไว้ว่า ‘อิชทาร์หลบหนีไปได้’ หรือก็คือถ้าอยากทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ วาห์นก็คงต้องหาวิธีจัดการกับเธอแบบขั้นเด็ดขาด

พอเล่าจบแล้ว วาห์นก็ประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“และเพราะเจ้าตัวได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย ฮารุฮิเมะจะมาเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทางเราต่อไป”

คำพูดนั่นเล่นเอาคิ้วของทาเกะกระตุกนิดๆ แต่เทพหนุ่มก็ไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรนัก ส่วนชิกุสะกับมิโคโตะเองก็ดูโล่งใจซะมากกว่า

ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะมีแค่โอวกะคนเดียว ทว่าครั้งนี้เจ้าตัวกลับนั่งกัดฟันเงียบๆ ราวกับกำลังประจักษ์ถึงความอ่อนแอของตัวเอง

สำหรับทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย การหลบหนีออกนอกเมืองและกลับไปที่แดนตะวันออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่คิดจะทำก็ทำได้เลย ส่วนเรื่องที่จะต่อต้านอิชทาร์แฟมิเลียโดยตรงนั้นคงไม่ต้องพูดให้เสียเวลา

แค่ทางนั้นส่งสมาชิกเลเวล 4 มาคนเดียวก็กวาดเรียบแล้ว…

ในขณะที่บรรยากาศกำลังเข้าสู่ความเงียบงัน ฮารุฮิเมะก็พูดขึ้นบ้าง

“ฉันตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วค่ะว่าจะอยู่ที่นี่กับวาห์น

ต้องขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่พยายามออกตามหาฉันมาตลอด… ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

การเสียสละครั้งนี้ต่อให้ทำยังไงฉันก็คงตอบแทนได้ไม่หมด

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ครั้งนี้ฉันคงต้องขอเลือกฟังเสียงหัวใจของตัวเองนะคะ ฉันอยากแสวงหาความสุขให้กับตัวเองค่ะ

วาห์นช่วยดึงฉันออกจากฝันร้ายนั่น การได้อยู่เคียงข้างเขาจึงเป็นความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของฉันในตอนนี้…”

ถึงคำพูดของเธอจะฟังดูไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แต่วาห์นรู้สึกได้ว่าหางที่รัดเอวเขาอยู่นั้นแน่นกว่าเดิมเยอะเลย เรื่องนี้คนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นเช่นกัน

ทาเกะยิ้มนิดๆ ขณะโค้งให้กับวาห์นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“วาห์น ฉันคงต้องรบกวนนายต่อแล้วล่ะ

ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับเธอ และฉันเชื่อว่าท่านหญิงเองก็คงจะมีความสุขมากกว่าด้วย”

ราวกับคำพูดนั่นเป็นตัวจุดประกายบางอย่าง มิโคโตะรีบพูดขึ้นทันที

“ฉันเองก็จะเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียด้วยค่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง…

ฉันอาจจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็จะตามอารักขาท่านฮารุฮิเมะให้ถึงที่สุด”

ทาเกะยิ้มกว้างและพูดขึ้นทันทีโดยไม่รอฟังความคิดเห็นจากวาห์นและเฮสเทีย

“อืม เป็นความคิดที่ดีมากเลย แบบนี้แฟมิเลียของเราก็จะยิ่งสนิทกันมากขึ้นด้วย”

ที่จริงวาห์นไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะสายตามุ่งมั่นของมิโคโตะนั้นมันฟ้องอยู่แล้ว

ฮารุฮิเมะรู้สึกดีใจมากที่เพื่อนสนิทตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วย ในขณะที่เฮสเทียเองก็นึกอยู่แล้วว่าคิดไว้ไม่ผิดเลย

สายตาของเทพตัวเล็กนั้นบรรยายได้อย่างเดียวว่า ‘เอาที่สบายใจละกัน’

ถึงจะบอกว่าออกมาประจำอยู่ชั่วคราว แต่ถ้าฮารุฮิเมะเลือกที่จะอยู่แบบถาวร แล้วมิโคโตะจะไปไหนเสียล่ะ

ฮารุฮิเมะต้องการสนับสนุนและใกล้ชิดวาห์นจนถึงที่สุด มาขนาดนี้แล้วคนปัญญาอ่อนยังบอกได้เลยว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ด้วยนิสัยใจอ่อนของวาห์น บวกกับตัวชงอย่างฮารุฮิเมะ ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง…

หลังจากสรุปกันได้แล้วและตามมาด้วยปาร์ตี้มื้อเที่ยงเล็กๆ ทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียก็เตรียมเดินทางกลับ

พวกเขาอวยพรให้ฮารุฮิเมะที่ถูกช่วยกลับมาอย่างปลอดภัย อวยพรส่งท้ายมิโคโตะ และอวยพรให้กับเฮสเทียแฟมิเลีย

ในระหว่างที่กำลังออกไป โอวกะก็เข้ามาหาวาห์นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า

“รู้ว่ามันคงไม่ง่ายเลย แต่สักวันฉันจะต้องก้าวข้ามนายให้ได้

เราอาจจะเริ่มกันได้ไม่ดีนัก แต่ยังไงฉันก็คิดว่านายคือเป้าหมายสูงสุด

เรามาพยายามด้วยกันเถอะ เพื่อสิ่งที่อยากปกป้อง…”

วาห์นพยักหน้าและยื่นมือออกไปจับมันไว้

“ถ้าคิดได้แบบนี้ ต่อไปนายต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน

เรื่องนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้หรอกนะ แต่ฉันได้เป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] แล้ว

ถ้านายหรือทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียต้องการสั่งทำอุปกรณ์ล่ะก็ เชิญมาใช้บริการได้เลย

ถ้าเป็นเพื่อนกันล่ะก็ ฉันยินดีทำอุปกรณ์ให้อย่างเต็มที่เลย…”

สีหน้าของโอวกะยิ่งดูจริงจังกว่าเดิมขณะพยักหน้าให้และกล่าวขอบคุณวาห์นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับชิกุสะและทาเกะ

ชิกุสะหันมาหาวาห์นอีกครั้งพร้อมกับยิ้มและโค้งให้ จากนั้นเธอก็หันกลับไปเดินอยู่ข้างโอวกะ

วาห์นเห็นว่าออร่าของชิกุสะนั้นพยายามเข้าไปคลอเคลียกับของโอวกะ ที่น่าแปลกใจก็คือออร่าของโอวกะเองก็พยายามทำแบบเดียวกัน

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์แบบไหนแต่เห็นแบบนี้แล้วก็คงคิดได้อย่างเดียวว่าต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันแหละนะ

วาห์นยิ้มให้กับภาพที่เห็นและหมายมั่นว่าตัวเองจะต้องสร้างเครือข่ายสำหรับพวกผู้ชายขึ้นมาให้จงได้

นอกจากแบ่งปันข้อมูลกันแล้ว พวกเขาอาจจะได้ระบายและรับฟังปัญหาต่างๆ ที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าใจ

อย่างน้อยวาห์นก็รู้ว่าสถาการณ์และปัญหาของตัวเองนั้นค่อนข้างแปลกและใหญ่โตกว่าชาวบ้านเยอะเลย

ถ้าเขาอยากผ่อนคลายมากมากนี้และชะลอการใช้ชีวิตลงล่ะก็ การให้เวลากับตัวเอง พบเพื่อนใหม่ และไปสังสรรกันบ้างคงจะดีที่สุดแล้ว…

เพราะฮารุฮิเมะถูกอิชทาร์จับตัวไป วาห์นก็เลยรู้ทันทีว่าเธอต้องถูกคุมขังอยู่ในซ่องทางเขตตะวันตกเฉียงใต้แน่นอน ถือว่าการเก็บข้อมูลตามสถานที่ต่างๆ นั้นไม่ได้เสียเปล่าไปซะทีเดียว

เรื่องนี้อาจทำให้อิชทาร์แฟมิเลียและเฮสเทียแฟมิเลียต้องเป็นศัตรูกัน แต่วาห์นก็เชื่อว่าตนสามารถลอบเข้าไปชิงตัวเธอออกมาได้โดยที่ไม่มีใครรู้

ทว่าก่อนอื่นเลย เขาจะต้องกลับไปปรึกษากับคนอื่นและจัดการเรื่องของสาวๆ หกคนนี้เสียก่อน

หลังจากนั้นเขาถึงจะกลับมาที่ย่านโคมแดงในตอนเช้าตรู่ เพราะมันน่าจะเป็นช่วงที่การรักษาความปลอดภัยหละหลวมที่สุด

พอฌอนทัคเห็นสีหน้าครุ่นคิดและพึงพอใจของวาห์น เขาก็พยักหน้าและยิ้มอย่างพอใจเช่นกัน

ชายหนุ่มพอมองออกว่าลูกค้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานคนนี้เป็นพวกใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย การรีดเอาเงินออกมาในครั้งต่อๆ ไปก็คงง่ายราวกับแย่งขนมเด็ก

เมื่อสืบจนรู้แน่ชัดว่าวาห์นอาศัยอยู่ที่ไหนและทำอาชีพอะไร ฌอนทัคก็จะสามารถขู่บังคับให้เขามากู้เงินด้วย หรือแม้แต่ลักพาตัวพวกทาสกลับมาขายต่ออีกรอบก็ยังได้

เด็กหนุ่มไร้เดียงสานั้นถือเป็น ‘ลูกค้าระยะสั้น’ ที่ดีที่สุดของธุรกิจแบบนี้…

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทั้งหกก็กลับมาพร้อมชุดเมดและผ้าโพกหน้าผืนใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ

ถึงจะรู้สึกผิดที่คิดแบบนี้ แต่วาห์นก็คิดว่าพวกเธอดูน่ารักมากเมื่อมาใส่ชุดที่เข้าคู่กัน

คู่ฝาแฝดนั้นดูโดดเด่นและออกจะตื่นเต้นมากกว่าใครเพื่อน แม้ว่าออร่าของทั้งสองจะดูไม่มั่นคงเท่าไหร่ก็ตาม

วาห์นเข้าพิธีทำสัญญากับพวกสาวๆ จากนั้นเขาก็ต้องมาเลือกว่าจะประทับตราไว้ที่ตรงส่วนไหนดี

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วาห์นประทับมันไว้ที่ข้อมือของทุกคนซึ่งซ้อนทับกับตราอันก่อน

ฌอนทัคยังอุตส่าห์นำสายรัดข้อมือมาให้พวกเธอปกปิดตราเหล่านั้น ก่อนจะมอบปลอกคอ 6 สีที่เข้ากับสีผมของแต่ละคนให้กับวาห์น

พวกเธอต่างโค้งให้ขณะที่เขาสวมปลอกคอและกล่าวขอบคุณด้วยบทพูดเดียวกัน

“ขอบพระคุณที่ให้ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้ได้รับใช้นะคะ นายท่าน

ฉันจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างของท่านนับจากนี้เป็นต้นไปค่ะ”

คนเดียวที่ไม่ได้พูดมันออกมาก็คือชีว่าเพราะยังโดนผนึกที่ลิ้นเอาไว้เหมือนเดิม

เมื่อจบขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ฌอนทัคก็มอบแท่งไม้ที่เอาไว้ใช้ควบคุมตราประทับบนร่างกายของทาสให้กับวาห์น

นอกจากจะใช้เพื่อออกคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้แล้ว ไอเท็มชิ้นนี้ยังสามารถ ‘ลงโทษ’ พวกเธอได้ด้วย

แม้จะถูกผูกมัดด้วยพิธีสาบานแต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ตัวอย่างที่เห็นอยู่ทนโท่ก็คือชีว่าซึ่งทำให้เจ้านายคนก่อนบาดเจ็บสาหัสจน ‘ใช้การไม่ได้อีกเลย’

ก่อนจะออกไป วาห์นก็ใช้สัมผัสพิเศษตรวจสอบร่างกายของแต่ละคนพลางพยักหน้าและเดินนำพวกเธอออกจากร้าน

สาวๆ ทุกคนต่างใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าและร่างกายเพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดสายตามากเกินไปขณะเดินตามวาห์นผ่านท้องถนนที่แออัด

ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ออกมาจากย่านโคมแดงก่อนที่วาห์นจะหันหลังกลับมาจ้องประสานตากับทุกคน

คู่แฝดที่อยากหาโอกาสเอาใจเขาอยู่แล้วรีบเดินออกมาข้างหน้าตามลำดับและถามขึ้นทันที

“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ นายท่าน” x2

วาห์นถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

“เดี๋ยวฉันจะพาไปทีละคนนะ ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำร้ายพวกเธอหรอก”

แม้จะรู้สึกประหม่าหน่อยๆ แต่เอมิรุและมาเอมิก็พยักหน้าให้ ก่อนที่วาห์นจะอุ้มหนึ่งในนั้นขึ้นมาและหายตัวไปแบบต่อหน้าต่อตา

มาเอมิที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี จนกระทั่งวาห์นปรากฏตัวขึ้นในอีกครู่ต่อมา

เธอทั้งรู้สึกใจหายและหวาดกลัวที่ไม่ได้เห็นคู่แฝดของตนเองจนเริ่มมีน้ำตาซึมให้เห็น วาห์นจึงรีบอุ้มเธอขึ้นและหายตัวไปอีกครั้ง

บนหลังคาของอาคารใกล้เคียง เอมิรุยืนทำหน้างงหลังจากที่เจ้านายหายตัวไปก่อนจะกลับมาพร้อมคู่แฝดของเธอ

ทั้งสองสวมกอดกันทันทีและจ้องไปทางที่วาห์นหายไปและกลับมาพร้อมหญิงสาวอีกคน

ชายหนุ่มทำแบบนี้จนทุกคนกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้คู่แฝดยิ่งสงสัยตัวตนของผู้เป็นนายรวมถึงเหตุผลที่เขาซื้อพวกเธอมา

หลังจากที่พวกสาวๆ สงบลงบ้างแล้ว วาห์นก็เริ่มตรวจสอบบริเวณที่อยู่ในพลังเขตแดนและเห็นว่าพวกที่สะกดรอยตามมานั้นหยุดชะงักลงทันที

ดูเหมือนพวกมันกำลังรออะไรบางอย่างซึ่งวาห์นก็พอรู้อยู่แล้ว

เขาเดินเข้าไปใกล้เพรเซียก่อนจะคุกเข่าลงทันที

วาห์นใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อตรวจสอบภายในช่องท้องของเธอและจ้องมองหินส่งสัญญาณเล็กๆ ที่อยู่ในนั้น

หญิงสาวคงถูกบังคับให้กลืนมันลงไปเพื่อที่พวกมันจะได้ตามรอยถูก

เนื่องจากมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่กว่าใครเพื่อน เพรเซียจึงเป็นตัวเลือกที่ดีดีสุด

ตอนนี้สีหน้าของเธอก็ยังคงว่างเปล่า ไม่พูดไม่จา ซึ่งต่อให้เอามีดมาจ่อหน้าก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร

วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีเทาซีดของเธอและพูดขึ้น

“ฉันจะเอาไอเท็มที่อยู่ในท้องของเธอออกให้ ห้ามขยับเด็ดขาดเลยนะ”

เพรเซียยังคงมองวาห์นด้วยสีหน้าแบบเดิมจนเขาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

วาห์นใช้สกิล ‘ว่างเปล่า’ (TL: หนึ่งในความสามารถของ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง]) เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของหินส่งสัญญาณและตัดการเชื่อมต่อของมันออกทันที

จากนั้นเขาก็พยายามทำลายมันทิ้งให้มากที่สุดโดยหวังว่าร่างกายของเธอจะขจัดส่วนที่หลงเหลืออยู่ออกไปได้เอง

พอสัญญาณขาดหายไป พวกที่เฝ้าติดตามวาห์นก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เดาได้ไม่ยากว่าพวกมันคงจะพยายามกลับไปรายงานให้ณอนทัครู้

เพราะต้องการซื้อเวลาเพิ่มอีกหน่อย วาห์นเลยใช้ [เอ็นคิดู] จากระยะไกลและเล็งมันไปที่ขอเท้าของสองคนนั้นก่อนจะหันกลับมาหาพวกสาวๆ ซึ่งตอนนี้ทำหน้างงไปหมดแล้ว

วาห์นเผยรอยยิ้มและเริ่มอธิบายให้พวกเธอฟัง

“ขอโทษด้วยนะที่ต้องให้มาเจออะไรแบบนี้ อีกเดี๋ยวฉันก็จะปลดปล่อยพวกเธอให้เป็นอิสระแน่นอน

ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก แค่ลองนึกๆ ไว้ว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคตก็พอแล้ว

ฉันจะพยายามช่วยให้พวกเธอได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง หรือถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันก็จะจัดหาสถานที่ปลอดภัยให้พวกเธออยู่กันไปก่อน”

ดวงตาของทุกคน (ยกเว้นชีว่ากับเพรเซีย) เริ่มเบิกกว้างขึ้น ราวกับว่าวาห์นเพิ่งจะพูดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อออกมา

หลังจากประมวลคำพูดของวาห์นเสร็จแล้ว เอมิรุและมาเอมิก็นั่งแหมะลงกับพื้นพลางกอดและร้องสะอื้นกันอยู่สองคน

สีหน้าของโมน่านั้นเริ่มดูดีและมีความสุขขึ้นมากขณะที่เจ้าตัวกอดตัวเองจนหน้าอกขนาดใหญ่เกือบไหลทะลักออกมา

ชิซูเนะเองก็กำลังทำหน้าครุ่นคิดขณะหันไปมองทางทิศตะวันออกอย่างเงียบๆ

พวกที่ยังดูเฉยเมยก็มีชีว่าซึ่งสายตาของเธอยังคงแฝงไปด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม และเพรเซียที่ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ดูจะไม่สนใจ้ลยสักนิด

ตอนนี้ดาร์คเอลฟ์สาวยังพูดไม่ได้ เธอก็เลยเดินเข้ามาใกล้และชี้ไปที่ตราสัญลักษณ์ตรงข้อมือ

เมื่อวาห์นเห็นจุดที่เธอชี้ เขาก็เข้าใจความหมายทันทีแต่กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

สายตาของชีว่ายิ่งดูโกรธแค้นกว่าเดิมขณะที่เธอหันข้างและคงกำลังสาปแช่งวาห์นอยู่ในใจ

พอรู้ว่าเธอกำลังเข้าใจผิด วาห์นก็รีบอธิบายต่อ

“ใจเย็นๆ ฉันปลดปล่อยเธอแน่ แต่ก่อนอื่นคงต้องเอาคำสาปที่ลิ้นของเธอออกไปก่อน

เอ่อ อาจจะฟังดูแปลก แต่ฉันกลัวเธออยู่หน่อยๆ นะ… เอาคำสาปออกให้แล้วก็อย่ามากัดกันล่ะ”

แม้จะยังไม่คลายสีหน้าเหยียดหยาม แต่ชีว่าก็จ้องเขม็งมาทางวาห์นราวกับจะถามว่า ‘นี่ไม่ได้คิดจะหลอกกันเล่นใช่ไหม!?’

วาห์นยิ้มจางๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ยื่นลิ้นออกมาสิ แล้วก็อย่าลืมที่ขอไว้ล่ะ…”

หลังจากขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดชีว่าก็แลบลิ้นออกมาและเผยให้เห็นตราสามเหลี่ยมที่ฝังอยู่ตรงปลายลิ้น

วาห์นมองเห็นอักษรรูนเล็กๆ ที่สลักตามแนวสามเหลี่ยมและเริ่มใช้พลังเขตแดนเพื่อสลายคำสาปออกอย่างช้าๆ

เขาไม่สามารถลบเครื่องหมายออกได้ในทันทีด้วยวิธีนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็จะกลับมาพูดได้อีกครั้ง

ผ่านไปอีกนาทีกว่าๆ ชีว่าก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างตรงลิ้นขณะที่คำสาปซึ่งกดดันหลอดเสียงของเธอมาตลอดค่อยๆ จางหายไป

เธอเปิดปิดปากเล็กน้อยเพื่อเหยียดกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้มานาน ก่อนจะมองวาห์นและพูดขึ้นเป็นครั้งแรก

“เธอเป็นเด็กดีจริงๆ ตอนนี้ก็ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันรู้ว่าตัวเองต้องไปที่ไหนต่อ”

วาห์นถอนหายใจก่อนจะตอบเธอกลับ

“จะปล่อยเดี๋ยวนี้ล่ะ แต่คงต้องขอให้รออยู่นี่ไปก่อนนะ

อีกสักพักจะมีคนมาสอบปากคำพวกเธอนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทำอะไรพวกเธอหรอก

หลังจากนั้นเธอก็จะเป็นอิสระทันที อยากไปที่ไหนก็แล้วแต่เลย…”

พูดจบวาห์นก็นำตราออกให้ทันทีและยื่นธนบัตรปึกหนึ่งมาทางชีว่า

เขาได้มอบเงินให้เป็นจำนวน 300,000 วาลิส เพื่อที่เธอจะได้ใช้มันตั้งตัวและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

ชีว่าใช้มือถูตรงส่วนที่ตราประทับเคยอยู่และจ้องมองมันด้วยสายตาเกลียดชัง

เธอหันมาหาวาห์นหลังจากสอดธนบัตรเข้าไปในยกทรงและโค้งให้เล็กน้อย

“ตอนแรกนึกว่าเธอคงเป็นเหมือนเจ้าพวกนั้น ต้องขออภัยด้วย

หลังเสร็จธุระของตัวเองแล้ว หนี้ครั้งนี้ฉันจะใช้คืนให้อย่างแน่นอน”

พบพูดจบ ชีว่าก็นั่งลงบนหลังคาแบบไม่เกรงใจชุดเมดที่ใส่อยู่เลย

หลังจากที่ทุกคนเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว วาห์นก็เริ่มปลดปล่อยพวกเธอและพูดย้ำเรื่อง ‘คิดเรื่องอนาคตของตัวเอง’ อีกครั้ง

หากสามารถทำได้ วาห์นก็อยากจะช่วยให้พวกเธอได้กลับมามีชีวิตปกติ

พอทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว วาห์นจึงส่งกระแสจิตออกไปและในอีก 2 นาทีถัดมา หัวของของเจ้ามังกรยักษ์ก็โผล่ออกมามาพื้นจนพวกสาวๆ ตกใจกันยกใหญ่

วาห์นอธิบายว่ามังกรตัวนี้เป็นพวกของเขาเอง ก่อนจะหันไปคุยกับฟาฟเนียร์บ้าง

“ฟาฟเนียร์ ส่งข้อความไปหามิลานกับโคลอี้ให้ทีสิ บอกพวกเธอว่าให้ไปแจ้งเอน่าแล้วก็พาพวกเธอมาที่นี่ด้วย”

ฟาฟเนียร์พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายด้วยเสียงเด็กๆ และหายกลับเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง

(*ได้คับผม~! จะรีบจัดการให้เลยคับ!*)

วาห์นหันกลับไปหาพวกสาวๆ อีกครั้งและเห็นว่าต่างกำลังมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

โมน่าเริ่มหัวเราะแบบห้าวๆ และพูดขึ้นเป็นคนแรก

“มังกรของนายดูน่ารักดีนะ”

เอมิรุและมาเอมิต่างมองเธอแปลกๆ ก่อนจะนั่งลงบ้างและกอดกันแบบหลวมๆ

ส่วนเพรเซียนั้นยังคงยืนอยู่แบบเดิมโดยไม่พูดอะไรเลย แม้ว่าตราที่ข้อมือของเธอจะถูกลบออกไปแล้วก็ตาม

ชีว่าดูเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่แล้วเธอก็เกิดเปลี่ยนใจและนั่งรอต่อไปตามที่วาห์นขอไว้

นอกจากโคลอี้แล้ว ริวเองก็มาด้วยพร้อมใส่ชุดต่อสู้แบบเต็มยศ

โคลอี้มองไปทางพวกสาวๆ บนหลังคาและถามขึ้นทันที

“นี่คือพวกที่นายช่วยไว้ใช่ไหม~เมี๊ยว?”

เมื่อมองต่ออีกหน่อย โคลอี้ก็เห็นว่าแต่ละคนนั้นล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ

ถึงจะรู้ใจวาห์นดีอยู่แล้ว แต่หญิงสาวก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าคนรักของตนกำลัง ‘รวบรวมของหายาก’ เพื่อสนองความอยากรู้ของตัวเองอยู่หรือเปล่านะ?

วาห์นพยักหน้าตอบและเริ่มอธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่เขาไปเจอมาให้ฟัง นั่นรวมถึงเรื่องของฮารุฮิเมะและอิชทาร์แฟมิเลียด้วย

แม้จะเชื่อใจสาวๆ ทั้งหกในระดับหนึ่ง แต่วาห์นก็เฝ้าระวังตัวและไม่หลุดชื่อหรือข้อมูลสำคัญต่างๆ ออกไปแม้แต่อย่างเดียว

แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้บอกชื่อจริงให้พวกเธอรู้เลย

เนื่องจากทั้งสองหัวไวอยู่แล้ว โคลอี้กับริวจึงเข้าใจทันทีและพูดแบบระมัดระวังมากขึ้น

สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ เอาไว้จัดการเรื่องทั้ง 6 คนเสร็จแล้วค่อยมาคุยกันทีหลังก็ได้

หลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเสร็จแล้ว โคลอี้ก็ออกไปสอดแนมอาคารของฌอนทัคเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนหลบหนี ขณะที่ริวไปจัดการกับชาย 2 คนซึ่งป่านนี้ก็ยังคงขยับไปไหนไม่ได้

แม้วาห์นจะไม่อยากดึงเอลฟ์สาวเข้ามาเกี่ยว แต่ถ้าเธอเล่นอาสามาด้วยตัวเองแบบนี้ เขาก็คงไม่พูดห้ามอะไรแล้ว

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ชายทั้งสองก็ถูกจับมัดเรียบร้อยพร้อมกันกับที่คนของทางกิลด์เดินทางมาถึง

นอกจากกลุ่มทหารยามทั่วไปแล้ว พวกเขายังพาชายร่างสูงมาด้วย

จากออร่าและแรงกดดันที่ชายคนนั้นปล่อยออกมา วาห์นเดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องเป็นนักผจญภัยเลเวล 5 อย่างแน่นอน

ก่อนจะเริ่มการสอบปากคำกันอย่างจริงจัง วาห์นก็เข้ามาถามพวกเธออีกครั้งว่าจากนี้ไปจะเอายังไงต่อ

วาห์นอธิบายให้ฟังว่าหากต้องการ เขาสามารถหาแฟมิเลียให้พวกเธอเข้าร่วมได้ หรือจะให้จัดบ้านพักชั่วคราวให้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ

เขายังเสริมอีกว่าทาง ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ยินดีรับทุกคนเข้าทำงานหากพวกเธอเลือกที่จะอยู่ในเมืองต่อแต่ไม่อยากจะไปเป็นนักผจญภัย

ตอนที่ทั้งสองเดินทางมาถึงนั้น ริวก็ได้ส่งกระดาษโน้ตของซีลให้กับเขาไว้แล้ว

ภายในนั้นระบุเรื่องที่วาห์นเพิ่งพูดออกไปและยังมีทั้งลายเซ็นของซีลกับมามามีอากำกับอยู่ด้วย

แม้จะไม่มีทักษะการต่อสู้อยู่เลย แต่เอมิรุกับมาเอมิก็บอกว่าพวกเธออยากขอติดตามวาห์นและทำหน้าที่ในฐานะซัพพอร์ตเตอร์หรือไม่ก็สาวใช้ดูแลบ้าน

สภาวะอดอยากที่บ้านเกิดนั้นทำให้ทั้งคู่ถูกครอบครัวขายตั้งแต่ทีแรก ดังนั้นหากกลับไปอีก ช้าเร็วก็คงโดนแบบเดิมซ้ำ

พอเห็นว่าวาห์นปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี พวกเธอจึงอยากจะตอบแทนเขาด้วยวิธีนี้ไปก่อน

เพราะทำใจไว้ตั้งแต่แรกว่าคงต้องตกเป็นทาสไปชั่วชีวิต ทั้งสองเลยคิดว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

ชีว่าบอกว่าจะเริ่มจากการจัดการปัญหาของตัวเองก่อนซึ่งก็คงกินเวลานานพอควร

เธอไม่สนใจเรื่องเข้าร่วมแฟมิเลียหรือลงหลักปักฐานในเมือง แต่ก็สัญญาว่าจะตอบแทนวาห์นแน่นอน

โมน่ารู้สึกสนใจเรื่องข้อเสนอเข้าทำงานที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ เพราะเธอเองก็ทำงานเป็นสาวเสิร์ฟตอนอยู่บ้านเกิดเช่นกัน

หลังจากที่หมู่บ้านถูกโจรปล้นและเผาทำลาย หญิงสาวก็ต้องลำบากมาตลอดและตกเป็นของเล่นให้กับผู้ชายหลายคนเพียงเพราะเธอสามารถผลิตนมได้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอถูกซื้อขายนับครั้งไม่ถ้วนเพราะเรื่องนี้เช่นกัน

ตอนนี้เธออยากใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเยอะ และรู้สึกสนใจทันทีที่วาห์นพูดเรื่องหอพักหญิงของร้าน

ชิซูเนะอยากกลับไปที่บ้านเกิดของตัวเองซึ่งอยู่แดนตะวันออกไกล ทว่าเธอก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก

เธอถูกพวกค้าทาสลักพาตัวมาตั้งแต่ยังเล็กและตกเป็นทาสมาแล้วกว่า 5 ปี

ถึงจะไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไป แต่ชิซูเนะก็เคยนึกฝันว่าตัวเองจะได้เจอผู้ชายดีๆ และหลบหนีออกจาก 5 ปีแห่งฝันร้ายได้สำเร็จ

เธอหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาจิตใจจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติ ได้แต่งงาน อยู่กิน และสร้างครอบครัวอยู่ที่แผ่นดินเกิด

คนที่อาการหนักสุดเห็นจะเป็นเพรเซีย เพราะป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม

สาวเผ่ามนุษย์แกะไม่เคยสนใจหรือพยายามหว่านล้อมวาห์นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

สิ่งที่บรรยายความเป็นเธอได้ดีที่สุดก็คือ ‘หุ่นยนต์ของเล่นที่ถูกเล่นจนพังยับเยิน’

เรื่องแปลกประหลาดก็คือเพรเซียนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ คาดว่าเธอคงถูกทรมานอย่างหนักเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่เจ้านายคนก่อนจะรู้สึกเบื่อและขายเธอกลับไป

วาห์นอยากบอกว่าตนสามารถรักษาแผลเป็นให้ได้ แต่สำหรับตอนนี้ มันคงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเพราะเขาจำเป็นต้องสัมผัสร่างกายของเธอด้วย

นอกจากใบหน้าแล้ว ร่างกายทุกส่วนของเธอก็แทบจะไม่มีผิวดีๆ ให้เห็นอยู่เลย

หากเธอยอมให้เขาลบแผลเป็นออก มันก็คงจะเป็นขั้นตอนที่กินเวลายาวนานมากแน่นอน

ในกลุ่มพนักงานกิลด์ที่เดินทางมาถึง เอน่าเองก็ตามมาด้วยและเป็นผู้จดบันทึกคำให้การของพวกสาวๆ ด้วยตัวเองก่อนจะส่งทีมสืบสวนไปยังอาคารของฌอนทัค

เรื่องแค่นี้คงไม่อาจหยุดการค้าทาสในเมืองลงได้ แต่อย่างน้อยพวกมันก็คงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปสักระยะหนึ่ง

เหล่าทาสในตึกคงจะได้รับการดูแล ช่วยเหลือ หรือไม่ก็ถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดซึ่งก็ไม่ต่างไปจากวิธีของวาห์นมากนัก

พวกที่ประสบปัญหามากหน่อยก็อาจจะได้รับการศึกษาจากทางกิลด์ก่อนจะผันตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับหรือไม่ก็พนักงานดูแล

สุดท้ายแล้วพวกเธอคงจะได้เจอกับผู้ชายดีๆ ตกลงแต่งงารกัน และเกษียณเมื่อถึงเวลาอันควร… หรืออย่างน้อยวาห์นก็หวังให้เป็นแบบนั้น

หลังจากให้การเสร็จแล้ว ชีว่าก็หายไปจากตรงนั้นทันที ในขณะที่ชิซูเนะและโมน่าถูกริวพากลับไปร้าน

ชิซูเนะเองก็ได้รับเงินจากวาห์นเพื่อใช้เดินทางกลับบ้านเช่นกัน แต่เธออยากอยู่ในเมืองไปก่อนสักระยะเพื่อพักฟื้นและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล

จากนั้นวาห์นก็พาเอน่ากลับมาที่คฤหาสน์ฮาร์ธพร้อมกันกับเอมิรุ มาเอมิ และเพรเซีย

วาห์นหวังลึกๆ ว่าเฟนเรียร์และทีน่าอาจจะช่วยทำให้เพรเซียเปิดใจและขอเข้ารับการรักษาแผลได้ด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้เขาเองก็จนปัญญาจริงๆ

เอมิรุและมาเอมิจะรับหน้าที่เป็นสาวใช้และคอยดูแลคฤหาสน์โดยรวม อีกหน้าที่หนึ่งของพวกเธอก็คือซัพพอร์ตเตอร์ (ฝ่ายสนับสนุน) ของเฮสเทียแฟมิเลีย

ระหว่างเดินทางนั้นเอน่าเอาแต่ทำสีหน้าแปลกๆ ขณะปล่อยให้วาห์นเดินจูงมือผ่านแสงแดดอ่อนๆ ของยามบ่าย

วาห์นเองก็สังเกตสีหน้าของเธอเช่นกัน

“ขอโทษที่ทำให้เรื่องยุ่งยากนะ เอน่า… แต่ตอนนั้นฉันทิ้งพวกเธอไปไม่ได้จริงๆ”

หูของอดีตทาสทั้งสามเริ่มกระตุกพร้อมกันโดยที่วาห์นไม่รู้ตัวเลย นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเธอกำลังตั้งใจฟังแบบสุดๆ

“ฉันรู้แล้ววาห์น ทำแบบนี้ก็สมกับเป็นนายแล้วล่ะ… นี่แหละเป็นเหตุที่ฉันไม่อยากปล่อยให้นายเข้าไปในย่านนั่น

เห็นแล้วใช่ไหมว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่ทางกิลด์จะยื่นมือเข้าไปดูแลได้ตลอด

สัญญากับฉันได้ไหมว่าต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก… แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยมาบอกกันก่อนก็ยังดี…”

วาห์นพยักหน้าก่อนจะเอนตัวลงมาหอมแก้มและกระซิบเขาๆ

“ขอบใจนะ เอน่า… ต้องให้เธอมาตามดูแลตลอดเลย พอคิดเรื่องที่ทีไร ฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่จะได้เธอมาเป็นภรรยา…”

วาห์นเริ่มทำหน้าราวกับกำลังวาดฝันในอนาคตอยู่ อันที่จริงเขาก็กำลังทำอย่างที่ว่านั่นแหละ มันเป็นสีหน้าที่ดูสงบและมีความสุขมาก

เอน่ามองกลับมาด้วยสีหน้าเอียงอาย ก่อนจะถอนหายใจและพูดพึมพำเบาๆ

“เลื่อนวันแต่งให้เร็วขึ้นมาอีกดีไหมเนี่ย…?”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท