Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 272

ตอนที่ 272

“เอ๋?”

วาห์นอาจจะเดาคำตอบของเฮสเทียเอาไว้มากมาย แต่อันนี้มันออกจะเหนือความคาดหมายไปหน่อย

ภาพของเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์ที่มักหัวเราะราวกับปีศาจจิ้งจอกผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที

เฮสเทียล้มลงไปบนเบาะรองนั่งที่ฮารุฮิเมะใช้ในระหว่างการตรวจและเริ่มอธิบายพลางถอนหายใจ

“ฉะ-….ฉันเรียกเธอมาเองแหละ… เพราะคิดว่าคืนนี้นะ-นะ-น่าจะไปกันใหญ่”

เทพตัวเล็กพูดตะกุกตะกักขณะหันข้างมาหาเขา

วาห์นนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนเช้าแล้วก็ต้องเห็นด้วยว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนฟ้ามืด คืนนี้ต้องยาวแน่นอน

วาห์นอาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายรุกก่อน แต่ถ้าเฮสเทียเริ่มยั่วต่อจากตอนเช้า เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หยุดกลางคันแน่นอน นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายเกิดกลัวจนถอยหนีไปเอง

พอรู้ว่าคืนนี้จะมีปัจจัยเสริมเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง วาห์นจึงอดถามไม่ได้

“นี่เธอไปคุยอะไรกับโลกิมาเหรอ?”

เฮสเทียใช้สองมือจิกข้างหัวตัวเองและส่ายมันไปมาอย่างรวดเร็วขณะส่งเสียง ‘งื้อออออออ~’ ด้วยความหงุดหงิด

ผ่านไปพักหนึ่ง เธอก็เริ่มสงบลงและอธิบายต่อ

“ฉันอยากจะขอคำแนะนำจากเฮเฟสตัส แต่ว่าดันหยิบปากกาผิดอัน!!!

ทำไมสีมันต้องคล้ายกันด้วยเนี่ย!? ทำไมก๊านนนนน~?”

เพราะทุกคนเลือกสีปากกาตามสีผมของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ ของเฮเฟสตัสนั้นจะออกไปทางสีแดงเข้ม ในขณะที่ของโลกิจะเป็นสีแดงสว่าง

ที่จริงมันดูแทบไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าคนเขียนรีบเกิน… ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้แหละ

วาห์นพยายามนึกเรื่องที่เฮสเทียจากจะถามเพื่อนสนิทและพอเข้าใจว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง…

ถ้าเฮสเทียเผลอส่งข้อความนั่นไปให้โลกิแทน เขาพอจะนึกภาพออกเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเบิกบานมากแค่ไหน

“ฉันเคยบอกโลกิไว้ว่าอย่าเร่งเรื่องนี้… ถึงโลกิจะคิดว่าเธอนำไปก่อน มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉัน…”

พอนึกขึ้นได้ว่าโลกิทำอะไรให้บ้าง วาห์นก็พูดต่อไม่ออก

เฮสเทียโอดโอยเล็กน้อยและพยายามพูดแก้ต่างให้อดีตศัตรู

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ… อย่างที่บอกไป หลังจากได้คุยกันพักนึง ฉันก็เลยขอให้เธอมาที่นี่เอง”

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ

“ฉันอธิบายเรื่องพวกนี้ไม่เก่งน่ะ ก็เลยไม่รู้จะบอกนายยังไงดี

เอาไว้ให้โลกิมาอธิบายแทนละกัน เดี๋ยวนายคงเข้าใจเอง…”

หลังจากพูดจบ เฮสเทียก็ล้มตัวลงไปข้างหลังเพราะนึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่รอศีรษะของเธออยู่นั้นคือพื้นแข็งๆ ต่างหาก

ถึงจะวอกแวกเพราะเรื่องโลกิ แต่วาห์นก็มีสมาธิพอที่จะเข้าไปรับหัว (ที่เกือบแตก) ไว้ได้อย่างทันท่วงที

เขาใช้มือซ้ายประคองศีรษะและยื่นมือขวาออกไปโอบเอวของเฮสเทียไว้จากด้านหน้า

ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวาห์นทำแบบนี้ทำไม จนเขาต้องเป็นฝ่ายพูดเอง

“นี่เธอ… จะนั่งจะนอนตรงไหนก็ระวังหน่อยสิ…”

สมองของเฮสเทียนั้นใช้ได้ดีกับแค่บางเรื่อง และนี่ก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้น

พอนึกออกว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่บนเตียง เฮสเทียก็เริ่มทำตัวเหลอหลาจนวาห์นต้องเข้ามาจูบที่หน้าผากและพูดเตือนอีกรอบ

“ระ-วัง-หน่อย ฉันน่ะรักษาให้ได้อยู่แล้ว แต่จะดีกว่ามากถ้าไม่ต้องเห็นเธอเจ็บตั้งแต่แรก”

เฮสเทียยังอยู่ในสภาพมึนงงจนกระทั่งวาห์นช่วยพยุงเธอขึ้นจากพื้น

หลังจากได้สติ ดวงตาสีฟ้าก็เริ่มเปล่งประกายก่อนที่เธอจะเอื้อมไปจับและดึงใบหน้าของวาห์นเข้ามาทั้งๆ ที่เขาเป็นคนพยุงทั้งสองอยู่

วาห์นเกือบจะเสียสมดุลและล้มแบบหน้าจุ่ม ‘เทือกเขาเฮสเทีย’ แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองเหนือมนุษย์ การ ‘ล้ม’ แบบทั่วๆ ไปนั้นกินเขาไม่ลงหรอก

เขาใช้มือคล้องตรงก้นกบและแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะออกตัวไปข้างหน้าด้วย [เคลื่อนย้ายในพริบตา] และกลับมายืนตรงอีกฟากของห้องอย่างปลอดภัย

เพราะเฮสเทียยังเกาะไม่เลิก ตอนนี้ใบหน้าของวาห์นก็เลยถูกฝังอยู่ในความนุ่มนิ่มโดยที่เจ้าตัวยังคงดิ้นไปมาแบบไม่สนใจสิ่งรอบตัว

ผ่านไปชั่วครู่ อ้อมกอดของเธอก็แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย

“ฮือออ ทำไมนายถึงน่ารักแบบนี้เนี่ย~? ขอบใจนะที่มาช่วยไว้…”

ถึงจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่วาห์นก็พยักหน้าทั้งแบบนั้นเลย

รอยยิ้มของเฮสเทียหดเล็กลง ก่อนที่เธอจะเอ่ยเป็นเสียงกระซิบ

“ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น… ขอให้ทำจนจบเลยนะ ถึงหัวใจจะยังไม่พร้อม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ฉันรักนายนะ…”

—————

วาห์นพยายามเงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาสีฟ้าที่แฝงไปด้วยหลากหลายอารมณ์

สีหน้านั่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกายพร้อมกับเรียกรอยยิ้มให้กลับคืนมาอีกครั้ง

“ฉันสัญญา… แล้วก็สัญญาด้วยว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด… เพราะฉันก็รักเธอเหมือนกันนะ”

2-3 นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองก็ดื่มด่ำไปกับริมฝีปากของกันและกัน

พวกเขากอดกันแบบหลวมๆ และเพลิดเพลินไปกับรสจูบอันแผ่วเบา เชื่องช้า แต่ก็แฝงไปด้วยความรักและห่วงใย

ตลอดช่วงบ่ายของวันนั้น วาห์นร่างแบบอาวุธและชุดป้องกันสำหรับสมาชิกในแฟมิเลียอย่างเรื่อยเปื่อย

เพราะต่างเป็นนักสู้ที่เน้นใช้ความเร็ว นอกจากเรื่องการออกแบบแล้ว การเลือกใช้วัสดุที่เบาและคงทนก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน

แบบที่ออกมาในวันนี้ก็มีสนับแขน สนับขา เกราะอก รวมถึงอาวุธมากมายหลายแบบหลายขนาด

การหาวัสดุคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาก็มีแบบเอาไว้ดูแล้ว และจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนมันตามความเหมาะสมและความต้องการของพวกเธอแต่ละคน

พอเริ่มลงมือเขียนแปลนแบบละเอียด วาห์นก็ทำเสร็จไปเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นก่อนที่เขาจะตรวจพบว่ามีออร่าแปลกปลอมเข้ามาในเขตแดน

เพราะออร่าของเหล่าทวยเทพจะมีขนาดใหญ่กว่าของคนธรรมดาหลายเท่า วาห์นจึงรู้ทันทีว่าผู้มาเยือนเป็นใครและรู้ด้วยว่าเธอมาที่นี่เพียงคนเดียว

หากไม่เป็นไปตามนี้ก็แสดงว่าเธอคงจะทิ้งคนคุ้มกันไว้นอกเขตแดนก่อนจะเดินเข้ามาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน วันนี้เขาก็คงไม่ได้ทำงานต่อแล้วล่ะ

วาห์นเริ่มเก็บของบนโต๊ะให้เข้าที่และเตรียมตัวเพื่อออกไปต้อนรับเธอ

ตอนนี้เขาออกจะอยู่ไกลจากห้องโถงไปสักหน่อย ยังดีที่เฮสเทียพาอีก 2-3 คน ออกไปต้อนรับแขกก่อนแล้ว

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น วาห์นก็มาถึงห้องนั่งเล่นโดยที่โลกิและเฮสเทียหันหน้ามารอ้ขาอยู่ก่อน เดาได้ไม่ยากเลยว่าเฟนเรียร์นั้นรู้ตำแหน่งของเขาและรายงานให้ทุกคนฟังแบบละเอียดยิบ

เพราะเด็กสาวนั้นถือกำเนิดจากพลังงานชนิดเดียวกัน ต่อให้ในคฤหาสน์มีคนอยู่อีกเป็นร้อยเป็นพันคน เธอก็ตามหาตัววาห์นพบ

ขณะที่สาวๆ คนอื่นทยอยกันออกไปจากห้อง พวกเธอก็เข้ามาทักทายวาห์นแบบสั้นๆ ก่อนจะเดินไปทางห้องครัวและห้องอาหาร

นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว พวกคู่แฝดจึงต้องไปเตรียมอาหารพร้อมกับมิลานและทีน่าโดยมีคนอื่นๆ ติดสอยห้อยตามไป

ตอนนี้วาห์นยังไม่รู้หรอกว่าฮารุฮิเมะกำลังช่วยสอนหนังสือให้กับคนอื่นเช่นกัน เนื่องจากเธอเองก็เป็นคนที่รักการอ่านนิยายมาก

หลังจากได้ ‘คุย’ กับเฮสเทียแบบเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ฮารุฮิเมะก็ต้องงดสอนหรืออ่านเรื่องบางเรื่องโดยเฉพาะเวลาที่มีเฟนเรียร์อยู่ด้วย และเปลี่ยนไปเน้นอ่านพวกนิยายเจ้าหญิงเจ้าชายให้เธอฟังแทน

หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปกันแล้ว วาห์นก็ได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ๆ

“โย่ววว~! ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ นี่สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย~?”

ราวกับอยากจะตรวจสอบเดี๋ยวนั้นเลย โลกิลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะมายืนอยู่ตรงหน้าวาห์นและพยายามใช้มือทาบหัวของตัวเองกับวาห์นสลับกันไปมา

วาห์นยิ้มเล็กน้อยขณะจับมือนั่นเอาไว้

“ฉันก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ

โลกิ… ดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้งนะ”

ดวงตาที่มักจะปิดสนิทเริ่มเปิดออกทีละน้อย ในขณะที่เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งโซฟาตัวเดียวกับเฮสเทีย

วาห์นเห็นว่าเทพตัวเล็กนั้นพยายามสงบสติอารมณ์แบบสุดๆ แล้ว

นี่ถ้ามองไม่เห็นเส้นเลือดตุบๆ ตรงขมับนั่น เขาก็คงเชื่ออยู่หรอกว่ามันได้ผล

โลกินั่งทิ้งระยะห่างจากเฮสเทียเล็กน้อย เป็นระยะที่วาห์นสามารถแทรกตัวลงไปได้แบบพอดิบพอดี

แต่แทนที่จะทำแบบนั้น เขากลับเลือกลงไปนั่งอีกฝั่งเพื่อทำให้การสนทนาราบรื่นขึ้น

เฮสเทียเองก็งงๆ กับตัวเลือกของวาห์นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่นานเธอก็ลุกตามไปนั่งข้างๆ

และก่อนที่โลกิจะพูดอะไรออกมา เฮสเทียก็คว้ามือขวาของวาห์นขึ้นและหมับมันเข้ากับหน้าอกของตัวเองพร้อมทำ ‘สีหน้าแห่งชัยชนะ’

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือโลกินั้นไม่แสดงท่าทางสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย แถมเธอยังพยักหน้าให้กับเฮสเทียก่อนจะเริ่มพูดอีกด้วย

“วาห์น นายรู้ใช่ไหมว่าคืนนี้ฉันมาที่นี่ทำ-”

“เฮ้ยยยย~!? ทำไมถึงเมินกันแบบนี้ล่ะ!?” เฮสเทียร้องขัดขึ้นแบบรับไม่ได้

โลกิเริ่มมีสีหน้าจริงจังขณะหันมาตอบ

“ฉันเคยบอกวาห์นไว้ว่าจะเลิกกัดกับเธอ แล้วก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วย

แข่งกับเธอไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานี่นะ เสียเวลาเปล่าๆ”

เฮสเทียได้แต่เบิกตากว้างและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเอาแต่ใจที่โดนดุเพราะไปทำเรื่องไม่ดีมา

‘สีหน้าแห่งชัยชนะ’ หายวับไปกับตาและถูกแทนที่ด้วย ‘สีหน้าแห่งความพ่ายแพ้’ ในขณะที่เจ้าตัวค่อยๆ ปล่อยมือจากวาห์น

การเปลี่ยนแปลงของโลกินั้นเป็นเรื่องที่เธอรู้สึก ‘ตามไม่ทัน’ เพราะทั้งสองต่างมีอดีตร่วมกันมานานแสนนานมาก

และเพราะรู้จักกันมานานนี่แหละ เฮสเทียก็เลยเข้าใจว่าโลกินั้นใส่ความพยายามลงไปมากมายแค่ไหน ทั้งเรื่องสงบศึกกับเธอ และเรื่องปกป้องผลประโยชน์ให้กับวาห์น

วาห์นลูบหัวเฮสเทียด้วยความเอ็นดูขณะพูดตอบโลกิ

“อย่าลืมสิว่าเฮสเทียเพิ่งจะลงมาที่โลกได้ไม่นานเองนะ นอกจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย”

เฮสเทียที่ได้รับการปลอบจากวาห์นมีสีหน้าและออร่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ

แทนการเข้ามากอดเขา เธอแค่เอนตัวเข้ามาใกล้ๆ เพื่อที่วาห์นจะได้เป็นฝ่ายโอบเสียเอง

โลกิยิ้มและพูดติดน้ำเสียงขี้เล่น

“สงสัยจังเลยน้า ว่าเมื่อไหร่นายจะทำแบบนั้นกับฉันบ้าง~?

ฉันล่ะอิจฉาเฮสเทียจริงๆ ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับนายเยอะแบบนี้”

เธอถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ

“แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนนะ เวลายิ่งน้อยๆ ซะด้วยสิ

เรื่องนี้จะปล่อยไว้นานก็ไม่ได้ แถมเรายังมีอีกอย่างที่ต้องทำก่อนฟ้าสางด้วย…”

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ออร่าของโลกิสว่างขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่มันจะกลับมาสงบอีกครั้ง

หลังจากเข้ามาข้างในกันแล้ว วาห์นก็ใช้พลังสำรวจทั่วตัวคฤหาสน์และเห็นว่าเฮสเทียยังนอนอยู่ชั้นบน

จากถุงใต้ตาที่เห็นตอนล่าสุด เขาเดาว่าเมื่อคืนเธอคงตื่นเต้นหนักจนแทบไม่ได้นอนเลย

วาห์นพยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นถัดจากห้องอาหารและนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง

มิลานลงมานั่งข้างๆ ขณะที่เขาพยายามปลอบทีน่าซึ่งกำลังสะอื้นอยู่ตรงซอกคอ

หญิงสาวพิงไหล่ของวาห์นขณะใช้มือลูบหลังผู้เป็นลูกอย่างเอ็นดู

มิลานนั้นเข้าใจหัวอกของทีน่าดี เพราะแม้แต่เธอเองยังรู้สึกถึงบางอย่างหลังจากที่เห็นวาห์นในร่างมนุษย์แมว

จุดที่เธอเห็นว่าวาห์นมีส่วนใกล้เคียงกับอดีตสามีที่สุดก็คือผมสีเกาลัด ส่วนสูง และรูปร่างที่มีขนาดพอๆ กัน ถ้าจะให้แถมอีกจุดก็คือการที่เขาดูแลเอาใจใส่ทั้งสองเป็นอย่างดีนี่แหละ

หากไม่ใช่เพราะมีหน้าตาและท่าทางคนละแบบ เธอก็คงเข้าใจผิดไปด้วยอีกคน

ทีน่านั้นเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่เธอพอจะจำได้ก็มีแค่สีผมกับรูปร่างลางๆ เท่านั้น

ต่อให้รู้ว่าคนๆ นี้คือวาห์น แต่ความทรงจำบวกกับช่วงเวลาที่อยู่กับเขาทำให้เธอระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและจะไม่มีวันได้เจอกันอีก

ผ่านไป 2-3 นาที ทีน่าก็พยายามพูดบางอย่างออกมา

“นายไม่ใช่ป่ะป๊า…”

อาจฟังเหมือนคำพูดตัดพ้อ แต่ทีน่ากลับกอดวาห์นแน่นยิ่งกว่าเดิมก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง

“นายไม่ใช่ป่ะป๊า…”

วาห์นใช้มือลูบแผ่นหลังเล็กๆ ด้วยอีกคนขณะสบตากับมิลานที่มีสีหน้าอ่อนล้า

หญิงสาวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเช่นกัน เพราะสิ่งที่ทีน่าพูดนั้นคือความจริง

หากดูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามในตอนนี้ จะให้ตีว่าวาห์นเปรียบเสมือนพ่อเลี้ยงของทีน่าก็ไม่ถูกอีก

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

วาห์นฮัมเพลงเบาๆ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยขณะมองดูใบหน้าของเด็กสาวจากด้านข้าง

ทีน่าหันหน้าหนีทันที ราวกับว่าเธอพยายามจะไม่มองวาห์นที่ยังอยู่ในร่างนี้

พอเขาจะพูดบ้าง เธอก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันไม่ชอบแบบนี้… ไม่ชอบที่นายทำเหมือนฉันเป็นเด็ก…”

แต่ไม่ว่าจะพูดค้านยังไง มือของเด็กสาวก็ยังกอดติดลำคอของเขาแน่น

ทีน่าในตอนนี้ดูลำบากใจมาก วาห์นจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรและพยายามปลอบเธอต่อ

เขาอยากพูดออกไปว่าไม่ได้เห็นเธอเป็นแค่เด็ก ว่าเธอดูเป็นคนมีเหตุผลกว่าตัวเองด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างกลับไปกระจุกอยู่ตรงลำคอ

ราวกับรู้ว่าวาห์นยังคิดอะไรไม่ออก ทีน่าจึงเริ่มพูดต่อไปอีก

“ฉันจะพยายามไปเรื่อยๆ… พยายามเข้มแข็งกว่านี้… แต่ตอนนี้… ปลอบฉันต่ออีกหน่อยนะ ขอร้องล่ะ”

วาห์นนั่งข้างมิลานขณะปลอบเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนจนกระทั่งหมดช่วงเวลาฝึกซ้อม

ทั้งสามอยู่กันแบบเงียบๆ และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอบอุ่นจนกระทั่งหูของทีน่ากระดิกเพราะได้ยินเสียงคนอื่นเดินเข้ามาจากทางประตูด้านหลัง

หลังจากสูดหายใจลึก 2-3 ครั้ง ทีน่าก็ขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำทะเลด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความหวัง

วาห์นยิ้มให้พลางยกมือขึ้นโดยหมายจะลูบหัว แต่เด็กสาวกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้และมอบจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะโดดลงจากตักไป

มิลานมองดูลูกสาวเดินจากไปโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม

ร่างเล็กๆ พุ่งผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเธอกำลังพยายามไปให้ถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนคนอื่น

วาห์นคาดว่าเธอคงอยากโดดลงอ่างน้ำเพื่อปกปิดหลักฐานที่เคยร้องไห้และพยายามสงบจิตใจของตัวเองให้เร็วที่สุด

จากด้านข้างของเขา ในที่สุดมิลานก็ยอมพูดออกมา

“วาห์น… เป็นแบบนี้มันดีแล้วเหรอ?”

ตอนนี้หญิงสาวยังคงนั่งซบไหล่ของเขาเหมือนเดิม ความอบอุ่นจากร่างกายของเธอเป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้ดีที่สุด

เขาสัมผัสได้ถึงความลังเลแบบเดียวกับตอนที่ขอให้เธอกับลูกสาวย้ายมาอยู่ด้วยในตอนแรก

วาห์นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไป

“ฉันแค่อยากให้พวกเธอมีความสุข พูดแบบนี้อาจฟังดูแปลก ที่จริงอาจจะหยาบคายเลยด้วย แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คิดกับเธอและทีน่าแบบนั้น

เธอเป็นคนที่ดีและเป็นแม่ที่ดีมากเลยนะ สักวันฉันคงจะก้าวข้ามเส้นนั่นไป แต่ตอนนี้เราทั้งคู่ยังไม่พร้อม…

ทีน่าเองก็เหมือนกัน แถมตอนนี้เธอยังเด็กมาก…

ฉันพอมองออกว่าความรู้สึกที่ทีน่ามีให้มันผิดปกติหน่อยๆ

เรื่องนี้เราคงต้องคอยดูเธอเติบโตไปพร้อมกับคนอื่นและไม่ปล่อยไว้เฉยๆ…”

แม้จะได้ยินวาห์นพูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่มิลานก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน

เธอเองก็ยังไม่ได้คิดกับวาห์นแบบนั้นเช่นกัน ความพยายามส่วนใหญ่นั้นจริงๆ หมดไปกับการคอยช่วยลูกสาวมากกว่า

มิลานยอมรับว่าวาห์นเป็นคนดีและทำให้เธอรู้สึก ‘อุ่นใจ’ มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่สิ่งที่มากั้นทุกอย่างเอาไว้ก็คือความรู้สึกของผู้เป็นลูก…

ที่จริงเธอก็อยากใช้เวลากับวาห์นเช่นกัน ‘ความต้องการ’ ของภรรยาหม้ายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ควรมองข้ามหรือเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ

มิลานรู้แล้วว่าตอนนี้วาห์นจะคอยดูแลและปกป้องเธออย่างถึงที่สุด… ไม่ว่าเธอจะแสดงความเห็นแก่ตัวออกมามากแค่ไหนก็ตาม

สิ่งๆ เดียวที่มายั้งเธอไว้ก็คือทีน่า ลูกสาวที่เธอรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง

วาห์นถอนหายใจข้างในเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังทำตัวเหมือนเดิม

“เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก… ไม่จำเป็นที่จะต้องมาคิดตัดสินใจอะไรในตอนนี้หรอก

แล้วก็ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ เธอจะมาฝึกกับทีน่าและคนอื่นๆ ด้วยก็ได้นะ

แต่ต่อให้ไม่อยากเข้าไปในดันเจี้ยนอีกเลย สถานที่แห่งนี้ก็จะเป็นบ้านให้กับพวกเธอไปตลอดอยู่ดี…”

มิลานพยักหน้าช้าๆ และทำให้วาห์นรู้สึกจั๊กจี้เพราะใบหูที่มาเกลี่ยอยู่ตรงลำคอ

“ขอบใจนะวาห์น… สำหรับทุกอย่างที่นายทำให้…”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มจริงใจที่หาดูได้ยาก… โดยเฉพาะตั้งแต่หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น

เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะทำแบบเดียวกับลูกสาว

นับเป็นจูบที่สั้น เรียบง่าย แต่ก็แฝงไปด้วยความจริงใจ

มิลานกระซิบเบาๆ หลังจากที่ถอยออกไปแล้ว

“ขอบคุณสำหรับเรื่องที่นายคิดเผื่อในอนาคตด้วยนะ… แล้วก็ขอบคุณที่มาช่วยชีวิตพวกเราไว้… ขอบคุณจริงๆ…”

พอพูดเสร็จแล้วเธอก็ยิ้มให้ ก่อนจะใช้นิ้วดีดเข้าที่หูแมวจนพวกมันกระตุกให้เห็น

ในระหว่างที่เดินออกไปเพื่อเตรียมอาหารเช้า มิลานก็หันกลับมาพูดทิ้งท้าย

“หูแมวก็ดูน่ารักดีนะ แต่ฉันชอบนายแบบร่างปกติมากกว่าล่ะ~เมี๊ยว”

ราวกับโดนกล่าวเตือนเบาๆ วาห์นเริ่มเปลี่ยนกลับไปอยู่ร่างมนุษย์ขณะจ้องมองอีกฝ่ายเดินออกจากประตู

ภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบ วาห์นนอนลงกับโซฟาและถอนหายยาวๆ ราวกับเก็บกดมันไว้นานแล้ว

เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าต่อให้ร่างกายผ่อนคลายแค่ไหน ตอนนี้จิตใจกลับรู้สึกว้าวุ่นไปหมด

วาห์นคิดว่าตัวเองควรจะเด็ดเดี่ยวกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องหมั่นสอดส่องสภาพจิตใจของคนอื่นก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป

เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เช่นกัน แค่ทดลองอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ดันเกิดเรื่องขึ้นซะแล้ว…

หากไม่คิดจะ ‘ลงหนัก’ เขาก็ควรลดความสนใจเรื่องชีวิตของคนอื่นซะบ้าง ตัวเลือกมีอยู่แค่สองอย่างนี้เท่านั้น

ตอนนี้เกือบทุกคนกำลังอาบน้ำกันอยู่ นอกเหนือจากนั้นก็มีเฮสเทียที่เพิ่งตื่นนอน มิลานที่กำลังเตรียมอาหารในห้องครัว และออร่าสีอ่อนดวงสุดท้ายนี่น่าจะเป็นพรีเซีย

เขาสัมผัสได้ว่าสาวมนุษย์แกะกำลังเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางเดินราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่

เนื่องจากไม่ได้มาร่วมฝึกด้วย เธอจึงไม่ได้ไปอาบน้ำและไม่ได้ไปห้องอาหารที่ซึ่งทุกคนมักจะไปรวมตัวกัน

วาห์นค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เธอกำลังมองหาอยู่ก็คือเขานั่นเอง… นี่ต่อให้เขาไม่ได้ไปมองหาใคร เดี๋ยวก็จะมีคนออกหาเขาเองสินะ…

ไม่ใช่ว่าวาห์นไม่อยากเจอหน้าพรีเซีย แต่เขารู้ว่าจิตใจของเธอยังไม่ปกติดีนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งจะรักษาแผลเป็นกันไปหยกๆ

การปล่อยให้เธอหันมาพึ่งพาเขาจนเกินเหตุคือสิ่งที่วาห์นพยายามจะเลี่ยงหากสามารถทำได้

หากปล่อยให้เธอมาอยู่กับเขาแบบสองต่อสองนี่ก็… เหมือนเหยียบกับระเบิด (อันที่ล้านของวัน) ดีๆ นี่เอง

วาห์นค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาและเดินที่ทางหน้าต่างบานหนึ่งของห้องแทน…

พอออกด้านนอก เขาก็ปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อหาฐานยืนที่พอจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ได้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดที่สูงที่สุดทางฝั่งปีกตะวันออก

วาห์นรู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่ต้อง ‘หลบหนี’ ออกจากคฤหาสน์ของตัวเอง แต่เขาเชื่อว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวพรีเซียเอง

การลงมานอนบนพื้นหลังคาเย็นยะเยือกนั้นเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับวาห์นอย่างน่าประหลาด

ตามปกติแล้ว [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] จะต้านทานอากาศหนาวได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้วาห์นจำกัดพลังของมันไว้และปล่อยให้ความเย็นพุ่งผ่านร่างกายตามปกติ

เขานอนอยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง จนกระทั่งสัมผัสได้ว่ามีพลังงานแปลกปลอมพุ่งใส่เบาๆ

สัญชาตญาณทำงานอย่างรวดเร็วและสรุปออกมาได้ว่าเขากำลังโดน ‘ตรวจจับ’ หรือถ้าเป็นในกรณีที่คิดไว้ก็คือผลจากสกิลตามหาของมิโคโตะนั่นเอง

หลังจากเดินพลังเพื่ออบอุ่นร่างกายเหมือนเดิม วาห์นก็ใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] กลับลงมาชั้นล่าง

ที่จริงจะกระโดดลงมาทั้งแบบนั้นเลยก็ได้ แต่เขาขี้เกียจมานั่งซ่อมรอยร้าวบนพื้นในภายหลัง

เขาเดินเข้าประตูด้านหน้าและพุ่งตรงไปยังห้องอาหารที่ซึ่งทุกคนมารออยู่ก่อนแล้ว

ความหนาวเย็นทำให้วาห์นรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ได้พบกับใบหน้าของเหล่ามิตรสหาย สมาชิกแฟมิเลีย และเหล่าคนรัก

หลังกล่าวทักทายทุกคนเรียบร้อย วาห์นก็มานั่งที่โต๊ะโดยมีริวกับเฮสเทียนั่งขนาบข้างก่อนจะมองไปรอบๆ และเห็นว่าฮารุฮิเมะกับมิโคโตะยังคงใส่กิโมโนแบบเดิม

ข้อสงสัยเรื่องชุดชั้นในของฮารุฮิเมะยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้ทันที

“ในช่วงบ่าย ฉันจะให้ริวพาพวกเธอบางคนออกไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นต่างๆ ในตัวเมืองนะ

จำนวนสมาชิกของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวภายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และฉันรู้ว่าบางคนยังไม่มีเสื้อผ้าส่วนตัวใส่เลยแม้แต่ชุดเดียว”

เพราะรู้ว่าเกือบทุกคนต้องอยากออกไปข้างนอกด้วยกันกับเขาแน่ๆ วาห์นเลยใช้ชื่อของริวโดยที่ไม่ได้ขอเธอก่อน

เอลฟ์สาวดูไม่ติดใจอะไรนักและพยักหน้าเป็นการตอบรับแทน

ฮารุฮิเมะแสดงท่าทางดีใจที่จะได้ออกไปช้อปปิ้งข้างนอก นั่นทำให้วาห์นรู้สึกผิดหนักยิ่งกว่าเดิม

“ขอโทษด้วยนะฮารุฮิเมะ

ฉันคงให้เธอออกไปนอกคฤหาสน์ไม่ได้จนกว่าจะจบเรื่องกับทางอิชทาร์แฟมิเลีย

เรายังมีเวลาอีกมากในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นแล้วฉันจะเป็นคนพาเธอไปเองนะ”

สีหน้ามุ่ยๆ ในตอนแรกเลือนหายไปทันทีที่ได้ยินวาห์นพูดประโยคหลัง

“ฉันจะรอนะคะ~! แต่พอถึงตอนนั้นแล้วขอไปกันแค่สองคนจะได้หรือเปล่านะ~?” ฮารุฮิเมะเอ่ยถามพลางกัดปลายนิ้วของตัวเองเบาๆ

เนื่องจากไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพาผู้หญิงออกไป ‘เดตส่วนตัว’ วาห์นจึงพยักหน้าให้กับคำขอของเธอ

คำตอบของวาห์นทำให้เรนาร์ดสาวดีใจจนออกนอกหน้าและเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารทานอย่างสบายอารมณ์

ทุกคนเริ่มคุยเล่นกันเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ส่วนหัวข้อหลักๆ ก็คือของที่พวกเธออยากได้

วาห์นเคยขายของให้กับทางกิลด์หลายอย่างในอดีต ตอนนี้เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา

หลายๆ คนโดยเฉพาะเหล่าสมาชิกหน้าใหม่นั้นต้องตกเป็นทาส สมบัติอะไรก็ไม่มีสักชิ้น วาห์นจึงอยากสนับสนุนพวกเธอให้เต็มที่

หากมันสามารถคืนความสุขให้กับทุกคนได้ เขาก็ยินดีทุ่มเงินทั้งหมดที่มีในตอนนี้แบบไม่คิดเสียดายเลย

ในฐานะที่เป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] เขาสามารถทำอุปกรณ์ออกมาขายในราคาหลายสิบล้านวาลิสได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ถึงจะอยากตอบแทนบุญคุณสิ่งที่เฮเฟสตัสเคยทำให้ แต่เขาคิดว่าสุดท้ายแล้วเธอก็คงไม่รับมันอยู่ดี

หลังจบช่วงอาหารเช้า ริว เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ มิโคโตะ มิลาน และทีน่าก็พากันออกไปข้างนอก

ช่วงนี้เฮสเทียเริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เคยซื้อมาบ้างแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ยังเลือกใส่อาภรณ์เทพสีขาวเสียเป็นส่วนใหญ่

ส่วนเรื่องชุดกับของใช้ของฮารุฮิเมะกับพรีเซียนั้น มิโคโตะกับมิลานจะเป็นธุระให้เองตามลำดับ

สภาพจิตใจของพรีเซียยังไม่กลับมาเป็นปกติดีนัก การปล่อยให้เธอออกไปเจอคนจำนวนมากๆ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว เฮสเทียก็หันมาพูดกับวาห์น

“แบบนี้นายก็ว่างจนถึงตอนบ่ายเลยสิ ได้วางแผนอะไรไว้หรือยัง?”

ตั้งแต่ที่แยกกันตอนเช้ามืด วาห์นสังเกตเห็นว่าเฮสเทียสั้นดูสงบเสงี่ยมกว่าแต่ก่อนมาก

เธอมีรอยยิ้มกับออร่าที่ดูมั่นคงสุดๆ ส่วนดวงตาสีฟ้าก็มีประกายระยิบระยับตลอดเวลา

หลังจากคิดเสร็จ วาห์นก็ตอบกลับไป

“ฉันคงไปอยู่ห้องสมุดตรงปีกตะวันตกน่ะ วันนี้อยากลองอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยดูหน่อย”

วาห์นสามารถซื้อหนังสือถูกๆ ออกมาจากระบบได้ เขาก็เลยเปลี่ยนที่ว่างๆ ตรงปีกตะวันตกให้กลายเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่แทน

เฮสเทียพยักหน้ารับก่อนจะดึงมือของฮารุฮิเมะ (ที่ดูตื่นเต้น) กับพรีเซีย (ที่ดูเฉยเมย) ให้ไปด้วยกัน

เรนาร์ดสาวเริ่มแย้งเสียงอ่อยทันที

“ท่านเฮสเทีย ฉันเองก็อยากไปอ่านหนังสือเหมือนกันนะคะ…”

เทพตัวเล็กตอบกลับเรียบๆ

“หนังสือในห้องเธอก็มีตั้งเยอะแยะ อีกอย่าง วาห์นเองก็ต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกันนะ

เขาจะพักได้ยังไงถ้ามีคนคอยกวนตลอด แล้วเราก็มีเรื่องต้องคุยกันด้วย… ได้ยินว่าเมื่อกี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเฟนเรียร์ใช่ไหม…?”

น้ำเสียงและสายตาตำหนิของเทพตัวเล็กทำให้ฮารุฮิเมะรู้สึกอยากขอโทษขึ้นมาทันที

พอจำได้ว่าวาห์นเองก็มีอาการคล้ายกัน เธอจึงเริ่มเอะใจว่าตัวเองอาจทำบางอย่างผิดไปโดยที่ไม่รู้ตัว

พอจะเอ่ยถามหลังเดินออกห่างจากวาห์นมาแล้ว เฮสเทียก็หันมากระซิบเบาๆ

“ฉันมี… คำถามอย่างอื่นด้วย เป็นคำถามที่ไม่อยากให้วาห์นได้ยินน่ะ”

ฮารุฮิเมะงงไปพักหนึ่ง แต่แล้วเธอก็นึกออกว่าเฮสเทียอยากจะถามอะไรพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจ

“แน่นอนค่ะ~! ฉันยินดีที่ได้ช่วยท่านเฮสเทียนะคะ แต่จะดีมากเลยถ้าท่านเฮสเทียเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน…”

ดวงตาสีฟ้าและสีเขียวฉายแววอย่างรู้เท่าทันกันแวบหนึ่ง เป็นภาพที่วาห์นไม่มีทางได้เห็นต่อหน้าแน่นอน

ตอนแรกพรีเซียนั้นหันไปจ้องทางที่วาห์นเดินจากไป แต่พอได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง หูของเธอก็เริ่มผึ่งมาอีกทางทันที

ความรู้สึกตอนขนเปียกเป็นสิ่งที่วาห์นไม่ชอบเอาซะเลย แต่ตอนนี้เขาต้องมาอาบน้ำในร่างพยัคฆ์ขาวเพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นของเฮสเทียถูกขจัดออกไปจนหมด

ในช่วงแรกที่แปลงร่าง เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นที่ติดอยู่นั้นรุนแรงมากจนจมูกแทบพัง ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกสาวๆ จะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา

หากควบคุมตัวเองไม่ได้แบบในตอนนี้ วาห์นคงเดินออกไป ‘ตามล่า’ หาตัวเฮสเทียข้างนอกนั่นแทนแล้ว

ถึงกลิ่นจะไม่รุนแรงเท่ากับของเฮเฟสตัส แต่มันก็ชวนน่าดึงดูดและทำให้ใจสั่นไปหมด

เพราะไม่มีเวลามาตรวจสอบเสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นในระหว่างที่อยู่กับเฮสเทีย วาห์นจึงใช้เวลาในตอนนี้ให้เป็นประโยชน์

—————————————————————————

//เฮสเทียมีค่าความชื่นชอบเต็มแล้ว//

//ภารกิจสำเร็จ: [ความปราถนาของหัวใจ:C-SS]//

เกรดความสำเร็จ: S

รางวัล: 10,000OP, 1x[ความปราถนาของหัวใจ: เฮสเทีย]

รางวัลจากเกรด: 1x[เตาไฟศักดิ์สิทธิ์], 1x[คำสัญญาของสาวพรหมจรรย์], 9,000OP

[เตาไฟศักดิ์สิทธิ์]

ระดับ: พิเศษ

การใช้งาน: สร้างพื้นที่ปิดตาย ปกป้องผู้ที่อยู่ภายในจากภัยอันตรายทั้งปวง คงสภาพทางจิตให้อยู่ในระดับปกติและฟื้นฟูบาดแผลทางกายภาพต่างๆ ระยะเวลา: 72 ชั่วโมง

[คำสัญญาของสาวพรหมจรรย์]

ระดับ: พิเศษ

การใช้งาน: ชำระล้างผู้ใช้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และฟื้นคืนร่างกายทุกส่วนให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้อควรระวัง: ไอเท็มนี้จะสร้างภาระให้กับดวงวิญญาณอย่างหนัก ไม่ควรใช้เกิน 1 ครั้งต่อผู้ใช้

(A/N: อาจจะไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ไอเท็มจำพวกนี้เป็นแบบใช้แล้วหมดไปนะครับ กรณีที่พูดถึงคือการที่วาห์นได้ไอเท็มมาเพิ่ม หรือ ได้ไอเท็มที่มีคำเตือนแบบเดียวกัน ถ้าเป็นแบบนั้น การใช้ซ้ำลงไปอีกจะส่งผลเสียต่อดวงวิญญาณโดยตรงครับ

—————————————————————————

ถึงอยากจะใช้ [ความปรารถนาของหัวใจ] แต่วาห์นก็ตัดสินใจเก็บมันเข้าช่องไอเท็มไปก่อน

เพราะอยากใช้มัน ‘ตามคิว’ ดังนั้นตราบใดที่ยังไปเปิดอันก่อนหน้า อันล่าสุดก็คงต้องรอไปอีกสักระยะ

วาห์นแน่ใจว่าตัวเองคงอยากทำตามความปรารถนาเหล่านี้ให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็จะไปขัดกับเรื่องที่ทุกคนอยากให้เขาพักผ่อนขึ้นมาแทน

เป็นไปไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้กับเจ้าตัวโดยตรง แต่วาห์นพอนึกภาพออกเลยว่าเฮสเทียคงเดินเข้ามาลูบหัวแปะๆ และพูดประมาณ ‘เอาไว้ก่อนก็ได้~’

ยังไงซะ นับตั้งแต่ตอนนี้จนถึงช่วงที่ถูกบังคับให้ออกจากเรคคอร์ด เขาก็จะได้อยู่เคียงข้างกับเฮสเทียในฐานะสมาชิกครอบครัวและแฟมิเลียไปตลอด

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องเร่งรีบแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อทั้งคู่เพิ่งจะออกเดินก้าวใหญ่ไปเมื่อเช้าวันนี้เอง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นก็กลับมาที่ลานกว้างอีกครั้งพลางเฝ้ามองพวกสาวๆ ฝึกซ้อมตามเมนูที่ริวจัดไว้ให้

นอกจากท่ายืดเส้นยืดสายทั่วไปแล้ว ทุกคนยังต้องฝึกวิ่งทางวิบากไปมาซึ่งดูคล้ายกับตอนที่เขาฝึกกับลิลลี่ในช่วงแรกๆ มาก

เป้าหมายของริวก็คือการพัฒนาเวลาตอบสนอง การมองเห็น ประสาทรับรู้ และความสามารถในการเคลื่อนที่ของทุกคน

วาห์นสังเกตเห็นว่าพวกสาวๆ ปรับตัวเข้ากับการฝึกได้เป็นอย่างดี และรู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่ปล่อยให้ริวเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง

เพราะเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ วาห์นจึงเริ่มจากการฝึกความสามารถทางจิตและเวทมนตร์ก่อนเป็นอันดับแรก

เขานั่งลงกับพื้นขณะจับตามองเหล่าผู้ฝึกมือใหม่โดยเน้นไปที่ท่าร่างและสรีระของแต่ละคน

เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อตอนแรก วาห์นก็เลยไม่ทันได้ดูชุดที่แต่ละคนสวมใส่อยู่

เนื่องจากยังไม่ได้ออกไปชอปปิ้งซื้อเสื้อผ้ากันเลย สิ่งที่พวกเธอใส่กันอยู่ในตอนนี้ก็เลยเป็นชุดสำรองที่เขาเหมามาจากร้านเสื้อผ้าและนำมาเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้ากลาง

มาเริ่มจากมาเอมิกับเอมิรุก่อน ทั้งคู่สวมสิ่งที่ดูคล้ายเสื้อกั๊กสีฟ้าแบบไม่มีแขน ส่วนท่อนล่างก็เป็นเลกกิ้งสีดำที่ทับด้วยกางเกงขาสั้นสีแทนและรองเท้าบูทสีดำ

หางนุ่มฟูที่โผล่ออกมาจากด้านหลังทำให้สายตาของวาห์นวอกแวกไปบ้าง ส่วนหนึ่งก็เพราะมันไม่ใช่ชนิดที่เขาเห็นเป็นประจำทุกวัน

ทั้งสองมีผมสีเงินยาวประบ่า ส่วนหูสีขาวที่ยื่นออกมาก็ค่อนข้างกลมและมีจุดสีดำประปราย

เสื้อผ้าบางๆ ที่ทั้งคู่สวมใส่ ทำให้สรุปออกมาได้ว่าบ้านเกิดของพวกเธอคงจะมีอากาศหนาวเย็นกว่านี้มาก

ฮารุฮิเมะนั้นสวมใส่กิโมโนดัดแปลงสีแดงที่วาห์นมั่นใจสุดๆ ว่าเขาไม่ได้เป็นคนซื้อมา

หลังจากเพ่งมองด้วยความสนใจ เขาก็เห็นรอยเย็บตรงขอบกระโปรงและเข้าใจว่าเจ้าตัวหรือไม่ก็มิโคโตะคงจะปรับแก้มันเมื่อคืนวาน

วาห์นคงต้องรีบไปซื้อเสื้อผ้าให้กับฮารุฮิเมะแบบด่วนๆ โดยเน้นไปที่ชุดกิโมโนเพราะดูเหมือนเธอจะชอบสไตล์แบบนี้มาก

หลังจากถูกดัดแปลงใหม่ ส่วนกระโปรงของชุดกิโมโนก็ถูกตัดออกจนสั้นเกือบเท่าชุดของมิโคโตะ

หางนุ่มฟูขนาดใหญ่กำลังส่ายไปมาอย่างหมดแรงในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของพยายามไล่ตามคนอื่นให้ทัน แต่ไม่ว่าจะดูโทรมขนาดไหน วาห์นก็เห็นแววตาสีเขียวที่ดูมั่นใจและไม่มีทีท่าว่าจะจืดจางลงเลย

เพราะกระโปรงโดนตัดจนสั้นบวกกับการที่เธอไม่ได้ใส่เลกกิ้ง เป็นอีกครั้งที่สายตาของวาห์นถูกบางอย่างเข้าครอบงำ

ฮารุฮิเมะมีเรียวขายาวสีขาวเกือบซีดและพวกมันกำลังขยับไปมาอย่างสะเปะสะปะ แต่ถ้าดูให้ลึกกว่านั้นจะเห็นว่ามันคล้ายกับการออกท่าเต้นมากกว่าการวิ่งแบบทั่วไป

‘…เดี๋ยวนะ!?’ พอพุ่งสายตาไปตรงส่วนหางด้านหลัง ดวงตาสีน้ำทะเลก็เบิกกว้างทันที

ตอนนี้การซื้อเสื้อผ้าให้ฮะรุฮิเมะนั้นถูกยกจากธุระอันดันต้นๆ ไปเป็นธุระอันดับหนึ่งแทนแล้ว

ส่วนสาเหตุหลักเลยก็คือ… ข้างล่างนั่นมันไม่มีชิ้นผ้าเล็กๆ ที่ผู้หญิงทุกคนพึงจะใส่

หลังจากถอนสายตาออกมา วาห์นก็หันไปมองทีน่าที่กำลังฝึกอย่างแข็งขันแทน วันนี้เธอสวมเสื้อสีน้ำตาลตัวหนาที่ยาวลงมาถึงต้นขา

วาห์นเดาว่าทีน่าคงจะได้รับอิทธิพลมาจากเอลฟ์สาว เพราะขาสั้นสีดำที่เธอใส่อยู่นั้นดูคล้ายกับ ‘กางเกงขาสั้น’ ของริวมาก

ดูไปดูมาแล้วสก็คล้ายกับกางเกงยิมสีดำของเด็กผู้หญิงที่เขาเห็นจากในมังงะสักเรื่อง

‘นักผจญภัยผู้หญิงที่เน้นความเร็วนี่เลือกใส่กางเกงแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือเปล่านะ?’ คือสิ่งที่วาห์นคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา

เขายังสงสัยด้วยว่าสาเหตุหลักน่าจะมาจากส่วนหาง เพราะถ้าใส่กางเกงแบบหลวมเกิน การเคลื่อนไหวก็จะติดขัดจากการที่หางส่ายไปมาแทน…

ขณะเฝ้ามองทีน่า วาห์นก็รู้สึกเหมือนโดนจ้องจากทางด้านขวาและหันไปสบตากับมิลานที่กำลังยิ้มให้

พอยิ้มตอบกลับไป เขาถึงเห็นว่าพรีเซียเองก็กำลังจ้องมาทางนี้เช่นกัน

สีหน้าว่างเปล่าก้มลงกับพื้นเล็กน้อย แต่ดวงตาสีเทาซีดกลับไม่เปลี่ยนเป้าหมายไปจากเดิม

อาจเป็นเพราะเธอไม่ถูกกับอากาศหนาวเท่าไหร่นัก พรีเซียจึงเลือกใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่และหนากว่าคนอื่นมาก

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

หลังจากโบกมือให้ทั้งสอง วาห์นก็หันไปหามิโคโตะที่กำลังฝึกดาบก่อนจะเปลี่ยนไปมองริวที่เฝ้ามองทุกคนอย่างตั้งอกตั้งใจ

มิโคโตะนั้นใส่ชุดแบบเดียวกับเมื่อวานเลย วาห์นจึงเข้าใจว่าเธอน่าจะมีเสื้อผ้าแบบเดียวกันที่นำมาจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียอีกหลายชุด

รวมๆ แล้วเขาควรจะพาทุกคนออกไปซื้อเสื้อผ้าในเร็ววันโดยให้ฟาฟเนียร์คอยตามคุ้มครองอีกชั้น

ตอนนี้ฮารุฮิเมะมีเสื้อผ้าอยู่เพียงชุดเดียว หรือก็คือชุดที่เธอใส่ตอนเขาไปช่วยออกมานั่นแหละ

ถึงจะได้อาบน้ำทุกวัน แต่การปล่อยให้ใส่ชุดเดิมซ้ำๆ แบบนี้คงไม่ดีแน่ ส่วนเรื่องชุดชั้นใน เขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก

ก่อนจะโดนคนอื่นกล่าวหาว่าเอาแต่จ้องไปเรื่อย วาห์นจึงเริ่มใช้ [แปลงโฉมพันหน้า] เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและข้อจำกัดของมัน

สกิลนี้มีโอกาสให้ใช้ไม่บ่อยนัก แต่จะฝึกไว้บ้างคงไม่เสียหายอะไร แถมตอนนี้เขาก็ยังใช้ความสามารถอื่นๆ ควบคู่ไปกับมันไม่ได้เหมือนเดิม

นอกจากสกิลแฝงแล้ว ทึกอย่างถูกผนึกไว้จนหมด นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่เขาไม่ได้ลงมือกับฌอนทัคด้วยตัวเอง

เพราะคู่แฝดมักหันมามองเป็นระยะ พวกเธอจึงสังเกตเห็นเส้นผมของวาห์นที่กำลังยาวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีเงินแทบจะทันที

หูของเผ่ามนุษย์ค่อยๆ หุบหายไปและถูกแทนที่ด้วยหูกลมๆ บนหัวพร้อมหางจากด้านหลัง

‘เอ๋!?’ x2

ทั้งสองรู้ทันทีว่าวาห์นเพิ่งจะเปลี่ยนมาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแบบต่อหน้าต่อตา

จู่ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นก็ถาโถมเข้าใส่และทำให้พวกเธอตั้งใจฝึกหนักยิ่งกว่าเดิม

วาห์นที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปเริ่มเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์เพื่อฟื้นพลังชั่วคราว

[แปลงโฉมพันหน้า] เป็นสกิลที่กินพลังน้อยมากในช่วงคงสภาพหลังแปลงร่างเสร็จ ปัญหาจริงๆ คือช่วงตอนแปลงร่างนี่แหละ

หลังจากพักไป 2-3 นาที วาห์นก็กลับไปมองฮารุฮิเมะที่จ้องตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ

วาห์นพยายามไม่สนใจสายตาแปลกๆ นั่นและเริ่มใช้ [แปลงโฉมพันหน้า] อีกครั้ง

ผมสีเข้มเริ่มกลายเป็นสีออกบลอนด์ทันที ส่วนหูที่งอกออกมาก็ดูโค้งกว่าของตัวต้นแบบเล็กน้อย จุดที่ดูตระการตาที่สุดเห็นจะเป็นหางฟูขนาดใหญ่จากด้านหลังนั่นเอง

ฮารุฮิเมะเบิกตากว้างแบบฉับพลันจนวาห์นเห็นแล้วยังต้องอมยิ้ม

เพราะความสงสัย เขาจึงเริ่มทดสอบความนุ่มของหางตัวเองและพยายามเทียบมันกับของฮารุฮิเมะ

ฮารุฮิเมะเห็นภาพนั้นแล้วก็ต้องยิ้มร่าและเกือบเดินเข้าไปหาเพื่อที่เขาจะได้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น แต่ก็โดนสายตาดุๆ ของริวปรามไว้เสียก่อน

เรนาร์ดสาวแลบลิ้นและหัวเราะเล็กน้อยกก่อนจะหันกลับไปตั้งใจฝึกให้หนักกว่าเดิมเป็นรายที่สาม

หลังตรวจสอบร่างกายตัวเองเสร็จแล้ว วาห์นก็เพิ่งเห็นนี่แหละว่าทั้งสามนั้นดูตั้งใจหนักกว่าเดิมมาก

‘เพราะเราเหรอ?… ไม่หรอกมั้ง

เป้าหมายต่อไปของวาห์นก็คือเฟนเรียร์ที่กำลังฉายแววตาสีแดงและตะโกนขึ้นมาก่อน

“เฟนเรียร์ต่อ! ทำเฟนเรียร์บ้าง~!”

บางคนถึงกับสะดุดอากาศไปตามๆ กัน แต่นั่นก็เรียกเสียงหัวเราะได้จากมิลาน… และเสียงขบฟันเบาๆ จากวาห์น

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เส้นผมของวาห์นก็เริ่มแหลมคมขึ้นขณะที่มันเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีน้ำเงินทึบ

เฟนเรียร์รีบวิ่งเข้ามาดูใกล้ๆ ก่อนที่การแปลงร่างจะจบโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของริวแม้แต่น้อย

นอกจากดวงตาสีน้ำทะเลแล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของวาห์นได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะเดียวกับเฟนเรียร์แทบทั้งสิ้น

เพราะใช้เด็กสาวเป็นข้อมูลอ้างอิง ขนจึงเริ่มงอกออกมาจากส่วนต่างๆ โดยเน้นหนักไปที่ปลายแขนกับน่องขา

ตรงส่วนนิ้วเริ่มส่งเสียงแปลกๆ ก่อนที่พวกมันจะหดเล็กลงจนเหลือแค่กรงเล็บแทน ส่วนบริเวณฝ่ามือที่ไม่มีขนขึ้นก็ค่อยๆ กลายมาเป็นผิวหนังอีกแบบ

วาห์นเพิ่งจะรู้นี่แหละว่าหูของเฟนเรียร์นั้นหนักกว่าที่เห็นมาก พวกมันส่ายไปมาทุกครั้งที่เขาพยายามหันหัว

ตอนนี้เขาพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงชอบหันมาและหันกลับไปอีกทางเล็กน้อยทุกครั้ง

เฟนเรียร์ที่เข้ามาดูใกล้ๆ เริ่มตบพื้นเบาๆ ก่อนจะโดดขึ้นมาบนตักด้วยความดีใจ

“เหมือนกันแล้ว วาห์นเหมือนกับเฟนเรียร์เลย~!”

เนื่องจากกำลังฝึกอยู่ สิ่งที่เฟนเรียร์ใส่นั้นจึงมีแค่สปอร์ตบรากับขาสั้นรัดรูปตามแบบฉบับของชาวอเมซอน

วาห์นคิดว่าคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ เขาจึงยื่นอุ้งมือออกมาเป็นเชิงให้เฟนเรียร์จับเล่นได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับมันไว้ทันที

เขาเห็นว่าอุ้งมือกับกรงเล็บทั้งสองนั้นลงล็อคกันพอดี แต่แล้วเฟนเรียร์ก็เริ่มหน้าเสียเพราะเผลอใช้เล็บจิ้มใส่ฝ่ามือของวาห์นจนเกิดแผล

เด็กสาวรีบปล่อยมือ กระโดดออกจากตัก และเปลี่ยนไปก้มหัวพร้อมแสดงสีหน้าขอโทษแทน

เพราะไม่เคยได้แผลจากกรงเล็บของตัวเองมาก่อน เฟนเรียร์เลยนึกว่าผู้เป็นนายนั้นจะเป็น ‘แบบเดียวกัน’

วาห์นหัวเราะให้กับท่าทางลนลานของอีกฝ่ายก่อนจะยกมือขึ้นมาให้ดูว่าแผลนั้นหายดีแล้ว

บรรยากาศออกจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็ใช้อุ้งมือลูบหัวของเฟนเรียร์และปล่อยให้เธอกลับไปฝึกต่อ

ก่อนจะเดินออกไป เฟนเรียร์หันกลับมาก้มหัวให้และพูดเบาๆ

“เฟนเรียร์ขอโทษ…”

นี่เป็นพัฒนาการที่สร้างความประหลาดใจและดีใจให้เขามากขณะเฝ้ามองอีกฝ่ายเดินออกไป

ตอนที่เฟนเรียร์มาอยู่ใหม่ๆ นั้นเธอค่อนข้างเอาแต่ใจมาก การที่เธอพูดขอโทษและแสดงความเห็นใจต่อผู้อื่นจึงเรื่องน่ายินดีจริงๆ

สาเหตุหลักน่าจะมาจากการสั่งสอนของมิลาน ส่วนอีกสาเหตุก็คือการปล่อยให้เธอดูแลและคอยปกป้องพรีเซีย

หลังจากเร่งฟื้นพลังด้วยการนั่งสมาธิ วาห์นก็ทดลองเปลี่ยนตัวเองเป็นเผ่ามนุษย์แกะภายใต้สายตาจ้องมองของพรีเซียพร้อมกับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ศีรษะทันที

เพราะไม่เคยมีอะไรอย่าง ‘เขาแกะ’ มาติดอยู่บนหัวมาก่อน วาห์นจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้พรีเซียอย่างสุภาพ

สีหน้าของหญิงสาวไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่สิ่งที่เธอไม่มีทางตบตาวาห์นได้ก็คือออร่ากับค่าความชื่นชอบที่เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย

ค่าที่ตอนแรกมีอยู่ประมาณ 20 ต้นๆ กลับเพิ่มขึ้นทีละนิดจนมาถึง 70 ปลายๆ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

ส่วนคู่แฝดที่กำลังหอบแฮกอยู่บนสนามนั้นมีค่าที่ไล่เลี่ยกันมาโดยตลอดและขึ้นมาอยู่ที่ 79-81

ของโมน่านั้นอยู่ที่ 58 ของชิซูเนะ 52 และของชีว่าที่ 85 ซึ่งเป็นเรื่องน่าฉงนจริงๆ

เนื่องจากค่าของดาร์คเอลฟ์สาวนั้นเริ่มมาไม่ต่างจากของพรีเซียนัก วาห์นจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอแยกตัวออกไป

เขาคาดว่าคงจะได้เจอกับเธออีกครั้งในอนาคตและรู้สึกสงสัยหน่อยๆ ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่

หลังจากกลับสู่ร่างปกติและนั่งสมาธิต่ออีก 20 นาทีก็มีเสียงเล็กๆ ร้องท้วงขึ้น

“อ้าว แล้วของมนุษย์แมวล่ะ~เมี๊ยว!?”

วาห์นลืมตาขึ้นมาเห็นทีน่าตัวน้อยที่กำลังงอนแก้มป่องและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

พอหันไปดูเผ่ามนุษย์แมวอีกคน เขาก็เห็นมิลานที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ

ทีน่าคงรู้สึกเหมือนโดนเมินอยู่คนเดียว เรื่องนี้วาห์นพอเข้าใจได้เพราะเขาเล่นแปลงเป็นเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ทุกชนิดที่อยู่ในนี้… เว้นก็แต่เผ่าของเธอ

วาห์นค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับแปลงร่างเป็นชายหนุ่มเผ่ามนุษย์แมวที่มีผมสีเกาลัดและดวงตาสีฟ้า

สีหน้าบูดบึ้งของทีน่าเลือนหายไปทันทีที่ได้เห็น ‘วาห์น 2.0’ อยู่ตรงหน้า

อันที่จริง ‘วาห์น 1.0’ เองก็ดูดีอยู่แล้ว แต่เด็กสาวรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงกว่าเดิมมากเมื่อคนที่ชอบได้รับการ ‘ปรับรุ่น’

แต่ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติ ความรู้สึกอีกสายก็ดันออกมาแทรกแซงซะอย่างนั้น

มันเป็นความรู้สึกเศร้าๆ และโหยหาที่แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่เข้าใจ

วาห์นเห็นความผิดปกตินั่นจากออร่าที่เด็กสาวปล่อยออกมา พอหันกลับไปทางมิลาน เขาก็พบกับสีหน้า ‘แสนคิดถึง’

วาห์นยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เรื่องเดียวที่พอนึกออกก็คือภาพของตัวเขาเองกำลังไปซ้อนทับกับพ่อของทีน่าและอดีตสามีของมิลาน

ทั้งสองแสดงแววตาแสนโหยหาจนวาห์นรู้สึกเหมือนถูกกดดันอย่างหนักจนต้องใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อเข้าไปหาทีน่า

ตอนแรกเขากะจะเดินเข้ามาปลอบเธออยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะเลยเถิดกว่าที่คิด

ทีน่าในตอนนี้สูงประมาณ 115 ซม. ซึ่งถือว่าตัวเล็กที่สุดในคฤหาสน์

แม้แต่เฮสเทียที่โดนโลกิล้อว่าเป็น ‘ยัยเทพเตี้ย’ อยู่บ่อยครั้งยังสูงกว่าเธอเกือบหนึ่งไม้บรรทัด (TL: เฮสเทียสูง 140 ซม. ครับ)

มือที่กำลังยกขึ้นมาลูบหัวหยุดชะงักทันทีที่ได้สบกับดวงตาเปียกชื้นของอีกฝ่าย

วาห์นยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและตัดสินใจทำตัวตามธรรมชาติแทน เริ่มจากการอุ้มเด็กสาวขึ้นสู่อ้อมแขนก่อนจะสวมกอดเธอไว้

เขาลูบหลังเธอเบาๆ ขณะแสดงสีหน้าขอโทษมาทางริวและเดินเข้าไปหามิลาน

ในช่วงที่วาห์นเข้ามาใกล้นั้น ความเศร้าก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของทีน่าทันที

รอยยิ้มนั่นพอจะเรียกความสุขให้กลับคืนมาได้บ้าง แต่มันก็เทียบกับตอนที่วาห์นอุ้มเธอขึ้นจากพื้นไม่ได้เลย

ทั้งกอดเคยกอดกันมาก่อน เคยนอนเตียงเดียวกันกันด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกในตอนนี้กลับรุนแรงกว่ามาก

ทีน่ารู้สึกปลอดภัยอย่างที่สุดขณะพิงศีรษะไปกับหัวไหล่ของวาห์น

เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาทันทีที่วาห์นเดินเข้ามากอดผู้เป็นแม่แบบสั้นๆ ก่อนที่ทั้งสามจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยกัน…

ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืดและยังไม่มีใครลุกจากเตียง วาห์นจึงเป็นคนเดินพาฮารุฮิเมะทัวร์คฤหาสน์ชั้นล่างด้วยตัวเอง

แต่ละรายละเอียดของตัวบ้านทำให้ฮารุฮิเมะรู้สึกตื่นเต้นได้ทุกครั้งพร้อมเอ่ยปากถามไม่หยุด

เครื่องเรือนทั้งหมดในนี้นั้นวาห์นเป็นคนจัดหามาเอง เขาเลยตอบได้หมดทุกข้อและยิ่งทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจมากกว่าเดิม

วาห์นสังเกตเห็นว่าแม้ฮารุฮิเมะจะวางตัวแบบผู้ดีอยู่เกือบตลอด แต่พอมาเจอกับเรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ การวางตัวนั่นก็จะเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแบบสุดเหวี่ยง

ส่วนที่ชอบเป็นพิเศษก็เห็นจะหนีไม่พ้นบ่อออนเซ็นเพราะมันทำให้เธอนึกถึงบ้านที่จากมานาน

พอเห็นว่าวาห์นออกแบบห้องอาหารตามแบบชาวตะวันออก ฮารุฮิเมะก็รู้สึกทึ่งจนพูดอะไรไม่ออกเลย

แน่นอนว่านี่เป็นความชอบส่วนตัวของวาห์นและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอจะมาอาศัยอยู่ด้วย แต่ฮารุฮิเมะก็รู้สึกโชคดีอยู่ดีที่ยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของตัวเอง แม้ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

ปฏิกิริยาของเธอทำให้วาห์นนึกอยากตกแต่งคฤหาสน์บางส่วนเสียใหม่หากมีเวลาเหลือ

ตอนนี้พื้นที่ตรงส่วนปีกตะวันออกนั้นยังไม่มีใครเข้าไปใช้งาน หากเปลี่ยนให้มันเป็นสไตล์ตะวันออกไปเลยก็คงเข้าท่าดีเหมือนกัน

พอพูดเรื่องนี้ให้ฮารุฮิเมะฟัง เธอก็ดูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษและเริ่มพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสำรวมท่าทางอีกครั้ง

วาห์นอยากอธิบายเพิ่มว่าความชอบของตัวเองนั้นเกี่ยวพันกับตอนที่เขายังพักอยู่กับสึบากิ ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป

เมื่อสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆ เริ่มตื่นกันแล้ว วาห์นเลยพาฮารุฮิเมะกลับไปที่ห้องอาหารอีกครั้ง

ฮารุฮิเมะเผยรอยยิ้มเล็กน้อยหลังจากรู้ว่าจะได้เจอกับสาวๆ คนอื่น แต่วาห์นกลับเห็นว่าออร่าของเธอนั้นดูไม่สงบเหมือนรอยยิ้มนั่นเลย

วาห์นตัดสินใจอธิบายเพิ่มเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

“เรามีเด็กผู้หญิงคนนึงชื่อว่าเพรเซีย… พยายามอย่าทำให้เธอตกใจล่ะ

ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอกำลังบอบช้ำมากและต้องการการดูแลจากคนรอบข้างเป็นพิเศษ… “

พอได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นมาก่อน ฮารุฮิเมะเลยถามเพิ่มจนวาห์นต้องอธิบายเรื่องที่เขาไปช่วยทาสสาวทั้ง 6 คนในระหว่างที่กำลังตามหาเธออยู่

สีหน้าเป็นกังวลในตอนแรกของฮารุฮิเมะดูดีขึ้นมากเมื่อรู้ว่าวาห์นช่วยเหลือทั้งหก แม้ว่ามันจะอยู่นอกเหนือเป้าหมายเดิมของเขา

เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเชื่อแบบฝังใจว่าวาห์นคือวีรบุรุษที่เธอตามหามานานแสนนาน…

ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันพร้อมหน้า ณ ห้องอาหารซึ่งประกอบไปด้วยเอน่า เฮสเทีย เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ และเพรเซีย

นอกจากเฟนเรียร์และเอน่าแล้ว ทุกคนดูประหลาดใจมากที่เห็นวาห์นกับผู้หญิงแปลกหน้าคนใหม่

เอน่ามองมาทางฮารุฮิเมะและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เธอคือฮารุฮิเมะสินะ ฉันดีใจจริงๆ ที่วาห์นช่วยเธอออกมาได้สำเร็จ”

ก่อนที่ฮารุฮิเมะจะเอ่ยถามเอน่าบ้าง เฮสเทียก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ฮาร์ธนะ! เพราะวาห์นตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องเธอ สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นบ้านพักชั่วคราวจนกว่าเธอจะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง~!”

ฟังแล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อีกความหมายที่วาห์นพอจับใจความได้ก็คือ ‘ถ้าชีวิตกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ก็ให้ย้ายออกไปซะ!’

ฮารุฮิเมะดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน เธอตอบสนองด้วยการเข้ามาใกล้วาห์นและจับแขนเสื้อของเข้าไว้โดยไม่คิดจะพูดตอบเฮสเทีย

เป็นเสี้ยววินาทีที่สีหน้าของเทพตัวเล็กเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาดูอ่อนโยนเหมือนเดิม

วาห์นสูดลมหายใจลึกๆ และเริ่มแนะนำทุกคนอย่างเป็นทางการ

“ฮารุฮิเมะ นี่คือเอน่า หนึ่งใน ‘ภรรยาคนแรก’ ของฉันคู่กันกับเทพธิดาเฮเฟสตัส”

เอน่าโค้งทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มซึ่งทำให้ฮารุฮิเมะโค้งตอบในลักษณะเดียวกัน

วาห์นแนะนำเฮสเทียที่กำลังส่งสายตาเปล่งกระกายเป็นคนต่อไป

“…เทพธิดาผู้งดงามองค์นี้ก็คือเฮสเทีย เธอเป็นเทพประจำแฟมิเลียของเราและเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์ฮาร์ธรวมไปถึงผู้อยู่อาศัยทุกคนในนี้ด้วย”

แม้จะรู้ตัวว่ากำลังถูกวาห์นเยินยอมากเป็นพิเศษ แต่เฮสเทียก็ยืดอกอย่างภูมิใจ

“ถูกต้องแล้ว~! เทพธิดาผู้แสนอ่อนโยนและเปรียบเสมือนหัวใจหลักของเฮสเทียแฟมิเลียนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮสเทียผู้นี้นี่เอง~”

ก่อจะมีใครพูดอะไรออกมา เฮสเทียก็หายตัวเข้ามาอยู่ข้างๆ วาห์นพลางกอดเอวของเขาไว้แน่น

“แล้วฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับวาห์นที่สุดด้วย~”

ราวกับกำลังถูกท้าทาย เฟนเรียร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้และตะโกนเสียงดัง

“เฟนเรียร์ใกล้ชิดวาห์นที่สุดต่างหาก!”

ในระหว่างที่ทุกคนหันไปสนใจเด็กสาวจอมป่วน วาห์นกลับหันไปมองเพรเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน

แม้ว่าเฟนเรียร์จะตะโกนเสียงดังมาก แต่เพรเซียก็ยังนิ่งเหมือนเดิมและเฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยท่าทีเฉยเมย

หลังจากถอนหายใจเบาๆ วาห์นก็อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังเงียบเพื่อแนะนำคนอื่นๆ ต่อจนครบก่อนจะเริ่มเตรียมอาหารเช้า

เพราะรู้ว่าความโชคดีของพวกตนนั้นเกิดจากการที่วาห์นพยายามตามหาฮารุฮิเมะ เอมิรุกับมาเอมิก็เลยรู้สึกถูกชะตากับเธอมากแม้เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน

ฮารุฮิเมะเองก็คุยกับพวกเธออย่างสุภาพซึ่งทำให้ทั้งสามสนิทกันอย่างรวดเร็ว

เธอรู้สึกติดใจกับชุดเมดของคู่แฝดและพยายามเสนอตัวมาเป็นสาวใช้บ้าง แต่เป็นในฐานะ ‘สาวใช้ส่วนตัว’ ของวาห์นนะ…

แน่นอนว่าวาห์นปฏิเสธทันทีและแนะนำให้เธอมุ่งเป้าไปยังเรื่องอื่นที่อยู่นอกเหนือการรับใช้หรืออุทิศตัวเพื่อเขาแทน

เพราะไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว วาห์นก็เลยหันไปบอกคู่แฝดเช่นกันว่านั่นรวมถึงพวกเธอด้วย

คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายโดนปฏิเสธบ้าง ตามมาด้วยคำพูดแบบคูณสองว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเธออยากทำจริงๆ

การที่คนเราจะหลงใหลไปกับเรื่อง ‘ปัดกวาดเช็ดถู’ นั้นอยู่เหนือความเข้าใจของวาห์นในตอนนี้ ทว่าเมื่อสังเกตออร่าของทั้งสอง เขาก็รู้ว่าพวกเธอไม่ได้พูดโกหกหรืออย่างน้อยก็เชื่อมั่นในคำพูดของตัวเองมากจริงๆ

ในระหว่างมื้อเช้า ฮารุฮิเมะนั้นต้องการนั่งกับวาห์น แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยกตำแหน่งดังกล่าวให้กับเอน่าและเฮสเทีย

ฮารุฮิเมะรู้ดีว่าไม่อาจแข่งกับสองคนนี้ได้เลย เธอจึงตัดสินใจนั่งข้างเอน่าและใช้หางให้เป็นประโยชน์แทน

เนื่องจากความยาวและความชำนาญที่ฝึกมาตั้งแต่เด็ก การอ้อมหางไปสัมผัสกับวาห์นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ

พอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างมาสะกิดด้านข้าง วาห์นก็หันมามองตัวการที่ยิ้มนิดๆ และยังคงทานอาหารของตัวเองต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนเอน่าที่อยู่ระหว่างทั้งสองก็เอาแต่ยิ้มแย้มไม่พูดไม่จาขณะนำศีรษะมาพิงไหล่ของวาห์นแบบเงียบๆ

หลังทานกันเสร็จแล้ว วาห์นก็สวมกอดและออกมาส่งเอน่าที่หน้าคฤหาสน์

ตอนแรกเขาอาสาพาเธอไปส่งบ้าน แต่เอน่าก็ยืนกรานว่าจะเดินกลับเอง เธอบอกว่าชอบอากาศตอนเช้าแบบนี้มากและระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไรนัก

สิ่งเดียวที่วาห์นพอทำได้ก็คือส่งกระแสจิตไปหาฟาฟเนียร์และบอกให้มันแอบตามไปด้วยจนกว่าเอน่าจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

วาห์นต้องแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทางกลุ่มพันธมิตรทราบโดยเร็ว

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต้องเตรียมมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้พวกสมาชิกเลเวล 1-2 โดนลูกหลงไปด้วย

อิชทาร์อาจไม่เล่นงานเอน่าซึ่งเป็นสมาชิกของทางกิลด์แบบตรงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่วาห์นอยากทดสอบเท่าไหร่นัก

หากจนตรอกหรือโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง เฉกเช่นเดียวกับลาเวอร์น่าในเหตุการณ์ครั้งก่อน…

พอถึงช่วงสาย เฟนเรียร์ก็มาสอนหนังสือให้กับคู่แฝดโดยที่ทั้งสามผลัดกันดูแลเพรเซียไปด้วย

วาห์น (และเฮสเทีย) พาฮารุฮิเมะขึ้นมาทัวร์ชั้นบนและเริ่มคุยเรื่องโครงการตกแต่งคฤหาสน์กันอีกครั้ง

เนื่องจากทุกคนอาศัยอยู่ตรงพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนปีกตะวันออกและตะวันตกจึงถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ

การตกแต่งครั้งใหญ่จึงไม่น่าติดขัดอะไรและคงไม่ไปรบกวนคนอื่นแน่นอน

เฮสเทียรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมหลากหลายโดยที่ตนไม่ต้องออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ

พอถึงตอนเลือกห้องตัวเอง ฮารุฮิเมะก็รู้สึกเสียดายเพราะห้องที่อยู่รอบๆ ห้องของวาห์นนั้นได้ถูกคนอื่นจับจองไว้หมดแล้ว

ห้องทางด้านขวานั้นตกเป็นของมิลานและทีน่าและเป็นห้องเดียวกับที่เฟนเรียร์และเพรเซียใช้นอนเป็นประจำ

ห้องทางด้านซ้ายก็ถูกริวที่โชคดีได้ย้ายเข้ามาอยู่ก่อนใครเพื่อนจับจองไว้เช่นกัน

ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นห้องนอนขนาดใหญ่พอกันและเป็นที่ที่เฮสเทียใช้เวลาไม่ได้นอนกับวาห์น

มันยังเป็นห้องที่เฮเฟสตัสใช้เวลาไม่ได้อยู่กับวาห์นเช่นกัน กองเสื้อผ้าส่วนใหญ่ในนั้นก็เป็นของเทพธิดาผมแดงนี่แหละ

ส่วนห้องทางด้านซ้ายและขวาก็ตกเป็นของลิลลี่และนาซ่าที่ย้ายของเข้ามาแล้วบางส่วน แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้เป็นสมาชิกของแฟมิเลียอย่างเป็นทางการก็ตาม

นาซ่านั้นอยากจะย้ายเข้ามาอยู่เร็วๆ แต่เธอยังติดเรื่องที่ต้องฝึกกับสึบากิและเรื่องพัฒนาสกิลของตัวเอง

สถานการณ์ของลิลลี่เองก็ไม่ต่างไปจากนาซ่าเท่าไหร่ ตอนแรกเธอก็เล็งเรื่องนอนห้องเดียวกับวาห์น แต่สุดท้ายก็โดนเด้งให้ไปอยู่ห้องใกล้ๆ แทน

เมื่อเห็นว่าไม่เหลือทำเลดีๆ อยู่เลย ฮารุฮิเมะจึงยืนกรานว่าจะขออยู่ห้องเดียวกับวาห์นแม้จะต้องนอนบนเตียงแยกหรือแม้แต่โซฟาก็ตาม

พอรู้เรื่องห้องหลอมลับเข้า เธอก็เต็มใจที่จะไปอยู่ในนั้นแถมยังพูดเสริมอีกว่ามันคงอบอุ่นดีเหมือนกัน

เฮสเทียพยายามอดกลั้นมาพักใหญ่แล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวและเริ่มพูดเสียงแข็งแบบไม่ไว้หน้าวาห์น

เธออธิบายให้ฮารุฮิเมะฟังว่าวาห์นต้องมีห้องส่วนตัวเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับทุกคนโดยที่ไม่ต้องมาขัดขากันเอง ดังนั้นต่อให้เอาเหตุผลอะไรมาอ้าง มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

แม้แต่ตัวเธอเอง ในฐานะ ‘เทพธิดา’ ของ วาห์นก็ยังต้องแยกมานอนคนเดียวเป็นบางครั้งเลย…

สุดท้ายแล้วฮารุฮิเมะในสภาพหูตกก็เปลี่ยนไปเลือกห้องที่อยู่ใกล้กับบันใดโดยหวังว่ามันจะทำให้จับการเคลื่อนไหวเวลาวาห์นไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้น

เพื่อต้อนรับฮารุฮิเมะอย่างเป็นทางการ วาห์นเลยมอบชั้นหนังสือที่มาพร้อมสมุดนิทานและหนังสือให้ความรู้มากมายแก่เธอ

เพราะการอ่านเป็นงานอดิเรกที่เธอโปรดปราน ฮารุฮิเมะเลยดีใจจนแทบจะกระโดดเข้ามากอดเขาไว้อีกครั้ง

นอกเหนือจากการเข้าคอร์สเพื่อฝึกร่างกายในช่วงเช้า วาห์นบอกฮารุฮิเมะว่าเธอจะทำอะไรกับเวลาที่เหลือก็ได้ และแม้จะชอบพูดเรื่องนี้แต่กลับไม่เคยทำได้เองเลย วาห์นก็ยังอยากให้เธอผ่อนคลายให้มากที่สุดเพื่อพักฟื้นจากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา

หลังจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ต่อไปก็ถึงเวลาที่ฮารุฮิเมะต้องเข้าพิธีสลักตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลีย

เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้าร่วมเฮสเทียแฟมิเลียและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ฮาร์ธแบบระยะยาว

ทว่าปัญหาของเฮสเทียก็ยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะฮารุฮิเมะปฏิเสธที่จะเข้าพิธีหากวาห์นไม่ได้อยู่เป็นสักขีพยานด้วย

พอเขาเปรยว่าเธอไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมแฟมิเลียเพื่ออาศัยอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ฮารุก็ยืนกรานคำเดิมและยังคงปฏิเสธแบบเมื่อกี้ไปพร้อมๆ กันจนเฮสเทียเริ่มควันออกหูแล้ว

เนื่องจากวาห์นอยากตรวจสอบบางอย่าง สุดท้ายเขาก็เลยตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องปกปิดร่างกายให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

โดยส่วนตัวแล้วเฮสเทียรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ว่าเด็กสาวไม่ใช่คนไม่ดีแต่อย่างใด… เธอแค่ออกแนวติดวาห์นมากเกินเหตุตามประสาคนที่เขาเคยช่วยเอาไว้เท่านั้นเอง

เหตุผลหลักที่เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ ก็คือรูปร่างและลักษณะพิเศษของเผ่าเรนาร์ดต่างหาก

‘หูน่าจับ หางก็นุ่มฟู เป็นแบบที่หมอนี่ชอบพอดีเลยนะ…’

เฮสเทียรู้ว่ากำแพงที่วาห์นวางไว้นั้นอยู่ได้ไม่นานหรอก หากไม่โดนบุกจนพังลง ผ่านไปสักพักเดี๋ยวมันก็พังของมันเอง

การที่เขายอมเออออตามง่ายแบบนี้นั้นถือเป็นสัญญาณอันตรายและเป็นเรื่องที่เธอต้องนำไปบอกทางเครือข่ายแน่นอน

ในระหว่างทำพิธี วาห์นได้มานั่งอยู่ตรงด้านหลังของฮารุฮิเมะแม้ว่าเธออยากให้เขาดูจากด้านหน้ามากกว่า

วาห์นเฝ้ามองเฮสเทียสลักตราสัญลักษณ์ด้วยความสนใจขณะใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อตรวจสอบตามทุกขั้นตอน

จริงอยู่ที่วาห์นเคยเลียนแบบพิธีบางส่วนมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นและศึกษามันตั้งแต่ต้นจนจบ

เขามองเห็นพลังงานบางอย่างมาไหลเวียนคู่กับมานาของเฮสเทียในระหว่างที่เธอสลักตราด้วย ‘โลหิตเทพ’

พอทำเสร็จแล้ว เฮสเทียก็นำกระดาษมาเก็บบันทึกข้อมูลและกำลังจะบอกให้ฮารุฮิเมะจัดเสื้อผ้าหากไม่โดนวาห์นพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนเฮสเทีย เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเองก็อ่านกระดานค่าสถานะและอัพเดทมันได้ด้วย?

ฉันยังมีเทคนิคอีกอย่างที่ช่วยให้มองเห็นศักยภาพลับของคนอื่น… เลยอยากจะขอลองตรวจสอบอะไรก่อนน่ะ”

ฮารุฮิเมะได้ยินแบบนั้นแล้วก็แสดงสีหน้าแจ่มใสทันที แต่เฮสเทียกลับขมวดคิ้วพลางยื่นกระดาษให้วาห์นดู

“ฉันบันทึกค่าสถานะกับสกิลครบหมดแล้วนะ แล้วที่เห็นอยู่นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่อิชทาร์เก็บเธอไว้

นี่จะบอกว่านายมองเห็นได้เยอะกว่าเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของตราอีกงั้นเหรอ?” เฮสเทียพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

วาห์นหยิบกระดาษขึ้นมาพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะไล่ดูข้อมูลไปเรื่อยๆ

เขาเห็นว่าค่าสถานะโดยรวมของฮารุฮิเมะนั้นต่ำมาก เว้นก็แต่ค่าพลังเวทที่อยู่สูงกว่านักผจญภัยทั่วไป

สิ่งที่ดูเตะตามากที่สุดก็คือสกิลเวทมนตร์ 2 อย่าง [อูจิเดะ โนะ โคซูจิ] และ [โคโคโนเอะ] แต่ตอนนี้วาห์นไม่รู้เลยว่าพวกมันเป็นเวทมนตร์ระดับไหนและเอาไว้ใช้ทำอะไรนอกเสียจากว่าจะตรวจสอบด้วยพลังของตัวเอง

วาห์นหันไปมองดวงตาสีฟ้าใสของเฮสเทียและอธิบายช้าๆ

“เฮสเทีย ตอนนี้เธอน่าจะรู้จักฉันดีกว่าใครนะ… คิดว่าฉันเป็นคนพูดเกินจริงหรือเปล่าล่ะ?

เธอน่าจะได้ยินเรื่องนี้จากเฮเฟสตัสมาบ้าง แถมฉันยังใช้มันกับเฟนเรียร์ตั้งหลายรอบแล้วด้วย…”

วาห์นสังเกตเห็นว่าดวงตาสีฟ้าดูชื้นขึ้นเล็กน้อยจนเขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ เฮสเทียก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าแบบเดิม

“ฉันรู้ว่านายไม่โกหกเรื่องแบบนี้หรอก… ฉันเชื่อใจนายจริงๆ นะ… ก็แค่ไม่ชอบใจที่เด็กคนนี้เข้ามาพัวพันกับนายเร็วแบบนี้

รู้บ้างหรือเปล่าว่าคนอื่นๆ เขาพยายามกันมากมายแค่ไหนน่ะ!”

น้ำตาที่ใกล้จะเอ่อล้นออกมาของเฮสเทียทำเอาวาห์นเจ็บแปลบที่หัวใจ แม้แต่ฮารุฮิเมะเองก็เผยสีหน้าเศร้าๆ และรู้สึกผิดอยู่บ้าง

วาห์นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮสเทียขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเปียกชื้น

พอรู้ตัวว่ามายืนใกล้แบบนี้แล้วเฮสเทียยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ วาห์นก็หัวเราะเสียงเบาก่อนจะกอดเธอหลวมๆ ไว้ในอ้อมแขน

“ฉันจะช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นยังไงดีนะเฮสเทีย ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะก้าวต่อ

ได้โปรดบอกฉันมาเถอะว่าต้องทำยังไง… อย่างที่เธอพูดไว้ เธอเป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุดจริงๆ นะ

ฉันไม่อยากเห็นเธอเสียใจแบบนี้อีกแล้ว”

เฮสเทียไม่ได้พูดอะไรต่อขณะวางหน้าผากไปกับแผงอกของวาห์นและนึกไตร่ตรองแบบเงียบๆ คนเดียว

เธอเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้มีอะไรมาเข้าสิงและรู้สึกผิดต่อวาห์นอยู่บ้าง

การพูดออกไปแบบนั้นออกจะเป็นการก้าวก่ายและไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

วาห์นอธิบายทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งเรื่องอดีต ความยากลำบาก และสภาพตอนที่ไปเจอฮารุฮิเมะ… การแสดงความไม่พอใจหรือแม้แต่ไปอิจฉาเธอเลยทำให้เฮสเทียรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย

เป็นอย่างที่วาห์นบอก แม้ว่าเฮสเทียจะรู้สึกรักและอยากทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกันกับเขา แต่เธอก็ยังขจัดความกลัวออกไปได้ไม่หมด ความกลัวว่าก้าวต่อไปจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองไปตลอดกาล

เฮสเทียรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียส่วนหนึ่งของตัวเองไป แม้จะได้มากกว่าเสีย แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี…

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติตัวเองลง เฮสเทียก็เงยหน้าขึ้นมามองตอบวาห์นด้วยรอยยิ้มที่ดีที่สุด

“เราออกไปเดตกันแค่สองคนได้ไหม?”

สีหน้าเป็นกังวลของวาห์นแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับที่เขาพยักหน้าให้

“ได้สิ อยากไปกันกี่ครั้งก็ได้ ฉันจะได้ไปผ่อนคลายแบบจริงๆ จังๆ สักที

การใช้เวลาอยู่กับเทพธิดาตัวน้อยแสนสวยติดเอาแต่ใจนิดๆ ของฉันก็ฟังดูดีเหมือนกัน”

รอยยิ้มปลอมๆ ของเฮสเทียถูกแทนที่รอยยิ้มของจริงก่อนที่ดวงตาของเธอจะเบิกกว้าง ตามมาด้วยเสียงโวยวายเหมือนอย่างเคย

“เมื่อกี้ว่าใครตัวน้อยนะ ไหนพูดใหม่อีกทีสิ~!?”

เพราะความชอบส่วนตัวของวาห์น โต๊ะทานข้าวจึงถูกเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบโต๊ะเตี้ยแทน

และเพราะว่าเขาชอบมันมากจริงๆ วาห์นเลยเปลี่ยนห้องอาหารให้เป็นแบบตะวันออกด้วย

หนึ่งในเหตุผลที่ชอบก็คือ เขาสามารถนั่งคู่กับคนอื่นได้แบบไม่ติดขัด

ตอนนี้เอน่าเองก็กำลังนั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขาอย่างใกล้ชิดจนเกือบจะขึ้นมานั่งบนตักอยู่แล้ว

ทั้งคู่กะหนุงกะหนิงกันไปมาขณะรอให้เอมิรุและมาเอมินำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

ปกติเฮสเทียมักจะเป็นคนที่มานั่งข้างวาห์น แต่วันนี้เธอกลับเปลี่ยนไปนั่งฝั่งตรงข้ามโดยมีเพรเซียและเฟนเรียร์คอยขนาบข้าง

ถึงจะยังไม่รู้ว่าเพรเซียไปเจอกับอะไรมาบ้าง แต่วาห์นพอบอกได้ว่าสภาพจิตใจของเธอนั้นบอบช้ำมากจนแทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

สีหน้าของเธอก็นิ่งอยู่ตลอดจนดูคล้ายหน้ากากมากกว่าหน้าคนจริงๆ

สิ่งเดียวที่ทำให้เพรเซียตอบสนองได้ก็คือ ‘คำพูดชี้นำ’ ของคนอื่น ซึ่งจากที่ทดลองกันมาแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถ ‘สั่ง’ เธอได้

เนื่องจากชุดเมดที่ได้จากฌอนทัคนั้นดูไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เฮสเทียก็เลยช่วยเปลี่ยนชุดโดยให้เธอใส่เสื้อขนแกะตัวหนา กางเกงนอนขายาว และรองเท้าสลิปเปอร์แทน

เพราะทรงผมและหางที่ค่อนข้างฟูฟ่อง ตอนนี้เพรเซียก็เลยดูน่ากอดมากเป็นพิเศษ

หลังจากที่จัดโต๊ะกันเสร็จแล้ว วาห์นก็กล่าวสั้นๆ เพื่อเป็นการตอนรับเหล่าสมาชิกใหม่

ในฐานะกัปตันของแฟมิเลีย งานของเขาก็คือคอยควบคุมดูแลและกำหนดหน้าที่ให้กับสมาชิกทุกคน

สำหรับตอนนี้ เขาจะให้คู่แฝดคอยรับใช้เฮสเทียไปก่อน จนกว่าพวกเธอจะตัดสินใจได้ว่าอยากฝึกด้านไหนเป็นพิเศษ

เพราะนอกจากเรื่องงานครัวแล้ว ทั้งสองก็ไม่มีความรู้ด้านอื่นอยู่เลย

เอมิรุกับมาเอมินั้นไม่เคยเรียนอ่านเขียนมาก่อนซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักสำหรับพวกชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ

นอกจากงานทำอาหารและทำความสะอาดบ้านแล้ว ต่อไปพวกเธอก็ต้องเรียนหนังสือพร้อมกับเฟนเรียร์ด้วย

ภาพที่เฟนเรียร์คอยช่วยสอนหนังสือให้คนอื่นนั้นทำให้วาห์นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่พักหนึ่ง

หลังจากช่วงอาหารเย็น เฮสเทียก็พาพวกสาวๆ ไปอาบน้ำและแช่บ่อออนเซ็น

เพราะเคยอยู่ตามป่าเขาที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ นี่จึงไม่ใช่การแช่ออนเซ็นครั้งแรกของคู่แฝด

คนเดียวที่ไร่การตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นก็คือพรีเซียซึ่งต้องให้คนอื่นคอยช่วยอยู่ตลอด

ตอนนี้วาห์นไม่รู้เลยว่าพวกเธอเป็นยังไงกันบ้าง เพราะเขาแยกออกมาอาบที่ห้องอีกฝั่งหนึ่งพร้อมกันกับเอน่า

เป็นเรื่องน่าประหลาดมาก เพราะวาห์นนั้นเคยเห็นสาวๆ หลายคนในสภาพเปลือยเปล่ามานักต่อนักแล้ว ทว่าเขากลับไม่เคยเห็นเรือนร่างของ ‘ภรรยาคนแรก’ คนนี้มาก่อนเลย

เอน่าไม่เคยมาขอให้เขานวดให้ ส่วนตอนเดตนั้นเธอก็ออกไปพร้อมกับเฮเฟสตัสเสมอ

พอยกเรื่องที่ไม่เคยมานวดขึ้นมาถาม เอน่าก็บอกว่าเธอไม่อยากให้วาห์นมาดูแลเหมือนกับที่ทำให้คนอื่น

หากเลือกได้ เธออยากจะเป็นฝ่ายมาดูแลเขาแทนมากกว่า

พอได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเอน่าเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกประทับใจมากกับความอ่อนเยาว์ แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ของสาวลูกครึ่งเอลฟ์คนนี้

ตอนนี้ทั้งคู่สูงพอๆ กันโดยที่เอน่าเตี้ยกว่าวาห์นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับขนาดของส่วนต่างๆ หน้าอกของเธอน่าจะอยู่ที่ประมาณ 86 ซม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับเอวบาง 56 ซม. และสะโพก 87 ซม.

วาห์นไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเรือนร่างของเธอนั้นเกือบจะไร้ที่ติ ทั้งหน้าอกขนาดใหญ่ สะโพกได้รูป บั้นท้ายอวบอิ่ม ขาเรียวยาว และผิวที่ดูเปล่งปลั่ง

อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สวนหย่อมสีน้ำตาลนั่นก็ทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นไปอีก

ถึงจะมีสีหน้าเขินอายแต่เอน่าก็ยิ้มให้ก่อนจะเข้ามาช่วยวาห์นถอดเสื้อผ้าและพาเขาไปทางบ่อที่เล็กที่สุดซึ่งเหมาะกับการแช่คนเดียวมากกว่า

ในระหว่างที่ช่วยถอดเสื้อผ้าให้ เอน่าก็สำรวจร่างกายของวาห์นไปด้วยและเห็นว่าเขามีร่างกายที่กำยำมาก แถมเอวก็ดูเพรียวจนเธอรู้สึกอิจฉานิดๆ

แม้ว่ากล้ามเนื้อจะดูแข็งราวกับหิน แต่พอลองเอานิ้วไปแตะๆ ดูก็พบว่าพวกมันออกไปทางแนวยืดหยุ่นซะมากกว่า

แน่นอนว่าเรื่องที่น่าประหลาดใจสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้นอสูรน้อยของวาห์นอยู่แล้ว

เอน่าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้มาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสิ่งที่ผู้หญิงบางคนตั้งชื่อให้เล่นๆ ว่า ‘อสูรจำศีล’

หลังจากพาวาห์นมานั่งในบ่อขนาดเล็ก เอน่าก็ลงมานั่งยองๆ อยู่ครงหน้าเขาด้วยสีหน้าหลงใหล

หากไม่ใช่เพราะสายตาแจ่มชัดและออร่านิ่งสงบ วาห์นก็คงคิดว่าเธอกำลัง ‘เครื่องติด’ อยู่แน่ๆ

ตอนนี้เอน่ากำลังนั่งคุกเข่าและจ้องมาที่ช่วงล่างของวาห์นโดยไม่คิดจะปกปิดร่างกายของตัวเองแม้แต่น้อย

หญิงสาวเอียงหัวอย่างสงสัยก่อนจะถามขึ้น

“เวลาอยู่กันแบบนี้มันก็น่าจะใหญ่ขึ้นไม่ใช่เหรอ?

ฉันได้ยินมาตลอดเลยว่าพวกผู้ชายน่ะ แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็พร้อมลุยแล้ว…”

ตอนแรก เอน่าอยากถามวาห์นต่อว่าร่างกายของเธอดูไม่ดีพอหรือเปล่า? แต่เพราะว่ามันฟังดูงี่เง่ามาก เธอก็เลยไม่ได้พูดมันออกมา

วาห์นนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้ฟัง

“ถ้าไม่นับเรื่องสีหน้า ฉันสามารถคุมร่างกายส่วนอื่นๆ ได้เกือบสมบูรณ์แบบน่ะ

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน… จะบอกว่าสั่งได้ดั่งใจนึกก็คงได้มั้ง”

คิ้วของเอน่าเลิกสูงขึ้นขณะที่เธอเอนตัวมาข้างหน้าและใช้นิ้วจิ้มเจ้า ‘อสูรจำศีล’อย่างสนใจ

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ เธอก็มองเข้าไปในดวงตาของวาห์น

“ช่วย… เอามันขึ้นมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

ราวกับว่านั่นคือคำพูดวิเศษ เอน่าสังเกตเห็นว่าอสูรน้อยของวาห์นตื่นขึ้นในทันใด แถมมันยังโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาสูดหายใจด้านบนด้วย

นอกจากสายตาเบิกกว้างและหูที่แดงขึ้นเล็กน้อย เอน่าก็ไม่ได้ดูแปลกใจมากนัก

“เหมือนจะใหญ่กว่าที่ลือกันอีกนะ”

คราวนี้เป็นตาที่วาห์นต้องทำหน้าตื่นบ้าง

“…นี่พวกเธอคุยอะไรผ่านเครือข่ายกันบ้างเนี่ย?”

นับตั้งแต่ที่พวกสาวๆ สร้างเครือข่ายส่วนตัวกันเอง วาห์นก็ถูกกันออกไปและถูกห้ามไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

อย่างมากเขาก็ได้แค่ฝากข้อความให้บางคนส่งต่อเข้าไปในนั้นเท่านั้นเอง

เอน่าพยักหน้าและเริ่มอธิบาย

“มีแต่เรื่องน่าสนใจทั้งนั้นแหละ นี่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าการได้คุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่ทั่วเมืองมันจะสนุกแบบนี้

ถ้าหมึกที่ใช้มันถูกลงอีกหน่อย นี่คงจะเป็นวิธีสื่อสารที่ดีมากๆ เลย”

เอน่าพูดต่อแบบยิ้มๆ

“แต่ถ้าพูดถึงเรื่องที่เราสนใจตรงกัน มันก็มีไม่กี่เรื่องนี่นะ

ทุกครั้งที่นายออกเดตกับสาวๆ บางคน พวกเธอก็จะมาคุยฟุ้งตลอดเย็นเลยว่านายพาไปไหนมาบ้าง หรือไม่ก็ชุดที่พวกเธอได้ลองให้นายดู~”

วาห์นจินตนาการถึงภาพแก๊งสาวๆ ที่เขียนหากันไปมาอย่างสนุกสนาน

เขาเองก็เคยไปขอคัมภีร์มาแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธกลับไป

เหตุผลที่ได้กลับมาก็คือพวกสาวๆ อยากมีเครือข่ายไว้คุยกันตามประสาผู้หญิงๆ บ้างโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาเห็นบางอย่างเข้า

ตอนแรกวาห์นก็เห็นด้วย แต่มาตอนนี้เขาเริ่มจะอิจฉานิดๆ แล้ว และอยากซื้อคัมภีร์แจกพวกเธออีกชุดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่วาห์นกำลังคิดเรื่อยเปื่อย เอน่าก็ยืนขึ้นจากผิวน้ำโดยหันหลังให้กับเขา

วาห์นนั้นนึกอยากจะยื่นมือไปหยิกเนื้อขาวๆ ที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยนั้นเหลือเกิน

เอน่าหันหัวมาพูดกับเขาต่อ

“ขอลองอะไรหน่อยนะ เห็นแล้วมันรู้สึกสงสัยจริงๆ…”

พอพูดเสร็จ เธอก็ลงมานั่งบนช่วงท้องน้อยของเขาโดยถ่างขาออกเล็กน้อย

ตอนแรกวาห์นมองเห็นแค่แผ่นหลังของเอน่าเพียงอย่างเดียว แต่เขาก็คล้องแขนไว้รอบร่างบางอย่างเคยชินและมองข้ามไหล่ของเธอออกมา

ตอนนี้เอน่ากำลังพัก ‘ฝักดาบ’ ของตัวเองไว้ข้างๆ ‘ดาบยักษ์’ ของวาห์น ก่อนจะยกมันขึ้นมานาบกับหน้าท้องราบเรียบ

เธอค่อยๆ ลากนิ้วตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงสะดือของตัวเอง ราวกับกำลังลองกะระยะว่าถ้าใส่เข้าไปจริงๆ แล้วมันจะไปถึงประมาณไหน

หลังจากได้ผลสรุปออกมาแล้ว เอน่าก็พูดขึ้น

“ถ้าใกล้กับสะดือของฉันขนาดนี้ แล้วพวกที่ตัวเล็กๆ จะทำยังไงล่ะเนี่ย?”

พอสิ้นเสียง เอน่าก็ลงจากร่างของวาห์น ก่อนจะเลื่อนมานั่งอยู่ระหว่างขาของเขา

วาห์นถอนหายใจและอธิบายบ้าง

“ถ้าฝึกอีกหน่อย ฉันน่าจะปรับเรื่องขนาดได้…”

เอน่าได้ยินแล้วก็เริ่มหัวเราะคิกคักทันที

“เป็นความคิดที่ฟังดู ‘วาห์น’ มากเลยนะ

ฉันว่านายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก บางคนคงคิดว่ามันดู ‘ท้าทาย’ ดีน่ะ

อีกอย่าง นายไม่ต้องใส่จนหมดก็ได้นี่ แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

เฮเฟสตัสเล่นเอาไปคุยไว้ซะขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นเรื่องฝึกอะไรนั่นก็เลิกคิดเถอะ”

คำพูดของเอน่าทำเอาวาห์นหัวเราะและเริ่มนึกภาพตามที่เธอพูด

พอนึกถึงการแข่งขันเล็กๆ ระหว่างทีโอน่ากับไอส์ วาห์นก็รู้สึกเห็นด้วยกับเธอ

ทว่าจู่ๆ เอน่าก็ถามขึ้นราวกับอ่านใจเขาออก

“อ้ะ กำลังนึกถึงทีโอน่ากับไอส์อยู่ใช่ไหม?”

วาห์นรู้สึกประหลาดใจมากจนเอลฟ์สาวต้องรีบอธิบายต่อ

“คงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนสินะ ว่าสีหน้าของนายจะเปลี่ยนไปตามผู้หญิงที่นายกำลังคิดถึงอยู่
เป็นนิสัยที่น่ารักมากเลยล่ะ…”

จากนั้นเอน่าก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

“ตอนนี้อยากให้ฉันช่วยอะไรหรือเปล่า… อยากลองอะไรเป็นพิเศษไหม?”

วาห์นกัดฟันเล็กน้อยขณะที่เอน่าวางมือลงบนต้นขาของเขาและหันหน้ากลับมามองด้วยสายตาหรี่เล็ก

ไปๆ มาๆ วาห์นก็เริ่มนึกถึงภาพต่างๆ ที่เห็นในย่านโคมแดง แต่สุดท้ายเขาก็ขมวดคิ้วก่อนจะตอบเธอกลับไป

“ถึงฉันจะชอบเรื่องพวกนั้น แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาของเรานี่นะ

แค่ได้ผ่อนคลายอยู่กับเธอแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นทำอะไรเป็นพิเศษหรอก…”

เอน่ายิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวออกมาอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของบ่อ

“มาตรงนี้สิ เดี๋ยวฉันจะดูแลนายเอง…” เธอพูดพลางอ้าแขนออก

ภาพนั่นทำให้หัวใจของวาห์นรู้สึกอบอุ่นมาก ขณะที่ร่างกายเดินออกไปก่อนจะหันหลังและลงไปพิงกับหน้าอกอวบอิ่มของเอน่า

เอน่าใช้แขนโอบรอบแผงอกกำยำและดึงให้วาห์นเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

ตอนนี้ศีรษะของวาห์นอยู่ชิดมากจนเธอสามารถก้มลงไปมองใบหน้าของเขาได้เลย…

หลังจากการอาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งสองก็กลับมาผ่อนคลายที่ห้องโดยวาห์นใช้พลังเขตแดนเพื่อตรวจสอบเล็กน้อยว่าคนอื่นๆ กำลังทำอะไรกันอยู่

เขาสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังเล่นน้ำอยู่ในออนเซ็นอย่างสนุกสนาน ในระหว่างที่ตัวเขาเองนั้นกำลังเพลิดเพลินไปกับการที่เอน่าลงมานอนพิงไหล่

ทั้งสองนอนเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวาห์นเห็นว่าเฮสเทียตัดสินใจไปนอนกันเฟนเรียร์และเพรเซียแทน

วาห์นยิ้มเพราะรู้ว่าเทพตัวเล็กคงอยากให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวอยู่กับเอน่าบ้าง แต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่เธอไม่ได้ถูกเขาปรนเปรอต่อไปอีก 1 วัน

เมื่อเอน่าได้ฟัง ‘รายงานตำแหน่งของสาวๆ’ จากวาห์น เธอก็ลุกขึ้นมานั่งพร้อมรอยยิ้มและใบหน้าแดงระเรื่อ

“ถอดเสื้อออกแล้วก็นอนคว่ำลงสิ ชอบเรื่องนวดมากเลยไม่ใช่เหรอ? คราวนี้ฉันจะนวดให้นายบ้างล่ะ

คงจะดีได้ไม่เท่า ‘มือเทวะ’ หรอกนะ แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้นายผ่อนคลายได้”

วาห์นถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออกก่อนจะนอนคว่ำลงกับเตียงด้วยความรู้สึกคาดหวัง

เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนใส่ยกทรงตอนนอน เมื่อเอน่าถอดเสื้อออกบ้าง เนินอกสีขาวที่แต่งแต้มไปด้วยจุดสีแดงก็เลยมาประจักษ์อยู่ในสายตาของวาห์น

ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยถาม เธอก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ถ้าฉันทำให้นายรู้สึกตื่นตัวหน่อย การนวดตามจุดก็จะง่ายขึ้น เดี๋ยวฉันจัดการเองนะ…”

วาห์นพยักหน้าอย่างว่าง่ายและปล่อยให้เอน่าจัดการร่างกายของได้ตามใจชอบ

เธอขึ้นมานั่งตรงช่วงหลังเอวและเริ่มนวดตรงส่วนไหล่โดยกดไปตามจุดต่างๆ บนร่างกาย

วาห์นรู้สึกว่าเอน่าคงศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร แต่นี่น่าจะเป็นการนวดจริงๆ ครั้งแรกของเธอ

ถึงฝีมือนวดจะไม่ได้หวือหวาอะไร แต่วาห์นรู้สึกว่ามันผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากมือที่คอยขยับอยู่ตลอดเวลาแล้ว บันท้ายอวบอัดที่กดทับลงมาตามจังหวะการนวดก็ทำให้เขารู้สึกดีมาก

ภายในเวลาไม่กี่นาทีตั้งแต่ที่เริ่มนวด วาห์นก็ผลอยหลับไปพร้อมร้อยยิ้มมีความสุข

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท