Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 145 การยืนหยัดของหลินเยวียน

ตอนที่ 145 การยืนหยัดของหลินเยวียน

วันต่อมา

นักประพันธ์เพลงทั้งหมดของสตาร์ไลท์มิวสิกเปิดกลุ่มแช็ตของบริษัท ข้อความแรกที่เห็นมาจากกู้เฉียงอวิ้น

‘ยินดีด้วย ตัวแทนหลินปิดได้หนึ่งออเดอร์!’

แม้ว่าหลังจากที่ทุกคนจะฟังเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยจบแล้ว จะคิดว่าออเดอร์นี้สำเร็จราบรื่นแล้ว แต่ก็เมื่อเห็นข้อความตรงหน้าก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง

‘สำเร็จแล้ว?’

‘ไม่ต้องแก้เลย?’

‘ปกติแล้วจะต้องมีรีเควสให้แก้อะไรทำนองนั้นไม่ใช่เหรอ’

‘ตัวแทนหลินสุดยอดจนส่งงานไปรอบเดียวจบ’

‘คำนับผู้ยิ่งใหญ่!’

‘คุกเข่าคารวะผู้ยิ่งใหญ่!’

‘…’

ในสถานการณ์ปกติ ต่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจในผลงานแล้ว ก็อาจเสนอความเห็นให้ปรับแก้ เพื่อให้แตะถึงสอดคล้องกับเป้าหมายของเกมที่พวกเขาสร้าง

มีเพียงกรณีที่ความพึงพอใจแตะถึงขีดสุดเท่านั้น พวกเขาถึงจะเลือกไปใช้โดยไม่ต้องการแม้แต่การปรับแก้

เห็นได้ชัด

เพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยนี้ก็คือผลงานที่ตรงตามความต้องการของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องผ่านการแก้ไขใดๆ อีก

จริงสิ

ผู้ว่าจ้างรู้ไหมว่าเพลงนี้ตัวแทนหลินใช้เวลาเขียนออกมาเท่าไหร่

ถ้ารู้แล้ว สีหน้าจะต้องตื่นเต้นสุดๆ ไปเลยล่ะมั้ง

แต่ก็ไม่แน่หรอก

ตอนแรกสมองของทุกคนก็ประมวลผลไม่ทันเหมือนกัน

แต่หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบ ก็มีคนเดาว่าที่ตัวแทนหลินทำออเดอร์เกมแนวกำลังภายในออกมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ ก็เพราะก่อนหน้านี้เขาสะสมผลงานซึ่งยังไม่ได้ปล่อยออกไปเอาไว้

และในบรรดาผลงานที่เขารวบรวมไว้ ก็น่าจะมีเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยนี้รวมอยู่ด้วย

และเพลงนี้ก็ไปตรงกับสิ่งที่ผู้ว่าจ้างต้องการในเพลงพอดิบพอดี

ฉะนั้นเขาไม่ได้สร้างสรรค์อะไรสักเท่าไหร่ เพียงแค่แก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำเพลงนี้ออกมาสำเร็จ…

ดังนั้นถึงได้ปรากฏเป็นภาพปาฏิหาริย์ในสายตาของทุกคน

ฟังดูบังเอิญเหลือเกิน

แต่เมื่อเทียบกับการที่ตัวแทนหลินเขียนเพลงอย่างยุทธจักรยิ้มเย้ยได้ภายในเวลาสั้นๆ แค่นี้ ทุกคิดว่าสมมติฐานนี้สมเหตุสมผลกว่าอยู่สักหน่อย

คนปกติจะไปเขียนเพลงได้เร็วขนาดนี้ได้ไหมล่ะ

แน่นอนว่าไม่มีใครไปซักไซ้ไล่เลียงถามหาเหตุผลโดยละเอียดจากหลินเยวียน

เห็นได้ชัดว่าหลินเยวียนเป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย เรียกได้ว่าบนหน้าผากแทบจะเขียนไว้สี่คำว่า

ผมเย็นชามาก

ฉะนั้นแล้ว เมื่อไม่มีใครรู้จักเขาดีพอ ก็ย่อมไม่มีความกล้าพอที่จะปีนไปพูดคุยด้วย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยังอายุน้อย แต่มีตำแหน่งเป็นถึงมือทองในวงการประพันธ์เพลง

แต่ถึงอย่างนั้น

เมื่อทุกคนหวนนึกย้อนไปเมื่อวาน กู้ตงถามตัวแทนหลินในกลุ่มว่าถนัดดนตรีแบบไหน ตัวแทนหลินถึงกับตอบว่า

‘แบบที่แพงครับ’

วันนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ทุกคนก็ยังรู้สึกชอบกลกับเหตุการณ์นั้นอยู่

อะไรคือแบบที่แพง

คุณถนัดแค่แบบที่แพง?

เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวกู้ตงถามถึงสไตล์เพลง ไหงคุณไปตอบเรื่องราคาซะล่ะ

นี่เป็นความมั่นใจของบุคคลระดับเทพเซียนสินะ?

มั่นใจว่าสไตล์ไหนก็คุมได้อยู่หมัด?

แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่ได้คิดจริงจังแต่อย่างใด

สไตล์เพลงมีมากมายก่ายกอง จะมีใครไปเชี่ยวชาญได้ทุกอย่าง

บอกได้เพียงว่า ตัวแทนหลินหยิ่งผยองใช้ได้เลย นับได้ว่าเป็นความใจกล้าบ้าบิ่นของศิลปิน

ทว่าสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่ใช่ความเย่อหยิ่งทะนงตนของหลินเยวียน

สิ่งที่ทุกคนกลัวก็คือหลินเยวียนไร้ความสามารถ

คนที่มีความสามารถ ต่อให้วางก้ามในบริษัท ทุกคนก็ยังรับได้

ไปหาออเดอร์ใหม่ดีกว่า

เมื่อก่อนแผนกประพันธ์เพลงรับออเดอร์อย่างจำกัด เพราะกลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ ทว่าในตอนนี้มีตัวแทนหลินแล้ว ความมั่นใจของทุกคนจึงเพิ่มขึ้นมา

ถึงขั้นที่มีคนออกไปหาออเดอร์โดยที่ไม่คิดจะรับออเดอร์ไว้เองเสียด้วยซ้ำ

การหาออเดอร์ในครั้งนี้ เป็นการหามาให้ตัวแทนหลินทั้งหมด

เห็นได้ชัดว่ากระบวนการในครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย เพราะถึงอย่างไรในฉีโจว สตาร์ไลท์มิวสิกก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีสักเท่าไหร่

……

หลินเยวียนคิดว่าตนจะเรียกรถไปบริษัท แต่ปรากฏว่ากู้ตงกลับมารอรับด้านล่างอาคารตั้งแต่เช้า

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนเอ่ยหลังจากขึ้นรถ

กู้ตงพบเห็นหลินเยวียนอีกครั้ง อารมณ์ก็เปลี่ยนไป ทว่าเธอก็ยังกระตือรือร้นเฉกเช่นที่ผ่านมา “ที่นี่อยู่ไกลจากบริษัท ถ้าคุณเรียกรถทุกวันคงไม่สะดวก เดิมทีงานของฉันก็คือรับผิดชอบดูแลตัวแทนหลินอยู่แล้วค่ะ เข้างานหรือเลิกงานก็ต้องรับส่งคุณ”

หลินเยวียนถาม “หน้าที่เดิมของคุณคืออะไรเหรอครับ”

กู้ตงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เดิมทีฉันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการค่ะ แต่บริษัทจ้างผู้ช่วยอีกคนหนึ่งไม่ไหว ตอนนี้ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยของคุณ เขาจัดการเรื่องของตัวเองได้ค่ะ ถึงยังไงงานของบริษัทก็ไม่นับว่ามาก เขารับมือได้”

หลินเยวียนกระจ่างขึ้นมา

หลังจากมาถึงบริษัท

เขาเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องกู้เฉียงอวิ้น “รบกวนช่วยส่งข้อมูลของนักร้องในบริษัทให้ผมหน่อยนะครับ จะเตรียมอัดเพลง”

กู้เฉียงอวิ้นชะงักไป “บริษัทเราจะหานักร้องมาจากไหน”

หลินเยวียนเองก็ชะงักไปเช่นกัน

บริษัทย่อยไม่มีนักร้องเหรอเนี่ย

งั้นพอขายเพลงออกไปแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทอีก?

ทันทีที่กู้เฉียงอวิ้นเห็นสีหน้าของหลินเยวียน ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ จึงยิ้มขื่นกล่าว “นักร้องอยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของผู้จัดการศิลปิน บริษัทเราไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอกครับ คุณอาจคุ้นเคยกับที่สำนักงานใหญ่มา”

หลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

พูดตามตรง เขาไม่ชอบส่งต่อให้คนอื่นทำเพลงให้

แม้ว่านี่จะเป็นเพลงที่ระบบให้ตนมา และราคาที่ขายเพลงนี้ก็เหมือนกัน ไม่มีทางได้รับเงินเพิ่มเพราะหลินเยวียนไปเข้าร่วมกระบวนการอัดเพลง แต่หลินเยวียนก็ยังมีความย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องนี้อยู่ดี

เขามักจะกังวลว่าคนอื่นจะทำเพลงนี้เสีย

ฉะนั้นจึงต่อต้านเรื่องพวกนี้มาก

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถ้าหากเพลงเหล่านี้ดับเพราะตนเอง หลินเยวียนย่อมรู้สึกว่าตนมีส่วนรับผิดชอบในความผิดพลาดนี้

ถึงอย่างไรในอีกโลกหนึ่ง เพลงเหล่านี้ก็ถือกำเนิดขึ้นจากความอุตสาหะของคนอื่น

ดังนั้นตอนที่เขาอยู่ฉินโจว ในขั้นตอนการผลิตบทเพลง โดยทั่วไปแล้วเขาล้วนมีส่วนร่วม

และในสถานการณ์ยกเว้นเท่านั้น ถึงจะส่งต่อให้คนอื่น

อย่างไรก็ดี ตนมาอยู่ที่ฉีโจวได้ไม่นาน จะให้บริษัทย่อยบ่มเพาะนักร้องออกมากลุ่มหนึ่งก็คงไม่ทันการแล้ว

กู้เฉียงอวิ้นตกประหม่าขึ้นมา

เขาสัมผัสได้ว่าหลินเยวียนหัวเสียแล้ว

เรื่องอื่นเขาอาจคิดหาวิธีขึ้นมาได้ แต่เรื่องนี้เขาอับจนหนทางจริงๆ

เขาไม่มีเงินเหลือมากพอให้ทำธุรกิจปั้นนักร้อง

หลินเยวียนรู้ถึงความลำบากใจของกู้เฉียงอวิ้น จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ครั้งนี้ช่างเถอะครับ ถึงยังไงพวกคุณก็ดำเนินการตามสัญญา แต่หลังจากนี้ก่อนเซ็นสัญญารบกวนแจ้งกับผู้ว่าจ้างให้ชัดเจนนะครับว่าการอัดเพลงและเลือกนักร้อง ผมต้องการสิทธิ์ในการตัดสินใจ”

อุก!

คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

นี่มันหาเรื่องผู้ว่าจ้างหรือไง

กู้เฉียงอวิ้นรู้สึกว่าตนกำลังจะบ้าตาย “ตัวแทนหลิน ไม่มีกฎข้อนี้หรอกนะครับ สถานการณ์เป็นแบบนี้ เวลาที่เซ็นสัญญาอะไรเทือกนี้ โดยทั่วไปแล้วจะเป็นผู้ว่าจ้างที่ยื่นข้อเสนอ พวกเราไม่มีสิทธิ์ตั้งเงื่อนไข ผู้ว่าจ้างเป็นท่านพ่อ พวกเราออกเพลงมาก็พอแล้ว…”

หลินเยวียนเหลือบมองกู้เฉียงอวิ้น

กู้เฉียงอวิ้นรีบเปลี่ยนคำพูด “แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกว่าพวกเราเป็นลูกของผู้ว่าจ้าง ต่อให้พวกเราเป็นลูก แต่คุณย่อมไม่ใช่ แต่ถึงอย่างนั้นว่ากันจากตลาดของฉีโจวเลยนะครับ พวกเราไม่มีสิทธิ์จะไปต่อรองกับผู้ว่าจ้างจริงๆ พวกเขาไม่ทำให้เราลำบากใจ เราก็แทบจะจุดธูปไหว้แล้วละ!”

“งั้นก็ไม่ต้องเซ็นครับ”

หลินเยวียนไม่คิดอ่อนข้อ

ต่อให้ผู้ว่าจ้างจะให้หลินเยวียนเปลี่ยนเพลง หลินเยวียนก็จะคิดสะระตะอย่างเหมาะสม ตราบใดที่ความต้องการของผู้ว่าจ้างนั้นเป็นสิ่งที่หลินเยวียนเห็นว่าสมเหตุสมผล

การเซ็นสัญญาเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์

แต่การส่งเพลงไปโดยตรง หลังจากนี้หลินเยวียนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงเหล่านี้ถูกนำไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไร เรื่องนี้หลินเยวียนยอมรับไม่ได้

“ตัวแทนหลิน”

กู้เฉียงอวิ้นโน้มน้าว “คุณต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ว่าฉีโจวกับฉินโจวไม่เหมือนกัน ที่นี่ก็มีกฎของที่นี่…”

“กรุณาทำตามที่ผมบอกด้วยนะครับ”

หลินเยวียนค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องทำงาน

………………………………………

ผู้ว่าจ้างที่ร่วมงานกับสตาร์ไลท์มิวสิกมีชื่อว่าบริษัทเกมเมิ่งหลง และเกมของออเดอร์นี้มีชื่อว่า ‘จอมยุทธ์’

เมิ่งหลงเป็นบริษัทเกมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

เกมที่ชื่อว่าจอมยุทธ์นี้ เป็นเพียงหนึ่งในโปรเจ็กต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่แผนกของพวกเขารับผิดชอบพัฒนาขึ้น

ในตอนนั้นเอง

แผนกพัฒนาเกมจอมยุทธ์ของเมิ่งหลง

เฉิงเฟยฝานเกมไดเร็กเตอร์ตบลงบนโต๊ะ “เกมกำลังจะทำการทดสอบแล้ว แต่พวกคุณบอกผมว่าดนตรีประกอบของด่านที่ห้ายังทำไม่เสร็จ?”

“เรากำลังเร่งพวกเขาอยู่ครับ”

ลูกน้องซึ่งรับผิดชอบฝ่ายดนตรีเอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ “ใครจะไปคิดล่ะครับว่าพวกเขาจะพึ่งพาไม่ได้แบบนี้ ผมคิดว่าถึงยังไงพวกเขาก็เป็นบริษัทย่อยของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ ไม่ว่ายังไงมาตรฐานก็ไม่มีทางแย่ไปกว่ากัน เดี๋ยวผมจะต้องไปคิดบัญชีกับเขา”

“เลี้ยงเสียข้าวสุก!”

เฉิงเฟยฝานโทสะพลุ่งพล่าน “ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้หาข้อมูลให้ดีก็ไปร่วมงานกับพวกเขา พวกคุณจงใจเลือกเพราะราคาถูกหรือเปล่า กินค่าคอมมิชชันไปเท่าไหร่ล่ะ”

“เปล่านะครับ!”

ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็พลันซีดเผือด พูดตะกุกตะกักว่า “ไดเร็กเตอร์ ผมเปล่าเลยนะครับ ตอนแรกพวกเรายืนยันเป็นมั่นเหมาะ ในสัญญายังใส่เงื่อนไขชดเชยหากทำผิดสัญญามาด้วย ถ้าพวกเขาทำผลงานที่ตรงกับความต้องการของเราไม่ได้ พวกเราก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากพวกเขา ผมเห็นว่าพวกเขาถึงกับกล้าเขียนสัญญาที่ค่าเสียหายไม่น้อยแบบนี้ เลยคิดว่าพวกเขาจะทำงานได้สำเร็จจริงๆ!”

เฉิงเฟยฝานรู้สึกปวดกะโหลกเหลือเกิน “เมิ่งหลงเป็นบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ยังจะโลภอยากได้เงินค่าชดเชยน้อยนิดเท่าขี้มดของพวกเขาอีกเรอะ!”

ฝั่งซ้ายของเฉิงเฟยฝาน

รองไดเร็กเตอร์เองก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ “ต่อไปห้ามร่วมงานกับบริษัทนี้อีก ลากลงแบล็กลิสต์ไปเลย!”

“รับทราบ!”

ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีพยักหน้า จากนั้นก็พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผมจะไปเร่งพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย บอกว่าถ้าวันนี้ยังไม่ได้งาน ผมจะยกเลิกสัญญาครั้งนี้ ให้พวกเขาชดเลยค่าเสียหายให้เรา!”

เฉิงเฟยฝานไม่ได้พูดอะไร

ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีกดโทรศัพท์ ขณะที่กำลังจะระเบิดโทสะ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน “ส่งเพลงใหม่มาแล้วเหรอครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ถ้าครั้งนี้ยังใช้ไม่ได้ละก็ สัญญาของพวกเราคงเป็นอันต้องยกเลิกนะครับ อีกอย่างหนึ่งคือพวกเราจะบอกให้ทั้งวงการรู้ว่าบริษัทของคุณนั้นแย่ขนาดไหน!”

พูดจบ ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลงก็ตัดสายทิ้งอย่างเดือดดาล

เขามองไปยังเฉิงเฟยฝานอีกครั้ง

ท่าทางของเขากลับมาเจียมเนื้อเจียมตัวอีกครั้ง “ไดเร็กเตอร์ครับ พวกเขาส่งเพลงมาแล้ว ผมจะไปฟังดู…”

“เปิดตรงนี้เลย”

เฉิงเฟยฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีเงียบกริบราวจักจั่นในฤดูหนาว พยักหน้าหงึกๆ ประหนึ่งยอมรับโชคชะตา กดเปิดอีเมลดูก็เห็นผลงานใหม่ของสตาร์ไลท์มิวสิก

เพลงมีชื่อว่า ‘ยุทธจักรยิ้มเย้ย’

ถ้าเพลงนี้ใช้การไม่ได้ วันนี้ชีวิตตนคงจบไม่สวยแน่

เมื่อนึกถึงหลายเพลงที่สตาร์ไลท์มิวสิกส่งมาก่อนหน้านี้ ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีก็คิดขึ้นมาทันที…

วันนี้ตนคงถึงคราวเคราะห์ของจริงแล้ว

“ชักช้าอยู่ทำไมล่ะ”

แววตาของเฉิงเฟยฝานกวาดคมกริบราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีคลิกปุ่มเล่นเพลงด้วยมืออันสั่นเทา

เฉิงเฟยฝานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เพลงเสียงเบาขนาดนี้จะให้ผมฟังยุงบินหรือไง!”

ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลงปรับเพิ่มเสียงในโทรศัพท์เป็นสูงสุดอย่างตื่นตระหนกจนมือไม้เป็นพัลวัน พร้อมทั้งเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับเครื่องเสียงในห้องประชุม แต่กลับไม่ทันระวัง ปรับเสียงไปถึงตำแหน่งสูงสุด

ในตอนนั้นทำนองอินโทรเพิ่งจบลง

ผู้รับผิดชอบเพลงปรับเสียงให้ดังสูงสุดอย่างกะทันหัน บวกกับเอฟเฟ็กต์ของเครื่องเสียงนั้นดีเป็นทุนเดิม พลอยให้ท่อนขับร้องสามสี่ประโยคแรกของเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยดังกระหึ่มขึ้นมาราวกับเสียงฟ้าร้อง

‘ยุทธจักร ยิ้มเคืองขัด

ดวลแลกหมัด ยิ้มซ่อนมีด

เย้ยโลกีย์ ไร้ไมตรี

จิตใจนี้ สูงเกินคว้า…’

เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นทำให้ทุกคนตื่นตระหนก รู้สึกเพียงว่าแก้วหูถูกระเบิดดังหวึ่งๆ

“งี่เง่า!”

รองไดเร็กเตอร์หัวใจเต้นระส่ำ ขณะที่กำลังจะตวาดใส่ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลง เขาก็พบว่าเฉิงเฟยฝานลุกพรวดขึ้นยืน

“นี่มัน…”

ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีหาปุ่มปรับเสียง

เฉิงเฟยฝานกลับโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน”

ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีกลับตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน มีเพียงเสียงเพลงที่ยังคงบรรเลงกระหึ่มผ่านระบบเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง

“จันทร์กระจ่าง บนหนทาง”

“โรยราลาง ใจยังเยาว์”

“เธอแสนดี รักไม่มี”

“ชั่วชีวี ไม่ลืมเรา”

เฉิงเฟยฝานค่อยๆ หลับตาลง

เพียงแค่เนื้อเพลงเรียบง่ายไม่กี่ประโยค เบื้องหน้าของเขาก็ประหนึ่งมีภาพของเด็กหนุ่มพกกระบี่ท่องยุทธภพลอยขึ้นมา

บุญคุณและความแค้น ถูกและผิด

รอยยิ้มซ่อนคมมีด

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทะยานไปกับสายลม ผงาดขึ้นท่ามกลางสมรภูมิอวลกลิ่นคาวเลือด กลายเป็นบุคคลที่ทั่วทั้งยุทธจักรได้ยินชื่อแล้วต้องหวั่นเกรง

หลังจากนั้น

เขาก็ได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่ง

เด็กสาวคนนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับคนรักในวัยเยาว์ที่ตายไปแล้ว

เขาตกหลุมรักนาง นางกลับจากเขาไป เพราะเด็กสาวไม่ปรารถนาที่จะเป็นตัวแทนของผู้ใด

ชายหนุ่มเฝ้าตามหานางอยู่หลายสิบปี เดินทางไปสุดหล้าฟ้าเขียว ท่องไปทุกมหาสมุทรและขุนเขา ก็ยังไม่อาจลืมความดีที่เด็กสาวคนนี้มีต่อเขา ในยามนั้นเขาได้กลายเป็นจอมยุทธ์ซึ่งมีชื่อเสียงระบือไปทั่วทั้งยุทธภพ แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดมองเห็นความอ้างว้างในก้นบึ้งของแววตาเขา

คนที่เขารักคือใครกันแน่

ในใจของเขาย่อมกระจ่างกว่าผู้ใด!

ไม่มีใครเป็นตัวแทนของใครได้ หัวใจที่แท้จริงมีเพียงดวงเดียว ข้ารักเจ้า หาใช่เพราะเจ้าละม้ายคล้ายกับนางไม่…

ในตอนนั้น

ไม่เพียงเฉิงเฟยฝาน

หลังจากที่ผ่านประสบการณ์แก้วหูสะเทือนแทบทะลุไปก่อนหน้านี้ ทุกคนที่นั่งกันอยู่ก็ค่อยๆ ถูกดึงดูดเข้าสู่บทเพลง จากนั้นแววตาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างแช่มช้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเนื้อเพลงหรือส่วนของทำนอง เพลงนี้ก็ล้วนสอดคล้องกับเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

โดยเฉพาะยามที่ท่อนนี้ของเพลงดังขึ้น

“โอ้บุปผาหาใช่เช่นที่เห็นมา สายธารารินไหลไม่รั้งรอท่า จิตวิญญาณยอดคนเจ้าช่างหาญกล้า ความเดียวดายลิขิตด้วยชะตา…”

เฉิงเฟยฝานดวงตาเบิกกว้างทันใด!

บุปผาหาใช่เช่นที่เห็นมา

หากสายธารารินไหลไม่รั้งรอท่า เช่นนั้นการท่องไปทั่วทั้งใต้หล้า ไม่ว่าจะสักกี่ปี ข้าก็ต้องตามหาเจ้าให้พบ และบอกกับเจ้าว่า

คนที่ข้ารักก็คือเจ้า หาใช่เพราะเจ้าเหมือนนาง แต่เป็นเพราะเจ้าคือเจ้า

เรื่องนี้เฉิงเฟยฝานเป็นคนเขียนขึ้น

มาจากความฝันในวัยเด็กของเขาว่าจะได้ออกท่องยุทธภพ และเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้

เมื่อทำเกมจอมยุทธ์นี้เสร็จ เฉิงเฟยฝานไม่ได้รู้สึกว่าตนทำความฝันให้เป็นจริงได้สำเร็จเลย

ทว่าเมื่อได้ฟังเพลงนี้ จู่ๆ เฉิงเฟยฝานก็รู้สึกว่าเรื่องราวนี้ได้ถูกเติมเต็มแล้ว

“ยุทธจักร รักโบยบิน”

“เพลงประโคม เมรัยริน”

“ลืมแล้วสิ้น ยิ้มเย้ยฟ้า”

“ปล่อยหัวใจพัดพา กับสายลม…”

ยามที่ชายหนุ่มกลับมา จอนผมของนางก็เริ่มมีสีขาวแซม แต่ดวงหน้าของนางยังเหมือนเดิม งดงามประดุจภาพเขียนดังที่ผ่านมา

เฉิงเฟยฝานพลันรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว

ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจความหมายในบทเพลง ฟังอีกครั้งกลับเข้าไปอยู่ในนั้น[1]

ยามที่เพลงค่อยๆ จบลง

นอกจากแก้วหูที่ปวดหนึบ ในใจของผู้คนก็ยังรู้สึกสะเทือนไปด้วย และเมื่อทุกคนสังเกตเห็นขอบตาอันแดงก่ำของเฉิงเฟยฝาน ต่างคนต่างก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ไดเร็กเตอร์คะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

เฉิงเฟยฝานโบกมือ เอ่ยตอบ “เอาเพลงนี้แหละ ชื่อเพลงว่าอะไรนะ”

ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีรีบตอบสุดเสียง “ยุทธจักรยิ้มเย้ยครับ!”

เมื่อเทียบกับความรู้สึกของคนอื่นซึ่งสดับฟังเพียงอย่างเดียว เขากลับเข้าถึงและซาบซึ้งในคุณภาพระดับสูงในด้านเทคนิคการสร้างสรรค์บทเพลง ผ่านความสามารถในสายอาชีพของตน

“ยุทธจักรยิ้มเลยเชียวหรือ…”

เฉิงเฟยฝานสีหน้าซับซ้อน ก่อนออกไปจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้า “บริษัทนี้ร่วมงานต่อได้ ตอนส่งมอบงานอย่างเป็นทางการช่วยไปบอกแทนผมที ว่าขอบคุณสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้”

……………………………………………………

[1] ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจความหมายในบทเพลง ฟังอีกครั้งกลับเข้าไปอยู่ในนั้น เปรียบเปรยว่าถ้าหากมีประสบการณ์กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะเข้าถึงหรือสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเรื่องนั้นได้ง่ายกว่า

แผนกประพันธ์เพลงชั้นสองของสตาร์ไลท์มิวสิก

ทุกคนอ่านข้อความที่ผู้จัดการส่งเข้ามาในกลุ่ม หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นเสียยิ่งกว่าเดิม

ถูกผู้ว่าจ้างกดขี่ข่มเหงให้เรียกท่านพ่อน่ะหรือ พวกเรายอมแล้วละ

ก็ได้เงินไม่ใช่หรือ

ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน!

แต่ผู้จัดการเอาอะไรมาบอกให้พวกเราเรียกตัวแทนหลินว่าท่านพ่อ!

แค่มาจากสำนักงานใหญ่?

แค่ตำแหน่งเทียบเท่ากับกรรมการผู้จัดการ เท่ากับเป็นบอสของบริษัทย่อย?

ไม่ยอมซะหรอก!

ไม่มีใครยินยอม

เพราะในดินแดนอันมีนามว่าฉีโจวแห่งนี้ ท่านพ่อผู้ว่าจ้างยิ่งใหญ่ค้ำฟ้ามากเกินพอแล้ว!

นี่เป็นทัศนคติของกลุ่มคนที่สมองทำงานหนัก

ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้คิดมาก กลับสวมหูฟังเรียบร้อย พร้อมกับเปิดฟังเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ย

ขณะเดียวกันนั้นเอง

กู้ตงก็กลับไปยังห้องทำงาน เปิดฟังเพลงนี้

ผ่านไปหลายนาที

กู้ตงก็ถอดหูฟังออกด้วยการเคลื่อนไหวราวเครื่องจักรกล ในใจปั่นป่วนไปหมด

เมื่อก้มหน้าอ่านในกลุ่มที่เธอเพิ่งลากเมื่อครู่

ในกลุ่มไม่มีใครพูดอะไร

เมื่อเปิดดูอีกครั้ง ใน ‘กลุ่มปลอม’ ซึ่งมีหลินเยวียนอยู่นั้น ข้อความกลับเพิ่มเป็น 99+

‘@ตัวแทนหลิน สุดยอดไปเลย!’

‘โอ๊วววววว ตัวแทนหลินโหดเกินไปแล้ว!’

‘ตัวแทนหลิน ได้โปรดรับฉันเป็นแฟนคลับด้วยค่ะ!’

‘เมื่อกี้ในแผนกเราเหมือนจะมีคนพูดว่าเพลงที่ตัวแทนหลินเขียนออกมาในเวลาอันสั้นต้องใช้การไม่ได้แน่ ผมในฐานะหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลง ตอนนั้นก็เลยตอบโต้เขาไปด้วยความโกรธ ตัวแทนหลินคุณเป็นคนทำดนตรีจากมาตุภูมิแห่งดนตรี ไหนเลยจะมีใครกล้าคลางแคลง ผลสุดท้ายเจ้านั่นฟังเพลงจบแล้วก็ยอมแพ้ราบคาบ แถมถูกผมอบรมไปยกนึงด้วย’

‘หัวหน้าลองดูว่ามีเศษอะไรหล่นหรือเปล่าคะ’

‘มีคนกล้าตั้งแง่กับตัวแทนหลินด้วยเรอะ เบื่อโลกแล้วสินะ ใครไม่รู้บ้างว่าที่ตัวแทนหลินถูกส่งมาที่บริษัทเราก็เพื่อกอบกู้โลก พวกนายปฏิบัติต่อฮีโร่แบบนี้ได้ยังไงกัน’

‘…’

กู้ตงอ่านข้อความในกลุ่ม ก็เลือดเดือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันที แทบอยากทุบหลังคนพวกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

ยังมีความละอายกันอยู่ไหมหา!

อีกอย่าง ออเดอร์นี้ยังไม่ได้ปิดดีลเลยนะ!

เจ้าพวกขี้ประจบ พวกชอบยกยอปอปั้นแบบนี้ ทำให้บริษัทขายหน้าจริงเชียว!

เธอทนไม่ไหวแล้ว จึงพิมพ์ลงไปด้วยโทสะพลุ่งพล่าน

‘ก่อนหน้านี้คนที่คลางแคลงตัวแทนหลิน รู้ตัวเองดีนะคะ ไปเขียนเรียงความสำนึกผิดสามพันตัวอักษรมาให้ฉันอ่าน ตัวแทนหลินเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยม พวกคุญต้องสำนึกไว้ว่าต้องเก็บแต้มบุญสักแปดชาติได้กว่าจะโชคดีขนาดนี้!’

ก่อนหน้านี้คนเปิดประเด็นก็คือคุณไม่ใช่หรือไง

ในที่สุดก็มีคนเขียนในอีกกลุ่มหนึ่ง

‘พวกนายนี่ใช้ไม่ได้เลย’

‘เสี่ยวกู้ตง ก่อนหน้าที่เธอเองก็ไม่เชื่อ’

‘แล้วก็หัวหน้า คุณน่ะนำทีมบอกก่อนเลยว่าตัวแทนหลินทำออเดอร์นี้ไม่ได้หรอก ผมจำได้ว่าหัวหน้ายังพูดอีกว่าถ้าออเดอร์นี้สำเร็จจะกินคีย์บอร์ด’

‘จะกินยังไงล่ะ จะให้จิ้มซอสถั่วลิสงหรือซอสเนื้อวัว? ตุ๋นน้ำแดงหรือนึ่งดีล่ะ?’

‘ก็พอกันนั่นแหละ ใครจะไปคิดล่ะว่านักแต่งเพลงมือทองของฉินโจวจะโหดขนาดนี้’

‘แม่เจ้าโว้ย ฉันเพิ่งเห็นกับตาก็วันนี้แหละว่าเทพเจ้าที่แท้จริงคืออะไร’

‘ไม่ใช่นักแต่งเพลงมือทองของฉินโจวโหดหรอก นายไปสุ่มเลือกมือทองจากฉินโจวมาสักคน ก็ใช่ว่าเขาจะทำออเดอร์เสร็จได้ในเวลาสั้นๆ ขนาดนนี้ พวกเราเจอเทพตัวจริงแล้ว’

‘ฉันคิดว่างานนี้จะต้องถึงมืออาจารย์หยางซะอีก’

‘ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์หยางจงหมิงอยู่ฉีโจว พวกเราก็แทบจะไม่ได้ขอร้องให้เขาช่วยเลย ฝีมือเด็ดขาดมั่นคง ปิดได้ทุกดีล แต่ก็ไม่ได้เร็วขนาดนี้ใช่มั้ยล่ะ’

‘…’

คนกลุ่มนี้ตกตะลึงเข้าจริงๆ แล้ว!

ที่บอกว่าเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยดีหนักหนา เพลงนี้คุณภาพไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ทุกคนต้องยกย่องสรรเสริญ

ความน่ากลัวที่แท้จริงก็คือ…

ความเร็วในการสร้างสรรค์บทเพลงนี้ผิดมนุษย์มนาไปแล้ว!

ถึงขั้นที่มีคนสงสัยว่านี่เป็นเพลงที่ตัวแทนหลินแต่งเสร็จขณะนั่งทำธุระส่วนตัวที่ชักโครก

เอาเถอะ

แน่นอนละว่านี่เป็นการคาดเดาที่เกินจริง ทุกคนก็แค่ตกตะลึงพรึงเพริด

ตัวแทนหลินเป็นนักแต่งเพลงมือทองจากมาตุภูมิแห่งดนตรี เขียนเพลงมาตรฐานระดับนี้ได้ไม่ได้น่าประหลาดใจเลย

ถึงอย่างไรสถานะนักแต่งเพลงมือทองของอีกฝ่ายก็เป็นของจริงแท้แน่นอน

ถ้าบอกว่าตัวแทนหลินใช้เวลาเขียนสองเดือน หรือแม้แต่เดือนเดียว จากนั้นก็ทำเพลงนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ไม่มีทางนึกสงสัย

แต่นี่ตัวแทนหลินเพิ่งจะได้รับออเดอร์ไปแค่กี่ชั่วโมงกัน

ตั้งแต่เขาเลิกงาน จนกระทั่งเขาบอกในกลุ่มว่าทำเพลงเสร็จแล้ว เพิ่งจะผ่านไปเท่าไหร่กัน

ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ ก็ทำเพลงระดับนี้เสร็จ?

นี่มันบ้าไปแล้ว!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังแต่งเนื้อเพลงเองด้วย!

หนำซ้ำเนื้อเพลงยังเขียนได้ประณีตถึงขนาดนี้!

เมื่อเทียบกับตัวแทนหลินแแล้ว ในใจของนักแต่งเพลงแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์มิวสิกก็เกิดความรู้สึกหนึ่ง

ขอโทษก็แล้วกันนะที่เกิดมา

ขณะนั้น กู้เฉียงอวิ้นก็ปรากฏตัวขึ้นในกลุ่ม พร้อมทั้งเมนชันทุกคน ‘ยังไม่ต้องรีบขอโทษ ฉันเพิ่งส่งเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยไปให้ผู้ว่าจ้าง ตอนนี้ออเดอร์ของเกมแนวกำลังภายในน่าจะใกล้ปิดดีลแล้ว ภารกิจเร่งด่วนของเราในตอนนี้คือรีบหาออเดอร์ใหม่!’

อย่างที่บอกไป

บริษัทที่มีชื่อเสียงจะมีผู้ว่าจ้างออกตัวมาเจรจาร่วมงานด้วย แต่บริษัทกระจอกงอกง่อยอย่างสตาร์ไลท์มิวสิกจะต้องไปหาออเดอร์ด้วยตนเอง

งานของแผนกประพันธ์เพลง นอกจากรับผิดชอบการประพันธ์เพลง ขณะเดียวกันก็ยังต้องรับบทเป็นเซลส์ด้วย

ไม่ใช่แค่พวกเขา

แม้แต่กู้ตงและผู้จัดการกู้เฉียงอวิ้นก็ต้องออกไปหาออเดอร์ด้วยเช่นกัน

เพราะสตาร์ไลท์มิวสิกกำลังเผชิญกับอุปสรรคสองประการ

อุปสรรคประการแรก: ความสามารถของนักประพันธ์เพลงมีจำกัด อัตราความสำเร็จของออเดอร์ต่ำ

อุปสรรคประการที่สอง: อัตราของออเดอร์ที่บริษัทได้รับก็ต่ำเช่นเดียวกัน

เมื่อผู้ว่าจ้างที่มีชื่อเสียงเห็นประวัติผลงานของสตาร์ไลท์มิวสิก ก็ขมวดคิ้วกันทุกราย

ฉะนั้นยามเจรจาออเดอร์ ทุกคนจึงต้องเอ่ยถึงสำนักงานใหญ่ เพื่อโน้มน้าวผู้ว่าจ้าง

เมื่อก่อนลูกไม้นี้มีประสิทธิภาพมาก

แต่ในตอนนี้ชื่อสำนักงานใหญ่ใช้การไม่ค่อยได้แล้ว

ถึงอย่างไรสตาร์ไลท์มิวสิกก็เป็นเพียงบริษัทย่อย คุณสมบัติเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็ถูกในวงการนำไปพิจารณาด้วย

ด้วยเหตุผลนี้เอง

บริษัทจึงถึงขั้นรับออเดอร์ย่อยๆ จากบุคคลทั่วไปเป็นครั้งคราว เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของบริษัทไว้

ออเดอร์ย่อยเหล่านี้มักจะมีมูลค่าเพียงไม่กี่หมื่นหยวน

แต่สำหรับแผนกประพันธ์เพลงแล้ว ยุงแม้จะเล็กแต่ก็ยังเป็นเนื้อ ทุกคนมีความสามารถพื้นฐานในสายอาชีพ ออเดอร์ยิบย่อยทำนองนี้โดยทั่วไปมักปิดดีลได้

‘จริงสิ’

กู้ตงเอ่ยเตือน ‘ถ้าทุกคนเจอปัญหาตอนดีลออเดอร์ ไม่ต้องอ้างถึงสำนักงานใหญ่แล้ว ลูกไม้เช่นนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว ตอนนี้บอกไปแบบนี้เลย ว่าสำนักงานใหญ่บริษัทเราส่งนักแต่งเพลงมือทองท่านหนึ่ง แต่ฉันมีเงื่อนไขหนึ่งต้องบอกทุกคนก่อน ห้ามรับออเดอร์ที่กดราคาต่ำให้ตัวแทนหลินเด็ดขาด!’

ตอนที่พูดคุยกันช่วงกลางวัน กู้ตงก็ค้นพบแล้วว่า

ตัวแทนหลินไม่พอใจกับราคาของออเดอร์

คิดไปคิดมาก็เข้าใจได้ เขาเป็นนักแต่งเพลงมือทอง ราคาของออเดอร์ที่รับในฉินโจวเมื่อก่อนต้องสูงลิบอย่างแน่นอน

ตอนนี้โยกย้ายมาอยู่บริษัทย่อย ต้องมาทำออเดอร์ราคาหลักแสน ย่อมต้องไม่ชอบใจอยู่แล้ว

‘งั้นต้องถามว่าตัวแทนหลินชอบสไตล์ไหน’

นักประพันธ์เพลงทุกคนมีแนวทางที่ตนถนัด

นักประพันธ์เพลงบางคนเชี่ยวชาญเพลงร็อก ส่วนบางคนก็เชี่ยวชาญเพลงบัลลาดเปี่ยมอารมณ์

ตอนนี้ทุกคนกำลังสงสัยว่าแนวที่ตัวแทนหลินถนัดน่าจะออกไปทางโบราณ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ?

ไม่อย่างนั้นทำไมถึงเขียนเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยออกมาได้ง่ายดายถึงขนาดนั้นล่ะ

ต้องเป็นเพราะชำนาญมากจนมองออเดอร์ปราดเดียวก็เขียนออกมาได้ทั้งเพลงเลยสินะ

กู้ตงขบคิด ก่อนจะเมนชันหลินเยวียนไปในกลุ่มแช็ตเก่า ‘บริษัทเตรียมจะรับออเดอร์ใหม่ ตัวแทนหลินถนัดดนตรีสไตล์ไหนแบบไหนเหรอคะ’

ทุกคนเปิดกลุ่มใหญ่ สงสัยใคร่รู้ในคำตอบของหลินเยวียน

ในจินตนาการของทุกคน เทพเจ้าอย่างหลินเยวียนคงจะตอบมาว่าหลายแนว อย่างเช่นร็อก บัลลาด ฮิปฮอป ฯลฯ เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญในสไตล์ที่หลากหลายเยี่ยงเทพเจ้า ยังไงซะเพลงปลายักษ์ก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน แต่เพลงนี้ไม่ใช่เพลงโบราณแนวจอมยุทธ์กำลังภายใน เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าแนวเพลงที่ตัวแทนหลินถนัดน่าจะมีหลายประเภท และนั่นสอดคล้องกับสถานะเทพเจ้ามือทองของหลินเยวียนมาก

แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว สิบวินาทีให้หลัง

หลินเยวียนก็มาตอบสี่คำสั้นๆ สี่คำนั้นก็คือ

‘แบบที่แพงครับ’

……………………………………………..

ฉีโจว

แผนกประพันธ์เพลงของบริษัทเพลงสตาร์ไลท์เงียบจนชวนให้รู้สึกแปลกพิกล ขณะเดียวกันก็มองหน้ากันไปมา ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสับสน

ผ่านไปนาน

ในที่สุดก็มีคนถามขึ้นคล้ายกับยังไม่แน่ใจ “ทำเสร็จแล้ว…ความหมายก็คือ…เขาทำออเดอร์เกมแนวกำลังภายในนี้เสร็จแล้ว?”

นี่มันเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่เองนะ

นับรวมเวลาที่นายเดินทางเข้าไปด้วย ก็ผ่านไปแค่สองชั่วโมงเองล่ะมั้ง

“เหอะ”

มีคนหัวเราะแดกดัน “ถ้าเขาทำเพลงนี้สำเร็จจริงๆ ฉันจะกินคีย์บอร์ดให้ดูเดี๋ยวนี้เลย พวกนายเชื่อมั้ยล่ะ”

จะเป็นไปได้ยังไงกัน

ตัวแทนหลินคนนี้ขี้โม้เกินไปหรือเปล่า

หรือเพราะว่าตนเป็นนักแต่งเพลงมือทองจากมาตุภูมิแห่งดนตรี ก็เลยรู้สึกว่าความสามารถของตนสามารถขยี้พวกกระจอกอย่างเราได้?

ฉะนั้นถึงได้ใช้ช่วงเวลาที่เข้าห้องน้ำ เขียนเพลงออกมาซะเลย คิดว่าจะเทียบเทียมกับพวกเราได้?

และใช้โอกาสนี้ตบตาผู้ว่าจ้างไปด้วยเลย?

อย่างที่คิด คนอายุน้อยใช้การไม่ได้จริงๆ

ทางผู้ว่าจ้างจะทำให้นายได้รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เป็นท่านพ่อ!

อีกอย่าง ตัวแทนหลินคนนี้ ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิดสินะ?

คิดจริงๆ หรือว่าออเดอร์ที่พวกเราทำไม่สำเร็จตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ตัวแทนอย่างนายจะมาทำแบบสุกเอาเผากินแล้วสำเร็จ

บรรยากาศในกลุ่มเงียบลงด้วยประการฉะนี้

นิ่งเงียบจนเรียกได้ว่าถูกแช่แข็ง

สุดท้ายแล้วก็เป็นกู้ตงที่เหลืออดเมนชันหลินเยวียนไป ‘ทางผู้ว่าจ้างมาตรฐานสูงมาก เพลงคุณภาพทั่วไปพวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอกค่ะ หวังว่าตัวแทนหลินจะตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างจริงจังอีกสักหน่อย จะใช้ผลงานที่ทำเสร็จในไม่กี่ชั่วโมงมาตบตาผู้ว่าจ้างไม่ได้นะคะ’

“เฮ้อ”

แม้ว่ากู้เฉียงอวิ้นเองจะหัวเสียเช่นเดียวกัน แต่เขาก็กลัวว่าหลินเยวียนจะโมโห เป็นถึงนักแต่งเพลงมือทองจากฉินโจว ถ้าเกิดเทออเดอร์นี้ขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

ต้องไปพะเน้าพะนอสักหน่อย

เขาพรูลมหายใจ รีบเข้าไปไกล่เกลี่ยในกลุ่ม ‘บางทีตัวแทนหลินอาจเห็นออเดอร์นี้แล้วเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาก็ได้ ด้วยฝีมือของตัวแทนหลิน ต้องเหนือกว่าเจ้าพวกขี้เมาหยำเปบริษัทเราอย่างแน่นอน แต่ตัวแทนหลินก็ช่วยขัดเกลาผลงานอีกนิดนะครับ…’

หลินเยวียนไม่ได้อธิบาย เมนชันกู้เฉียงอวิ้นไปตรงๆ เลย ‘ขออีเมลหน่อยครับ’

‘…’

‘…’

‘…’

ในกลุ่มปรากฏจุดไข่ปลาอีกหลายบรรทัด ทุกคนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่อยู่ในใจออกมา และยิ่งไม่กล้าพิมพ์เมนชันหลินเยวียนตรงๆ เฉกเช่นที่กู้ตงทำ

ถึงยังไงตำแหน่งของตัวแทนหลินก็สูงมาก

แต่จากสัญลักษณ์จุดไข่ปลาเป็นพรวนเช่นนี้ ก็พอแสดงออกเป็นนัยได้ว่าไม่พอใจ ถึงยังไงทุกคนก็พิมพ์จุดไข่ปลาเข้าไปในกลุ่ม

กฎหมายไหนเลยจะสู้วิถีประชา

กู้เฉียงอวิ้นจนปัญญา พิมพ์อีเมลส่งเข้าไป

หลินเยวียนส่งไฟล์เพลงเข้าไปในอีเมลของกู้เฉียงอวิ้น

‘คุณได้เข้าร่วม [กลุ่มจริงของบริษัท]’

เมื่อพิมพ์อีเมลส่งไป กู้เฉียงอวิ้นก็พบว่าตนถูกลูกสาวลากเข้ากลุ่มใหม่ จากนั้นคนทั้งบริษัทก็ถูกลากตามเข้ามาทั้งหมด

กลุ่มนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับกลุ่มใหญ่เมื่อครู่

สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ กลุ่มนี้ไม่มีหลินเยวียน

ทำให้กลุ่มที่หลินเยวียนเพิ่งเข้ามาเมื่อครู่ก็กลายเป็น ‘กลุ่มปลอม’ ไปโดยปริยาย

“ทำอะไรน่ะ”

กู้เฉียงอวิ้นเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก

ห้องทำงานของกู้ตงอยู่ถัดจากห้องทำงานของเขา ถ้าเสียงดังมากพอ ทางนั้นก็จะได้ยินเสียงของเขา

กู้ตงไม่ได้ตอบ

สิ่งที่เรียกว่ากลุ่มจริงนี้กำลังระเบิด

‘คุณหนูกู้ตงโหดแท้!’

‘คุณหนูกู้ตงจัดการเขาเลย!’

‘นี่มันอะไรกันฟระเนี่ย!’

‘ดีแล้วๆ ดีที่ลากกลุ่มใหม่ กลุ่มเก่าฉันไม่กล้าเข้าแล้ว’

‘ตัวแทนคนนี้ไม่เห็นหัวเราเลย!’

‘…’

ในขณะนั้นกู้ตงก็เมนชันกู้เฉียงอวิ้น ‘ส่งเพลงนั้นมาในกลุ่มเลยค่ะ จะได้รู้ว่าในเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นักแต่งเพลงมือทองอุตส่าห์เจียดมาจากภารกิจร้อยพันอย่าง เพลงที่เขียนออกมาจะเขียนได้ดีขนาดไหน’

กู้เฉียงอวิ้นส่ายหน้า

ทุกคนกำลังต่อต้านตัวแทนหลินอยู่

แบบนี้ไม่ดีแน่ หลังจากนี้บริษัทจะต้องขอความช่วยเหลือจากตัวแทนหลินอีกนะ

อีกทั้งความสามารถของตัวแทนหลินนั้นต้องไร้ข้อกังขาอย่างแน่นอน อายุน้อยขนาดนี้ก็เป็นมือทองแล้ว ยังจะต้องสงสัยในฝีมือเขาอีกหรือ?

เพียงแต่เป็นเพราะอายุยังน้อยก็ฝีมือโดดเด่นแบบนี้ ท่าทีของตัวแทนหลินจึงอาจแลดูหยิ่งผยองไปสักหน่อย

ทว่าเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ไม่ใช่หรือไง

ประเดี๋ยวจะต้องปรับทัศนคติของทุกคนสักหน่อย ว่าห้ามผิดใจกับตัวแทนหลินเด็ดขาด

เมื่อคิดเช่นนี้ กู้เฉียงอวิ้นจึงตัดสินใจไม่ส่งเพลงเข้ากลุ่มแช็ต

ความสามารถก็ส่วนความสามารถ ต่อให้เป็นนักประพันธ์เพลงที่เก่งกาจกว่านี้ เพลงที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเขียนออกมา จะไปสู้ผลงานที่แผนกประพันธ์เพลงขัดเกลามาเป็นแรมเดือน แต่ก็ยังถูกทางผู้ว่าจ้างตีกลับได้หรือ?

เขาสวมหูฟัง แล้วกดเปิดอีเมล

เพลงมีชื่อว่า ‘ยุทธจักรยิ้มเย้ย’ ดูท่าตัวแทนหลินจะเขียนเนื้อเพลงเสร็จแล้ว

เม้าส์ขยับ คลิกปุ่มเล่นเพลง

ขณะที่กู้เฉียงอวิ้นกระทำสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีความหวังใดอยู่ในใจ

เขาถึงขั้นฟังเพลงไปพลางอ่านข่าวออนไลน์ไปพลาง

ในข่าวเขียนถึงโปรเจ็กต์ใหม่ต่างๆ ของแต่ละบริษัทในฉีโจว ไม่แน่ว่าอาจหาโอกาสร่วมงานในออเดอร์ใหม่ได้

บริษัทขนาดใหญ่ เป็นออเดอร์ที่เข้ามาเองถึงหน้าประตู

ส่วนสตาร์ไลท์มิวสิก จะต้องไขว่คว้าหาออเดอร์ด้วยตัวเอง

ตัวอย่างเช่นซีรีส์ออนไลน์ที่บริษัทขนาดเล็กเพิ่งถ่ายทำเสร็จ พวกเขาทำต้องการพวกเพลงซาวด์แทร็ก เพลงอินเสิร์ต หรือเพลงปิด ประเดี๋ยวจะดูว่าติดต่อไปได้ไหม ยังมีข่าวนี้ที่พูดถึง…

ตึกๆ

มือของกู้เฉียงอวิ้นซึ่งกำลังขยับเม้าส์พลันชะงักไป

ในหูฟังเริ่มบรรเลงเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ย

เสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งฟังดูประหลาดชอบกลเริ่มบรรเลงท่อนคอรัสพอดิบพอดี ‘โอ้บุปผาหาใช่เช่นที่เห็นมา สายธารารินไหลไม่รั้งรอท่า จิตวิญญาณยอดคนเจ้าช่างหาญกล้า ความเดียวดายลิขิตด้วยชะตา…’

ขนลุกซู่เลย!

จู่ๆ กู้เฉียงอวิ้นก็รู้สึกว่าสมองชาวาบขึ้นมา!

เขารีบกดเลื่อนเพลงไปยังช่วงอินโทรทันที!

ในครั้งนี้กู้เฉียงอวิ้นวางมือจากทุกอย่าง สมาธิทั้งหมดของกู้เฉียงอวิ้นไปรวมกันอยู่ที่เพลง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ร่างกายของกู้เฉียงอวิ้นคลอนไปตามทำนองดนตรีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เมื่อร่างกายของเขามีการเคลื่อนไหว น้ำชาซึ่งถูกทิ้งไว้บนโต๊ะจนเย็นชืดก็กระเพื่อมเบาๆ เป็นระลอกเช่นกัน

ในตอนนั้นดวงตะวันใกล้ลาลับเส้นขอบฟ้า

แสงสีแดงยามอาทิตย์อัสดงส่องเข้ามาทางหน้าต่าง อาบห้องทำงานจนกลายเป็นสีเหลืองหม่น

และท่ามกลางภาพฉากนั้นเอง

สีหน้าของกู้เฉียงอวิ้นก็ตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ

ครั้นบทเพลงจบลง เขาสัมผัสได้ถึงความชาปลาบไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับเพิ่งถูกไฟช็อตมา

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูแว่วมา

กู้ตงผลักประตูเดินเข้ามา

จากนั้นเธอก็ชะงักไป

เห็นเพียงกู้เฉียงอวิ้นนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา ทั้งตัวแลดูผ่อนคลาย บนใบหน้าประดับไปด้วย…

ความสุข?

กู้ตงไม่รู้ว่าคำขยายความของตนจะใช้ได้ไหม แต่นอกจากคำนี้แล้ว เธอก็ไม่อาจสรรหาคำอื่นมาอธิบายรอยยิ้มบนใบหน้าของกู้เฉียงอวิ้นได้แล้ว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ” กู้ตงเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ

กู้เฉียงอวิ้นไม่ได้สนใจเธอ

“เธอจึงพูดเสียงดังขึ้น “ผู้จัดการคะ?”

กู้เฉียงอวิ๋นก็ขังไม่สนใจเธอ

เธอพูดเสียงดังขึ้นไปอีก “พ่อคะ!”

กู้เฉียงอวิ้นท่าทางราวสะดุ้งตื่นจากฝัน มองไปยังบุตรสาวซึ่งอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันไปมองจอคอมพิวเตอร์อีก ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมา

“ไปหาออเดอร์ใหม่มาเลย!”

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ กู้ตงถอนหายใจ “พวกเราจะยอมแพ้กับออเดอร์นี้จริงๆ ใช่มั้ยคะ ก่อนหน้านี้พวกเราเซ็นสัญญาที่มีเงื่อนไขว่าต้องชดใช้ค่าเสียหายไปไม่น้อยเพื่อให้ได้ออเดอร์นี้มา หรือไม่ก็ติดต่อทางสำนักงานใหญ่เถอะค่ะ…”

“แป๊บนึงนะ”

กู้เฉียงอวิ้นโบกมือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พิมพ์ข้อความแล้วส่งเข้าไปในกลุ่มที่กู้ตงเพิ่งลากเขาเข้าไปว่า ‘ผู้ว่าจ้างไม่ใช่ท่านพ่อของพวกคุณอีกต่อไป ตัวแทนหลินสิท่านพ่อตัวจริง’

พูดจบ

กู้เฉียงอวิ้นก็ส่งไฟล์เพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยซึ่งดาวน์โหลดเสร็จแล้วเข้าไปในกลุ่มแช็ต จากนั้นก็เงยหน้ามองลูกสาว เอ่ยว่า

“เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

……………………………………………..

อีกด้านหนึ่ง กู้ตงก็ขับรถกลับบริษัท

ระหว่างเดินผ่านชั้นสอง พนักงานในแผนกประพันธ์เพลงก็ชะเง้อมองมา

พวกเขาพบว่าตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ก็ไม่มา ดังนั้นจึงเข้ามาห้อมล้อมกู้ตง

“คนล่ะ?”

“เลิกงานแล้วเหรอ”

“สุดมาก บริษัทจะมาก็มาจะไปก็ไป สมแล้วที่เป็นเทพในวงการ ไม่ได้สนใจเรื่องของบริษัทย่อยเลยสักนิด”

“ตัวแทนจากสำนักงานใหญ่คนนี้มีที่มาที่ไปยังไงล่ะ”

“ดูยังเด็กอยู่เลย จะไหวเหรอ”

“อายุน้อยยังพึ่งพาไม่ค่อยได้หรอก ถ้าอยากจะช่วยกอบกู้ทั้งบริษัทย่อยละก็ ส่งมาแค่คนเดียวพอซะที่ไหน”

“เขาเป็นใครเหรอ”

“…”

กู้ตงเหลือบมองทุกคน “พวกคุณมีโทรศัพท์กันไม่ใช่เหรอ ลองเสิร์ชดูเอง เซี่ยนอวี๋ เซี่ยนที่แปลว่าอิจฉา…อวี๋ที่แปลว่าปลา!”

“เหมือนจะเคยได้ยิน”

มีคนเอ่ยปากขึ้นมาด้วยความคลางแคลง

ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดค้นหา

เป็นเพราะระยะทางนั้นห่างไกลเกินไป วัฒนธรรมของพื้นที่แตกต่างกัน ฉะนั้นข้อมูลที่ทุกคนค้นเจอล้วนแต่เป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ทว่าก็มากพอให้หลายคนประหลาดใจได้

“นักแต่งเพลงมือทอง?”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินว่านักแต่งเพลงมือทองจะอายุน้อยขนาดนี้ นี่สินะที่เรียกว่าอัจฉริยะในตำนาน จุ๊ๆ ตอนฉันยังเป็นวัยรุ่นก็เหมือนพอจะมีฝีมือกับเขาอยู่เหมือนกันนะ”

“เพ้อเจ้อ มาเป็นตัวแทนบริษัทเรามั้ยล่ะ”

“แต่เขาเหมือนจะเพิ่งได้เป็นมือทอง ก็ถูกส่งมาที่บริษัทย่อยเราแล้ว ทำไมสำนักงานใหญ่ไม่ส่งคนที่มีประสบการณ์มาล่ะ”

“อาจจะเก่งมากก็ได้นะ?”

“เก่งมั้ยฉันไม่รู้ รู้แต่วางมาดสุดๆ เพิ่งจะมาวันแรกก็โดดงานแล้ว แต่คนเขาเป็นตัวแทนของสำนักงานใหญ่ มีตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้จัดการของเรา ไม่มีใครว่าได้ ผู้จัดการก็น่าจะไม่กล้ายุ่งด้วย บริษัทหวังว่าเขาจะสะสางงาน บรรเทาสถานการณ์สักหน่อย”

“เดี๋ยวนะ เขาเป็นคนแต่งเพลงปลายักษ์?”

“เพลงนี้ที่ฉีโจวของเราดังมาก ซาวด์แทร็กเรื่องมังกรมัจฉาเริงระบำไง หรือสำนักงานใหญ่คิดว่าเขาเคยประสบความสำเร็จที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว”

“พอเถอะ”

“…”

คนกลุ่มนี้พูดคุยถกเถียงกันสนุกปาก

ส่วนกู้ตงก็ขึ้นไปชั้นสาม

เข้าไปในห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการ เธอพูดพลางถอนใจ “พ่อ…”

กู้เฉียงอวิ้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าที่บริษัทให้เรียกว่าผู้จัดการ”

“พ่อผู้จัดการ?

หนูว่าฟังดูแปลกพิกล?”

“ผู้จัดการกู้!”

“อื้ม ว่ายังไง?”

กู้เฉียงอวิ้นลุกขึ้นด้วยท่าทีวิตกกังวล “ตัวแทนหลินพอใจกับห้องใหม่มั้ย”

“ถ้าเป็นเรื่องห้องพอใจมากเลยค่ะ”

กู้ตงเอ่ยอย่างหดหู่ใจ “แต่ไม่รู้ว่าเขาบ้าเกินไปหรือเปล่า เพิ่งมาวันแรก แม้แต่งานก็ไม่อยากเข้าแล้ว เสียแรงที่หนูไปทำความสะอาดห้องให้อยู่ครึ่งค่อนวัน พ่อรีบไปเรียกแม่บ้านมาทำเลยค่ะ”

“ไม่ได้”

กู้เฉียงอวิ้นตอบ “รายได้ของบริษัทไม่ดี ให้ไปเชิญแม่บ้านมาก็ต้องเพิ่มรายจ่าย ลูกกับพนักงานคนอื่นไปช่วยกันทำน่ะดีแล้ว ฉันเป็นผู้จัดการยังทำความสะอาดห้องตัวเองเลย ไม่ได้ให้ลูกมาปัดกวาดเช็ดถูให้”

กู้ตง “…”

กู้เฉียงอวิ้นหน้ามุ่ย จากนั้นเขาก็พลันเกิดแสงแห่งความหวังขึ้นมา “แต่หลังจากนี้ตัวแทนหลินมาแล้ว ก็น่าจะช่วยลดความกดดันได้สักหน่อยล่ะมั้ง…”

“พ่อก็ฝันซะสวยหรูเชียว”

กู้ตงฉุกคิดเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นได้ “หนูให้เขาดูออเดอร์ คิดว่าเขาจะกระตือรือร้นทำงาน แต่เขายังไม่ทันเหลือบมองก็ร้องจะไปที่พัก อีกไม่เท่าไหร่ก็คงลืมเรื่องออเดอร์ไปแล้วละค่ะ”

“ตอนนี้นึกไม่ออกไม่สำคัญ วันอื่นเราค่อยเตือนเขาก็ได้”

ในขณะนี้กู้เฉียงอวิ้นมองว่าหลินเยวียนเป็นฟางช่วยชีวิตแล้วจริงๆ “อีกอย่าง ลูกไปสืบมาจากเพื่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าเขามีชื่อเสียงมากที่ฉินโจว แถมยังเป็นนักแต่งเพลงมือทองด้วยนี่”

“ผู้จัดการกู้นี่น้า”

กู้ตงถอนหายใจ “แต่ถึงยังไงเขาก็ยังเป็นนักศึกษา แถมยังเป็นนักแต่งเพลงมือทองหน้าใหม่ ท่านไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยอดฝีมือที่มากประสบการณ์ทำนองนั้นเหรอคะ ท่านคิดว่าเขามาเพียงเพื่อช่วยบริษัทย่อยของเรา?”

กู้เฉียงอวิ้นเริ่มนั่งไม่ติด “ลูกหมายความว่า…”

กู้ตงแบมือยักไหล่อย่างยอมรับโชคชะตา “ในฐานะนักศึกษา อาทิตย์หนึ่งเขาเข้ามาทำงานได้แค่สองวัน การเรียนของนักศึกษาแลกเปลี่ยนเดิมทีก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ตอนนี้หนูยังสงสัยว่าเขาไม่ได้มาทำงานที่บริษัทย่อยของเราหรอก แค่มาเรียนที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนอย่างเดียว”

“คงจะเป็นอย่างนั้น…”

กู้เฉียงอวิ้นหวนนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ของเขากับเหล่าโจวก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ จึงพอจะคาดเดาได้บ้าง แต่ก็อดรู้สึกอกสั่นขวัญหายไม่ได้

“หรือพูดได้ว่า เดิมทีสำนักงานใหญ่ไม่ได้คิดจะสนใจบริษัทย่อยอย่างเราอยู่แล้ว เพียงแต่นักแต่งเพลงมือทองคนหนึ่งจะมาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจวพอดี เพราะเห็นแก่หน้าตา ก็เลยจัดแจงส่งเขามาในฐานะตัวแทน สรุปก็คือไหนๆ มาแล้วก็หนีบตำแหน่งตัวแทนมาด้วยเลย?”

“เรื่องนี้น่าจะจริง เพราะฉะนั้นหนูไม่อยากให้พ่อคาดหวังสูงเกินไป พวกเราน่ะ ก็เป็นแค่พี่เลี้ยงให้เขานั่นแหละค่ะ” กู้ตงเอ่ยพลางข่มกั้นความปวดใจ

เธอทนทำร้ายจิตใจพ่อต่อไปไม่ไหวแล้ว

นักศึกษาแลกเปลี่ยนอยู่แค่ปีเดียวก็ไป คำนวณแล้วเวลาไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำไป

จะมากู้สถานการณ์ของภายในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้?

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเอาซะเลย

ถ้าเขาอยู่นานกว่านี้หลายปีสักหน่อย เรื่องนี้ก็คงพอมีหวัง

“ลองเปลี่ยนมุมมองดู ตัวแทนหลินเป็นนักแต่งเพลงมือทอง เวลาหนึ่งปีการศึกษา ต่อให้เขาช่วยเคลียร์สักออเดอร์สองออเดอร์ ก็พอที่จะช่วยพวกเราได้แล้ว”

กู้เฉียงอวิ้นพยายามทำให้ตนมองในแง่บวก

กู้ตงเค้นรอยยิ้มออกมาเพื่อปลอบใจ ก่อนจะหันหลังเดินไป

กู้เฉียงอวิ้นเอ่ยเรียก “เดี๋ยวก่อน ลูกมีคอนแท็กของตัวแทนหลินใช่ไหม ลากเขาเข้ากลุ่มใหญ่บริษัทเราด้วย ให้เขาซึมซับสภาพแวดล้อมใหม่”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

กู้ตงหยิบโทรศัพท์ออกมา ลากหลินเยวียนเข้ากลุ่มแช็ต

ในกลุ่มมีทั้งหมด 125 คน เมื่อเพิ่มหลินเยวียนเข้าไปก็เป็น 126 คน

‘ยินดีต้อนรับ!’

ทันทีที่กู้เฉียงอวิ้นเห็นหลินเยวียนเข้ากลุ่ม ก็ส่งซองแดงไปทันที เดิมทีใส่เงินไปหนึ่งร้อยหยวน…

กัดฟันครู่หนึ่ง ก่อนกู้เฉียงอวิ้นจะเปลี่ยนเป็นสามร้อยหยวน แล้วส่งซองแดงเข้าไป

ฝูงชนตามกดช่วงชิงซองแดงกันถ้วนหน้า

เมื่อกดเข้าไปจึงพบว่า ผู้ที่รวดเร็วที่สุด ก็คือหลินเยวียนนั่นเอง!

แม้ว่าจำนวนเงินที่เขากดมาได้จะมีแค่สองหยวนก็ตามแต่

‘ยินดีต้อนรับ!’

‘ยินดีต้อนรับ!’

คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างก็มาบอกว่ายินดีต้อนรับ

‘ขอบคุณครับ’

หลินเยวียนตอบทุกคนไปตามมารยาท จากนั้นก็เมนชันผู้จัดการกู้เฉียงอวิ้น “รับออเดอร์ใหม่โดยเร็วที่สุดได้ไหมครับ”

กู้เฉียงอวิ้นชะงักไป

ถามมาได้ บริษัทที่สภาพร่อแร่อย่างเราจะไปรับออเดอร์จากไหนล่ะ ลำพังแค่ออเดอร์ที่มีอยู่ในมือ เมื่อหลายเดือนก่อนกว่าจะเจรจาตกลงกันได้แทบกระอักเลือด หนำซ้ำตอนนี้ดูแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงยังไงตอนนี้สำนักงานใหญ่ก็ไม่สนใจเราอีก…

“เฮ้อ”

ที่ห้องทำงานด้านข้าง

กู้ตงถอนหายใจเฮือกใหญ่

กู้เฉียงอวิ้นกลับไม่กล้าโมโห เพียงแต่ตอบหลินเยวียนไปอย่างระมัดระวัง ‘ตัวแทนหลิน ออเดอร์ใหม่ค่อยๆ เจรจาก็ได้ครับ แต่เรื่องนี้ก็ต้องดำเนินการไปทีละขั้นตอน ต้องทำออเดอร์ที่มีอยู่ให้เสร็จก่อน ออเดอร์อยู่ที่คุณลองอ่านก่อนก็ได้ครับ’

หลินเยวียน ‘ทำเสร็จแล้วครับ’

หลินเยวียนพูดจบ ในกลุ่มก็เงียบกริบในชั่วพริบตา

ในกลุ่มไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวไปหลายนาที กู้เฉียงอวิ้นก็เงียบงันไปหลายนาทีเช่นกัน

เขาทรงตัวบนเก้าอี้แทบไม่ไหว เพ่งอ่านอย่างละเอียดอยู่นาน พินิจพิจารณาทุกตัวอักษรอยู่หลายรอบ ถึงได้มั่นใจว่าสิ่งที่หลินเยวียนพูดคือ ‘ทำ เสร็จ แล้ว ครับ’ จริงๆ

ชั่วขณะนั้น ต่อให้เป็นคนที่อารมณ์ดีอย่างกู้เฉียงอวิ้น ก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่ถูกสัพยอกเช่นนี้ เขาอยากถามหลินเยวียนไปสักประโยคว่า

พี่ชาย นายล้อฉันเล่นใช่ไหม ล้อกันเล่นแบบนี้มันสนุกนักหรือไงฟระ

ตั้งแต่หลินเยวียนเลิกงานก่อนเวลาจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาอันแสนน้อยนิดเท่าเม็ดขี้ตา พอฉันไปเข้าห้องน้ำได้แค่สองสามรอบ แถมวันนี้ท้องก็ไม่ผูกด้วย

แต่นายกลับมาบอกฉันว่า ออเดอร์ที่บริษัทย่อยของฉันคิดจนหัวแตกกันอยู่หลายเดือน…

นายทำเสร็จแล้ว?

…………………………………………………………..

ผ่านไปห้านาที

กู้เฉียงอวิ้นก็ขอตัว

กู้ตงหยิบออเดอร์เข้ามาในห้องทำงานของหลินเยวียน

เธอเอ่ยแนะนำ “นี่เป็นออเดอร์เพลงประกอบเกมประเภทกำลังภายใน เอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของฉีโจวเราก็คืออุตสาหกรรมภาพยนตร์กับละครพัฒนามาก แต่นอกจากนั้นแล้วอุตสาหกรรมเกมของฉีโจวก็เป็นอันดับหนึ่งของบลูสตาร์ ตัวแทนหลินเล่นเกมหรือเปล่าคะ”

หลินเยวียนตอบ “นานๆ ครั้งครับ”

เมื่อก่อนเขาเล่นเกมเป็นเพื่อนซย่าฝานและเจี่ยนอี้

หลินเยวียนคิดว่าสิ่งที่เพลิดเพลินที่สุดในการเล่นเกมก็คือการเปิดไมค์คุย ตนเองเล่นอยู่คนเดียวไม่ได้สนุกอะไร ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนเริ่มงานยุ่งขึ้นมา เขาก็ไม่ได้แตะเกมอีกเลย

“อย่างนั้นเหรอคะ”

กู้ตงคุ้นเคยกับสไตล์การพูดของหลินเยวียนแล้ว

คนที่มาจากสำนักงานใหญ่มีนิสัยค่อนข้างเย็นชาอันที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามาก ถึงอย่างไรสเกลของบริษัทย่อยกับสำนักงานใหญ่ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

มิหนำซ้ำตัวแทนหลินคงจะไม่ค่อยพอใจ ที่ถูกส่งมาสะสางเรื่องวุ่นวายของบริษัทย่อยที่ฉีโจวล่ะมั้ง

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

เธอเองก็เข้าใจได้

หลังจากที่หลินเยวียนรับออเดอร์มาจากกู้ตง ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเปิดอ่าน

เขาลุกขึ้นยืน “วันนี้เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ รบกวนคุณขับรถไปส่งผมกลับที่พักก่อน ระหว่างทางแวะไปดูวิทยาลัยศิลปะฉีโจวสักรอบ ผมอยากทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่สักหน่อยครับ”

“ได้ค่ะ…”

จะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือ

ในใจของกู้ตงยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกว่าเดิม เพียงแต่ไม่กล้าเผยสีหน้าออกมา “กระเป๋าเดินทางของตัวแทนหลินอยู่บนรถฉัน พวกเราออกรถเลยก็ได้ค่ะ”

“ครับ”

หลินเยวียนลงมาข้างล่าง

กู้ตงลอบเบ้ปาก ก่อนจะสาวเท้ารีบตามไป

ขณะที่พาหลินเยวียนมุ่งหน้าไปยังที่พัก เธอก็เอ่ยแนะนำเรื่องราวต่างๆ “ทางตะวันออกมีจุดชมวิวแห่งหนึ่ง ถ้าตัวแทนหลินสนใจ มีเวลาก็มาเดินได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปที่วิทยาลัยก่อน?”

“ดูข้างนอกก็พอแล้วครับ”

หลินเยวียนไม่ได้คิดจะเข้าไปในวิทยาลัย วันเปิดเทอมคือหลังจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้วิทยาลัยยังไม่เปิด ตนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน จะเข้าไปสำรวจในวิทยาลัยคงต้องผ่านขั้นตอนวุ่นวายน่าดู

“ค่ะ”

จากวิทยาลัยถึงบริษัทเป็นระยะทางประมาณหกเจ็ดกิโลเมตร ฟังดูไกลนิดหน่อย แต่ถ้าขับรถก็ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาที

“ตรงนั้นก็คือวิทยาลัยศิลปะฉีโจว”

หลินเยวียนมองตามสายตาของกู้ตง ไกลออกไปเป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นอกจากเอกลักษณ์ของอาคารจะแตกต่างกับสไตล์ของฉินโจวอยู่บ้าง ทว่าขนาดไม่ได้เป็นรองวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเลย

สมแล้วที่เป็นสถาบันการศึกษาระดับเดียวกับวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

หลังจากขับรถวนรอบนอกหนึ่งรอบ กู้ตงก็พาหลินเยวียนกลับที่พัก

นี่เป็นเขตที่สภาพแวดล้อมงดงามมาก

เขตนี้มีชื่อว่า ‘สวนดอกสาลี่’ ไพเราะดีเหมือนกัน

และห้องที่บริษัทเตรียมไว้ให้หลินเยวียนนั้นเป็นห้องหรูมีสองห้องนอน

แน่นอนว่าพื้นที่นั้นเทียบไม่ได้กับที่พักที่ฉินโจว แต่หลินเยวียนอาศัยอยู่แค่คนเดียวก็เหลือเฟือแล้ว

นอกจากนั้น หากว่ากันจากสภาพแวดล้อม หลินเยวียนพอใจมากทีเดียว มองออกว่าคนที่เตรียมห้องนี้ไว้ให้นั้นเอาใจใส่มาก

กู้ตงถาม “ตัวแทนหลินปกติทำอาหารมั้ยคะ”

“ทำบ้างครับ”

ตอนหลินเยวียนอยู่ที่ฉินโจว ก็ทำอาหารบ้างเป็นครั้งคราว ฝีมือการทำอาหารพอไปวัดไปวาได้

เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว เขาจะกินข้าวที่วิทยาลัยหรือที่บริษัท โอกาสที่ตนจะทำอาหารเองจึงมีไม่มาก

“อย่างนั้นเหรอคะ งั้นตัวแทนหลินจดไว้หน่อยนะคะว่าออกจากประตูเขตนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ประมาณหกร้อยเมตรจะมีตลาดอยู่”

กู้ตงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถวนี้แต่แรกแล้ว เพราะห้องนี้เป็นห้องที่เธอมาเช่าเอง

“ครับ”

หลินเยวียนเปิดกระเป๋าเดินทาง

กู้ตงใคร่ครวครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ห้องนี้เพิ่งเก็บกวาดไปเมื่อวาน พวกเครื่องนอนเป็นของที่ซื้อมาใหม่ ฉันเอาไปซักก่อนแล้วครั้งหนึ่ง สะอาดมากค่ะ ตัวแทนหลินยังต้องการอะไรอีกมั้ยคะ ถ้าไม่มีอะไร ฉันต้องขอตัวกลับบริษัทก่อน ถึงยังไงฉันก็ยังไม่เลิกงาน”

เธอเน้นสี่คำว่า ‘ยังไม่เลิกงาน’ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปอย่างชัดเจน จึงฟังดูละล่ำละลักอยู่สักหน่อย

“งั้นคุณกลับไปก่อนเถอะครับ รบกวนแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า เริ่มจัดแจงเก็บของเล็กน้อยๆ

ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรให้จัดแจงมากนักหรอก อย่างไรซะห้องนี้ก็ทำความสะอาดไปแล้ว ที่เหลือก็มีแค่จัดเสื้อผ้า

เมื่อจัดของเสร็จเรียบร้อย

หลินเยวียนก็ล้มตัวลงบนเตียง

นี่ไม่ใช่เพราะเขาอยากเลิกงานก่อน แต่การนั่งเครื่องบินนั้นทรมานเหลือเกิน โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินอย่างเขา

ทั้งสมองของเขามึนตึ้บ ต่อให้หลับบนเครื่องบินมาแล้วหลายชั่วโมง ก็ไม่อาจลดความรู้สึกทรมานนี้ได้

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเยวียนถึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ท้องของเขาปวดหนึบๆ จึงลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่นั่งยอง ก็หยิบออเดอร์เพียงหนึ่งเดียวของบริษัทออกมา

นี่เป็นออเดอร์เพลงประกอบเกมแนวกำลังภายใน

แม้ว่ายุคของนิยายกำลังภายในจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในบลูสตาร์เกมแนวกำลังภายในกลับมีตลาดขนาดใหญ่มาโดยตลอด ถึงอย่างไรเกมกับนิยายก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน

และรีเควสส่วนมากที่ออเดอร์นี้ต้องการก็คือ บทเพลงที่ให้กลิ่นอายเข้มข้นของยุทธจักร

เซตติงส่วนมากของเกมก็ธรรมดามาก ก็คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มซึ่งพกกระบี่ท่องยุทธภพ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นยอดฝีมือของบู๊ลิ้ม

แน่นอนละ นิยายแนวกำลังภายในมีแก่นเรื่องความรักอยู่ไม่น้อย

ยามเด็กหนุ่มคนนี้เริ่มต้นออกท่องยุทธภพ คู่ตุนาหงันในวัยเด็กถูกสังหาร เขาจึงมีแต่ความปรารถนาที่จะแก้แค้นสุมอยู่เต็มอก

เขาเริ่มพากเพียรฝึกวรยุทธ์ สังหารศัตรูตัวฉกาจทีละคนๆ

ภายหลังเขาได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งหน้าตาคล้ายกับคนรักวัยเด็กของเขา

และพวกเขาก็รักใคร่ชอบพอกัน

ทั้งสองฝ่าลมฝนและอุปสรรคไปด้วยกัน

หลังจากนั้นหญิงสาวก็ล่วงรู้ความจริงเข้า รู้สึกว่าตนเป็นเพียงตัวแทน จึงตัดใจลาจากเด็กหนุ่มไป

จนกระทั่งสิบปีให้หลัง ทั้งสองถึงได้พานพบกันอีกครา ยามนั้นเด็กสาวตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มรักนางจากใจจริง ทั้งยังเฝ้าตามหานางอยู่สิบปี…

ในตอนนั้น เด็กหนุ่มมีผมสีขาวแล้ว

ทว่ามือของพวกเขายังคงกอบกุมกันด้วยความสุข

แน่นอนว่าในออเดอร์เขียนไว้ละเอียดกว่านี้ รวมๆ แล้วหลายพันตัวอักษร นี่เป็นเพียงเค้าโครงเรื่องคร่าวๆ ที่หลินเยวียนสรุปออกมาเท่านั้น

ดังนั้นหมายเหตุในออเดอร์จึงเขียนไว้ว่า

นอกจากเรื่องของยุทธจักรแล้ว ยังต้องสอดแทรกเรื่องของความรักอันเศร้าโศกนี้

นอกเหนือจากนั้น

ในหมายเหตุยังมีรีเควสที่สาม

เนื้อเพลงของเพลงประกอบต้องการภาษากลาง เพราะจะปล่อยเกมออกไปทั่วทั้งบลูสตาร์

แน่นอนว่าเกมที่เจาะกลุ่มผู้เล่นในฉีโจวจะใช้ภาษาฉี

ทว่าเกมที่เจาะกลุ่มผู้เล่นทั่วทั้งบลูสตาร์จะใช้เพลงภาษากลางอย่างแน่นอน

หลินเยวียนยังคิดว่าตนต้องเขียนเพลงภาษาฉีเสียอีก นึกไม่ถึงว่ามาออเดอร์แรกก็เป็นภาษากลางเลย

เขาเรียกระบบออกมา อ่านรีเควสของออเดอร์ให้ฟังหนึ่งรอบ “สั่งทำเพลงแบบนี้คิดเงินเท่าไหร่”

ระบบ “ห้าแสน”

แม้ว่าสิ่งที่ต้องการจะยุ่งยากพอดู แต่เพลงในลักษณะนี้ก็พบเห็นได้ทั่วไป ดังนั้นราคาที่ระบบกำหนดจึงไม่ได้สูงเกินไป

เมื่อพิจารณาถึงส่วนแบ่งออเดอร์ รวมไปถึงส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดหลังจากเพลงนี้ปล่อยออกไปแล้ว หลินเยวียนรู้สึกว่าธุรกิจนี้ค่อนข้างคุ้มค่า

“สั่งทำหรือไม่”

“สั่งทำเลย”

ในบัญชีธนาคารของหลินเยวียนตอนนี้ยังเหลือเงินอยู่อีกประมาณหนึ่งล้านหยวน เพียงพอให้สั่งทำเพลงราคาห้าแสนหยวน

“กำลังสุ่มเลือกเพลง…”

ใช้เวลาราวๆ สามสิบวินาที ระบบจึงเลือกเพลงสำเร็จ “ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ได้รับเพลง ‘ยุทธจักรยิ้มเย้ย[1]’ ต้องการทดลองฟังหรือไม่”

“ทดลองฟัง”

หลินเยวียนตอบ

เพลงนี้เขาพอจะมีภาพจำอยู่บ้าง

คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นบทเพลงประกอบเรื่องมังกรหยกภาคสอง เวอร์ชันปี 2006

เพลงที่ระบบเล่น เป็นเวอร์ชันดั้งเดิมของโจวหวาเจี้ยน

หลินเยวียนฟังเพลงไปพลางพยักหน้าอย่างพออกพอใจ

บทเพลงนี้กับเกมน่าจะจัดว่าเข้ากันได้ทีเดียว บุญคุณและความแค้นในยุทธจักร ความรักและความเกลียดชัง ล้วนมีอยู่ในบทเพลง

‘ยุทธจักร…ยิ้มเคืองขัด…ดวลแลกหมัด…ยิ้มซ่อนมีด…เธอแสนดี…รักไม่มี…ชั่วชีวี…ไม่ลืมเรา…โอ้บุปผาหาใช่เช่นที่เห็นมา…’

สไตล์เพลงก็เหมาะมากทีเดียว

สำหรับรีเควสของออเดอร์ขนาดเล็ก เพลงนี้น่าจะไม่มีปัญหา หลินเยวียนคิดเช่นนี้ พลางเอื้อมมือไปกดชักโครก

…………………………………………………………….

[1] ยุทธจักรยิ้มเย้ย (《江湖笑》) ต้นฉบับขับร้องโดยโจวหวาเจี้ยน (Emil Wakin Chau) เป็นเพลงปิดของเรื่องมังกรหยก ตอนศึกอภินิหารเจ้าอินทรี (2006)

ประตูห้องไม่ได้ปิด

คนที่เป็นหัวหน้าปรายตามองมาก็เห็นหลินเยวียนซึ่งยืนอยู่ที่โต๊ะทันที ก่อนจะมองป้ายบนโต๊ะทำงานของหลินเยวียน ทันใดนั้นก็พูดเสียงสูงขึ้นมา “คุณเป็นตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมาใช่มั้ยครับ รบกวนช่วยติดต่อสำนักงานใหญ่ บอกว่าบริษัทย่อยของพวกคุณทำออเดอร์ของพวกผมไม่ไหว ให้สำนักงานใหญ่ทำแทน ก่อนหน้านี้เราเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกันแล้ว!”

“ตัวแทนของพวกเราเพิ่งถึง…”

เสียงของคนที่เพิ่งกล่าวขอโทษเมื่อครู่นี้ดังขึ้น ก่อนที่ผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งจะปรากฏตัวที่หน้าประตู สีหน้าของเขาแลดูประดักประเดิด หลังจากโค้งให้หลินเยวียนแล้วก็พาคนกลุ่มนั้นเดินออกจากบริษัท เสียงค่อยๆ ห่างออกไป

หลินเยวียนถาม “ใครเหรอครับ”

กู้ตงตอบอย่างจนใจ “เขาก็คือกู้เฉียงอวิ้นกรรมการผู้จัดการของบริษัทย่อย ขณะเดียวกันก็เป็นพ่อของฉันด้วย คนกลุ่มเมื่อกี้คือลูกค้าสำคัญที่สุดของบริษัทย่อยเราในตอนนี้ ก่อนหน้านี้ร่วมงานกันหลายครั้งค่ะ แค่ในการร่วมงานกันครั้งนี้ ผลงานที่พวกเราทำออกมาทางผู้ว่าจ้างไม่พอใจเลยค่ะ พวกเขาเลยมาเร่งถึงที่ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”

“อ้อ”

หลินเยวียนนั่งลง

กู้ตงเห็นว่าหลินเยวียนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในใจก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนคาดเดาได้แม่นยำเหลือเกิน สำนักงานใหญ่ส่งคนมาแล้วความลำบากของบริษัทย่อยจะหายเป็นปลิดทิ้งไปได้ยังไง

“จริงสิ”

เก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่ก็น่าจะเป็นเก้าอี้ใหม่ นั่งแล้วรู้สึกสบายจริงๆ หากว่ากันเรื่องสถาพแวดล้อมในการทำงานแล้วหลินเยวียนชอบมาก เขาปรับท่านั่งสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวรบกวนช่วยส่งที่อยู่ของที่พักให้ผมหน่อยนะครับ”

“รอเลิกงาน”

กู้ตงตอบ “ฉันจะไปส่งคุณเองค่ะ”

หลินเยวียนพยักหน้า ประหยัดค่ารถไปได้อีกหน่อย

ในตอนนั้นเอง กู้เฉียงอวิ้นกรรมการผู้จัดการก็มา เขาเคาะประตู ใบหน้าประดับรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจ “เพิ่งจะมาถึงบริษัทก็ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ขอโทษด้วยนะครับ ผมเป็นผู้จัดการของบริษัทย่อย สวัสดีครับ!”

เขายื่นมือออกมา

หลินเยวียนจับมือกับอีกฝ่ายไปตามมารยาท จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ผมเพิ่งมาถึง เลยยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ ไม่ทราบว่าออเดอร์แบบเมื่อกี้ ที่บริษัทย่อยนี้มีเยอะมั้ยครับ”

กู้ตง “…”

กู้เฉียงอวิ้น “…”

บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนไปหลายวินาที กู้เฉียงอวิ้นถึงได้กระแอมออกมา “บริษัทเราไม่ได้รับออเดอร์ใหม่มาสองเดือนแล้วครับ เมื่อกี้เป็นออเดอร์เดียวที่พวกเรามี”

“น้อยเกินไปครับ”

“บริษัทเราเล็กน่ะครับ”

เหงื่อของกู้เฉียงอวิ้นหยดลงมา ตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมาแม้จะอายุน้อย แต่ก็ดูท่าทางดุดันไม่เบา เขาไม่ค่อยพอใจกับงานของพวกเราที่นี่แล้ว ถ้าเขาไปฟ้องสำนักงานใหญ่จะทำยังไงล่ะ

“เข้าใจแล้วครับ”

หลินเยวียนกลับไม่ได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนที่กู้เฉียงอวิ้นจินตนาการไว้ เขาสนใจเพียงราคาของออเดอร์ “ออเดอร์นี้ ผู้ว่าจ้างให้ราคาเท่าไหร่ครับ”

“แปดแสน”

กู้เฉียงอวิ้นตอบกลับ

ครั้งนี้หลินเยวียนขมวดคิ้วมุ่นจริงๆ ราคาของออเดอร์นี้ต่ำเกินไป ตอนที่สำนักงานใหญ่รับออเดอร์จากมังกรมัจฉาเริงระบำ อีกฝ่ายเสนอราคาให้ห้าล้านหยวน ทำไมราคาของออเดอร์ในฉีโจวถึงได้ต่ำขนาดนี้เนี่ย

ขุมนรก!

นี่คือขุมนรกชัดๆ!

กู้เฉียงอวิ้นลอบสังเกตสีหน้าของหลินเยวียนอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้วอย่างที่คิด ในใจก็พลั่นหดหู่ “คุณอาจอยู่ที่สำนักงานใหญ่จนชิน สตาร์ไลท์ที่ฉินโจวเป็นบริษัทบันเทิงระดับท็อป แต่สตาร์ไลท์ที่ฉีโจวที่จริงแล้วเป็นแค่บริษัทดนตรีขนาดเล็ก เพราะอัตราความสำเร็จของออเดอร์นั้นมีไม่สูง ราคาออเดอร์ที่พวกเราได้รับสูงสุดก็หนึ่งล้านได้ มีแค่บริษัทบันเทิงขนาดใหญ่ถึงจะได้ราคาออเดอร์ที่สูงถึงหลายล้าน…”

“อัตราความสำเร็จของออเดอร์?”

หลินเยวียนใจกระตุกวาบ

กู้เฉียงอวิ้นชะงักไป ดูท่าหลินเยวียนจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ เขาตั้งสติพูดอธิบาย “เพราะที่ฉีโจวทุกปีจะมีหนังกับซีรีส์ออกมาเยอะมาก แน่นอนว่ายังมีพวกเกมอีก เพราะฉะนั้นดีมานด์ของดนตรีก็เยอะมาก โดยทั่วไปโปรดักชันระดับสูงจะสั่งทำที่ฉินโจว แต่ฟอร์มเล็กสู้ราคาของฉินโจวไม่ไหว ก็จะมาร่วมงานกับบริษัทเพลงเล็กๆ ของที่นี่น่ะครับ”

หลินเยวียนคล้ายกับกำลังใช้ความคิด

กู้ตงซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “แต่บริษัทดนตรีเล็กๆ อย่างเรามีความสามารถจำกัด ดังนั้นถ้าทางผู้ว่าจ้างเอาแต่ไม่พอใจกับเพลงที่พวกเราเสนอ ออเดอร์ของเราก็ใช้งานไม่ได้ค่ะ พอถึงตอนนั้นทั้งสองฝ่ายก็ต้องทำการเจรจาต่อรองกันตามสัญญาที่เซ็นไว้ก่อนหน้านี้ บางครั้งก็ยกเลิกสัญญาไปเลย บางครั้งพวกเราก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทำผิดสัญญา”

“เดี๋ยวนะครับ”

หลินเยวียนพบช่องโหว่อย่างหนึ่ง “ถ้ามีผู้ว่าจ้างจงใจหลอกเรียกร้องค่าเสียหายโดยใช้เหตุผลว่าเพลงแตะไม่ถึงมาตรฐานล่ะครับ ถึงยังไงคุณภาพของเพลงดีไม่ดีก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับบุคคล”

“คุณวางใจเถอะครับ”

กู้เฉียงอวิ้นยิ้มเอ่ย “เรื่องทำนองนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก เพราะสัญญาส่วนมากเราก็ยกเลิกไปเลย มีแค่ตอนที่ต้องดีลกับผู้ว่าจ้างที่ชื่อเสียงค่อนข้างดีในฉีโจว พวกเราถึงค่อยเติมตัวเลือกนี้ลงไปในสัญญาด้วย โดยทั่วไปแล้วตัวเลขก็ไม่ได้สูงมาก ไม่ถึงขั้นทำให้ทางผู้ว่าจ้างยอมเสี่ยงเอาชื่อเสียงมาหลอกเราหรอกครับ มิหนำซ้ำฉีโจวยีงมีสมาคมที่ทำการตรวจสอบโดยเฉพาะ เวลาทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ก็จะใช้ช่องทางที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการตัดสิน สมาคมตรวจสอบก็ยุติธรรมมาก ถ้าหากไม่ยอมรับผลการตัดสินของสมาคม ก็ปล่อยเพลงออกไป แล้วรอรับคำตัดสินจากสาธารณชนก็ยังได้”

หลินเยวียนพยักหน้า

แม้จะยังเป็นปัจจัยที่เป็นอัตตวิสัย แต่ถ้าทำถึงระดับนั้นก็เพียงพอแล้ว คนหนึ่งร้อยคนฟังเพลงเพลงหนึ่ง เก้าสิบคนคิดว่าเพลงนี้ไม่ได้เรื่อง ต่อให้เป็นมุมมองแบบอัตตวิสัย แต่ก็เป็นอัตตวิสัยของคนส่วนมาก ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทส่วนมากให้ความสำคัญกับชื่อเสียง ถ้าชื่อเสียงของบริษัทเสียหาย ก็ยากที่จะยืนหยัดในวงการต่อไป

“อันที่จริง”

กู้ตงช่วยขจัดความสงสัยของหลินเยวียนไปอีกขั้น “โดยพื้นฐานแล้วไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนไม่พอใจกับผลการตัดสินของสมาคมตรวจสอบดนตรีนะคะ สมาชิกในสมาคมตรวจสอบดนตรีมีแต่ผู้อาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิในวงการดนตรีซึ่งล้วนเป็นที่นับหน้าถือตาในฉีโจว นี่เป็นงานของพวกเขาค่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า “ดังนั้นถ้าพวกเราสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของออเดอร์ได้ ต่อไปราคาที่ผู้ว่าจ้างเสนอมาก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่อาจเจอออเดอร์ราคาหลายล้านหยวนเลยใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ”

กู้เฉียงอวิ้นอยากเตือนหลินเยวียนสักประโยค ว่าทั่วทั้งฉีโจวก็มีแค่ไม่กี่บริษัทที่ได้รับออเดอร์ราคาหลายล้าน คนเขายินดีจ่ายหลายล้านทำเพลงออกมาสักเพลง ไปจ้างมาตุภูมิแห่งดนตรีอย่างฉินโจวทำไม่ดีกว่าหรือ แต่เมื่อเห็นว่าแววตาของหลินเยวียนแข็งกร้าวขึ้นมา เขาก็รูปซิปปากอย่างว่าง่าย

การมีความฝันนับเป็นเรื่องดี

หลินเยวียนอารมณ์ดีขึ้นมา ที่นี่ไม่ได้แย่เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ เขาจึงเอ่ยปาก “งั้นก็มาทำให้อัตราความสำเร็จของออเดอร์สูงขึ้นกันเถอะครับ รบกวนพวกคุณช่วยส่งออเดอร์นั้นให้ผมดูหน่อยนะครับ”

“หา?”

กู้เฉียงอวิ้นและกู้ตงมองหน้ากัน ทำไมคำพูดของคุณถึงฟังดูสบายอกสบายใจขนาดนี้ ทำให้อัตราความสำเร็จของออเดอร์สูงขึ้น คุณรู้ไหมว่าแต่ละออเดอร์ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนเลยนะ

“ไม่สะดวกเหรอครับ”

หลินเยวียนเงยหน้าขึ้นมามองทั้งสอง

กู้ตงรีบตอบ “คุณรอแป๊บนึงนะคะ ฉันกำลังจะไปหยิบออเดอร์มา แรกเริ่มเดิมทีออเดอร์นี้ผู้ชำนาญการของแผนกประพันธ์เพลงเป็นคนรับผิดชอบ แต่เป็นเพราะทำยังไงก็ไม่สำเร็จ เลยเข้าไปอยู่ในกองกลาง ใครจะรับไปทำก็ได้ คุณลองดูว่าเหมาะกับตัวเองไหม”

“ครับ”

หลินเยวียนเตรียมพร้อมแล้ว แม้ว่าราคาของออเดอร์ในบริษัทตอนนี้จะไม่สูง แต่อ้างอิงจากแนวทางของฉีโจว ขอเพียงอัตราความสำเร็จของออเดอร์เพิ่มสูงขึ้น ต่อไปราคาที่ทางผู้ว่าจ้างเสนอมาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

หลินเยวียนพร้อมแล้ว

…………………………………………..

ปลายเดือนสิงหาคม ณ สนามบิน

หลินเซวียน ซย่าฝาน และซุนเย่าหั่วมาส่งหลินเยวียน ในครั้งนี้ซุนเย่าหั่วไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำอีก เขาเปลี่ยนจากความคิดว่าไม่อยากให้ใครจำได้ ไปเป็นอยากให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจดจำได้

“นั่นดาราใช่มั้ย”

“เหมือนจะใช่จริงด้วย!”

“ชื่ออะไรนะ”

ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังมา

ซุนเย่าหั่วยืดอก ผุดยิ้มหันไปยังกลุ่มคน แต่ชั่วขณะต่อมารอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง เพราะเขาพบว่าคนเหล่านั้นมองไปทางซย่าฝาน บ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป บ้างก็หยิบสมุดขึ้นมาขอลายเซ็น…

“ซย่าฝาน!”

“ซย่าฝาน!”

ในตอนนั้นหลินเยวียนไปขึ้นเครื่องไม่นาน ซุนเย่าหั่วก็สัมผัสได้ถึงความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวล่วงหน้า ท่ามกลางสนามบินอันกว้างใหญ่ เพียงแต่เขาถูกผู้คนเข้ามาเบียดเสียดห้อมล้อมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“…”

หลินเยวียนไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกยามที่นั่งเครื่องบินสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะกลัวความสูงอะไรหรอก เพียงแค่ขณะที่เครื่องบินเพิ่มเพดานบินขึ้นเรื่อยๆ ในหูของเขาก็รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย เขาทำได้เพียงพยายามข่มตาหลับ ยังไงซะการเดินทางในครั้งนี้ก็กินเวลานานถึงเจ็ดชั่วโมง

ตั๋วเครื่องบินนั้นพี่สาวเป็นคนจอง

เธอซื้อตั๋วชั้นธุรกิจให้

กว่าหลินเยวียนจะมารู้เรื่องนี้อีกทีก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้แค่แบกรับความปวดใจ ถึงยังไงราคาของตั๋วชั้นธุรกิจกับชั้นประหยัดก็ต่างกันพอดู ส่วนต่างตรงนี้หลินเยวียนเอาไปซื้อขนมเปี๊ยะไข่แดงได้ไม่รู้ตั้งกี่ชิ้น

ในตอนนั้นกำลังจะถึงกำหนดการส่งมอบวิลล่า

ค่าใช้จ่ายในตกแต่งภายในหลินเยวียนเป็นคนจ่าย

ค่าดำเนินการจิปาถะให้พี่รับผิดชอบก็ได้แล้ว

และหลังจากผ่านการใช้จ่ายในส่วนนี้ไป ในกระเป๋าของหลินเยวียนก็เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไหร่ ยังดีที่เดือนกันยายนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมีค่าต้นฉบับและส่วนแบ่งจากเพลงโอนเข้ามาในบัญชี ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด…

ผ่านไปเจ็ดชั่วโมง

หลินเยวียนก็เดินทางถึงฉีโจว

ที่ฉีโจวยังสว่างอยู่ หลินเยวียนใช้เวลานอนไปครึ่งหนึ่งของการเดินทาง จนรู้สึกว่าสมองมึนงงขณะที่ลงจากเครื่องบิน เขาไปรับกระเป๋าที่สายพานเรียบร้อยแล้ว จึงตรงไปล้างหน้าในห้องน้ำ ถึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง

เมืองอี้ ฉีโจว

นี่คือเมืองที่หลินเยวียนบินมาลง เป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในฉีโจว เวลาของที่นี่ต่างกับเวลาของเมืองซูในฉินโจวทั้งหมดประมาณสี่ชั่วโมง สำหรับหลินเยวียนแล้วนับว่าปรับตัวได้ไม่ยากเท่าไหร่

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร

นี่เป็นเบอร์ที่เหล่าโจวให้หลินเยวียนมา บอกว่าหลังจากถึงฉีโจวแล้วให้ติดต่อได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะมีคนมารับตนไปที่บริษัทย่อย ส่วนที่พักก็ให้คนของทางบริษัทย่อยจัดการไว้ล่วงหน้าแล้วเสร็จสรรพ

เมื่อต่อสายติด

ปลายสายเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณคืออาจารย์เซี่ยนอวี๋ใช่มั้ยคะ ฉันรอคุณอยู่ที่เกตชั้นหนึ่ง ตอนนี้รถจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านล่างนะคะ คุณออกมาแล้วก็จะเห็นฉัน ฉันใส่เสื้อคลุมสีแดง…”

“เห็นคุณแล้วครับ”

หลินเยวียนมองไปยังหญิงสาวซึ่งอยู่ไกลออกไป

สีหน้าของอีกฝ่ายยามที่เห็นหลินเยวียน เห็นได้ชัดว่าตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็กดวางสายแล้วเดินมา ใช้น้ำเสียงไม่มั่นใจเอ่ยว่า “ฉันชื่อกู้ตง เป็นเจ้าหน้าที่ที่บริษัทย่อยของสตาร์ไลท์ค่ะ คุณคืออาจารย์เซี่ยนอวี๋ใช่มั้ยคะ”

หลินเยวียนพยักหน้า

กู้ตงนึกตกใจอยู่บ้าง ตัวแทนที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมายังดูเด็กอยู่เลย อันที่จริงเรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของกู้ตง อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้กู้ตงก็เคยหาข้อมูลของเซี่ยนอวี๋มาบ้าง รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของฉินโจว ฉะนั้นจึงไม่กล้าเพิกเฉยไม่เอาใจใส่หลินเยวียนเพียงเพราะเขาอายุน้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่บริษัทกันก่อน?”

“ครับ”

เซี่ยนอวี๋พูดน้อยจัง

นิสัยค่อนข้างเย็นชา

กู้ตงเริ่มมีทัศนะต่อหลินเยวียนแบบนี้ ออกตัวช่วยหลินเยวียนยกกระเป๋าเดินทาง “คุณนั่งเครื่องมาคงเหนื่อยน่าดู เอากระเป๋าเดินทางให้ฉันก็ได้ค่ะ ลานจอดรถอยู่ชั้นล่าง คุณเดินตามฉันมาก็พอแล้วค่ะ”

หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธ

รถเดินทางออกจากสนามบิน กู้ตงพูดแนะนำสถานการณ์ต่างๆ กับหลินเยวียน “หลังจากนี้ฉันจะเป็นเลขาในบริษัทย่อยของคุณ ต้องการอะไรคุณบอกฉันได้เลย อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากสอบถามเป็นการส่วนตัว ชื่อจริงของคุณคือเซี่ยนอวี๋หรือเปล่าคะ”

“ผมชื่อหลินเยวียน”

กู้ตงพยักหน้า เซี่ยนอวี๋เป็นชื่อในวงการจริงด้วย “งั้นต่อไปฉันจะเรียกคุณว่าตัวแทนหลินก็แล้วกันนะคะ หรือว่าคุณชอบชื่ออาจารย์เซี่ยนอวี๋ก็ได้นะคะ ฉันจะได้แจ้งกับทางบริษัท”

“แล้วแต่เลยครับ”

หลินเยวียนตอบอย่างรวบรัด

กู้ตงหัวเราะแห้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ส่วนหลินเยวียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาพี่สาว จากความต่างของเวลาแล้ว การติดต่อสื่อสารระหว่างทั้งสองพื้นที่ก็ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร

ส่งข้อความเสร็จ

หลินเยวียนก็ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมในฉีโจว มีสองแพลตฟอร์มในนั้นที่ได้รับความนิยมในฉินโจวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองพื้นที่มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้หลินเยวียนรู้สึกคิดถึงบ้านน้อยลง

หลินเยวียนสวมหูฟัง

เปิดเพลงฟัง

เพลงที่เขาฟังล้วนเป็นเพลงที่ค่อนข้างฮิตของฉีโจว มีสไตล์แตกต่างกับทางฉินโจวอยู่พอสมควร คุณภาพโดยภาพรวมนั้นสู้เพลงของฉินโจวไม่ได้ ไม่เสียชื่อที่ฉินโจวถูกขนานนามว่าเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรี อีกทั้งที่นี่เพลงภาษาฉีนั้นเป็นที่นิยมมากกว่าจริงๆ ให้หลินเยวียนสุ่มเลือกเปิดเพลงฮิตของฉีโจวมา กว่าร้อยละเจ็ดสิบของผลงานล้วนแต่ใช้ภาษาฉีขับร้อง ที่เหลืออีกร้อยละสามสิบเป็นเพลงภาษากลาง

ไม่รู้ว่าฟังเพลงอยู่นานแค่ไหน

ทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงบริษัทย่อย

หลินเยวียนกับกู้ตงลงจากรถพร้อมกัน มาถึงหน้าประตูบริษัทแห่งหนึ่ง บริษัทแห่งนี้มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สตาร์ไลท์มิวสิก’ แต่ว่าขนาดของพื้นที่นั้นเทียบไม่ได้กับสำนักงานใหญ่เลย แม้แต่ชื่อของบริษัทก็ยังสีซีดเซียวขึ้นสนิมเพราะปราศจากการบำรุงรักษามานาน

“บริษัทมีทั้งหมดสามชั้น”

กู้ตงเอ่ยแนะนำ “สตูดิโออัดเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ชั้นหนึ่ง ชั้นสองส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำงาน ชั้นสามเป็นห้องทำงาน คุณเป็นตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมา อยู่ระดับเดียวกับกรรมการผู้จัดการ ดังนั้นพวกเราเลยจัดห้องทำงานของตัวแทนให้คุณแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า

ตำแหน่งที่ตั้งของบริษัทนี้ออกจะห่างไกลไปหน่อย ทว่าข้อดีของความไกลตัวเมืองก็คือสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่เลวเลย พื้นที่โปร่งโล่งโอ่โถง อาคารของบริษัทขนาดสามชั้นเทียบไม่ได้กับสำนักงานใหญ่ แต่ได้ยินว่าบริษัทก็เติบโตได้ไม่มาก หลินเยวียนเองก็เข้าใจได้

บริษัทไม่มีลิฟต์

ทั้งสองคนทำได้เพียงเดินขึ้นบันได

หลินเยวียนไม่ได้รังเกียจรังงอน เดินตามกู้ตงไปสำรวจบริษัทอย่างสนอกสนใจ ขณะที่เดินผ่านพื้นที่ทำงานชั้นสอง พนักงานไม่น้อยก็มองไปยังหลินเยวียนซึ่งอยู่ด้านหลังกู้ตง

“กู้ตงไปรับคนมาแล้ว?”

“นั่นเป็นตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมา?”

“ทำไมรู้สึกว่าดูอายุน้อยมากเลย”

“คงเป็นเพราะอายุน้อยถูกรังแกง่าย เลยถูกส่งมาที่นี่ล่ะมั้ง บริษัทย่อยซอมซ่ออย่างพวกเรา สำนักงานใหญ่ไม่ให้ความสำคัญหรอก ผู้จัดการขอร้องอยู่ตั้งหลายเดือน กว่าทางสำนักงานใหญ่จะส่งคนมา ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการเห็นคนเขาเป็นฟางช่วยชีวิต[1] แต่ลืมไปว่าฟางเส้นเดียวจะไปช่วยชีวิตคนตกน้ำได้ยังไง…”

“ฉันสงสัยว่าเขาอาจเป็นนักศึกษาอยู่เลย”

“ตอนนี้ฉันเริ่มเป็นห่วงแล้วว่าบริษัทจะต้องปิดเพราะล้มละลายปีนี้แหละ สำนักงานใหญ่ส่งเด็กน้อยมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจใยดีบริษัทเรา ตอนนี้หางานก็ไม่ง่าย พวกแกหาที่ทำงานใหม่กันได้แล้ว?”

“อย่าพูดเหลวไหลน่ะ ฉันเป็นพนักงานที่จงรักภักดีกับบริษัทเว้ย!”

“มั่นหน้ามากจ้า ก่อนหน้าแกจะมาอยู่บริษัทนี้ก็มีเกียรติประวัติว่าย้ายงานมาห้าครั้ง ถ้าบริษัทเราไม่ได้ขาดคน ตอนนั้นทางHRเขาไม่รับแกหรอกย่ะ”

“…”

หลินเยวียนย่อมไม่ได้ล่วงรู้ถึงการสนทนากันของคนในบริษัท เขาเดินตามกู้ตงเข้าไปยังห้องทำงาน พื้นที่ของห้องทำงานแห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่ แต่ทัศนียภาพกลับไม่เลวเลย มองจากหน้าต่างออกไป ก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ผืนหนึ่งพอดิบพอดี นั่นทำให้หลินเยวียนหวนนึงถึงโต๊ะทำงานของตนที่สำนักงานใหญ่

หน้าโต๊ะมีป้ายวางไว้

ตัวแทนสำนักงานใหญ่: หลินเยวียน

โต๊ะทำงานสีดำ มุมของห้องยังมีไม้ประดับสีเขียวสดตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนมาปัดกวาดเช็ดถูแล้ว “อีกเดี๋ยวจะมีประชุมนะคะ จะแนะนำคุณกับพนักงานในบริษัทสักหน่อย เย็นนี้ผู้จัดการจัดพิธีต้อนรับให้คุณ เขาให้ความสำคัญกับคุณมากเลยนะคะ!”

กู้ตงเอ่ยพลางยิ้มบาง

ทว่าภายใต้รอยยิ้มของกู้ตงนี้ แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น ‘ความฝันของพ่อคือสำนักงานใหญ่ส่งคนมา ความคาดหวังในอนาคตของทั้งบริษัทล้วนแต่โถมลงมาที่ตัวแทนคนนี้ แต่คนคนเดียวจะมากอบกู้สถานการณ์ของบริษัทย่อยได้ง่ายๆ หรือยังไง’

“ไม่ต้องหรอกครับ”

หลินเยวียนปฏิเสธไปตามตน

เขาไม่ชอบพิธีต้อนรับอะไรเทือกนี้ ในตอนนี้เขามีปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า “ที่พักของผมจัดไว้ยังไงเหรอครับ ห่างจากวิทยาลัยศิลปะฉีโจวไกลไหม ไปเรียนสะดวกหรือเปล่าครับ”

กู้ตง “…”

หัวใจของเธอรู้สึกขมขื่นเสียยิ่งกว่าเดิม

ตัวแทนคนนี้เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง ตอนที่สำนักงานใหญ่ส่งคนมาได้แจ้งเอาไว้ชัดเจนแล้ว โจวรุ่ยหมิงก็โทรศัพท์มาเน้นย้ำด้วยตนเอง ‘ภารกิจหลักที่เซี่ยนอวี๋มาฉีโจวก็คือเรียนหนังสือ เขาไปในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจว’

ความหมายโดยนัยนั้นชัดเจน

อย่ามอบหมายงานให้เซี่ยนอวี๋มากเกินไป

เมื่อตั้งสติได้ กู้ตงก็เค้นรอยยิ้มพูดว่า “ที่พักของคุณไกลจากบริษัทนิดหน่อย แต่ใกล้กับวิทยาลัยมาก

นี่เป็นเรื่องที่ทางสำนักงานใหญ่กำชับมาเป็นพิเศษ ฉันช่วยเช่าห้องให้คุณแล้ว ค่าเช่าทางเราจะรับผิดชอบเอง”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนวางใจแล้ว

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เนื้อหาโดยละเอียดฟังไม่ชัดเจน จากในห้องทำงานของหลินเยวียนสามารถฟังได้คร่าวๆ “ถ้าบริษัทของพวกคุณทำงานนี้ไม่ไหวก็ส่งให้สำนักงานใหญ่ ก่อนหน้านี้เซ็นสัญญากับพวกคุณก็เห็นแก่สำนักงานใหญ่ของสตาร์ไลท์ พวกคุณเองก็รับปากกับเราแล้ว…”

เสียงนี้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

หลินเยวียนได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนกล่าวขอโทษขอโพย “ทางพวกเรากำลังจะส่งเพลงไปให้คุณอยู่หลายเพลง ต้องทำให้คุณพึงพอใจได้แน่นอนครับ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นใช่มั้ยล่ะครับ เราให้ความสำคัญกับออเดอร์ของบริษัทคุณมาก…”

พูดยังไม่ทันจบ

ผู้ชายซึ่งสวมสูทสามสี่คนก็เดินผ่านห้องทำงานของหลินเยวียน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องทำงานมีป้ายติดไว้ก็ชะงักฝีเท้าลง “สำนักงานใหญ่ที่ฉินโจวส่งตัวแทนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกพวกผมสักคำ”

…………………………………………………………………

[1] ฟางช่วยชีวิต หมายถึงความหวังสุดท้าย

“น่าเสียดาย…”

เมื่อกินข้าวเสร็จและกำลังจะแยกย้ายกัน ซุ่นเย่าหัวก็เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเสียดาย “ไม่นานมานี้ฉันกู้เงินมาเปิดร้านหม้อไฟ เดิมทีอยากเชิญรุ่นน้องไปลองชิมตอนเปิดร้าน แต่นายจะไปฉีโจวไปเดือนนี้แล้วใช่มั้ย”

“ยังมีฉันนะ!”

หลินเซวียนพลันดวงตาเป็นประกาย

ซุนเย่าหั่วพยักหน้ารัว “พี่จะมาตอนไหนก็ได้เลยครับ ผมจะแจ้งกับผู้จัดการไว้ ให้พี่กินฟรีตลอดชีพ ตราบใดที่พี่ยินดีมากิน เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ไปให้ สิ้นเดือนหน้าเปิดกิจการ พอถึงตอนนั้นก็มาได้เลยนะครับ!”

“นายพูดแล้วนะ”

หลินเซวียนดีอกดีใจ ถึงขั้นที่เมื่อซุนเย่าหั่วเรียกเธอว่าพี่ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงแม้อายุของซุนเย่าหั่วอาจจะมากกว่าเธอ แต่เรียกว่าพี่ก็แลดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้ดูมีอายุ จะกลัวอะไรกับแค่คำเรียกขาน

“อีกอย่าง…”

ซุนเย่าหั่วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ยังมีร้านชานมกับร้านอาหารเช้าในชื่อของผมอีกนะ เอาไว้ผมจะพาพี่ไปลองชิมดู หลังจากนี้พี่พาคนมาก็ไม่มีปัญหาครับ ให้กินฟรีทุกคนเลย ใครให้ผมสนิทกับรุ่นน้องขนาดนี้ล่ะเนอะ!”

“เอาไว้ผมค่อยกลับมากิน”

หลินเยวียนพยักหน้า รู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง อดกินหม้อไฟสักระยะ เชื่อว่าร้านหม้อไฟของรุ่นพี่ซุนต้องอร่อยมากแน่ๆ เพราะรุ่นพี่ซุนเป็นคนหนึ่งที่พิถีพิถันกับอาหาร เขามักจะเจอร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในฉินโจวอยู่เสมอ

ซุนเย่าหั่วรู้สึกตื่นเต้น

หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เขาพูด เห็นได้ชัดว่าหลินเยวียนก็คิดว่าความสัมพันธ์ของตนกับเขาไม่เลวเลย ตอนที่รุ่นน้องออกเดินทางจะต้องไปส่งรุ่นน้องที่สนามบิน เพื่อเป็นการกระชับมิตรภาพกับทุกคน!

ไม่ต้องพูดถึงเลย

ยามที่บอกลากับรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วก่อนกลับที่พัก หลินเยวียนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการจากลาจริงๆ

ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันมานานขนาดนี้ อยู่ๆ จะต้องแยกจากกันไปเป็นปี พลอยให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง

ช่วงเวลาหลังจากนี้

ความรู้สึกของการจากลาก็อบอวลขึ้นเรื่อยๆ

ซย่าฝานเองก็แวะมาหาหลินเยวียนหลังจากไปๆ มาๆ งานอีเวนต์ทุกวัน

ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพในวงการ ไม่ง่ายเลยที่จะหาเวลามาได้เช่นนี้

นอกจากนั้นแล้ว

ในฐานะศิลปินของสตาร์ไลท์ เจียงขุยก็รู้ข่าวว่าเซี่ยนอวี๋จะไปฉีโจวมาจากคนในบริษัท

มีเพียงเจียงขุยกับซุนเย่าหั่ว ที่เคยร่วมงานกับหลินเยวียนสองครั้ง

ถึงขั้นที่เจียงขุยยังได้ร่วมงานกับหลินเยวียนเป็นครั้งที่สองเร็วกว่าซุนเย่าหั่วไปหนึ่งก้าว

จะมีครั้งที่สามหรือไม่ ไม่มีใครล่วงรู้ได้

แต่เมื่อได้ยินว่าเซี่ยนอวี๋จะไปฉีโจว เจียงขุยก็รีบไปเลี้ยงข้าวหลินเยวียนสักมื้อ หนำซ้ำยังตั้งอกตั้งใจเตรียมของขวัญเป็นอย่างดี

“คืออะไรเหรอครับ”

หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เจียงขุยตอบอย่างกระดากอายเล็กน้อย “ช่วงนี้ฉันเรียนทำขนมมานิดหน่อย นี่เป็นขนมเปี๊ยะไข่แดงที่ฉันทำเสร็จก่อนออกมาค่ะ”

หลินเยวียนแววตาพลันเป็นประกาย

ไอศกรีมกับเยลลีพุดดิ้งเป็นของที่หลินเยวียนชอบที่สุด

แต่ว่า ขนมเปี๊ยะไข่แดงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!

ปั้นขนมได้กลมดิก มองปราดเดียวก็รู้ว่าพิถีพิถันมาก

เขารับของขวัญมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง

“ในนี้มีไข่แดงใช่มั้ยครับ”

“ใช่ค่ะ ฉันใส่ไข่แดงเค็มเข้าไป ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณมั้ย”

“ผมชอบกินไข่แดงมาก ทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ รู้สึกว่าอร่อยทุกอย่างเลยครับ”

เมื่อก่อนหลินเยวียนกินขนมไหว้พระจันทร์ ก็จะเลือกแต่ไส้ไข่เค็ม และจะแย่งกับน้องสาวทุกครั้งไป ทว่าโดยมากก็จะจบลงที่ทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง

น้องสาวกินไข่เค็ม

หลินเยวียนกินส่วนที่เหลือ

ในวันนี้ได้กินไข่แดงเค็มคนเดียวอย่างเต็มที่ จะมีอะไรที่สุขสมไปมากกว่านี้อีกล่ะ

“ชอบก็ดีแล้วค่ะ”

เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนมีท่าทางดีใจ เจียงขุยก็ลอบกำหมัด

ความสัมพันธ์ของเธอกับหลินเยวียน ไม่ได้สนิทสนมกันเฉกเช่นซุนเย่าหั่ว ฉะนั้นเธอจึงยังกังวลว่าการพบกันในครั้งนี้จะเสียมารยาทหรือเปล่า

ของขวัญนี้ เป็นสิ่งที่เธอขบคิดอยู่นานกว่าจะนึกขึ้นมาได้

เพลงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋โด่งดังทุกเพลง ดังนั้นเขาไม่มีทางเงินขาดมือ

และคนที่มีเงิน ก็มักจะไม่ได้สนใจเงินสักเท่าไหร่ ย่อมไม่ได้แสวงหาความเป็นวัตถุนิยมสูงนัก

ต่อให้ตนซื้อของขวัญราคาหลักพันหลักหมื่น อย่างเช่นพวกใบชา ก็ใช่ว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋จะดีใจ

ถึงขั้นที่อาจคิดว่าตนนั้นตื้นเขิน ไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่มาเลียแข้งเลียขาเขา

ตัวอย่างเช่นซุนเย่าหั่ว

ทว่าขนมเปี๊ยะไข่แดงเค็มนั้นต่างออกไป!

แม้ราคาจะถูก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ อาจารย์เซี่ยนอวี๋ย่อมมองออกอย่างแน่นอนว่าตนทำมาจากใจ!

ซุนเย่าหั่ว!

ขอโทษด้วย แต่ครั้งนี้ฉันชนะอีกแล้ว!

เจียงขุยอดรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

เดิมทีเธอคิดว่าจะค่อยๆ ทำความรู้จักกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงว่าเป็นเพราะเธอเคลื่อนไหวช้าไป พริบตาเดียวอาจารย์เซี่ยนอวี๋ก็จะไปฉีโจวแล้ว เมื่อไปแล้วตนก็จะไม่ได้เจอกับอีกฝ่ายอีกนาน

แบบนี้ไม่ดีแน่

กว่าเซี่ยนอวี๋จะกลับมา ตนจะต้องคิดหาวิธีเข้าหาอีกฝ่ายให้ได้ จะปล่อยให้ซุนเย่าหั่วแซงหน้าไม่ได้

หมอนั่นความคิดตื้นเขินเกินไป ไม่มีทางรู้ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์เซี่ยนอวี๋ต้องการอะไร!

……

ความเศร้าของการจากลา ทำให้ผู้คนอารมณ์อ่อนไหว หลินเยวียนรู้สึกว่าตนอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง เพราะในวันต่อมา เขาก็โดดงานอีกครั้ง

ไม่ใช่เพื่ออะไร

ก็เพื่อไปเล่นเปียโนอีกสักครั้งที่ห้องเปียโนของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ยังไม่ทันถึงวิทยาลัย หลินเยวียนก็ได้รับสายจากเหล่าโจว “ทำไมวันนี้ไม่มาทำงานอีกแล้วล่ะ”

หลินเยวียนพูด “ออกมาหาแรงบันดาลใจครับ”

เหล่าโจวถอนหายใจ “นายจะเอาแต่พูดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเกิดวันที่คนที่เช็กชื่อไม่ใช่ฉัน ข้ออ้างแบบนี้อาจใช้ไม่ได้”

หลินเยวียนเปลี่ยนเหตุผล “ออกมาหาข้อมูลครับ”

เหล่าโจวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ก็เหมือนกับเหตุผลก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไง”

หลินเยวียนตอบ “คำไม่เหมือนกันครับ”

เหล่าโจว “…”

ขี้เกียจจะเถียงกับนายแล้ว ถึงยังไงถ้าเปลี่ยนคนเช็กชื่อคนเข้างาน สุดท้ายแล้วก็ต้องมารายงานฉันอยู่ดี

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เหล่าโจวจึงตอบไปอย่างจนปัญญา “เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนวางสาย

เขามาถึงหน้าประตูวิทยาลัยในที่สุด

แม้ว่าวิทยาลัยจะปิดเทอมแล้ว แต่ประตูใหญ่ก็ยังไม่ปิด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูก็อยู่ หลินเยวียนเจรจาอยู่สามสี่ประโยค หลังจากยืนยันตัวตนว่าเป็นนักศึกษาแล้ว อีกฝ่ายก็ปล่อยให้เข้ามาได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเดินมาถึงระเบียงทางเดินหน้าห้องเปียโน

หลินเยวียนยังไม่ทันได้เลือกห้อง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจมาแต่ไกล “เพื่อนนักเรียนหลิน!”

หลินเยวียนหันไปมอง กู้ซีเองเหรอ?

เจอกับกู้ซีนั้นไม่ใช่เรื่องดี

ทว่าครั้งก่อนกู้ซีให้ความช่วยเหลือสาขาการประพันธ์เพลงไว้มาก ฉะนั้นหลินเยวียนถึงไม่ได้เบือนหน้าหนีเดินจากไป เพียงแต่พยักหน้าเอ่ย “สวัสดีครับ”

กู้ซีรีบขยับเข้ามาใกล้ “มาเล่นเปียโนเหรอคะ”

หลินเยวียนพูด “เทอมหน้าไม่มีโอกาสได้เล่นเปียโนที่นี่แล้ว”

กู้ซีชะงักไปชั่วขณะ กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง “คุณจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน!”

หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธ

กู้ซีแทบสติหลุดอยู่ตรงนั้น!

เดิมทีเธอเองก็ได้โควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนตรงนั้น แต่เธอปฏิเสธไป เพราะกลัวว่าถ้าไปฉีโจวแล้วจะไม่ได้เจอหลินเยวียน นึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนด้วย!

ถ้ารู้แต่แรก ก็คงไปฉีโจวเหมือนกัน!

เธอร้อนรนจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ยืนลังเลอยู่นานกว่าจะบอกว่า “คุณจะเล่นเปียโนที่นี่นานแค่ไหนเหรอ”

“ไม่รู้ครับ”

“งั้นรบกวนรอฉันแป๊บนึงได้มั้ยคะ เดี๋ยวฉันกลับมา อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ!”

“เร็วหน่อยนะครับ”

หลินเยวียนไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้ตัวเองรอ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม เดินตรงเข้าไปเล่นเปียโนในห้อง

กู้ซีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

กระวีกระวาดออกไปเร็วฉิวราวติดปีกบิน

หลังจากออกมา เธอก็กดโทรศัพท์ต่อสาย “คิดวิธีเร็ว ลองดูให้หน่อยว่าฉันย้ายไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจวได้มั้ย…ใช่ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว…ขอร้องล่ะ…”

เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ

กู้ซีก็รีบรุดลงไปชั้นล่าง

ยี่สิบนาทีผ่านไป เธอก็กลับมา ในมือมีกล่องของขวัญแลดูประณีตสวยหรูชิ้นหนึ่ง

รอให้หลินเยวียนเล่นเปียโนเสร็จ

เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าหลินเยวียนจะไม่เล่นต่อ จึงเดินเข้าไป พูดว่า “ไม่รู้ว่าเพื่อนนักเรียนหลินจะไปแล้ว ฉันเลยไม่ได้เตรียมของมาล่วงหน้า เมื่อกี้ไปซื้อของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้คุณ!”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนรับของขวัญมา หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรจะรับของขวัญมาชิ้นเดียวหรือสองชิ้นก็คือรับเหมือนกัน

กู้ซีเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ลองเปิดดูสิ”

หลินเยวียนเห็นด้วย เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าข้างในมีอะไร

ทันทีที่เปิดออกดู ก็เห็นลูกบอลทรงกลมหนึ่งลูก

“นี่เป็นบลูสตาร์จำลองสามมิติ” กู้ซียิ้มพลางกล่าวแนะนำ

เธอคิดว่าของขวัญชิ้นนี้มีความหมายมาก ความหมายโดยนัยก็คือไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เราทุกคนก็ยังอยู่บนโลกใบเดียวกัน จะให้ของขวัญทั้งทีก็ต้องให้สิ่งที่มีความหมาย เธอละนับถือสมองอันปราดเปรื่องของตัวเองจริงๆ

เชื่อว่าหลินเยวียนก็น่าจะเข้าใจเจตนาของตน

หลินเยวียนมองไปยังบลูสตาร์ขนาดพกพา ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามคำถามหนึ่งซึ่งกู้ซีคาดไม่ถึงมาก่อนในชีวิต

“ข้างในมีไข่แดงมั้ยครับ”

……………………………………………..

วิลล่านั้นเป็นบ้านเปล่า จำเป็นต้องตกแต่ง วันที่ส่งมอบบ้านนั้นกระชั้นมาก ช่วงนี้พวกหลินเยวียนยังต้องอาศัยอยู่บ้านเดิมไปก่อน…

หลังจากตกลงเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย

ทั้งสามคนก็ไปหาร้านอาหารในละแวกใกล้เคียงเพื่อกินข้าว

ระหว่างกินอาหาร หลินเยวียนก็บอกกับซุนเย่าหั่ว “รุ่นพี่ ผมจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวหนึ่งปี”

หลินเยวียนเห็นซุนเย่าหั่วเป็นเพื่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ เขาก็จำเป็นต้องบอกซุนเย่าหั่ว

“ฉีโจว?”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป ในใจรู้สึกหดหู่ขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้นมาคิดสะระตะดูแล้วก็แค่ปีเดียว ในใจของเขาจึงรู้สึกรับได้ขึ้นมาบ้าง “งั้นก็หวังว่ารุ่นน้องจะมีความสุขกับเวลาหนึ่งปีนี้นะ ถ้าฉันมีเวลาจะไปเยี่ยมนาย!”

“อื้ม”

ซุนเย่าหั่วเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “แต่ถ้ารุ่นน้องไปฉีโจว บริษัทก็จะไม่ส่งมอบงานของบริษัทย่อยให้นายใช่มั้ย?”

“ใช่ครับ”

ซุนเย่าหั่วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นายรู้สถานการณ์ที่นั่นหรือเปล่า”

“สถานการณ์อะไรครับ”

หลินเยวียนเกิดความสงสัยขึ้นมา

ซุนเย่าหั่วทอดถอนใจ “สภาพแวดล้อมด้านดนตรีของฉีโจวสู้ฉินโจวเราไม่ได้เลย ถึงยังไงฉินโจวของพวกเราก็เป็นมาตุภูมิแห่งดนตรี ชีวิตคนแต่งเพลงที่นั่นไม่ง่ายเท่าไหร่…”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะฮะ”

ผู้คนมากมายล้วนบอกว่าฉีโจวเป็นขุมนรก หลินเยวียนไม่เคยเข้าใจเลย

ซุนเย่าหั่วเอ่ย “เพราะทางฉีโจวนับเป็นเป็นดินแดนแห่งภาพยนตร์และละคร แถมอุตสาหกรรมเกมก็ยังเจริญมากด้วย ดนตรีของทางนั้นโดยทั่วไปแล้วก็เลยเป็นรูปแบบการสั่งทำที่วนอยู่กับพวกหนัง ละคร แล้วก็เกม การสร้างสรรค์ผลงานก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ว่าจ้างรีเควสมา”

“สั่งทำ?”

หลินเยวียนเริ่มเข้าใจแล้ว

ต่างจากการสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ บทเพลงที่สั่งทำล้วนเป็นการทำเพลงประกอบ มีหลายอย่างที่เป็นข้อจำกัดการแสดงฝีมือ

ก็เหมือนกับภาพยนตร์ที่ชื่อว่ามังกรมัจฉาเริงระบำของฉีโจว ซึ่งสั่งทำเพลงซาวด์แทร็กกับสตาร์ไลท์ก่อนหน้านี้

หลินเยวียนจะส่งเพลงกุหลาบแดงให้ก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่เพลงกุหลาบแดงยอดเยี่ยมหรือไม่เลยสักนิดเดียว!

คนเขาต้องการดนตรีประกอบซึ่งเข้ากันกับธีมของภาพยนตร์เรื่องมังกรมัจฉาเริงระบำ ถึงขั้นที่กำหนดสไตล์ของเพลงมาชัดเจน

ในตอนนั้นนักประพันธ์เพลงไม่น้อยของชั้นสิบทำออเดอร์นี้ไม่สำเร็จ หลินเยวียนเองก็มีเพลงปลายักษ์อยู่ในมือพอดี จึงทำออเดอร์นี้ได้สำเร็จ

มิน่าล่ะนักประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ถึงไม่อยากไปฉีโจว

นักประพันธ์เพลงส่วนใหญ่ก็ยังชอบการสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ เลือกเขียนเพลงออกมาจากแรงบันดาลใจมากกว่า ไม่ใช่การถูกผู้ว่าจ้างบอกให้สร้างสรรค์ผลงานตามความต้องการ ราวกับเป็นการเขียนเพลงเพื่อเขียนเพลง!

แต่ถึงอย่างนั้น…

หลินเยวียนซึ่งสามารถสั่งทำเพลงได้ย่อมไม่กลัวเรื่องแบบนี้ ในคลังเพลงของระบบมีเยอะแยะไป!

“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

ซุนเย่าหั่วเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “รุ่นน้องนายพูดภาษาถิ่นฉีโจวได้มั้ย”

หลินเยวียนชะงักไป “คนที่นั่นพูดภาษากลางไม่ได้เหรอครับ”

ภาษาของซิลเวอร์บลูไม่ได้มีภาษาเดียวหรอกเหรอ?

ซุนเย่าหั่วส่ายหน้า “แน่นอนว่าคนที่นั่นพูดภาษากลางได้ บนบลูสตาร์มีใครบ้างที่พูดภาษากลางไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่เพลงฮิตของที่นั่น ส่วนมากจะร้องด้วยภาษาถิ่น ฉันจะร้องให้นายฟังสองประโยค…”

ซุนเย่าหั่วกระแอม ร้องว่า “หงอเหยฟุนเหนย เหนยเหยฟุนหงอเหม่า[1]”

หลินเยวียน “…”

พูดไปก็อาจไม่เชื่อ

นี่มันภาษากวางตุ้งไม่ใช่เหรอ

สิ่งที่เรียกว่าภาษาถิ่นของฉีโจว แท้จริงแล้วก็คือภาษากวางตุ้ง?

จะคิดสะระตะมากเกินไปก็ไม่ดี

เป็นโลกคู่ขนานอย่างที่คาดไว้

ซุนเย่าหั่วร้องจบ มองไปยังหลินเยวียน เอ่ยว่า “นายทำทั้งเนื้อร้องทั้งทำนอง อาจต้องทำตามสไตล์ของคนที่นั่น กลัวก็แต่ว่านายจะต้องร่วมงานกับนักแต่งเนื้อเพลงฝีมือดีแล้วแหละ”

หลินเยวียนไม่ได้แสดงความเห็น

ซุนเย่าหั่วสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง แกะกุ้งให้หลินเยวียน “แน่นอนว่าทางนั้นก็มีเพลงภาษากลาง เพลงปลายักษ์ของนายก็ได้รับฟีดแบ็กจากทางนั้นดีทีเดียว เจียงขุยได้ไปออกอีเวนต์ที่นั่น เพลงที่ร้องก็คือเพลงนี้ แต่สรุปแล้ว เพลงภาษากลางที่ดังมีไม่มาก เมื่อเทียบกันแล้วภาษาถิ่นของฉีโจวจะได้เปรียบกว่า”

หลินเยวียนพยักหน้า

ถ้าหากมีเพียงเรื่องเหล่านี้ สำหรับหลินเยวียนแล้ว ฉีโจวก็ไม่ได้เป็นขุมนรกแต่อย่างใด

“แต่นายไปอยู่ตรงนั้นก็ไม่ต้องไปเครียดมาก”

ซุนเย่าหั่วเอ่ยเตือน “นักร้องตัวเล็กๆ อย่างฉันเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทย่อยไม่มาก แต่จากเท่าที่ฉันรู้ เรียกว่าวุ่นวายทีเดียวเลยล่ะ ได้ยินว่าทางนั้นมีคดีความกับทางผู้ว่าจ้างตั้งหลายครั้ง เพราะรับเพลงสั่งทำมา แต่กลับทำผลงานที่ตรงกับความต้องการของผู้ว่าจ้างไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องขอความช่วยเหลือมาทางสำนักงานใหญ่ของเรา ให้มือทองออกโรง ในที่สุดก็แก้ปัญหาได้…”

หลินเยวียนพยักหน้าอีกครั้ง พลางงับกุ้งเข้าปาก

ซุนเย่าหั่วก็รีบแกะกุ้งอีกหลายตัว หลินเซวียนซึ่งมองดูอยู่ก็งงงันไป

เมื่อก่อนก็เคยมีคนทำแบบนี้ให้หลินเซวียน

ในตอนนั้นผู้ชายคนนั้นตามจีบหลินเซวียน แต่ก็ยังไม่ได้ละเอียดลออเอาใจใส่อย่างซุนเย่าหั่ว แม้แต่ถุงมือก็ยังลืมใส่…

“พี่ก็กินด้วยสิครับ”

ซุนเย่าหั่วแกะกุ้งให้หลินเซวียนอีกหลายตัว

เมื่อเห็นสายตางุนงงของหลินเซวียน ซุนเย่าหั่วก็กระแอมออกมาเบาๆ เอ่ยว่า “ประเด็นคือผมชอบแกะกุ้งให้คนอื่น ใช่ๆ ผมชอบแกะกุ้ง”

หลินเซวียน “…”

ความสนใจของซุนเย่าหั่วเบนกลับไปอยู่ที่หลินเยวียนอย่างรวดเร็ว พูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น “ถึงยังไงที่ฉีโจว ที่ไหนก็มีแต่ผู้ว่าจ้าง นักประพันธ์เพลงในบริษัทที่เคยไปฉีโจวมาก็เคยบ่นกันทุกคน บอกว่าที่นั่นมีแต่ท่านพ่อผู้ว่าจ้าง พวกนั้นไม่รู้เรื่องการสร้างสรรค์ผลงานเลย แต่ดันชอบชี้นิ้วสั่ง ชี้โบ้ชี้เบ้ให้นักแต่งเพลงทำผลงาน พอถึงตอนนั้นรุ่นน้องก็ต้องเจอผู้ว่าจ้างที่เอาใจยาก ไม่ต้องไปใส่ใจมากหรอก ไม่ต้องไปโมโห คิดซะว่าพวกเขาเป็นลูก…ไม่สิ คิดซะว่าพวกเขาเป็นหลานก็แล้วกัน!”

“อ้อ”

หลินเยวียนถามด้วยความสงสัย “งั้นทำไมก่อนหน้านี้หยางจงหมิงต้องไปฉีโจวด้วยล่ะครับ”

“จะพูดยังไงดีล่ะ…”

ซุนเย่าหั่วครุ่นคิด ก่อนตอบว่า “ถึงแม้ที่ฉีโจวจะไม่ได้เป็นมิตรกับนักแต่งเพลงเท่าไหร่ แต่เพลงภาษาฉีเพราะมาก น่าจะเป็นเพราะตัวภาษาเองเก้าเสียงหกโทน มีเสียงหลากหลายกว่าภาษากลางทั่วไป อาจารย์หยางคงไปเรียนภาษาฉีนั่นแหละ เขาก็ชอบการสร้างสรรค์ผลงานที่ทำทั้งเนื้อร้องทำนองเหมือนนาย ที่จริงแล้วมีนักประพันธ์เพลงหลายคนที่เรียนเขียนเนื้อเพลงนะ นักประพันธ์เพลงอย่างพวกนายคิดว่าตัวเองเข้าใจดีที่สุดว่าทำนองเพลงของตัวเองเหมาะกับเนื้อเพลงแบบไหนใช่มั้ยล่ะ”

ท่านพ่อผู้ว่าจ้าง?

หลินเยวียนพยักหน้า ผู้ว่าจ้างเอาใจยากจริงๆ นั่นแหละ

อีกอย่าง ซุนเย่าหั่วพูดไว้ไม่ผิด

ทั้งนักแต่งทำนองเพลงและนักแต่งเนื้อเพลงส่วนมากจะแยกกัน

แต่บนบลูสตาร์แห่งนี้ คนทำเพลงจำนวนมากล้วนแต่ชอบการเขียนทั้งทำนองและเนื้อเพลงของตนเอง

หลักการของพวกเขาก็คือ

ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าพวกเขาว่าบทเพลงของพวกเขาเหมาะสมกับเนื้อเพลงแบบไหน

แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเพลงของนักแต่งทำนองเพลงก็มักจะเขียนออกมาได้ไม่โดดเด่น ในตอนนั้นบริษัทก็จะยื่นมือเข้ามา สั่งการให้นักแต่งเนื้อเพลงมืออาชีพมาเขียนเนื้อร้องให้

นักแต่งทำนองเองก็จนหนทาง เขียนเนื้อเพลงไม่ดีพอจะทำอย่างไรได้

ดังนั้น การเขียนเนื้อร้องและทำนองให้ตัวเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่

หลินเยวียนเขียนได้ทั้งเนื้อร้องและทำนองให้เพลงของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่บริษัทส่งคนมาเขียนเนื้อเพลงให้ ก็เพราะเนื้อเพลงของเขาดีมากมาโดยตลอด ทางแผนกตรวจสอบของบริษัทไม่พบปัญหาอะไร อัตราความเข้ากันได้ของเพลงนั้นสูงมาก

ส่วนที่ซุนเย่าหั่วบอกว่าภาษาฉีมีเก้าเสียงหกโทน…

นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

ในความทรงจำของหลินเยวียน ระบบเสียงในภาษากวางตุ้งนั้นซับซ้อนกว่าภาษาจีนกลางมาก

ภาษาจีนกลางมีวรรณยุกต์เพียงสี่เสียง

แต่ภาษากวางตุ้งมาตรฐานยังคงรักษาเสียงรู่[2]ไว้

โดยแบ่งเป็นเสียง ‘อินกลาง หยางกลาง หยางบน อินบน หยางชวี่ อินชวี่ รู่กลาง หยางรู่’ ทั้งหมดเก้าเสียง

ภาษากวางตุ้งมีพยัญชนะต้น 19 ตัว

‘ริมฝีปาก ลิ้น ฟัน เพดาน คอ’

มีห้าฐานกรณ์ในการออกเสียงทั้งห้าเสียง

ตัวสะกด 59 ตัว

เรื่องนี้น่าจะทำให้ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเพลงภาษากวางตุ้งไพเราะกว่าเพลงภาษาจีนกลาง?

ฉินโจวเป็นดินแดนแห่งเพลงภาษากลาง!

ดังนั้นหลินเยวียนเกือบคิดไปแล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีภาษากวางตุ้ง

เขานึกไม่ถึงจริงๆ

สิ่งที่เรียกว่าภาษาถิ่นฉีโจว ก็คือภาษากวางตุ้งนั่นเอง

จะโทษที่ความทรงจำของเจ้าของร่างนั้นมีน้อยนิด หรือไม่ใส่ใจโลกก็ไม่ได้

การสื่อสารระหว่างทวีปนั้นมีธรรมเนียมการใช้ภาษาถิ่น

แต่ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว

บนโลกนี้ก็มีภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย หรือแม้แต่ภาษาเกาหลี?

เพียงแต่อยู่ในรูปของภาษาถิ่น?

เดี๋ยวจะต้องไปหาข้อมูลสักหน่อย

ในระบบของหลินเยวียน คงมีเพลงของโลกหน้าอยู่ไม่น้อยที่เป็นภาษาอื่น

ถ้าหากไม่มีพื้นฐานของภาษาละก็ เขาจะต้องเขียนเนื้อเพลงขึ้นใหม่ เปลี่ยนเป็นเวอร์ชันภาษาจีนกลาง เดิมทีหลินเยวียนวางแผนไว้แบบนั้น

มีบางเพลงที่ทำเช่นนี้ได้ ตัวอย่างเช่นเพลงความฝันแรก ซึ่งเป็นเพลงที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น

ทว่ามีบางเพลงที่เมื่อแปลงไปแล้ว ก็จะลดความน่าสนใจลง

ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าเนื้อเพลงทุกประเภทจะเข้ากับทำนองได้ดี

…………………………………………………

[1] หงอเหยฟุนเหนย เหนยเหยฟุนหงอเหม่า เป็นประโยคที่แปลงมาจากเนื้อร้องภาษากวางตุ้งของเพลง ‘ชอบเธอ (喜歡你)’ โดย BEYOND วงร็อกสัญชาติฮ่องกง ภายหลังเติ้งจื่อฉี (G.E.M.) ได้นำมาขับร้องใหม่

[2] เสียงรู่ เป็นเสียงในภาษาจีนโบราณ

ถึงแม้มีความคิดแล้วว่าจะซื้อวิลล่า แต่หลินเยวียนก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร เขาจึงไปสอบถามคนอื่นอย่างที่เคยชิน

“ลองถามรุ่นพี่เย่าหั่วก็แล้วกัน”

ในตอนที่หลินเยวียนพบปัญหา ก็มักจะนึกถึงรุ่นพี่เย่าหั่วโดยอัตโนมัติ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม

ถึงอย่างไรภาพจำที่รุ่นพี่เย่าหั่วมีให้หลินเยวียนก็คือ

ใจถึงพึ่งได้!

เฉกเช่นที่ผ่านมา รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วมักจะรับโทรศัพท์เสมอ

หลังจากต่อสายติด รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วก็ยังกระตือรือร้นดังเดิม “รุ่นน้อง มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วย”

“ผมอยากซื้อวิลล่าครับ”

หลินเยวียนแถลงไขความคิดของตนออกไปโดยไม่อ้อมค้อม

ซุนเย่าหั่วกล่าวกลั้วหัวเราะ “อยากได้วิลล่าแบบไหนล่ะ”

หลินเยวียนครุ่นคิด “ใกล้เขตที่ผมอยู่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ซุนเย่าหั่วรู้ที่อยู่ของหลินเยวียน ถึงอย่างไรเขาก็ไปส่งหลินเยวียนหลังเลิกงานอยู่บ่อยครั้ง

“นอกจากเรื่องนี้ล่ะ”

“ต้องดูรายละเอียดก่อนครับ”

“ได้ เข้าใจแล้ว งั้นพรุ่งนี้ฉันไปรับนายที่บ้าน?”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่สาวผมมีรถแล้ว”

“ก็ได้”

ซุนเย่าหั่วมีท่าทีเสียดายอยู่บ้าง “งั้นพรุ่งนี้ฉันส่งที่อยู่ไปให้ พวกเราเจอกันที่นั่นตามเวลานัดหมายเลย?”

“ครับ”

หลินเยวียนวางสาย

รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วพึ่งพาได้จริงๆ

หลินเซวียนเห็นหลินเยวียนคุยโทรศัพท์เสร็จ จึงมั่นใจเรื่องหนึ่งว่า

น้องชายจริงจังกับเรื่องนี้!

เขาอยากได้วิลล่าจริงๆ!

ซื้อวิลล่าสักหลังในเมืองซู!

ข้อมูลนี้ทำให้หลินเซวียนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่เธอตื่นขึ้นในวันต่อมาพร้อมสมองอันพร่าเบลอ ยังดีที่ยังไม่ลืมเรื่องแจ้งลาหยุดกับหัวหน้า

หัวหน้าของฝ่ายบริหารคือหลี่ว์เป่ย

แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องอย่างการลาหยุด โดยทั่วไปแล้วเลขาของหลี่ว์เป่ยรับผิดชอบ

ก่อนหน้านี้หลี่ว์เป่ยสั่งเลขาไว้แล้วว่าให้ดูแลหลินเซวียนให้ดี

ดังนั้นหลินเซวียนจึงได้รับการอนุมัติวันหยุดอย่างง่ายดาย

เธอขับรถซึ่งเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานกลับบ้านไปรับหลินเยวียน พลางถามประโยคหนึ่ง “นายลาบริษัทหรือยัง”

“ยังไม่ได้ลา”

หลินเยวียนพูดยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากเหล่าโจว

หลินเซวียนถาม “หัวหน้าเหรอ?”

หลินเยวียนพยักหน้า ก่อนจะรับโทรศัพท์

น้ำเสียงของเหล่าโจวฟังดูเป็นห่วงมาก “ทำไมวันนี้นายไม่มาทำงานล่ะ”

จะบอกว่ามาซื้อบ้านก็ไม่ค่อยดีใช่มั้ยล่ะ

หลินเยวียนใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตอบไป

“ออกมาหาแรงบันดาลใจครับ”

ปลายสายเงียบกริบลงทันใด

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน ก่อนเหล่าโจวจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “เข้าใจแล้ว”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากหลินเยวียนวางสาย ก็พูดกับพี่สาว “พวกเราไปกันเถอะ”

หลินเซวียน “…”

ครั้งหน้าฉันใช้เหตุผลปลอมว่า ‘ออกมาหาแรงบันดาลใจเป็นเพื่อนนักเขียน’ บ้างได้ไหมนะ

น่าจะใช้เหตุผลพรรค์นี้กับฝ่ายบริหารไม่ได้

แถมน้องชายก็ไม่ได้เป็นนักเขียนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูซะด้วยสิ

น่าเสียดาย

หลังจากขึ้นมาบนรถและออกเดินทาง

หลินเยวียนก็โทรศัพท์หาซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหั่วรีบตอบ “เตรียมออกหรือยัง สถานที่ฉันส่งให้ในโทรศัพท์แล้ว ฉันรออยู่ที่นี่ รุ่นน้องระวังอุบัติเหตุด้วย”

“ครับ”

หลังจากหลินเยวียนวางสาย ก็ส่งที่อยู่ให้พี่สาว

ผ่านไปสิบนาที

ทั้งสองฝั่งก็มาถึงจุดนัดพบ

ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินเยวียนประหลาดใจก็คือ นี่เป็นช่วงฤดูร้อน ซุนเย่าหั่วถึงกับสวมหน้ากากอนามัยกับแว่นตา ปกปิดใบหน้าเสียมิดชิด

“รุ่นพี่ไม่สบายเหรอครับ”

หลินเยวียนอดรู้สึกผิดไม่ได้

ซุนเย่าหั่วโบกมือ “รุ่นน้องวางใจเถอะ ไม่ได้ป่วยหรอก ตอนนี้ฉันเป็นศิลปินแล้ว ถ้าถูกเห็นเข้าละก็ต้องถูกคนห้อมล้อมแน่เลย”

หลินเซวียนพูดด้วยความตกใจ “นายดังขนาดนั้นเลยเหรอ”

เธอรู้ว่าซุนเย่าหั่วคนนี้ดังขึ้นได้เพราะร้องเพลงของน้องชาย ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่กับชื่อเสียงของซุนเย่าหั่วมากนัก

“ก็พอตัว”

ซุนเย่าหั่วกระแอมครั้งหนึ่ง ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อมีสายตาโดยรอบมองมา เขาก็ก้มหน้าต่ำตามสัญชาตญาณด้วยท่าทางระแวดระวัง

“ยิ่งคนมากยิ่งถูกจำได้ง่าย”

ซุนเย่าหั่วหัวเราะเสียงต่ำ “พวกเราเข้าไปกันก่อนเถอะ ฉันให้ผู้จัดการติดต่อผู้จัดการของที่นี่ไว้แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมาดูแลพวกเรา”

เมื่อคืนวานได้รับโทรศัพท์จากหลินเยวียน ซุนเย่าหั่วก็ให้ผู้จัดการช่วยหาวิลล่าทันที

แม้ว่าผู้จัดการของเขาจะไม่ใช่คนใหญ่คนโต แต่เพราะความพิเศษของสายอาชีพ ทำให้เส้นสายกว้างขวางทีเดียว

ทันทีที่เขาได้ยินจากซุนเย่าหั่วว่าเซี่ยนอวี๋อยากซื้อวิลล่า ก็ไม่เป็นอันได้นอน วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน โทรศัพท์อยู่หลายสิบสาย ท้ายที่สุดก็พบวิลล่าที่ไม่เลวแห่งหนึ่ง

หลังจากที่เดินเข้ามา

ผู้จัดการมารอต้อนรับแต่แรกแล้ว

หลังจากนั้นก็เป็นการแนะนำพื้นที่และดูสภาพแวดล้อมของบ้านตามปกติ บ้านที่พวกเขาดูเป็นบ้านต้นแบบของวิลล่าสามชั้นบวกห้องใต้ดิน

หลินเยวียนรู้สึกว่าใช้ได้เลยทีเดียว

แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ให้พี่สาวดูก็พอแล้ว

ถ้าพี่บอกว่าดี ก็ว่าตามนั้น

ถึงอย่างไรหลินเยวียนซื้อวิลล่าก็เพื่อให้คนในครอบครัวอยู่อาศัย แน่นอนว่าต้องให้พวกเขาพอใจ ตัวเขาเองรู้สึกว่าใช้ได้ก็พอแล้ว

“ทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไรคะ”

หลังจากผู้จัดการพูดแนะนำอยู่นาน ก็มองไปยังหลินเซวียนอย่างยิ้มแย้ม

หลินเยวียนกับซุนเย่าหั่วล้วนยืนอยู่ด้านหลังของหลินเซวียน ฉะนั้นผู้จัดการจึงคิดว่าหลินเซวียนน่าจะเป็นคนที่ตัดสินใจได้

หลินเซวียน “…”

ฉันจะไปคิดว่ายังไงได้

หลินเซวียนรู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้านต้นแบบ และเห็นวิลล่าหรูซึ่งเมื่อก่อนเธอได้เห็นแค่ในโทรทัศน์ เธอก็ฟังการแนะนำเกี่ยวกับวิลล่าหลังนี้ซึ่งผู้จัดการบรรยายไม่รู้เรื่องอีกเลย ในสมองล้วนมีแต่ความสับสน

‘นี่คือสถานที่ที่ฉันควรมาเหรอ’

‘ฉันต้องเฟคทำท่าทางให้เหมือนคนที่ซื้อวิลล่าบ่อยๆ ยังไงดีล่ะ’

‘ไม่ได้ๆ ฉันจะเฟคให้เหมือนคนที่ซื้อวิลล่าบ่อยๆ ได้ยังไง’

‘…’

ทำไม่ได้หรอกกก!

ฉันไม่รู้แล้วเนี่ยยยย!

น้องชายสุดที่รักทำไมไม่พูดไม่จาล่ะ

ทำแบบนี้พี่ประหม่ามากไม่รู้หรือไงฮะ!

แถมยังมีผู้จัดการอยู่อีก!

ทั้งที่พูดว่าทุกท่าน แต่ทำไมสายตามองมาที่ฉันล่ะ

คุณกำลังเหยียดหยามคนสวยอย่างฉันอยู่เหรอ

ซุนเย่าหั่วเห็นว่าหลินเซวียนไม่ตอบ ในใจก็ลอบคิดว่าว่าแล้วเชียว บางครั้งพี่สาวของรุ่นน้องก็เหมือนรุ่นน้องเหมือนกัน กลายเป็นพร้างัดปากไม่ออกขึ้นมา

ค่อยยังชั่วที่ซุนเย่าหั่วมีประสบการณ์

แม้ว่าเขาจะไม่เคยซื้อวิลล่า แต่เมื่อคืนรุ่นน้องบอกว่าอยากซื้อวิลล่า ซุนเย่าหั่วก็ไปเช็กข้อมูลกองหนึ่ง แถมยังอุตส่าห์สอบถามประสบการณ์เกี่ยวกับการซื้อวิลล่าจากบรรดาผู้อาวุโสในวงการ ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่โดนโกง…

ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ใจดีช่วยบอก

ถึงแม้ว่าตอนที่โทรศัพท์ไปครั้งแรก ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่โดดเด่นในวงการจะตอบมาเพียงว่า ‘ยุ่งอยู่’ แล้วก็วางสายไปก็ตาม

ทว่าเมื่อตนโทรไปสายที่สอง แล้วบอกว่าอยากช่วยอาจารย์เซี่ยนอวี๋รวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลอ้างอิงในการซื้อวิลล่า อีกฝ่ายก็ทำงานที่กำลังยุ่งอยู่เสร็จภายในวินาทีเดียว แถมยังอุตส่าห์นัดเจอกับเขาที่ร้านอาหาร พูดคุยอย่างสนิทสนมกับตนไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ พร้อมทั้งพูดคุยถึงประสบการณ์อย่างไม่ปิดบัง

ก่อนจะแยกย้ายกัน ก็ยังดึงมือของเขามา บอกว่าถ้ามีโอกาส ให้แนะนำบางคนให้รู้จัก แต่ซุนเย่าหั่วความจำไม่ค่อยดี จำรายละเอียดที่อีกฝ่ายพูดในตอนสุดท้ายไม่ได้แล้ว

สรุปว่า ซุนเย่าหั่วได้กลายเป็นกึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิลล่าไปแล้ว

เขาถอดหน้ากากอนามัยกับแว่นตาออก เริ่มเจรจากับผู้จัดการอย่างเป็นธรรมชาติ

และระหว่างที่ซุนเย่าหั่วกับผู้จัดการพูดคุยกัน หลินเยวียนกับหลินเซวียนก็เข้าใจสถานการณ์โดยพื้นฐานของวิลล่าหลังนี้จากการเจรจาโดยคนกลาง

“พี่ว่าก็ไม่เลว”

หลินเซวียนเอ่ยปากในที่สุด

เธอรู้สึกว่าประโยคนี่น่าจะไม่มีปัญหา พื้นเพฐานะไม่ดีของเธอถูกปกปิดได้อย่างแนบเนียน

พี่ชอบแล้ว?

หลินเยวียนพยักหน้า มองไปยังผู้จัดการ “ลดราคาอีกได้มั้ยครับ”

ผู้จัดการยิ้มเอ่ย “พวกคุณเป็นคนที่เพื่อนฉันแนะนำมา ฉันจะให้ราคาพิเศษสุดกับพวกคุณ…”

ทั้งสองฝ่ายเจรจากันต่ออยู่ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็เซ็นสัญญาซื้อล่วงหน้า

เมื่อกลับมาถึงห้องโถง

หลินเยวียนก็เหลือบมองซุนเย่าหั่ว จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “รุ่นพี่ไม่ต้องใส่แมสก์แล้วเหรอครับ”

“อ๋า! แย่แล้ว!”

ซุนเย่าหั่วได้ยินก็ตื่นอกตกใจ

ขณะที่เขากำลังจะสวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำกลับไป หลินเซวียนซึ่งอยู่ด้านข้างกลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด “ฉันว่าไม่จำเป็นหรอกมั้ง”

ทุกคนมองออกไป

ผู้คนที่ผ่านไปมาในห้องโถงใหญ่

ทุกคนต่างกำลังง่วนทำธุระของตน แน่นอนว่ามีคนมากมายเห็นซุนเย่าหั่ว ทว่าพวกเขาล้วนแต่เดินผ่านไปเงียบๆ ถึงขั้นที่มีคนกลุ่มหนึ่งพูดกับซุนเย่าหั่วตอนที่เดินผ่านมา “คุณผู้ชายท่านนี้ รบกวนขยับนิดนึงค่ะ คุณกำลังขวางทางเข้าอยู่”

ซุนเย่าหั่วขยับไปอย่างงงงัน

หลินเซวียนถอนหายใจ ตบไหล่ของซุนเย่าหั่ว “เอาไว้ฉันจะให้ซย่าฝานพานายไปเดิน เชื่อว่าต้องมีสักวันที่จะมีคนจำนายได้!”

ซุนเย่าหั่ว “…”

……………………………………………………..

การพูดคุยกันของนักอ่านบนโลกออนไลน์ หลินเยวียนเองก็เห็น

นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเขาเช่นเดียวกัน

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามนิยายยอดเยี่ยมในยุคนิยายออนไลน์ระยะแรกเริ่ม กระบี่เทพสังหารกลายเป็นหัวข้อสนทนาร้อนแรงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก

มองจากยอดขายก็รู้

ก่อนหน้านี้เมื่อนิยายชุดเจ้าชายลูกสักหลาดตีพิมพ์ออกมา อันดับยอดขายโดยเฉลี่ย จัดอยู่ประมาณอันดับที่สิบ

เอ็ดของวงการนิยายแฟนตาซีเยาวชนในทั้งฉินโจว!

ในปัจจุบันถูกจัดไว้ในอันดับที่สิบพอดิบพอดี

อาจมีคนรู้สึกแปลกประหลาด นักเขียนทำให้เรื่องกระบี่เทพสังหารดังเปรี้ยงขนาดนี้ ทำไมถึงติดอยู่แค่ที่อันดับสิบ

ที่จริงแล้วการจัดอันดับนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย

เพราะจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็คือจำนวนตัวอักษร!

เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก่อนหน้านี้ออกมาห้าเล่ม

แต่นิยายดั้งเดิมของกระบี่เทพสังหาร ในตอนนี้เพิ่งออกมาสองเล่มเท่านั้น!

ทุกครั้งที่ขายออกหนึ่งเล่ม ก็นับเป็นหนึ่งยอดขายของนิยาย

ผลงานเรื่องยาวเหล่านั้นซึ่งมีเนื้อหาหลายสิบเล่มก็เพื่อเพิ่มยอดขาย หลินเยวียนกลับมีเนื้อเรื่องเพียงน้อยนิดที่ขายได้ แน่นอนว่ายอดขายย่อมน่าเสียดายอยู่สักหน่อย

และถ้าหากพล็อตเรื่องไม่พังละก็…

ยิ่งผลงานมีจำนวนตัวอักษรมาก ยอดขายก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะอิทธิพลของผลงานจะขยายออกเป็นวงกว้างและเป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ

เนื้อเรื่องยิ่งน้อย เมื่อเทียบกับเรื่องยอดขายแล้วย่อมเสียเปรียบ

ทุกคนสามารถจินตนาการออก ถ้าหากนารูโตะหรือวันพีซไม่มีเนื้อเรื่องที่ยาวขนาดนี้ ผลงานทั้งสองเรื่องนี้จะมีอิทธิพลมากถึงขนาดนี้ไหม

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายยิ่งกว่าอีกตัวอย่างหนึ่ง

ทุกคนสามารถเห็นได้จากแรงค์สิบอันดับแรกในฉี่เตี่ยน[1]

มีหนังสือสักกี่เรื่องกันที่มีสักสามสี่แสนตัวอักษรแล้วทะลุขึ้นไปติดสิบอันดับแรกได้?

ในสถานการณ์ที่ปราศจากการแนะนำ และไร้ซึ่งยอดไลก์ถล่มทลาย ผลงานที่สามารถผงาดเป็นสิบอันดับแรกซึ่งยอดขายสูงที่สุดได้ โดยทั่วไปแล้วเป็นมหากาพย์ขนาดยาวซึ่งแตะถึงหลายล้านตัวอักษร!

เพราะตราบใดที่จำนวนตัวอักษรมาก ก็จะยังมีการกดซื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน

ยอดขายนิยายทางฉินโจวก็เป็นไปในหลักการเดียวกัน

คนอื่นเขาขายมาตั้งหลายเล่มแล้ว เธอจะไปสู้เขาด้วยนิยายสองเล่มเนี่ยนะ?

สู้ยังไงก่อน?

เสียเปรียบอย่างแน่นอน

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูโน้มน้าวให้หลินเยวียนเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสให้ยาวขึ้น

ถ้าหากเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสให้ยาวขึ้นโดยที่ไม่ออกทะเล ในอนาคตของหนังสือเล่มนี้จะขึ้นสิบอันดับแรกก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

แน่นอนละ

ขอเพียงฉู่ขวงไม่เขียนจนเละเทะออกทะเล รอให้หลังจากนี้กระบี่เทพสังหารออกมาหลายเล่มมากขึ้น ยอดขายของหนังสือเล่มนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ในครั้งนี้

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูคาดหวังเป็นอย่างมาก

เมื่อกระบี่เทพสังหารเล่มสองตีพิมพ์ออกไป หยางเฟิงก็หัวหกก้นขวิดมาขอแผนโครงเรื่องจากฉู่ขวง

เขาคิดในใจ ว่าพื้นหลังของเรื่องราวในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก คงไม่ถึงขั้นรีบจบเรื่องเร็วหรอกล่ะมั้ง

ทว่าขณะที่หยางเฟิงเห็นโครงเรื่องกระบี่เทพสังหารที่หลินเยวียนส่งมา รอยยิ้มกลับชะงักค้างไป

“แปดเล่ม?”

เรื่องกระบี่เทพสังหารของฉู่ขวงวางแผนไว้ว่าจะเขียนแปดเล่ม?

ใช่แล้วละ ไม่ผิดหรอก มีการพัฒนาแล้ว เนื้อเรื่องยาวกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสตั้งสามเล่มแน่ะ

แต่ปัญหาคือ…

แปดเล่มก็ยังไม่นับว่ามาก!

ยังไม่ถึงสองล้านตัวอักษรด้วยซ้ำ!

เขาร้อนใจแล้ว จึงไปรายงานกับหัวหน้าบรรณาธิการทันที หัวหน้าบรรณาธิการจึงไปรายงานกับบรรณาธิการบริหาร

ผลคือหัวหน้าบรรณาธิการกลับไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่พยักหน้า ให้หยางเฟิงไปโน้มน้าวอีกครั้ง

หยางเฟิง “…”

ครั้งก่อนเนื้อเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสสั้นเกินไป หยางเฟิงโน้มน้าวสุดชีวิตให้ฉู่ขวงเขียนต่ออีกสักหน่อย แต่ฉู่ขวงไม่ได้สนใจตนเลยแม้แต่น้อย

แล้วครั้งนี้จะทำได้เหรอ?

เขากัดฟันกดโทรศัพท์

หลินเยวียนรับโทรศัพท์ ทันทีที่ได้ยินเรื่องที่ให้ตนเขียนนิยายให้ยาวขึ้น ก็ตอบปฏิเสธทันที “จำนวนตัวอักษรกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

“เอาเถอะ”

หยางเฟิงจนปัญญา ตำแหน่งบรรณาธิการของเขากระจอกงอกง่อยไร้พลังเหลือเกิน

หัวหน้าบรรณาธิการกับบรรณาธิการบริหารไม่กล้าบังคับให้ฉู่ขวงเขียนยาวขึ้นอีก ตนก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่ขวงแสดงฝีมือไป

หลินเยวียนเองก็ทำอะไรไม่ได้

ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ระบบทำขึ้น ต้นฉบับของเรื่องกระบี่เทพสังหารมีแค่หนึ่งล้านห้าแสนกว่าตัวอักษร ระบบถึงขั้นที่ช่วยเขาขยายให้อีกหนึ่งแสนตัวอักษร

ครั้งหน้าก็แล้วกัน

ครั้งหน้าต้องได้

หวังว่าระบบจะตระหนักได้ และทำเรื่องยาวให้เขาทั้งหมด ทางที่ดีให้ตนเองปล่อยเป็นนิยายชุดได้สักสิบล้านตัวอักษร

……

แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับหลินเยวียนแล้ว

จำนวนเล่มของหนังสือมากเป็นข้อดี

เพราะในตอนนี้ ภายใต้นามปากกาฉู่ขวงนี้ ก็มีนิยายที่ทำรายได้พร้อมกันสองเล่มแล้ว

ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจบไปแล้วจะขายไม่ออกเลย

ยังคงมีนักอ่านที่ซื้อหนังสือ เพียงแต่จำนวนของนักอ่านใหม่เหล่านี้เทียบไม่ได้กับช่วงที่นิยายวางแผงก็เท่านั้นเอง

ส่วนแบ่งตรงนี้ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็จะยังจ่ายเงินเข้าบัญชีให้ตรงเวลา

ด้วยเงินเหล่านี้

บวกกับส่วนแบ่งของรายได้จากเพลงในชื่อเซี่ยนอวี๋ ในบัญชีธนาคารของหลินเยวียนตอนนี้ มีมากเกินกว่ายี่สิบล้านแล้ว!

ยี่สิบล้าน!

ราคาบ้านบนบลูสตาร์นั้นไม่ได้มากเกินจริง เงินเกือบยี่สิบล้านนั้นมากพอให้หลินเยวียนเลือกวิลล่าดีๆ ได้หลังหนึ่งเลย

หลินเยวียนถึงขั้นใคร่ครวญว่าควรซื้อวิลล่าในเมืองซูสักหลังดีไหม

ด้วยนิสัยของเขา แน่นอนว่าการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าทำเพื่อคนในครอบครัว หลินเยวียนก็ยินดีที่จะพิจารณาเรื่องนี้

ถึงอย่างไรหลังจากนี้ทั้งพี่กับน้องก็จะมาอยู่ที่เมืองซู

ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ก็อาจเติบโตในหน้าที่การงานที่เมืองซูเช่นเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น หลินเยวียนยังมีความคิดจะรับแม่มาอยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่อยากทิ้งให้แม่อยู่ที่บ้านเกิดโดยลำพัง

หลังจากนี้แม่ก็จะอายุมากขึ้น ไม่มีลูกๆ คอยอยู่เป็นเพื่อน ก็ยากที่จะเลี่ยงความรู้สึกโดดเดี่ยว

นอกจากนั้นหลินเยวียนก็ยังมีเพื่อนของตนเอง ต่อไปเพื่อนๆ มาหาจะได้มีที่พัก วิลล่ามีห้องหับมากมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะแออัด

ตอนเด็กๆ พวกเขาเคยอยู่อย่างแออัดมาก่อน

ที่สำคัญคือในตอนนี้อาศัยอยู่ที่บ้านของพี่จ้าวมาตลอด คนเขาไม่เก็บค่าเช่า ตนยังพาคนในครอบครัวเข้ามาอยู่อีก หลินเยวียนรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง

ตอนนี้มีเงินแล้ว ซื้อบ้านเร็วหน่อยดีกว่า แล้วคืนห้องที่อยู่ตอนนี้ให้พี่จ้าว

เขาจึงเล่าความคิดนี้ให้พี่สาวฟัง

“ซื้อวิลล่า?”

หลินเซวียนได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจขึ้นมา “อยู่วิลล่าก็ดีน่ะสิ ใครไม่อยากอยู่บ้าง ปัญหาก็คือพวกเราซื้อไม่ไหวหรอก”

“วิลล่าในเมืองซูแพงมากเลยเหรอ”

“วิลล่าในเมืองซูราคาอย่างน้อยก็เริ่มที่สิบล้าน นายว่าแพงมั้ยล่ะ”

หลินเซวียนเคยฟังเพื่อนร่วมงานคุยกันเรื่องราคาบ้านในเมืองซู จึงรู้ว่าผู้บุคลากรระดับสูงบางคนในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูอยู่ในวิลล่าราคาหลักสิบล้าน

หลินเยวียนเอ่ย “งั้นพวกเราซื้อกันสักหลังดีกว่า”

หลินเยวียนอยากจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่จะไปฉีโจว

หลินเซวียนอ้าปากค้าง

นายเห็นว่าวิลล่าเป็นหัวผักกาดหรือไง

บอกว่าจะซื้อก็ซื้อได้เลยเหรอ

เธอเงียบงันอยู่นาน ก่อนจะจ้องหลินเยวียนเขม็ง “แต่งเพลงนี่ได้เงินดีขนาดนั้นเลย?”

หลินเยวียนตอบ “ก็พอได้”

อันที่จริงเขายังได้ค่าต้นฉบับของฉู่ขวงด้วย

เป็นเพราะระดับของสัญญาทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนแบ่งจึงสูงกว่าเดิมมาก

เมื่อนามแฝงทั้งสองอย่างเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวงมารวมกัน หนึ่งเดือนทำเงินได้เกินสิบล้านหยวนนั้นเป็นเรื่องที่สบายมาก!

หนำซ้ำหลังจากนี้รายได้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“นายซื้อไหวจริงเหรอ”

หลินเซวียนถามด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นหลินเซวียนก็นึกถึงเรื่องที่หลินเยวียนซื้อรถราคาห้าแสนหยวนให้ตนอย่างง่ายดาย…

ก็น่าจะเป็นไปได้นะ?

จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าน้องชายคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้เธอไม่บากบั่นพยายาม…

เมื่อมีน้องชายแบบนี้ เธอถึงขั้นไม่อาจหาเหตุผลให้ตัวเองดิ้นรนสู้ชีวิตอีกต่อไป

“งั้นก็ตามนี้แล้วกัน”

หลินเยวียนไม่สนใจความเห็นของพี่สาวอีกต่อไป ถ้าแม่มีความเห็นอะไร ตนก็โยนให้พี่ไปจัดการก็สิ้นเรื่อง

หลินเซวียนงงงัน “งั้นก็ตามนี้?”

หลินเยวียนพยักหน้า “พรุ่งนี้พี่ลางานที่บริษัทด้วยนะ เดี๋ยวพวกเราไปดูบ้านกัน”

……………………………………………….

[1] ฉี่เตี่ยน เป็นเว็บไซต์สำหรับอ่านนิยายออนไลน์

การแข่งขันของวงการเพลงในฉินโจวเหี้ยมโหดมาก

ภายใต้สภาพแวดล้อมซึ่งคนแข็งแกร่งอยู่รอดและคนอ่อนแอถูกกำจัดนั้นจะจดจำเพียงผู้ชนะเท่านั้น แต่การปรากฏตัวของเฉินจื้ออวี่กลับแหกกฎทุกประการ เขาได้สมญานามว่าลูกคนรองตลอดกาล…

ดังทะลุวงการแล้ว?

ชั่วขณะนั้นงานอีเวนต์และพรีเซนเตอร์โฆษณาต่างตามกลิ่นกันมา จนเฉินจื้ออวี่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว

เรื่องนี้อย่าว่าแต่ซาไห่เลย

แม้แต่สตาร์ไลท์กับเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงเองก็ยังคาดไม่ถึง

ท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสงครามระหว่างพี่ใหญ่ทั้งสาม ก็มีช่วงเวลาที่มีทัพเสริมรักษาความสงบเกิดขึ้น และทั้งสองฝ่ายมีชัยร่วมกัน?

มองดูทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตูกันดุเดือด

ผลลัพธ์เป็นแบบนี้?

ขูดกัวซาให้กันและกันหรือไง

ซาไห่เดือดดาลจริงๆ แล้ว

พวกเอ็งสู้กันต่อซะยังดีกว่า!

ออกแรงอีกหน่อยได้ไหมล่ะ เห็นหอกสว่านนั่นไหม หยิบขึ้นมา เจาะไปที่หัวของอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ขืนพวกเอ็งสู้กันแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีใครเจ็บตัวน่ะสิ!

แต่ท้ายที่สุดแล้ว

งานนี้สตาร์ไลท์กอบโกยได้มากที่สุด เพราะพวกเขาไม่เพียงได้อันดับหนึ่งบนชาร์ตเพลงเดือนสิงหาคม แต่ยังคว้าตัวผู้ชนะรายการสะพรั่งไปได้ถึงสองปีติดกัน!

เห็นไหมล่ะ

ผู้ชนะทั้งสองปีมาอยู่ในชามแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสตาร์ไลท์ถึงจะเป็นบริษัทบันเทิงที่ดีที่สุดหรอกเหรอ?

ไม่มีคำพูดอื่นใด

จ้าวเจวี๋ยในตอนนั้นจัดหาทรัพยากรที่ดีที่สุดให้กับซย่าฝาน สวัสดิการต่างๆ ถึงขั้นที่ดีกว่าหลังจากที่จ้าวอิ๋งเก้อเซ็นสัญญาเข้าสตาร์ไลท์มาซะอีก

ไม่ใช่เพราะอื่นใด

เป็นเพราะซย่าฝานไม่ได้เป็นเพียงผู้ชนะรายการสะพรั่ง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของเซี่ยนอวี๋ด้วย

ความสัมพันธ์แบบเล่นพรรคเล่นพวกเทือกนี้ ต่อให้เป็นภายในสตาร์ไลท์เองก็ยังต้องปฏิบัติดูแลด้วยความระแวดระวัง

ซย่าฝานเดบิวต์อย่างเป็นทางการแล้ว!

สำหรับเรื่องนี้ เจี่ยนอี้รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เขาเมนชันหลินเยวียนในกลุ่มแช็ต ‘ซย่าฝานเป็นศิลปินแล้ว หลังจากนี้พวกเรากับซย่าฝานก็อยู่คนละโลกกันแล้ว…’

หลินเยวียน ‘?’

เจี่ยนอี้ยกเลิกข้อความของตนกลับ ‘เฮ้อ มีแค่ฉันกับ@พี่ ที่อยู่คนละโลกกับพวกนายสองคน’

หลินเซวียน ‘เจี่ยนอี้เมนชันพี่มีอะไร เมื่อกี้เพิ่งออกไปซื้อรถมา’

ว่าพลาง หลินเซวียนก็ส่งรูปรถคันใหม่ไป บนป้ายราคาของรถคันใหม่เขียนราคาขายไว้อย่างชัดเจนว่า ‘500,000’

เจี่ยนอี้รีบยกเลิกข้อความทันที ‘ไม่มีอะไร รบกวนแล้วครับ’

‘แอดมินกลุ่มปิดการสนทนาของสมาชิก’

เจี่ยนอี้เป็นแอดมินเจ้าของกลุ่ม อย่างน้อยในกลุ่มนี้ เขาก็เป็นราชาผู้กุมชะตาของทุกคน!

……

มีบางคนมองภายนอกเป็นนักประพันธ์เพลง ลับหลังกลับเป็นนักเขียน

ในเดือนสิงหาคมอันร้อนระอุนี้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับหลินเยวียน

ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลู เรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มสองได้วางแผงแล้ว!

ในที่สุดการประลองเมฆาครามเจ็ดปราณที่เหล่านักอ่านโหยหาก็มาถึงแล้ว

ผู้คนจำนวนมากหลังจากที่ซื้อหนังสือไปแล้ว ก็ล้วนเปิดอ่านอย่างไม่รีรอ

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ จางเสี่ยวฝานไม่ได้อันดับหนึ่งในการประลองเมฆาครามเจ็ดปราณ

ทว่าจางเสี่ยวฝานก็ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนทะลุขึ้นไปเป็นสี่อันดับแรก

เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้สำหลักสำคัญอะไร

เพราะสิ่งที่นักอ่านให้ความสนใจมากที่สุดในการประลองเจ็ดปราณ ไม่ใช่อันดับของจางเสี่ยวฝาน หากแต่เป็นความรู้สึกของเขา

จางเสี่ยวฝาน อกหักแล้ว

ศิษย์พี่ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน ดันไปตกหลุมรับศิษย์พี่คนหนึ่งในสำนักเมฆาคราม ถึงขั้นที่ไม่สนใจการคัดค้านของบิดา จะครองคู่กับอีกฝ่ายให้ได้

ภาพเหตุการณ์นี้ทิ่มแทงจางเสี่ยวฝานจนปวดร้าว

นักอ่านจำนวนมากรู้สึกกระวนกระวายใจใจ ถึงขั้นที่วางไม่ลงด้วยซ้ำ เพราะในเล่มแรกของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ผู้คนมากมายคิดว่าศิษย์พี่เถียนหลิงเอ๋อร์เป็นนางเอกของเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีนางเอกแล้ว?

ฉู่ขวงออกทะเลแล้ว

ยอมแพ้แล้วเหรอเนี่ย

ทว่าไม่นานทุกคนก็พบว่าตัวละครที่มีออร่านางเอกได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว นั่นก็คือศิษย์หญิงผู้เปี่ยมพรสวรรค์ของสำนักเมฆาคราม เป็นนางในฝันของผู้คนมากมายในสำนัก ประหนึ่งเทพธิดาลงมาจุติ

ลู่เสวี่ยฉี!

ลู่เสวี่ยฉีเป็นตัวละครหญิงซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดตัว เด็กสาวคนนี้ไม่เพียงมีรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นกว่าเถียนหลิงเอ๋อร์ ขณะเดียวกันก็ยังมีฝีมือที่แข็งแกร่ง แม้ว่าบุคลิกจะเย็นชาสักหน่อย แต่เมื่ออ่านเนื้อเรื่องก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าเธอให้ความสำคัญกับจางเสี่ยวฝานเป็นพิเศษ

ความพิเศษนี้นักอ่านเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี

นี่เป็นความรู้สึกเข้าถึงของการอ่านนิยาย เมื่อเห็นตัวละครเช่นนี้ออกโรง ในห้วงสำนึกของนักอ่านก็จะนึกโยงไปถึงนางเอกแล้วตามสัญชาตญาณ

เถียนหลิงเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว

ต่อให้ตอนนี้ฉู่ขวงเปลี่ยนความคิด ให้เถียนหลิงเอ๋อร์เปลี่ยนใจมาชอบพอกับจางเสี่ยวฝาน นักอ่านก็ไม่มีทางยอมรับแล้ว

แม้ว่าเหตุผลจะธรรมดาสามัญมากก็ตาม

ในใจลึกๆ ใครจะอยากให้จางเสี่ยวฝานคบกับแฟนเก่าคนอื่นล่ะ

แต่ลู่เสวี่ยฉีก็โอเคนะ ลู่เสวี่ยฉีฉันโอเคมาก เอาล่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่เลวเลย ยังไม่เทก็แล้วกัน ถ้าของเก่าไม่ไป ของใหม่ก็ไม่มาไงล่ะ

ผู้อ่านผุดรอยยิ้ม

และขณะที่ค่อยๆ ดื่มด่ำเข้าสู่เนื้อเรื่อง โลกบำเพ็ญอันมหัศจรรย์ก็ค่อยๆ เผยโฉมออกราวกับเป็นม้วนภาพวาดก็มิปาน

ในตอนนี้

จางเสี่ยวฝาน ลู่เสวี่ยฉีและลูกศิษย์สำนักเมฆาครามอีกหลายคนลงเขามาแสวงหาประสบการณ์ และระหว่างที่สยบมารกำจัดปีศาจนั้นเอง ตัวละครหญิงที่จำต้องเอ่ยถึงอีกคนหนึ่งก็ลงสนามแล้ว

เธอก็คือปี้เหยา!

การปรากฏตัวของปี้เหยานั้นเป็นการกระตุ้นความตื่นเต้นเร้าใจของนักอ่าน เพราะลู่เสวี่ยฉีดีต่อจางเสี่ยวฝาน ทว่าปี้เหยาดีต่อจางเสี่ยวฝานเสียยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับความคลุมเครือของลู่เสวี่ยฉีและจางเสี่ยวฝานแล้ว ปี้เหยานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีใจให้จางเสี่ยวฝาน!

เจตนาของเธอ ใครๆ ก็มองออก

ยามที่จางเสี่ยวฝานอยู่ในถ้ำและพลังอ่อนแอจนถึงขีดสุด ก็เป็นปี้เหยาที่คอยดูแลสารพัด ต้องเข้าใจด้วยว่านักอ่านไม่อาจปฏิเสธพล็อตแบบนี้ได้เลย ส่วนปี้เหยาเองก็ได้ใจผู้อ่านไปในทันใด

หลังจากนั้นปี้เหยาก็เกิดเรื่อง และเป็นจางเสี่ยวฝานที่คอยปรนนิบัติพัดวี จนสุดท้ายแล้วปี้เหยาก็ผล็อยหลับในอ้อมอกของจางเสี่ยวฝาน

แม่เจ้า ความสกินชิปนี้!

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว นักอ่านบางคนก็เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แสนจะถนัดออกมา

ทีนี้ก็ถึงเวลาสนุกแล้วสิ

ตัวละครหญิงสองคนเผยโฉมออกมาใกล้ๆ กัน หนำซ้ำความนิยมยังเกินหน้าเกินตาเถียนหลิงเอ๋อร์เก่อนหน้านี้ไปแล้ว เรื่องกระบี่เทพสังหารได้เปิดโหมดแบ่งทีม โลกบำเพ็ญเซียนได้กลายเป็นนิยายดราม่าจับคู่กันไม่ถูกไปซะแล้ว

‘ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ลู่เสวี่ยฉีเป็นนางเอก!’

‘ฉลาดเฉลียว เย็นชา หยิ่งทะนง ลู่เสวี่ยฉี ขอไม่รับความเห็นต่าง!’

‘ลู่เสวี่ยฉีผมวางหมดหน้าตัก!’

‘ขอโทษนะลู่เสวี่ยฉี แต่ฉันชอบปี้เหยา’

‘ฉันไม่ชอบคาแรกเตอร์ของปี้เหยาเลย น่าเบื่อ’

‘ปี้เหยาดีจะตายไป ลูกสาวประมุขนิกายปีศาจ เพอร์เฟ็กต์!’

‘ปี้เหยากับจางเสี่ยวฝานเหมือนลิ้นกับฟัน แบบนี้ฉันว่ามีสิทธิ์’

‘ฉู่ขวงทำแบบนี้บ้ามาก พอทำให้จางเสี่ยวฝานอกหักแล้ว ก็ใส่ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมอีกสองคนมา คนหนึ่งลู่เสวี่ยฉี อีกคนก็ปี้เหยา ทำให้เลือกไม่ถูกเลย เพราะงั้นผมเลือกฮาเร็ม!’

‘มีแค่เด็กน้อยเท่านั้นแหละที่จะเลือก ทั้งปี้เหยา ทั้งลู่เสวี๋ยฉี เก็บไว้ให้หมดเลย!’

ยังอ่านเล่มสองไม่ทันจบ ทั้งสองฝั่งก็ปะทะฝีปากกันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อพวกเขาอ่านเนื้อเรื่องของกระบี่เทพสังหารเล่มสองจบ เหล่านักอ่านกลับเลิกหยุมหัวกันในทันที เพราะเจ้าฉู่ขวงนั้น…

ตัด! จบ! อีก! แล้ว!

ในตอนนั้นเรื่องราวกำลังดำเนินมาถึงช่วงบ่อน้ำจันทร์เพ็ญ นี่คือบ่อน้ำโบราณอายุสามพันปีบ่อหนึ่ง ตำนานเล่าว่าในขอเพียงขอพรและมองลงไปยังบ่อน้ำในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็จะเห็นผู้ที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของตน

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง

จางเสี่ยวฝานมองลงไปในบ่อน้ำโบราณ

เขามองเห็นใครในบ่อน้ำจันทร์เพ็ญกันแน่ สรุปแล้วคนคนนั้นซึ่งอยู่ในใจของเขาอย่างแท้จริง เป็นใครกัน

ปี้เหยา?

ลู่เสวี่ยฉี?

หรือว่าเถียนหลิงเอ๋อร์?

ต่อให้ผู้อ่านพลิกหน้าหนังสือจนช้ำก็ไม่มีทางรู้คำตอบ เพราะเล่มที่สองได้จบลงเพียงเท่านี้

ในตอนสุดท้ายของนิยาย มีประโยคหนึ่งเขียนไว้อย่างไร้เยื่อใย ‘ถ้าอยากรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป’

ฉู่ขวงนายมันช่ำชองอะไรขนาดนั้น!

การกระทำเช่นนี้โหดร้ายซะยิ่งกว่าการตัดเข้าโฆษณาระหว่างที่ละครกำลังถึงตอนตื่นเต้น นักเขียนน่าจะถูกทุบหลังสักที!

‘ใจร้ายมาก!’

นักอ่านโวยวายด้วยความโมโห

และมีเพียงการตัดจบที่ทำให้ทีมปี้เหยาและทีมเสวี่ยฉีรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ปล่อยความแค้นไว้ชั่วคราว แล้วมาจัดการฉู่ขวงก่อนดีกว่า

หากวันใดมีดอยู่ในมือ!

จะสับเจ้าพวกชอบตัดตอนให้เละ!

…………………………………………….

ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ไม่เพียงนักศึกษาได้หยุด อาจารย์และผู้สอนมหาวิทยาลัยเองก็ต้อนรับวันหยุดพักผ่อนซึ่งหาได้ยากยิ่ง

ช่วงเวลาพักผ่อนทำอะไรน่ะเหรอ

แน่นอนว่าดูรายการโทรทัศน์น่ะสิ

รายการที่เหล่าคณาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเลือกดูก็คือรายการสะพรั่ง

หนึ่งก็เพราะนี่เป็นรายการที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้ สองก็เพราะผู้เข้าแข่งขันในรายการที่ชื่อซย่าฝานนั้นเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

แน่นอนว่าทุกคนต่างก็คอยส่งแรงเชียร์ให้ซย่าฝาน

เมื่อดูจบแล้ว บรรดาคณาจารย์สาขาการประพันธ์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ตะลึงงันไป

โดยเฉพาะหวาลี่ อาจารย์ที่ปรึกษาเซคห้าสาขาการประพันธ์เพลง

ทันทีที่เธอได้ฟัง ก็รู้ทันทีว่าเพลงที่ซย่าฝานร้องก็คือเพลงความฝันแรก

แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ประเด็นสำคัญก็คือ ซย่าฝานบอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงของเซี่ยนอวี๋?

หวาลี่โมโหขึ้นมา!

เธอเปิดกลุ่มแช็ตใหญ่ของสาขาการประพันธ์เพลง พิมพ์ต๊อกแต๊กๆ ก่อนจะส่งไปหลายข้อความ

‘พวกคุณดูสะพรั่งรอบตัดสินหรือเปล่า!’

‘เกินไปแล้ว เกินไปแล้ว!’

‘ซย่าฝานถึงกับบอกว่าเพลงนี้เป็นของเซี่ยนอวี๋ นี่มันเพลงของหลินเยวียนชัดๆ!’

‘โมโหจนตัวสั่น หัวร้อนแต่หัววันเลย!’

‘@ทุกคน วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันเก่าแก่ จะต้องช่วยหลินเยวียนทวงคืนความยุติธรรมนะคะ!’

‘…’

ในกลุ่มเงียบกริบไปอย่างแปลกประหลาดอยู่หลายวินาที

ที่ปรึกษาเซค 4 ‘อาจารย์หวาลี่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเกินไปหรอกเหรอคะ’

ที่ปรึกษาเซค 2 ‘อวดเบ่งชัดเจนมาก’

ที่ปรึกษาเซค 1 ‘อาจารย์หวาลี่ คุณลีฟกลุ่มเองดีมั้ยครับ’

อาจารย์จิน ‘หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋เองเหรอ ถึงว่าสิเพลงของเขาชนะโจวอวี๋ได้สบายๆ’

ที่ปรึกษาเซค 6 ‘โจวอวี๋? ใครเหรอครับ’

อาจารย์หลี่สาขาการประพันธ์เพลง ‘ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ! วิทยาลัยเราก็เก็บเงียบเชียวนะ!!!’

อาจารย์หวังวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ‘วิทยาลัยศิลปะฉินตง ตายสะนะ!’

อาจารย์หวังวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ‘ซะ*’

อาจารย์จางสุดหล่อ ‘ผมเพิ่งดูบันทึกคะแนนสอบ ข้อสอบเรื่องเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ผมเหมือนจะไม่ให้เขาผ่าน’

หวาลี่ ‘…’

เธอหยิกขาตัวเอง ทั้งตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะส่งข้อความไปใหม่ ‘อ๊าาาาาา! ขอโทษนะคะทุกคน! ฉันโง่มาก! หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋! เซี่ยนอวี๋ก็คือหลินเยวียน! ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง!’

คุณเพิ่งรู้เหรอ

ทุกคนจนคำพูด

ในตอนนั้นเอง อาจารย์ซือเฉิงก็มาตอบ ‘@ทุกคน ในเมื่อพวกคุณรู้กันแล้ว ผมเองก็จะไม่ปิดบัง เรื่องที่ว่าหลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋หวังว่าพวกคุณจะไม่แพร่งพรายออกไป หลินเยวียนไม่ชอบถูกโลกภายนอกสนใจและรบกวน พวกคุณเป็นอาจารย์ จะต้องให้พื้นที่ส่วนตัวที่เงียบสงบกับเขา!’

‘รับทราบ!’

‘รับทราบ!’

‘รับทราบ!’

ขณะนั้นเอง อาจารย์ที่ปรึกษาเซคสามก็เอ่ยแทรกขึ้นมา ‘งั้นเรื่องที่หลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋ ตอนนี้ก็น่าจะไม่ได้มีแค่พวกเราที่รู้ วิทยาลัยศิลปะฉินตงเองก็รู้เหมือนกัน!’

‘ตลกแล้ว!’

ครั้งนี้หวาลี่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วมากพอ ‘น่ากลัวว่าวิทยาลัยศิลปะฉินตงคงปิดปากเงียบกว่าพวกเราซะอีก ถ้าพูดออกไปว่าหลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋ จะไปมีผลดีอะไรกับพวกเขาล่ะคะ’

ทุกคน ‘…’

อาจารย์ที่ปรึกษาเซคเจ็ด ‘ปัญหาที่ฉันกังวลในตอนนี้ก็คือหลังจากนี้@อาจารย์หวาลี่จะสอนยังไง เซี่ยนอวี๋เข้าเรียนวิชาสาขาของอาจารย์หวาลี่ พวกคุณสองคนสรุปแล้วใครสอนใคร’

หวาลี่ ‘…พอได้แล้วค่ะ!’

หวาลี่ ‘เขาอยากไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว ไม่สิ เขาต้องได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว!’

ใช่แล้ว

ในกลุ่มแช็ตใหญ่ของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินตง

สถานการณ์นั้นคล้ายคลึงกับในกลุ่มแช็ตใหญ่ของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ทว่าความรู้สึกของเหล่าคณาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินตงในตอนนี้กลับแตกต่างกัน พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าข่าวใหญ่นี้น่าดีใจตรงไหน

‘นักศึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวคนนั้นคือเซี่ยนอวี๋!’

‘เหมือนว่าจะชื่อหลินเยวียน’

‘ครั้งก่อนพวกเรายังเอาผลงานของโจวอวี๋ไปโชว์ถึงที่???’

‘โจวอวี๋จะไปสู้เซี่ยนอวี๋ได้ยังไง!’

‘แย่แล้วๆ ผมรู้สึกawkwardมากเลย หลังจากนี้คงไม่มีหน้าไปเจอพวกวิทยาลัยศิลปะฉินโจวแล้ว’

‘วิทยาลัยศิลปะฉินโจวแกงเราหนักมาก!’

‘…’

ในกลุ่มแช็ตใหญ่ของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวแตกตื่นยกใหญ่!

จางเหวินอู่เมนชั่นทุกคน ‘เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป เพราะจะส่งผลต่อการรับสมัครนักศึกษาในปีหน้า ในเมื่อวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ก็น่าจะเพราะอยากให้พื้นที่ส่วนตัวในการสร้างสรรค์ผลงานกับหลินเยวียน พวกเราก็คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน’

ทุกคน ‘…’

ศาสตราจารย์จางเป็นท่านนั่นแหละที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้แต่ความคิดของทางวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ยังเดาออก แต่ทำไมครั้งก่อนต้องพาพวกเราไปถูกตบหน้าด้วย ทำไมท่านไปเองไม่ได้ล่ะ

……

ท่ามกลางความเห็นต่างๆ นานา ทั้งสองฝั่งเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ฟองสบู่ลูกนี้ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องแตก แต่ไม่มีใครอยากเป็นคนที่จิ้มฟองสบู่ลูกนั้นให้แตกหรอก

และตอนนั้นก็เข้าสู่วันที่สอง

หลังจากที่ในวงการพบว่าเซี่ยนอวี๋ขึ้นบัลลังก์แชมป์ด้วยเพลงความฝันแรก และเฉินจื้ออวี่ได้อันดับสองอีกแล้ว ทุกคนก็หัวเราะกันจนเสียสติ โดยเฉพาะทางซาไห่ หลังจากเดือนมิถุนายนผ่านพ้นไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่กลุ่มแทบแตก!

‘เฉินจื้ออวี่: เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ไฉนจึงมีแต่ปลา’

‘เฉินจื้ออวี่: แม้แต่ลมหายใจของฉันก็เป็นกลิ่นคาวปลา’

‘ขำปอดโยก!’

‘เซี่ยนอวี๋: สหายจื้ออวี่ ชะตาของเราต้องกัน!’

‘เซี่ยนอวี๋: ตกใจมั้ย เซอร์ไพรส์มั้ย ฉันมาอีกแล้วจ้า!’

‘เฉินจื้ออวี่: วันนี้จะฉันจะใช้ความสามารถพิสูจน์ ว่าเซี่ยนอวี๋แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่!’

‘ฮุๆ วะฮ่าๆๆๆ!’

‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน กลัวยิ่งกว่าว่า เธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์’

‘ครีบปลากว้างใหญ่เหลือเกิน ฉันจึงปล่อยเชือกแห่งกาลเวลา’

‘ทุกหยาดน้ำตาหลั่งรินไปสู่เธอ หวนกลับคืนครั้งแรกที่พานพบ…’

เจ้าพวกนี้

ยกมาแม้แต่เนื้อเพลงปลายักษ์ แถมยังรับส่งกันเป็นลูกคู่กันซะดีเชียว

แน่นอนว่าซาไห่มีเหตุผลให้ดีใจ

คนอื่นตายตัวเองต้องไม่ตาย เซวี่ยนล่านอิ๋งกวงถูกสตาร์ไลท์ทุบหลังหัก พวกเขาทำได้เพียงดีใจจนออกนอกหน้า!

และในตอนนั้นเอง

จู่ๆ ในกลุ่มก็มีคนพูดขึ้นมาว่า ‘โถ่เอ๊ย ขอร้องเถอะพวกคุณหยุดเล่นกันได้แล้ว ตอนนี้ทั้งฉินโจวล้อเลียนเฉินจื้ออวี่กันหมดจนเฉินจื้ออวี่ดังเป็นพลุแตกแล้ว!’

อะไรนะ

ทุกคนชะงักไป

ผู้พูดแคปภาพหน้าจอส่งมาในกลุ่ม ‘ฮ็อตเสิร์ชอันดับหนึ่งของปู้ลั่วคือเฉินจื้ออวี่ พาดหัวข่าวก็เป็นเฉินจื้ออวี่ แม้แต่มีมยอดฮิตในอินเทอร์เน็ตประจำวันนี้ก็ยังเป็นเฉินจื้ออวี่ เมื่อกี้ผมยังได้ข่าววงในมาอีกข่าวหนึ่งว่ามีสักบริษัทควักเงินยี่สิบล้านมาเชิญเฉินจื้ออวี่ไปเป็นพรีเซนเตอร์เบ็ดตกปลารุ่นหนึ่ง!’

‘ทำไมต้องเป็นเบ็ดตกปลา?’

‘แน่นอนก็เพราะว่าเป็นเบ็ดตกปลาไงล่ะ บนโลกนี้ยังมีใครที่เชี่ยวชาญการตกปลาดีไปกว่าเฉินจื้ออวี่ด้วยเหรอ…โอ๊ยไปกันใหญ่ นี่มันประเด็นสำคัญซะที่ไหนล่ะ ประเด็นสำคัญคือพรีเซนเตอร์ยี่สิบล้านเลยนะยี่สิบล้าน ค่าตัวของเฉินจื้ออวี่ก่อนหน้านี้ถึงยี่สิบล้านซะที่ไหน!’

‘เฉินจื้ออวี่ดังแล้ว?’

‘ลูกคนรองตลอดกาล ดังเปรี้ยงขึ้นมา?’

‘อะไรกันวะเนี่ย!’

ในกลุ่มแช็ตพลันโอดครวญขึ้นมาทันที ต่างคนต่างบ่นกันพึมพำเหมือนไปกินแมลงวันมา สตาร์ไลท์เด็ดหัวเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงย่อมเป็นเรื่องดี

แต่ปัญหาคือ…

ตอนนี้เฉินจื้ออวี่ดังแล้ว!

มีกระแสระลอกใหญ่!

ฮ็อตฮิตไปทั้งโลกออนไลน์!

คิดอยู่นาน ก็รู้แล้วว่าอันที่จริงไม่ใช่สตาร์ไลท์เด็ดหัวเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง แต่ทั้งเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงและสตาร์ไลท์ชนะด้วยกันทั้งคู่!?

แล้วซาไห่ของพวกเราล่ะ

กลายเป็นกลุ่มไทยมุงแทะเมล็ดแตงโม?

ตึกตักๆ

กลุ่มแช็ตนี้ตายสนิทไปแล้ว

และภายในเซวี่ยนล่านอิ๋งกวง เฉินจื้ออวี่กำลังจ้องผู้จัดการเขม็ง “นี่มันเป็นการเหยียดหยามผมชัดๆ ศักดิ์ศรีผมถูกเหยียบย่ำ วันนี้ต่อให้ผมอดตาย ให้ผมกระโดดลงไปตอนนี้เลยก็ได้ แต่จะไม่รับพรีเซนเตอร์เบ็ดตกปลาแน่นอน!”

“พวกเขาเสนอราคามายี่สิบล้านแล้วนะ…”

“รสอะไรกลิ่นอะไร กำลังหิวพอดี ไปกินอะไรสักหน่อย จะได้คุยเรื่องพรีเซนเตอร์ปลาแห้ง[1]ด้วย”

“ได้เลย! ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”

“อะไรเหรอครับ”

“บริษัทวางแผนให้นายปล่อยเพลงเดือนหน้า”

“ทำไมล่ะครับ เดือนหน้ามีราชาเพลง แล้วผมจะไปชนกับเขาทำไม”

“เพราะมีราชาเพลงเนี่ยแหละ นายถึงจะได้ที่สอง นี่เป็นคำแนะนำของบริษัท พวกเขาจัดแจงทุกอย่างไว้แล้ว เหลือแค่ให้นายออกโรง!”

“…”

เฉินจื้ออวี่ถลึงตาใส่ผู้จัดการ พูดย้ำทีละคำ “คุณคิดว่าตัวเองตลกมากใช่มั้ย”

……………………………………….

[1] ปลาแห้ง เป็นการเล่นมุกคำพ้องเสียง เนื่องจากคำว่าเบ็ดตกปลา (鱼竿) และคำว่าปลาแห้ง (鱼干) ในภาษาจีนนั้นออกเสียงเหมือนกัน

หลังจากการแข่งขันจบลง การถกเถียงกันก็ปรากฏไปทั่วทั้งโลกออนไลน์ ความถี่ของชื่อซย่าฝานนั้นสูงมาก นอกจากนั้นแล้ว บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเซี่ยนอวี๋ก็เกิดขึ้นอย่างล้นหลามเป็นครั้งแรก!

เซี่ยนอวี๋มีชื่อเสียงแล้วจริงๆ

กระแสความฮ็อตฮิตผลงานทั้งหมดของเขาในตอนนี้ ไม่มีเพลงไหนด้อยไปกว่ากันเลย เพียงแต่เพราะเป็นการทำงานอยู่เบื้องหลัง จึงไม่มีโอกาสได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่มาโดยตลอด และบนเวทีรายการสะพรั่งแห่งนี้ ในที่สุดก็ไม่มีใครมองข้ามการมีตัวตนของเขาได้อีกต่อไป!

‘พวกเธอเห็นหรือยังล่ะ’

มีคนแดกดัน ‘บวกกับจ้าวอิ๋งเก้อเมื่อคราวก่อน ผู้ชนะรายการสะพรั่งสองครั้งล่าสุดล้วนแต่ร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ ต่อไปผู้ชนะรายการนี้ก็คงจะร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ ทำเพลงสักเพลงถึงจะนับว่าเป็นความสำเร็จ?’

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการประชดประชัน

ความสนใจของทุกคนล้วนไปรวมอยู่ที่เพลงความฝันแรก เฉกเช่นที่จ้าวเจวี๋ยพูดเอาไว้ เพลงนี้ปล่อยออกไปในเช้ามืดวันแรกของเดือนสิงหาคม และเวอร์ชันที่ปล่อยออกมาไม่ใช่เวอร์ชันในสตูดิโอ

หากแต่เป็นเวอร์ชันไลฟ์สดจากรายการสะพรั่ง!

แน่นอนว่าเสียงที่บันทึกไว้ได้ผ่านการปรับแต่ง

ตัวอย่างเช่นเสียงเชียร์ของฝูงชนและเสียงปรบมือล้วนถูกตัดทิ้งไปส่วนมาก เหลือไว้เพียงเสียงกู่ร้องทั่วทั้งห้องส่งหลังจากที่เพลงจบลง

หากใช้คำพูดของจ้าวเจวี๋ยเอง ก็คือให้ปล่อยเวอร์ชันไลฟ์สดบนเวทีก่อน จากนั้นค่อยปล่อยเวอร์ชันสตูดิโอ

ถึงอย่างไรการอัดเพลงใหม่จะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ

ทางหลินเยวียนมีเวอร์ชันสตูดิโอ ซึ่งก็เป็นผลงานในการประเมินประจำปีการศึกษาของเขา แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เหนือไปกว่าเวอร์ชันไลฟ์สดบนเวที

ผู้ชมจำนวนมากที่ดูรายการนี้จบ ก็รีบไปดาวน์โหลดเพลงความฝันแรกทันที

‘เพลงนี้ต้องดังแน่!’

‘คว้าแชมป์เดือนนี้ได้สบายไร้ปัญหา’

‘ถ้าเพลงนี้ไม่ได้ที่หนึ่งสิแปลก เพลงของแชมป์รายการสะพรั่ง แถมยังเป็นเพลงใหม่ของเซี่ยนอวี๋ด้วย!’

ในตอนนี้อยู่ๆ ก็มีคนนึกขึ้นได้ ‘เดือนสิงหามีนักร้องแถวหน้าอีกสองคนไม่ใช่เหรอ’

‘ศึกสองอวี่?’

‘เมื่อกี้ฉันเพิ่งฟังเพลงของเฉินจื้ออวี่กับจินซูอวี่ เพลงนี้ของเฉินจื้ออวี่ดีมากเลย เพราะกว่าเพลงของจินซูอวี่อีก!’

‘เดี๋ยวนะ…’

‘งั้นเฉินจื้ออวี่…’

‘คงไม่ได้…’

‘อันดับหนึ่ง…’

‘อีกสินะ…’

เรียกว่าประโยคเดียวปลุกคนให้ตื่นได้อย่างแท้จริง

หรือว่าเฉินจื้ออวี่อยากจะครองสมญานาม ‘ลูกคนรองตลอดกาล’ ไปเรื่อยๆ?

……

ในช่วงเช้ามืดของเดือนสิงหาคมนั้นเอง

เฉินจื้ออวี่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องนอนด้วยความหวั่นวิตก

เขาไถแพลตฟอร์มฟังเพลงใหญ่ๆ แต่ละแห่ง แต่เมื่อได้เห็นหัวข้อโปรโมตของเพลง สายตาของเขาก็นิ่งค้าง ทั้งตัวแทบกลายเป็นประติมากรรมสีเทาเข้มชิ้นหนึ่ง

ตั้งชื่อประติมากรรมชิ้นนั้นได้ว่า ‘คนครุ่นคิด[1]’

ฉันต้องเปิดผิดวิธีแน่ๆ

ผ่านไปสิบนาทีเต็มๆ เฉินจื้ออวี่ถึงได้ผุดรอยยิ้มเบาใจออกมา

ระบบขัดข้องก็เป็นเรื่องสุดแสนจะปกติ มีครั้งหนึ่งตนปล่อยเพลงใหม่ไปแล้วแท้ๆ ทว่ากว่าแต่ละแพลตฟอร์มจะขึ้นเพลงให้ก็ปาไปตีหนึ่งแล้ว

เฉินจื้ออวี่กดปิดแพลตฟอร์มฟังเพลง

แล้วเปิดขึ้นมาใหม่

จากนั้นเขาก็นิ่งค้างกลายเป็นประติมากรรมไปอีกครั้ง

ผู้จัดการปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูพอดี เปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง แต่ทันทีที่ผู้จัดการเห็นเฉินจื้ออวี่นั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในใจก็พลันเกิดลางสังหรณ์ประหลาดที่อธิบายไม่ถูก รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้โคตรจะคุ้นเคย

“นายโอเคหรือเปล่า”

เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

เฉินจื้ออวี่ได้สติกลับมา เขามองผู้จัดการด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและอบอุ่น กวักมือไหวๆ “ผมไม่เป็นไร ครั้งนี้ไม่มีปัญหาแน่ คุณมาเร็ว เราฟังเพลงกันเถอะ!”

ยอดเยี่ยมไปเลย!

ผู้จัดการพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อกี้เขาเดินเข้ามายังคิดซะอีกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อมาคิดให้ถี่ถ้วนแล้วจะไปเกิดอะไรขึ้นได้ล่ะ เดือนนี้ไม่มีเซี่ยนอวี๋ ส่วนเพลงของจินซูอวี่ก็ไม่ได้ดีพอให้กังวล

“เพลงอะไรล่ะ”

เขานั่งลงพลางหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะร้องขึ้นมาด้วยความตกใจกลัว “เฉินจื้ออวี่นายทำอะไรน่ะ!”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ!”

เฉินจื้ออวี่หยิบสายของหูฟังมาพันรอบคอของผู้จัดการ กดร่างของผู้จัดการซึ่งดิ้นต่อสู้ “ตายซะตายซะตายซะตายซะคนนำพาลางร้ายอย่างคุณคุณบอกไม่ใช่หรือไงว่ารับรองว่าเดือนนี้ไม่มีเซี่ยนอวี๋ผมนอนรอมงแชมป์ทำไมเซี่ยนอวี๋ยังโผล่มาอีกจะนั่งคิดนอนคิดก็เพราะคุณพูดเป็นลางนั่นแหละ!” เฉินจื้ออวี่เป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยม พลังปอดของเขาน่ากลัวเหลือเกิน

“จะฆ่ากันหรือไง!”

ผู้จัดการร้องลั่น ใบหน้าซีดเผือด วิธีการปล่อยเพลงในครั้งนี้ของเซี่ยนอวี๋พิเศษเกินไป ใครจะไปคาดคิดกันฟระ!

ถึงยังไงก็บ้านเมืองก็มีขื่อมีแป ท้ายที่สุดเฉินจื้ออวี่ก็ควบคุมความพยาบาทของตน และสงบสติอารมณ์

ผ่านไปห้านาที

เขากับผู้จัดการนั่งอยู่ด้วยกัน ฟังเพลงความฝันแรกจนจบ

บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

พาดหัวข้อข่าวมีข่าวหนึ่งวิ่งมา ‘ซย่าฝานเอาชนะถังเยวี่ย คว้าแชมป์สะพรั่ง เพลงใหม่ความฝันแรกสั่นสะเทือนทั้งฮอลล์ มองเทพเซี่ยนอวี๋ลงมาจุติ!’

“ข่าวนี้เพ้อเจ้อจริงเลย”

น้ำเสียงของผู้จัดการไม่เปลี่ยนแปลง “เทพจะลงมาจุติจริงๆ ไปได้ยังไง ก็แค่เซี่ยนอวี๋ปล่อยเพลงใหม่ ยังไงฉันก็คิดแบบนั้น”

“เหอะ ก็แค่นี้แหละ”

สีหน้าของเฉินจื้ออวี่ฉายแววเหยียดหยาม

ทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกัน เดินไปยังตู้เย็นอย่างหมดอาลัยตายอยากราวกับซอมบี้ หยิบไวน์แดงซึ่งครั้งก่อนนำมาฉลองอันดับหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เปิดด้วยซ้ำไป

“…”

เฉินจื้ออวี่เอ่ย “ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้กินไวน์แล้ว ไม่สู้วันนี้กินให้หมดไปเลยดีกว่า”

ผู้จัดการพยักหน้า “ถูกต้อง”

ว่าพลาง ผู้จัดการก็ส่งข้อความหาภรรยา ‘คืนนี้ผมไม่กลับนะ’

ภรรยาตอบกลับมา ‘ดีใจขนาดนั้น?’

ผู้จัดการบอก ‘ผมกลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ๆ ผมต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา ขอโทษนะ’

ภรรยาตอบ ‘…’

ขณะที่กำลังจะวางโทรศัพท์ลง จู่ๆ ผู้จัดการก็เห็นข้อความหนึ่งในเวยปั๋ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นพิลึกกึกกือทันที

“จื้ออวี่เอ๊ย”

“อะไรครับ”

เฉินจื้ออวี่กำลังรินไวน์

ทันใดนั้นผู้จัดการก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “นายขึ้นอันดับหนึ่งในฮ็อตเสิร์ชแล้ว”

เฉินจื้ออวี่เงยหน้าขึ้นมามองผู้จัดการ “คุณอ่านผิดหรือเปล่า เหมือนว่าผมจะไม่ได้ขึ้นฮ็อตเสิร์ชมาสองปีแล้วนะ ปีนี้ก็ยิ่งไม่เคยติดท็อปสิบเลยด้วยซ้ำ”

“แต่ตอนนี้นายติดแล้ว”

ผู้จัดการบอก “ดูนี่ แฟนคลับนายเพิ่มขึ้นมาอีกหลายแสนคน จริงสิ ปกติแล้วนายโพสต์เวยปั๋วมีคอมเมนต์เท่าไหร่”

เฉินจื้ออวี่ครุ่นคิด ก่อนตอบไป “สักแสนกว่าๆ ล่ะมั้งครับ”

ผู้จัดการกล่าว “คอมเมนต์เพลงใหม่ของนายในเวยปั๋วทะลุแสนไปแล้ว…เหมือนว่านาย…จะดังแล้ว?”

เพลงของฉัน ชนะแล้ว?

เฉินจื้ออวี่พลันเงยหน้าขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น คว้าโทรศัพท์ของผู้จัดการมาอ่านความคิดเห็นด้วยความคาดหวัง

ความคิดเห็นซึ่งมียอดไลก์อันดับหนึ่ง: ปวดใจ

ความคิดเห็นซึ่งมียอดไลก์อันดับสอง: โอ๋ๆ น้า

ความคิดเห็นซึ่งมียอดไลก์อันดับสาม: พยายามเข้านะ

ความคิดเห็นซึ่งมียอดไลก์อันดับสี่: …

สีหน้าของเฉินจื้ออวี่ซับซ้อนซะยิ่งกว่าอะไร ทันใดนั้นก็พูดขึ้นด้วยความเดือดดาลระคนช้ำใจ “ฮ็อตเสิร์ชแบบนี้ ไม่ต้องขึ้นก็ได้ปะ!”

……

ขณะเดียวกันนั้นเอง

จินซูอวี่ก็เปิดเพลงใหม่ของเฉินจื้ออวี่ฟังอย่างกระอักกระอ่วน หลังจากฟังไปได้สามสี่นาที หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น

อันดับหนึ่ง นอนมาแล้ว

เมื่อกวาดตามองไปยังแบนเนอร์โปรโมต เฉินจื้ออวี่ก็เห็นข้อความแนะนำบรรทัดหนึ่ง ‘เพลงใหม่ของเซี่ยนอวี๋ซึ่งพาซย่าฝานคว้าแชมป์รายการสะพรั่ง ความฝันแรกปล่อยแล้ว!’

เขารีบคลิกเข้าไป

ฟังไปได้เพียงครึ่งเพลง จู่ๆ เขาก็ถอดหูฟังออก

จินซูอวี่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โพสต์ข้อความลงในโมเมนต์วีแช็ตสามคำ

‘ตายเรียบแน่!’

โดยมีภาพประกอบเป็นปลาตัวหนึ่ง

มาคิดๆ ดูแล้ว จินซูอวี่รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่ ถึงอย่างไรเพื่อนสนิทตั้งหลายคนของตนล้วนเป็นพนักงานในบริษัท

ถ้าเกิดในบริษัทมีคนเอาไปพูดพล่อยจะทำยังไง

ถ้าอาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่พอใจกับการแสดงออกของเขาจะทำยังไง

เขาจึงตั้งค่าจำกัดการมองเห็นของโพสต์นี้

‘มีเพียงเฉินจื้ออวี่ที่เห็น’

เป็นนักร้องแถวหน้าในวงการเหมือนกัน ทั้งสองเพิ่มเพื่อนกันไว้เป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่หลังจากที่ทั้งสองเพิ่มเพื่อนกันไปแล้ว ก็ไม่เคยพูดคุยกันก็เท่านั้น

ห้านาทีให้หลัง

จินซูอวี่ก็ได้รับการกดไลก์จากเฉินจื้ออวี่เป็นครั้งแรกในชีวิต

และสองนาทีต่อมา อีกฝ่ายก็ถึงกับมาแสดงความคิดเห็น ‘คำพูดนี้ของนายฉันรู้สึกคุ้นหูมาก เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนนะ…ช่างมันเถอะไม่คิดละ ฉันสงสัยว่าทำไมครั้งก่อนนายไม่พักไปให้นานกว่านี้หน่อย’

จินซูอวี่ตอบกลับ ‘นั่นน่ะสิ ทำไมไม่พักไปให้นานกว่านี้หน่อย’

เฉินจื้ออวี่ตอบกลับอีกว่า ‘เรื่องบางเรื่องทำตัวให้ชินก็พอแล้ว บนโลกนี้ ไม่มีใครเข้าใจจินซูอวี่ได้ดีเท่าฉันแล้ว แต่ว่ากันตามตรงเลยนะ บริษัทนายมันเหี้ยมว่ะ’

จินซูอวี่จึงตอบไปว่า ‘เรื่องของบริษัท พนักงานโปรดอย่าแทรกแซง’

…………………………………………

[1] คนครุ่นคิด (Le Penseur) ประติมากรรมบรอนซ์และหินอ่อนโดยโอกุสต์ โรแด็ง ศิลปินชาวฝรั่งเศส

เมื่อถังเยวี่ยร้องเพลงจบ ผู้ชมคิดว่าผู้ชนะของปีนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว

เมื่อซย่าฝานร้องเพลงเสร็จ ผู้ชมก็คิดว่าผู้ชนะของปีนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว

เอาเถอะ

แม้ว่าภาษาจีนจะกว้างและลึกซึ้ง ทว่าครั้งที่สองนั้นไม่จำเป็นต้องสงสัยจริงๆ เพราะผู้ชมทั่วทั้งห้องส่งตะโกนร้องชื่อหนึ่งออกมา

“ซย่าฝาน!”

“ซย่าฝาน!”

ผู้ชมด้านล่างเวทีมีความเป็นกลาง และข้อดีที่สุดของผู้ชมที่เป็นกลางก็คือถ้าใครร้องดีกว่าก็เป็นแฟนคลับของคนนั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นแฟนคลับของถังเยวี่ย ตอนนี้เป็นแฟนคลับของซย่าฝาน

ราวกับว่ากำลังกระโดดสลับไปมา

พิธีกรชายรีบสาวเท้าขึ้นเวที เอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “เป็นโชว์ที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ในตอนนี้ผมเชื่อว่า ผู้ชมทั้งในห้องส่งและผู้ชมทางบ้านน่าจะตื่นเต้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่าพวกเรายังต้องใจเย็นกันก่อนนะครับ”

“ใช่แล้วค่ะ”

พิธีกรหญิงก็ยืนกล่าวบนเวทีเช่นเดียวกัน “นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าในศึกชิงแชมป์ครั้งนี้จะมีเพลงใหม่ปรากฏถึงสองเพลง แถมทั้งสองเพลงยังทำให้พวกเราตื่นเต้นไม่หายเลยล่ะค่ะ ขอถามคณะกรรมการทั้งสี่ท่านว่ามีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ”

กล้องฉายไปยังคณะกรรมการ

คณะกรรมการเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน แต่ละคนท่าทางเหมือนกินขนมล่าเถียว ใช้เวลานานโขกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ และตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างอิ่มเอิบ

“ฉันคิดว่าฉันใจเย็นลงแล้วนะคะ”

กรรมการคนแรกกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่ที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าควรคอมเมนต์เพลงนี้ว่ายังไง บอกได้แค่ว่าคนที่เขียนเพลงระดับนี้ออกมาได้ ต้องไม่ใช่คนที่ไร้ชื่อเสียงอย่างแน่นอนค่ะ ทำนองดี ร้องก็ดี ถ้าให้ฉันคอมเมนต์ก็พูดได้แค่ว่าสำหรับฉันแล้ว เพลงนี้ของซย่าฝานเป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุดในการประกวดซีซันนี้เลยค่ะ!”

“โชว์สมบูรณ์แบบมากครับ!”

กรรมการคนที่สองเองก็ให้คำชื่นชมในระดับที่สูงมาก จากนั้นจึงมองไปยังซย่าฝาน “ซย่าฝานคุณกระซิบหน่อยได้ไหมครับว่าอาจารย์นักแต่งเพลงท่านไหนที่อยู่เบื้องหลังเพลงนี้”

ขวับๆๆ!

สายตาของทุกคนมองไปยังซย่าฝาน ขณะที่ทุกคนยังคงดื่มด่ำกับพลังของบทเพลง ก็นึกสงสัยเช่นกันว่านี่เป็นผลงานของใคร

ซย่าฝานมองไปยังด้านข้าง

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้าเบาๆ ให้เธอ

ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับอีกต่อไป เพราะซย่าฝานได้มีเจตจำนงจะเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์แล้ว

ซย่าฝานสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มบางตอบ “เพลงนี้มีชื่อว่าความฝันแรก และผู้ประพันธ์ผลงานชิ้นนี้ก็คือ…”

“เซี่ยนอวี๋ค่ะ”

เฮ้ๆๆ เพียงคำพูดเดียวก็นำพามาซึ่งเสียงเชียร์ดังสนั่น ดุจหินก้อนเดียวก่อกำเนิดเกลียวคลื่น!

เซี่ยนอวี๋!

เป็นเซี่ยนอวี๋จริงด้วย!

ชั่วขณะนั้นสีเหม่ยอยากล้มลงไปตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด!

ก่อนหน้านี้เธอไปปั่นประสาทซย่าฝานไว้ หนำซ้ำยังจงใจเสียดสีจ้าวเจวี๋ยไปว่าให้ปลาตัวนั้นมากู้สถานการณ์

ผลเป็นยังไงล่ะ!

เป็นอย่างที่ฉันพูดเลยใช่ไหม

ฉันนี่มันปากพาซวยจริงๆ!

ถังเยวี่ยยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ถึงกับเป็นเซี่ยนอวี๋ ฉันชอบเพลงของเซี่ยนอวี๋มาก เลยตั้งใจเลือกร้องเพลงปลายักษ์ในรอบสี่คนสุดท้ายเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

สีเหม่ยกัดฟันกรอด แค่นเสียงหึ “เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงของเราเองก็มีนักแต่งเพลงเก่งๆ อีกมาก ฝีมือของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเซี่ยนอวี๋เลย!”

ถังเยวี่ย “…”

แต่ฉันชอบเซี่ยนอวี๋นี่นา

ก่อนหน้านี้ถังเยวี่ยเคยวาดฝันไว้ ว่าเข้ามาในวงการแล้ว หลังจากนี้จะได้โคจรมาพบกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋บ้างไหมนะ

ผลคือตนได้โคจรมาพบกับเซี่ยนอวี๋จริงๆ เพียงแต่วิธีที่โคจรมาเจอนั้นออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย

แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้ถังเยวี่ยไม่กล้าพูดออกมา ตอนนี้เธอเป็นนักร้องของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงแล้ว และทุกคนก็รู้โดยทั่วกันเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับสตาร์ไลท์ก็เป็นคู่แข่งกัน

“ฉันไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย”

หลังจากช่วงเวลาแห่งความตื่นอกตกใจผ่านพ้นไป กรรมการท่านที่สามก็ทอดถอนใจ “ผู้ชมบางคนอาจไม่คุ้นเคยกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ถึงขั้นที่มีคนไม่รู้ว่าเซี่ยนอวี๋เป็นใคร แต่ทุกคนคงจะรู้จักเพลงกุหลาบแดงใช่ไหมครับ ซิงเกิลที่ออกมาในเดือนมิถุนายนและโด่งดังเป็นพลุแตกนี้เป็นผลงานของเซี่ยนอวี๋ เขาเป็นนักแต่งเพลงมือทองของวงการเพลงเรา”

ทันทีที่คำพูดนี้จบลง

ด้านล่างเวทีก็ลุกฮือขึ้นมา

คณะกรรมการคนที่สามตกใจจนสะดุ้งโหยง เกิดอะไรขึ้น ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมปฏิกิริยาของผู้ชมถึงรุนแรงขนาดนี้

เขามองไปยังเพื่อนทั้งสาม

เพื่อนอีกสามคนก็แบมือยักไหล่

คณะกรรมการทั้งสี่ทำได้เพียงหันไปมองผู้ชม เพื่อฟังเสียงตะโกนของฝูงชน และได้ยินพวกเขาตะโกนกันว่า

“พวกเรารู้จักเซี่ยนอวี๋!”

“ผมเคยฟังเพลงของเขา!”

“ฉันเป็นแฟนเพลงของเซี่ยนอวี๋!”

“ขอโทษนะคะ แต่พวกเรารู้จักเขาดีเลยละ!”

คณะกรรมการพลันแค่นหัวเราะ พิธีกรเองก็อดมีความสุขท่ามกลางความวุ่นวายนี้ไม่ได้ “ดูท่าแล้วคณะกรรมการทั้งสี่ท่านจะประเมินผู้ชมของเราต่ำไปนะครับ ชื่อเสียงของเซี่ยนอวี๋ต่อให้เป็นนอกวงการก็นับว่าไม่ธรรมดาเลยครับ”

นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก

คนทั่วไปที่ติดตามเพลงในช่วงนี้ ไม่มีทางไม่คุ้นชื่อเซี่ยนอวี๋ เพลงกุหลาบแดงได้ครองแชมป์ในเดือนมิถุนายนไม่ใช่หรืออย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ผลงานของเซี่ยนอวี๋จะไม่มาก แต่ความฮ็อตฮิตของแต่ละเพลงก็ไม่ใช่ย่อยเลย “ถูกต้องมั้ยครับทุกคน!”

“ถูกต้อง!”

ฝูงชนกู่ร้อง

การถกเถียงของผู้ชมในตอนนี้ไม่ใช่ ‘เซี่ยนอวี๋คือใคร’ อีกต่อไป ต่อให้ไม่รู้จักจริงๆ ว่าเซี่ยนอวี๋เป็นใคร ก็ต้องแสร้งทำเป็นรู้จักไปก่อน ไม่อย่างนั้นจะเห็นได้ชัดว่าตนตามกระแสไม่ทัน และผู้ชมที่รู้จักเซี่ยนอวี๋จริงๆ ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

“เซี่ยนอวี๋โหดไปแล้ว!”

“นักแต่งเพลงมือทองของแท้แน่นอน!”

“คณะกรรมการคิดจริงๆ เหรอว่าพวกเราไม่รู้จักเซี่ยนอวี๋ ก่อนหน้านี้เพลงปลายักษ์ที่ถังเยวี่ยร้องก็เป็นผลงานของเซี่ยนอวี๋ไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของเซี่ยนอวี๋เลยนะ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่มีใครรู้จักเซี่ยนอวี๋ดีเท่าฉันแล้ว!”

“เพ้อเจ้อน่ะ ฉันรู้เยอะกว่าแกอีก!”

“ในฐานะแฟนคลับที่ติดตามเซี่ยนอวี๋มาตั้งแต่ช่วงเพลงชีวิตดุจมวลผกายามคิมหันต์ ฉันยังต้องแนะนำเซี่ยนอวี๋ให้พวกเธอฟังอีกมั้ย!”

“…”

ผู้ชมครึกครื้นกันมาก

คณะกรรมการผุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เซี่ยนอวี๋ในฐานะนักประพันธ์เพลง เขาจัดอยู่ในกลุ่มเบื้องหลังของวงการเพลง คนที่อยู่เบื้องหลังแต่ผู้คนกลับคุ้นเคยเป็นอย่างดีในความจริงแล้วเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก โดยทั่วไปมีเพียงบุคลากรระดับพ่อเพลงขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะได้รับความสนใจจากผู้คนเช่นนี้!

“ว่ากันว่ากระบี่มีไว้สำหรับวีรบุรุษ[1]”

หัวเราะกันจนหอมปากหอมคอ คณะกรรมการคนที่สี่ก็เอ่ยขึ้น พร้อมทั้งยกนิ้วโป้ง “บทเพลงที่ยอดเยี่ยมย่อมต้องการนักร้องที่เยี่ยมยอดมารับมือ ถึงจะแสดงศักยภาพของเพลงออกมาได้อย่างเต็มที่ ฉันคิดว่าวันนี้ซย่าฝานทำโชว์ออกมาได้ทรงพลังที่สุดเลยค่ะ คุณได้ใช้ความสามารถพิสูจน์แล้วว่าเซี่ยนอวี๋ทำถูกต้องที่มอบเพลงนี้ให้คุณ คุณไม่ทำให้เราผิดหวังเลย”

“…”

หลังจากทุกคนให้คำวิจารณ์ไปแล้ว

พิธีกรกล่าวว่า “ต่อจากนี้จะเข้าสู่การโหวตแล้วนะคะ พวกเราต้องเลือกผู้ชนะในวันนี้ แม้ว่าผู้เข้าประกวดซย่าฝานจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผู้เข้าแข่งขันถังเยวี่ยเองก็มอบการแสดงอันตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคนมาก่อนเช่นกัน”

ทุกคนต่างก็รู้ดี

ว่านี่เป็นบทพูดบนเวที

ผลงานของถังเยวี่ยแม้จะอลังการตระการตา แต่เมื่อเทียบกับซย่าฝานแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าขาดความน่าสนใจไปสักหน่อย ถึงขั้นที่ไม่ต้องวิจารณ์มาก ปฏิกิริยาของผู้ชมและคณะกรรมการก็เป็นประจักษ์แล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรายการประกวดรอบตัดสินที่ยุติธรรม

กระนั้นแล้วกระบวนการของการแข่งขันก็ต้องดำเนินต่อไป

ขณะที่ผู้ชมโหวตกันเข้ามาเรื่อยๆ ท้ายที่สุดแล้ว ซย่าฝานก็ได้รางวัลชนะเลิศมาครองจากบทเพลงความฝันแรก

เปล่งประกายเจิดจรัสดุจแสงดาว!

ถังเยวี่ยเจ้าของรางวัลรองชนะเลิศขึ้นไปบนเวที ยืนด้านข้างของซย่าฝาน ในมือถือถ้วยรางวัลรองชนะเลิศด้วยรอยยิ้มขื่น

“ยินดีด้วยนะคะ”

ขณะที่สวมกอดกับซย่าฝานตามมารยาท จู่ๆ ถังเยวี่ยก็ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูซย่าฝาน “ไพ่ของคุณเหนือกว่าฉันอีกค่ะ”

เธอรู้สึกอิจฉาระคนไม่ยินดีอยู่บ้าง

แน่นอนว่าซย่าฝานฟังความนัยของถังเยวี่ยออก

ดังนั้นซย่าฝานจึงขยับเข้าไปข้างหู เอ่ยอย่างมีเลศนัย “แต่พวกคุณลงมือก่อนนะคะ”

แน่นอนว่าซย่าฝานเข้าใจ

เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนเป็นประจักษ์ เธอถึงขั้นให้สัญญากับตนเอง

ซย่าฝานสัญญาว่า

ขอเพียงศัตรูไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ฝั่งตนก็จะไม่ส่งเซี่ยนอวี๋ร่วมรบ

แพ้ก็แพ้ไป

ถ้าความสามารถสู้ไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องพูด

แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายกลับหยิบอาวุธนิวเคลียร์ออกมา

งั้นตนก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นสีเหม่ยก็ไม่ควรมากวนประสาทตน และยิ่งไม่ควรพูดจาล้อเลียนเซี่ยนอวี๋ ถ้าหากไม่มีเหตุผลข้อนี้ โชว์สุดท้ายซย่าฝานก็ไม่มีทางทำได้ดีถึงขนาดนี้!

อย่างไรซะผลงานของถังเยวี่ยก็ไม่เลวเลยจริงๆ

สถานการณ์ในตอนนั้นเองก็สุดจะเหลือรับ

สีเหม่ยนั่นแหละที่ทำให้ซย่าฝานมีเหตุผลให้แพ้ไม่ได้

“…”

ถังเยวี่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดไม่จากับเธออีก

หลังจากการประกวดจบลง สีเหม่ยก็ลากถังเยวี่ยออกไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่นักข่าวตามไปสัมภาษณ์ พวกเธอก็ตอบอย่างรีบร้อนเพียงไม่กี่ประโยค อยู่ที่นี่ต่อไปก็เจ็บใจเปล่าๆ หนำซ้ำเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เธอไม่น่าสวมรองเท้าที่ส้นสูงขนาดนี้มาเลย

รีบไปก่อนดีกว่า

จ้าวเจวี๋ยยังไม่รีบกลับอย่างแน่นอน เธอตั้งใจว่าจะพาซย่าฝานไปให้นักข่าวเห็นหน้าค่าตา พร้อมทั้งแถลงข่าวเรื่องหนึ่งต่อสาธารณะ ขณะที่กำลังแถลงข่าวเรื่องนี้ เธอก็เห็นสีเหม่ยซึ่งกำลังรีบร้อนเดินออกไป “สตาร์ไลท์เราได้เซ็นสัญญากับซย่าฝานไปแล้วค่ะ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้ซย่าฝานลงชิงชัยในชาร์ตเพลงใหม่ของเดือนนี้!”

แชะๆๆ!

นักข่าวกระหน่ำรัวชัตเตอร์ในทันใด คำถามแล้วคำถามเล่าถาโถมเข้ามารอบตัวของผู้ชนะในค่ำคืนนี้ และซย่าฝานก็รับผิดชอบตอบทีละคำถาม

ไม่รู้ว่าทำไม

เมื่อแข่งขันเวทีสุดท้ายเสร็จ ซย่าฝานก็รู้สึกประหนึ่งเกิดใหม่ ความกระวนกระวายอันตรธานหายไปแล้ว

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของนักข่าวที่ประเดประดังเข้ามามากมาย น่ากลัวว่าในสมองของตนคงคิดเพียงแต่ว่าห้องน้ำอยู่ไหนล่ะมั้ง

……

และในเมืองซู

เขตสวนอู๋ถง

ระหว่างการถ่ายทอดสดการคว้าแชมป์ของซย่าฝาน หลินเซวียนซึ่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ก็กระโดดตัวลอย โดยเฉพาะยามที่ซย่าฝานประกาศว่าบทเพลงสุดท้ายนั้นเป็นผลงานของน้องชาย เธอก็ยิ่งดีอกดีใจกว่าเดิม

“ชนะแล้ว น้องชายนายทำได้ดีมาก!”

หลินเยวียนพูด “ซย่าฝานเก่งที่สุดแล้ว”

ก่อนหน้านี้ซย่าฝานเคยอัดเพลงความฝันแรก

แต่ไม่ว่าเธอจะอัดเพลงเวอร์ชันซึ่งใช้ในการประเมินประจำปีการศึกษาของหลินเยวียน หรือเวอร์ชันเดโมซึ่งอัดไปไม่รู้กี่ครั้ง ก็เทียบกับการขับร้องบนเวทีในค่ำคืนนี้ของซย่าฝานไม่ได้เลย

นี่เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของเพลงความฝันแรก ดีเสียจนทำให้หลินเยวียนตกตะลึง ซย่าฝานปรับคีย์สูงกว่าเดิมด้วย

ไม่เพียงเสียงสูงทรงพลัง

แต่นี่เป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้!

ครั้งนี้ยิ่งทำให้หลินเยวียนตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วศักยภาพของคนเรานั้นไม่มีวันหมด!

‘ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่!’

ในกลุ่มแช็ต เจี่ยนอี้ส่งข้อความมาเป็นคนแรก เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ดูการแข่งขันรายการสะพรั่งอยู่เหมือนกัน

เพื่อที่จะแสดงออกว่าตนรู้สึกปลื้มปริ่มมากแค่ไหน

เจี่ยนอี้ถึงขั้นลงทุนส่งอั่งเปามูลค่าหนึ่งหยวนมาในกลุ่มเลยทีเดียว

………………………………………………….

[1] กระบี่มีไว้สำหรับวีรบุรุษ มาจากคำกล่าวว่า ‘กระบี่มีไว้สำหรับวีรบุรุษ แป้งชาดมีไว้สำหรับโฉมงาม’ เปรียบเปรยว่าแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง

บนเวที

บรรยากาศของการแข่งขันถูกผลักดันมาจนถึงจุดพีค จากคำชื่นชมที่คณะกรรมการมีต่อเพลงของถังเยวี่ย ผู้ชมแทบทั้งหมดตะโกนสุดเสียงกู่ร้องชื่อของผู้เข้าแข่งขัน ประหนึ่งถูกความร้อนแรงของการแข่งขันจุดไฟแห่งความบ้าคลั่ง

เวทีนี้ รับมือยากเหลือเกิน!

พิธีกรเองก็ยากที่จะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ “นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าผู้เข้าแข่งขันถังเยวี่ยจะร้องเพลงใหม่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้กับพวกเรา เสียงของเธอในตอนนี้ยังคงก้องกังวานอยู่ในหูของฉันอยู่เลยค่ะ แต่ก็จะประมาทผู้เข้าแข่งขันท่านต่อไปไม่ได้นะคะ ขอต้อนรับซย่าฝานค่า!”

ท่ามกลางแสงสปอตไลต์

ซย่าฝานเดินขึ้นมาบนเวที

ชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหรือเจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่คณะกรรมการก็ล้วนตะลึงงัน เพราะชุดที่ซย่าฝานสวมอยู่นั้นเรียบง่ายมาก ตามหลักแล้วในการประกวดรอบตัดสินเช่นนี้จะต้องแต่งตัวให้งามสะพรั่งสักหน่อย

“เกิดอะไรขึ้น!”

ผู้กำกับด้านหลังเวทีเดือดดาล

เจ้าหน้าที่ด้านหลังเวทีอธิบายด้วยความจนปัญญา “พวกเราแต่งตัวให้จนสวย ต่างหูกับกระโปรงสั้นมีไข่มุกร้อยเป็นพวงประดับตั้งเยอะแยะ น่าจะถูกดึงออกไปแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันค่ะ”

“…”

ผู้กำกับจนปัญญา

นี่กำลังจะทำอะไรล่ะเนี่ย

ถังเยวี่ยเมื่อกี้ก็เหมือนกัน ซ้อมเพลงเดิมมาดีๆ ตอนจะขึ้นเวทีกลับมาเปลี่ยนเพลงกะทันหัน

โชคดีที่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมาย ผู้กำกับถึงไม่ได้โมโห แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังกระวนกระวาย ด้วยกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น

“ผู้กำกับคะ แย่แล้ว!”

ขณะที่ผู้กำกับกำลังฝืนใจยอมรับเรื่องที่ซย่าฝานดึงเครื่องประดับออกไป ข้างหูก็มีเสียงของเจ้าหน้าที่ตะโกนมา

“จู่ๆ ผู้จัดการของซย่าฝานก็จะเปลี่ยนเพลงค่ะ จ้าวเจวี๋ยจากสตาร์ไลท์ไม่ควรผิดใจด้วย จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดีคะ”

“เปลี่ยน เปลี่ยนไปเลย อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน! อยากใช้เพลงอะไรก็ใช้เลย!”

ผู้กำกับรู้สึกว่าเวทีนี้เละเทะไปหมดแล้ว!

ทว่าคำขอของถังเยวี่ยได้รับการอนุมัติ ตนจะเอาอะไรไปห้ามไม่ให้ซย่าฝานเปลี่ยนเพลงล่ะ

เพียงแต่ซย่าฝานจะเปลี่ยนเพลงในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ

และด้านล่างเวที

ฝูงชนล้วนกระซิบกระซาบ ต่างคนต่างถกเถียงกันเรื่องบทเพลงของถังเยวี่ย ยังคงดำดิ่งกันอยู่ในบรรยากาศก่อนหน้านี้

ผู้ชมซึ่งมาชมการถ่ายทอดสดในห้องส่งส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นกลางทีเดียว ไม่มีทางลำเอียงไปทางนักร้องคนไหนเป็นพิเศษ

พูดง่ายๆ ก็คือใครร้องดี ก็เป็นแฟนคลับคนนั้น

“ถังเยวี่ยอุบเงียบเชียวนะ!”

“ถึงกับร้องเพลงใหม่!”

“แถมยังเหมาะกับเสียงของเธอมากด้วย!”

“รู้สึกไม่ต่างกับจ้าวอิ๋งเก้อเมื่อปีที่แล้วเลย!”

“นั่นน่ะสิ ผู้ชนะอย่างจ้าวอิ๋งเก้อคุณภาพสูงมาก ที่จริงซย่าฝานเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ฉันฟังมาหลายรอบ ภาพจำที่ฉันมีต่อเธอชัดเจนมาก เพียงแต่ว่าถึงยังไงนี่ก็เป็นรอบตัดสิน ไม้ตายของถังเยวี่ยสุดมาก”

“…”

ไม่เพียงแค่ผู้ชม

ในใจของกรรมการเองก็ลอบทอดถอนใจอยู่บ้าง

ซย่าฝานมีโอกาสน้อยแล้ว

ความผันผวนของการแข่งขันรอบตัดสินในครั้งนี้มีน้อยมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ถังเยวี่ยทำคะแนนนำ และสร้างความตราตรึงให้กับผู้ชมได้อย่างล้นหลาม!

ในตอนนั้นเอง

แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นมา

เสียงบรรเลงเปียโนนุ่มละมุนดังขึ้น ตามมาด้วยท่วงทำนองของกลองและเครื่องดนตรีอีกหลายชิ้นสอดประสาน ค่อยๆ นำเข้าสู่อารมณ์อันแปลกใหม่

ความรู้สึกเช่นนี้ได้ขับไล่อิทธิพลที่เพลงก่อนหน้านี้มีต่อผู้คน

ซย่าฝานยืนอยู่บนเวทีในชุดอันเรียบง่าย เริ่มขับขานบทเพลง เสียงของเธอนั้นเรียบง่ายเฉกเช่นชุดของเธอ

“ถ้าความจริงนั้นไม่ทำเธอหวาดหวั่นหวาดกลัวอยู่แสนนาน

เธอจะรู้บ้างไหม พากเพียรแค่ไหน กว่าจะเดินไปสุดทาง

ถ้าความฝันเราไม่มีวันร่วงหล่นสู่ผาอันเวิ้งว้าง

แล้วเธอจะรู้ไหม วาดปีกกว้างไว้ โบยบินมุ่งสู่ฟ้าคราม

……”

ฝูงชนซึ่งก่อนหน้านี้ยังคงก้มหน้าก้มตาถกเถียงกันก็พลันเงยหน้าขึ้น หยุดสนทนากันระหว่างที่ซย่าฝานกำลังขับขานบทเพลง

เพลงนี้ไม่คุ้นหูเอาซะเลย

คล้ายกับว่า…น่าฟังแปลกๆ?

คณะกรรมการทั้งสี่คนสบตากัน ก่อนจะปรับท่านั่งเหยียดหลังตรง สับสนไปชั่วขณะ

เพลงใหม่?

มีเพลงใหม่มาอีกแล้ว?

เมื่อได้ฟังท่อนแรกแล้วไม่น่าจะใช่ผลงานที่สุ่มหยิบมาใช้ ซย่าฝานใช้เพลงใหม่มาสู้กับเพลงใหม่ของถังเยวี่ย

น่าสนุกแล้วสิ

หลังจากคณะกรรมการงงงันกันไปชั่วขณะ ถึงขั้นที่รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพลงใหม่ชนเพลงใหม่ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศน่าตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้ซะอีก!

บนเวที

ซย่าฝานงับคำได้ชัดเจนมาก บทเพลงกังวานขับขาน

ในบทเพลงราวกับแฝงไปด้วยความรู้สึกดื้อดึง กระเสือกกระสน ไม่ยอมจำนน…

และประหนึ่งว่ามีบางอย่างกำลังจะทะลวงโผล่พ้นพื้นดิน เอิบอาบแสงตะวัน เพียงแต่ในชั่วขณะนั้นยังคงกระเสือกกระสนดึงดัน รู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกเล็กน้อย และสิ่งเล็กน้อยนั้นเองก็ทำให้ฝูงชนฟังแล้วพลอยเค้นพลังเอาใจช่วยโดยไม่รู้ตัว

“หยาดน้ำตาปลูกไว้ในใจผลิดอกออกเป็นความกล้าหาญ

ยามเธอเหนื่อยล้า หลับตาลงหนา หอมกรุ่นกลิ่นแสนหวาน

ปล่อยให้เธอดำลงสู่ห้วงนิทราจวบจนยามฟ้าสาง

แล้วจงเดินต่อไป ขับขานเพลงไป

สู่เส้นทางที่เธอฟันฝ่า

……”

ราวกับมวลแสงส่องทะลุความมืดมิด ราวกับสายลมปัดเป่าม่านหมอก และราวกับฝ่ามืออันอ่อนโยนคอยเยียวยาความปวดร้าว

เพียงแต่ในชั่วขณะนั้น

สายตาของผู้ชมล้วนจับจ้องไปบนเวที

สีหน้าของคณะกรรมการค่อยๆ เปลี่ยนไป

ทั้งที่ชุดที่ซย่าฝานสวมอยู่นั้นแสนเรียบง่าย ไม่ได้หรูหราเท่าเครื่องแต่งกายของถังเยวี่ย แต่ตัวของเธอกลับแลดูประหนึ่งค่อยๆ ส่องประกาย เสียงเพลงสอดประสานกับเสียงดนตรีอย่างแยบยล และโผทะยานขึ้นสูงอย่างแช่มช้า

“ความเดียวดายที่เธอแบกไว้หวนกลับมายามเธอท้อใจ

ปรารถนาไหล่อุ่นอิงซบ มีใครคนไหนเข้าใจฉันบ้าง

แสนโชคดี บนเส้นทางสองเรานั้นไม่เคยครั่นคร้าม

ก้าวข้ามผ่านขวากหนามลมฝน หัวใจยังคงหยัดยืนไปอีกเนิ่นนาน

……”

ยามที่จุดไคลแม็กซ์กำลังจะมาถึง ฝูงชนต่างรู้สึกว่าชิ้นส่วนในใจซึ่งขาดหายไปกำลังถูกเติมเต็มด้วยเสียงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

คล้ายกับว่าค่อยๆ ปีนขึ้นบันไดทีละขั้น!

เสียงของซย่าฝานยังคงดังก้อง เมื่ออารมณ์แตะถึงจุดสูงสุดครั้งที่สอง ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงที่เอ่อท้นและการปลดปล่อยอย่างเต็มที่

“โอบกอดความฝันแรกเอาไว้สุดกำลัง

จะไม่ยอมแพ้อยู่กลางทาง

จะออกไปขวนขวายไขว่คว้าจนได้มา…”

ดนตรีในท่อนสุดท้ายลากยาวอ้อยอิ่ง ประดุจกำลังหยุดลงเพียงเล็กน้อยเพื่อขึ้นท่อนต่อไป ซย่าฝานใช้สองมือจับไมโครโฟน

ในตอนนั้นกล้องทุกตัวพลันสั่นสะเทือน!

บนฟ้าประกายแสง ไล่ตามร่างบนเวที สุดท้ายแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ข้อนิ้วซีดเผือดของซย่าฝานซึ่งกำไมโครโฟนไว้แน่น

ร่างของเธอซึ่งโน้มไปด้านหลังเล็กน้อย

เสียงเพลงแจ่มชัดและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตราวกับพังทลายทุกสิ่ง เสียงเพลงประดังถั่งโถมเฉกเช่นเกลียวคืนซัดสาด ดังก้องกังวานเวียนวนอยู่ในห้องส่ง จนทุกคนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังอาบแสงตะวันอุ่น ร่างกายเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ!

ดึงดันมุ่งมั่น!

ชัดเจนละเอียดลออ!

ท้ายที่สุดสายตาของซย่าฝานก็ไปหยุดที่กลางอากาศ จากนั้นเสียงสูงเกินคาดฝันก็สะเทือนทั้งห้องส่ง นี่ก็คือจุดที่สูงสุดของอารมณ์ในเพลงนี้ “โอบกอดความฝันแรกอย่างไรต้องไปหา เป็นจริงดั่งใจปรารถรถนา สยายปีกโบยบินสู่ท้องนภา~~~~~”

แปะๆๆๆ!

แทบจะทันทีที่บทเพลงจบลง

คณะกรรมการก็พลันลุกขึ้นยืน!

ผู้ชมนับไม่ถ้วนด้านล่างเวทีก็ปรบมือส่งเสียงกู่ก้อง ราวกับการตอบสนองของเสียงสะท้อน ชั่วขณะแสงไฟเคลื่อนไป ผู้ชมบางคนก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน!

“กล้องเบอร์สาม!”

ผู้กำกับด้านหลังเวทีก็เสียสติไปแล้วเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจว่าเวทีนี้จะเละหรือไม่ แทบจะตะโกนไปตามสัญชาตญาณพร้อมกับซย่าฝาน โบกไม้โบกมือชี้นิ้วสั่งงานเจ้าหน้าที่ทุกคน

“ด้านซ้ายเปิดตามนักร้องไปเลย!”

“ไฟทุกดวงตามไป!”

“ตามปฏิกิริยาของผู้ชมด้วย!”

“โคลสอัปคณะกรรมการสี่คน!”

“ฉันอยากให้เห็นสีหน้าของพวกเขา! สีหน้า!”

“…”

กล้องแพนไป

คณะกรรมการท่าทางพิลึก

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ตื่นเต้นเหมือนกัน!

ยามที่คณะกรรมการทั้งสี่ท่านเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าก็เกินจริงเหมือนกัน พวกเขาลืมรักษาภาพลักษณ์ไปเสียสนิท ถึงขั้นที่ชวนให้นึกโยงไปถึงทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด อารมณ์ของฝูงชนแทบระเบิดไปพร้อมกัน

“แม่เจ้าโว้ย!”

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

“บ้าไปแล้ว!”

“อ๊ากกกกกก!”

ชั่วขณะนั้นสมองของทุกคนว่างเปล่า ราวกับหลงลืมทุกอย่างแล้วว่ายวนอยู่ในห้วงมหรรณพของบทเพลงนี้ ผู้ชม

ด้านล่างเวทีแทบกู่ร้องออกมาตามกันอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางประหนึ่งว่าต่อให้มีหน้าผาอยู่ตรงหน้า ฉันก็กล้ากระโดดอย่างไรอย่างนั้น!

บ้างก็โบกกำปั้นสุดแรงเกิด!

บ้างก็ปรบมือพลางส่งเสียงเชียร์!

ถังเยวี่ยซึ่งอยู่ด้านหลังเวทีถลึงตาโต แทบลืมหายใจไปแล้ว และด้านข้างของเธอ สีเหม่ยถอยหลับไปก้าวหนึ่งอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะร้องออกมา รองเท้าส้นสูงของเธอ ส้นหักเสียแล้ว

มีเพียงคนเดียว

ซึ่งยังนับว่าสุขุมเยือกเย็น

คนคนนั้นก็คือจ้าวเจวี๋ย

จ้าวเจวี๋ยถึงกับผุดรอยยิ้มพราย จู่ๆ บทสนทนาของตนกับซย่าฝานก็วนซ้ำในสมองของเธอ และในความจริงแล้วบทสนทนานี้แสนเรียบง่าย

‘ทำไมจะเปลี่ยนเพลงล่ะ’

‘เพราะเป็นเพลงของเซี่ยนอวี๋ค่ะ’

……………………………………………….

ในวันเดียวกันนั้นเอง ใจกลางเมืองหยางในฉินโจว

รังนกขนาดยักษ์ประดับแสงไฟกำลังส่องสว่างไสว พรมแดงปูทอดยาวจากประตูไปจนถึงบันไดแต่ละขั้นของเวที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเต็มไปทั่วทุกมุม นักข่าวนับไม่ถ้วนรุดมาถึงที่แห่งนี้

การแข่งขันรอบตัดสินรายการสะพรั่ง!

กำลังถ่ายทอดสด!

ในรังนกเสียงดังอื้ออึง บรรยากาศคึกคัก การแข่งขันดำเนินมาครึ่งทางแล้ว เสียงในฮอลล์ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพลอยให้หลังคาของรังนกแทบพังครืนลงมา สมศักดิ์ศรีในฐานะรายการประกวดอันดับหนึ่งของฉินโจว

“ผู้ชมทุกท่านครับ!”

พิธีกรชายเสียงดังก้อง “หลังจากผ่านการฟาดฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านหลายรอบในค่ำคืนนี้ ก็ได้ผู้เข้าแข่งขันสองคนสุดท้ายของการแข่งขันรายการสะพรั่งในปีนี้แล้วนะครับ พวกเธอก็คือ…”

“ถังเยวี่ย! ถังเยวี่ย!”

“ซย่าฝาน! ซย่าฝาน!”

ฝูงชนตะโกนตอบอย่างคึกคัก

เสียงของพิธีกรหญิงกังวานใส “ผู้ชมในห้องส่งของเราได้พูดชื่อของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนออกมาแล้วนะคะ เชื่อว่าผู้ชมซึ่งรับชมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ทุกท่านก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ว่าพวกเราจะพักกันก่อนสักครู่ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเตรียมเพลงกันสักหน่อย และผลงานของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองหลังจากนั้น จะเป็นตัวตัดสินว่าชัยชนะของปีนี้จะไปอยู่ในมือใครค่ะ!”

“…”

ด้านหลังเวทีการแข่งขัน

ซย่าฝานกำลังรอคอยด้วยความกระวนกระวาย จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทำใจให้สบายก็พอแล้ว ตอนนี้คู่แข่งของเธอก็กังวลเหมือนกัน ถ้าเธอทำผลงานได้ดีก็มีความหวังสูงมากที่จะได้เข้ารอบแล้ว”

ซย่าฝานลุกขึ้นยืน “พี่จ้าว!”

ผู้พูดก็คือจ้าวเจวี๋ยซึ่งรีบเดินทางมาจากสตาร์ไลท์ ซย่าฝานนึกไม่ถึงว่าจ้าวเจวี๋ยจะมาด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ซย่าฝานเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสตาร์ไลท์ พวกเธอได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง ฉะนั้นจึงไม่นับว่าไม่รู้จักกันเลยสักเดียว

“ทำได้ไม่เลวเลย”

จ้าวเจวี๋ยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

เธอรุดมาที่สนามแข่งขันรายการสะพรั่งไม่ใช่เพราะซย่าฝานเป็นเพื่อนของหลินเยวียน ที่สำคัญก็คือซย่าฝานทะลุเข้ามาเป็นสี่คนสุดท้ายได้ และยิ่งในตอนนี้ก็คว้าตั๋วเข้ารอบตัดสินซึ่งนับว่าล้ำค่ายิ่ง ห่างจากบัลลังก์แชมป์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น!

เรื่องนี้ทำให้จ้าวเจวี๋ยตื่นเต้นมาก

ก่อนหน้านี้เธอรับปากเซ็นสัญญากับซย่าฝานล้วนเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหลินเยวียน ในตอนนั้นจ้าวเจวี๋ยไม่รู้เลยว่าความสามารถของซย่าฝานเป็นอย่างไร เธอมองเพียงว่าเป็นการแสดงน้ำใจต่อหลินเยวียนก็เท่านั้น

แต่กลับนึกไม่ถึงว่าซย่าฝานจะทำผลงานในสะพรั่งได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ และทำให้จ้าวเจวี๋ยประหลาดใจได้ทุกครั้ง!

ในตอนนี้กลายเป็นว่าจ้าวเจวี๋ยไม่ได้แสดงน้ำใจต่อหลินเยวียน กลับเป็นหลินเยวียนที่แสดงน้ำใจต่อตนเสียมากกว่า ซย่าฝานซึ่งมีความสามารถยอดเยี่ยมหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ บริษัทย่อมอยากเซ็นสัญญาด้วยโดยไม่ลังเล

“หนูไปห้องน้ำก่อนนะคะ”

ซย่าฝานพูดด้วยความกระดากอาย

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยด้วยท่าทีปลอบประโลม “เข้ามาได้ถึงรอบชิงก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเธอเก่งขนาดไหน เธอไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป ทางนี้ฉันจะคอยช่วยเธอดูเอง”

ซย่าฝานพยักหน้า

จ้าวเจวี๋ยมองตามแผ่นหลังซย่าฝาน เม้มปากเล็กน้อย

แม้ปากจะเอ่ยปลอบซย่าฝาน ทว่าที่จริงแล้วจ้าวเจวี๋ยก็หวังให้ซย่าฝานคว้าแชมป์มากยิ่งกว่าใคร!

ต้องเข้าใจก่อนว่าซย่าฝานเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสตาร์ไลท์แล้ว ขอเพียงซย่าฝานคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก็จะเท่ากับว่าผู้ชนะรายการสะพรั่งทั้งสองครั้งติดกันล้วนเข้าสตาร์ไลท์!

และนั่นจะเป็นผลดีมหาศาลต่อชื่อเสียงของสตาร์ไลท์!

สตาร์ไลท์ได้แสงเต็มที่ จะต้องกดซาไห่กับเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงให้ได้!

ถ้าหากซย่าฝานได้เพียงตำแหน่งรองชนะเลิศ แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็ย่อมไม่เลว ทว่าเมื่อเทียบกับคุณค่าของผู้ชนะแล้ว ก็ย่อมห่างกันอีกไกลโข

ในตอนนั้นเอง

จ้าวเจวี๋ยชำเลืองไปด้านหลังเวที ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย

ทำไมถึงเป็นเธอ?

จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ หรือว่า…

สิบนาทีให้หลัง

ซย่าฝานกลับมาแล้ว

เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยแปลกชอบกล จึงเอ่ยถาม “พี่จ้าว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“มีเรื่องจริงๆ นั่นแหละ”

จ้าวเจวี๋ยตอบ “เมื่อกี้ฉันเห็นสีเหม่ย เธออาจไม่รู้ว่าคือใคร เป็นหัวหน้าผู้จัดการของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงน่ะ”

ซย่าฝานชะงักไป

จ้าวเจวี๋ยนหรี่ตา “ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ สีเหม่ยน่าจะมาเพราะถังเยวี่ย ครั้งนี้ตาไวมือไวใช้ได้เลย”

ซย่าฝานรู้สึกกังวลอยู่บ้าง “เธอควบคุมผลการแข่งขันได้มั้ยคะ”

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะ “สีเหม่ยยังไม่มีความสามารถพอที่จะทำอย่างนั้นได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นมีฉันอยู่ ต่อให้เธอใช้ลูกไม้ตุกติกก็ไม่มีทางทำได้ แต่ว่า…”

ซย่าฝานถาม “แต่ว่าอะไรเหรอคะ”

จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า “เตรียมตัวดูการแข่งขันเถอะ อีกเดี๋ยวถังเยวี่ยน่าจะขึ้นเวทีแล้ว หวังว่าสิ่งที่ฉันกังวลจะไม่เป็นจริงนะ”

……

บนเวที พิธีกรดูเวลาไปพลาง คอยรักษาจังหวะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม ยามที่ในอินเอียร์มีเสียงแจ้งเตือนจากผู้กำกับ พิธีกรฉายก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมา “ผู้ชมทุกท่านรอนานแล้วใช่มั้ยครับ ต่อจากนี้จะขอเชิญถังเยวี่ยผู้เข้าแข่งขันของพวกเราขึ้นมาร้องเพลงสุดท้ายในค่ำคืนนี้ของเธอกันครับ!”

“ถังเยวี่ย!”

“ถังเยวี่ย!”

“ถังเยวี่ย!”

ฝูงชนส่งเสียงกู่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง และระหว่างที่เวทีไฮดรอลิกยกขึ้นเสมอกับเวที ในที่สุดถังเยวี่ยก็ปรากฏตัวพร้อมกับเสียงเพลง เป็นท่วงทำนองของเพลงที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย “ปีนั้นบุปผาแย้มบาน เธอลังเลอยู่เสียนาน”

“เพลงใหม่?”

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวงการทั้งสี่คนสบตากัน ต่างคนต่างเห็นความประหลาดใจในสายตาของกันและกัน

เพลงนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน

เห็นได้ชัดว่าเป็นเพลงที่ยังไม่เคยปล่อยออกมา

เพลงสุดท้ายของถังเยวี่ยเป็นเพลงใหม่เลยเรอะ!

เธอมั่นใจขนาดนั้นเชียว?

ร้องเพลงใหม่บนเวทีประกวด ไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัยเอาซะเลย

นั่นเพราะเพลงใหม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการรับรู้ของผู้ชม

แต่เพลงเก่าที่คุ้นหู สามารถดึงดูดความคุ้นเคยและใกล้ชิดของผู้ชมทันทีที่ได้ฟังเพลง

ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ ก็ล้วนเลือกร้องเพลงเก่าที่ปล่อยออกมาแล้ว

นอกเสียจากว่าเพลงใหม่ของผู้เข้าแข่งขันนั้นดีจนทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ทันทีที่ได้ฟัง!

ไม่อย่างนั้น การเลือกเพลงเก่าก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ กรรมการก็ค่อยๆ เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

เพลงใหม่นี้ยอดเยี่ยมมาก!

เป็นอย่างที่คิด ถังเยวี่ยเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว!

เพลงใหม่นี้ได้รับการรังสรรค์มาเพื่อถังเยวี่ย!

ตั้งแต่ทำนองจนถึงเนื้อเพลง ก็ล้วนลงตัวกับเสียงและบุคลิกได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

มิน่าล่ะเธอถึงกล้าหยิบเพลงใหม่ออกมาในรอบตัดสิน

นี่คือท่าไม้ตายของเธอ!

น่าจะปิดเงียบมานานมากแล้ว!

หลังจากเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบการฝึกซ้อมได้ฟังเพลงของถังเยวี่ยแล้ว ก็เผยรอยยิ้มจนใจ

เปลี่ยนเพลงเลยเหรอ

นี่ไม่ใช่เพลงที่ฝึกซ้อมกันก่อนหน้านี้!

ผู้เข้าแข่งขันปีนี้อุบายลึกล้ำกันเหลือเกิน

หลังเวที

สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “เรื่องที่ฉันกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ถึงว่าสิสีเหม่ยมาปรากฏตัวที่นี่ เพลงนี้ต้องมาจากฝีมือของนักแต่งเพลงมือทองของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงสักท่านหนึ่งที่เขียนให้ถังเยวี่ยอย่างแน่นอน…”

เธอมองไปยังซย่าฝาน พูดอย่างจริงจัง “เป็นฉันที่เตรียมการไม่รอบคอบเอง ฉันควรช่วยเธอเตรียมเพลงล่วงหน้าสักเพลง”

เดิมทีซย่าฝานอยากบอกว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน

จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังมา “นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอที่ด้านหลังเวทีรายการสะพรั่ง หรือว่าเธอเองก็เซ็นสัญญากับผู้เข้าแข่งขันไปแล้ว?”

จ้าวเจวี๋ยไม่ต้องหันหลังไปก็รู้ว่าใครมา

สีเหม่ยจากเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง

คู่ปรับเก่าแก่มานานหลายปีของเธอเอง!

เธอหันหลังไปมองสีเหม่ย พูดพลางยิ้มบาง “เธอก็เซ็นสัญญากับถังเยวี่ยก่อนหน้าไม่ใช่เหรอ แถมยังลงทุนเขียนเพลงระดับนี้ไม่ใช่หรือไง”

“ไม่เลวเลยใช่มั้ยล่ะ”

สีเหม่ยแบมือยักไหล่ “อีกประเดี๋ยวรอถังเยวี่ยคว้าแชมป์ ฉันก็จะแถลงเรื่องเซ็นสัญญาทันที สตาร์ไลท์ของพวกเธอจะชนะทุกครั้งก็คงไม่ได้หรอก”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเย็นเยียบ “เธอคิดว่าตัวเองชนะแน่นอนแล้ว?”

สีเหม่ยมองไปยังซย่าฝานซึ่งประหม่าจนหนีบขาแน่น รู้สึกอยู่ไม่สุขไปทั้งตัว ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีนัยยะ “มีเหรอจะไม่ชนะ?”

ใช่แล้วล่ะ

สีเหม่ยรู้แต่แรกแล้วว่าเพลงสุดท้ายที่ซย่าฝานเลือกคือเพลงอะไร รายการสะพรั่งมีการฝึกซ้อมทุกวัน เรื่องพรรค์นี้ปิดบังกันไม่ได้หรอก

เป็นเพลงเก่าที่เลือกมาเพื่อรับประกันความปลอดภัยก็แค่นั้น

ในทางเดียวกัน เพลงที่ถังเยวี่ยใช้ฝึกซ้อมก็เก็บเป็นความลับไม่ได้

ทว่านี่เป็นอุบายของสีเหม่ย เธอปกปิดเพลงสุดท้ายของถังเยวี่ย จงใจจุดระเบิดควันเพื่อพรางตา เพื่อให้มองภายนอกว่าถังเยวี่ยฝึกซ้อมเพลงเก่าเพื่อเพลย์เซฟ แต่ลับหลังกลับแอบให้ถังเยวี่ยฝึกซ้อมเพลงใหม่

สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยไม่สู้ดีสักเท่าไหร่

บนเวที เพลงของถังเยวี่ยได้จบลง

บรรยากาศในห้องส่งคึกคักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกคนล้วนตะโกนเรียก ‘ถังเยวี่ย’ ดังสนั่น!

กรรมการทั้งสี่ก็ผลัดกันพูด ในคำวิจารณ์ที่มีต่อเพลงของถังเยวี่ยนั้นมีแต่คำชื่นชม!

“จ้าวเจวี๋ย”

สีเหม่ยอารมณ์ดีสุดขีด ราวกับเพลิดเพลินใจที่ได้เห็นสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเช่นนี้ “หรือว่าตอนนี้เธอเอาปลาตัวนั้นมาช่วยได้ทัน หรือเอาไว้พวกเรานัดกันกินข้าวสักมื้อ ปลาต้มผักดองของเมืองหยางรสชาติใช้ได้เลยนะ!”

ซย่าฝานเงยหน้าขึ้นทันที

จู่ๆ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ สายตากลับฉายแววเย็นยะเยือก จ้องเขม็งไปยังสีเหม่ยพร้อมกับกล่าวว่า “ก็ไม่แน่นะคะ คุณป้า”

คุณป้า?

สีเหม่ยโมโหแล้ว

ฉันแก่ขนาดนั้นเลยเรอะ

ต่อจากนั้น สีเหม่ยก็ประหลาดใจอีกครั้ง ซย่าฝานกังวลจนพูดไม่ออกอยู่แท้ๆ ทำไมอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ล่ะ

ใช่แล้ว เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย

ความรู้สึกนี้ แปลกประหลาดเหลือเกิน!

ซย่าฝานหันไปมองเวที เอ่ยเสียงเรียบ “เดิมทีฉันก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนี้ เพราะฉันคิดว่าทำแบบนี้ออกจะหน้าไม่อายไปหน่อย ฉันอยากพึ่งความสามารถของตัวเองเพื่อให้ได้แชมป์รายการนี้ แต่ถ้าพวกคุณทำก่อน ฉันทำแบบนี้บ้างก็คงจะไม่นับว่าหน้าไม่อายแล้ว แถมคุณก็ยังพูดถึงเขาคนนั้นแล้วด้วย…”

สีเหม่ยสับสน “อะไรนะ”

ในตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่รุดเข้ามาเตือนสีเหม่ย “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกรุณาอย่ารบกวนการพักผ่อนของผู้เข้าแข่งขันนะคะ ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมตัวด้านหลังเวทีค่ะ”

“เหอะ”

สีเหม่ยถลึงตาใส่ซย่าฝาน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป รองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรกระทบกับพื้นเสียงดังกึกๆ

“ทำได้ยอดเยี่ยมมาก!”

จ้าวเจวี๋ยยกนิ้วโป้งให้ซย่าฝาน “นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าพูดกับสีเหม่ยแบบนี้ โบราณกล่าวไว้ว่ายังไงนะ แพ้คนไม่แพ้ศึก หลังจากนี้พี่จ้าวจะปกป้องเธอเธอเอง! การประกวดครั้งนี้จะแพ้ก็แพ้ไป สตาร์ไลท์ของพวกเราไม่สนใจ!”

“ไม่ค่ะ พี่จ้าว วันนี้หนูจะไม่แพ้ศึก ไม่แพ้คนด้วย!”

แววตาของซย่าฝาน ชั่วขณะนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ที่เธอประกวดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจริงจังขนาดนี้ “การแข่งขันครั้งนี้ หนูมีเหตุผลให้แพ้ไม่ได้!”

จ้าวเจวี๋ยงงงัน

เธอยังคงใคร่ครวญว่าจะปลอบใจซย่าฝานอย่างไรดี ไม่ทันไรสิ่งที่ทำให้จ้าวเจวี๋ยตะลึงงันไปก็เกิดขึ้น

พรึ่บ!

จู่ๆ ซย่าฝานก็ถอดเครื่องประดับอลังการแต่ละประเภทออก ปล่อยให้เครื่องแต่งกายหรูหราร่วงลงกับพื้น “ไม่งั้น…หนู…รู้สึกผิดต่อเพื่อน”

“เธอบ้าไปแล้ว!”

จ้าวเจวี๋ยอยากจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทันการ เครื่องประดับกระจายเกลื่อน ไข่มุกกลิ้งกระจายไปกับพื้น ในตอนนั้น ซย่าฝานเหลือเพียงเสื้อผ้าซึ่งเรียบง่ายที่สุด

แบบนี้จะไปแข่งได้ยังไง

จ้าวเจวี๋ยรู้สึกว่าสมองใกล้แตกเป็นเสี่ยง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “เธอคิดว่าสีเหม่ยมาข่มขวัญ ที่จริงแล้วไม่ใช่หรอก สีเหม่ยไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอก หัวหน้าผู้จัดการของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงจะไร้วิสัยทัศน์ขนาดนั้นได้ยังไง เขาก็แค่มาปั่นประสาทเธอเท่านั้นแหละ เธอเองก็กลัวแพ้ ถ้าเธอรู้สึกกระวนกระวายเพราะเรื่องนี้ ก็จะเป็นไปตามแผนของสีเหม่ย!”

“หนูรู้ค่ะ”

ซย่าฝานมองไปยังเวที แววตาสุกสกาวราวกับแสงของดอกไม้ไฟ และแลดูราวกับแสงดาวพราวระยับบนท้องฟ้ายามราตรี “มีแค่ครั้งนี้ หนูไม่อยากแพ้ รบกวนพี่จ้าวช่วยไปแจ้งหลังเวทีให้หน่อยนะคะ ว่าหนูก็จะ…

เปลี่ยนเพลง!”

……………………………………………

หลินเยวียนคาดการณ์ได้ไม่ผิด

ในการแข่งขันในรอบต่อๆ ไป ซย่าฝานทะลุเข้ารอบไปอย่างรวดเร็วราวกับต้นไผ่ที่สูงชะลูด ถึงขั้นที่ทะลุเข้ารอบสี่คนสุดท้าย และดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั้งฉินโจวได้

มีเรื่องหนึ่งที่แม้แต่หลินเยวียนก็ยังคาดการณ์ผิดไป

ซย่าฝานจัดว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการใหญ่ที่หาได้ยากยิ่ง!

ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกครั้งที่รู้สึกกังวล

แต่บรรยากาศกดดันและดุเดือดกลับกระตุ้นศักยภาพของซย่าฝาน ทำให้เธอทำผลงานได้ดีขึ้นทุกรอบ!

แต่ทว่า…

การแข่งขันดำเนินมาถึงตอนนี้ ซย่าฝานก็ยิ่งงานยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่เวลาเข้ามาตอบในกลุ่มก็ยิ่งน้อยทุกที การปรากฏตัวในช่วงนี้ เป็นเพียงการตอบอย่างรีบร้อนประโยคเดียวว่า “ทางผู้จัดไม่ให้ใช้โทรศัพท์ กลัวว่าพวกเราจะทำรายละเอียดของการแข่งขันหลุดออกไป”

นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก

การแข่งขันนั้นจำเป็นต้องเรียกเรตติง การรู้ผลการแข่งขันล่วงหน้าทำให้ขาดความลุ้นระทึก โดยทั่วไปในช่วงเวลาเช่นนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะไม่แตะโทรศัพท์มือถือเลย

เจี่ยนอี้กับหลินเซวียนถกเถียงกันเรื่องการแข่งขันรายการสะพรั่งทุกวัน

‘ผู้เข้าแข่งขันสี่คนสุดท้ายเก่งกันทุกคน’

‘ทุกคนเก่งจริงๆ แต่พี่คิดว่าการแข่งขันครั้งนี้คู่แข่งตัวฉกาจของซย่าฝานก็คือถังเยวี่ย เนื้อเสียงใสกังวานของถังเยวี่ยนี่สุดจริง!’

‘ถ้าเอาชนะถังเยวี่ยได้ ซย่าฝานก็ชนะได้เลยนะ’

‘พี่ว่าซย่าฝานไม่ได้ด้อยกว่าถังเยวี่ยเลย ความสามารถในการร้องเพลงของถังเยวี่ยด้อยกว่าซย่าฝานอยู่บ้าง แต่ได้เปรียบเรื่องเสียง เลยได้เข้ารอบสี่คนสุดท้าย’

‘พูดได้แค่ว่าต่างคนต่างก็มีจุดแข็งของตัวเอง’

‘…’

หลินเยวียนเองก็ติดตามการแข่งขันเช่นกัน ฉะนั้นเขาจึงรู้ว่า ‘ถังเยวี่ย’ ที่พี่สาวกับเจี่ยนอี้พูดถึงคือใคร

เด็กสาวคนนี้เป็นผู้เข้าแข่งขันรายการสะพรั่ง

ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันในรายการซีซันนี้ ชื่อเสียงและแรงสนับสนุนของถังเยวี่ยจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง ซย่าฝานอยู่อันดับสอง มองจากสถิติที่เห็นเพียงอย่างเดียว อัตราการคว้าแชมป์ของถังเยวี่ยนั้นสูงที่สุด

‘รอดูว่าการแข่งขันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง’

ตอนนี้เป็นปลายเดือนกรกฎาคม พรุ่งนี้เป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งก็เป็นศึกชิงชัยของรายการสะพรั่ง

หลินเซวียนถึงขั้นอยากไปดูการแข่งขันถ่ายทอดสด

แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนล้วนมีงาน มิหนำซ้ำสถานที่จัดการแข่งขันยังอยู่ในเมืองอื่น ไปถึงสนามแข่งขันแล้วก็ใช่ว่าจะติดต่อซย่าฝานได้ ดังนั้นทุกคนจึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานไปก็เท่านั้น

และในตอนนั้นเอง

ในบริษัทเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง

เฉินจื้ออวี่ในฐานะนักร้องแถวหน้า เขาไม่ได้มีกะจิตกะใจติดตามการประกวดรายการนี้สักเท่าไหร่

แม้ว่าเขาจะเคยพ่ายแพ้ต่อแชมป์รายการสะพรั่งปีที่แล้วอย่างจ้าวอิ๋งเก้อมาก่อนก็ตามแต่

คนเราต้องมองไปข้างหน้า

เรื่องในอดีต ก็ปล่อยให้มันผ่านไป

เฉินจื้ออวี่เดินออกมาจากเงาของเพลงกุหลาบแดงแล้ว เขาเตรียมจะสู้ในชาร์ตเพลงใหม่อีกสักครั้ง

เป้าหมายคือ!

อันดับหนึ่งของเดือนสิงหาคม!

เดิมทีความถี่ในการปล่อยเพลงใหม่ของเฉินจื้ออวี่นั้นไม่ได้สูงแต่อย่างใด

ทว่าในการปล่อยเพลงใหม่สองครั้งล้วนแต่ติดอยู่เพียงอันดับสอง ทำให้เฉินจื้ออวี่มีความฝังใจกับบัลลังก์แชมป์ของการแข่งขัน!

ฉันจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในครั้งนี้ให้ได้!

อันที่จริงเฉินจื้ออวี่จะปล่อยเพลงในเดือนกรกฎาคมก็ได้ ทว่าเดือนกรกฎาคมมีนักร้องแถวหน้าถึงสี่คนร่วมสังเวียนกัน เฉินจื้ออวี่จึงหลีกเลี่ยงไป

เขาไม่ใช่คนบ้าระห่ำ จะต้องตะบี้ตะบันไปสู้กับคนอื่นให้ได้

เดือนสิงหาคมยังพอว่า มีนักร้องแถวหน้าแข่งขันกับเฉินจื้ออวี่แค่คนเดียว และคนคนนี้ทุกคนก็คุ้นเคยดี

นักร้องแถวหน้าของสตาร์ไลท์ จินซูอวี่!

เรียกอีกอย่างว่า ครั้งนี้เป็น ‘ศึกสองอวี่’ ที่มาช้าแต่ก็มาแล้ว!

ไม่มีใครคาดคิดว่าจินซูอวี่และเฉินจื้ออวี่จะคลาดกันเพียงหัวไหล่เฉียดในเดือนมิถุนายน และถึงกับเวียนมาพานพบกันอีกในเดือนสิงหาคม ฉะนั้นแล้วยามที่ทั้งสองประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะช่วงชิงบัลลังก์แชมป์ของเดือนสิงหาคม ในวงการก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่

‘บังเอิญใช่มั้ยนั่น’

‘ศึกสองอวี่เชียวเหรอเนี่ย’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ศึกสองอวี่อาจมาช้า แต่ก็มาแน่นอนนะค้าบ!’

‘ดูท่าเฉินจื้ออวี่กับจินซูอวี่จะมีชะตาต้องกันแฮะ!’

‘รู้สึกเหมือนเวลาย้อนกลับไปตอนเดือนมิถุนา แต่ครั้งนั้นเซี่ยนอวี๋ทำเสียเรื่อง นักร้องแถวหน้าทั้งสองคนเลยมาจัดเต็มในเดือนสิงหา’

‘…’

“……”

เฉินจื้ออวี่ไม่สนใจคำพูดจิกกัดในวงการอยู่แล้ว

ยามที่เขากับจินซูอวี่ต่างก็เป็นนักร้องแถวหน้า ชื่อเสียงของทั้งสองไม่ได้ต่างกันมาก สิ่งที่ต้องแข่งขันกันก็คือคุณภาพของเพลง

เฉินจื้ออวี่ไม่กลัวหรอก!

เพราะเฉินจื้ออวี่มั่นใจในคุณภาพของเพลงครั้งนี้มาก

ถึงแม้นักแต่งเพลงในครั้งนี้จะเป็นหน้าใหม่ ไม่ใช่ระดับมือทอง หนำซ้ำยังเป็นนักศึกษาปีสองของวิทยาลัยศิลปะฉินตง…

แต่หน้าใหม่คนนั้นเก่งมาก ทันทีที่เฉินจื้ออวี่ได้ฟัง ก็รู้ว่าเพลงในครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้!

ทางบริษัทเองก็สนับสนุนการไต่ขึ้นชาร์ตในครั้งนี้ของเฉินจื้ออวี่เป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรเฉินจื้ออวี่ก็คว้าอันดับสองไปแล้วสองครั้ง แถมยังพ่ายแพ้ให้คนที่ไม่ใช่นักร้องแถวหน้าทั้งสองครั้ง เสียหน้าจนยับเยินน่าดูเลยละ

เมื่อเดือนมิถุนายนสิ้นสุดลง

บรรดาสื่อต่างประทบกระแทกแดกดัน บอกว่าเฉินจื้ออวี่เป็น ‘ลูกคนรองตลอดกาล’

สำหรับนักร้องแถวหน้าแล้ว นี่ไม่ใช่ชื่อเรียกที่ดีเอาซะเลย

และหากต้องการชำระล้างสมญานามว่า ‘ลูกคนรองตลอดกาล’ ให้สิ้นซาก เฉินจื้ออวี่ก็จำเป็นต้องคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้

ศึกในครานี้ จะต้องชนะให้จงได้!

ทว่าเมื่อได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน ในครั้งนี้เฉินจื้ออวี่จึงอุตส่าห์ให้ผู้จัดการสำรวจรอบหนึ่งก่อน

ไม่ใช่เพราะอื่นใด แต่จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเดือนสิงหาคมไม่มีเจ้าปลาตัวนั้น!

“ฉันสาบานได้ ครั้งนี้ไม่มีจริงๆ!”

เพื่อความปลอดภัย ผู้จัดการทำการตรวจสอบไปสามวัน ถึงได้แจ้งผลกับเฉินจื้ออวี่ “ครั้งก่อนฉันเคยบอว่าครั้งหน้าจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ตอนนี้นายน่าจะเชื่อฉันแล้วใช่มั้ย”

“เฮ้อ”

เฉินจื้ออวี่พรูลมหายใจออก “ถ้าไม่มีเซี่ยนอวี๋ ผมก็ไม่ต้องกังวลที่จะต้องสู้ตัวต่อตัวกับจินซูอวี่ นี่ถึงจะเป็นการต่อสู้ของนักร้องแถวหน้าอย่างพวกผม!”

“นั่นน่ะสิ”

ผู้จัดการทอดถอนใจ “ปลาตัวนั้นทำให้เรื่องยุ่งยากจริงๆ ทุกครั้งจะต้องร่วมงานกับนักร้องตัวเล็กไม่มีชื่อเสียง เล่นงานพวกเราซะยับเยิน ครั้งนี้ไม่มีเขา นายจะต้องได้ชัยชนะครั้งใหญ่แน่!”

หัวใจของเฉินจื้ออวี่เต้นระส่ำ “อย่าพูดเป็นลางสิครับ!”

ผู้จัดการร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “นายระแวงเกินไปหรือเปล่า หรือนายคิดว่าเพลงของตัวเองสู้กับจินซูอวี่ไม่ได้ ต้องเข้าใจก่อนนะว่าเพลงในครั้งนี้บริษัทกันไว้ให้นายโดยเฉพาะ เรื่องคุณภาพไม่ต้องพูดถึง!”

เฉินจื้ออวี่พยักหน้า “ก็จริง”

ผู้จัดการแบมือยักไหล่ “ใช่มั้ยละ คลื่นลูกนี้สงบแล้ว…อุ๊ก!”

เฉินจื้ออวี่ปิดปากของผู้จัดการแน่น “ขอร้องล่ะ คุณอย่าพูดเป็นลางเลย!”

ถูกผู้จัดการพูดเป็นลางจนเสียเรื่องมาสองครั้งแล้ว

เฉินจื้ออวี่กลัวคำพูดของผู้จัดการคนนี้จริงๆ

ต่อให้ครั้งนี้ไม่มีเซี่ยนอวี๋ เพื่อความปลอดภัย เฉินจื้ออวี่เองก็ต้องปิดปากผู้จัดการไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เขาทำเสียเรื่องอีก

ที่พังก็มักจะเพราะพูดเป็นลางเนี่ยแหละ

สองครั้งก่อนหน้าเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ

ผ่านไปหลายวินาที เฉินจื้ออวี่จึงยอมปล่อยมือ

ผู้จัดการกล่าวอย่างจนปัญญา “ฉันรู้แล้ว”

เขารู้สึกว่าในตอนนี้เฉินจื้ออวี่ตื่นตูมไปเองเสียมากกว่า

เดิมทีก็เป็นชัยชนะที่นอนมาอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องระแวดระวังถึงขนาดนั้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อให้ชนะแล้ว ก็ไม่มีทางพึงพอใจไปได้หรอก

ดูท่าปมในใจที่เซี่ยนอวี๋ทิ้งไว้ให้เฉินจื้ออวี่จะรุนแรงนัก หวังว่าเวลาจะเยียวยาเรื่องทั้งหมดได้

“งั้นฉันไปแล้วนะ”

ผู้จัดการรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงโบกมือเดินไป

เฉินจื้ออวี่พยักหน้า ในใจคิดว่า ‘จินซูอวี่น่าจะหลีกเลี่ยงศึกครั้งใหญ่ของมังกรและพยัคฆ์เมื่อเดือนที่แล้ว ท้ายที่สุดถึงได้เลือกปล่อยเพลงในเดือนสิงหาสินะ ในเมื่อทุกคนจะอยากจะเดินไปพร้อมกันแล้ว งั้นพวกเราก็ใช้โอกาสในเดือนสิงหาคม สู้กันสักตั้งให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย!’

………………………………………………

“ข้อควรระวังในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน…”

หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าตนเป็นถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ยังต้องได้รับ ‘คู่มือความปลอดภัยในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย’

ของพรรค์นี้แจกกันก็แค่ช่วงประถม

ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือเนื้อหาของคู่มือนี้ เหมือนกับ ‘คู่มือความปลอดภัยในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสำหรับนักเรียนประถม’ ไม่มีผิดเพี้ยน

อย่าเล่นไฟ

อย่าลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำ

อย่าฝ่าไฟแดง ฯลฯ

หากจะให้บอกว่ามีตรงไหนต่างกันละก็ เห็นจะเป็นตรงที่คู่มือความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าอย่าไปไนต์คลับและดิสโก้เท็ก เพราะนี่เป็นมิติเวลาที่เด็กประถมยังไม่มีทางข้ามมาได้

ไม่ว่าจะอย่างไร ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนซึ่งหนึ่งปีมีครั้งเดียวก็วนมาถึงในที่สุด

เมื่อกลับไปยังบริษัทอีกครั้ง หลินเยวียนก็ขึ้นไปชั้นบน ตรงไปหาหัวหน้าเหล่าโจว

“มาแล้วเหรอ” เหล่าโจวพูด “ดื่มชามั้ย”

หลินเยวียนพยักหน้า ดื่มใบชาชั้นดีของเหล่าโจวฟรีๆ ไม่ดื่มก็แย่แล้ว

“บอกมา มีเรื่องอะไร”

เหล่าโจวรินชาให้หลินเยวียนหนึ่งถ้วย เขาคิดว่าหลินเยวียนจะพูดถึงเรื่องเพลงความฝันแรก

หลินเยวียนถาม “ตอนปีสามผมไปฉีโจวได้มั้ยครับ”

เหล่าโจวชะงัก ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ทำไมเหรอ”

หลินเยวียนเล่าเรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนให้เขาฟังรอบหนึ่ง พร้อมทั้งอธิบายว่า “เวลาทั้งหมดสองเทอม ผมเขียนเพลงที่นั่นแล้วส่งให้ในอีเมลก็ได้ครับ”

เขาไม่อยากให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับงาน

เหล่าโจวเหลือบมองหลินเยวียน กล่าวเสียงทุ้ม “นายได้ยินข่าวลือที่นั่นมาแล้ว?”

หลินเยวียนอึ้งไป

เหล่าโจวเห็นปฏิกิริยาของหลินเยวียน ก็รู้ทันทีว่าเขาไม่เข้าใจ จึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขื่น พลางเอ่ย “เรื่องที่หยางจงหมิงกลับมาฉินโจว นายรู้แล้วใช่ไหม”

หลินเยวียนพยักหน้า

หยางจงหมิงเป็นบุคคลระดับพ่อเพลง ย่อมตกเป็นประเด็นสนทนาได้ง่าย ดังนั้นในเวลางานก็จะได้ยินเพื่อนร่วมงานเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

“ครับ”

นิ้วมือของเหล่าโจวเคาะกับโต๊ะ “ที่จริงแล้วสตาร์ไลท์ของเรามีบริษัทย่อยที่สเกลไม่ใหญ่อยู่ในฉีโจว ก่อนหน้านี้หยางจงหมิงอยู่ในฉีโจวก็ไม่ได้ใส่ใจบริษัทย่อยสักเท่าไหร่ เข้าไปคอยดูบ้างเป็นครั้งคราว ตอนนี้หยางจงหมิงกลับมาแล้ว สถานการณ์ทางบริษัทย่อยเลยย่ำแย่ ถึงยังไงฉีโจวกับฉินโจวเราก็ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมของตลาดดนตรีนี่ต่างกันราวฟ้ากับดินเชียวละ…”

หลินเยวียนพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตนก็เถอะ

“ต้องบอกให้นายเข้าใจก่อน”

เหล่าโจวถอนหายใจ “สถานการณ์ของบริษัทย่อยในฉีโจวไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ เบื้องบนเร่งให้ฉันส่งคนไปช่วยมาตลอด แต่มือทองของบริษัทเราไม่ค่อยมีคนอยากไปหรอก ยังไงซะสภาพของทางนั้นก็ลำบากกว่า เรื่องนี้เลยคั่งค้างไม่ถูกสะสางสักที ถ้านายไปฉีโจว ความรับผิดชอบนี้ก็จะตกมาอยู่ที่นาย โยนทิ้งไปก็ไม่ได้ผลักให้คนอื่นก็ไม่ดี ใครให้ตอนนี้นายเป็นมือทองซะแล้วล่ะ ฉันถึงไม่อยากให้นายไปไง…”

หลินเยวียนนึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เคยบังเอิญได้ยินเหล่าโจวคุยโทรศัพท์ พูดว่าจะส่งคนไปฉีโจว

ดูท่าตนต้องกลายเป็นผู้ถูกเลือกไปซะแล้ว

เขาเอ่ยถามว่า “พอไปถึงที่นั่น งานของผมก็ยังเป็นการเขียนเพลงใช่มั้ยครับ”

เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า “ผมรับได้ครับ”

ต่อให้สภาพแวดล้อมด้านงานดนตรีจะไม่เหมือนกัน ขอเพียงเป็นการเขียนเพลง เขาก็ไม่กังวลว่าตนจะทำไม่ได้

เหล่าโจวจ้องหลินเยวียนอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ ยังไงก็ไม่ถึงหนึ่งปี ทำได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าให้นายหยุดปีหนึ่งก็แล้วกัน…”

“ถ้างั้นผมไม่ต้องส่งเพลงกลับมาแล้วเหรอครับ”

“ไม่จำเป็นหรอก นายยังต้องไปตามเก็บกวาดภาระที่ฉีโจวอีก พอถึงตอนนั้นเจอเรื่องปวดหัว จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจเรื่องทางนี้ บริษัทจะจัดการให้นายไปในนามผู้ที่สำนักงานใหญ่ส่งไปเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้นายขยับขยายได้สะดวก พอถึงตอนนั้นนายก็จะเป็นตัวแทนของแผนกประพันธ์เพลงจากสำนักงานใหญ่ ตำแหน่งน่าจะพอๆ กับผู้จัดการของทางนั้น”

“ครับ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่ตนจะไปฉีโจว ก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย

……

ไม่รู้ว่าทางแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบไปรู้เรื่องที่หลินเยวียนจะไปประจำที่สาขาย่อยในฉีโจวกันมาจากไหน

เพื่อนร่วมงานอย่างอู๋หย่งรีบกระวีกระวาดมาหาหลินเยวียน “นายจะกระโดดลงขุมนรกที่ฉีโจวไปทำไม”

หลินเยวียนนึกฉงนใจ “ขุมนรก?”

“ก็ขุมนรกน่ะสิ เขียนเพลงที่นั่นทรมานสุดๆ เลยละ มีแต่ท่านพ่อผู้ว่าจ้างเต็มไปหมด ผู้ว่าจ้างพวกนั้นรู้เรื่องเพลงซะที่ไหนล่ะ รู้แต่ชี้นิ้วสั่งเอาแบบโน้นเอาแบบนี้ไปเรื่อย ไม่เหมือนพวกเราในฉินโจวที่ผลิตเพลงได้อิสระ!” อู๋หย่งพูดด้วยท่าทางปวดเศียรเวียนเกล้า

“อ้อ”

หลินเยวียนแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด

อู๋หย่งจนใจ กล่าวโน้มน้าวต่อไป “เรื่องที่คนอื่นหนีกันหัวซุกหัวซุน นายกลับแย่งเอาไปทำซะงั้น เพื่ออะไรกัน บริษัทย่อยในฉีโจวท่าทางร่อแร่เต็มที น่าจะไม่เกินสองสามปีก็คงปิดตัวแล้ว พอถึงตอนนั้นนายก็ยังต้องรับผิดชอบ…”

หลินเยวียนตอบ “ผมจะพยายามครับ”

อู๋หย่งได้ยินดังนั้นก็อดกลอกตาไม่ได้

ถ้าความพยายามมันมีประโยชน์ละก็ บริษัทย่อยจะกลายเป็นแบบนี้ได้หรือ

แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาทำได้เพียงถอดใจเลิกโน้มน้าว

วันเวลาหลังจากนั้น หลินเยวียนก็มาเข้างานตามปกติ

ในเวลาว่าง เขาก็เขียนเรื่องกระบี่เทพสังหาร

แน่นอนว่า สำหรับหลินเยวียนแล้ว การเข้ามาทำงานก็นับว่าเป็นเวลาว่างเช่นเดียวกัน

และในช่วงเวลานั้นเอง หลินเหยาน้องสาวก็สอบเกาเข่าเสร็จเรียบร้อย และกำลังรอจดหมายตอบรับเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัย

เจี่ยนอี้ถือโอกาสใช้เวลาช่วงปิดเทอมกลับบ้าน

และซย่าฝานก็ได้เข้าร่วมรายการสะพรั่งแล้ว ถ้าไม่ได้ฝึกซ้อม ก็กำลังแข่งขันอยู่

ทุกคนโผล่เข้าไปในกลุ่มแช็ตบ้างเป็นครั้งคราว พูดคุยถึงความเป็นไปในช่วงนี้

สรุปแล้ว แต่ละคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องจัดการ

ทว่าเมื่อหลินเยวียนเข้าไปในกลุ่ม บอกว่าตนจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว เจี่ยนอี้ก็ตื่นเต้นดีใจสุดๆ

เดิมทีเขาคิดว่าตนต้องไปฉีโจวคนเดียวซะแล้ว ไม่คิดว่าจะมีหลินเยวียนไปเป็นเพื่อนด้วย

‘งั้นพวกเราเจอกันที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวนะ!’

วิทยาลัยศิลปะฉีโจว มีชื่อย่อว่าฉีอี้

ผ่านไปหลายนาที เจี่ยนอี้ก็เข้ามาในกลุ่มแช็ตอีกครั้ง ‘ฉันลองเสิร์ชมาแล้ว คณะที่ฉีอี้แยกกัน ฉันอยู่คณะศิลปะการละคร นายอยู่คณะดนตรี อยู่ห่างกันตั้งสองกิโล มาเจอกันคงจะไม่ค่อยสะดวกแฮะ’

‘ดีใจกันใหญ่เลยนะ’

ซย่าฝานโผล่เข้ามา “หลินเยวียนก็ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน งั้นปีหน้าฉันก็อยู่ที่ฉินโจวคนเดียวน่ะสิ”

หลินเซวียนตอบ ‘พี่อยู่เป็นเพื่อนเธอเอง จริงสิ เธอแข่งเสร็จยัง’

ซย่าฝานตอบ ‘แข่งเสร็จแล้วค่ะ! ตอนนี้หนูเป็นยี่สิบคนสุดท้ายของประเทศแล้ว! ต้องทำให้คนดูลุ้น วันนี้ตอนเย็นรอดูทีวีได้เลย!’

‘ดีใจด้วย!’

‘ขอลายเซ็นหน่อยค้าบ!’

‘สู้ๆ นะ!’

ทุกคนล้วนแต่รู้สึกดีใจแทนซย่าฝาน

เย็นวันนั้น หลินเยวียนและหลินเซวียนเปิดดูการแข่งขันรอบใหม่ล่าสุดของรายการสะพรั่ง

ช่วงนี้ ตราบใดที่มีการแข่งขันรายการสะพรั่ง หลินเซวียนไม่เคยพลาดเลย หลินเยวียนเองก็ดูตามไปด้วยจนจบ

การแข่งขันฉายทุกวันเสาร์

ทันทีที่พิธีกรประกาศว่าซย่าฝานได้เข้ารอบยี่สิบคนสุดท้าย หลินเซวียนก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น “ยี่สิบคนสุดท้าย ยี่สิบคนสุดท้าย!”

หลินเยวียนไม่เข้าใจ

ตอนกลางวันก็รู้ผลล่วงหน้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ

ในฐานะเพื่อนสนิท เขาเองก็ย่อมติดตามความเป็นไปของซย่าฝานเช่นกัน

ตอนนี้บนโลกออนไลน์มีโพสต์ที่พูดคุยเกี่ยวกับรายการสะพรั่งเต็มไปหมด

ซย่าฝานในฐานะหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ย่อมพอจะมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งแล้ว

ด้วยสภาพการณ์ในปัจจุบันนี้ หลินเยวียนรู้สึกว่าซย่าฝานมีความหวังที่จะเดินไปถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายจริงๆ…

…………………………………………………..

หลินเยวียนไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเพลงความฝันแรกเป็นเหตุ

ช่วงปิดภาคเรียนใกล้เข้ามาแล้ว

หวาลี่อาจารย์ประจำสาขาควบตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษามาหาหลินเยวียน ยิ้มเอ่ยว่า “เพลงของคุณได้คะแนนสูงที่สุดในการประเมินครั้งนี้”

หลินเยวียนพยักหน้า “ครับ”

หวาลี่มองหลินเยวียน มักรู้สึกว่านักศึกษาคนนี้เยือกเย็นเป็นพิเศษ “คุณไม่มีอะไรอยากพูดเหรอ”

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถาม “ปีสามผมจะได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนมั้ยครับ”

หวาลี่ชะงักไป “คุณอยากไปฉีโจว?”

หลินเยวียน “กำลังคิดอยู่ครับ”

เขาต้องไปปรึกษากับคนที่บ้านก่อน

หวาลี่ยิ้ม “เข้าใจแล้ว โควตาเก็บไว้ให้คุณได้ ถ้าตัดสินใจได้ค่อยมาบอกฉันก็แล้วกัน”

ด้วยคุณภาพของเพลงความฝันแรก กอปรกับผลการเรียนที่ผ่านมาของหลินเยวียน ถ้าเขาอยากได้โควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นเวลาเพียงสองภาคการศึกษา รวมเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

สำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษาห้าปี พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

………………………………………

กลับไปถึงที่พักได้ไม่นาน พี่สาวก็เลิกงานแล้ว

ในมือของเธอมีกับข้าวกับปลาอยู่ไม่น้อย กลับถึงบ้านก็เข้าไปในครัวทันที ไม่นานก็ผัดผักเสียหอมฟุ้ง จนหลินเยวียนอดรู้สึกหิวไม่ได้

“รอแป๊บหนึ่งนะ”

พี่สาวทำกับข้าวไปพลาง พูดกับหลินเยวียนซึ่งอยู่ในห้องรับแขก “กินที่โรงอาหารยังพอว่า แต่ถ้านายไปกินที่ร้านทุกวัน พี่รู้สึกว่าไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ หลังจากนี้พี่จะทำกับข้าวให้นายเอง หรือออกไปกินข้างนอกบ้างก็ได้”

“โอเค”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

กับข้าวสองอย่าง และข้าวสวยอีกสองชามก็มาจัดวางบนโต๊ะ สองพี่น้องกินข้าวด้วยกัน

“พี่”

หลินเยวียนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมกำลังคิดว่าปีหน้าจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจวดีมั้ย ถ้าพี่ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรนะ…”

“นักศึกษาแลกเปลี่ยน?”

หลินเซวียนเอ่ยด้วยความดีใจ “ก็เป็นเรื่องดีนี่นา ตอนพี่เรียนมหา’ลัยก็อยากไปแลกเปลี่ยนเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ไปไม่ได้ ผลการเรียนไม่ดีพอ”

“พี่เห็นด้วย?”

“แล้วทำไมพี่จะต้องไม่เห็นด้วย?”

หลินเซวียนใคร่ครวญเล็กน้อย ก็เข้าใจเหตุผลแล้ว

เธอผุดยิ้มขึ้นมา “นายคิดว่าพี่ทำงานอยู่เมืองซู แล้วตัวเองไปฉีโจวแบบนี้ไม่ดีใช่มั้ยล่ะ นี่มันเรื่องใหญ่ที่ไหนกัน นักเรียนแลกเปลี่ยนคำนวณเต็มๆ ก็ปีเดียว หรือว่านายอยากอยู่ที่ฉีโจวแล้วไม่กลับมา”

“ไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว”

หลินเยวียนเพียงนึกสงสัยเกี่ยวกับบลูสตาร์

เขาอยากรู้ว่าทวีปอื่นๆ ของบลูสตาร์นั้นเป็นอย่างไร

โชคดีที่เจี่ยนอี้ก็จะไปฉีโจวเหมือนกัน ทั้งสองยังไปเป็นเพื่อนกันได้

“งั้นผมจะไปบอกแม่?”

“เดี๋ยวพี่ไปบอกแม่เอง แม่ไม่เข้าใจเรื่องอย่างการแลกเปลี่ยน แต่เหยาเหยาอาจไม่ได้ดีใจสักเท่าไหร่ น้องกำลังจะมาเรียนที่นี่ นายก็ไม่อยู่แล้ว จุ๊ๆ ก่อนหน้านี้นายยังบอกว่าจะปกป้องน้องนี่นา”

“ผมจะให้เพื่อนช่วย”

หลินเยวียนคิดว่าจะไหว้วานคนในสาขาจิตรกรรมช่วยดูแลหลินเหยา และไม่ขึ้นค่าเรียนไปก่อน

รอให้ตนกลับมาจากฉีโจวแล้วค่อยขึ้นราคาก็แล้วกัน

หลินเซวียนพยักหน้า เหลือบมองโทรศัพท์ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “เริ่มแล้ว!”

“อะไรเริ่มแล้ว”

“การแข่งขันไง!”

ระหว่างที่พูด พี่สาวก็เปิดโทรทัศน์ไปด้วย

สิ่งที่ฉายในโทรทัศน์ตอนนี้ก็คือการแข่งขันรายการสะพรั่ง!

“เห็นมั้ย เมื่อกี้เหมือนมีแอร์ไทม์ของซย่าฝานด้วย!” หลินเซวียนชี้ไปยังโทรทัศน์ด้วยความตื่นเต้น

หลินเยวียนพยักหน้า

เขาเห็นว่ามีกล้องฉายไปที่ซย่าฝาน

หลินเซวียนเห็นคนคุ้นเคยในโทรทัศน์ จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

“เมื่อวานซย่าฝานได้ผ่านเข้ารอบห้าสิบคนสุดท้าย วันนี้เลยไม่มีการแข่งขันของเธอ แต่ตอนนี้บนโลกออนไลน์ก็มีเเฟนคลับที่ซัพพอร์ตเธอไม่น้อยเลย พี่ก็อยู่ในกลุ่มแฟนคลับด้วย!”

หลินเยวียนพยักหน้า

ไม่ได้มีอะไรอยู่เหนือความคาดหมาย ในความคิดของหลินเยวียน ด้วยความสามารถของซย่าฝาน การเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรกไม่ใช่เรื่องยากเลย

“ตอนนี้ก็ห้าสิบคนคัดเหลือยี่สิบคนแล้ว!”

หลินเซวียนพูดอย่างคาดหวัง “พี่เชื่อว่าซย่าฝานจะต้องเข้ารอบ กรรมการชื่นชอบเธอมาก พอถึงตอนนั้นแฟนคลับของเธอก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีก!”

“อื้ม”

หลินเยวียนผุดรอยยิ้ม เขาเองก็ดีใจที่ซย่าฝานทำผลงานได้ดีเหมือนกัน

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์ของหลินเยวียนก็ได้รับข้อความจากซย่าฝาน ‘เข้ารอบห้าสิบคนแล้ว ขั้นต่อไปก็ยี่สิบคนสุดท้าย!’

หลินเยวียนพิมพ์ ‘ดีใจด้วยนะ’

เจี่ยนอี้เองก็ปรากฏตัวขึ้นมา ‘ซย่าฝานเอ๋ยซย่าฝาน ดูท่าทางจะมงลง!’

ซย่าฝาน ‘ไม่คล้องจองเลยสักนิด แฟนคลับฉันบอกว่าฉันเป็นเซียนหนี่ว์ซย่าฝาน(เทพธิดาซย่าฝาน)ล่ะ’

เจี่ยนอี้ ‘คำพ้องเสียงแบบนี้แย่มาก ต้องหักเงิน’

หลินเยวียน ‘…’

หลินเซวียนเห็นหลินเยวียนคุยในโทรศัพท์ ก็พูดด้วยความขุ่นเคือง “พวกนายสามคนมีกลุ่มแช็ตกันใช่มั้ย มีความลับอะไร ลากพี่เข้าไปด้วยสิ!”

“แป๊บนึงนะ”

หลินเยวียนบอกเจี่ยนอี้กับซย่าฝาน ก่อนจะลากหลินเซวียนเข้ากลุ่ม

ซย่าฝาน ‘สวัสดีค่ะพี่!’

เจี่ยนอี้ ‘พี่ค้าบจุ๊บๆ!’

หลินเซวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งอั่งเปาสิบหยวนในกลุ่มทันที โดยแบ่งเป็นสี่ส่วน

หลินเยวียนกดแย่งซอง เปิดออกดู ก่อนจะถอนหายใจ ได้ 0.4 หยวน

เจี่ยนอี้เพื่อนรักของเขา ได้ 0.6 หยวน

ซย่าฝานเปิดได้สองหยวน

หลินเซวียนเป็นคนส่งซอง เปิดได้เจ็ดหยวนซะเอง ชั่วขณะนั้นก็ได้ใจไม่เบา ‘คนโชคดีอยู่นี่จ้า คุกเข่าคำนับข้าซะดีๆ!’

หลินเยวียนจ้องมองพี่สาว ลุกขึ้นยืนเงียบๆ

หลินเซวียนถูกหลินเยวียนจ้องจนสะดุ้งโหยง ถอยผงะไป “นายจะทำอะไร”

หลินเยวียนขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

หลินเซวียนแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “ไม่ได้นะ เราเป็นพี่น้องกัน!”

หลินเยวียนไม่ได้สนใจคำพูดไร้สาระของเธอ ยื่นมือออกมา บีบแก้มของพี่สาวหมับ

พี่สาวไม่พอใจ “เบาหน่อย!”

หลินเยวียนพึมพำ “เบาไปจะไม่ได้ผล”

บีบอยู่สิบกว่าวินาที หลินเยวียนก็รู้สึกว่าได้ที่แล้ว จึงรีบปรี่กลับห้องนอนไป และปิดประตูไล่หลัง

‘หลินเยวียนล่ะ’

‘ทำไมเงียบ’

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานถามในกลุ่ม

หลินเซวียนตอบ ‘น้องชายโตแล้ว ไม่ไหวเลย ทำเมกอัปพี่เละหมด’

เจี่ยนอี้ ‘???’

ซย่าฝาน ‘???’

หลินเซวียน ‘ซย่าฝาน พี่ขอลายเซ็นหน่อย ถ้าขายได้เดี๋ยวพี่แบ่งเงินให้หนึ่งในสี่ ไม่สิ แบ่งหนึ่งในสาม!’

……

หลินเยวียนพิงกับประตู ฉวยโอกาสที่มือยังขึ้น รีบร้องเรียกระบบ “เปิดกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบเร็ว”

“กำลังเริ่มต้น”

ระบบโหลดอยู่หลายวินาที กำชับว่า “ยินดีด้วย คุณโชคดีระเบิด ได้รับรางวัลระดับกล่องสมบัติเงิน เป็นการ์ดตัวละครของจิตรกรชื่อดังฉีไป๋สือ[1] หลังจากใช้งานแล้วภายในหนึ่งชั่วโมงจะได้รับฝีมือด้านจิตรกรรมขั้นสูงสุดของฉีไป๋สือ แนะนำให้คุณใช้ในการวาดภาพกุ้งด้วยน้ำหมึก”

หลินเยวียนอึ้งไป

จะบอกว่ามือขึ้น ก็ขึ้นมากเสียด้วย ฝีมือด้านจิตรกรรมขั้นสูงสุดของฉีไป๋สือนั้นมีมูลค่าสูงขนาดไหน หลินเยวียนเองก็รู้

แต่ปัญหาก็คือ…

ต่อให้หลินเยวียนวาดภาพกุ้งที่ฉีไป๋สือเชี่ยวชาญออกมา ในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่มีทางขายได้ราคาเดียวกับผลงานของฉีไป๋สือหรอก

“ได้น้อยแต่ก็ไม่ได้ขาดทุน”

หลินเยวียนใคร่ครวญสักพัก

ในตอนนี้เขาเหลือเพียงกล่องสมบัติสีเงินหนึ่งใบที่ยังไม่ได้เปิด

แต่ยังไม่ต้องเปิดก็แล้วกัน รอให้รวบรวมโชคดีอีกสักหน่อยถึงจะได้ เรื่องพวกนี้จะประมาทไม่ได้ จะต้องรอโอกาสมาหาเอง

หลินเยวียนเปิดประตูออกมา

หลินเซวียนเอ่ย “ทำไมเร็วจัง”

หลินเยวียนพยักหน้า “ผมล้างชามเอง”

หลินเซวียนไม่มีความเห็น “จะได้ล้างมือด้วย”

ถ้าเป็นแม่ละก็ ไม่มีปล่อยให้ถึงตาหลินเยวียนล้างชามหรอก ตอนนี้แม่ไม่อยู่ หลินเซวียนก็ได้อกได้ใจขึ้นมา เรื่องรังแกน้องชายน่ะหรือ สนุกสุดๆ ไปเลย

………………………………………………………

[1] ฉีไป๋สือ (1864 – 1957) จิตรกรชาวจีน เชี่ยวชาญด้านการเขียนตัวอักษรจีน และภาพวาดพู่กัน ผลงานโดดเด่นคือภาพวาดกุ้ง

ที่ข่งอันมาในครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องหลินเยวียน

หลินเยวียนลงแรงเพียงครั้งเดียว ก็ยกระดับฝีมือของสาขาจิตรกรรมทั้งสาขา!

อัจฉริยะระดับนี้ ข่งอันจะปล่อยให้อยู่ในสาขาการประพันธ์เพลงต่อไปก็เสียดายพรสวรรค์

ทว่าเดิมทีข่งอันไม่ได้อยากมาหาซือเฉิงเร็วถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรเสียการย้ายสาขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอดู อีกทั้งภาคการศึกษานี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว

เขารออยู่หลายเดือน ไม่สนใจเรื่องนี้ไปสักพัก

แต่ในวันนี้ คณะวิจิตรศิลป์มีการสอบปลายภาคครั้งใหญ่ ทำให้ข่งอันเปลี่ยนความคิด!

เขารอไม่ไหวแล้ว!

เขาจำเป็นต้องดึงตัวหลินเยวียนมาที่คณะวิจิตรศิลป์ให้ได้ เพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อและเลวร้ายลง!

ทำไมน่ะเหรอ!

ก็เพราะในการสอบปลายภาคครั้งนี้ของคณะวิจิตรศิลป์ ได้ปรากฏผลลัพธ์ที่ชวนให้ตกตะลึงน่ะสิ

ทั้งคณะวิจิตรศิลป์!

นักศึกษาที่ได้ 50 อันดับแรก 22 คนในนั้นเป็นคนที่หลินเยวียนสอนในชมรมจิตรกรรม!

อัตราส่วนในครั้งนี้เหลือเชื่อยิ่งกว่าการสอบของสาขาจิตรกรรมในครั้งก่อนซะอีก!

สำหรับเรื่องนี้ ข่งอันคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ไม่ถึงกับทำให้เขาตื่นอกตกใจได้ เพราะฝีมือในการสอนของหลินเยวียนระดับนั้น แม้แต่อาจารย์สอนสเก็ตช์ของคณะวิจิตรศิลป์ก็ยังต้องยอมรับ

ความน่ากลัวที่แท้จริงก็คือ ไม่เพียงการสอบสเก็ตช์

ครั้งนี้แม้แต่การสอบสีกวอช ในบรรดานักศึกษา 50 คน ก็มี 33 คนที่หลินเยวียนสอน!

สเก็ตช์ภาพอย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง

ข่งอันนึกไม่ถึงว่า ความสามารถในการสอนสีกวอชของหลินเยวียนก็ยังน่ากลัวถึงขนาดนี้

ดูท่าหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งก่อนของหลินเยวียนนั้นไม่ใช่ความสามารถด้านสีกวอชทั้งหมดที่หลินเยวียนมี

นี่มันปราดเปรื่องทั้งการสเก็ตช์และสีกวอชนี่นา!

ฉะนั้นแล้วข่งอันจึงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ตรงไปหาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องดึงคนมาที่คณะวิจิตรศิลป์ให้ได้

“บอกมาเถอะ มีเรื่องอะไร”

ซือเฉิงนั่งดื่มชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข่งอัน บรรยากาศเป็นใจแก่การเอ่ยปากขอร้อง

ข่งอันยิ้มกล่าว “ไม่โกหกนายก็แล้วกัน สำหรับนายแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ฉันถูกใจนักศึกษาคนหนึ่งของสาขาการประพันธ์เพลงของนาย อยากให้เขาย้ายมาอยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์

“แค่นี้?”

ตอนนี้ซือเฉิงอารมณ์ดีสุดๆ จึงโพล่งไปว่า “อย่าว่าแต่นักศึกษาคนเดียวเลย ถ้านายอยากได้สามคน ทางฉันก็จะเห็นด้วย แต่เรื่องของทางผู้ปกครองของนักศึกษา นายต้องไปจัดการเอง ถึงยังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงถึงอนาคตของนักศึกษา จะมาล้อเล่นไม่ได้”

“งั้นฉันว่า ทางผู้ปกครองฉันไปคุยเอง”

ข่งอันเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันทำไปเพื่ออนาคตของนักศึกษานี่แหละ ถึงได้บากหน้ามาหานาย พรสวรรค์ของนักศึกษาคนนี้ไม่ธรรมดา รอให้เขามาที่คณะวิจิตรศิลป์ของพวกเรา ฉันว่าจะสอนด้วยตนเอง!”

“ถูกอกถูกใจขนาดนั้นเลย?”

ซือเฉิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ด้วยตำแหน่งของข่งอันในวงการจิตรกรรม นักศึกษาทั่วไปไม่มีทางเข้าตาสหายเก่าแก่ของตนหรอก

“งั้นฉันก็ยิ่งต้องช่วยนาย!”

ซือเฉิงพูดอย่างจริงจังมาก เรื่องนี้ถ้าหากไม่ช่วย ตัวเขาเองจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน “นักศึกษาที่นายพูดถึงชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกเขามาคุยต่อหน้า”

“นายอาจไม่รู้จัก ถึงยังไงนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงก็มีเยอะแยะยิ่งกว่าขนวัว เด็กคนนี้อยู่เซคห้า”

“เซคห้า…”

ซือเฉิงหัวใจกระตุกวาบ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าตนเป็นกระต่ายตื่นตูมเกินไป

จะไปบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง

เขายังคงยิ้มแย้ม “ไม่ได้ถามเซค เอาชื่อมา”

ข่งอันพูดออกมาสองคำ “หลินเยวียน”

รอยยิ้มของซือเฉิงนิ่งค้าง

ข่งอันไม่เห็นสีหน้าของซือเฉิง

เขาดื่มน้ำชา ตบไหล่ของซือเฉิงเบาๆ “เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างนายคุยง่ายดี เรื่องนี้ฉันต้องขอบคุณนายล่วงหน้า มีหัวหน้าของสาขาการประพันธ์เพลงเอ่ยปากเองแบบนี้ หลินเยวียนไม่มีทางปฏิเสธแน่”

ซือเฉิงกล่าว “ฉันรับปากแล้ว?”

ข่งอันชะงักไป “นายรับปากแล้วไง”

ซือเฉิงโบกมือ “นายอย่ามาพูดจาเหลวไหล มิตรภาพก็เป็นเรื่องของมิตรภาพ เรื่องการย้ายคณะนี่ฉันไปรับปากตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“นายนี่ชักจะพูดไม่รู้เรื่อง!”

ข่งอันไม่สบอารมณ์แล้ว “หลินเยวียนอยู่ที่นี่ออกจะน่าเสียดายพรสวรรค์”

ซือเฉิงได้ฟังคำประโยคนี้ก็มีโทสะขึ้นมา “หลินเยวียนไปคณะวิจิตรศิลป์ของนายน่ะสิถึงน่าเสียดายพรสวรรค์!”

“เฮ้ย มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ข่งอันลุกขึ้นยืน

ซือเฉิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ฉันทำไม ที่มากไปน่ะนายชัดๆ มาถึงก็จะดึงตัวหลินเยวียน ฉันไม่ให้หลินเยวียนไปหรอกว้อย!”

“ทำไม”

“ไม่ทำไม”

“แล้วทำไมนายถึงมาพูดแบบนี้”

“ก็เขาเป็น…เอาเป็นว่านายไม่เข้าใจหรอก หลินเยวียนเป็นอัจฉริยะของสาขาการประพันธ์เพลง ไม่มีเขา สาขาการประพันธ์เพลงของก็สู้วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้!”

“ถ้านายเป็นแบบนี้ฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”

“โกรธไปก็ไร้ประโยชน์ นายจะดึงตัวใครไปก็ได้ แต่ไม่ใช่หลินเยวียน ต่อให้วันนี้นายพูดให้ตาย ฉันก็ไม่ปล่อยเขาไปหรอก”

ซือเฉิงสีหน้าเดือดดาล

หมอนี่ มาถึงก็ขอเซี่ยนอวี๋ไปเลย เหล่าข่งนายอยากตัดญาติกับสาขาการประพันธ์เพลงของฉันใช่ไหม!

“พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันมากี่ปี ขอคนเดียวก็ไม่ได้” ข่งอันถลึงตาใส่ซือเฉิง

ซือเฉิงขึ้นเสียงสูง “เพื่อนสนิทกัน มีเรื่องอะไรต้องคุยให้ชัดเจน นายต้องการตัวหลินเยวียน เคยนึกถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม”

ข่งอันขู่ “ถ้านายไม่ปล่อยคนมา ก็ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้ว!”

ซือเฉิงแค่นหัวเราะเย็นเยียบ “เพื่อนอะไร ไม่ต้องปงไม่ต้องเป็นมันแล้ว!”

ข่งอันอึ้งไป

ไม่เป็นเพื่อนกันแล้วด้วย?

เขาเดือดดาลสุดขีด “มิตรภาพหลายปีของพวกเรา สู้หลินเยวียนคนเดียวไม่ได้?”

“เรื่องนี้ต้องถามนายมากกว่า ทำไมนายต้องมาดึงตัวหลินเยวียน ตอนนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่านายเป็นสายลับจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงหรือเปล่า ที่จริงแฝงตัวเข้ามาในวิทยาลัยเรา ถึงยังไงหลินเยวียนก็เป็นคนสาขาการประพันธ์เพลงของเรา ใครก็มาดึงตัวเขาไปไม่ได้”

“นาย…”

ทั้งสองคนทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ช่วยของทั้งสองรุดเข้ามาช่วย แต่กลับถูกทั้งสองตวาดใส่ ไล่ไปกระเจิดกระเจิง

ทั้งสองมองหน้ากัน ทำได้เพียงถอนหายใจ

“ไปคุยกับอธิการ?”

“คงต้องอย่างนั้นละ”

สิบนาทีให้หลัง ซือหวายหนานอธิการบดีรุดมาถึงที่ ทันทีที่เข้ามาก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น พวกเขาสองคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันหรือไง ทำไมจู่ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาได้”

ผู้ช่วยทั้งสองคนยิ้มขื่น “ถ้าท่านไม่มา ก็คงตีกันจริงๆ แล้วครับ”

ซือหวายหนานกล่าวอย่างหัวเสีย “เหลวไหล!”

เขาผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน ก็เห็นซือเฉิงกับข่งอันถลึงตาใส่กัน ไม่มีใครไว้หน้าใคร

เขาพูดอย่างจนปัญญา “เกิดอะไรขึ้น”

สองคนนี้นับว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงของสถาบัน ซือเฉิงมีศักดิ์เป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา ในฐานะอธิการบดีก็ไม่สามารถด่ากราดไม่ไว้หน้า จะต้องกระจ่างเสียก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น

“เรื่องของหลินเยวียนน่ะครับ”

ข่งอันเอ่ยด้วยความโมโห “ครั้งก่อนผมเคยบอกกับอธิการฯไปแล้ว ว่าหลินยวียนจากสาขาการประพันธ์เพลงเป็นอัจฉริยะด้านจิตรกรรม เขาต้องมาอยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์ ผมเชื่อว่าเขาจะยกระดับคณะวิจิตรศิลป์ของวิทยาลัยเราได้แน่!”

“เก่งขนาดนั้นเชียว?”

ซือหวายหนานตกตะลึง เขาจำได้ว่าครั้งก่อนข่งอันประเมินนักศึกษาที่ชื่อหลินเยวียนคนนี้ไว้สูงมาก นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะสูงกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่งแล้ว!

นี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่หรือ?

ข่งอันกล่าว “ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ”

ซือหวายหนานมองไปยังซือเฉิง “หรือว่า…”

ซือเฉิงเอ่ยปาก “พี่ครับ”

ซือหวายหนานโบกมือรัว “นายหยุด เรียกอธิการฯ”

อกของซือเฉิงกระเพื่อมชั่วขณะหนึ่ง ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูซือหวายหนาน

ซือหวายหนานสีหน้าเปลี่ยนทันใด “อะไรนะ! จริงเหรอ”

ซือเฉิงตอบอย่างหนักแน่น “จริงแท้แน่นอน! เหล่าโจวบอกกับผมเอง!”

ซือหวายหนานสีหน้าเปลี่ยนไม่หยุด ในใจกำลังปั่นป่วน ท้ายที่สุดแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังลั่น

ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้นล่ะ

ข่งอันเอ่ยถามด้วยความคลางแคลง “อธิการคงไม่ได้ลำเอียงหรอกใช่มั้ยครับ”

ซือหวายหนานแทบจะอยากต่อยเขาสักหมัด “ผมเป็นคนแบบนั้นหรือ?”

ข่งอันฮึดฮัดในคอ ไม่ได้ตอบอะไร

ซือหวายหนานครุ่นคิด ก่อนจะกล่าว “ให้เขาอยู่ที่สาขาการประพันธ์เพลงก็แล้วกัน เหล่าข่งนายไม่ได้บอกหรือว่าแม้หลินเยวียนจะอยู่สาขาการประพันธ์เพลง แต่ปกติแล้วเขาก็ไปสอนวาดรูปที่ชมรมจิตรกรรม”

“แต่ว่า…”

ซือหวายหนานกล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่มีแต่ว่า วิทยาลัยนี้ฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่ซือเฉิงนายเองก็ระวังด้วย ถ้าหลินเยวียนเกิดเรื่องอะไรในสาขาการประพันธ์เพลง ต่อไปนายก็อย่าคิดจะเข้ามายุ่ง”

“อธิการบดีวางใจได้เลยครับ!”

ซือเฉิงตบอกเสียงดัง

ขณะที่ข่งอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อธิการบดีก็รีบร้อนออกไป ไม่รู้ว่าจะรีบอะไรถึงขนาดนั้น

“ไม่ส่งนะ”

ซือเฉิงแทบไม่ได้มองข่งอัน

ข่งอันส่งเสียงในคอ “เรื่องของนายเถอะ”

เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

เรือแห่งมิตรภาพลำน้อยก็มาพลิกคว่ำด้วยประการฉะนี้

…………………………………………………….

จางเหวินอู่และคณะจากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินตงเผ่นไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ออกจากตึกเรียนของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว บรรดาอาจารย์ก็ทนไม่ไหว

“เพลงนั้นสุดยอดมาก!”

“สรุปแล้วหลินเยวียนเป็นใครกัน”

“เก่งกว่าโจวอวี๋เชียวนะ”

“ถ้าจะบอกว่าหลินเยวียนเก่งกว่าโจวอวี๋ก็อาจไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะนักศึกษาที่ชื่อหลินเยวียนทำผลงานได้โดดเด่นกว่าปกติ ดูจากปฏิกิริยาของซือเฉิงก็มองออกแล้วว่าหลินเยวียนไม่น่าจะเป็นนักศึกษาที่มีพรสวรรค์มีชื่อเสียงอะไรในสาขาการประพันธ์เพลง แต่พวกเราก็ต้องยอมรับว่าเพลงนี้เขียนได้ดีจริงๆ ในบรรดาเพลงให้กำลังใจ คุณภาพขึ้นไปท็อปสิบได้ไม่มีปัญหาเลย”

“ความฝันแรก?”

“ลำพังคำพูดนี้ เพลงความฝันแรกดีกว่าผลงานของโจวอวี๋จริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นวิทยาลัยศิลปะฉินโจว พวกเรามาที่นี่อยากจะมายั่วยุ นึกไม่ถึงว่าผลสุดท้ายกลับเป็นแบบนี้ เสียหน้ามากเลย”

“…”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาของอาจารย์กลุ่มนี้ จางเหวินอู่ในใจรู้สึกซับซ้อน ตนประเมินวิทยาลัยศิลปะฉินโจวต่ำเกินไปจริงๆ นึกไม่ถึงว่าต่อให้วิทยาลัยของเขามียอดอัจฉริยะอย่างโจวอวี๋ ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้ นักศึกษาที่ชื่อหลินเยวียนคนนี้เป็นเทพเซียนมาจากไหนกันแน่นะ

ในอาคารเรียน

คำถามเดียวกันก็ดังขึ้นในห้องตรวจผลงานของสาขาการประพันธ์เพลง ซือเฉิงจ้องมองอาจารย์ที่กำลังจะทำงานเสร็จ ในน้ำเสียงระคนไปด้วยความตื่นเต้นที่ข่มกลั้นไว้ไม่อยู่ “ที่ปรึกษาเซคห้ามานี่หน่อยครับ”

“คณบดี!”

หวาลี่ที่ปรึกษาและอาจารย์ประจำสาขาของหลินเยวียนรุดเข้ามาหน้าซือเฉิง ใบหน้ายิ้มขื่น “หลินเยวียนเป็นนักศึกษาคลาสฉันเองค่ะ ผลการเรียนวิชาสาขาของเขาไม่เลว แต่ความสามารถด้านการแต่งเพลงเมื่อเทียบกับทั้งปีสองสาขาการประพันธ์เพลงแล้วไม่ได้โดดเด่น ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าผลงานประเมินประจำปีครั้งนี้ของเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ เมื่อกี้ตอนที่อาจารย์ผู้ตรวจผลงานเอ่ยถึงหลินเยวียน ฉันเองก็งงอยู่เหมือนกันค่ะ”

“หลินเยวียนไม่โดดเด่น?”

“ท่านหมายถึงด้านไหนคะ”

หวาลี่จมอยู่ในห้วงความคิด พลางนับนิ้ว “ถ้าพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกละก็อยู่ระดับโดดเด่นทีเดียวค่ะ ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์กับคนในชั้นเรียนหลินเยวียนก็ดีมาก ต่อให้ดูจากฝีมือด้านจิตรกรรม หลินเยวียนก็จัดว่ามีฝีมือทีเดียว เขาช่วยให้คลาสฉันได้ที่หนึ่งตอนประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำ”

“ผมถามเรื่องนี้?”

ซือเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ต่อให้เป็นในวงการประพันธ์เพลงของเรา นักศึกษาที่เขียนเพลงอย่างความฝันแรกออกมาได้จะไม่โดดเด่นไปได้ยังไงครับ ถึงเขาจะทำผลงานได้โดดเด่นกว่าปกติ แต่นั่นก็หมายความว่าเขามีขีดจำกัดที่สูงมาก ปกติคุณเอาใจใส่นักศึกษามาก แต่กลับไม่รู้ว่าสาขาการประพันธ์เพลงของเรามีบุคคลอัจฉริยะที่ล้ำค่าแบบนี้ซ่อนอยู่!”

อัจฉริยะของสาขาการประพันธ์เพลง

นี่คือคำนิยามของซือเฉิง

หวาลี่พยักหน้ารัว เมื่อครู่เธอเองก็ได้ฟังเพลงความฝันแรกแล้ว หลินเยวียนคู่ควรกับคำว่าอัจฉริยะ ต่อให้จะทำผลงานได้โดดเด่นกว่าปกติ แต่ก็มีศักยภาพที่มากพอ เหตุผลข้อนี้ทุกคนเข้าใจดี

ในตอนนั้นเอง

ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหน้าประตูอีก

ซือเฉิงมองไป ก็พบว่าคนจากสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์มาแล้ว หัวหน้าถึงกับเป็นโจวรุ่ยหมิงพี่ใหญ่ของสาขาการประพันธ์เพลง จึงพลันเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เหล่าโจว ไม่เจอกันนานเลย”

“ศาสตราจารย์ซือ”

โจวรุ่ยหมิงเองก็ยิ้มแย้ม สำหรับหัวหน้าสาขาการประพันธ์เพลงอย่างศาสตราจารย์ซือแล้ว เขายังให้เกียรติมาก นักแต่งเพลงมือทองไม่น้อยในวงการมาจากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจว “ครั้งนี้มีต้นกล้าชั้นดีแนะนำให้ผมบ้างไหมครับ”

“ก็มีอยู่”

ซือเฉิงยิ้มได้ใจ พาโจวรุ่ยหมิงเข้าไปในห้องพักด้านข้าง นำเพลงความฝันแรกออกมาราวกับเป็นเพลงสมบัติล้ำค่า

โจวรุ่ยหมิงใจกระตุกวูบ

เพลงที่ทำให้ซือเฉิงเห็นความสำคัญได้มากขนาดนี้ คุณภาพจะต้องไม่เลว เขากับตัวแทนจากแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์สวมหูฟังฟังเพลงพร้อมกัน

ผ่านไปหลายนาที

ตัวแทนจากทางสตาร์ไลท์ก็มีสีหน้าประหลาดใจ ทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพ แค่ฟังก็รู้แล้วว่า “เพลงนี้ยอดเยี่ยมมาก!”

“หัวหน้า ต้องเซ็นสัญญาคนนี้นะคะ!”

“เพิ่งปีสองก็มีความสามารถขนาดนี้แล้ว!”

“คนนี้สตาร์ไลท์จองตัว!”

“สมแล้วที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันอันดับหนึ่ง แต่ละคนมีพรสวรรค์ ดูแล้วพวกเราคงต้องมาเดินดูที่นี่บ่อยๆ ที่นี่เป็นสถานที่บ่มเพาะนักแต่งเพลงจริงๆ!”

“…”

ตัวแทนสตาร์ไลท์ต่างตกตะลึง ในใจของโจวรุ่ยหมิงก็ตกตะลึงเช่นกัน คุณภาพของเพลงความฝันแรกนี้สูงเหนือความคาดหมาย แต่กลับเป็นผลงานของนักศึกษาปีสอง?

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นพยัคฆ์หมอบมังกรหลบ!

สมแล้วที่เป็นสถาบันที่เซี่ยนอวี๋เรียน!

เขามองไปยังซือเฉิงด้วยสีหน้าหนักแน่น ท่าทางจริงจังขึงขัง “ศาสตราจารย์ซือครับ ผมขอพบผู้สร้างสรรค์เพลงนี้ได้มั้ยครับ”

ซือเฉิงยิ้มบาง “ได้อยู่แล้ว”

ปฏิกิริยาของโจวรุ่ยหมิงนั้นอยู่ในความคาดหมายของซือเฉิงทั้งสิ้น ต่อให้อยากได้แค่เพลงนี้ วันนี้เขาจะต้องให้หลินเยวียนเซ็นสัญญาให้ได้

ขณะที่ซือเฉิงกำลังจะหันหลังออกไป

โจวรุ่ยหมิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน “นักศึกษาคนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ”

แน่นอนว่าเขามีเหตุผลให้ร้อนรน!

คุณภาพของเพลงนี้สูงมาก ในภาพจำของโจวรุ่ยหมิง นักศึกษาปีสองที่สามารถเขียนเพลงระดับนี้ออกมาได้ก็มีแค่เซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มาเจออีกคนที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจว!

เป็นเหมือนเซี่ยนอวี๋อีกคน?

ปีนี้สตาร์ไลท์โชคใหญ่หล่นทับแล้ว!

ถ้าให้สามบริษัทใหญ่แห่งอื่นๆ ได้ฟังเพลงนี้ น่ากลัวว่าพวกเขาก็จะเซ็นสัญญาโดยไม่ลังเลเช่นเดียวกัน ไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยหลุดมือไป!

“เขาชื่อหลินเยวียน”

ซือเฉิงเอ่ยบอกโดยแทบไม่ต้องหยุดคิด ชื่อเสียงเรียงนามของนักศึกษาคนนี้ได้ถูกสลักไว้ในสมองของเขาแล้ว!

โจวรุ่ยหมิง “…”

บรรดาตัวแทนจากสตาร์ไลท์ซึ่งเดิมทียังคงตื่นเต้น เมื่อได้ยินชื่อนี้สีหน้าก็พลันพิลึกกึกกือ มองหน้ากันไปมาไม่พูดไม่จา

“ผมจะไปเรียกเขา”

ซือเฉิงไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา

โจวรุ่ยหมิงยิ้มขื่น “ไม่ต้องหรอกครับ ศาสตราจารย์”

ซือเฉิงชะงักไป “คุณรู้สึก ไม่พอใจ?”

โจวรุ่ยหมิงโบกมือ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมก็ว่าเด็กปีศาจอย่างหลินเยวียน มีที่ไหนอยู่ๆ จะโผล่ออกมาอีกคน…”

เขาล่ะปวดตับจริงๆ

เดิมทีคิดว่าตนจะได้พบยอดอัจฉริยะอย่างเซี่ยนอวี๋เพิ่มอีกคน นึกไม่ถึงว่าน้ำจะซัดเข้าวัดราชามังกร[1]

คนที่ได้ชื่อว่ายอดอัจฉริยะ เดิมทีก็เป็นราชามังกรของบริษัทเราไม่ใช่หรือไง

“เด็กปีศาจ?”

ซือเฉิงไม่เข้าใจปฏิกิริยาของพวกโจวรุ่ยหมิง ก่อนหน้านี้ยังตื่นเต้นกันอยู่แท้ๆ ไหงตอนนี้รู้สึกว่าพวกเขาท่าทางผิดหวังมากอย่างนั้นล่ะ

“ศาสตราจารย์ครับ”

โจวรุ่ยหมิงบุ้ยใบ้ให้คนอื่นออกไป จากนั้นก็ขยับเข้าไปข้างหูของซือเฉิง “เราเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน ผมจะไม่ปิดบังก็แล้วกัน ที่จริงหลินเยวียนคือ…”

“หลินเยวียนทำไม”

ซือเฉิงเริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว เจ้าเหล่าโจวจะยังอุบเงียบทำไม

เหล่าโจวพูดอย่างจนปัญญา “หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋ เดิมทีก็เป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงของสตาร์ไลท์อยู่แล้ว ผมเซ็นสัญญาเขาอีกครั้งไม่ได้อยู่แล้วครับ”

“อะไรนะ!”

สีหน้าของซือเฉิงเปลี่ยนไปฉับพลัน ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

โจวรุ่ยหมิงกระซิบ “เรื่องนี้คุณอย่าแพร่งพรายออกไปเชียวนะ เจ้าเด็กเซี่ยนอวี๋ไม่ชอบเปิดเผยตัว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ปิดบังตัวตนของตัวเองนานขนาดนี้ ส่วนเหตุผลที่ผมบอกคุณ คุณก็น่าจะเข้าใจดี”

“…”

ซือเฉิงได้สติกลับมา

วันนี้จิตใจถูกกระทบกระเทือนติดต่อกัน แถมครั้งหลังยังหนักหน่วงกว่าครั้งแรก แต่ก็ยังตั้งสติกลับมาได้ เขาละนับถือความทนทานของจิตใจตัวเองจริงๆ

เจตนาของเหล่าโจวเขาย่อมกระจ่างดี!

ที่เปิดเผยข้อมูลว่าหลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋กับตน เพราะต้องการเตือนตน!

หลังจากนี้ต้องดูแลให้ดี สำหรับนักศึกษาระดับปีศาจแบบนี้ ต่อให้ปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษก็ยังได้!

ต้องปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษ!

ต้องดูแลให้ดี!

ต่อให้หลังจากนี้สมองของซือเฉิงถูกลาเตะ ก็จะไม่ยอมให้หลินเยวียนได้รับความไม่เป็นธรรมในวิทยาลัยแม้แต่นิดเดียว!

ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะลั่น

ที่แท้หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋!

เซี่ยนอวี๋เป็นนักศึกษาปีสอง!

เซี่ยนอวี๋ถึงกับเป็นนักศึกษาปีสองของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวของเรา!

วิทยาลัยศิลปะฉินตงถือผลงานของโจวอวี๋มาท้าทายอย่างโอหัง ไม่รู้จักคำว่าซี้แหงแก๋ซะแล้ว!

เอ็งมีโจวอวี๋?

ข้ามีเซี่ยนอวี๋!

ปลา[2]ของเอ็งน่ะของปลอม ปลาของพวกข้าต่างหากของจริง!

โจวอวี๋เป็นปีศาจ?

มาอยู่ต่อหน้าเซี่ยนอวี๋ ยังจะกล้าบอกว่าโจวอวี๋เป็นปีศาจหรือเปล่า

แต่จะโทษวิทยาลัยศิลปะฉินตงก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรตนก็เพิ่งรู้ข้อมูลนี้ ถ้าไม่ใช่เหล่าโจว ตนก็คงยังอยู่ในกะลา

วิทยาลัยศิลปะฉินตงเองก็โชคร้าย

ถ้าหากวิทยาลัยศิลปะฉินตงรู้ว่าเซี่ยนอวี๋เร้นกายอยู่ในชั้นปีที่สองสาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ต่อให้มีความใจกล้าบ้าบิ่นกว่านี้อีกสองเท่าก็ไม่กล้ามาหาเรื่องถึงที่หรอก!

“ถ้าอย่างนั้นผมไปนะครับ?”

เหล่าโจวกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

ถึงแม้ว่าจะเป็นการเข้าใจผิด แต่เขาก็ยังมีเหตุผลให้ดีใจ

เซี่ยนอวี๋เขียนเพลงที่ดีขนาดนี้ออกมาอีกแล้ว!

ห่างจากตอนที่เพลงกุหลาบแดงผงาดในฤดูกาลการแข่งขันได้เท่าไหร่เอง

ฝีมือแบบนี้น่าสะพรึงกลัวเชียวละ!

แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมเขาไม่บอกตนอีกแล้วล่ะ

ช่างเถอะ เด็กคนนี้มีเพลงในมือ เคยบอกกล่าวตนซะที่ไหนกัน

เขาก็เป็นซะอย่างนี้แหละ

เหล่าโจวกับคนอื่นๆ โบกมือเดินออกไป

ซือเฉิงมองแผ่นหลังของพวกเหล่าโจวเดินออกไป เดิมทีเขาอยากให้เหล่าโจวลองฟังผลงานที่โดดเด่นชิ้นอื่นๆ ดู

มาคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้ว

ห่างไกลกันเกินไป

เมื่อเทียบกับเซี่ยนอวี๋แล้ว เด็กๆ กลุ่มนี้ยังต้องฝึกฝนอีกรอบ

อีกทั้งเรื่องนี้ ตนเองก็ต้องเก็บเป็นความลับให้สนิท

ตัวหลินเยวียนเองไม่ได้บอกใคร ถ้าตนไปป่าวประกาศ จะไม่เท่ากับทรยศเจตจำนงแรกเริ่มของหลินเยวียนหรอกหรือ?

ถึงแม้ถ้าโลกภายนอกรู้เข้าว่าเซี่ยนอวี๋เป็นนักศึกษาปีสองของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ก็จะส่งผลดีมหาศาลต่อวิทยาลัย แต่เมื่อเทียบกับผลดีเหล่านี้แล้ว ความรู้สึกของหลินเยวียนก็สำคัญกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกเปิดเผย

เมื่อถึงตอนนั้น ผลประโยชน์ก็ยังกลับสู่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวอยู่ดี ต่างกันก็แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ ซือเฉิงนั่งลงอย่างสบายใจ รินชาให้ตนเองสักแก้ว

โซฟาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ยังนุ่มสบายเหมือนเดิม

ขณะนั้นเอง

ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังมา

ซือเฉิงหันไปมอง ทันใดนั้นก็ยิ้มแย้มขึ้นมา “ศาสตราจารย์ข่ง ลมอะไรหอบท่านมาล่ะครับเนี่ย คณะวิจิตรศิลป์ช่วงนี้ว่างหรือ”

ผู้มาเยือนคือข่งอัน

คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ วิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ในตอนนี้ข่งอันควบคุมคณะวิจิตรศิลป์ไว้ในกำมือได้สำเร็จ อยู่ระดับเดียวกับซือเฉิงแล้ว

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองเข้ามาเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยศิลปะฉินโจวด้วยกัน ความสัมพันธ์เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา ในตอนนี้พบกันอีกจึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

มิตรภาพดุจเหล็กกล้า!

ข่งอันเองก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “วันนี้มีเรื่องดีอะไรล่ะ นายยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว”

“จริงเหรอ”

ซือเฉิงโบกมือ “นั่งก่อนสิ ฉันมีใบชาชั้นดี ดื่มก่อนสักแก้ว เพื่อนสนิทมิตรสหายอย่างเราถึงจะอยู่วิทยาลัยเดียวกัน แต่โอกาสเจอหน้ากันไม่มากเลย”

“นั่นน่ะสิ”

ข่งอันทอดถอนใจ “พวกเราเป็นสหายรักที่สนิทกันที่สุด วันนี้มาก็เพราะมีเรื่องเล็กน้อยอยากขอร้องนาย นายคงไม่ปฏิเสธหรอกใช่ไหม”

“ล้อเล่นอะไรกัน”

ซือเฉิงชงชาไปพลางเอ่ยอย่างหนักแน่น “อย่าว่าแต่นายขอร้องเรื่องเล็กน้อยเลย วันนี้ต่อให้นายขอร้องฉันสักร้อยเรื่อง ฉันก็จะตกลง!”

ข่งอันพลันรู้สึกซาบซึ้งอย่างเหลือแสน

นี่สิมิตรภาพที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าสินะ ไม่แปรผันตามวันคืน ไม่เลือนรางตามกาลเวลา!

………………………………………….

[1] น้ำจะซัดเข้าวัดราชามังกร เปรียบเปรยว่าจำคนคุ้นเคยไม่ได้

[2] ปลา เล่นคำกับคำว่า ‘อวี๋ (鱼)’ ซึ่งแปลว่าปลาในภาษาจีน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ปิดภาคเรียนฤดูร้อนกำลังใกล้เข้ามา ในออฟฟิศใหญ่ของชั้นปีที่สองสาขาการประพันธ์เพลง คณาจารย์กำลังเร่งรีบตรวจผลงานในการประเมินประจำภาคเรียนของนักศึกษา

ในขณะนั้นเอง

จู่ๆ หน้าประตูก็มีเสียงดังมา “ว่ากันว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ คณบดีซือน่าจะไม่รังเกียจที่คณะอาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเรียนรู้จากสถาบันของคุณ…”

วิทยาลัยศิลปะฉินตง?

บรรดาอาจารย์ในออฟฟิศใหญ่ได้ยินเสียงจากหน้าประตู ก็แทบจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน และมองไปยังประตูออฟฟิศ

ชื่อย่อของวิทยาลัยศิลปะฉินตงก็คือ ‘ตงอี้’

พวกเขาเป็นสถาบันศิลปะซึ่งจัดอยู่อันดับสองของฉินโจว

ว่ากันว่าเดิมทีวิทยาลัยศิลปะฉินตงก็อยากใช้ชื่อย่อว่า ‘ฉินอี้’

แต่ก็ช่วยไม่ได้

ความสามารถของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั้นเหนือกว่า ดังนั้นชื่อเรียก ‘ฉินอี้’ จึงกลายเป็นของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไปโดยปริยาย

วิทยาลัยศิลปะฉินตงจึงใช้ได้เพียงชื่อ ‘ฉินตง’

เรื่องนี้ทำให้วิทยาลัยศิลปะฉินตงคิดไม่ตกมาโดยตลอด ผ่านมาหลายปีก็ยังคงจ้องจะงาบตำแหน่งพี่ใหญ่ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

เหล่าอาจารย์รู้เรื่องที่วันนี้วิทยาลัยศิลปะฉินตงจะมาเยี่ยมเยือน

แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาที่สาขาการประพันธ์เพลงกะทันหันแบบนี้ มาแบบมีเจตนาไม่ดีนะเนี่ย

“ทุกท่าน”

ซือเฉิงและบรรดาศาสตราจารย์นำคณะอาจารย์สาขาการประพันธ์เพลงจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงเข้าไปยังสาขาการประพันธ์เพลง

หลังจากเดินเข้าประตูไป ซือเฉิงก็พูดว่า “ทุกคนปรบมือต้อนรับศาสตราจารย์จางเหวินอู่ซึ่งเป็นตัวแทนจากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะตงฉิน เป็นแขกมาเยี่ยมชมสาขาการประพันธ์เพลงของเรา”

แปะๆๆ

อาจารย์จากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปรบมือดังเกรียวกราว

“ทุกท่านเกรงใจแล้ว”

จางเหวินอู่ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยศิลปะตงฉินกล่าว “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวมีมานับร้อยปี สาขาการประพันธ์เพลงเปี่ยมไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ วันนี้พวกเราจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมเยือนสถาบันของท่าน เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์โดยเฉพาะ”

ฝูงชนปรบมืออีกครั้ง ในใจกลับพึมพำว่า เชื่อก็บ้าแล้ว!

“ทุกคนตรวจงานต่อเถอะ”

ซือเฉิงขยับไม้ขยับมือบอก ก่อนจะกล่าวกับจางเหวินอู่และคนอื่นๆ “เชิญทางนี้ครับ ทุกคนไปนั่งดื่มชากันก่อนได้”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากจางเหวินอู่และอาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงคนอื่นๆ นั่งลง ก็เริ่มสนทนาเรื่อยเปื่อยกับซือเฉิง “วันนี้วิทยาลัยของคุณกำลังตรวจผลงานประเมินประจำปีของนักศึกษาเหรอครับ”

ซือเฉิงพยักหน้า

จางเหวินอู่ยิ้มเอ่ย “วิทยาลัยพวกเราตรวจเสร็จไปเมื่อวาน แถมยังเชิญหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงจากเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงมานั่งในที่ประชุมด้วย สรุปแล้วแผนกประพันธ์เพลงของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงเซ็นสัญญากับนักศึกษาปีสองไปคนหนึ่ง แถมยังให้นักศึกษาคนนั้นไปทำงานช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์”

ซือเฉิงหนังตากระตุก

เขากับจางเหวินอู่นับว่าเป็นคู่แข่งเก่าแก่ ต่างคนต่างเข้าใจกันและกัน ในตอนนี้เพิ่งจะสนทนากัน เขาก็คาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายออกแล้ว

มิน่าล่ะจางเหวินอู่ถึงไม่ติดตามไปกับคณะของวิทยาลัยตัวเอง จะต้องดึงดันมาเป็นแขกที่สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวให้ได้

กล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าเขาเรอะ

จำต้องยอมรับ

ว่าแค่ปีสองก็ได้เซ็นสัญญากับสามบริษัทยักษ์ใหญ่ของฉินโจว แถมยังได้เข้าไปนั่งทำงานช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้

“จริงสิ”

“ทางพวกคุณก็น่าจะเชิญคนจากบริษัทบันเทิงมาด้วยสินะครับ” จางเหวินอู่ไต่ถามด้วยท่าทางห่วงใย

ซือเฉิงพยักหน้า “พวกเราเชิญแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์มาครับ”

จางเหวินอู่จุ๊ปาก “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวหน้าใหญ่จังเลยนะครับ”

ซือเฉิงโบกมือ “เหมือนกันนั่นแหละครับ”

จางเหวินอู่หัวเราะ “ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวผมจะขอฟังผลงานของนักศึกษาเก่งๆ ของฉินโจวได้ไหม จะได้ดูไว้ว่าวิทยาลัยศิลปะฉินตงของพวกเรายังห่างไกลกับวิทยาลัยของคุณอีกมากแค่ไหน”

ซือเฉิงก็หัวเราะ “ได้อยู่แล้วครับ”

เขาเรียกผู้ช่วยมา พูดต่อหน้าจางเหวินอู่ ว่าให้ผู้ช่วยไปแจ้งคณาจารย์ที่ตรวจสอบผลงาน ว่าตรวจสอบแล้วให้ส่งผลงานที่ยอดเยี่ยมมากพอมา

หลังจากที่ผู้ช่วยออกไป

จางเหวินอู่ก็เปลี่ยนไปอยู่ในท่าทีสบายยิ่งกว่าเดิม “หรือไม่พวกเราก็อย่านั่งเฉยๆ เลย พอดีผมเอาผลงานที่ดีที่สุดของนักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยเรามา หลังจากที่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงได้ฟังเพลงนี้แล้ว ก็เซ็นสัญญากับนักศึกษาคนนั้นทันที พวกคุณจะลองฟังมั้ยครับ”

ซือเฉิงตอบ “แน่นอนอยู่แล้วครับ”

เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเป็นผลงานแบบไหน ถึงทำให้เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงตกลงเซ็นสัญญาตรงนั้นเลย

จางเหวินอู่ส่งเพลงให้ซือเฉิงและคณาจารย์สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ทุกคนต่างหยิบหูฟังขึ้นมาสวมเพื่อฟังเพลง

จางเหวินอู่ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาฉายแววได้ใจอย่างไม่อาจปิดบัง

ไม่ผิดหรอก!

เขามาในวันนี้เพราะอยากหาเรื่องในอาณาเขตวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสักหน่อย

ไหนเลยจะยอมให้วิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้ทรัพยากรด้านการศึกษาระดับสูงไปทุกปี

ศักยภาพโดยภาพรวมของตงอี้ไม่ได้ด้อยกว่าฉินอี้เท่าไหร่หรอกน่า!

เมื่อฟังเพลงจบ ซือเฉิงก็เงียบกริบ

ศาสตราจารย์วิทยาลัยศิลปะฉินโจวด้านหลังของซือเฉิงก็ตกตะลึงเช่นกัน

นี่เป็นผลงานที่เด็กปีสองเขียนออกมาอย่างนั้นเรอะ

หนังตาของซือเฉิงกระตุก กัดฟันพูดออกไป “ไม่เลวเลยครับ มิน่าล่ะถึงเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง”

จางเหวินอู่มองไปยังศาสตราจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

ศาสตราจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทำได้เพียงกล่าวว่า “เป็นเพลงที่ดีจริงๆ ครับ”

ทุกคนล้วนเป็นบุคลากรในสายอาชีพ ไม่มีทางฝืนความรู้สึกแล้วตอบไปว่าเพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ดีหรอก แต่เมื่อพิจารณาถึงบรรยากาศการแข่งขันของทั้งสองสถาบันแล้ว ในใจก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่

“ฮ่าๆ”

จางเหวินอู่กับคณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงหัวเราะออกมา “ศาสตราจารย์ซือลองเดาดูสิครับว่านักศึกษาที่เขียนเพลงนี้คือใคร”

ซือเฉิงชะงักไป “ผมรู้จักด้วยเหรอ”

จางเหวินอู่พูด “โจวอวี๋ พอจะคุ้นหูบ้างมั้ยล่ะครับ”

ซือเฉิงสีหน้าดำทะมึนทันใด

เขารู้จักโจวอวี๋คนนี้

โจวเหวินพ่อของโจวอวี๋ เป็นพ่อเพลงตัวท็อปของฉินโจว เกิดมาในวงการดนตรี!

พ่อเป็นพยัคฆ์ ลูกไม่มีทางเป็นสุนัขไปได้

ได้รับการชี้แนะจากบิดา โจวอวี๋เป็นที่รู้จักจากพรสวรรค์ด้านประพันธ์เพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนมัธยมปลายปีสามก็ปล่อยผลงานดังชิ้นหนึ่ง

หลังจากนั้น

โจวอวี๋ก็สอบเกาเข่าได้เป็นอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงความอัจฉริยะสะเทือนวงการ ทุกสถาบันในฉินโจวล้วนยื่นข้อเสนอให้โจวอวี๋

แต่ผลคือ

โจวอวี๋กลับเลือกไปวิทยาลัยศิลปะฉินตง

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะสถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งในฉินโจว ในตอนนั้นเสียหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว นึกไม่ถึงว่าจนกระทั่งทุกวันนี้ ฝีมือด้านการประพันธ์เพลงของโจวอวี๋ จะรุดหน้าไปถึงระดับนี้แล้ว!

ถ้าหากจางเหวินอู่เพียงแค่อวดเบ่งผลงานอันยอดเยี่ยมของวิทยาลัยพวกเขา ซือเฉิงยังจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บใจเท่าไหร่

แต่ผลงานชิ้นนี้โจวอวี๋เป็นคนเขียน ซือเฉิงปวดใจเหลือเกิน

นักเรียนชั้นยอดเช่นนี้ ตอนนั้นวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกัน

จางเหวินอู่พึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของซือเฉิงมาก เขาสัพยอก “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเต็มไปด้วยผู้มากพรสวรรค์ คิดดูแล้วต้องมีนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมกว่าโจวอวี๋อย่างแน่นอน ตอนนี้ผมคาดหวังมากเลยละครับ!”

คาดหวังบ้านเอ็งน่ะสิ!

โจวอวี๋เจ้าเด็กปีศาจเอ๊ย!

วิทยาลัยฉันใครจะไปสู้ได้

ซือเฉิงค่อนข้างรู้จักนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงในวิทยาลัย ในใจของเขารู้ดีว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปัจจุบันนี้ไม่มี

นักศึกษาที่โดดเด่นกว่าโจวอวี๋

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้

บางทีหลังจากนี้อาจต้องรอให้เหล่านักศึกษาเติบโตขึ้น ไม่แน่ว่าอาจมีนักศึกษาที่พอจะเทียบเคียงกับโจวอวี๋ได้ล่ะมั้ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่อัจฉริยะทุกคนที่จะเฉิดฉายในช่วงมหาวิทยาลัย

ในตอนนั้นเอง

ผู้ช่วยของซือเฉิงก็ส่งเพลงมา “นี่เป็นผลงานของเหยียนเมิ่งเจียเซคห้า อาจารย์ให้คะแนนมากที่สุดในตอนนี้ครับ”

จางเหวินอู่พูด “ผมขอฟังได้มั้ยครับ”

ซือเฉิงไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงส่งเพลงให้ทุกคนฟัง

หลังจากที่ฟังจบ จางเหวินอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลย!”

ไม่เลวจริงๆ!

เหยียนเมิ่งเจียความสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงปีสอง เพลงที่เธอเขียนนั้นโดดเด่น ถึงขั้นมีคุณสมบัติมากพอให้ปล่อยได้เลย!

แต่เห็นได้ชัด

เมื่อนำผลงานเช่นนี้มาเทียบกับเพลงนั้นของโจวอวี๋ ก็ยังคงต่างชั้นกันไม่น้อย ดังนั้นคำชมของจางเหวินอู่ไม่เพียงไม่ได้ทำให้ซือเฉิงดีใจ แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนเอามีดมาปักอกเขาเสียมากกว่า

“ยังมีอีกไหม”

เสียงของซือเฉิงแฝงด้วยอารมณ์อ่อนไหว

ผู้ช่วยพยักหน้าว่าเข้าใจ เดินออกไปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเขาเองรู้อยู่เต็มอกว่า ศาสตราจารย์ซือไม่พอใจแล้ว

ไม่นาน

ก็มีเพลงส่งมาอีกหลายเพลง ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานที่ค่อนข้างโดดเด่น ทุกครั้งที่จางเหวินอู่ฟังก็แสดงการยอมรับ แต่ท่าทีก็ยังเหมือนเดิม

สู้โจวอวี๋ไม่ได้!

เป็นถึงนักศึกษาปีสองของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจว แต่ถูกโจวอวี๋จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงกดหัวจนเงยหน้าไม่ขึ้น

“เฮ้อ”

หลังจากที่จางเหวินอู่เล่นใหญ่ไปหลายรอบ จู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา “ศาสตราจารย์ซือทำไมต้องซ่อนของดีเอา ไว้ด้วยล่ะ ผมยอมรับนะว่าเพลงเมื่อกี้เขียนได้ไม่เลวเลย แต่ผมเชื่อว่าด้วยความสามารถของสถาบันศิลปะอันดับหนึ่งอย่างวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ต้องยังมีเพลงที่ดีกว่านี้ที่ยังไม่ได้หยิบออกมาแน่!”

ไว้หน้ากันหน่อยไม่ได้หรือไง

แดกดันแต่ไม่ตบหน้าฉาด ต่อไปจะได้มองหน้ากันติด!

ซือเฉิงกลอกตาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าวันนี้ฉันไม่มีเพลงที่ดีกว่าเพลงนั้นของโจวอวี๋ ฉันจะต้องยอมรับว่าฝีมือของสาขาประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสู้วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้หรือไง

“จริงด้วยครับ”

อาจารย์วิทยาลัยศิลปะฉินตงที่มาพร้อมกับจางเหวินอู่ก็เอ่ยขึ้น “เพลงพวกนี้ดีก็ดีอยู่หรอก แต่เทียบกับโจวอวี๋แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังห่างกันอยู่”

“ฉันล่ะไม่อยากเชื่อเลยว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะมีฝีมือแค่นี้”

“ต้องซ่อนมือสังหารเอาไว้แน่”

“ศาสตราจารย์ซือคุณนำออกมาให้เราดูหน่อยเถอะ”

“ทรัพยากรแต่ละปีของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว คิดเป็นสองเท่าของวิทยาลัยศิลปะฉินตง เมื่อเทียบกับวิทยาลัยศิลปะฉินโจวแล้ว วิทยาลัยศิลปะฉินตงลำบากกว่ามาก ห้องเปียโนของวิทยาลัยมีแค่ไม่กี่ห้อง อุปกรณ์สาธารณะที่นักศึกษาต้องใช้ก็ต้องลงชื่อต่อคิวกัน”

“…”

ซือเฉิงทำได้เพียงเรียกผู้ช่วยมา “ให้พวกเขาตรวจเร็วหน่อย ส่งเพลงมาอีก มิตรสหายจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงยังรออยู่”

“ได้ครับ”

ผู้ช่วยรีบเร่งฝีเท้า

คณาจารย์ที่รับผิดชอบตรวจผลงานของนักศึกษาเข้าใจสถานการณ์ที่ซือเฉิงกำลังเผชิญหน้าอยู่ ในครั้งนี้วิทยาลัยศิลปะฉินตงมาด้วยเจตนาหาเรื่อง

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะแพ้ไม่ได้!

เรื่องนี้จะมองอย่างไรก็เป็นปัญหาของหน้าตาสถาบัน

แต่วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น จงใจรุดมาถึงที่เพียงเพื่ออวดเบ่ง

ถ้าหากวิทยาลัยศิลปะฉินตงกลับไปป่าวประกาศว่าสาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสู้พวกเขาไม่ได้ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง

จำต้องโต้กลับ

แต่ปัญหาก็คือ ผลงานที่วิทยาลัยศิลปะฉิงตงแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด เพลงที่เปิดให้ฟังเมื่อครู่แทบหมดความน่าสนใจไปเลย

ทุกคนตรวจผลงานไปเกินครึ่งแล้ว

หลังจากนี้จะมีผลงานที่พอให้นำมาตอบโต้ได้ไหม

บรรดาอาจารย์สาขาการประพันธ์เพลง ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย

“จริงสิ”

จางเหวินอู่พูดกับซือเฉิงอย่างยิ้มแย้ม “เพลงนี้ของโจวอวี๋อาจได้ปล่อยอย่างเป็นทางการในอีกไม่ช้า คนขับร้องก็เลือกเรียบร้อยแล้วด้วยครับ ได้ยินว่าเป็นเฉินจื้ออวี่นักร้องแถวหน้าของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง”

ซือเฉิงฝืนยิ้ม “ยินดีด้วยนะครับ”

ถึงขั้นไปถูกตาต้องใจนักร้องแถวหน้าเข้า เห็นได้ชัดว่าเพลงนี้ของโจวอวี๋ยอดเยี่ยมจริงๆ

จางเหวินอู่ยักไหล่ “ได้ยินว่าช่วงนี้มีแต่คนมาเสนอเพลงให้เฉินจื้ออวี่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเพลงถูกใจเลย ปรากฏว่าฟังเพลงของโจวอวี๋แล้วก็ตัดสินใจร้องเพลงตรงนั้นเลย และสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ น้อยนักที่นักร้องแถวหน้าอย่างเฉินจื้ออวี่จะเลือกผลงานของหน้าใหม่…”

อวดเบ่งจังเลยฟระ ตะบี้ตะบันอวดเบ่งเข้าไป

ซือเฉิงพลันรู้สึกว่าโซฟาที่นั่งอยู่นั้นแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ปรับท่านั่งอยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกสบายสักเท่าไหร่ แต่เขาสงสัยยิ่งกว่าว่าคงจะเป็นเพราะจางเหวินอู่นั่งข้างๆ ถึงทำให้เข้าอึดอัดได้ขนาดนี้

ในตอนนั้นเอง

ไกลออกไปก็มีเสียงดังขึ้นฉับพลัน

ซือเฉิงซึ่งเดิมทีหัวเสียอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด “โหวกเหวกอะไรกัน จะให้แขกเขาหัวเราะเยาะหรือไง”

ศาสตราจารย์ซือพูดอย่างมีนัยยะนี่นา

จางเหวินอู่เองก็ฟังออก แต่ก็ไม่ได้มีโทสะ เพียงแต่โบกมืออย่างใจกว้าง “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องโมโห”

“คือว่าทางนั้นมีเพลงหนึ่ง อาจารย์กำลังปรึกษากันอยู่ครับ”

ผู้ช่วยรีบวิ่งเข้ามากระซิบอธิบาย

จางเหวินอู่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว “มีเพลงมาสักทีนะครับ ผมว่าแล้วเชียว สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวใหญ่ซะขนาดนี้ จะไม่มีเพลงดีๆ ที่จะหยิบออกมาได้เลยหรือไง”

ซือเฉิงไม่ได้ตอบ

เขาหวังให้จางเหวินอู่กับพรรคพวกรีบออกไป เพราะต่อไปจะหยิบเพลงอะไรออกมาก็ไร้ประโยชน์ เอามาวางประจันหน้ากับผลงานของโจวอวี๋ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้า

“ลองฟังดูก่อนสิครับ”

จางเหวินอู่ยิ้มเอ่ย “พี่ซือคงไม่ได้ขี้งกหรอกใช่ไหม พวกเราสองคนสนิทกัน ใช่มั้ยครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว…”

ซือเฉิงลอบกลอกตาใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว กัดฟันกรอด “ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไปเอาเพลงมา”

ผู้ช่วยตอบรับ ไม่นานก็ส่งเพลงมา ขณะเดียวกันก็กระซิบอธิบายประโยคหนึ่ง “ผลงานของหลินเยวียนเซคห้าสาขาการประพันธ์เพลงครับ”

“หลินเยวียน?”

ซือเฉิงแอบทอดถอนใจ

สาขาการประพันธ์เพลงมีนักศึกษาคนไหนที่ฝีมือไม่เลว เขาย่อมจำได้ ส่วนชื่อหลินเยวียนนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

ในเมื่ออาจารย์ชื่นชม ก็น่าจะเป็นเพราะหลินเยวียนคนนี้ทำผลงานได้เหนือกว่าปกติ

ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี

ทว่าในวันนี้ ซือเฉิงกลับดีใจไม่ออก

นักศึกษาที่พรสวรรค์มีจำกัด ต่อให้ทำดีเกินกว่าปกติ ก็คงไปเทียบเคียงกับโจวอวี๋ไม่ได้

จางเหวินอู่เลิกคิ้ว “ดูเหมือนคุณจะไม่มั่นใจในนักศึกษาของตัวเองนะครับ”

ซือเฉิงเหลือบมองอีกฝ่าย “ผมเชื่อมั่นในนักศึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทุกคนอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าของวิทยาลัยเรา!”

ประโยคนี้ ซือเฉิงพูดออกมาจากใจจริง!

เขาไม่มีทางกล่าวโทษนักศึกษาเพียงเพราะพวกเขาเขียนเพลงที่ดีกว่าโจวอวี๋ไม่ได้ เรื่องในอนาคตไม่มีใครบอกได้ การช้าว่าเพียงช่วงหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะช้ากว่าไปตลอดชีวิต!

“งั้นก็ดี”

จางเหวินอู่ไม่ได้ยั่วยุซือเฉิงอีก ถ้าหากยั่วยุมากกว่านี้ ซือเฉิงกับเขาอาจแตกหักได้ และนั่นก็มากเกินไป

“ฟังเพลง ฟังเพลงกันครับ”

อาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเข้ามาประนีประนอม

จางเหวินอู่พยักหน้า สวมหูฟังและเริ่มฟังเพลง สีหน้าของเขาผ่อนคลาย เขาไม่คิดว่าจะมีผลงานของใครที่เหนือกว่าโจวอวี๋แล้ว

ซือเฉิงและคณาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเองก็สวมหูฟัง แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แลดูหนักอึ้งอยู่สักหน่อย

ในหูฟัง

เสียงเพลงก็ดังขึ้นแล้ว

ท่วงทำนองเป็นธรรมชาติ เสียงบีตชัดเจน ค่อยๆ ส่งช่วงอินโทรจากความรู้สึกอึดอัดเป็นฮึกเหิม ทำให้ได้ยินเนื้อร้องชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค

“เพลงนี้…”

ขณะที่อารมณ์ในท่วงทำนองเพิ่มขึ้น อาจารย์ด้านข้างของซือเฉิงก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง ทุกคนต่างสบตากัน มองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของกันและกัน

ขณะเดียวกันนั้นเอง

รอยยิ้มของจางเหวินอู่ก็ค่อยๆ เลือนไป

เสียงเพลงในหูฟังยังคงดำเนินต่อไป ท่วงทำนองต่อเนื่องสอดประสานเข้าด้วยกัน ถึงขั้นทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากเคาะจังหวะตามไปด้วย

ทันใดนั้นเขาก็ขยับก้นอย่างไม่เป็นสุข

รู้สึกว่าโซฟาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั่งแล้วแข็งแปลกๆ?

ในหูฟัง บทเพลงดำเนินมาถึงท่วงทำนองในท่อนคอรัส การงับคำของเนื้อเพลงยังคงชัดเจน ทุกคำประหนึ่งลูกกระสุนยิงตรงเข้าทะลวงหัวใจของจางเหวินอู่เป็นโพรงใหญ่

ส่งต่ออย่างตื่นเต้น เปลี่ยนผ่านอย่างสมบูรณ์แบบ!

ซือเฉิงอ้าปากค้าง ในดวงตาประกายวับด้วยความตะลึง ในห้วงสำนึกปรากฏคำชมเชยนับไม่ถ้วน แทบอดรนทนไม่ไหวกล่าวยกย่องเสียตรงนั้น!

และคณาจารย์ทั้งสองข้าง ถึงขั้นที่มีคนฟังแล้วอดลุกขึ้นมาขยับแข้งขาอย่างประดักประเดิด

อันที่จริงเพลงนี้มีความยาวทั้งหมดสี่นาที

ท่อนเวิร์ส ท่อนคอรัส วนซ้ำหนึ่งรอบ เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป

ทว่าเพราะต้องเผชิญหน้ากับรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นนี้ กลับทำให้จางเหวินอู่รู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าสี่นาทีนี้แสนยืดยาว ถึงกับที่เขาค่อยๆ รู้สึกว่าโซฟาใต้ก้นของตนนั้นแข็งขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไม่ใช้โซฟาที่นุ่มหน่อยฟระ!

ไม่เพียงจางเหวินอู่ ในตอนนี้คณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงฟังเพลงไป ก็รู้สึกลนลานเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นยืนหรอก

เมื่อตั้งสติได้ว่าไม่เหมาะสมจึงรีบนั่งลง

ผ่านไปสี่นาที

ทุกคนฟังเพลงจบแล้ว

บริเวณนั้นก็พลันเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด จนแทบได้ยินเข็มตก ไม่รู้ว่าทุกคนกำลังหวนระลึกถึงเพลงอย่างอ้อยอิ่ง หรือว่ากำลังนึกถึงเรื่องอื่น สรุปแล้วไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใด

จางเหวินอู่กลับอยากพูดออกมา

แต่อ้าปากพะงาบ กลับรู้สึกว่าลำคอคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำให้พูดอะไรไม่ออก

ความรู้สึกนี้ทรมานเหลือเกิน

ตามหลักแล้ว ในตอนนี้ซือเฉิงควรพูดออกมา ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ถูกกวนโทสะซะเจ็บแสบ

ทว่าซือเฉิงเองก็ยังไม่ได้สติกลับมาครบนัก ในสมองแทบจะเต็มไปด้วยความฝันแรก จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที เขาถึงหยิกหน้าขาของตนอย่างแรง ความเจ็บปลาบทำให้เขาได้สติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์

แม่เจ้าโว้ย!

นี่มันเพลงอะไรเนี่ย!

โหดกว่าโจวอวี๋อีก!

หลินเยวียนอยู่วิทยาลัยเราหรือ

ทำไมเมื่อก่อนไม่ยักเคยได้ยินชื่อเขา!

ยามนี้ในใจของซือเฉิงลำพองขึ้นมาแล้ว!

เขาข่มกลั้นความบ้าคลั่งในหัวใจ พยายามวางท่าเยือกเย็น น่าเสียดายที่เสียงกลับสั่นเครือ “เพลงนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนจะใช้ได้นะครับ”

“ศาสตราจารย์จางคิดเห็นว่าอย่างไรครับ”

“เทียบกับโจวอวี๋แล้วเป็นอย่างไรคะ”

“ผมรู้สึกว่าเหมือนจะด้อยกว่าโจวอวี๋อยู่สักหน่อยนะ”

“นั่นสินะคะ เพลงของโจวอวี๋ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“วิทยาลัยศิลปะฉินตงลำพังโจวอวี๋คนเดียวก็ทำเอาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวพูดไม่ออกเลย ศาสตราจารย์จางมีนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ น่าปลื้มใจมากเลยนะคะเนี่ย”

“…”

ก่อนหน้านี้จางเหวินอู่กล่าววาจาประชดประชันเหน็บแนมไปกองโต ตอนนี้บรรดาอาจารย์ฝั่งวิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้ทีก็ทำบ้าง ลูกรับลูกคู่พูดต่อกันไป ชักธงรบเริ่มการโต้กลับ

เทียบกับโจวอวี๋?

ขอโทษด้วยนะ ไม่ได้ดูถูกโจวอวี๋ แต่เพลงนี้ของหลินเยวียนโหดกว่าเพลงนั้นของโจวอวี๋จริงๆ!

“ไม่เลว…ไม่เลว…”

จางเหวินอู่พลันสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ

อาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงรอบตัวเขา ถ้าไม่เงยหน้ามองเพดาน ก็ก้มหน้ามองพื้น ราวกับค้นพบสิ่งมีชีวิตน่าสนใจอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงกระแอมออกมาเป็นบางครั้งบางคราว

บรรยากาศกระอักกระอ่วนเหลือเกิน

จางเหวินอู่อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เขาฝืนยิ้มลุกขึ้นยืน พร้อมกล่าวว่า “พี่ชาย ทางผมอยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ เหมือนว่าจะมีงานยังจัดการไม่เสร็จน่ะครับ”

“งั้นเหรอครับ”

ซือเฉิงเองก็ลุกขึ้น เหยียดหลังตรง ทั้งที่ส่วนสูงเทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับยืนตระหง่านด้วยท่าทางราวขุนเขาขนาดย่อม “ศาสตราจารย์จางไม่วิจารณ์ต่ออีกหน่อยเหรอครับ”

“รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนครับ!”

จางเหวินอู่พาคณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงเดินออกไป ทว่าซือเฉิงและคนอื่นๆ เห็นว่า มือขวาด้านหลังของเขาแอบยกนิ้วโป้งขึ้นมา

ท้ายที่สุดเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของวิทยาลัยศิลปะฉินตง!

………………………………………………….

เช้าตรู่วันต่อมา

หลินเยวียนพาพี่สาวลงมากินอาหารเช้า

เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ พี่สาวกำลังจะไปจ่ายเงิน คุณป้าที่เก็บเงินรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องๆ”

“หา?”

ช่วงนี้ฉันเจอแต่เรื่องอะไรเนี่ย

มาที่ร้านอาหารเช้าก็สแกนใบหน้าได้เลย?

ฉันคงเป็นตัวเอกของโลกใบนี้จริงๆ ล่ะมั้ง

และเมืองซูก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประจักษ์ในความรุ่งโรจน์ของฉัน?

คุณป้ามองหลินเยวียน ทำลายความเพ้อฝันของหลินเซวียนด้วยประโยคเดียว “คุณมีความสัมพันธ์กับท่านนี้ยังไง คะ”

หลินเซวียนชะงัก ตอบว่า “เขาเป็นน้องชายฉันค่ะ”

คุณป้ายิ้มกล่าว “พี่น้องแท้ๆ หรือคะ ใช่แหละ ถึงยังไงพวกเธอก็หน้าเหมือนกันขนาดนี้ ยีนบ้านพวกเธอดีจังเลย ไม่เป็นไร พวกเธอมากินข้าวเช้าที่นี่ไม่ต้องจ่ายเงิน”

หลินเซวียน “???”

หลินเยวียนพูด ‘ขอบคุณครับ’ ก่อนพาพี่สาวเดินออกมา

หลินเซวียนสับสน “นายจ่ายเงินค่าอาหารเช้าครั้งเดียวแล้วกินได้ทั้งปีหรือไง”

หลินเยวียนส่ายหน้า “เจ้าของร้านอาหารเช้าเป็นเพื่อนผม”

หลินเซวียนตกใจ “บังเอิญจังเลย ร้านอาหารเช้าของเพื่อนนายมาเปิดอยู่ด้านล่างไม่ไกลจากที่พักนายพอดี”

หลินเยวียนพูด “ใช่ ช่วงเที่ยงพี่พักแล้วส่งข้อความมานะ พวกเราไปกินซี่โครงกัน เพื่อนผมคนนี้จะเลี้ยง”

“กินซี่โครงจริงเหรอ ได้สิ พี่เองก็จะได้รู้จักเพื่อนใหม่นายไปด้วย เรียกพวกเจี่ยนอี้มาด้วยเลยสิ ไม่ได้เจอนานแล้ว”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

พี่สาวกำลังจะเรียกรถไปบริษัท

หลินเยวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “พี่มีใบขับขี่ไม่ใช่เหรอ ซื้อรถสักคันสิ”

หลินเซวียนถอนหายใจ “นายคงไม่ได้จะออกเงินให้หรอกใช่มั้ย ซื้อรถดีกว่าเรียกรถตรงไหนล่ะ”

“สะดวกกว่า” หลินเยวียนตอบ

หลินเซวียนมาคิดๆ ดูก็จริง ต่อไปน้องชายน้องสาวอยู่ที่เมืองซูกันหมด มีรถสักคันก็สะดวกดี

“งั้นเอาไว้พี่จะไปซื้อ นายชอบรถแบบไหนล่ะ”

หลินเยวียนหยุดคิด “พี่ขาดเงินหรือเปล่า”

ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องรถ แต่ซื้อรถน่าจะใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว

หลินเซวียน “…”

ประโยคนี้เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนนะ?

นี่คือวิธีที่น้องชายใช้แสดงความรัก?

หลินเยวียนไม่ทันรอให้พี่สาวตอบ ก็โอนเงินห้าแสนหยวนไปทันที มีแค่ในช่วงเวลาแบบนี้ที่เขาใจกว้างจนน่าตกใจ

ห้าแสน?

หลินเซวียนมองการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ แทบถูกเงินของหลินเยวียนหล่นลงมากระแทกจนมึนงง ถ้าไม่ใช่น้องชาย เธอต้องตอบแทนด้วยร่างกายเลยไหม

และไม่รู้ว่าต่อไปจะไปถูกสาวที่ไหนหลอกให้เปย์หรือเปล่า

ถ้าคิดไม่ซื่อละก็ คอยดูถ้ามาหนึ่งคนฉันจะทุบหนึ่งคน มาสองคนฉันก็ทุบสองคน

ไม่มีใครรอดตาทิพย์ของฉันไปได้หรอก!

……

ผ่านไปไม่นาน

หลินเยวียนก็เดินมาถึงวิทยาลัย

ในใจของเขานึกลังเล

เขากำลังขบคิดเรื่องที่ปีหน้าจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว

ในตอนนี้พี่สาวมาอยู่ที่เมืองซูแล้ว น้องสาวก็น่าจะใกล้มาแล้วเหมือนกัน ตนมั่นใจหรือว่าปีหน้าจะไป

ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน

เขามุ่งหน้าไปยังห้องเรียน

ระหว่างทางก็ส่งข้อความหาซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ บอกพวกเขาว่าพี่สาวของตนมาทำงานที่เมืองซูแล้ว และนัดกินมื้อเที่ยงของวันนี้ด้วย

ทั้งสองคนตอบรับด้วยความยินดี

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานชอบพี่สาวของหลินเยวียนมาก ตอนเด็กๆ หลินเซวียนเคยพาพวกเขาไปเล่นที่ร้านเกมด้วย

ตอนนั้นทุกคนล้วนเป็นมือฉมังในการเล่นเกม น่าเสียดายที่ตอนหลังถูกผู้ปกครองพากลับบ้าน

มาถึงห้องเรียนแล้ว

วิชาแรกเป็นวิชาสาขาของหวาลี่อาจารย์ที่ปรึกษา หลินเยวียนยังคงตั้งใจเรียนเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่ในเมื่อวิชา เรียนจบลง หวาลี่ก็ประกาศเรื่องหนึ่ง “การประเมินประจำปีการศึกษาของพวกเธอ พรุ่งนี้วิทยาลัยจะเริ่มตรวจอย่างเป็นทางการ ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี”

ในชั้นเรียน

ชั่วขณะนั้นทุกคนพลันตกประหม่าขึ้นมา การประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหนคงไม่ต้องอธิบาย ด้วยเหตุนี้ทุกคนถึงพยายายามกันมาก และย่อมคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่ดี

“ไม่ต้องกังวลกันเกินไป”

หวาลี่บอกด้วยรอยยิ้ม “อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกเธอ พรุ่งนี้จะมีผู้ใหญ่จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมชม ความสะอาดเรียบร้อยของห้องเรียนต้องจัดการให้ดี อย่าให้มีผิดพลาดเรื่องระเบียบวินัย เช่นการโดดเรียนอะไรทำนองนั้น ถ้าถูกจับได้จะแย่ ห้ามทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าวิทยาลัยศิลปะฉินตงเป็นอันขาด”

“ครับ/ค่ะ!”

นักศึกษารีบเอ่ยตอบ

วิทยาลัยศิลปะฉินตงและวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นคู่แข่งกัน ผู้ใหญ่จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมเยียน นักศึกษาย่อมไม่มีทางเหลวไหล เพราะเรื่องนี้มีผลไปถึงปัญหาเรื่องหน้าตาของสถาบัน ทุกครั้งที่มีสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนจะรู้หน้าที่กันเป็นพิเศษ

……

ช่วงเที่ยงวัน

ในตอนนี้รถของซุนเย่าหั่วจอดอยู่หน้าประตูวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

หลินเยวียนแนะนำกับเจี่ยนอี้ “นี่คือรุ่นพี่ซุนเย่าหั่ว”

เจี่ยนอี้เอ่ยทักทาย “สวัสดีครับรุ่นพี่ ผมชื่อเจี่ยนอี้ เป็นเพื่อนสนิทหลินเยวียน”

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “สวัสดี ขึ้นรถเถอะ”

ทันทีที่ขึ้นรถมาซย่าฝานก็แดกดัน “รุ่นพี่เย่าหั่ว เรื่องที่หลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงเลยว่าพี่จะปิดบังพวกเรามาตลอด!”

ซย่าฝานไม่ต้องให้หลินเยวียนแนะนำ เพราะเธอรู้จักกับซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหั่วมองหลินเยวียน เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนยังนิ่งเฉย ก็แค่นหัวเราะพลางเปลี่ยนบทสนทนา “ฉันก็ทำอะไรแบบเงียบๆ ไง วันนี้จะกินซี่โครงใช่มั้ย ฉันหาร้านที่ทำซี่โครงได้สุดยอดมากๆ เจอร้านหนึ่ง!”

“ซู้ด”

ซย่าฝานถูกเบนความสนใจได้สำเร็จ

ผ่านไปยี่สิบกว่านาที ทุกคนก็ถึงที่ร้านอาหาร หลินเยวียนพบว่าพี่สาวมาถึงแล้ว กำลังเอ่ยทักทายจากระยะไกล

“ไม่เจอกันนานเลย”

หลินเซวียนกับเจี่ยนอี้และซย่าฝานทักทายกัน

ซย่าฝานเดินเข้าไปกอดหลินเซวียน เจี่ยนอี้ที่มองอยู่เกือบทนไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้

ตอนเด็กๆ เขาเคยถูกหลินเซวียนรังแก

แต่เขาก็ยังพูดอย่างยิ้มร่า “พี่สวยขึ้นทุกวันเลยนะเนี่ย”

หลินเซวียนตอบ “กะล่อนมาก นายอย่าพาหลินเยวียนเสียคนเชียวนะ”

เจี่ยนอี้ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก

จากนั้นหลินเยวียนก็แนะนำให้ซุนเย่าหั่วรู้จักกับหลินเซวียน

หลังจากต่างคนต่างทักทายกันแล้ว ทุกคนก็นั่งประจำที่

ซย่าฝานสนิทกับหลินเซวียนมาก พูดคุยกับเธอไม่หยุด “ต่อไปพี่จะมาทำงานที่เมืองซูใช่มั้ย”

หลินเซวียนยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วละ ต่อไปพี่จะคอยดูแลพวกเราให้มากๆ”

“ไว้วันหลังไปกินหม้อไฟกัน ไม่ได้กินหม้อไฟกับพี่มานานแล้ว จำได้ว่าตอนเด็กๆ ความฝันของพี่คือกิน หม้อไฟทุกวัน!”

หลินเซวียนกระแอม “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดออกมาหรอก ฉันยังไม่พูดเลยว่าตอนที่เธอกังวลก็จะ…”

ซย่าฝานรีบยกมือยอมแพ้

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้แสร้งไม่รู้ไม่ชี้

ซุนเย่าหั่วลอบพิมพ์ในสมุดบันทึกบนโทรศัพท์ นี่คือบันทึกอันล้ำค่าของเขา

‘32. หลังจากนี้พี่สาวของเซี่ยนอวี๋จะมาทำงานที่เมืองซู เจ้าแม่ชอบกินหม้อไฟ (ต่อไปลองเปิดร้านหม้อไฟ)’

ในสมุดบันทึกเขียนข้อมูลไว้หลายบรรทัด

1. เซี่ยนอวี๋ชอบกินขาหมู (ไม่หวานเกินไป)

2. เซี่ยนอวี๋ไม่มีเรียนช่วงบ่ายวันพุธ (นัดกินข้าวได้)

3. เซี่ยนอวี๋ชอบน้ำสตรอว์เบอร์รีกับน้ำส้ม ชานมไม่ใส่ไข่มุก (ร้านชานมต้องทำเซ็ตพิเศษ)

4. เซี่ยนอวี๋กินอาหารเช้าไม่เยอะ ทุกวันต้องกินขนมปังหนึ่งชิ้นกับน้ำเต้าหู้ (บางครั้งน้ำเต้าหู้ก็เปลี่ยนเป็นเต้าฮวยต้มเค็ม ฉันเลยตัดสินใจว่าจะแปรพักตร์จากเต้าฮวยหวานไปอยู่พรรคเต้าฮวยเค็ม)

5. วันที่ฝนตกต้องไปรับเซี่ยนอวี๋ไปเรียน

6. ฤดูร้อนเซียนอวี๋ชอบอุณหภูมิรถที่ 25 องศา

7. …

จนถึงตอนนี้ ในบันทึกมีทั้งหมด 32 ข้อแล้ว

มาคิดดู ซุนเย่าหั่วจึงเพิ่มไปอีกหนึ่งข้อ

33. ซย่าฝานกับเจี่ยนอี้เป็นเพื่อนสนิทของเซี่ยนอวี๋ ตอนที่เธอกังวลก็จะ (?)

มาคิดๆ ดูอีกที ซุนเย่าหั่วจึงลบคำว่า ‘กับเจี่ยนอี้ออก’

……

ในตอนนั้น พนักงานก็ยกอาหารมา

ทุกคนเห็นซี่โครงถูกยกมาแต่ละจานๆ สีหน้าก็ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

ซุนเย่าหั่วกลับเอ่ยแนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ “นี่คือน้ำแกงเห็ดหอมซี่โครง นี่คือมันฝรั่งตุ๋นซี่โครง เนื้อสับข้าวคั่วนี่ก็ใช้ซี่โครงทำ นี่คือซี่โครงเปรี้ยวหวาน ไม่รู้ว่าพวกนายจะชอบหรือเปล่า แล้วก็ยังมีซี่โครงน้ำแดง ทางนี้คือซี่โครงพริกเกลือ อันนี้คือซี่โครงชีสที่ดูมีลูกเล่นหน่อย ได้ยินว่าผู้หญิงชอบกิน…”

กิน…ซี่โครงจริงๆ?

ซุนเย่าหั่วมองไปยังหลินเยวียน “รุ่นน้องหลิน นายพอใจมั้ย ถ้าอยากได้อะไรอีกพวกเราสั่งเพิ่มได้เลย”

หลินเยวียนพูด “กินไม่หมดแล้วครับ”

เจี่ยนอี้บอก “ฉันห่อกลับบ้านได้นะ พวกเพื่อนที่หอฉันชอบกินซี่โครงสุดๆ เลย ได้มั้ยครับรุ่นพี่ซุน”

ซุนเย่าหั่วโบกมือ “ห่อกลับทำไม ให้พวกเขาทำเพิ่มอีกชุดไปเลย”

เจี่ยนอี้ “…”

นี่คือความบ้าบิ่นของรุ่นพี่ใช่มั้ยเนี่ย

ส่วนซย่าฝานกำหมัด “รุ่นพี่ ช่วยให้กำลังใจกับความฝันเป็นนักร้องของฉันด้วยนะ!”

“สู้ๆ!”

ซุนเย่าหั่วพูดจบ ก็หันไปมองหลินเซวียนด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “เจ้า…พี่สาวทางนี้ชอบกินอะไรครับ ที่จริงร้านนี้มีอาหารอย่างอื่นเยอะแยะเลย แต่ซี่โครงขึ้นชื่อที่สุด สั่งได้เลย!”

หลินเซวียน “…”

ร้านอาหารเช้า งานเลี้ยงซี่โครง รู้สึกว่ามีอะไรแปลกชอบกล

ทำไมภาพเหตุการณ์นี้ถึงเป็นเดจาวู

มองข้ามอะไรไปกันแน่นะ

หลังจากที่ล้างมือแล้วหลินเซวียนก็ขี้เกียจสวมถุงมือ หยิบซี่โครงชิ้นใหญ่ขึ้นมา กัดไปพลาง ขบคิดไปพลาง

………………………………………………………………

เป็นบรรณาธิการก็ชื่นชอบนิยายอยู่แล้ว

คนที่อ่านนิยาย ส่วนมากก็ชอบเพ้อฝันอยู่บ้าง

ยกตัวอย่าง ในนิยายของนักเขียนมักจะเน้นตัวละครที่หน้าตาหล่อเหลา จึงทำให้คนรู้สึกเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วม

นั่นก็คือความเพ้อฝัน

ช่วงเลิกงานในตอนเย็น หลินเซวียนพอจะสงบจิตสงบใจลงได้แล้ว ไม่คิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานาอีกต่อไป

เธอโทรศัพท์หาหลินเยวียนด้วยความดีใจ “น้องชาย นายเดาซิว่าพี่อยู่ที่ไหน!”

หลินเยวียนตอบ “เมืองซู”

หลินเซวียนอึ้งไปชั่วขณะ “นายรู้ได้ไง”

“ผมเดาเอา”

อันที่จริงหยางเฟิงบอกหลินเยวียนตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันแล้ว

หลินเซวียนไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ เธอเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ตอนนี้พี่ได้ทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้วล่ะ อีกไม่นานน่าจะได้เจอไอดอลของพี่แล้ว!”

หลินเยวียนชะงัก “ไอดอลพี่คือใคร”

พี่สาวรู้สึกแปลกใจ “นายควรจะถามพี่ว่าทำไมถึงได้ทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่ใช่เหรอ”

หลินเยวียน “…”

หลินเซวียนหัวเราะได้ใจ “นายต้องอยากรู้แน่เลยสินะ พี่ไม่ได้ถูกไล่ออก หลังจากที่หลิงชวนถูกเทคโอเวอร์ไป พี่กับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนก็มาทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู อาจเป็นเพราะบริษัทเห็นความสำคัญของความสามารถพี่ล่ะมั้ง”

หลินเยวียนตอบแบบขอไปที “เก่งมากๆ”

หลินเซวียนเปลี่ยนหัวข้อทันใด “อันที่จริงพี่สงสัยมากกว่าบ.ก.จะหลงเสน่ห์ความงามของพี่…”

“เขากล้าทำอย่างนั้นเหรอ!”

หลินเยวียนเสียงสูงขึ้นมาทันที

หลินเซวียนหัวเราะคิดคัก “ล้อเล่นหรอกน่า บอกความจริงมานะ นายหวงพี่ใช่มั้ยล่ะ ขอโทษทีนะ พี่ไม่หวงน้องชายหรอก หวงน้องสาวมากกว่า พี่รักเหยาเหยาที่สุดเลย!”

หลินเยวียน “…”

อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อย

หลินเซวียนพูดต่อ “ที่จริงพี่ก็ไม่รู้ว่าทำไม คลังหนังสือซิลเวอร์บลูดูแลพี่ดีมาก แต่ตอนนี้พี่อยู่เมืองซู ยังไม่ได้ลงหลักปักฐาน นายมีที่อยู่ใช่มั้ย”

คนในครอบครัวรู้ว่าหลินเยวียนออกไปอยู่ข้างนอก ตอนเดินเรื่องจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง

“มีครับ”

หลินเยวียนบอก “พี่ไม่ต้องไปเช่าห้อง หลังจากนี้พี่มาอยู่กับผมเลย ห้องหับมีพอ เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ให้”

“งั้นก็ได้ นายยังไม่ได้ถามพี่เลยว่าไอดอลของพี่คือใคร”

หลินเยวียนถาม “คือใครอะ”

พี่สาวกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉู่ขวง!”

หลินเยวียนชะงัก “พี่ไม่ได้เกลียดเขาเหรอ”

หลินเซวียนกระแอม “ก่อนหน้านี้ก็เข้าข้างบริษัท แต่ผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ฉู่ขวงเป็นไอดอลของพี่แล้ว บางทีอีกไม่ นาน พี่อาจจะได้ลายเซ็นจากเขา!”

หลินเยวียนครุ่นคิด “การบ้านของผมตอนเด็กๆ มีชื่อเซ็นอยู่ แม่น่าจะยังไม่ได้เก็บทิ้ง อยู่ที่บ้านหลังเก่าน่ะ”

“พี่จะเอาลายเซ็นนายไปทำอะไร ขายไม่ได้สักหน่อย”

“…พี่อยากได้ลายเซ็นเพราะจะเอาไปขาย?”

“ไม่งั้นจะเอาไปทำอะไร”

“ขายได้ราคาเหรอ” หลินเยวียนสนอกสนใจขึ้นมา

หลินเซวียนครุ่นคิด “พี่ว่าอีกหน่อยน่าจะได้ราคา”

หลินเยวียน “…”

อย่างนั้นฉันสอนวาดรูปต่อไปก็แล้วกัน

หลินเซวียนพูดอย่างผ่อนคลาย “แบบนี้ก็แล้วกัน พี่จะโทรไปหาแม่ บอกแม่เรื่องงานสักหน่อย แม่จะได้ไม่กังวล”

“อื้ม”

หลินเยวียนวางสาย ส่งที่อยู่ให้กับพี่สาว

สำหรับเรื่องที่พี่สาวได้เข้ามาทำงานในเมืองซู หลินเยวียนนั้นดีใจมาก

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูดีจริงๆ

นิยายสั้นเรื่องต่อไปตีพิมพ์กับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็แล้วกัน

จะให้เงินเท่าไหร่ก็เท่านั้น ติดสินบนพวกเขาเยอะหน่อย พวกเขาจะได้ดูแลพี่ดีๆ

ขณะเดียวกันนั้น

คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ในออฟฟิศบรรณาธิการบริหาร หลี่ว์เป่ยกำลังฟังเพลงอย่างเพลิดเพลินใจ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก

หลี่เป่ยพูด “เข้ามาได้”

หญิงสาวเดินเข้าประตูมา ก่อนจะค้อมกาย “ถ้าเป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากที่กระบี่เทพสังหารปล่อยออกไป แต่ละสำนักพิมพ์รวมไปถึงเฟลอริชก็จะมาหาอาจารย์ฉู่ขวง พวกเขาสืบข่าวไปทั่ว ดูท่าน่าจะอยากดึงตัวค่ะ แต่ฉันได้ปกปิดข้อมูลส่วนตัวของอาจารย์ฉู่ขวงตามที่ท่านสั่งแล้วค่ะ”

“อยากดึงตัวคนของฉันเหรอ ฝันไปเถอะ”

หลี่ว์เป่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก สีหน้ากลับไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย

หญิงสาวเอ่ยด้วยความวิตก “แต่ฉันจำเป็นต้องเตือนบ.ก.บริหารนะคะ ว่าจากวิธีการค้นหาของเขา การหาข้อมูลของอาจารย์ฉู่ขวงเป็นเพียงเรื่องของเวลา เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาอาจ…”

“วางใจเถอะ”

หลี่ว์เป่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง “ตอนนี้ต่อให้ส่งข้อมูลของฉู่ขวงให้พวกเขา ก็ยากที่พวกเขาจะดึงตัวเขาไป”

“ทำไมล่ะคะ”

“คุณไม่ต้องสนใจหรอก”

หลี่ว์เป่ยยิ้มตอบ “ต่อไปคุณไม่ต้องทำเรื่องนี้แล้ว กลับไปที่ฝ่ายบริหารได้เลย อีกอย่างในฝ่ายบริหารมีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นมา คุณเป็นเลขาอันดับหนึ่งของฝ่ายบริหาร ต้องดูแลคนเขาให้ดี นี่เป็นหน้าที่หลักของคุณหลังจากนี้”

“ได้ค่ะ”

หญิงสาวพยักหน้า แต่กลับนึกประหลาดใจ พนักงานใหม่จากไหนกัน บรรณาธิการบริหารถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้

……

หลินเซวียนเดินทางไปถึงที่พักของหลินเยวียน ดวงตาเบิกกว้างจ้องมอง “นี่คือบ้านที่นายเช่าอยู่เหรอ”

“ใช่”

หลินเยวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เขาติดต่อจ้าวเจวี๋ยเรียบร้อยแล้ว

จ้าวเจวี๋ยยังคงคุยง่ายเหมือนเดิม ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นพี่สาวของหลินเยวียน ก็บอกว่าหลินเซวียนอยากอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ได้เลย ถึงขนาดบอกว่าถ้าว่างจะไปเลี้ยงข้าวพี่สาวด้วย

“สวัสดีครับ คุณคือน้องชายของคุณหลินสินะครับ ผมชื่อจางเฉิง เป็นผู้ช่วยของคุณหลิน!”

ในขณะที่หลินเซวียนเดินเข้ามาในประตู ด้านหลังของหลินเซวียนก็มีหัวเหม่งโผล่ออกมา เอ่ยทักทายหลินเยวียน

จะเรียกว่าหัวเหม่งก็อาจไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายยังพอมีเส้นผมซึ่งยังคงยืดหยัดอย่างหาญกล้าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะถึงอย่างไรก็ไม่หลุด

“หัวหน้าบ.ก. คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอกค่ะ”

หลินเซวียนรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง นี่คือผู้ช่วยที่เธอเลือกมาในท้ายที่สุด

เขาคือจางเฉิงซึ่งทำงานเป็นหัวหน้าบรรณาธิการที่หลิงชวน

แต่ใช่ว่าเธอจงใจกลั่นแกล้งหัวหน้าบรรณาธิการเก่าของตน อันที่จริงคือในวันนี้ที่บรรณาธิการบริหารให้ตนเลือกผู้ช่วย จางเฉิงเองขยิบตาให้เธอ ยืนกรานจะเป็นผู้ช่วยของตนให้ได้

หลินเซวียนก็สิ้นหวังเหมือนกัน

อดีตหัวหน้าบรรณาธิการ กลายเป็นผู้ช่วยของตนในตอนนี้ รู้สึกทำตัวไม่ถูกเอาซะเลย

วันที่ที่มาบ้านน้องชายก็เหมือนกัน จางเฉินดึงดันว่าจะต้องมาส่งตนให้ได้ บอกว่าสัมภาระมีเยอะแยะเกินไป ตนเป็นเด็กผู้หญิงยกไม่ไหวรอก

หลินเซวียนทำได้เพียงตอบตกลง

หลินเยวียนยิ้มบาง “สวัสดีครับ”

จางเฉิงพยักหน้า เหลือบมองเข้าไปในห้อง เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะ คุณหลินมีเรื่องอะไรอย่าลืมเรียกผม”

“ค่ะ หัวหน้าบ.ก.กลับดีๆ นะคะ”

จางเฉิงโบกมือ “ไม่ต้องเรียกฉันว่าหัวหน้าบ.ก.หรอก เรียกฉันว่าจางเฉิงก็พอแล้ว เธอเรียกฉันว่าหัวหน้าบ.ก.ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู แล้วหัวหน้าบ.ก.ที่นั่นจะคิดยังไง”

หลินเซวียนจนปัญญา “งั้นฉันเรียกว่าเหล่าจางก็แล้วกันค่ะ ถึงยังไงเมื่อก่อนพวกเราก็แอบเรียกกันแบบนั้น”

จางเฉิง “…”

ใต้แสงจันทร์ จางเฉิงเดินจากไป

หลังจากที่เขาเดินออกมาจากตึก ฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นมา มุมปากยกยิ้ม

ตนเดาไม่ผิดจริงด้วย เบื้องหลังของหลินเซวียนต้องไม่ธรรมดา!

อย่างแรกคือพื้นที่เขตนี้ก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ น้องชายของเธอดูแล้วเป็นนักศึกษาธรรมดา ถึงกับอาศัยอยู่ในเขตนี้ได้ ถ้าไม่มีเบื้องหลังจะไปทำได้ยังไง

เมื่อมานึกๆ ดูแล้ว เมื่อก่อนหลินเซวียนอยู่ในบริษัท กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกับคนอื่นเพียงเพราะขาดไส้กรอกแฮมไปท่อนเดียว พลอยให้คนรู้สึกสะท้อนใจเสียจริง

นี่เรียกว่ากลมกลืนกับปุถุชนอย่างพวกเราเป็นหนึ่งเดียว!

หลังจากนี้ขอแค่ประคบประหงมเจ้าแม่ท่านนี้เป็นอย่างดี ตำแหน่งสักตำแหน่งในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร!

อนาคตสว่างไสว!

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเจ้าแม่ท่านนี้เป็นใครกันแน่

……

หลังจากจางเฉิงออกไป

หลินเซวียนก็กวาดสายตามองห้องต่างๆ “พี่อยู่ห้องไหนล่ะ”

หลินเยวียนถาม “ห้องนอนหลักมั้ยล่ะครับ”

หลินเซวียนเบ้ปาก “พี่ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านสักหน่อย ถ้าแม่รู้เข้า ต่อไปพี่มาอยู่ไม่ได้แน่เลย”

“งั้นห้องนี้แล้วกัน”

หลินเยวียนชี้ไปยังด้านซ้าย “นี่เป็นห้องของซย่าฝาน ต่อไปพี่อยู่ห้องนี้แหละ ผมบอกซย่าฝานแล้ว เธอมีประกวดหลังจากนี้ ไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ที่นี่เท่าไหร่หรอก”

อันที่จริง เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมาอยู่แค่ไม่กี่ครั้งหรอก

ทั้งสองคนต่างเป็นนักศึกษา ต่อให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยากที่จะไม่กลับหอ

หลินเซวียนพยักหน้า

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานล้วนเป็นเพื่อนสนิทของหลินเยวียน เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็มักจะไปเล่นที่บ้านของหลินเยวียนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหลินเซวียนเองก็รู้จักพวกเขา

จริงสิ

หลินเซวียนคล้ายกับว่าจะฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยิ้มเอ่ย “เหยาเหยาจะสอบเกาเข่า[1]เดือนหน้าแล้ว!”

“เร็วขนาดนั้นเลย?”

หลินเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ เขาลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เดือนกรกฎาคมเป็นช่วงเวลาของการสอบ หลินเหยาน้องสาวปีนี้อยู่มัธยมปลายปีสาม แต่นี่จะสอบเกาเข่าแล้วเหรอเนี่ย

หลินเซวียนพูดอย่างมีเลศนัย “นายเดาซิว่าน้องอยากสอบเข้ามหา’ลัยไหน”

หลินเยวียนครุ่นคิด ตอบว่า “น้องเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเหมือนกัน?”

หลินเซวียนดีดนิ้ว “คำตอบถูกต้อง พี่ชายอยู่วิทยาลัยศิลปะฉินโจว แน่นอนว่าเธอเองก็อยากมา หลังจากนี้ถ้าเธอได้มาอยู่ที่วิทยาลัยพวกนาย นายอย่าให้ใครรังแกน้องนะ”

หลินเยวียนตอบอย่างจริงจัง “ผมจะปกป้องน้องเอง!”

ส่วนเรื่องที่หลินเหยาจะสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้มั้ยนั้น คนในครอบครัวไม่มีใครสงสัย

หลินเหยาน้องสาวของเขาเป็นเด็กเรียนตัวจริงเสียงจริง ผลการเรียนที่โรงเรียนก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆ มาตลอด ทุกปีหลินเซวียนจะถามเธอว่าอยากได้ของขวัญอะไร คำตอบที่จะได้ทุกครั้งก็คือ

หนังสือเรียน

หลินเยวียนพลันนึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “แม่โอเคแล้ว?”

หลินเซวียนเบ้ปาก “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แม่ต้องไม่โอเคแน่ วิทยาลัยศิลปะฉินโจวแพงซะขนาดนั้น มีแค่ลูกชายคนเดียวอย่างนายเนี่ยแหละที่เลือกได้ตามใจ ลูกสาวอย่างเราสองคนทำได้แค่ทำตามที่แม่บอก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นายหาเงินได้เยอะ ที่บ้านก็สบายขึ้นมาด้วย เหยาเหยาอยากเรียนศิลปะ แม่เองก็โอเค”

“งั้นก็ดีแล้ว”

ไม่รู้ว่าน้องสาวเลือกคณะอะไร น้องดูน่าจะชื่นชอบการวาดภาพ?

เรื่องพวกนี้หลินเยวียนไม่เข้าไปยุ่มย่ามอย่างแน่นอน พี่สาวกับน้องสาวชอบทำอะไรก็ทำไปเต็มที่ เขาจะคอยสนับสนุน

“หลังจากนี้ก็ดีเลย”

หลินเซวียนกระซิบ “พี่กับเหยาๆ อยู่ที่เมืองซูกันหมด จะได้ช่วยดูแลกัน ที่จริงตอนเด็กๆ พวกเราสองคนเคยโกรธนาย รู้สึกว่าแม่ลำเอียงเกินไป อะไรดีที่สุดก็ให้นาย พวกเราเหมือนจะได้แต่ของที่เหลือ ถึงกับสงสัยเลยนะว่าแม่คลอดพวกเรามาเพื่อให้พวกเราดูแลนายต่อไป”

หลินเยวียนเงียบ

หลินเซวียนผุดยิ้ม “หลังจากนั้นพี่ก็จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง แม่เก็บซี่โครงไว้ให้นาย นายก็แอบส่งให้พวกเรา วันนั้นเหยาเหยาร้องไห้ทั้งคืน แต่ไม่กล้าส่งเสียง นายเองก็รู้ ว่าพวกเรานอนห้องเดียวกับแม่…นายแปลกใจใช่มั้ยล่ะ ว่าพี่กับน้องเคยโกรธนายด้วย”

หลินเยวียนยังคงเงียบ

หลินเซวียนกระซิบถาม “โกรธเหรอ”

หลินเยวียนส่ายหน้า “ผมกำลังคิดว่า พรุ่งนี้กินซี่โครงกันดีกว่า ผมมีเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง เป็นรุ่นพี่ รอบรู้เรื่องอาหารมากเลยละ”

หลินเซวียน “…”

เธอบีบแก้มหลินเยวียน หันไปพูดว่า “นายไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พี่จะไปจัดห้องสักหน่อย“

หลินเยวียนพยักหน้า

……………………………………………………

[1] เกาเข่า คือการสอบเข้าระดับอุดมศึกษาแห่งชาติของประเทศจีน เป็นการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ คล้ายกับการสอบเอ็นทรานซ์ของประเทศไทย

ร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่งในเมืองซู

เหล่าบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูกำลังปิดร้านเลี้ยงฉลอง

งานเลี้ยงของบริษัทเป็นเรื่องปกติ ทว่าขนาดของแต่ละครั้งแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง

งานเลี้ยงในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าสยงหัวหน้าบรรณาธิการก็อยู่ด้วย

ที่สำคัญก็เพราะกระบี่เทพสังหารทำยอดขายถล่มทลาย ดังนั้นบริษัทจึงพึงพอใจกับผลงานในช่วงนี้ของแผนกแฟนตาซีมาก และตบรางวัลให้ไม่น้อย

บรรยากาศของงานเลี้ยงก็แสนครึกครื้น

วันนี้เหล่าสยงไม่ได้วางมาดหัวหน้าบรรณาธิการ สนิทสนมกลมกลืน และกินดื่มไปพร้อมกับทุกคน

“ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว…”

โทรศัพท์ซึ่งหยางเฟิงวางไว้บนโต๊ะดังขึ้น

หลังจากเหล่าสยงรูดเนื้อแพะย่างกินไปเต็มปากเต็มคำ ความน่าเกรงขามของหัวหน้าก็บังเกิด ตะโกนดังลั่นว่า “เอ้ยๆ ก่อนหน้านี้ฉันพูดแล้วไม่ใช่เหรอ วันนี้ทุกคนอย่ารับโทรศัพท์ มางานเลี้ยงก็ต้องเมา ผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกนายปกติทำงานขยันขันแข็ง แต่ก็ต้องรู้จักปล่อยวางกันบ้าง!”

“ได้ครับๆ”

หยางเฟิงพยักหน้ารัว

ถึงแม้วันนี้เหล่าสยงจะดูท่าทางคุยง่าย แต่บรรณาธิการตัวเล็กๆ ก็ไม่กล้าขัดเจตนารมณ์หรอก

ขณะที่กำลังจะตัดสาย

เพื่อนร่วมงานซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็เหลือบไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือ “ฉู่ขวงโทรมาหรอกเหรอ”

“แค่ก!”

เหล่าสยงได้ยินคำพูดนี้ ก็แทบสำลักเนื้อย่างในปาก รีบกลืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระแอมอย่างประดักประเดิด “ถ้าจะไม่รับโทรศัพท์เลยดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่ หยางเฟิงรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ”

ทุกคน “…”

หยางเฟิงพยักหน้า ลุกขึ้นเดินเลี้ยวไปยังมุมสงบ แล้วกดรับสาย

บรรยากาศงานเลี้ยงพลันแปลกพิลึกขึ้นมาทันที

เหล่าสยงดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งคำ กล่าวกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “เสียงโทรศัพท์ของหยางเฟิงเพราะมากใช่มั้ยล่ะ”

“ใช่ครับๆๆ!”

“ไม่เลวเลยครับ!”

“เพลงกุหลาบแดง!”

“คนร้องคือซุนเย่าหั่ว!”

“ช่วงนี้เพลงนี้ดังมากเลย!”

ทุกคนพูดต่อกันเป็นลูกขุนพลอยพยัก ไม่รู้จะพูดอะไรก็สรรหาคำพูดมา ดังนั้นบรรยากาศดูจากภายนอกจึงคึกคักขึ้นมา

ไม่ทันไร

หยางเฟิงก็กลับมา

เหล่าสยงรออยู่นานแล้ว พูดพลางยิ้มตาหยี “ดึกป่านนี้ฉู่ขวงโทรมาหานายมีเรื่องอะไร”

“ผมกำลังจะมารายงานอยู่พอดีครับ”

หยางเฟิงถาม “ช่วงนี้เบื้องบนมีแผนจะเทคโอเวอร์สำนักพิมพ์หลิงชวนเหรอครับ”

เหล่าสยงพูด “มีแผนนี้อยู่นะ”

ในฐานะหัวหน้าบรรณาธิการ เขาเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง

หยางเฟิงพยักหน้า “คืองี้ครับ พี่สาวของฉู่ขวงทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์หลิงชวน เขากังวลว่าหลังจากที่สำนักพิมพ์หลิงชวนถูกเราเทคโอเวอร์แล้ว พี่สาวจะตกงาน ดังนั้นเลยถามผมว่าพอจะช่วยได้มั้ย แต่บ.ก.ตัวเล็กๆ อย่างผมอำนาจมีจำกัด ผมก็เลย…”

เหล่าสยงตกใจจนสะดุ้งโหยง “นายปฏิเสธเขา?”

หยางเฟิงรีบโบกมือกล่าว “เปล่านะครับ ผมบอกว่าจะไปช่วยถามให้…”

“อ้อ พี่สาวเขาชื่ออะไรล่ะ”

“หลินเซวียน”

เหล่าสยงพรูลมหายใจ “ได้ พวกนายกินไป ฉันจะไปโทรศัพท์ก่อน”

เหล่าสยงก็เดินเลี้ยวมุมออกมา

สายของเขาโทรหาบรรณาธิการบริหาร

เรื่องการจัดการทรัพยากรบุคคลของบริษัท ลำพังหัวหน้าบรรณาธิการอย่างเขาเข้าไปสอดมือไม่ได้

โทรศัพท์ต่อสายติด เหล่าสยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมมีเรื่องเล็กน้อยจะมารายงานบ.ก.บริหารน่ะครับ”

ปลายสายถาม “เรื่องอะไร”

เหล่าสยงเล่าเรื่องพี่สาวของฉู่ขวงคร่าวๆ รอบหนึ่ง

บรรณาธิการบริหารเงียบไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “เมื่อกี้คุณบอกว่ามีเรื่องเล็กน้อยจะมารายงานไม่ใช่หรือ”

เหล่าสยงตอบ “ใช่ครับ”

บรรณาธิการบริหารถาม “ใช่เหรอ?”

เมื่อหลี่ว์เป่ยเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในสมอง ปัญหาไม่ใช่เพราะหลี่ว์เป่ย แต่เป็นเพราะหลี่ว์เป่ยคิดว่าเหล่าสยงมีปัญหา

……

สามวันให้หลัง

สำนักพิมพ์หลิงชวน

ในตอนนี้บริษัทแห่งนี้ถูกซื้อกิจการไปเป็นที่เรียบร้อย สถานที่แห่งนี้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะส่งคนมาดูแลต่อ เหลือเพียงสิบคนที่ไม่ถูกไล่ออก แต่กลับถูกโยกย้ายไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

หลินเซวียนก็เป็นหนึ่งในสิบคนนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับอีกเก้าคนซึ่งตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตาคอยกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในใจของเธอกลับสับสนอยู่บ้าง ทำไมฉันที่เพิ่งผ่านช่วงฝึกงานมาได้ไม่นานถึงไม่ถูกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไล่ออกกันนะ

ต้องอธิบายก่อน

ว่าสิบคนที่ได้อยู่ต่อ นอกจากหลินเซวียนแล้ว อีกเก้าคนที่เหลือล้วนเป็นบุคลากรระดับสำคัญ ในนั้นรวมไปถึงบรรณาธิการบริหารหนึ่งคน หัวหน้าบรรณาธิการสองคน และบรรณาธิการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอยู่ในวงการมาเกือบสิบปีและดูแลนักเขียนฝีมือดีมาก่อนอีกหกคน!

อีกเก้าคนก็งุนงงเช่นเดียวกัน

เมื่อหลินเซวียนยืนเทียบกับอีกเก้าคน ก็แลดูไม่เข้าพวกจริงๆ นั่นแหละ บรรณาธิการซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าหลินเซวียนถูกไล่ออกไป ทำไมหลินเซวียนยังเข้ามาเป็นหนึ่งในสิบของรายชื่อคนที่ได้เข้าไปทำงานในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้

“ได้เข้ามาแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก”

หานเซี่ยวบรรณาธิการบริหารกล่าวกับหลินเซวียน “เธอได้อยู่ต่อก็น่าจะเป็นเพราะทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับบ.ก.มือใหม่ล่ะมั้ง ถึงยังไงเธอก็ผ่านการฝึกงานมาแล้ว ด้านการทำงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ทุกคนต่างพยักหน้า

จะว่าไปเรื่องนี้ก็อธิบายได้

หัวหน้าบรรณาธิการทางด้านซ้ายยิ้มเอ่ย “ที่สำคัญก็คือบ.ก.บริหารหานคุณมีอิทธิพลมากพอในวงการ ตอนแรกพวกเราคิดว่าจะต้องนั่งรถไปรายงานตัวที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเอง นึกไม่ถึงว่าทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูถึงกับบอกว่าจะส่งรถมารับพวกเรา”

หานเซี่ยวพยักหน้าอย่างไว้ตัว

เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สำนักพิมพ์หลิงชวนและคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่มีคุณสมบัติจะไปเทียบเคียงกันได้เลย แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่บริษัทถูกซื้อกิจการไป คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะยังให้ความนับถือต่อบรรณาธิการบริกหารอย่างตนมากเช่นนี้

“เหมือนรถจะมาแล้วนะ!”

บรรณาธิการบริหารอีกคนหนึ่งดวงตาเป็นประกาย “บ.ก.บริหารมีหน้ามีตาใช้ได้เลยนะครับเนี่ย คลังหนังสือซิลเวอร์บลูถึงกับส่งรถที่ดีขนาดนี้มารับพวกเรา รถหรูระดับวีไอพีคันนี้พวกเราเคยดูอยู่ แถมยังเป็นรุ่นที่เพิ่มความยาวด้วยนะครับ ถ้าเงินไม่ถึงสิบล้านซื้อไม่ได้นะเนี่ย!”

ส่งรถหรูสิบล้านมารับพวกเรา

หานเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ฉันมีหน้ามีตาขนาดนั้นเลยเหรอ?

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูนี่ใช้ได้เลยนะ!

ท่านยกดินแดนให้แก่ข้า ข้าย่อมปูนบำเหน็จให้อย่างงาม!

ในตอนนั้นมีคนสามสี่คนลงมาจากรถ ผู้ที่นำมาก็คือตัวแทนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ท่าทีของอีกฝ่ายไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งที่ตนเป็นตัวแทนจากบริษัทใหญ่เลย “ทุกท่านเป็นคนของสำนักพิมพ์หลิงชวนใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ”

หานเซี่ยวก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว

ตัวแทนจากคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมองทุกคน สายตาไปหยุดอยู่ที่หลินเซวียนสักสองวินาที ก่อนจะพูดว่า

“เชิญขึ้นรถครับ”

ทุกคนขึ้นรถไปด้วยกัน หลินเซวียนเองก็ตามขึ้นรถไปด้วยความสับสน ด้านข้างเป็นเสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นของเพื่อนร่วมงาน

“บ.ก.บริหารหานหน้าใหญ่เกินไปแล้ว!”

“ไม่รู้ว่าพอถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้วบ.ก.บริหารหานจะได้จัดให้อยู่ตำแหน่งไหน ดูจากสวัสดิการในตอนนี้แล้ว น่ากลัวว่าต้องไม่ธรรมดาแน่!”

“บ.ก.บริหารหานคะ ต่อไปรบกวนช่วยดูแลลูกน้องเก่าด้วยนะคะ”

“พูดก็พูดเถอะ ไม่ว่าต่อไปทุกคนจะได้อยู่แผนกไหน พวกเราก็มาจากหลิงชวนทั้งนั้น บ.ก.บริหารหานต้องไม่ลืมพวกเราแน่”

“ถึงฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่หลิงชวนถูกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูเทคโอเวอร์ไปก็เป็นโชคดีของพวกเรานะ ”

“เป็นถึงหนึ่งในสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดในฉินโจว ให้ฉันฝันก็ยังไม่กล้าฝันเลยว่าจะได้มาทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู!”

“…”

สองชั่วโมงผ่านไป

รถซึ่งไปรับจากหลิงชวนก็มาถึงสำนักงานใหญ่ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ผู้คนจากหลิงชวนถูกพาไปยังชั้นแปด

ในตอนนั้นผู้ที่มาต้อนรับมีอยู่หลายคน คนที่นำมาเป็นผู้ชายสีหน้าเคร่งขรึม “ผมคือหลี่ว์เป่ย บ.ก.บริหารคลังหนังสือซิลเวอร์บลู”

คนจากคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก้มหน้างุด

นี่คือบรรณาธิการบริหารของบริษัทใหญ่สินะ ดูน่าเกรงขามเหลือเกิน คนทั่วไปรับมือไม่ไหว แม้แต่หานเซี่ยวเองก็รู้สึกคล้ายจะลมจับขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ขณะที่รู้สึกคล้ายจะลมจับ ในใจก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่บ้าง คลังหนังสือซิลเวอร์บลูให้ความสำคัญกับฉัน บรรณาธิการบริหารยังออกมาต้อนรับด้วยตนเอง!

นี่มันบุคคลระดับไหน!

วงการสำนักพิมพ์มีใครไม่รู้จักหลี่ว์เป่ยบ้าง!

เขากระแอม “สวัสดีครับ ผมชื่อหานเซี่ยว…”

หลี่ว์เป่ยพยักหน้ากับหานเซี่ยวเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังกลุ่มคน โดยเฉพาะบรรณาธิการผู้หญิง “ท่านไหนคือหลินเซวียนครับ”

หานเซี่ยว “…”

ไม่ต้องจับไม้จับมือกันก่อนสักหน่อยหรือ?

ทำไมจู่ๆ หลี่ว์เป่ยก็ไปหาหลินเซวียนซะล่ะ

หลินเซวียนเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “สวัสดีค่ะบ.ก.บริหาร ฉันเองค่ะ”

บนใบหน้าดุดันของหลี่ว์เป่ย พลันประทับด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือออกมา “ยินดีต้อนรับสู่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูนะ!”

“ขอบคุณค่ะ”

สมองของหลินเซวียนยิ่งสับสนเข้าไปอีก จนแทบยื่นมือออกไปจับมือกับหลี่ว์เป่ยตามสัญชาตญาณ

“คุณอยากไปแผนกไหนล่ะ”

รอยยิ้มของหลี่ว์เป่ยฉายแววอบอุ่นกว่าเดิม

คนจากหลิงชวน “…”

ทำไมหลี่ว์เป่ยถึงได้เกรงอกเกรงใจหลินเซวียนขนาดนี้

บ.ก.บริหารหานเซี่ยวพวกเราถูกเขี่ยไว้ด้านข้าง?

หลี่ว์เป่ยเข้าใจผิดไปว่าหลินเซวียนเป็นบ.ก.บริหารของพวกเราหรือเปล่า?

อายุก็วัดกันไม่ได้แล้วนะ

ในตอนนั้นเอง ไม่ไกลออกไปก็มีเงารูปร่างคล้ายภูเขาขนาดย่อมตะโกนมา “บ.ก.บริหารให้หลินเซวียนมาอยู่แผนกแฟนตาซีของพวกเราเถอะครับ!”

หลี่ว์เป่ยขมวดคิ้ว

เหล่าสยงวิ่งกระหืดกระหอบมายังด้านหน้าของหลินเซวียน ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ผมเป็นหัวหน้าบ.ก.ของแผนกแฟนตาซีเยาวชน คุณเรียกผมว่าเหล่าสยงก็ได้ มาเป็นรองบ.ก.ที่แผนกผมเถอะ ผมไม่ค่อยถูกชะตากับรองบ.ก.คนเดิมมานานแล้ว!”

“แผนกนิตยสารเราขาดคนนะครับ!”

อีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นโหยวหรงจากแผนกนิตยสารของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

เขาพุ่งปราดมายังเบื้องหน้าของหลินเซวียนเช่นเดียวกัน แถมยังเบียดเหล่าสยงไปด้านข้าง “สวัสดีครับผมคือหัวหน้าบ.ก.นิตยสารอ่านสนุก แผนกของเรายินดีต้อนรับคุณเป็นอย่างยิ่ง ผมคิดว่าตำแหน่งรองบ.ก.ของเราเหมาะกับคุณมาก!”

ผู้คนจากหลิงชวนจ้องตาค้าง ในห้วงสำนึกเริ่มบิดวนไปมา

หานเซี่ยวยิ่งสงสัยในสัจธรรมชีวิตเข้าไปใหญ่!

รถหรูรับส่ง…

บ.ก.บริหารมาต้อนรับ…

หัวหน้าบ.ก.แย่งคน…

ไม่ได้เป็นเพราะฉันเลย?

แต่พุ่งไปหาหลินเซวียนกันทั้งนั้น?

นี่มันสวัสดิการจากสวรรค์ชั้นไหนกัน!

หรือว่าหลินเซวียนจะเป็นลูกสาวของบอสใหญ่ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู?

หลินเซวียนไม่รู้ว่าตนควรมีปฏิกิริยาอย่างไร ฝันไปหรือเปล่านะ แต่ในความฝันเธอเองก็ไม่กล้าลำพองใจ ทำได้เพียงพูดว่า “ฉันว่าตามที่บริษัทจัดการ…”

“งั้นมาทำงานที่ฝ่ายบริหารก่อนแล้วกัน”

หลี่ว์เป่ยกวาดสายตาไปยังเหล่าสยงและโหยวหรง กล่าวกลั้วหัวเราะ “ฝ่ายบริหารดูแลทุกส่วน ฉันเป็นหัวหน้าโดยตรงของเธอ เธอจะได้ค่อยๆ เรียนรู้สถานการณ์ของแต่ละแผนก รอให้ผ่านไปสักระยะแล้วตัดสินใจได้ ค่อยเลือกแผนกที่ตัวเองชอบก็ได้ แน่นอนว่าถ้าชอบฝ่ายบริหารก็อยู่ต่อได้เช่นกัน”

“!!!”

ฝ่ายบริหาร ตำแหน่งไม่สูง แต่อำนาจมหาศาล แทบจะเป็นโฆษกของบรรณาธิการบริหารเลย หัวหน้าบรรณาธิการแต่ละแผนกล้วนเกรงอกเกรงใจมากขึ้นหลายส่วน!

“ได้ค่ะ”

หลินเซวียนตอบ

มีบางเรื่องก็อย่าไปคิดจริงจังมาก ความฝันนี้ช่างหอมหวาน หอมหวานซะจนน่าตกใจ ตื่นขึ้นช้าหน่อยก็ดี

“อื้ม”

หลี่ว์เป่ยมองคนอื่นๆ ยิ้มเอ่ย “หานเซี่ยวไปเป็นหัวหน้าบ.ก.แผนกแฟนตาซีไซไฟของเรา ไม่ทราบว่าคุณหานเซี่ยวมีความเห็นว่าอย่างไรครับ”

“ขอบคุณครับบ.ก.บริหารหลี่ว์!”

หานเซี่ยวรีบตอบ รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เขานั่งตำแหน่งบรรณาธิการบริหารตอนอยู่หลิงชวน เมื่อมาถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้เป็นเพียงหัวหน้าบรรณาธิการ!

ทว่าสำหรับหานเซี่ยวแล้ว เขายอมเลือกเป็นหัวหน้าบรรณาธิการที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูดีกว่า!

เพราะการทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู และการทำงานที่หลิงชวนนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน!

แต่ว่า…

เมื่อนึกถึงว่าหลินเซวียนได้เข้าไปในฝ่ายบริหาร ความตื่นเต้นของเขาก็เหือดหายไปไม่น้อย ในใจมีเพียงความคิดเดียว ‘หลินเซวียนต้องมีเบื้องหลัง หลังจากนี้จะต้องปรนนิบัติพัดวีให้ดี!’

เบื้องหลังนี้อาจน่ากลัวมากก็ได้!

อย่ามาเหลวไหลหน่อยเลย คนที่ไม่มีเบื้องหลังจะทำให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาคอยพะเน้าพะนออย่างกับเป็นเจ้าแม่แบบนี้ได้หรือ?

บรรณาธิการบริหารมาต้อนรับเอง การกระทำแบบนี้แพร่สะพัดออกไปทั้งคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ใครแตะหลินเซวียนเท่ากับตั้งตัวเป็นอริกับหลี่ว์เป่ย!

แถมยังมีหัวหน้าบรรณาธิการอีกสองคน ที่รีบวิ่งมาแย่งคนกันอย่างเปิดเผย รู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะหลี่ว์เป่ยปรามเอาไว้ น่ากลัวว่าสองคนคงเปิดฉากทึ้งหัวกันตรงนั้น!

หานเซี่ยวถึงขั้นรู้สึกเสียดาย เมื่อก่อนตนไม่ได้ผูกมิตรกับหลินเซวียนให้มากกว่านี้

เรื่องนี้ใครจะไปคาดคิดล่ะ

เจ้าแม่หลินมีเบื้องหลังที่น่ากลัวขนาดนี้ ทำไมต้องมาอยู่ที่บริษัทเล็กๆ อย่างหลิงชวน เป็นบรรณาธิการฝึกหัดผู้ต้อยต่ำคนหนึ่งด้วย

หาประสบการณ์ชีวิตหรือ?

ในขณะนั้นหลี่ว์เป่ยกวาดสายตาไปยังคนอื่นๆ ในหลิงชวน ยิ้มให้หลินเซวียนพลางบอกว่า “ถ้าเธอคิดถึงเพื่อนร่วมงานเก่า ก็เลือกจากตรงนี้ไปเป็นผู้ช่วยสักคนก็ได้”

ทุกคนได้ฟังดังนั้นก็สั่นสะท้าน ส่งสายตาละห้อยไปหาหลินเซวียน

ต่อให้เป็นหัวหน้าบรรณาธิการทั้งสองของหลินเซวียน ก็ยังใจเต้นไม่เป็นส่ำ!

นั่นมันฝ่ายบริหารเชียวนะ!

เข้าไปในฝ่ายบริหารก็เท่ากับก้าวเดียวเหยียบถึงสวรรค์!

เป็นผู้ช่วยหลินเซวียนแล้วยังไง ถ้ามีสมองสักหน่อยก็ต้องรู้ว่าขลุกอยู่กับหลินเยวียน มีแต่ชีวิตจะดี!

หลินเซวียน “…”

ปฏิกิริยาของทุกคนสมจริงเกินไปแล้ว ฉันคงไม่ได้ฝันไปสินะ แต่ถ้าไม่ได้กำลังฝัน ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย

มีใครไปเปลี่ยนลิขิตสวรรค์หรือเปล่านะ

ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง จะต้องกลับไปถามแม่ ว่าตอนเด็กๆ อุ้มฉันมาผิดหรือเปล่า ที่จริงแล้วฉันอาจเป็นลูกสาวลับๆ ของบุคคลสำคัญ?

แบบนั้นก็ดีสิ

ต่อไปทั้งน้องชาย ทั้งน้องสาว ทั้งแม่ ฉันจะไม่ลืมทุกคน หลินเซวียนจะโชติช่วงชัชวาล จะต้องทำให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต!

………………………………………………………

คนที่ซื้อกระบี่เทพสังหารมีมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่อ่านกระบี่เทพสังหารก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อเวลาดำเนินไปได้สองวัน สองแสนตัวอักษรของเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่งก็ค่อยๆ มีผู้อ่านอ่านจบมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนก็กลายเป็นเครื่องเล่นเสียงซ้ำไปอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

‘เวรเอ๊ย จบเล่มแล้วเหรอ’

ภาษิตกล่าวได้ถูกต้อง

หากวันใดมีดอยู่ในมือ จะสับเจ้าพวกชอบตัดตอนให้เละ

ตอนนี้บรรดานักอ่านละอยากจะส่งของขวัญไปให้ฉู่ขวง

ตัวอย่างเช่น…

มีดสักเล่มเป็นไง

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการล้อเล่น…

ล่ะมั้ง…

ในเว็บบอร์ดนิยาย ปริมาณของเรื่องกระบี่เทพสังหารไม่ใช่สิ่งที่ในวันแรกจะเทียบได้อีกต่อไป แต่คนที่อ่านช้าสักหน่อย เมื่อเข้ามาในเว็บบอร์ดอย่างน้อยก็ต้องถูกบรรดากองทัพกระทู้ถล่มสปอยล์ใส่ไปแล้วแปดส่วน

‘เมื่อไหร่จางเสี่ยวฝานจะลุกขึ้นมาได้ นายเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรคู่พุทธเต๋าที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยนะ!’

‘เมื่อไหร่ไม้ดูดวิญญาณจะทำให้สำนักเมฆาครามตะลึงบ้าง’

‘ดูจากโพสต์ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าครั้งนี้จางเสี่ยวฝานจะต้องชนะการประลองเจ็ดปราณ สั่นสะเทือนสำนักเมฆาครามและเอาชนะใจของศิษย์พี่หญิงเถียนหลิงเอ๋อร์’

‘เป็นโลกเทพเซียนกำลังภายในที่ชวนให้คนตั้งหน้าตั้งตารอจริงๆ ถ้าบอกว่าหนังสือเล่มก่อนหน้าของฉู่ขวงทำให้ฉันสนใจแนวการแข่งกันกีฬา เรื่องกระบี่เทพสังหารก็ทำให้ฉันหลงรักแนวเทพเซียนกำลังภายในเลยละ!’

‘ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง นี่แหละเทพเซียนกำลังภายใน!’

‘…’

ไม่ใช่เพียงนักอ่านที่อ่านกระบี่เทพสังหาร บรรณาธิการและเหล่านักเขียนในสายงานก็อ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

เมื่ออ่านแล้ว

ทุกคนล้วนแต่พูดไม่ออก

ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะมีบรรณาธิการบริหารผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวขึ้นพลางทอดถอนใจ “ฉู่ขวงนิยามแนวเทพเซียนกำลังภายในขึ้นมาใหม่ที่ไหนกันล่ะ นี่มันสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว!”

จริงด้วย!

สร้างขึ้นมาใหม่!

ไม่มีใครคลางแคลงใจอีก สิ่งสำคัญก็คือแนวเทพเซียนกำลังภายในเขียนอย่างไร ฉู่ขวงได้แสดงให้วงการนี้ได้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยเรื่องกระบี่เทพสังหารแล้ว

‘บุกเบิกแล้ว’

‘หนังสือสองเล่มติด ผลิตผลงานมาสองประเภท ฉู่ขวงกำลังจะกลายเป็นมาตรวัดทิศทางของกระแสในอุตสาหรรม หลังจากนี้แนวเทพเซียนกำลังภายในจะกลายเป็นแนวใหม่ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักเขียน’

‘ฉันกลับรู้สึกว่าหลังจากนี้แนวเทพเซียนกำลังภายในจะดังกว่าแนวการแข่งขันกีฬา!’

‘คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของนิยายทั้งสองเรื่องของฉู่ขวง ที่จริงก็คือการสร้างแรงผลักดันครั้งใหม่ให้กับอาชีพของเรา ก่อนหน้านี้ทุกคนแห่กันไปเขียนแนวผจญภัยในต่างโลก แต่ตอนนี้ฉู่ขวงมอบตัวเลือกให้ทุกคนเพิ่มขึ้นอีกสองตัวเลือก’

‘อนาคตของนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในยังมีอีกไม่จำกัด’

‘ฉันเองไม่ได้โกรธเลยที่นิยายของฉู่ขวงเล่มนี้ดังกว่าเล่มก่อนหน้า ฉู่ขวงบุกเบิกแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับวงการ คนในสายงานนี้อย่างพวกเราน่าจะต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำไป ที่ฉันโกรธก็คือทำไมนักเขียนผู้บุกเบิกอย่างฉู่ขวงจะต้องเป็นคนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูด้วย!’

‘…’

เมื่อก่อน แนวผจญภัยในต่างโลกเป็นแนวยอดฮิต ส่วนแนวอื่นๆ กลับเป็นเพียงแอ่งน้ำนิ่งไร้คนสนใจ

ทว่าในตอนนี้ ฉู่ขวงได้นำพากระแสความร้อนแรงมาสู่แนวการแข่งขันกีฬา

หลังจากนี้ แนวเทพเซียนกำลังภายในน่าจะฮ็อตฮิตยิ่งกว่า!

คงไม่มีใครเลียนแบบเรื่องราวของกระบี่เทพสังหารได้ แต่เมื่อฉู่ขวงได้ผลิตต้นแบบของการเขียนผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในแบบใหม่ออกมา ผู้ที่สามารถหยิบยืมและนำมาสร้างสรรค์ผลงานที่คล้ายคลึงกันได้นั้นกลับมีมากมาย

นี่ก็เหมือนในจีนนั่นละ

คนรุ่นก่อนเพาะกล้า คนรุ่นหลังได้พึ่งพิงร่มเงา ต้องบอกก่อนว่าพื้นฐานของการสร้างสรรค์เรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็มาจากนิยายเทพเซียนอีกเรื่องหนึ่ง

หนังสือเรื่องนั้นมีชื่อว่า ‘การเดินทางอันพร่าเลือน’

ต่อให้หลังจากนี้จะปรากฏผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในซึ่งเป็นที่นิยมกว่านี้ ความสำเร็จที่ฉู่ขวงได้จากกระบี่เทพสังหาร ก็บ่งชี้ว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดของนิยายประเภทนี้ ก็เหมือนกับประเภทการแข่งขันกีฬาในตอนนี้ก็ยกให้ฉู่ขวงเป็นอันดับหนึ่งนั่นแหละ

……

หลินเยวียนได้รับหนังสือเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งมาแล้ว ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูส่งมาให้โดยไม่คิดเงิน

หยางเฟิงโทรศัพท์ไปขอให้หลินเยวียนส่งกลับมา ก่อนจะส่งกลับมาให้เซ็นชื่อในหนังสือเล่มนั้นก่อน

นี่เป็นหนังสือฉบับมีลายเซ็นที่บรรณาธิการบริหารต้องการ

หลินเยวียนตอบตกลง

เขาเซ็นนามปากกา ‘ฉู่ขวง’ ลงไป

นี่เป็นการแจกลายเซ็นครั้งแรกของเขา ความคิดแรกตอนเซ็นชื่อก็คือ

หนังสือที่มีลายเซ็นของเขาขายได้ไหมนะ

แน่นอนว่าความคิดนี้มาเพียงแว้บเดียวและผ่านไป ลายเซ็นจะมีราคามากแค่ไหนกัน ไหนเลยจะมากเท่าเงินที่ได้จากการสอนในชมรมจิตรกรรม

แต่สำหรับความร้อนแรงของเรื่องกระบี่เทพสังหาร หลินเยวียนย่อมรู้ดี

ในวันที่หนังสือเรื่องนี้ดังขึ้นมา หยางเฟิงโทรศัพท์หาหลินเยวียน น้ำเสียงตื่นเต้นประหนึ่งว่าเขาจะได้แบ่งรายได้จากหลินเยวียนอย่างไรอย่างนั้น

หลินเยวียนเองก็ดีใจ

ถึงแม้ในตอนที่เขียนเรื่องกระบี่เทพสังหาร ในใจก็พอจะเดาออกแล้วว่าหนังสือเรื่องนี้จะต้องดัง ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ เรียกกระแสให้แนวเทพเซียนกำลังภายใน

อันที่จริงเรื่องกระบี่เทพสังหารก็ไม่นับว่าเป็นเทพเซียนกำลังภายในที่แท้จริง

แต่เหมือนกับเป็นนิยายโรแมนติกในคราบเทพเซียนกำลังภายในซะมากกว่า

ที่สามารถทำให้ทุกคนสนใจไปที่ความเป็นเทพเซียนกำลังภายใน คงต้องบอกว่าเพราะเนื้อหานิยายปรับแต่งได้ดี ทำให้บรรยากาศของโลกเทพเซียนกำลังภายในถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น

ถ้าหากเป็นไปได้ หลังจากนี้ก็จะสั่งทำแนวเทพเซียนกำลังภายในที่แท้จริงจากระบบมาสักเล่ม

ทว่าหลินเยวียนยังไม่ต้องขบคิดไปไกลถึงขนาดนั้น

เมื่อส่งหนังสือที่เซ็นแล้วเรียบร้อย หลินเยวียนก็ใคร่ครวญสักครู่ ก่อนจะโทรศัพท์หาพี่สาว

“มีอะไรเหรอ”

หลินเซวียนคล้ายกับว่าจะอ่อนล้าอยู่บ้าง

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “พี่ขาดเงินหรือเปล่า”

หลินเซวียนตอบ “รบกวนนายช่วยลบคำว่าหรือเปล่าออกไปที”

หลินเยวียน “…”

หลินเซวียนถอนหายใจเฮือก “จะให้เงินค่าขนมพี่หรือไง ไม่เสียแรงที่พี่รักนาย”

“พี่อารมณ์ไม่ดี?”

หลินเซวียนนึกสงสัย “นายเปลี่ยนเรื่องหรือเปล่าเนี่ย”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เธอก็พบว่าหลินเยวียนโอนเงินมาให้ตนห้าหมื่นหยวน น้ำเสียงพลันตื่นเต้นขึ้นมา “พี่อารมณ์ดีสุดๆ ไปเลย!”

“ก่อนหน้านี้ล่ะ?”

หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

หลินเซวียนเบ้ปาก “ช่วงนี้เจอเรื่องปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ นักเขียนที่พี่ดูแลออกหนังสือเล่มใหม่ ตอนแรกก็ได้โปรโมตตั้งเยอะ สำนักพิมพ์ถูกอกถูกใจมากเลยละ แต่กลับมาเจอกับสัตว์ประหลาด…”

“สัตว์ประหลาด?”

“ก็ฉู่ขวงที่พวกนายพูดถึงตอนตรุษจีนไง เขาเขียนหนังสือเล่มใหม่ที่สุดยอดมาก เป็นหนังสือที่ร้านหนังสือแทบทั้งฉินโจวดันสุดฤทธิ์เลย นักเขียนของพี่ออกหนังสือเรื่องใหม่แต่ไม่ได้โปรโมตสักนิดเดียว เลยเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายน่ะ”

หลินเยวียน “…”

ตนจะตอบว่ายังไงดีล่ะทีนี้

หรือว่าจะโทษฉันอย่างนั้นเหรอ?

หลินเซวียนทอดถอนใจ “แต่ก็ไม่สำคัญแล้วละ พี่สาวนายอาจตกงานเร็วๆ นี้แล้ว”

หลินเยวียนนึกกังวลขึ้นมา “บริษัทจะไล่พี่ออกเหรอ”

“ไม่ใช่หรอก คนที่ต้องออกไม่ได้มีพี่แค่คนเดียว สำนักพิมพ์เรากำลังจะถูกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูซื้อกิจการ บริษัทที่ฉู่ขวงเซ็นสัญญาด้วยนั่นแหละ หลังจากที่พวกเขาซื้อเราแล้ว บ.ก.ตัวเล็กๆ อย่างพวกเราก็น่าจะถูกไล่ออก แม้แต่หัวหน้าพวกเราก็อาจเลี่ยงไม่ได้”

“คลังหนังสือซิลเวอร์บลู?”

“เป็นบริษัทที่แย่มากเลยล่ะ พวกเขาเป็นตัวการทำให้พี่ต้องตกงาน ฉู่ขวงก็นับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดตัวสำคัญ…”

หลินเซวียนพูดเชิงติดตลก สภาพจิตใจของเธอยังดีอยู่

ที่สำคัญก็คือได้เงินโอนมาจากหลินเยวียน ต่อให้ตกงานไปสักระยะก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ หางานใหม่ก็ยังได้

ยังไงก็มีน้องชายเลี้ยง

ความสุขของการมีน้องชายเป็นเศรษฐี คนธรรมดาจิตนาการไม่ออกหรอก

“อ้อ”

หลินเยวียนไม่ได้ซักไซ้

หลังจากวางสาย หลินเยวียนก็ติดต่อหยางเฟิง

หลักๆ ก็คือเขาอยากขอร้องให้ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูพิจารณาดูว่าจะรับพี่สาวของเขาไว้ได้ไหม

เพียงแต่ไม่รู้ว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะคุยง่ายหรือเปล่า

……………………………………………

กระแสของเรื่องกระบี่เทพสังหารนับได้ว่าถล่มทลาย ช่วงเที่ยงวัน ในอินเทอร์เน็ตก็ปรากฏการพูดคุยกันเป็นวงกว้าง

‘หนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวงสุดจัด!’

‘ที่แท้เทพเซียนกำลังภายในก็เป็นแบบนี้!’

‘ผมขอโทษสำหรับความอิกนอแร้นก่อนหน้านี้นะค้าบ ในฐานะแฟนคลับของฉู่ขวง ถึงกับสงสัยในความสามารถของฉู่ขวง ต่อให้ไม่ได้เขียนแนวกีฬา เขาก็ยังเจ๋งเป้งขนาดนี้!’

‘อ่านจนฉันตื่นเต้นมือเปียกไปหมด’

‘ซื้อหนังสือไปตอนเช้า เอาไปอ่านตอนเรียน แล้วก็ถูกครูยึดไป ตอนนี้ครูอ่านจนติดหนึบกว่าผมอีก อยากถามว่าผมจะได้หนังสือคืนมั้ยครับ’

‘…’

นักอ่านมีเวลาอ่านน้อยนิด ยังอ่านกันไปได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่นั่นก็มากพอให้พวกเขายกเรื่องกระบี่เทพสังหารให้เป็นผลงานคลาสสิกได้เลย

ช่วยไม่ได้

ไม่เคยอ่านเทพเซียนกำลังภายในมาก่อน

อ่านแล้วติดงอมแงมเลยเนี่ย

ยิ่งแฟนคลับของฉู่ขวงก็ยิ่งตะลึงลานตื่นเต้นกันยกใหญ่ โพสต์แนะนำกระบี่เทพสังหารไปทุกที่ เมื่อเห็นโพสต์แนะนำเต็มไปหมด นักอ่านที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนี้ก็อดคันไม้คันมือ คันหัวใจยุบยิบเหมือนมีแมวมาข่วนอย่างห้ามไม่อยู่

สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ

สนุกกว่าปรินซ์ออฟเทนนิส?

เมื่อมีความคิดเช่นนี้ คนเหล่านี้จึงมาที่ร้านหนังสือในช่วงบ่าย อยากอ่านดูบ้างว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารเขียนเป็นยังไง แต่คำตอบที่พวกเขาได้รับจากร้านขายหนังสือมาเหมือนๆ กันก็คือ ‘หนังสือเรื่องนี้พวกเราขายหมดแล้ว กำลังเร่งเติมสินค้าอยู่ หลังจากนี้สักสามสี่วันค่อยกลับมาซื้อใหม่’

ขายหมดแล้วเหรอ?

อีกความหมายหนึ่งของการขายหมดก็คือหนังสือเรื่องนี้เป็นที่นิยมมาก จนแหล่งสินค้าของขาดมือ ถึงอย่างไรตอนที่ร้านขายหนังสือขนาดใหญ่แต่ละแห่งพูดประโยคนี้จบ สีหน้าก็ฉายแววหดหู่และจนปัญญา

นักอ่านรู้งานกันจริงๆ!

เดิมทีมีบางคนไม่ได้รีบร้อนอยากอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารขนาดนั้น แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา หนังสือที่ขายดีขนาดนี้จะไม่สนุกไปได้ยังไง?

ต้องซื้อให้ได้!

บางคนถึงขั้นที่วิ่งไปตามร้านหนังสือต่างๆ อย่างไม่ลดละ น่าเสียดายที่หาซื้อไม่ได้เลย โชคดีที่มีชาวเน็ตใจดีแจ้งข่าวว่า ‘ทั้งฉินโจวมีแค่ร้านเดียวที่ยังมีสินค้า ก็คือศูนย์หนังสือจิ้งอัน รีบไปซื้อกันเร็ว ช้าหมดอดซื้อน้าา!’

ถ้าช้าก็ต้องเป็นอันอดซื้อไปอย่างแน่นอน

ศูนย์หนังสือจิ้งอันสั่งสินค้าเข้ามาตั้งเจ็ดแสนเล่ม

จำนวนการตีพิมพ์ในครั้งแรกหนึ่งล้านเล่ม ถึงกับทำให้ใช้กลยุทธ์เล่นกับกิเลสของคนกับร้านหนังสือ

ศูนย์หนังสือจิ้งอันเองก็ย่อมรู้ว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารในร้านหนังสือใหญ่ๆ แต่ละแห่งขาดสินค้า ดังนั้นจึงโปรโมตไปทั่วทุกสารทิศว่าพวกเรายังมีสินค้าอยู่ พวกเธอรีบมาซื้อกันเร็ว ฉินโจวมีเพียงแห่งเดียว พลาดแล้วพลาดเลยนะ!

ฉึบๆๆๆๆ!

นักอ่านสับเท้ามุ่งตรงไปยังศูนย์หนังสือจิ้งอัน

ร้านหนังสือขนาดใหญ่แต่ละเจ้าแทบอยากกระอักเลือด เร่งให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูส่งสินค้ากันสุดชีวิต คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกลับตอบว่า ‘ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการทำงานล่วงเวลาเพื่อตีพิมพ์เพิ่ม อย่างช้าสามวันก็จะสามารถจัดส่งสินค้าได้!’

“…”

ช่วงเวลาที่ทิ้งห่างกันคือความเป็นความตาย

ช่วงเวลาทองของของการขายนิยายคือสามวันแรก ช่วงเวลาสามวันก็มากพอให้ศูนย์หนังสือจิ้งอันสูบลูกค้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ กว่าแต่ละสำนักพิมพ์ใหญ่จะได้รับสินค้าจากคลังหนังสือซิลเวอร์บลู นักอ่านนับไม่ถ้วนก็ไปซื้อกระบี่เทพสังหารที่ศูนย์หนังสือจิ้งอันเรียบร้อยแล้ว!

แบบนี้มันน่าเจ็บใจเหลือเกิน!

ศูนย์หนังสือจิ้งอันลงทุนไปนิดเดียว แต่กอบโกยไปมหาศาล!

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดไม่ได้ว่าศูนย์หนังสือจิ้งอันผูกขาด เพราะตอนที่สั่งสินค้าเข้ามาก่อนหน้านี้ ร้านหนังสือแต่ละแห่งเพลย์เซฟเกินไป จำนวนสินค้าที่สั่งลงสต็อกนั้นต่ำมาก ตอนนี้กระบี่เทพสังหารขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จะมาเสียดายก็เปล่าประโยชน์

……

ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็นึกไม่ถึงว่ายอดขายของกระบี่เทพสังหารจะเหนือจินตนาการขนาดนี้ พิมพ์ครั้งแรกมาตั้งหนึ่งล้านเล่มแท้ๆ ตอนนี้กลับให้ความรู้สึกว่าขายได้ไม่ทันไรก็หมด แม้แต่ศูนย์หนังสือจิ้งอันซึ่งมีสต็อกมากที่สุด ก็ยังมีออเดอร์มาอีกสามแสนเล่ม

นี่คือเทพเซียนกำลังภายในหรือ

นี่ยังเป็นเทพเซียนกำลังภายในอยู่อีกหรือ

หลี่ว์เป่ยบรรณาธิการบริหารคลังหนังสือซิลเวอร์บลูฉีกยิ้มเบิกบาน ดูจากแนวโน้มแล้ว ยอดขายของกระบี่เทพสังหารในเดือนนี้พุ่งทะลุเป้าไปแล้ว กระแสความร้อนแรงนี้ได้แซงนิยายเรื่องก่อนหน้านี้ของฉู่ขวงไปแล้ว!

ลองนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็แล้วกัน

ฉู่ขวงเขียนปรินซ์ออฟเทนนิสจบ คนตั้งไม่รู้เท่าไหร่หัวเราะเยาะคลังหนังสือซิลเวอร์บลูว่าสูญเสียหนังสือขายดีเล่มหนึ่งไปแล้ว ทุกคนคิดว่าต่อให้ฉู่ขวงเขียนแนวการแข่งขันกีฬาออกมาอีก ก็ยากที่จะแตะถึงระดับที่สูงเท่านั้นได้

ตอนนี้เป็นไงล่ะ

ฉู่ขวงไม่เพียงไม่ได้เขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ แต่ถึงกับเขียนหนังสือเรื่องใหม่ที่กระแสความร้อนแรงระเบิดวงการเสียยิ่งกว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส ทำเอาหน้าของเหล่าบรรณาธิการทั้งในวงการและในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูชาไปตามกัน

แน่นอนละ

ส่วนหน้าของหลี่ว์เป่ยถูกตบจนหวานล้ำ

ถ้ารู้แต่แรกว่าหลังจากเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจบลง ฉู่ขวงจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ที่ดังเป็นพลุแตกกว่าเดิม น่ากลัวว่าคู่แข่งพวกนั้นคงต้องภาวนาให้ฉู่ขวงไม่ตัดจบนิยายขนาดยาวเรื่องแรกเลยล่ะมั้ง

ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น

ยามที่วงการนิยายได้เห็นความรุ่งโรจน์ของกระบี่เทพสังหารเป็นประจักษ์แก่สายตา ก็ล้วนงงกันเป็นขบวน

ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พลาดขุมทรัพย์มหาศาลไปอย่างน่าสังเวช ทว่าเมื่อเห็นคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมีผลงานที่ขายดียิ่งกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสออกมา ในใจก็หดหู่ลงไปถนัดตา

“แบบนี้ก็ได้เหรอ”

“เทพเซียนกำลังภายในก็ดัง?”

“มิน่าล่ะคลังหนังสือซิลเวอร์บลูโปรโมตสุดชีวิต ที่แท้ก็ไม่ใช่เพื่อประจบฉู่ขวง แต่เพราะพวกเขามั่นใจในหนังสือเรื่องนี้จริงๆ”

“เรื่องนี้ใครจะไปคิดล่ะ มหาศึกเซียนปะทะมารก็ดังได้”

“แกคิดว่าหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นแบบเดียวกับมหาศึกเซียนปะทะมารจริงเหรอ คำโฆษณาก็บอกแล้วว่าคนเขานิยามแนวเทพเซียนกำลังภายในขึ้นมาใหม่!”

“แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้บอกเหรอว่าคำโฆษณาลวงโลก?”

“แกอย่าพูดมากน่ะ!”

“งั้นพวกเราก็ทำร้ายร้านขายหนังสือพวกนั้นทางอ้อมน่ะสิ ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ไหวแน่ ร้านขายหนังสือต้องฟังที่พวกเราพูด ตอนสั่งสินค้าเลยเพลย์เซฟกัน”

“จุ๊ๆ”

“…”

และระหว่างการถกเถียงกันอย่างคึกคักในสายงาน ในสำนักพิมพ์เฟลอริช

หลูข่ายเยวี่ยบรรณาธิการบริหารก็ตบหน้าผากตนเองเต็มแรง “ฉันว่าแล้วเชียว คิดไว้แล้วเชียว!”

ระเบิด!

หลี่ว์เป่ยซ่อนระเบิดไว้จริงๆ ระเบิดคนตายไปแล้วตั้งเท่าไหร่

คิดๆ ดูแล้วก็จริง หลี่ว์เป่ยเป็นคนฉลาด ถ้าหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวงคุณภาพไม่ดีพอ เขาจะทุ่มทรัพยากรโปรโมตมากมายขนาดนั้นไปทำไม

หลูข่ายเยวี่ยคาดเดาผลลัพธ์นี้ออกล่วงหน้า

ถึงอย่างนั้น หลูข่ายเยวี่ยคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก ว่าฉู่ขวงเขียนนิยายแนวที่ตายไปแล้วให้กลับมามีชีวิตได้อย่างไร!

แนวเทพเซียนกำลังภายในเชียวนะ!

แนวเทพเซียนกำลังภายในเลยนะว้อย!

ห่างจากเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารซึ่งเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในเรื่องล่าสุดตั้งกี่ปีแล้ว

“บ.ก.บริหาร”

บรรณาธิการสามสี่คนเดินเข้ามาเห็นท่าทางตีอกชกหัวของหลูข่ายเยวี่ยเข้าพอดี จึงมองหน้ากันไปมา ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องของฉู่ขวง?

หนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวงดังมาก คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกลายเป็นเรือที่ลอยสูงยามน้ำขึ้น เฟลอริชในฐานะที่เป็นคู่แข่งก็ย่อมหนักใจเป็นธรรมดา

เมื่อนึกถึงตรงนี้

บรรณาธิการหนึ่งในนั้นก็เอ่ยปลอบ “นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้นะครับ ไม่มีใครคาดคิดว่าฉู่ขวงจะเปิดไพ่แปลกๆ เลือกแนวที่ไม่มีคนอ่านมาแบบนี้ แถมยังทำสำเร็จทั้งสองครั้ง”

“พวกนายจะยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ”

หลูข่ายเยวี่ยถลึงตาใส่บรรณาธิการเหล่านั้น

บรรณาธิการเอ่ยขึ้นด้วยความระแวง “งั้นพวกเราควรทำอะไรล่ะครับ”

“ตามกระแสสิ ตามกระแส!”

หลูข่ายเยวี่ยทุบโต๊ะอย่างแรง เจ้าพวกนี้มันสมองหมูชัดๆ ตอบสนองช้าเหลือทน “ให้นักเขียนในความดูแลของพวกนายเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในตามกระแสไปเลย!”

ตั้งแต่วินาทีที่ฉู่ขวงถือกำเนิดขึ้น ทิศทางของกระแสตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไป

………………………………………………………………

นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น

หลังจากที่ชั้นหนังสือด้านหน้าสุดของร้านถูกจัดเรียงจนเต็มอีกครั้ง ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง เรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็ขายหมดเกลี้ยงอีกครั้ง!

“เติมของ!”

เผยตูแทบตะแบงออกมา!

พนักงานในร้านค้าต่างตะลึงงัน

ไม่มีใครคิดว่า เรื่องกระบี่เทพสังหารซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เป็นที่นิยมในตลาด เพิ่งจะวางแผงในวันนี้ยอดขายก็ถล่มทลายแล้ว!

“นี่ยังไม่ถึงสามชั่วโมงเลยล่ะมั้ง”

พนักงานซึ่งทำหน้าที่เติมสินค้ามีสีหน้าพิลึก

ไม่ถึงสามชั่วโมงเติมสินค้าสองรอบ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังสือขายดีเท่านั้นนะ ก่อนหน้านี้คนบอกกันไม่ใช่เหรอว่ากระบี่เทพสังหารไม่ได้เรื่อง

แบบนี้บ้านเอ็งเรียกว่าไม่ได้เรื่องเรอะ

งั้นอะไรที่ได้เรื่อง เอามาให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยซิ

และในขณะที่ชั้นหนังสือถูกเติมเต็มด้วยกระบี่เทพสังหารอีกครั้ง จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาจากด้านนอก แทบจะวิ่งฉิวมายังข้างกายของเผยตู เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ผู้จัดการใหญ่ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ”

คนคนนี้คือเลขาของเผยตู

ความสนใจทั้งหมดของเผยตูไปกองอยู่ที่กระบี่เทพสังหาร ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจจะไปสนใจว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของตนดังขึ้นหรือเปล่า “ไม่ได้ยิน มีเรื่องอะไร”

“ดังแล้วครับ!”

เลขาพูดอย่างตื่นเต้น “กระบี่เทพสังหารดังเป็นพลุแตกเลยครับ สาขาอื่นๆ ในเมืองซูจนถึงตอนนี้ก็คึกคักมาก โชคดีที่คุณสั่งซื้อมาทีเดียวเจ็ดแสนเล่ม ไม่งั้นสาขาพวกนั้นสินค้าขาดแน่เลยครับ!”

“สาขาอื่นก็…”

น้ำเสียงของเผยตูสั่นเครือ อันที่จริงเขาก็พอจะคาดเดาแนวโน้มของสาขาอื่นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่เมื่อได้ยินเลขาพูดแบบนี้แล้วก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้

เขาเดิมพันชนะแล้ว!

เลขาจับสังเกตคำว่า ‘ก็’ ในคำพูดของเผยตูได้อย่างฉับไว หันหน้าไปเล็กน้อยก็เห็นว่าไม่ไกลออกไปมีลูกค้าหลายคนจ่ายเงินอยู่หน้าแคชเชียร์ หนังสือที่กำลังถืออยู่ในมือก็คือเรื่องกระบี่เทพสังหาร

แต่ละสาขาแทบระเบิดแล้ว!

ดังกว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสซะอีก!

เขาพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ยกนิ้วโป้งให้เผยตู แถมยังตามมาด้วยคำประจบประแจงชุดใหญ่ “ผู้จัดการใหญ่วิสัยทัศน์กว้างไกลสุดๆ ไปเลยครับ ที่แท้คุณก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมาตั้งแต่แรก บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจเรื่องกระบี่เทพสังหารดีไปกว่าคุณแล้วครับ!”

“เมื่อวานนายไม่ได้พูดแบบนี้นี่”

เลขาชะงักค้าง ในตอนนั้นก็ตอบด้วยรอยยิ้มขื่น “เพราะแบบนี้ผมถึงเป็นได้แค่เลขาตัวน้อยๆ ไงครับ คุณถึงเป็นผู้จัดการใหญ่ของพวกเรา พวกเราทั้งบริษัทติดค้างคำขอโทษกับคุณ เป็นพวกเราที่ตามืดบอดเอง มองไม่ออกว่าผู้จัดการใหญ่สายตากว้างไกลขนาดไหน!”

เผยตูอกผายไหล่ผึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขารู้สึกสดชื่นสบายใจประหนึ่งได้กินแตงโมไร้เมล็ดเย็นฉ่ำในฤดูร้อน รู้สึกเพียงว่าความอ่อนล้าจากการอดนอนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เห็นทีวันนี้คงจะได้หลับสบาย

บริษัทเสียหาย?

สต็อกเจ็ดแสนเล่ม?

ฝังศพตัวเอง?

ขอโทษด้วย กระบี่เทพสังหารเจ็ดแสนเล่มนี้เป็นบันไดให้ฉันเผยตูปีนขึ้นฟ้าต่างหาก ปีหน้าก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำให้ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่สั่นคลอนอีก ถ้าเบื้องบนไม่ให้โบนัสปลายปีฉัน ก็อย่ามาโทษที่ฉันโวยวายก็แล้วกัน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้

ทันใดนันเผยตูก็นึกถึงบทสนทนาในโทรศัพท์ ประโยคสุดคลาสสิกของหลี่ว์เป่ย ‘เชื่อฉันแล้วชีวิตจะดี เชื่อฉู่ขวงแล้วเป็นอมตะ!’

“สุดยอด สุดยอดไปเลยครับ!”

เลขาพลันยกย่องชื่นชม

เผยตูไม่ได้สนใจคำประจบประแจง จู่ๆ เขาก็นึกสงสัยขึ้นมา ไม่รู้ว่าร้านหนังสือร้านอื่นในฉินโจวจะคิดยังไง พวกเขาเหมือนจะสั่งสินค้าเข้ามาน้อยมาก พอขายหรือ?

ช่วงต้นเดือนเป็นช่วงเวลาที่ร้านหนังสือขายดีที่สุด ดังนั้นร้านหนังสือใหญ่แต่ละร้านจึงให้ความสำคัญมาก ร้านหนังสือชื่อดังอันดับต้นๆ ก็ยิ่งพยายามสุดกำลัง เตรียมพร้อมทำการใหญ่ในช่วงนี้!

แต่ไม่นานก็พบว่า…

สถานการณ์ออกจะแปลกชอบกล

แปลกมากๆ

คล้ายกับว่ากว่าร้อยละ 50 ของลูกค้า หลังจากที่เข้ามาในร้านและกวาดตามองหนังสือใหม่ของเดือนนี้ ก็ล้วนแต่เลือกหยิบเรื่องกระบี่เทพสังหารพร้อมกัน

“ทำไมกัน”

เมื่อค้นพบปรากฏการณ์นี้ ร้านหนังสือใหญ่แต่ละร้านต่างก็รู้สึกงุนงง

ไม่ได้บอกว่านิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในอย่างกระบี่เทพสังหารขายยากหรอกหรือ ไม่ได้บอกว่าหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะขายไม่ออกหรอกหรือ?

หนังสือขายดีขนาดนี้จะเรียกว่าขายไม่ออกได้ยังไง

แน่นอนว่าหนังสือขายดีย่อมเป็นเรื่องดี เปิดร้านขายของ เป้าหมายก็คือหาเงิน สำหรับร้านขายหนังสือขนาดใหญ่แล้ว ลูกค้าจะซื้ออะไรก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ

แต่ปัญหาคือ…

เรื่องกระบี่เทพสังหารในสต็อกสินค้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว!

รู้ทั้งรู้ว่าลูกค้ามีเงินพร้อมควักจ่าย แต่กลับซื้อของไม่ได้ จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

พรึ่บๆๆ!

ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เริ่มจากร้านหนังสือร้านไหน หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่สรุปแล้วร้านหนังสือใหญ่วุ่นวายไปหมดแล้ว!

“หนังสือเล่มนี้ ทำไมไม่มีขายล่ะ”

“กระบี่เทพสังหารของพวกเราขายหมดแล้ว!”

“เติมของไปสามรอบก็ขายหมดเกลี้ยง!”

“เถ้าแก่ เรื่องกระบี่เทพสังหารไม่พอขายแล้วค่ะ!”

“ทำไมสั่งกระบี่เทพสังหารเข้ามาแค่หมื่นเล่มเองล่ะ!”

“สต็อกห้าหมื่นเล่ม ขายไปแล้วสี่หมื่นเล่ม นี่ช่วงเช้าเองนะ ช่วงบ่ายจะทำยังไง”

“เวรเอ๊ย ใครก็ได้บอกผมทีว่าทำไมเรื่องนี้มันขายเร็วขนาดนี้!”

“…”

ยามที่คลังสินค้าของร้านหนังสือขนาดใหญ่แต่ละแห่งเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน คนขายหนังสือหลายเจ้าก็ได้แต่งงงัน

เว้นเสียแต่ศูนย์หนังสือจิ้งอัน

แม่บ้านที่ปราดเปรื่องไม่อาจทำอาหารได้หากไร้ซึ่งข้าวสาร[1]!

สำหรับร้านขายหนังสือเหล่านี้ เรื่องที่ชวนอนาถใจที่สุดในโลก ก็คือหนังสือเข้ามามากเกินไป แล้วขายไม่หมด

ทว่าเรื่องที่ชวนสลดยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นี่แหละ

ในกระเป๋าลูกค้ายังมีเงินจ่าย แต่หนังสือหมดแล้ว!

“ไม่เป็นไรหรอก ร้านอื่นก็ของหมดเหมือนกัน”

มีหัวหน้าคนหนึ่งอุตส่าห์กล่าวปลอบผู้รับผิดชอบของแต่ละสาขา

โดยปกติแล้วก็จะปลอบกันเช่นนี้ เมื่อร้านค้าคาดคะเนยอดขายหนังสือเล่มหนึ่งผิดพลาด หลังจากนั้นก็สั่งการให้เร่งสินค้าก็จบเรื่อง

สำหรับเรื่องนี้

มีผู้รับผิดชอบร้านหนังสือบางสาขาจำเป็นต้องเอ่ยเตือนหัวหน้า “ศูนย์หนังสือจิ้งอันใกล้ๆ นี้สั่งกระบี่เทพสังหารเข้ามาตั้งเจ็ดแสนเล่มเลยนะครับ ทางเราไม่มีของแล้วจริงๆ แต่ร้านพวกเขายังมีสินค้าเหลือเฟือ”

หัวหน้า “…”

เรื่องนี้เท่ากับกำลังเตือนผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของแต่ละร้านหนังสือใหญ่ ว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เรื่องกระบี่เทพสังหารขายดี ปัญหาก็คือก่อนหน้านี้พวกเราสั่งสินค้าเข้ามาน้อยเกินไป!

แต่เพื่อนเอ๋ย ฉันต้องให้นายเตือนด้วยหรือไง

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าศูนย์หนังสือจิ้งอันสั่งกระบี่เทพสังหารมารวดเดียวเจ็ดแสนเล่ม อย่างกับไปกินยาผิดสำแดงมา

เมื่อคืนพวกเราเพิ่งจะหัวเราะเยาะผู้จัดการของพวกเขาไป!

วงการหนังสือของฉินโจวในตอนนี้เรียกได้ว่าร้องระงมเป็นห่านกลางทุ่งหญ้า!

ร้านหนังสือขนาดใหญ่บางแห่งบ่นกันอย่างหัวเสีย ‘ก่อนหน้านี้ใครบอกฟระว่ากระบี่เทพสังหารเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายใน ขายไม่ออกแน่ แสดงตัวมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปทุบให้หลังหัก!’

‘ผมสั่งเข้ามาแค่ห้าหมื่นเล่มเอง!’

‘ฉันสั่งมาแค่สามหมื่นเล่มเอง’

‘งั้นผมสั่งเข้ามาแค่หนึ่งหมื่นเล่มไม่ใช่ต้องเอาหัวโขกเต้าหู้แผ่นตายหรือไง’

‘ส่วนฉัน สั่งมาห้าหมื่นเล่ม’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…คุณน่าสงสารมาก…ฉันแก่แล้วจริงๆ นะเนี่ย…ทำไมหัวเราะอยู่ดีๆ …ก็ร้องไห้ออกมา…’

‘…’

กลุ่มแช็ตของคนในสายอาชีพร้านหนังสือ

ร้านหนังสือแต่ละร้านเริ่มประชันความเอน็จอนาถกัน

ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ เผยตูก็ปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มพร้อมกับภาพดิสเพลย์รูปศูนย์หนังสือจิ้งอัน ‘ศูนย์หนังสือจิ้งอันของเราสั่งมาแค่เจ็ดแสนเล่มเอง คิดว่าอาจจะไม่พอขาย’

ไม่ผิดหรอก เขากำลังโอ้อวดอยู่!

เผยตูจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าคาดหวัง จากนั้นเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนจากระบบว่า

‘คุณถูกลบออกจากกลุ่ม’

………………………………………………………..

[1] แม่บ้านที่ปราดเปรื่องไม่อาจทำอาหารได้หากไร้ซึ่งข้าวสาร เปรียบเปรยว่าเรื่องหนึ่งๆ ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้หากไร้ปัจจัยที่จำเป็น

คืนสุดท้ายของเดือนมิถุนายน

เรื่องกระบี่เทพสังหารทั้งหมดเจ็ดแสนเล่มได้ทยอยย้ายเข้ามาในแต่ละคลังสินค้าใหญ่และชั้นหนังสือของศูนย์หนังสือจิ้งอัน จนในบริษัทพากันแตกตื่น!

“เผยตูคุณบ้าไปแล้ว?”

“สั่งกระบี่เทพสังหารมาเจ็ดแสนเล่ม?”

“คุณไม่รู้เหรอว่าร้านหนังสืออื่นในฉินโจวเขาสั่งกันเท่าไหร่”

“มากสุดก็ยังไม่ถึงหนึ่งแสนเล่ม!”

“คนอื่นหลบหลีกกันแทบแย่ คุณกลับมองว่าจะเป็นหนังสือขายดี?”

“คุณคงไม่ได้ค่าคอมมิชชันจากคลังหนังสือซิลเวอร์บลูหรอกใช่มั้ย”

เผยตูได้รับโทรศัพท์จากผู้บริหารระดับสูงหลายคนอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็ตำหนิกล่าวโทษ บ้างก็คลางแคลงสงสัย บ้างก็กังวลใจ เขาล้วนตอบกลับไปเหมือนกันทุกสายว่า “ถ้าเกิดปัญหา ผมจะรับผิดชอบเอง”

เสียใจมั้ยน่ะเหรอ

ก็มีบ้างเล็กน้อย

ปฏิกิริยาของผู้บริหารระดับสูงนั้นรุนแรงกว่าที่เผยตูจินตนาการไว้ แม้แต่ลูกน้องของเขาเองก็ยังมีสีหน้ากังวล คิดว่าเผยตูถูกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูหลอกแล้ว

“ผู้จัดการใหญ่ลำบากแล้ว”

“คลังหนังสือซิลเวอร์บลูต้องรู้ว่าหนังสือขายไม่ออกแล้ว เลยเอามาขายพวกเราแน่เลย”

“ทำได้แค่ภาวนาให้พรุ่งนี้มีคนอ่านมาซื้อไปให้มากหน่อย”

“สต็อกเจ็ดแสนเล่ม ขายได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นเถอะ”

“ยิ่งเหลือเยอะ ผู้จัดการก็ต้องรับผิดชอบมาก”

“…”

เผยตูกัดฟัน

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะเสียใจไปก็ไร้ประโยชน์

เขาขบกรามแน่น มีคำสั่งลงไปสามเรื่อง

เรื่องแรก หัวข้อใหญ่ของเว็บไซต์บริษัทในวันพรุ่งนี้ต้องเหลือพื้นที่ไว้สำหรับกระบี่เทพสังหาร

เรื่องที่สอง ตั้งแค่คืนนี้เป็นต้นไป ให้เปลี่ยนแบนเนอร์โฆษณาของร้านหนังสือในเครือศูนย์หนังสือจิ้งอันให้เป็นกระบี่เทพสังหาร

เรื่องที่สาม ชั้นด้านหน้าของร้านหนังสือในเครือศูนย์หนังสือจิ้งอันทั้งหมด จัดวางได้แค่เรื่องกระบี่เทพสังหาร หนังสือเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดให้วางด้านหลัง

เผยตูจะทำให้ทุกคนเห็นเรื่องกระบี่เทพสังหารทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในศูนย์หนังสือจิ้งอัน

“ได้ครับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาทำได้เพียงปฏิบัติตาม

ผู้จัดการใหญ่เสียสติไปแล้ว

และการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในศูนย์หนังสือจิ้งอันนี้ย่อมไม่อาจปิดบังคนในวงการซึ่งข่าวสารฉับไวได้ ปฏิกิริยาที่ทุกคนมีต่อข่าวเขย่าขวัญในครั้งนี้ล้วนเหมือนกัน

เผยตูบ้าไปแล้ว!

ไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วคลังหนังสือซิลเวอร์บลูกรอกยาอะไรให้เผยตูกันแน่ ถึงทำให้เผยตูเล่นใหญ่ซะขนาดนี้ จนถึงขั้นนำตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของตนมาล้อเล่นแบบนี้

“เดิมพันสุดๆ ไปเลย”

“เผยตูเป็นแฟนคลับฉู่ขวง?”

“นอกจากแฟนคลับของฉู่ขวง ฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะยังมีใครที่เชื่อมั่นในกระบี่เทพสังหารได้มากขนาดนี้”

“ไม่แน่เขาอาจโดนไล่ออก”

“ทุกคนเพลย์เซฟกันซะขนาดนี้ เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงเอง”

“…”

ระหว่างสำนักพิมพ์นั้นมีการแข่งขัน ระหว่างร้านหนังสือแต่ละร้านในฉินโจวก็ย่อมมีการแข่งขันเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าศูนย์หนังสือจิ้งอันเล่นใหญ่ถึงขนาดนี้ หลายคนก็พากันหัวเราะเยาะ

ถ้าหนังสือขายได้ ศูนย์หนังสือจิ้งอันก็ยังรับมือไหวแหละน่า

ยอดขายเจ็ดแสนเล่มต่อให้ขายไม่ออกทั้งหมดก็ยังไม่เป็นไร ศูนย์หนังสือจิ้งอันในฐานะที่เป็นเชนร้านหนังสืออันดับต้นๆ ของประเทศ ไม่มีทางไร้ซึ่งความสามารถในการรับมือแค่นี้หรอก

แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นความเสียหายที่ไม่น้อยเลย

ถ้าหากเรื่องกระบี่เทพสังหารล้มเหลวไม่เป็นท่า ท่ามการกลางแข่งขันที่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ ชื่อเสียงของศูนย์หนังสือจิ้งอันจะต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างแน่นอน

นี่สิถึงจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนดีใจที่สุด

รอให้ถึงพรุ่งนี้เลย!

ในคืนนั้น ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนเฝ้ารอวันถัดไป

ส่วนเผยตูเอง กลับเป็นคืนที่ข่มตาหลับไม่ลง รู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ สุดท้ายก็อดนอนไปจนสว่าง

“ทรมานเหลือเกิน”

คนเราเมื่ออายุมาก ความสามารถในการโต้รุ่งนั้นต่ำมาก ปีนี้เผยตูอายุสี่สิบ อดนอนมาหนึ่งคืน รู้สึกเพียงว่าสมองแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลังจากดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง สภาพของเขาก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย

หรือว่าจะนอนต่อดี?

เผยตูส่ายหน้า ตัดสินใจไปที่ร้านหนังสือสักหน่อย ไม่งั้นจิตใจคงไม่เป็นสุขแน่

……

ศูนย์หนังสือจิ้งอันในฐานะที่เป็นร้านหนังสืออันดับห้าของฉินโจว ลำพังในเมืองซูก็มีตั้งหลายสาขาแล้ว เผยตูไปยังสาขาที่ใหญ่ที่สุด

สาขานี้มีสามชั้น

หลังจากที่เผยตูไปแล้ว ก็ให้คนเปิดประตู เดินเข้าไปตรวจสอบดูสักรอบ

ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามความต้องการของเขา ใช้แบนเนอร์ทั้งหมดสำหรับโปรโมตเรื่องกระบี่เทพสังหาร

ชั้นหนังสือแถวแรก โดยทั่วไปจะเป็นหนังสือแนะนำจากทางร้าน จัดวางเรื่องกระบี่เทพสังหารไว้เช่นเดียวกัน

ทั้งเมืองซู…

ไม่สิ น่าจะทั้งฉินโจว เห็นจะมีเพียงศูนย์หนังสือจิ้งอันที่ดันขายกระบี่เทพสังหารสุดชีวิตขนาดนี้

“ผู้จัดการครับ ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการเลย”

พนักงานในร้านเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งอย่างระแวดระวัง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้ว่าเผยตูกำลังเผชิญกับอะไร

“ไม่เป็นไร”

เผยตูโบกมือ หามุมหนึ่งนั่งลง หลับตาทำสมาธิ

ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าพูดอะไรมาก ต่างคนต่างเตรียมตัวเริ่มงานในวันนี้

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

ร้านหนังสือก็เปิดประตูแล้ว

เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้น ปลุกให้เผยตูตื่นขึ้นมา เขาขยี้ตาเบาๆ มองไปยังลูกค้ามากมายที่เดินเข้าประตูมา

เอ๊ะ?

ลูกค้าหลายคนหลังจากที่เข้ามาในร้าน ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย

เพราะทั้งศูนย์หนังสือจิ้งอัน ตั้งแต่แบนเนอร์ วอลเปเปอร์ ไปจนถึงบนชั้นหนังสือ ก็มีแต่กระบี่เทพสังหาร จะไม่ให้สังเกตเห็นเลยก็คงยาก

มีหนังสือน้อยนักที่ได้รับการโปรโมตยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้

เพราะฉะนั้น นักอ่านที่สงสัยใคร่รู้ก็หยิบกระบี่เทพสังหารขึ้นมาอ่าน

ความง่วงของเผยตูอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา เขาใช้ดวงตาแดงก่ำจ้องมองลูกค้าแต่ละคนที่หยิบกระบี่เทพสังหารขึ้นมา ทั้งห้วงความคิดมีเพียงสองคำ

ซื้อเลย!

ซื้อเลย!

ซื้อเลย!

เผยตูถึงขั้นแทบอยากเดินลงไปแนะนำสินค้าให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าตนไม่ได้สวมเครื่องแบบของร้าน เดินดุ่มเข้าไปก็รังแต่จะทำให้ลูกค้าตกใจ

เขาทำให้ลูกค้าตกใจจริงๆ นั่นแหละ

ลูกค้าบางคนที่หยิบเรื่องกระบี่เทพสังหารขึ้นมาอ่าน จู่ๆ หางตาก็สังเกตเห็นว่าผู้ชายคนหนึ่งกำลังใช้ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดจ้องมองมายังตน พานให้ตกใจจนแทบทำหนังสือกระเด็นหลุดจากมือ

“ขอโทษครับ”

เผยตูกระแอมครั้งหนึ่ง โบกมือไหวๆ เพื่อแสดงการขอโทษ ก่อนที่จะเบนสายตาออกไป เพียงแต่ยังคงปรายตามองไปยังลูกค้าเหล่านั้น ในใจคำรามลั่นอย่างไม่ลดละ

ซื้อเลย!

ซื้อเลย!

ซื้อเลย!

ประหนึ่งมีพลังจริงๆ หลังจากที่จิตวิญญาณของเผยตูคำรามร้องไปหนึ่งคำรบ ลูกค้าคนแรกที่หยิบกระบี่เทพสังหารขึ้นมาก็เดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์จริงๆ

จากนั้นไม่ทันไร

ลูกค้าก็หยิบกระบี่เทพสังหารขึ้นมาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ร้านหนังสือแนะนำซะอลังการงานสร้าง สำหรับลูกค้าแล้วก็นับว่าได้ผลทีเดียว

คนที่สอง…

คนที่สาม…

คนที่สี่…

คนที่ห้า…

ลูกค้าหยิบเรื่องกระบี่เทพสังหารไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพนักงานหน้าแคชเชียร์เองต่างก็มองหน้ากัน

ดูเหมือนจะขายดีมากอยู่นะ?

เป็นผลจากการโฆษณาหรือเปล่า

คำตอบของคำถามเหล่านี้ปรากฏขึ้นราวครึ่งชั่วโมงให้หลัง เพราะบนชั้นซึ่งวางเรื่องกระบี่เทพสังหารไว้นั้น ในตอนนี้ขายออกไปแล้วสองในสามส่วน ถึงขั้นว่าด้านบนสุดของชั้นนั้นว่างเปล่าไปแล้ว ความเร็วในการขายนี้เร็วจนน่ากลัวเลยละ!

“ดังขนาดนั้นเลย?”

หญิงสาวหน้าแคชเชียร์หลายคนจ้องมองตาโต ประสบการณ์จากการทำงานเป็นแคชเชียร์ในร้านหนังสือบอกพวกเธอว่านี่ไม่ได้เป็นผลจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียว!

สิ่งที่ตัดสินยอดขายของผลงานก็คือคุณภาพ!

การโฆษณาเป็นเพียงการเติมบุปผาบนดิ้นแพรก็แค่นั้น!

ไม่นาน ก็มีลูกค้าอีกคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าแคชเชียร์ ด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น ถือเรื่องกระบี่เทพสังหารมาหนึ่งเล่ม พลางเอ่ยว่า

“คิดเงินค่ะ”

“หนังสือเรื่องนี้สนุก?” พนักงานหญิงสาวหน้าแคชเชียร์ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าด้วยสถานะของตน ถามคำถามแบบนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก

“แหะๆ ”

ลูกค้าชะงักไป ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นประโยคคำถามเหรอคะ”

“ต้องเป็นประโยคบอกเล่าสิครับ”

ไม่รู้ว่าเผยตูมาปรากฏตัวที่แคชเชียร์ตั้งแต่เมื่อไหร่

เขายิ้มบางให้กับลูกค้า จากนั้นก็หันหลังไปบีบเสียง แล้วตะโกนออกมาอย่างดุดันด้วยเสียงขึ้นจมูก

“ทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบให้คนไปเติมสินค้าอีก!”

บรรดาพนักงานหน้าแคชเชียร์งงงันไปชั่วขณะ ในตอนนั้นถึงตระหนักได้ว่าที่แท้เรื่องกระบี่เทพสังหารบนชั้นก็ใกล้จะหมดแล้ว

…………………………………………..

“แกเขียนเพลงอะไรอะ”

“ให้ฉันฟังหน่อย”

“ทำไมไม่ให้ฉันฟังบ้าง”

“ของฉันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นปะแก”

สำหรับสาขาการประพันธ์เพลง ผลงานในการประเมินประจำภาคการศึกษาในครั้งนี้ ทุกคนดูคล้ายว่าจะอุบเงียบไว้ ต่างคนต่างระแวดระวังกัน ด้วยท่าทีว่าเพลงของฉันยอดเยี่ยมเหลือเกิน น้อยนักที่จะมีคนเปิดเผยเพลงของตนเองล่วงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ดำเนินมาถึงสิ้นเดือน ทุกคนส่งผลงานของตน

หลินเยวียนก็ส่งเพลงเช่นกัน

ความรู้สึกของนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงจำนวนมากนั้นเข้าใจได้ ทุกคนที่เลือกสาขานี้ก็ล้วนมีความฝัน

อยากเป็นพ่อเพลง และหลินเยวียนก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจผลงานของเพื่อนร่วมชั้นได้ดีที่สุด เพราะเขามีส่วนร่วมในการบรรเลงทำนองให้กับร้อยละเจ็ดสิบของเพื่อนร่วมชั้น

หากพูดกันอย่างเป็นกลาง

หลินเยวียนรู้สึกว่ามีผลงานของเพื่อนร่วมชั้นบางคนที่ไม่เลวเลย สภาพแวดล้อมด้านดนตรีของฉินโจวง่ายต่อการผลิตนักแต่งเพลงฝีมือดี ไม่แน่ว่าต่อไปในชั้นเรียนอาจมีปรมาจารย์ในวงการถือกำเนิดขึ้นสักคนสองคนก็เป็นได้

จะว่าไปแล้ว

หลินเยวียนก็มีความมั่นใจในเพลงความฝันแรกมากทีเดียว ในฐานะหนึ่งในเพลงให้กำลังใจซึ่งมีอิทธิพลที่สุดทั่วบ้านทั่วเมือง ความยอดเยี่ยมของเพลงนี้เป็นประจักษ์แล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ามีบางคนอาจยังไม่ค่อยรู้ ว่าเพลงนี้ไม่ใช่ผลงานต้นฉบับของที่นี่ แต่เป็นเพลงคัฟเวอร์ซึ่งฟ่านเหว่ยฉี[1] นักร้องแห่งแดนชานมไข่มุกนำมาจากซิงเกิลชื่อดังของนากาจิมะ มิยูกิ[2] ราชินีเพลงจากแดนอาทิตย์อุทัย

ชื่อเพลงว่า ‘ขี่หลังมังกรเงิน’

มิน่าล่ะในแดนมังกรถึงได้มีคำกล่าวว่านากาจิมะ มิยูกิได้อุ้มชูวงการเพลงภาษาจีน เพลงจากฮ่องกงและไต้หวันซึ่งคนส่วนมากชื่นชอบในช่วงวัยรุ่น เมื่อโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เพลงเหล่านี้ก็เป็นเพลงคัฟเวอร์ของผลงานจากแดนปลาดิบทั้งนั้น

ในช่วงสิ้นเดือนเดียวกันนี้

แผนกตีพิมพ์ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูกำลังรวบรวมยอดพรีออเดอร์เรื่องกระบี่เทพสังหารจากร้านหนังสือใหญ่แต่ละแห่ง จากรายงานของเจ้าหน้าที่ในสังกัด สีหน้าของซืออวิ๋นหัวหน้าหญิงแผนกตีพิมพ์ขณะที่พูดดูดีทีเดียว

“ร้านหนังสือหวาซินแปดหมื่นเล่ม”

“ร้านหนังสือหลงเสียงห้าหมื่นเล่ม”

“ศูนย์หนังสือปาฟางสามหมื่นเล่ม”

“ชมรมหนังสือหย่าจื้อสองหมื่นเล่ม”

“ร้านหนังสือเตียนเฟิงหนึ่งหมื่นเล่ม”

“ศูนย์หนังสือสือกวงหนึ่งหมื่นเล่ม”

ยอดรวมยังคงดำเนินต่อไป สีหน้าของซืออวิ๋นกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

กองบรรณาธิการของบริษัทเรียกได้ว่ามั่นอกมั่นใจในหนังสือเรื่องกระบี่เทพสังหารนี้เสียเต็มเปี่ยม

บรรณาธิการบริหารสั่งการด้วยตนเอง ดังนั้นจำนวนในการตีพิมพ์ครั้งแรกของหนังสือเล่มนี้จึงสูงถึงหนึ่งล้านเล่ม รามกับมั่นใจแล้วว่ายอดขายของนิยายเรื่องนี้ไม่มีทางเลวร้าย

ทว่าเห็นได้ชัดว่าตลาดนิยายไม่ได้คิดเช่นนั้น

ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูตีพิมพ์เรื่องกระบี่เทพสังหารออกมาถึงหนึ่งล้านเล่ม

แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่ซืออวิ๋นเห็นผลของสถิติ ยอดสั่งจองของร้านหนังสือน้อยใหญ่ในฉินโจวรวมกันแล้วก็ยังไม่เกินสองแสนแปดหมื่นเล่ม

อันที่จริงยังมีร้านหนังสือส่วนหนึ่งที่ตัดสินจากผลงานของนิยายเล่มก่อนของฉินโจว

“น้อยเกินไปแล้วล่ะมั้ง”

ลูกน้องของซืออวิ๋นซึ่งยืนอยู่ด้านซ้ายมือขมวดคิ้วมุ่น “ครั้งนี้พวกเราโปรโมตกันยิ่งใหญ่มาก ตามหลักแล้วยอดสั่งจองไม่มีทางน้อย แต่ตอนนี้ยอดสั่งจองออกจะน้อยไปหน่อยนะครับ ดูแล้วร้านหนังสือพวกนี้จะเหมือนกับหลายๆ สำนักพิมพ์ในวงการ คิดว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารจะขายไม่ดี”

นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายใน

ทันทีที่ข้อมูลนี้หลุดลอดออกไป ในวงการก็ปรากฏการถกเถียงต่างๆ นานา โดยทั่วไปแล้วจะมีสักกี่คนที่ชื่นชอบแนวเทพเซียนกำลังภายใน

หลายคนคิดว่าหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงนี้จะต้องขายไม่ออก

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูยอมตีพิมพ์ อาจเป็นเพราะไม่อาจปฏิเสธฉู่ขวงที่ยืนกรานจะตีพิมพ์

ต่อให้หนังสือไม่ได้ห่วย ยอดขายก็ไม่มีทางเทียบกับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก่อนหน้านี้ของฉู่ขวงได้

ในอินเทอร์เน็ตถึงขั้นมีคนทำแบบสำรวจมาโดยเฉพาะ กลุ่มเป้าหมายของแบบสำรวจคือเหล่านักอ่านเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

ผู้ที่กรอกแบบสำรวจมีสามตัวเลือก โดยถามว่าพวกเขาสนับสนุนหนังสือแนวเทพเซียนกำลังภายในเล่มใหม่ของฉู่ขวงหรือไม่

ผลลัพธ์คือ 6:3:1

ร้อยละหกสิบเลือกไม่สนับสนุน ร้อยละสามสิบเลือกสนับสนุน และร้อยละสิบของนักอ่านเลือกรอดูก่อน

ผลลัพธ์นี้ดูไม่เป็นไปในทางบวกนักสำหรับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง

ในตอนนี้ ร้านหนังสือแต่ละแห่งก็แลดูจะเห็นตรงกัน ไม่ได้ถูกอกถูกใจผลงานใหม่สักเท่าไหร่ ดังนั้นยอดสั่งจองจึงค่อนไปทางระมัดระวังไว้

สำหรับซืออวิ๋นแล้ว ก็นับว่าเป็นสัญญาณอันตราย!

หนังสือหนึ่งล้านเล่ม ขายออกไปได้สองแสนแปดหมื่นเล่ม งั้นที่เหลืออีกเจ็ดแสนสองหมื่นเล่มคงไม่ได้สูญเปล่าหรอกใช่ไหม

เธอตัดสินใจไปคุยกับบรรณาธิการบริหารดูสักหน่อย

หลี่ว์เป่ยบรรณาธิการบริหารกำลังนั่งเปิดอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องทำงาน เมื่อเห็นซืออวิ๋นมา ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ยอดสั่งจองเป็นยังไงบ้างครับ”

“ยอดรวมสองแสนแปดหมื่นเล่มค่ะ” สีหน้าของซืออวิ๋นแลดูวิตกกังวล

หลี่ว์เป่ยชะงักไป ขายออกไปแค่นี้เองหรือ?

เขายิ้มกล่าว “เรื่องนี้จะโทษร้านหนังสือก็ไม่ได้ ถ้าลองคิดกลับกันผมก็คงไม่กล้าสั่งมาก ถ้าเกิดขายไม่ออกจะทำ ยังไง”

ซืออวิ๋น “…”

แล้วคุณจะให้ฉันตีพิมพ์มาตั้งเยอะแยะทำไมล่ะเนี่ย

แถมยังยิ้มแป้นแล้นมีความสุขแบบนี้อีก?

หลี่ว์เป่ยย่อมไม่ล่วงรู้ถึงความคิดในใจของซืออวิ๋น รอยยิ้มของเขายังคงสดใส “ร้านหนังสือสิบอันดับแรกพวกเราได้ยอดสั่งจองใช่ไหมครับ”

ซืออวิ๋นตอบ “ศูนย์หนังสือจิ้งอันยังไม่ได้ยอดค่ะ”

หลี่ว์เป่ยพยักหน้า “ออเดอร์ของศูนย์หนังสือจิ้งอันเดี๋ยวผมคุยเอง”

พูดจบ หลี่ว์เป่ยก็ยกหูโทรศัพท์

ซืออวิ๋นไม่ได้พูดอะไร รออยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ

โทรศัพท์ต่อสายติดอย่างรวดเร็ว ประโยคแรกที่หลี่ว์เป่ยพูดก็คือ “เผยตู สนใจเล่นใหญ่มั้ย”

“เล่นใหญ่แค่ไหนล่ะ”

เผยตูผู้จัดการใหญ่ของศูนย์หนังสือจิ้งอันเบ้ปากกล่าว “จะมาโน้มน้าวให้ฉันสั่งเรื่องกระบี่เทพสังหารสินะ ฉันกำลังคิดว่าจะติดต่อนายไป เอามาสักแสนเล่มเป็นไง”

“นายไม่เชื่อใจฉู่ขวงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจฉู่ขวง ฉันไม่เชื่อใจแนวเทพเซียนกำลังภายใน พวกเราพูดกันแบบไม่ปิดบังเลยนะ น้ำเต้าของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูของนายขายยาอะไรกันแน่[3]”

หลี่ว์เป่ยตอบเสียงเรียบ “ฉันขายยาบำรุงขนานดี!”

ซืออวิ๋นเบ้ปาก เธอรับผิดชอบเพียงการตีพิมพ์และจัดจำหน่าย ไม่ได้รู้เรื่องนิยายสักเท่าไหร่

เผยตูหัวเราะขื่น “ศูนย์หนังสือจิ้งอันเป็นเชนร้านหนังสือที่ยอดขายสินค้าสูงเป็นอันดับห้าของประเทศ นายรู้ว่าตำแหน่งผู้จัดการใหญ่นี่ฉันก็เพิ่งนั่งมาได้ปีเดียว แถมยังไม่ได้มั่นคงอะไร ด้านล่างมีแต่สายตาที่คอยจับผิดฉัน ถ้านายแกล้งฉันแรงเกินไป ปีหน้าฉันอาจต้องย้ายก้นลงจากตำแหน่ง”

“ถ้าอยากนั่งตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของศูนย์หนังสือจิ้งอันอย่างมั่นคง นายก็เชื่อฉัน สั่งไปเลยหนึ่งล้านเล่ม!”

ซืออวิ๋นอยากเอ่ยเตือนหลี่ว์เป่ย ว่าบริษัทไม่ได้มีสต็อกมากมายขนาดนั้น

ทว่าทันใดนั้นสมองก็พลันกระจ่าง ผู้รับผิดชอบของศูนย์หนังสือจิ้งอันไม่ใช่คนโง่เขลา จะไปถูกคุณหลอกได้อย่างไร

เป็นดังคาด

เผยตูหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ เขากับหลี่ว์เป่ยนับว่าเป็นมิตรสหายที่ความสัมพันธ์ไม่เลว น้ำเสียงจึงไม่ได้แฝงความกังวลมากนัก “ไม่ได้ล่ะมั้งเพื่อนเอ๊ย นายกล้าตีพิมพ์หนึ่งล้านเล่มเชียว?”

“เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจหรอก” หลี่ว์เป่ยพูดอย่างไม่รีบร้อน

เผยตูกัดฟัน “งั้นฉันเล่นกับนายก็ได้ เอามาห้าแสนเล่มก็แล้วกัน”

เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลอกตน

ถ้าหากอีกฝ่ายกล้าหลอกตน หลังจากนี้ก็เท่ากับล่วงเกินศูนย์หนังสือจิ้งอัน นอกจากนั้นแล้วทั้งสองก็ยังมีมิตรภาพระหว่างกัน คุณค่าของมิตรภาพนั้นสูงกว่ามูลค่าออเดอร์หลายแสนนี้ซะอีก

“น้อยไปหรือเปล่า พูดมาตั้งห้าแสนเล่มแล้ว ไม่สู้สั่งไปเลยเจ็ดแสนเล่ม” หลี่ว์เป่ยดวงตาเป็นประกาย

เผยตูร้องด้วยความตกใจ “นายบ้าหรือฉันบ้ากันแน่วะเนี่ย”

หลี่ว์เป่ยกล่าวเสียงสูง “เราสองคนไม่บ้าหรอก ถ้าจะบ้าก็ปล่อยให้เจ้าพวกซุ่มดูที่ขบคิดด้วยเหตุผลเป็นบ้าไปแล้วกัน ครั้งนี้ฉันจะทำให้ทั้งฉินโจวรู้ว่าเชื่อคลังหนังสือซิลเวอร์บลูของฉันแล้วชีวิตจะดี เชื่อฉู่ขวงแล้วเป็นอมตะ”

“นายนี่โคตรเจ้าเล่ห์เลยว่ะ” น้ำเสียงของเผยตูซับซ้อนอยู่บ้าง

“คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเติบโตจากสำนักพิมพ์ระดับกลาง มาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ต้องบอกว่าฉันหลี่ว์เป่ยมีความดีความชอบยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยฉันก็ใช้น้ำพักน้ำแรงสร้างขึ้นมา นายคิดว่าฉันทำได้ยังไงล่ะ”

เผยตูไม่ได้พูดอะไร

สายโทรศัพท์เงียบไปสามนาทีเต็มๆ

หลี่ว์เป่ยเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขามีความอดทนมากพอ

ไม่มีใครรู้หรอกว่าในใจของเผยตูต้องผ่านการต่อสู้หนักหน่วงแค่ไหน

ผ่านไปสามนาที เขาก็คำรามเสียงต่ำ “พ่องเอ๊ย กูเชื่อมึงสักครั้งก็แล้วกัน เจ็ดแสนเล่ม!”

“ได้ รอรับโบนัสกับผลงานปีหน้าได้เลย วางละ”

“อย่าเพิ่งวางโว้ย เหมือนเป็นลางร้ายเลย ฉันต้องตกที่นั่งลำบากแน่”

สายตัดไปแล้ว

หลี่ว์เป่ยเอ่ยขึ้น “เรียบร้อย”

ซืออวิ๋นซึ่งได้ยินกระบวนการทั้งหมดถลึงตาโต!

อ้าปากก็พูดออกมาว่าออเดอร์เจ็ดแสนเล่ม แถมยังดีลสำเร็จอีก?

มิน่าล่ะคนเขาถึงเป็นบ.ก.บริหาร ความสามารถระดับนี้น่ากลัวไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง?

แต่ว่า…

สต็อกของบริษัทหมดเกลี้ยงแล้ว ถ้าเกิดถึงตอนนั้นเรื่องกระบี่เทพสังหารขายไม่ออก หลังจากนี้ศูนย์หนังสือจิ้งอันก็คงลากคอคลังหนังสือซิลเวอร์บลูลงบัญชีดำล่ะสิ?

ดีไม่ดี คุณเผยตูคนนั้น ก็คงได้ถูกสต็อกเรื่องกระบี่เทพสังหารฝังกลบมิดแน่นอน!

………………………………………………………………….

[1] ฟ่านเหว่ยฉี หรือคริสตีน ฟ่าน นักร้องและนักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน

[2] นากาจิมะ มิยูกิ นักร้อง นักแต่งเพลง และนักวิทยุชาวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

[3] ในน้ำเต้าขายยาอะไรกันแน่ มาจากในสมัยก่อนซึ่งบรรจุยาในลูกน้ำเต้า โดยที่บางครั้งก็มองไม่ออกว่าเป็นยารักษาโรคอะไร เปรียบเปรยว่าไม่ไว้ใจเจตนาของอีกฝ่าย

บรรณาธิการบริการของเฟลอริชรู้สึกทรมานเหลือเกิน และความทรมานนี้ก็จะติดตามเขาไปตลอดทั้งเดือนมิถุนายน เขาคาดหวังให้เป็นสัญชาตญาณที่ผิดพลาด เพราะถ้าหากสิ่งที่เขากังวลกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ก็จะก่อให้เกิดความทรมานที่แสนสาหัสขึ้นไปอีก

ชีวิตของหลินเยวียนกลับเหมือนเดิมทุกประการ

เขาถึงขั้นเริ่มเขียนกระบี่เทพสังหารเล่มสอง การเลื่อนส่งต้นฉบับไม่ใช่นิสัยที่ดี และจะส่งผลต่อรายรับของหลินเยวียน อย่างน้อยในเรื่องการหาเงิน หลินเยวียนต้องขยันขันแข็งไว้ก่อน

แต่ถึงอย่างนั้นจะให้หาเงินตลอดเวลาก็คงไม่ได้

ตัวอย่างเช่นในช่วงนี้ปู้ลั่ววรรณกรรมโทรศัพท์มาหาเขา อยากขอต้นฉบับนิยายสั้นอีกสักเรื่อง ก็ถูกหลินเยวียนปฏิเสธไป เพราะในมือของหลินเยวียนมีเรื่องสั้นเหลือเพียงสองเรื่อง เขาต้องใช้สอยอย่างประหยัด ถึงยังไงราคาของนิยายเรื่องนี้ก็ต้องเอาให้คุ้มค่า

เหตุผลที่เขาปฏิเสธก็คือ

ช่วงนี้ไม่มีแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องสั้น

แผนกนิตยสารคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็เคยมาถาม เขาใช้เหตุผลเดียวกันปฏิเสธไป สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกก็คือ ราคาที่ทั้งสองฝั่งเสนอมานั้นใกล้เคียงกัน รอให้หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะปล่อยผลงานลงแพลตฟอร์มไหนค่อยเลือกฝั่งที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุด

ทั้งสองบริษัทต่างก็เชื่อคำพูดโกหกของหลินเยวียน

เพราะสำหรับคนทั่วไปแล้ว นักเขียนมีแรงบันดาลใจอยู่ทุกวันก็ออกจะแปลกประหลาดไปหน่อย นับประสาอะไรกับฉู่ขวงซึ่งทุกครั้งที่ปล่อยเรื่องสั้นออกมาก็จะเป็นผลงานสุดคลาสสิก และคลาสสิกก็เท่ากับว่าขั้นตอนการผลิตผลงานนั้นลำบากยากเย็น ไหนเลยจะมีผลงานคลาสสิกที่เขียนออกมามั่วๆ ได้?

นิยายคลาสสิกไม่ใช่ผักกาดขาว[1]สักหน่อย

นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หลินเยวียนปฏิเสธการขอต้นฉบับจากทั้งสองฝั่ง พรสวรรค์เป็นสิ่งที่มีข้อจำกัดอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดเขาสั่งเพลงสุดคลาสสิกจากระบบสักสิบเพลง โลกภายนอกคงไม่ได้ประหลาดใจ แต่น่าจะตกใจกลัวเสียมากกว่า

ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่รีบร้อน

เขาขาดแคลนค่าความโด่งดังก็จริง

แต่รีบร้อนไปก็ใช่เรื่อง

ทางซย่าฝานยังคงยุ่งกับการแข่งขันของเธอ การแข่งขันรายการสะพรั่งในเดือนมิถุนายนค่อนข้างอัดแน่น ด้วยเหตุนี้เธอจึงลาเรียนติดต่อกันหลายวันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทางคณะดนตรีก็ไม่ได้ทำให้เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด วิทยาลัยไม่ได้สนับสนุนให้นักศึกษาเข้าวงการบันเทิงเร็วถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้เข้าไปขัดขวางเส้นทางของพวกเขา

ช่วงกลางเดือนมิถุนายน

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ไปยังเวทีประกวดรายการสะพรั่งเป็นเพื่อนซย่าฝานอีกครั้ง ในครั้งที่สองนี้ที่ทั้งสองมากับซย่าฝานหลังจากรอบออดิชัน เหตุผลสำคัญก็คือการแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างสำคัญ และจะตัดสินว่าซย่าฝานจะทะลุเข้าไปเป็นหนึ่งร้อยคนสุดท้ายของทั้งประเทศได้หรือไม่

ซย่าฝานมีปมในใจอยู่เล็กน้อย

การแข่งขันสองรอบก่อนหน้านี้เธอไม่ติดหนึ่งในร้อยเลย หนำซ้ำทุกครั้งก็ล้วนเป็นความผิดพลาดที่น่าเสียดาย หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ให้กำลังใจเธอ และหวังว่าวันนี้เธอจะเอาชนะตัวเองได้ ยังไงซะการเข้าไปเป็นหนึ่งร้อยคนสุดท้ายถึงจะมีโอกาสโผล่ไปให้ผู้ชมในฉินโจวเห็นหน้าค่าตา

ก็เหมือนกับรอบออดิชัน

เสียงของผู้คนในเวทีประกวดจ้อกแจ้กจอแจไปหมด

การฟาดฟันเพื่อชิงที่นั่งในหนึ่งร้อยคนสุดท้ายจัดขึ้นพร้อมกันในทุกหัวเมืองใหญ่ ถึงจะบอกว่าหนึ่งร้อยคน แต่ทางเมืองซูก็มีเพียงห้าคนที่สามารถผ่านเข้ารอบไปในท้ายที่สุด ถึงอย่างไรในทุกเมืองของฉินโจวก็ล้วนเฟ้นหาแคนดิเดตออกมา ฉะนั้นการประกวดรอบที่ซย่าฝานกำลังจะเผชิญหน้าต่อไปนี้จึงกดดันมาก

“ฉันจะไปฉี่…หลังเวที”

ทันทีที่หลินเยวียนและเจี่ยนอี้มาถึงเวทีการแข่งขันพร้อมกับซย่าฝาน เธอก็รีบร้อนออกไป ครั้งก่อนหลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ยังไม่ทันฉุกคิด ครั้งนี้ทั้งสองเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าซย่าฝานรีบไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน!

นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของซย่าฝาน

ทุกครั้งที่เธอกังวล ก็มักจะอยากเข้าห้องน้ำ ถ้ากังวลเป็นพิเศษ โดยทั่วไปก็ถ่ายหนัก ถ้ากังวลทั่วไป แค่ถ่ายเบาก็แก้ปัญหาได้แล้ว ถ้ากังวลเพียงเล็กน้อย เข้าไปนั่งในห้องน้ำสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ซย่าฝานจะเอ่ยปากบอกกับทั้งสอง ผู้หญิงจะค่อนข้างกระดากอาย ทั้งสองได้ข้อสรุปจากการสังเกตล้วนๆ แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยขึ้นต่อหน้าซย่าฝานด้วย

ถ้าเกิดถูกฆ่าขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

ครั้งนี้คงจะไปถ่ายเบาสินะ?

เห็นได้ชัดว่ายังกังวลระดับกลางเท่านั้น

ความกังวลในระดับที่พอเหมาะนับว่าส่งผลดีต่อการแข่งขัน แม้ว่าซย่าฝานจะขึ้นเวทีค่อนข้างข้า แต่ในยามที่เธอขึ้นเวที หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ก็มองออกว่าเพื่อนรักอยู่ในสภาพที่ใช้ได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ยืนท่าหนีบขาอยากเข้าห้องน้ำ

“อยากให้เย่อหยิ่ง แล้วก็อยากให้ฉัน…”

เพลงที่ซย่าฝานเลือกเพื่อไปต่อในรอบหนึ่งร้อยคนสุดท้ายคือเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่าย นี่เป็นเพลงที่หลินเยวียนเลือกให้ซย่าฝานด้วยตนเอง โดยรวมแล้วเหมาะกับเสียงของซย่าฝานมาก บุคลิกของเธอยังมีมาดที่องอาจโผงผางคล้ายผู้ชาย ครั้งก่อนในการแข่งขันบาสเกตบอล ความเร็วที่เธอพุ่งเข้าไปสู้ยังเร็วกว่าหลินเยวียนอยู่หลายส่วน ไม่อย่างนั้นคงไม่สนิทกับผู้ชายทั้งสองคนมากขนาดนี้

ซย่าฝานร้องเพลงนี้ได้เป็นธรรมชาติมาก

เมื่อร้องจบ รอบเวทีก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว หลังจากกรรมการทั้งสี่คนปรึกษากันเล็กน้อย ก็มอบโควตาเข้ารอบหนึ่งร้อยคนสุดท้ายให้แก่ซย่าฝาน ชั่วขณะนั้นเสียงปรบมือก็ยิ่งดังขึ้นอีก

“เขาจะได้เป็นศิลปินแล้ว”

อยู่ๆ เจี่ยนอี้ก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา

ในฐานะนักศึกษาสาขาศิลปะการแสดง ความฝันของเจี่ยนอี้ก็คือการได้โลดแล่นในวงการบันเทิง ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าซย่าฝานไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาเองก็รู้สึกอยากฮึดสู้เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับการร้องเพลงแล้ว หนทางในการสร้างชื่อเสียงด้านการแสดงนั้นยาวไกลกว่ามาก

หลินเยวียนพยักหน้า

ซย่าฝานกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันจากฉินโจวซึ่งผ่านเข้าสู่รอบหนึ่งร้อยคนสุดท้าย สื่อของทางฉินโจวก็ยังรายงานข่าวบ้างเล็กน้อย เพราะในรอบต่อไปซย่าฝานจะต้องไปปรากฏตัวในโทรทัศน์ นับว่าเรียกแสงให้เมืองซูได้

“หลินเยวียน”

เจี่ยนอี้มองไปยังหลินเยวียน สีหน้าท่าทางขึงขังอยู่สักหน่อย “ซย่าฝานเดินไปได้ไกลแค่ไหนสุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งตัวเธอเอง เธอจะพึ่งพานายตลอดชีวิตไม่ได้ นายช่วยเธอในเวลาที่จำเป็นก็พอแล้ว”

“ฉันจะพยายาม”

หลินเยวียนเอ่ยตอบ

เจี่ยนอี้อยากพูดอะไรต่อ แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็ล้มเลิกความคิด แน่นอนว่าในใจลึกๆ เขาก็หวังว่าหลินเยวียนจะช่วยเหลือซย่าฝานไปตลอด แต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ไปถ่วงหน้าที่การงานของหลินเยวียน จึงทำได้เพียงพูดตะกุกตะกัก “ที่จริงฉัน…”

“ฉันรู้”

“รู้อะไร”

หลินเยวียนผุดยิ้มเป็นธรรมชาติ

เจี่ยนอี้กลอกตา “ที่จริงฉันว่านิสัยของนายกับซย่าฝานไม่เหมาะกับวงการบันเทิงเอาซะเลย นายมีความสุขเหมือนปลาได้น้ำ ก็น่าจะเพราะตัวเองอยู่เบื้องหลัง หลังจากนี้ซย่าฝานอาจต้องเดินไปอยู่หน้าเวที นี่แหละคือเรื่องเดียวที่ฉันเป็นห่วง”

“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง”

“แล้วนายไม่เป็นห่วงหรือไง”

หลินเยวียนยังไม่ทันได้ตอบ ในตอนนั้นซย่าฝานก็เดินลงจากเวทีมา นักข่าวหลายคนก็ตามมาห้อมล้อมสัมภาษณ์ หลินเยวียนและเจี่ยนอี้รอจนนักข่าวสัมภาษณ์จบแล้วถึงเข้าไปแสดงความยินดีกับซย่าฝาน เจี่ยนอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เข้ารอบร้อยคนสุดท้ายรู้สึกยังไงบ้าง”

“ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ”

ซย่าฝานวิ่งฉิวไปจนไม่เห็นเงา

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้มองหน้ากัน

ช่วงเวลาหลังจากนั้น ซย่าฝานไม่มีการแข่งขันอีก แต่ในทุกวันเธอก็ยังพยายามซ้อมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลังจากนี้จะยังมีการแข่งขันเพื่อเข้ารอบแปดสิบคน และแปดสิบคนเข้ารอบเหลือห้าสิบคน ตารางการประกวดแม้จะไม่กระชั้นเท่าไหร่ แต่ความเข้มข้นของการแข่งขันก็ชวนให้กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

และคนที่กังวลไม่ต่างกันก็เห็นจะเป็นสาขาการประพันธ์เพลง

เพราะเวลาในเดือนมิถุนายนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ เวลาที่ให้ทุกคนสำหรับผลงานซึ่งต้องส่งในการประเมินประจำภาคการศึกษาก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ความสำคัญของการประเมินประจำภาคการศึกษาในครั้งนี้ห่างไกลกับที่ผ่านมามากโข ฉะนั้นแล้วทุกคนจึงงัดความสามารถออกมาหมดตัว ไม่กล้าปล่อยปะละเลยแม้แต่น้อย

หลินเยวียนตัดสินใจว่าจะส่งพร้อมทุกคน

ถึงอย่างไรเพลงความฝันแรกก็อัดเสร็จเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องขัดเกลาผลงานอีกต่อไป จากคำพูดของอาจารย์ ขอเพียงส่งผลงานก่อนกำหนดสิ้นเดือนก็ใช้ได้แล้ว เดือนกรกฎาคมทางวิทยาลัยจะจัดผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

ส่วนทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็มีการเคลื่อนไหว

หยางเฟิงส่งข้อความมาหาหลินเยวียน บอกว่าจำนวนการตีพิมพ์เรื่องกระบี่เทพสังหารในระยะแรกคือหนึ่งล้านเล่ม ตัวเลขนี้มากกว่าการตีพิมพ์ผลงานชิ้นแรกของหลินเยวียนถึงสิบเท่า และนั่นทำให้หลินเยวียนเกิดความคาดหวังต่อยอดขายผลงานเรื่องนี้!

………………………………………………………………….

[1] ผักกาดขาว ใช้เปรียบเปรยว่าทำลวกๆ ไม่ตั้งใจ

แม้ว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก่อนหน้านี้จะตีพิมพ์ติดต่อกันเพียงไม่กี่เดือน ถึงขั้นที่ไม่ถึงครึ่งปีก็จบแล้ว แต่ฉู่ขวงก็นับว่าได้กอบโกยแฟนคลับจากนิยายเรื่องนี้มาบ้าง แฟนคลับกลุ่มนี้ติดตามคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาโดยตลอด เพื่อรอข่าวสารเกี่ยวกับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าฉู่ขวงจะปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ คนกลุ่มนี้ก็ทั้งตื่นเต้นและคาดหวังมากทีเดียว

‘เร็วกว่าที่ฉันคิดไว้อีกแฮะ’

นับจากวันที่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจบจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปได้ไม่นาน นักเขียนคนอื่นๆ เมื่อเขียนนิยายจบส่วนมากก็จะพักไปหลายเดือน แต่ฉู่ขวงคล้ายว่าจะไม่ได้พัก เร่งเครื่องเขียนหนังสือเรื่องใหม่อย่างไม่ลดละ

‘ชอบความตรงเวลาของฉู่ขวงนี่แหละ!’

‘ที่มาชอบนิยายแนวกีฬาก็เพราะปรินซ์ออฟเทนนิสเลย ผลงานของฉู่ขวงจบลงแล้วฉันก็ยังตามอ่านนิยายแนวนี้อีกหลายเรื่อง คนที่ตามกระแสเขาในตลาดนิยายมีเยอะแยะ แต่เทียบกับฉู่ขวงแล้ว ฉันว่านิยายแนวกีฬาของคนอื่นยังให้ความรู้สึกสนุกน้อยกว่าหน่อย’

‘ถึงยังไงฉู่ขวงก็เป็นปรมาจารย์!’

‘หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงก็คงจะเป็นการแข่งขันกีฬาสินะ’

‘น่าจะต้องถามว่านิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นวายหรือเปล่า’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ชมรมเทนนิสโรงเรียนชิงชุนอยู่ดีๆ ก็โดนพวกเธอแซวจนน่วมแล้วเนี่ย เอาแต่จับคนเขามาชิปกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นนิยายแนวการแข่งขันเทนนิส /สีหน้าจริงจัง/’

‘…’

เพราะเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจะค่อนไปทางนิยายผู้ชาย แต่ละคนในชมรมเทนนิสโรงเรียนชิงชุนถูกถ่ายทอดออกมาในนิยายได้อย่างสมบูรณ์แบบ กอปรกับในนิยายเรื่องนี้มีเรื่องราวประจำวันที่น่าสนใจ ชายหนุ่มเหงื่อโทรมกายคลุกคลีกันทุกวัน ทำให้นักอ่านจำนวนมากขนานนามนิยายเรื่องนี้ว่าเป็นนิยายวายในคราบนิยายแนวแข่งขันกีฬา

เพราะคุณลักษณะนี้เอง

ทั้งๆ ที่ปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นนิยายผู้ชาย แต่ก็ยังดึงดูดแฟนคลับวัยรุ่นผู้หญิงได้ไม่น้อย แน่นอนว่าแฟนคลับผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้สนใจว่าในนิยายจะแข่งขันอะไรกัน พวกเขาสนใจปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันของตัวละครมากกว่า ใช้จินตนาการของสาววาย ก็อ่านได้อย่างเพลิดเพลินใจเช่นกัน

และเป็นเพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับลิขสิทธิ์

หากไม่มีข้อผูกมัดด้านลิขสิทธิ์ เกรงว่าโดจินคงบินว่อนเต็มไปหมดตั้งแต่แรกแล้ว อย่าได้ดูถูกความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานของสาววายเชียว ถ้าให้พวกเขาเขียนได้อย่างเปิดเผย การหล่อเลี้ยงอุ้มชูเว็บไซต์นิยายที่ผู้ชายไม่คลิกเข้าไปดูก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

แต่กระนั้นแล้ว สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ

แฟนคลับแทบทุกคนล้วนคิดว่าฉู่ขวงจะเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ ถึงอย่างไรตลาดของนิยายแนวนี้ฉู่ขวงเองก็เป็นคนบุกเบิก หลังจากบุกเบิกตลาดครั้งใหญ่ เขาคงไม่มีทางปล่อยผลงานของเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสที่เขาฝ่าฟันมาทิ้งไปง่ายๆ หรอกล่ะมั้ง

นี่คือตรรกะอันสมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น นักเขียนก็ยังใส่ใจกับความเหนียวแน่นของฐานแฟนคลับด้วย นามปากกาฉู่ขวงอยู่ในสายแฟนตาซี และเชื่อมโยงกับนิยายแนวการแข่งขันกีฬา ถ้าเขาอยากเปลี่ยนแนวขึ้นมาจริงๆ แฟนคลับก็อาจไม่เห็นดีเห็นงามด้วยก็ได้

ไม่เพียงแฟนคลับคิดแบบนี้

บริษัทอื่นๆ ในวงการสำนักพิมพ์ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรซะในตอนนี้แนวการแข่งขันกีฬาไม่นับว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แม้จะยังเป็นกลุ่มเล็กอยู่เมื่อเทียบกับนิยายกระแสหลัก แต่ในตลาดนิยายเฉพาะกลุ่มจะมีนิยายขายดีสักสองสามเรื่องย่อมไม่ใช่ปัญหา

ตราบใดที่ยังเขียนแนวนี้ต่อไป

ต่อให้ฉู่ขวงเหลวไหลกว่านี้ก็น่าจะทำยอดขายได้ไม่เลว นอกจากนั้นแล้วด้วยความสามารถในการเขียนแนวการแข่งขันกีฬาของฉู่ขวง จะแค่ได้ยอดขายที่ไม่เลวหรือไงกัน สำนักพิมพ์ในอุตสาหกรรมนี้ไม่มีทางดูแคลนฉู่ขวงอีกต่อไป ทุกคนล้วนมองฉู่ขวงด้วยสายตายกย่องอย่างที่สุด

ไม่แน่อาจมีปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาอีกก็ได้!

ทุกคนถึงกับตกประหม่า โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่แข่งขันกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูอย่างดุเดือด เพราะความเร็วในการปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงออกจะเร็วไปสักหน่อย มีที่ไหนกันเรื่องเก่าเพิ่งจบยังไม่ทันได้พักก็เปิดเรื่องใหม่แล้ว

เป็นยอดฝีมือหรือไงกัน

ถ้าปล่อยผลงานที่ขายดีออกมาอีก เช่นนั้นสำหรับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้ว การที่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจบลงจะไม่เพียงไม่ใช่เรื่องแย่ หนำซ้ำยังเป็นเรื่องดีซะอีก เพราะนั่นหมายความว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว!

……

ฉู่ขวงเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งไม่ผิดแน่ จุดนี้ในวงการเดาไม่ผิด แต่เรื่องหนึ่งที่ทุกคนเดาผิดกันก็คือหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวงไม่ได้เขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ หากแต่เป็นแนวที่ทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคย

นิยายเทพเซียนกำลังภายใน!

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่ได้อุบเงียบ พวกเขาประกาศข่าวว่าฉู่ขวงจะปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ในคืนนั้น บนแบนเนอร์ของเว็บไซต์ในวันต่อมาก็ประกาศประเภทนิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวง แถมยังโปรโมตตามช่องทางต่างๆ เสียยิ่งใหญ่ ทำเอาแฟนคลับของฉู่ขวงอึ้งไปตามกัน

‘อะไรฟระเนี่ย’

‘นิยายเทพเซียนกำลังภายใน?’

‘ไม่ใช่การแข่งขันกีฬาเหรอ’

‘ทำไมไม่เขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อแล้วล่ะ เห็นอยู่ว่าฉู่ขวงมีพรสวรรค์ในการเขียนแนวนี้ ต่อให้ไม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิส แล้วเปลี่ยนไปเขียนกีฬาอย่างบาสหรือฟุตบอลแทนฉันก็รับได้นะ!’

‘ข้ามแนวเกินไปล่ะมั้ง?’

‘ก็คือกระโดดจากการแข่งขันกีฬาดุเดือดเลือดพล่านไปเป็นมหาศึกเซียนปะทะมารแล้ว ปัญหาคือพวกผมไม่ชอบอ่านเทพเซียนกำลังภายใน แนวแปลกประหลาดแบบนี้ตกยุคไปแล้ว ฉู่ขวงคิดอะไรอยู่กันแน่’

‘…’

แนวเทพเซียนกำลังภายในไม่มีคนเขียนก็จริง แต่อิทธิพลของเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย นิยายเรื่องนี้ถึงขั้นถูกฉายเป็นภาพยนตร์ เป็นความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายคน กรอบความคิดที่ทุกคนมีต่อแนวเทพเซียนกำลังภายใน โดยทั่วไปล้วนมาจากผลงานเมื่อหลายปีก่อน

แฟนคลับงงกันถ้วนหน้า

อันที่จริงคนในวงการก็งงเช่นกัน พวกเขาอ่านแบนเนอร์โปรโมตของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูโดยละเอียด ในนั้นเขียนว่านิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในจริงๆ คำโฆษณายังอวดอ้างสรรพคุณเสียยกใหญ่ เขียนไว้สองประโยคว่า

‘กระบี่เทพสังหารวางขายในวันที่ 1 กรกฎาคม!’

‘แล้วมาดูกันว่าฉู่ขวงจะนิยามแนวเทพเซียนกำลังภายในใหม่ว่าอย่างไร!’

ในใจของคนในวงการจำนวนมากพลันเต้นโครมขึ้นมา จะบอกว่าไม่ถูกใจก็ไม่ถึงขั้นนั้น คลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่ได้โง่ ถ้างานที่ฉู่ขวงเขียนออกมาไม่ได้เรื่องจริงๆ บริษัทพวกเขาจะลงทุนโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวงขนาดนั้นทำไม ฝังกลบต้นฉบับไปเลยก็สิ้นเรื่อง

แต่ถ้าจะให้บอกว่าฉู่ขวงเขียนได้ดีขนาดไหน

นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในจะเขียนให้ดีได้แค่ไหนกัน

ส่วนที่บอกว่านิยามแนวเทพเซียนกำลังภายในใหม่ คนที่คร่ำหวอดในวงการล้วนรู้ดีว่าคำพูดประเภทนี้แค่ดูก็พอ มีที่ไหนกันคำโฆษณาอวดอ้างไปสองประโยค หนังห่วยๆ บางเรื่อง ก่อนฉายก็บอกว่าหนังของตนจะเป็นมหากาพย์แห่งยุคเหมือนกันนั่นแหละ

“ฉันเข้าใจแล้ว”

คนในสายงายคนหนึ่งคาดเดา “น่าจะเป็นเพราะนิยายที่ชื่อว่ากระบี่เทพสังหารนี้เขียนพอใช้ได้ พวกคุณก็รู้ว่ามักจะมีนิยายที่ถูกจัดให้อยู่ในระดับกลาง จะฝังทิ้งไปก็น่าเสียดาย จะตีพิมพ์ก็ขายไม่ดี บวกกับคนแต่งนิยายเรื่องนี้คือฉู่ขวง คลังหนังสือซิลเวอร์บลูคงไม่อยากล่วงเกินฉู่ขวง เพราะถึงยังไงความสามารถของฉู่ขวงก็เป็นที่ประจักษ์ทั่วกัน ก็เลยให้โอกาสฉู่ขวงอีกสักครั้ง?”

นักเขียนนิยายขายดีย่อมมีสิทธิ์มีเสียง

ต้นฉบับของนักเขียนผลงานที่ขายไม่ดี บรรณาธิการจัดการฝังกลบแล้วก็จบเรื่อง ทว่าต้นฉบับของนักเขียนผลงานขายดี ต่อให้เขียนไม่ได้เขียนดี บรรณาธิการก็ไม่มีทางฝังกลบไปง่ายๆ โดยเฉพาะในเงื่อนไขที่นักเขียนผลงานขายดียืนกรานจะตีพิมพ์ให้ได้ ส่วนมากสำนักพิมพ์ก็จะให้โอกาส เพื่อไม่ให้ผิดใจกับอีกฝ่าย

ถ้าเกิดว่าดังขึ้นมาล่ะ?

สายตาของบรรณาธิการไม่ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ มีตัวอย่างของต้นฉบับบางส่วนที่ถูกสำนักพิมพ์แรกปฏิเสธ เมื่อนำไปตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ที่สองกลับขายดิบขายดี อีกอย่างเมื่อก่อนนิยายประเภทเดียวกับปรินซ์ออฟเทนนิสก็ไม่ถูกใจคนวงการไม่ใช่หรือไง

ฉู่ขวงคงชอบอะไรแบบนี้

เขาต้องเขียนแนวที่ท้าทายตลอด

คนในวงการส่วนมากล้วนยอมรับคำพูดเหล่านี้

บรรณาธิการบริหารของสำนักพิมพ์เฟลอริชกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายปานนั้น เพราะคลังหนังสือซิลเวอร์บลูโปรโมตซะอลังการงานสร้างซะขนาดนั้น ถ้าคิดจะปฏิบัติต่อฉู่ขวงอย่างขอไปทีก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงระดับนี้

“หรือว่าในนั้นจะซ่อนระเบิดเอาไว้?”

จะโทษที่บรรณาธิการบริหารของสำนักพิมพ์เฟลอริชสงสัยมากก็ไม่ได้ เพราะที่สำคัญก็คือพวกเขาเคยถูกเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสตบหน้ามาครั้งหนึ่งแล้ว คนระดับเขาถูกคนตบหน้ามาครั้งหนึ่งก็จำฝังใจ ไม่เหมือนกับบางคนที่ถูกตบหน้ามาครั้งหนึ่งก็ยังใช้มุมมองเก่าๆ มองเรื่องนี้อยู่ เขาเชื่อว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่กังวลเรื่องนี้

“ไม่ได้การแล้ว!”

“มีปัญหาแล้ว!”

“หลี่ว์เป่ยไม่ได้โง่!”

“เขาซ่อนระเบิดไว้!”

หัวหน้าบรรณาธิการของเฟลอริชยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตนมีเหตุผล เดินไปๆ มาๆ อยู่ในห้องทำงาน แต่ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไร เขาก็จินตนาการไม่ออกว่าแนวเทพเซียนกำลังภายในจะกลายเป็นระเบิดในตลาดหนังสือไปได้อย่างไร ดังนั้นหนังตาเขาถึงได้กระตุกอยู่ตลอดเวลา

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเอาซะเลย

ครั้งนี้ฉู่ขวงเขียนอะไรกันแน่

………………………………………………………………….

คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ณ ห้องทำงานแห่งหนึ่ง

หลี่ว์เป่ยบรรณาธิการบริหารกำลังจะไปประชุมที่ห้องประชุม จู่ๆ ก็เห็นเหล่าสยงวิ่งกระหืดกระหอบมาราวกับเป็น

รถถังคันใหญ่

“มีอะไร”

หลี่ว์เป่ยรีบเบี่ยงหลบ

เหล่าสยงพยุงกายกับประตูหอบเฮือกใหญ่ ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ผมส่งหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงให้คุณ คุณต้องอ่านนะครับ!”

“หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง?”

หลี่ว์เป่ยใจกระตุกวาบ พยักหน้า เมื่อเห็นว่าเหล่าสยงเริ่มหอบอีก ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินตรงไปยังห้องประชุมทันที

นี่เป็นการประชุมภายใน

หัวหน้าบางคนกำลังชี้มือชี้ไม้ไปยังต้นฉบับชิ้นหนึ่งพลางสนทนากัน ทันใดนั้นหลี่ว์เป่ยกลับนึกถึงเรื่องที่คุยกับเหล่าสยงขึ้นได้ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แอบเปิดนิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวง

หลี่ว์เป่ยชื่นชอบฉู่ขวงมาก

นิยายสั้นเรื่องของขวัญแห่งเมไจที่ฉู่ขวงเขียนในครั้งก่อนทำให้หลี่ว์เป่ยประทับใจ จนถึงขั้นเขาไม่ลังเลวางมือจากงานช่วงตรุษจีน เพื่อกลับไปอยู่กับคนในครอบครัว หลังจากนั้นหลี่ว์เป่ยก็ติดตามการเคลื่อนไหวของผลงานมาโดยตลอด

“กระบี่เทพสังหาร”

นิยายในครั้งนี้แค่ชื่อก็อหังการแล้ว หลี่ว์เป่ยคิดเช่นนั้น เริ่มอ่านอย่างเงียบเชียบ ถึงอย่างไรในการประชุมระดับสูง

แบบนี้ก็ทั้งยาวทั้งน่าเบื่อ ไม่มีทางจบได้ภายในชั่วโมงเดียว

ระวังไม่ให้ถูกจับได้ก็พอแล้ว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ว์เป่ยแอบอู้ในห้องประชุม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกจับได้ เพราะเขาไม่มีทางก้มหน้าอ่านนิยายตลอดเวลา จะต้องแสร้งทำท่าคล้ายกับเงยหน้าขึ้นมาฟังรายงานการประชุมอย่างตั้งอกตั้งใจ พยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว ถึงขั้นที่พิมพ์บันทึกลงบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่ากำลังจดบันทึกเนื้อหาการประชุมอยู่

ในความจริงแล้วก็แค่พิมพ์โค้ดไปมั่วๆ

มั่วถึงขนาดที่โปรแกรมเมอร์ไม่กล้าอ่าน

ทว่าในครั้งนี้หลี่ว์เป่ยประมาทเกินไป นึกไม่ถึงว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารจะมีมนตร์สะกดขนาดนี้ เขาถึงจดจ่ออยู่นับสิบนาที แม้แต่การแสดงพิมพ์บันทึกการประชุมมั่วๆ ก็ลืมทำไปแล้ว และแม้แต่คนด้านข้างเรียกก็ยังไม่ได้ยิน

“บ.ก.บริหาร?”

“บ.ก.บริหาร?”

จนท้ายที่สุดแล้วหัวหน้าคนหนึ่งซึ่งกำลังคุยโวโอ้อวดก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ตบลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลสุดขีด “หลี่ว์เป่ย!”

“หา?”

หลี่ว์เป่ยถึงได้สติกลับมา ทำได้เพียงฝืนยิ้ม วางโทรศัพท์ลงอย่างอาลัยอาวรณ์ ผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ก็อยู่ระดับเดียวกับเขาทั้งนั้น ถ้าไม่ได้โมโหจริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางถึงขั้นเรียกชื่อตนออกมาตรงๆ หรอก

การประชุมดำเนินต่อไป

หลี่ว์เป่ยกลับทรมานเหลือเกิน

เขาอยากอ่านต่อจะแย่อยู่แล้ว เพราะในสมองของเขาเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องกระบี่เทพสังหาร และพานให้ตั้งหน้าตั้งตารอการดำเนินเรื่องต่อไปอย่างอดไม่ได้ สรุปแล้วการประชุมในครั้งนี้พูดเรื่องอะไรเขาไม่ได้ฟังเลยสักประโยค คิดแค่อยากรีบปิดการประชุม ตนจะได้กลับไปอ่านหนังสือต่อ

“เลิกประชุมได้!”

ในที่สุด การประชุมก็จบลง

หลี่ว์เป่ยรีบเดินออกมาจากห้องประชุม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเหล่าสยง แต่ดันพบว่าเหล่าสยงยืนรอตนอยู่หน้าประตูแล้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “พวกเราจะเสนอสัญญาให้ฉู่ขวงมั้ยครับ”

“ก่อนหน้านี้เท่าไหร่”

“ร้อยละเจ็ดครับ”

“เสนอไปร้อยละสิบเลย”

หลี่ว์เป่ยกล่าวโดยไม่ลังเล นี่คือราคาของนักเขียนผลงานขายดีตัวท็อปจำนวนมาก ว่ากันตามหลักแล้วชื่อเสียงของฉู่ขวงในตอนนี้ยังด้อยกว่าอยู่สักหน่อย แต่หลี่ว์เป่ยมั่นใจว่ากระแสของหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะไม่เป็นรองเจ้าชายลูกสักหลาดเลย แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอ่านเนื้อหาไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาม

“เข้าใจแล้วครับ”

เหล่าสยงไม่แปลกใจเลยสักนิด

ความคิดแรกหลังจากที่เขาอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารจบก็คือ นิยายเรื่องนี้ต้องดัง

เหล่าสยงไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่านิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในจะเขียนแบบนี้ได้ด้วย

เขาตะลึงสุดๆ ไปเลย!

นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาห้อตะบึงออกมาจากห้องทำงานเหมือนคนเสียสติ!

เขาต้องออกหน้าเอง ไปแจ้งกับแผนกอื่นๆ อย่างแผนกโฆษณาและแผนกตีพิมพ์ และยิ่งต้องทำให้บ.ก.บริหารเห็นความสำคัญ ทำให้บ.ก.บริหารประจักษ์ว่านิยายเรื่องนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหนกันแน่

“จริงสิ”

ขณะที่เหล่าสยงกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ หลี่ว์เป่ยก็เอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “ผมให้คุณไปขอลายเซ็นฉู่ขวง ทำไมคุณไม่ไปขอให้ผม”

เหล่าสยงนิ่งค้างไป

เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เขาเชื่อว่าบรรณาธิการบริหารเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน ทว่าเมื่อกระบี่เทพสังหารปรากฏขึ้น อีกฝ่ายถึงได้นึกขึ้นมาได้

……

หลินเยวียนย่อมไม่รู้ว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารเรียกเสียงตอบรับอย่างไรจากกองบรรณาธิการ แต่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เขาก็โทรศัพท์หาหยางเฟิง

“อาจารย์ฉู่ขวงครับ!”

หยางเฟิงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าน้ำเสียงที่ตนใช้สนทนากับฉู่ขวงนั้นนับวันยิ่งอ่อนน้อมขึ้นเรื่อยๆ “นิยายที่คุณเขียนยอดเยี่ยมมากเลยครับ ทางบริษัทพิจารณาว่าจะตีพิมพ์กระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งในเดือนหน้า ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นว่ายังไงครับ”

ก่อนหน้าไม่ใช่แบบนี้

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ หยางเฟิงคงจะพูดว่า ‘ฉู่ขวง ยินดีด้วย นิยายของคุณผ่านการตรวจสอบโดยกองบ.ก.ของเราแล้ว บริษัทเราจะดำเนินการตีพิมพ์ในเดือนหน้า’

ความหมายเหมือนกัน

แต่ท่าทีไม่เหมือนกัน

หลินเยวียนย่อมฟังไม่ออกว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขายังคงพูดจากระชับและตรงประเด็นดังเคย “ตีพิมพ์ได้ครับ เซ็นสัญญาเมื่อไหร่ครับ”

“คืองี้นะครับ!”

หยางเฟิงยิ้มเอ่ย “ทางบริษัทตัดสินใจว่าจะเพิ่มภาษีลิขสิทธิ์ของนิยายคุณเป็นร้อยละสิบ นี่เป็นราคาที่สูงมากในวงการนี้ ไม่ทราบว่าทางคุณมีอะไรต้องการให้พวกเราทำ…”

“ดีมากเลยครับ!”

หลินเยวียนพูดเสียงสูงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

หยางเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ฉู่ขวงไม่ได้หน้าเงินไม่ใช่เหรอ ทำไมได้ยินว่าภาษีลิขสิทธิ์เพิ่มแล้วถึงท่าทางดีอกดีใจแบบนี้กันนะ

ก็จริง

เงินมีนัยยะหลายอย่าง

สิ่งที่อาจารย์ฉู่ขวงสนใจคงไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอก แต่เป็นการยอมรับจากบริษัทในความสามารถด้านการเขียนของเขา รวมไปถึงความจริงใจของบริษัทที่แสดงออกผ่านเงิน!

ภาษีลิขสิทธิ์มีราคาก็จริง

แต่ความจริงใจประเมินราคาไม่ได้

มิหนำซ้ำ ผลงานที่เขียนออกมาในครั้งนี้เป็นประเภทเทพเซียนกำลังภายใน ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ผลงานก็จะต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจ ย่อมต้องการการยอมรับอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อคิดเช่นนี้

หยางเฟิงก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คุณพอใจก็ดีแล้วครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งคุณก็คือ บริษัทจะเริ่มโปรโมตการพรีออร์เดอร์เรื่องกระบี่เทพสังหารโดยเร็ว!”

“ครับ”

“งั้นก็ตามนี้นะครับ”

“ตามนี้ก็แล้วกันครับ”

หลินเยวียนวางโทรศัพท์ อารมณ์ดีใช่ย่อย

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูมักจะออกตัวเสนอราคาเสมอ เรื่องนี้ทำให้หลินเยวียนพึงพอใจมาก

ดูท่าแล้วการเลือกร่วมงานกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูต่อไปนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวเลย

หลังจากนี้ราคาจะยังเพิ่มขึ้นอีกใช่ไหมนะ

เอาไว้จะต้องไปถามพี่สาวสักหน่อย

หลินเซวียนพี่สาวของหลินเยวียนทำงานอยู่ในวงการสำนักพิมพ์ น่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้

จะว่าไปหลินเยวียนก็เคยคิดว่าจะส่งเรื่องกระบี่เทพสังหารไปให้สำนักพิมพ์ของพี่สาว

แต่หลังจากที่หลินเยวียนหาข้อมูลดูแล้ว ก็พบว่าสำนักพิมพ์ที่พี่สาวทำงานนั้นมีขนาดใหญ่ไม่พอ เรื่องเงินไม่มีทางสู้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ หลินเยวียนจึงล้มเลิกความตั้งใจไป

เมื่อเทียบกับการให้พี่สาวได้ทำผลงานแล้ว แน่นอนว่าการหาเงินสำคัญกว่า

ส่วนทางพี่สาว ประเดี๋ยวตนแบ่งเงินทางนี้ไปให้ก็ได้แล้ว

เธอบากบั่นพยายามทำผลงาน อันที่จริงก็เพื่อให้ได้เงินเดือนที่สูงขึ้น เหตุผลข้อนี้หลินเยวียนเข้าใจดี

พี่ชอบเงินยิ่งกว่าเขาอย่างแน่นอน

บนโลกนี้มีคนที่ไม่ชอบเงินด้วยเหรอ?

และในเย็นวันนั้นหลังจากที่หลินเยวียนและหยางเฟิงคุยโทรศัพท์กันเสร็จ

บนเว็บไซต์ทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในที่สุดก็มีข้อความว่าฉู่ขวงจะปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นวิธีการอุ่นเครื่องในการโปรโมตหนังสือเรื่องใหม่

ทันทีที่ข่าวนี้โพสต์ออกไป

บรรดาแฟนหนังสือของฉู่ขวงก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่!

………………………………………………………..

เปิดหน้าแล้วหน้าเล่า…

บรรณาธิการคนนี้เป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเร็วที่สุดในกองบรรณาธิการ ในขณะนี้กำลังอ่านถึงตอนสำคัญในเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการประลองเจ็ดปราณของสำนักเมฆาครามที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผลคือเขาคลิกจนเม้าส์แทบพัง ก็ยังไม่ปรากฏตอนต่อไป ถึงได้รู้สึกร้อนรนแบบนี้

เล่มแรกจบเท่านี้?

ฉู่ขวงไอ้คนชอบตัดจบดื้อๆ!

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อบรรณาธิการคนนี้อ่านจบ ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรณาธิการคนอื่นจะอ่านจบเหมือนกัน ทุกคนกำลังอ่านอย่างเพลิดเพลิน พอได้ยินเสียงโหวกเหวกของบรรณาธิการคนนี้ ก็พลันเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่พอใจ สายตาแต่ละคู่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาต

“นายเงียบปากไปเลย!”

“ฉันก็แค่…”

“ถ้ากล้าสปอยล์ละก็ฉันฆ่านายแน่!”

บรรณาธิการคนนี้ไม่กล้ายั่วโมโหคนอื่นๆ ทำได้เพียงรูดซิปปากอย่างว่าง่าย

แต่คำพูดของเขาก็ได้เตือนสติบรรณาธิการคนอื่นๆ ซึ่งกำลังอ่านอยู่

ตอนนี้ทุกตนกำลังอ่านไป พลางภาวนาอยู่ในใจ

แท็บเลื่อนอย่าเพิ่งหยุดนะ!

อย่างที่ทุกคนรู้ ว่าไม่มีใครบังคับแท็บเลื่อนได้

เหล่าบรรณาธิการอ่านหนังสือเร็วกว่านักอ่านทั่วไป

ต่อให้ทุกคนพยายามอ่านให้ละเอียดถี่ถ้วนขึ้นสักหน่อย แท็บเลื่อนก็แสดงวิชาหายตัวในตำนานได้อยู่ดี ดังนั้นขณะที่ทุกคนอ่านเล่มหนึ่งอันน่าสงสารของเรื่องกระบี่เทพสังหารจบ กองบรรณาธิการก็แทบระเบิด บรรณาธิการแต่ละคนเอ่ยขึ้นมาว่า

“เชี่ย จบแล้ว?”

“เชี่ย จบแล้ว?”

“เชี่ย จบแล้ว?”

ราวกับว่าไม่ใช่บรรณาธิการกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเครื่องเล่นเสียงซ้ำซะมากกว่า

จนพานให้คิดไปว่าบางทีแก่นแท้ของมวลมนุษยชาติของคนอาจทำมาจากเครื่องเล่นเสียงซ้ำก็เป็นได้

บรรณาธิการคนล่าสุดที่อ่านจบไม่กล้าพูดอะไรแล้ว “อ่านเร็วกันเกินไปแล้ว เป็นโรคของอาชีพบรรณาธิการอย่างเราๆ สินะ”

ทุกคนล้วนเห็นด้วย

สิ่งที่ทำให้พวกเขาเศร้าใจ อันที่จริงไม่ใช่เพราะตนเองอ่านหนังสือเร็ว แต่เป็นเพราะเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่งถูกตัดตอน ชวนให้เศร้าใจจริงๆ เลย

“ฉู่ขวงทำไมเขียนสั้นขนาดนี้!”

“ตัดจบตรงนี้เนี่ยนะ!”

“ฉันอยากเห็นจางเสี่ยวฝานโชว์เหนืออะ!”

“ทรมานจิตใจคนอ่านเกินไปแล้ว!”

“กำลังถึงตอนตื่นเต้นทำไมอยู่ๆ ก็จบซะล่ะ!”

“…”

ที่จริงแล้วฉู่ขวงไม่ได้เขียนสั้นเลยสักนิดเดียว

ฉบับปรับปรุงจำนวนสองแสนตัวอักษรไม่ได้น้อยเลย

นิยายส่วนมากจะตีพิมพ์ทีละเล่มๆ มีนิยายบางเรื่องเขียนหนึ่งแสนกว่าตัวอักษรก็กล้าตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม ตีพิมพ์เนื้อหาสองแสนตัวอักษรในหนึ่งเล่มนั้นเรียกได้ว่าใจดีมากแล้วสำหรับวงการนี้

ท้ายที่สุดแล้ว ความโศกเศร้าของทุกคนนั้นก็ล้วนมาจากการตัดตอนของนิยาย

เห็นได้ชัดว่าการประลองเมฆาครามเจ็ดปราณนั้นเป็นหนึ่งจุดไคลแม็กซ์ ใครจะอยากให้เรื่องจบก่อนไคลแม็กซ์ล่ะ

“เป็นไง”

หยางเฟิงเอ่ยพลางยิ้มบางด้วยท่าทางสบายๆ

อันที่จริงก่อนหน้านี้หยางเฟิงตื่นเต้นกว่าใคร แต่ในตอนนี้เขาเห็นปฏิกิริยาของผู้คนแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“สุดว่ะ”

“โหดสัส!”

“ปังมาก!”

คำศัพท์ซึ่งใช้จำกัดความประเภทนี้นั้นมีจำกัด จะใช้คำว่า ‘เชี่ย’ ทุกครั้งไปก็รู้สึกละอายใจต่ออาชีพบรรณาธิการ

ผ่านไปสองนาที

ทุกคนค่อยๆ ตั้งสติได้ “หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าเขียนคำจำกัดความคำว่าเทพเซียนกำลังภายในเลย ฉู่ขวงกำลังจะสร้างมันขึ้นมาใหม่!”

“ที่แท้แนวเทพเซียนกำลังภายในก็เขียนแบบนี้นี่เอง”

“ตอนที่ฉันอ่านกระบี่เทพสังหาร ถึงขั้นได้อรรถรสของแนวกำลังภายในด้วย แต่ความเป็นสุนทรีย์จะมากกว่าแนวกำลังภายในอย่างเห็นได้ชัด หนังสือเล่มนี้ของฉู่ขวงอาจดึงกระแสของตลาดได้”

แนวกำลังภายในเคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง

กว่าร้อยละเก้าสิบของเหล่าชายสูงอายุในแผนกแฟนตาซี ล้วนแต่มีความฝันในการเป็นจอมยุทธ์ดวลกระบี่ในยุทธภพ ดังนั้นคนจำนวนมากจึงมีความรู้สึกหวนคิดถึงเช่นกัน

น่าเสียดายที่ยุคสมัยของแนวกำลังภายในได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ก็เหมือนกับในจีนนั่นแหละ

แนวกำลังภายในเคยเป็นเสาหลักของตลาดการ์ตูน

แต่จวบจนทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครอ่านนิยายแนวกำลังภายในแล้ว

อ่านมากเกินไป

นักอ่านเบื่อกันแล้ว

ทว่าตอนนี้ได้อ่านกระบี่เทพสังหารแล้ว ทุกคนกลับสัมผัสได้ถึงแนวกำลังภายในซึ่งหายไปนาน แต่นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่กำลังภายใน แต่เป็นโลกของเทพเซียนกำลังภายในซึ่งวรยุทธ์ล้ำเสิศยิ่งกว่า

‘มิน่าล่ะเขาถึงไม่ยอมเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ’

‘ที่แท้แนวเทพเซียนกำลังภายในนี่สิถึงจะเป็นความโรแมนติกสำหรับผู้ชาย!’

‘ฉู่ขวงรู้ทันเกินไปแล้ว หนังสือเล่มนี้ทำเอาฉันหน้าชาเลย’

‘ใครจะไปนึกล่ะว่าแนวเทพเซียนกำลังภายในของฉู่ขวงจะแจ่มแจ๋วแบบนี้’

‘เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในเหมือนกัน แต่เนื้อหากับโครงสร้างกลับไม่เหมือนกับมหาศึกเซียนปะทะมารเลย นี่เป็นแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในแบบใหม่’

‘…’

มหาศึกเซียนปะทะมารในตอนนั้น เป็นเพียงการยกรูปแบบของเทพนิยายและตำนานแต่ละประเภทมาใช้ เขียนเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม

ที่จริงแล้วก็เป็นแนวกำลังภายในกลายๆ นั่นละ

นักเขียนเพียงแค่ยกระดับวรยุทธ์ให้อลังการขึ้นมาก็เท่านั้น

แต่เรื่องกระบี่เทพสังหารกลับเขียนโลกบำเพ็ญเซียนเสมือนจริงออกมา!

ตอนที่ทุกคนกำลังอ่านเรื่องนี้ ถึงขั้นเกิดความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้มีอยู่จริง

เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องลี้ลับเสียยิ่งกว่าลี้ลับ ทั้งโลกกลับสมเหตุสมผลในตัวมันเอง สิ่งที่ทุกคนบำเพ็ญเพียรและแสวงหาคือมรรคา เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง

โลกแห่งนี้ให้ความสำคัญกับโชคชะตา ให้ความสำคัญกับกรรม และให้ความสำคัญกับความอัศจรรย์ของศาสตราวุธวิเศษ

โดยเฉพาะบางครั้งในหนังสือจะกล่าวถึง ‘ค่ายกลกระบี่เทพสังหาร’ ก็ยิ่งเป็นจุดสำคัญที่ชวนให้ตั้งหน้าตั้งตาคอยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ถึงแม้ว่าฉู่ขวงจะไม่ได้อธิบายลงลึกว่าค่ายกลกระบี่เทพสังหารนั้นน่ากลัวแค่ไหน แต่ลำพังคำว่า ‘เทพสังหาร’ ก็ทำให้คนตั้งหน้าตั้งตาคอยอย่างทนไม่ไหว รู้สึกเพียงว่าต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างแน่นอน!

เมื่อนึกย้อนกลับไป

ประโยคเปิดเรื่องว่า ‘ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง’ ก็ไม่ธรรมดา ประโยคนี้ของเหล่าจื่อเกิดมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น

ในตอนนั้นเอง

เหล่าสยงหัวหน้าบรรณาธิการก็เดินเข้าประตูมา เห็นเหล่าบรรณาธิการกำลังก้มหน้าก้มตาพูดคุยกัน ก็ตวาดลั่นขึ้นมา “ไม่ทำงานทำการกันหรือไง มัวแต่คุยอะไรกันอยู่!”

หมี[1]ออกโรงแล้ว!

บรรณาธิการตื่นอกตกใจ รีบปิดปากเงียบกริบกันยกใหญ่ แสร้งว่าทำงานกันอย่างจริงจัง

เหล่าสยงในฐานะหัวหน้าแผนกแฟนตาซีก็ยังน่าเกรงขามอยู่

ครั้งก่อนโหยวหรงจากนิตยสารอ่านสนุกติดต่อขอต้นฉบับจากฉู่ขวงโดยพลการ เหล่าสยงบุกไปโวยถึงกองนิตยสาร เรื่องนี้สลักลึกในความทรงจำของผู้คนมากมาย

“คือแบบนี้ครับ”

ในตอนนั้นมีเพียงหยางเฟิงที่กล้าเอ่ยขึ้นมา “หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงส่งมาถึงผมแล้ว ผมว่าบริษัทตีพิมพ์เร็วหน่อยก็ได้ เดือนหน้าพวกเราตีพิมพ์กันเลยเถอะครับ”

“หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง?”

สีหน้าของเหล่าสยงผ่อนคลายลง “ครั้งนี้ยังเขียนเกี่ยวกับเทนนิสหรือเปล่า หรือว่าเป็นกีฬาชนิดอื่น?”

หยางเฟิงพูด “ครั้งนี้เขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน”

สีหน้าของเหล่าสยงแข็งค้างไปชั่วขณะ “คุณหลอกผมเล่นหรือเปล่า”

หยางเฟิงไม่ได้ประหลาดใจกับปฏิกิริยาของเหล่าสยง รีบกล่าวว่า “คุณลองอ่านก่อนแล้วกันครับ ผมส่งต้นฉบับเข้าอีเมลคุณแล้ว”

“อืม”

เหล่าสยงเดินไปยังห้องทำงานของหัวหน้าบรรณาธิการด้วยความสับสน ก่อนปิดประตูก็เอ่ยถามหยางเฟิงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณไม่ได้แกล้งผมจริงๆ ใช่มั้ย”

“คุณไปอ่านก่อนครับ”

หยางเฟิงพูดพลางยิ้มบาง

ทุกคนเงียบกริบ แต่สีหน้ากลับแปลกพิกล สายตาจ้องมองเหล่าสยง ในใจลอบคาดหวัง หัวหน้าบ.ก.อ่านกระบี่เทพสังหารจบจะมีปฏิกิริยายังไงน่ะเหรอ

คำตอบก็รู้ๆ กันอยู่

ช่วงเย็นใกล้เลิกงาน อยู่ๆ เหล่าสยงก็พุ่งออกมาจากห้องทำงาน ย่างสามขุมออกมาโดยไม่สนใครหน้าไหน ย่ำเท้าลงบนพื้นเสียงดัง

ปัง!

ไม่ทันได้เอ่ยคำใด ในช่วงเวลาเพียงพริบตาเตียว แผ่นหลังของเหล่าสยงก็หายวับไปจากประตู เหลือเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากประตูใหญ่ซึ่งถูกผลักให้เปิดออกเต็มแรง

“ฉันเพิ่งเคยเห็นเหล่าสยงวิ่งเร็วขนาดนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย”

บรรณาธิการต่างส่งเสียงด้วยความแปลกใจ สบตากันอย่างรู้กัน นี่สิถึงเรียกว่าหมีออกโรงแล้วของจริง!

………………………………………………………

[1] หมี แปลจากคำว่าสยง จากชื่อของเหล่าสยง

ช่วงเวลาพักของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคือสิบเอ็ดโมงเช้า ส่วนช่วงบ่ายเข้างานบ่ายโมงตรง ช่วงเวลาระหว่างนั้นสองชั่วโมงก็มากพอให้ทุกคนกินข้าวหรือพักผ่อน แต่น้อยนักที่จะเห็นคนกลับบ้าน โดยทั่วไปแล้วทุกคนจะพักผ่อนอยู่บริษัทมากกว่า

เวลา 11:15 น.

เหล่าบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีเยาวชนกินข้าวที่โรงอาหารเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งก็รวมกลุ่มกันกลับออฟฟิศ แต่กลับพบว่าหยางเฟิงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ขยับ ราวกับนิ่งค้างไปแล้ว

ผู้คนพากันส่ายหน้า

ทุกคนล้วนเห็นใจหยางเฟิง

หยางเฟิงตกที่นั่งลำบากแล้ว กว่านักเขียนผลงานขายดีอย่างฉู่ขวงจะปรากฏตัวขึ้นได้ แต่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสตีพิมพ์ออกไปได้ติดต่อกันไม่ถึงครึ่งปี ก็จบลงอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ จึงหันไปฝากความหวังไว้กับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงก็ดันเลือกแนวแปลกประหลาดอีก

อย่าว่าแต่หยางเฟิงเลย

สถานการณ์แบบนี้ต่อให้เป็นบรรณาธิการคนไหนในกองก็คงจะรับมือไม่ไหวเหมือนกัน น่ากลัวว่าตอนนี้สมองของหยางเฟิงคงขบคิดว่าจะโน้มน้าวให้ฉู่ขวงเปลี่ยนแนวอย่างไรดีล่ะมั้ง ทุกคนจึงได้แต่ผลัดกันเข้าไปตบบ่าหยางเฟิง

“ลงไปกินข้าวก่อนเถอะ”

“เรื่องนี้ยังมีทางแก้”

“เดี๋ยวนายก็ไปคุยกับฉู่ขวงดีๆ ให้เขาเข้าใจรูปแบบวงการเรา โน้มน้าวให้เขาเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ ด้วยความสามารถของเขาน่ะ ถ้าเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ ต่อให้ไม่ถึงระดับเดียวกับปรินซ์ออฟเทนนิส แต่เชื่อว่าคงไม่ห่างกันมากหรอก”

“แนวเทพเซียนกำลังภายในเขียนไม่ได้แน่นอน”

“แนวนี้เก่าเกินไปจริงๆ นั่นแหละ”

ไหล่ถูกเพื่อนร่วมงานตบเบาๆ ติดกันหลายครั้ง จนหยางเฟิงได้สติกลับมาราวตื่นจากห้วงฝัน ทั้งตัวรู้สึกคล้ายว่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ตะโกนดังลั่นด้วยท่าทางฉุนเฉียว

“พวกนายจะไปรู้อะไรล่ะ!”

หลังจากผู้คนมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็นึกสงสัยว่าหยางเฟิงมีปัญหาเพราะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงท่าทางผิดแปลกแบบนี้ ฉะนั้นทุกคนจึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองที่หยางเฟิงระเบิดโทสะ แต่กลับยิ่งเห็นใจเขามากกว่าเดิม

“อย่าเศร้าไปเลยพี่ชาย”

“นี่มันไม่ใช่ปัญหาของนายสักหน่อย”

“เป็นปัญหาของฉู่ขวงเองทั้งนั้น”

“แค่เรื่องตัดจบปรินซ์ออฟเทนนิสกะทันหันก็มองออกแล้ว ว่าฉู่ขวงนี่เป็นนักเขียนที่เอาแต่ใจ แล้วหนังสือของนักเขียนที่เอาแต่ใจแบบนี้ก็มีแต่ความไม่แน่นอน นายอย่าเศร้าไปเลย”

“…”

ทุกคนคิดไปว่าเมื่อเอ่ยปลอบเช่นนี้แล้ว สภาพจิตใจของหยางเฟิงจะดีขึ้นมาอีกสักหน่อย ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ หยางเฟิงถึงขั้นถลึงตาใส่พวกเขาอย่างขุ่นเคือง “พวกนายห้ามพูดถึงอาจารย์ฉู่ขวงแบบนั้นนะ!”

ทุกคน “…”

หยางเฟิงโบกไม้โบกมือ แลดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและความตื่นเต้น ราวกับเป็นปลาที่ได้กลับสู่อ้อมกอดของท้องทะเลอีกครั้งหนึ่ง “พวกนายไม่รู้ซะแล้วว่าเทพเซียนกำลังภายในคืออะไร ผลงานของอาจารย์ฉู่ขวงถึงจะเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ และพวกนายไม่มีทางเข้าใจ!”

หยางเฟิงตื่นเต้นจริงๆ!

เมื่อเอ่ยถึงเทพเซียนกำลังภายใน ในความทรงจำล่าสุดของผู้คนคือเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารซึ่งต้องย้อนไปเมื่อแปดสิบปีก่อน ดังนั้นในตอนที่บรรณาธิการจำนวนมากได้ยินว่าฉู่ขวงจะเขียนนิยายเทพเซียนกำลังภายใน ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือ ‘แนวนี้ตกยุคไปตั้งนานแล้ว’

เดิมทีหยางเฟิงก็คิดแบบนั้น

จนกระทั่งเมื่อสิบนาทีก่อน หยางเฟิงอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งจบ เขาถึงตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ตนผิดไปมหันต์ จินตนาการของฉู่ขวงล้ำกว่าที่บรรณาธิการทุกคนจะคาดเดาได้

แนวเทพเซียนกำลังภายในเขียนแบบนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย!

ท่ามกลางโลกอันมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ ภาพของดอยไผ่ใหญ่สำนักเมฆาครามค่อยๆ ปรากฏขึ้น ประหนึ่งภาพเขียนหมึกโบราณโอบล้อมด้วยความขลัง จางเสี่ยวฝานและไม้ดูดวิญญาณซึ่งแลดูแสนจะธรรมดา ศิษย์พี่หญิงเถียนหลิงเอ๋อร์ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน เด็กสาวเฉลียวฉลาดและซุกซน ทั้งยังมีศิษย์พี่ซึ่งนิสัยแปลกประหลาดแต่ใจดี รวมไปถึงอาจารย์ซึ่งทำตัวลึกลับ ทุกๆ ตัวละครราวกับว่าหลุดออกมาจากหน้ากระดาษอย่างไรอย่างนั้น

ไข่มุกโลหิต!

ภูตวานรตรีเนตร!

ศึกระหว่างพุทธเต๋ามาร!

การประลองเมฆาครามเจ็ดปราณ!

ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนทำให้หัวใจของหยางเฟิงเต้นระส่ำ ทุกฉากที่ปรากฏขึ้นล้วนทำให้หยางเฟิงเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมในช่วงแรกของชีวิตจางเสี่ยวฝาน และเห็นการเปิดฉากขึ้นของการประลองเมฆาครามเจ็ดปราณ จังหวะของเรื่องราวก็มาค้างเติ่งอยู่ในจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุด

หยางเฟิงยอมศิโรราบแล้ว

เขาไม่สนใจเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาปลอบประโลมอีกต่อไป และไม่อธิบายความบรรเจิดของนิยายเรื่องนี้ให้มากความ แต่กลับส่งต้นฉบับเรื่องกระบี่เทพสังหารเข้าอีเมลของทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เชื่อว่าทุกคนอ่านจบแล้วก็จะเข้าใจความรู้สึกของเขาเอง

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย

หยางเฟิงก็ลงไปกินข้าว

วันนี้หยางเฟิงแปลกพิกล บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างงงกันไปชั่วขณะ ต่างคนจึงต่างกลับที่นั่งของตน และทันใดนั้นก็เห็นว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารซึ่งหยางเฟิงส่งมากำลังนอนแอ้งแม้งอยู่ในอีเมลของแต่ละคน

“หนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง?”

“หยางเฟิงส่งมาให้พวกเรา?”

“ดูหน่อยซิว่าฉู่ขวงเขียนอะไร”

ผู้คนพากันงุนงงไปชั่วขณะ สนทนากันสองสามประโยค ก่อนที่ต่างคนก็ต่างกดเปิดหนังสือเล่มนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง ต่อให้เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในซึ่งชวนให้ทุกคนอึ้งไป แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกดีใจบ้างอยู่ดี มิหนำซ้ำหยางเฟิงยังอุตส่าห์ส่งไฟล์เข้าอีเมลทุกคนมา จะต้องหวังให้ทุกคนช่วยเขาอ่านอย่างแน่นอน

ทุกคนเริ่มอ่านเนื้อเรื่อง

ไอน์สไตน์จากโลกกล่าวอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพไว้อย่างน่าสนใจ ว่าเมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อไปเดตกับหญิงสาวแสนสวยก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ที่นี่คือบลูสตาร์

แผนกแฟนตาซีเยาวชนของกองบรรณาธิการไม่รู้จักไอน์สไตน์ ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว นิยายที่ยอดเยี่ยมก็เหมือนหญิงสาวแสนสวย ถ้าให้พวกเขาเลือก พวกเขาจะยินดีเลือกนิยายแทนสาวสวยเหล่านั้น นี่ก็คงจะเป็นหลักการคล้ายๆ กับเหล่าโอตาคุที่เลือกวีดิโอเกม แล้วมองข้ามหญิงสาวไปนั่นแหละ

ย้อนกลับมาที่ทฤษฎีสัมพันธภาพ

เมื่อต้องอ่านนิยายที่น่าเบื่อเล่มหนึ่ง บรรณาธิการก็มักรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก แต่เมื่อได้อ่านนิยายที่ยอดเยี่ยม เหล่าบรรณาธิการจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ราวกับว่าช่วงพักกลางวันเป็นเวลาสองชั่วโมงนั้นผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนถึงขั้นลืมพักกลางวัน

การพักกลางวันนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำวันของกองบรรณาธิการ ถ้าหากไม่พักสักครู่ก็จะส่งผลต่อการทำงานในช่วงบ่ายได้ง่าย แต่ในวันนี้ทั้งกองบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะตั้งแต่ช่วงพักจนเริ่มงานในช่วงบ่าย ทุกคนก็จดจ่ออยู่กับการอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่ง

ทำงาน?

ไม่สำคัญหรอก

ทุกคนล้วนถูกเรื่องกระบี่เทพสังหารดูดสมาธิเอาไว้หมดแล้ว ตั้งอกตั้งใจอ่าน จนทั้งกองบรรณาธิการเงียบกริบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่เสียงเดินของหยางเฟิงขณะกลับเข้ามาทำงานก็ยังไม่มีใครได้ยิน

หยางเฟิงหัวเราะ

เขาเข้าใจเพื่อนร่วมงานเหล่านี้มาก เพราะในช่วงสายของวันนี้เขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องกระบี่เทพสังหารจะต้องได้ตีพิมพ์ ตอนนี้ต่อให้ฉู่ขวงเปลี่ยนใจอยากเขียนแนวการแข่งขันกีฬาขึ้นมา หยางเฟิงก็ไม่ยอมแล้ว ฉู่ขวงเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในน่ะดีแล้ว!

มาเขียนอะไรแนวการแข่งขันกีฬา

ในตอนนั้นมีหัวหน้าในบริษัทสองสามคนเดินผ่านมา เห็นแผนกแฟนตาซีเยาวชนของกองบรรณาธิการกำลังใจจดใจจ่อจ้องมองคอมพิวเตอร์ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แผนกแฟนตาซีมีความกระตือรือร้นในการทำงานสูงมากเลยนะคะ ช่วงบ่ายเพิ่งจะเข้างานก็ตั้งใจกันขนาดนี้แล้ว”

“ดีมากเลย”

“ต้องแบบนี้แหละครับ”

“ตั้งใจกว่าแผนกอื่นมาก”

โดยปกติแล้วกว่าเหล่าบรรณาธิการจะเข้าสู่โหมดทำงานได้ก็จำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะทุกคนเพิ่งจะกลับมาจากช่วงพักกลางวันจึงไม่ค่อยมีสมาธิ ต้องปรับอารมณ์สักครู่ถึงจะตื่นจากความง่วงเหงาหาวนอนและเข้าสู่สภาวะตั้งใจทำงานได้

บรรดาหัวหน้าเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ

สิ่งที่หัวหน้าเหล่านี้ไม่รู้ก็คือ เมื่อพวกเขาเดินจากไปได้ไม่นาน จู่ๆ บรรณาธิการคนหนึ่งก็ตวาดใส่คอมพิวเตอร์ด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองและหงุดหงิด

“โถ่เว้ย จบแล้วเหรอเนี่ย”

……………………………………………………….

วันต่อมา

หลังจากที่หลินเยวียนตื่นนอนและล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปกินอาหารเช้า แต่ขณะที่กำลังจะคิดเงิน เจ้าของร้านอาหารเช้ากลับปัดมืออย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องจ่ายเงิน”

หลินเยวียนถาม “ทำไมล่ะครับ”

เจ้าของร้านยิ้มอย่างดีอกดีใจยิ่งกว่าเดิม “ร้านอาหารเช้าของเราเปลี่ยนเจ้าของแล้ว เจ้าของร้านคนใหม่ชื่อว่าซุนเย่าหั่ว เขาเคยให้ผมดูรูปคุณ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับคุณล่ะครับ เขายังบอกอีกว่าคุณเป็นสมาชิกวีไอพีคนสำคัญของร้านอาหารเช้าของเรา ให้กินฟรีตลอดชีพ”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนไม่ทัดทาน

อันที่จริงเขาก็แอบตกใจอยู่บ้าง

ว่ากันว่าศิลปินในวงการบันเทิงชื่นชอบการลงทุนทำร้านอาหาร นึกไม่ถึงว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะชื่นชอบเรื่องพวกนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ก็ทำร้านชานม ตอนนี้ก็ลงทุนกับร้านอาหารเช้าอีก

ต่อไปตนจะลงทุนด้วยบ้างดีไหมนะ

ช่างเถอะ

อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย

ในตอนนี้เรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่งเขียนเสร็จแล้ว หลินเยวียนคิดว่าจะตีพิมพ์โดยเร็วที่สุด

สำนักพิมพ์ก็เลือกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็แล้วกัน

ความประทับใจที่หลินเยวียนมีต่อคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าไม่เลว เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาระหว่างการตีพิมพ์ หรือช่องทางการวางขายสินค้า หรือว่าช่องทางการโปรโมตก็มีผลงานครบถ้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว ระหว่างนั้นก็ยังเพิ่มส่วนแบ่งในสัญญาให้เขาด้วย จึงไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนผู้ร่วมงาน

นอกจากนั้นแล้ว หลินเยวียนยังปักธงร่วมงานกับนิตยสารอ่านสนุกของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาแล้วครั้งหนึ่ง ประสบการณ์ที่ได้รับก็ไม่เลวเช่นกัน

ค่าต้นฉบับของพวกเขาน่าพอใจมากทีเดียว

ครั้งนี้หลินเยวียนมีความมั่นใจในเรื่องกระบี่เทพสังหารอยู่บ้าง ต่างจากความรู้สึกกระวนกระวายในครั้งก่อน

เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้

ระหว่างทางไปวิทยาลัย หลินเยวียนก็ส่งข้อความหาบรรณาธิการหยางเฟิง ‘ผมเขียนเรื่องใหม่เสร็จแล้วครับ’

‘เร็วขนาดนั้นเลย?’

หยางเฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว ‘ส่งมาให้ผมตอนนี้เลยได้ไหม’

ที่หยางเฟิงตอบได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ก็เพราะเขาตั้งฉู่ขวงเอาไว้เป็นรายการโปรด

แม้ว่าเขาจะรับผิดชอบในการประสานงานกับนักเขียนจำนวนมาก แต่ฉู่ขวงเป็นนักเขียนตัวท็อปที่สุดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหยางเฟิง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญเอาไว้

ไม่ทันรอให้ฉู่ขวงตอบ

มือของหยางเฟิงกดหน้าจอ พิมพ์ซักไซ้ต่อด้วยความเร็วสูง ‘เรื่องใหม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิสใช่ไหมครับ นี่คงจะเป็นกีฬาที่คุณถนัดที่สุดแล้ว แถมยังมีประสบการณ์จากเล่มแรกมาแล้ว คงจะเขียนได้คล่องมือ ผมว่าเขียนอีกก็คงไม่ยาก’

หยางเฟิงปลุกใจฉู่ขวง

ในความคิดของเขา นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะยังคงเขียนแนวการแข่งขันกีฬาที่เขาถนัด ผลักดันนิยายแนวเฉพาะกลุ่มนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในแผนกแฟนตาซีเยาวชนกองบรรณาธิการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคาดหวังเป็นที่สุด

ฉู่ขวง ‘ไม่ใช่ครับ’

หยางเฟิง ‘แล้วเขียนอะไรล่ะ’

ถ้าไม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิส หรือว่าฉู่ขวงจะเขียนเกี่ยวกับบาสเกตบอลหรือฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในตอนนี้ ระยะนี้มีคนมากมายในวงการเขียนแนวการแข่งขันกีฬาตามกระแสของฉู่ขวง โดยส่วนมากเน้นไปทางฟุตบอลและบาสเกตบอล ฉู่ขวงคงคิดจะสอนคนพวกนี้ว่านิยายเกี่ยวกับฟุตบอลและบาสเกตบอลนั้นเขียนอย่างไร

ใจกล้าสุดๆ ไปเลย!

สมแล้วที่เป็นฉู่ขวง!

หยางเฟิงรู้สึกว่าการคาดเดาของตนนั้นแม่นยำทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาได้เห็นคำตอบของฉู่ขวง ก็ชะงักงันไปทั้งตัว เพราะฉู่ขวงตอบมาด้วยคำสั้นๆ ทำให้บรรณาธิการอย่างเขารู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

‘เทพเซียนกำลังภายใน’

ฉู่ขวงจะเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน

ปัญหาคือเทพเซียนกำลังภายในคืออะไรล่ะ

หยางเฟิงรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการมืออาชีพ เขาไม่มีทางไม่รู้จักว่าเทพเซียนกำลังภายในคืออะไร แต่ก็เพราะว่ารู้จักนี่แหละ เขาถึงได้ปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดนี้ ‘แบบมหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเหรอครับ’

‘ประมาณนั้นครับ’

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนค้นข้อมูลมาแล้ว จึงรู้ว่ามหาศึกเซียนปะทะมารนั้นเป็นผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในเรื่องล่าสุดของบลูสตาร์แล้ว หลังจากผลงานชิ้นนี้ ฉินโจวก็ไม่มีนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในอีกแล้ว จวบจนวันนี้ก็นับเป็นเวลาแปดสิบปีมาแล้ว

‘โทรศัพท์ได้ไหม’

‘ผมกำลังจะเข้าเรียนครับ’

ฉู่ขวงพูดจบก็ไม่ตอบกลับมาอีก แต่หยางเฟิงก็ได้รับนิยายซึ่งมีชื่อว่ากระบี่เทพสังหารในอีเมล ทำเอาหยางเฟิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกไปชั่วขณะ ฉู่ขวงมาบุกเบิกนิยายแนวนี้จริงๆ หรือนี่!

มาเขียนอะไรนิยายเทพเซียนกำลังภายใน

ฉู่ขวงเป็นคนหัวโบราณหรือยังไง

เห็นชัดๆ ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

สำหรับนักอ่านที่ยังพอมีภาพจำต่อนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน คงต้องนับถอยหลังไปรุ่นคุณปู่ของหยางเฟิง มหาศึกเซียนปะทะมารเป็นผลงานที่ให้ความบันเทิงกับคนในยุคนั้น แต่หากบอกว่าในยุคนี้มีคนเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน หยางเฟิงก็ยากที่จะจินตนาการ

……

หยางเฟิงมาถึงบริษัทด้วยสีหน้าสลดหดหู่

เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางของหยางเฟิงก็รู้สึกแปลกใจ “โดนเลื่อนส่งต้นฉบับอีกแล้วเหรอ”

“น่ากลัวกว่านั้นอีก”

หยางเฟิงกล่าว “ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่”

ทุกคนชะงักไป ต่างคนต่างผุดยิ้มขึ้นมาทันใด

“ก็เป็นเรื่องดีนี่นา”

“ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่ ไหงนายทำหน้าเศร้าขนาดนั้นล่ะ”

“นั่นน่ะสิ ฉู่ขวงยอมเขียนนิยายเรื่องยาว นายก็ต้องดีใจสิ!”

“ก่อนหน้านี้ฉันยังเป็นห่วงว่าฉู่ขวงจะไปร่วมงานกับสำนักพิมพ์อื่นหรือเปล่า ตอนนี้ดูท่าเขาจะพอใจกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมากทีเดียว”

“นิยายเรื่องใหม่ยังเขียนเกี่ยวกับเทนนิสหรือเปล่า”

“ฉันว่าน่าจะเขียนเกี่ยวกับบาสไม่ก็ฟุตบอล”

“…”

เพื่อนร่วมงานถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ

หยางเฟิงมองทุกคนพลางเอ่ยว่า “นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นเทพเซียนกำลังภายใน”

ทั้งกองบรรณาธิการพลันเงียบกริบไปทันที

ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะมีคนถามหยั่งเชิงขึ้นมาหนึ่งประโยค “เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในแบบที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า”

หยางเฟิงฝืนยิ้ม “มหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเข้าใจหรือยัง”

จริงๆ เหรอเนี่ย?

นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน?

ยุคไหนกันครับเนี่ย

ทุกคนต่างมีสีหน้างงงัน ทั้งแผนกเงียบกริบลงอีกครั้ง

หยางเฟิงไม่ได้ใส่ใจคนอื่นๆ อีกต่อไป

เขานั่งลงกับโต๊ะ

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องตรวจต้นฉบับ ดูสักหน่อยว่าสรุปแล้วนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในของฉู่ขวงเขียนเกี่ยวกับอะไร

พูดตามตรง

หยางเฟิงแทบจะกัดฟันกดเปิดเรื่องกระบี่เทพสังหาร สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คืออารัมภบทของหนังสือเล่มนี้ ‘ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง[1]’

ถ้าหากหยางเฟิงอ่านหนังสือมาน้อย ก็คงรู้สึกเพียงว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมมาก

แต่กระนั้นหยางเฟิงเคยอ่านเต้าเต๋อจิง ย่อมรู้ว่าประโยคนี้มาจากผลงานชิ้นนี้

เหล่าจื่อเป็นถึงหนึ่งในบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในยุควสันตสารท[2]

ดังนั้นสำหรับประโยคนี้ ในโลกวิชาการมีสมมติฐานอยู่สองประเภท

สมมติฐานประเภทแรกคือ เหล่าจื่อต้องการนำเสนอแนวคิดเรื่องความเที่ยงธรรมของธรรมชาติ

สมมติฐานประเภทที่สองคือ สวรรค์ไร้ความเมตตา มองสรรพสิ่งเป็นเพียงเครื่องสังเวยอันไร้ชีวิต

ไม่ว่าสมมติฐานประเภทไหนจะสอดคล้องกับความคิดของเหล่าจื่อ ฉู่ขวงสามารถดึงประโยคนี้มาใช้เป็นประโยคเปิดในนิยายได้ นับว่าสร้างแสนยานุภาพได้มากทีเดียว

ดูท่าแล้วฉู่ขวงจะไม่ได้อยู่ๆ นึกครึ้มอยากเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในขึ้นมา แต่ทำการบ้านมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

แต่ทำไมคุณถึงคิดไม่ได้ แล้วต้องเลือกเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในออกมาล่ะเนี่ย?

หยางเฟิงส่ายหน้า อ่านต่อไป

บรรณาธิการอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็ว หยางเฟิงก็เช่นกัน

อารัมภบท ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม หยางเฟิงอ่านรวดเดียวอย่างเร็วรี่โดยไม่ยั้งคิด

แต่เมื่ออ่านไปจนถึงตอนที่สาม หยางเฟิงก็หยุดลงฉับพลัน

ราวกับว่าถูกคนกดปุ่มหยุดเล่นชั่วคราว

เมื่อภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อไป ประหนึ่งกดเล่นซ้ำอีกครั้ง และไม่รู้ว่าทำไม หยางเฟิงก็เปิดอารัมภบทของเรื่องกระบี่เทพสังหาร แล้วเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง

ในครั้งนี้ ความเร็วในการอ่านของเขากล่าวได้ว่าเชื่องช้าเหลือเกิน อ่านทีละตัวอักษรก็ว่าได้

ในชีวิตการเป็นบรรณาธิการของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความเร็วระดับเต่าคลานในการอ่านหนังสือเช่นนี้

ประดุจกลัวว่าจะตกหล่นไปหนึ่งตัวอักษรก็มิปาน

………………………………………………

[1] ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเช่นสุนัขฟาง ต้นฉบับมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง โดยเหล่าจื่อ

[2] ยุควสันตสารท หรือยุคชุนชิว 770 ปีก่อนคริสต์กาล – 453 ปีก่อนคริสต์กาล

“ติ๊งต่อง! ยินดีกับโฮสต์ด้วยที่ทำภารกิจค่าความโด่งดังทะลุหนึ่งพันได้สำเร็จ ได้รับกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ กล่องสมบัติเงินหนึ่งใบ”

ห้าวันผ่านไป

ในที่สุดหลินเยวียนก็ทำภารกิจค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมได้สำเร็จก่อนเวลาที่กำหนด เมื่อได้ยินการแจ้งเตือนอันรื่นหู ก็นับว่าไม่เสียเปล่าที่โดดเรียนมาชมรมจิตรกรรมติดต่อกันห้าวัน

มีกล่องสมบัติแล้ว!

ไม่ใช่แค่กล่องสมบัติทองแดง

แต่ยังมีกล่องสมบัติเงินอีกใบหนึ่งด้วย

ครั้งก่อนกล่องสมบัติเงินให้เพลงเปียโนกับหลินเยวียน ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเปิดออกมาได้อะไร

ระบบ “จะเปิดหรือไม่”

หลินเยวียน “เก็บไว้ในคลังไอเทมก่อน”

เขาตัดสินใจว่าจะเก็บกล่องสมบัติไว้ก่อน รอมือขึ้นแล้วค่อยเปิด

เรื่องอย่างการเปิดกล่องนั้นเป็นเรื่องลี้ลับสุดๆ ถ้าเกิดเปิดกล่องแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วของที่เปิดมาไม่ดีจะทำยังไงล่ะ

ระบบไม่ยอมให้คืนของซะด้วยสิ

หลังจากภารกิจสำเร็จ

หลินเยวียนก็ผ่อนคลายขึ้นมาก

หลังจากนี้เขาวางแผนจะเขียนเล่มแรกของกระบี่เทพสังหาร

นิยายเรื่องนี้ถูกระบบแบ่งเนื้อหาเป็นทั้งหมดแปดเล่ม ทุกเล่มจะหยุดอยู่ที่ประมาณสองแสนตัวอักษร

ในตอนนี้หลินเยวียนเขียนเสร็จไปแล้วหนึ่งแสนห้าหมื่นตัวอักษร

ด้วยความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียน จำนวนตัวอักษรที่เหลืออยู่ สองสามวันก็พิมพ์เสร็จแล้ว แถมยังเป็นการพิมพ์ออกมาในช่วงเวลาว่างด้วย

ถ้าหากเป็นการโดดเรียนมานั่งพิมพ์เช่นเดียวกับตอนทำภารกิจละก็ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน หลินเยวียนก็ทำเล่มแรกเสร็จแล้ว

และขณะที่พิมพ์เนื้อเรื่องอยู่นั้น ในห้วงสำนึกของหลินเยวียนก็มีพล็อตของเรื่องกระบี่เทพสังหารสว่างวาบขึ้นมาไม่หยุด

เล่มแรกของนิยายเรื่องกระบี่เทพสังหาร บรรยายจากมุมมองของตัวละครที่ชื่อว่าจางเสี่ยวฝาน

ในฐานะที่เป็นพระเอกของนิยาย จางเสี่ยวฝานและหลินจิงอวี่สหายรักกราบเข้าสำนักเมฆาคราม

จางเสี่ยวฝานพื้นฐานไม่ได้เรื่อง ไม่มีพรสวรรค์อะไร หลินจิงอวี่สหายรักก็มีพรสวรรค์เกินมนุษย์มนา เป็นต้นกล้าชั้นดีในการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นเมื่อเข้าประตูไป ผู้อาวุโสในสำนักเมฆาครามก็ล้วนแต่อยากรับหลินจิงอวี่เป็นศิษย์ จางเสี่ยวฝานกลับไม่มีใครสนใจ

เป็นสวัสดิการมาตรฐานที่คนไม่เอาไหนจะได้รับ

และในพล็อตเรื่องหลังจากนั้น จางเสี่ยวฝานกลับค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเพราะการผจญภัยในตอนเปิดเรื่อง รวมไปถึงไม้ดูดวิญญาณที่ครอบครองอยู่

ไม่เพียงเท่านี้

จางเสี่ยวฝานยังหลงรักเถียนหลิงเอ๋อร์บุตรสาวของอาจารย์ และเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์ น่าเสียดายที่เถียนหลิงเอ๋อร์มองจางเสี่ยวฝานเป็นเพียงน้องชาย ไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอเยี่ยงคนรัก

เป็นไปตามนี้

เนื้อเรื่องค่อยๆ ลึกล้ำไปแบบนี้ ทั้งโลกทัศน์ของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็จะเป็นประจักษ์ชัดแก่สายตาของนักอ่านอย่างแช่มช้า นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนสัมผัสได้มากที่สุดมาตลอดระยะเวลาที่เขียน

ในส่วนท้ายของเล่มแรก

สำนักเมฆาครามกำลังจะจัดการประลองเจ็ดปราณ!

จางเสี่ยวฝานก็จะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วย แต่ไม่มีใครคาดหวังกับจางเสี่ยวฝาน อาจารย์ให้จางเสี่ยวฝานเข้าร่วม ก็เพียงเพราะอยากให้เขาได้ออกไปเปิดโลกบ้าง

แต่หลินเยวียนรู้

ว่าผู้อ่านไม่คิดแบบนั้นหรอก

ผู้อ่านยืนอยู่บนมุมมองพระเจ้า ฉะนั้นพวกเขาเห็นได้ชัดเจน ว่าจางเสี่ยวฝานไม่ได้อ่อนแอดังเช่นที่เห็นภายนอก

จางเสี่ยวฝานผ่านการผจญภัย

หนำซ้ำยังมีอาวุธวิเศษของตน

ประลองเจ็ดปราณก็เป็นเวทีชั้นดีที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองของจางเสี่ยวฝาน ดังนั้นหลินเยวียนจึงเชื่อว่า ไม่ว่านักอ่านคนไหนที่อ่านกระบี่เทพสังหารจบ จุดที่จะตั้งตารอมากที่สุดเห็นจะเป็นจางเสี่ยวฝานซึ่งแสดงความสามารถอันล้ำเลิศออกมาในการประลองเจ็ดปราณนั่นเอง!

เรื่องมาหยุดชะงักได้จังหวะพอดี

เพราะช่วงแรกของจางเสี่ยวฝานค่อนข้างจะเศร้าสลดอยู่สักหน่อย

ในหมู่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กล่าวได้ว่าเป็นหายนะ พรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะของตนก็ไม่ได้ความอีก ไม่ได้มีใครใส่ใจกับตบะของเขา เมื่อยืนอยู่ในมุมมองของนักอ่าน ก็ย่อมคาดหวังให้ตัวเอกเงยหน้าอ้าปากสักตั้ง

……

หลายวันให้หลัง

ขณะที่หลินเยวียนคิดว่าจะเขียนเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งให้เสร็จรวดเดียวนั้นเอง เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากซย่าฝาน

“พรุ่งนี้ฉันจะไปแข่งแล้ว!”

“งั้นฉันกับเจี่ยนอี้ไปเป็นเพื่อน”

ในวันต่อมาหลินเยวียนหยุดการพิมพ์นิยายเป็นการชั่วคราว

รายการสะพรั่งซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้งของฉินโจวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซย่าฝานในฐานะที่เป็นผู้เข้าแข่งขันก็ไปร่วมการออดิชันด้วย

แม้ลึกๆ จะมั่นใจว่าซย่าฝานจะผ่านรอบออดิชันได้อย่างสบายๆ หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ก็ยังไปสนามออดิชันเป็นเพื่อนซย่าฝานอยู่ดี

สนามออดิชันอยู่ที่สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองซู

ในฐานะที่เป็นรายการประกวดความสามารถที่ใหญ่ที่สุดในฉินโจว วันแรกของการออดิชัน ทั่วทั้งสนามกีฬาจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน โดยรอบก็จ้อกแจ้กจอแจเสียยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าผู้คนตื่นตัวกับการประกวดรายการนี้มาก!

“ฉันกังวลจังเลย”

สีหน้าของซย่าฝานแลดูหนักใจ

เจี่ยนอี้ยิ้มเอ่ย “เธอกังวลอะไรเหรอ เธอผ่านศึกมาตั้งกี่เวที อีกอย่างดูซะก่อนว่าข้างๆ เธอเป็นใคร!”

ซย่าฝานมองไปยังหลินเยวียน

หลินเยวียนทำได้เพียงเอ่ยปลอบ “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เธอก็ได้เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์แล้ว เพราะงั้นทำใจสบายๆ ไปแข่งเถอะ ปีหน้าต้องได้เดบิวต์แน่นอน”

ซย่าฝานสูดลมหายใจเข้าลึก “งั้นฉันไปหลังเวทีแล้วนะ”

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้พยักหน้า ผู้เข้าแข่งขันต้องรออยู่ในพื้นที่ด้านหลังเวที ถ้าหากขึ้นเวทีไม่ตรงเวลา ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขัน

ซย่าฝานเดินไปได้ไม่นาน การออดิชันก็เริ่มต้นขึ้น

หลินเยวียนอยู่ด้านล่างเวที คอยฟังอย่างสนอกสนใจ

ในอนาคตเขาอาจมีเพลงหลากหลายแนว ต้องการนักร้องที่แตกต่างกันไปมาขับร้อง

ถ้าหากค้นพบผู้ช่วยงานที่มีคุณสมบัติไม่เลวที่นี่ หลินเยวียนจะได้จำไว้ ภายหลังอาจได้ใช้งาน

แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการออดิชัน ทั้งปลาทั้งมังกรปะปนกันไป

หลินเยวียนฟังไปแปดคนติดต่อกัน ยังไม่เจอเสียงที่ทำให้ตะลึงได้เลย

หนึ่งในนั้นถึงกับมีห้าคนที่เพิ่งร้องไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกกรรมการขัดขึ้นมา

ซย่าฝานอยู่ในลำดับที่เก้า นับว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ขึ้นเวทีค่อนข้างเร็ว

เมื่อถึงคิวของเธอขึ้นเวที หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ก็โบกมือสุดแรงเกิดอยู่ด้านล่าง น่าเสียดายที่ตรงนั้นมีคนเยอะเหลือเกิน ซย่าฝานจึงไม่ทันสังเกตเห็น

ทว่าคำพูดสัพยอกของเจี่ยนอี้ก็ไม่ผิด

ซย่าฝานเป็นแม่ทัพซึ่งผ่านศึกมาไม่รู้กี่เวทีแล้วจริงๆ

ในรอบแรกของการออดิชัน เธอร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่ง หลังร้องจบกรรมการก็หันไปกระซิบกระซาบกัน ก่อนที่ต่างคนต่างยกป้ายให้ผ่านฉลุย

“ขอบคุณกรรมการทุกท่านค่ะ!”

ซย่าฝานก้มโค้งครั้งหนึ่ง ก้าวลงจากเวทีอย่างปลื้มปีติ เป็นครั้งแรกที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขกับหลินเยวียนและเจี่ยนอี้

“นี่เพิ่งจะเริ่มต้น”

เจี่ยนอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “หลังจากนี้เธอต้องสู้นะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอาเพลงความฝันแรกออกมาร้องให้กรรมการช็อกตายไปเลย!”

ซย่าฝานยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร

เธอไม่คิดจะนำเพลงความฝันแรกออกมาร้อง ถ้าร้องเพลงนี้ในการประกวดแล้วแลกมาได้เพียงโควตาผ่านเข้ารอบก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย เธออยากร้องเพลงนี้ตอนเดบิวต์อย่างเป็นทางการมากกว่า

ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว

เจี่ยนอี้เสนอ “พวกเรากลับกัน?”

ซย่าฝานพยักหน้า มองไปยังทั้งสอง กล่าวว่า “วันนี้กลับก่อนเถอะ หลังจากนี้ฉันยังต้องแข่งอีกหลายรอบ แต่พวกนายสองคนไม่ต้องมาเป็นเพื่อนแล้ว”

เธอเพียงแค่รู้สึกกังวลในวันแรก

หลังจากนี้จะรบกวนทั้งสองคนตลอดไม่ได้

สองคนยิ้มตอบตกลง

จะว่าไปแล้ววิทยาลัยก็มีช่วงที่ว่างเหมือนกัน แต่ความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะว่างพร้อมกันพอดีกลับมีไม่มาก

การประกวดของซย่าฝานกินเวลานานสุดๆ หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ว่างแล้วถึงมาอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ ไม่ว่างก็มาไม่ได้

เมื่อกลับถึงบ้าน

หลินเยวียนมองโทรศัพท์ คืนนี้ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งก่อนจะถึงเวลานอน เขาจึงเปิดเรื่องกระบี่เทพสังหารแล้วลงมือเขียนต่อ

มือของเขาคล่องแคล่วว่องไว เขียนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก

ใกล้ช่วงเวลาสามทุ่ม

ในที่สุดหลินเยวียนก็เขียนเรื่องกระบี่เทพสังหารเสร็จ!

ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรม: 811

สอนนักเรียนเสร็จไปอีกคนหนึ่งแล้ว หลินเยวียนเห็นว่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมของตนพอจะขยับขึ้นมาแล้ว นั่นทำให้เขาพอใจสุดๆ

ในสถานการณ์ปกติ การสอนนักเรียนคนหนึ่งๆ จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้

ทว่าในระหว่างการเรียนการสอนในวันนี้ หลินเยวียนเจอกับนักเรียนสเก็ตช์หลายคนที่พื้นฐานไม่เลวเลย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยเรียนสเก็ตช์กับเขา

สำหรับนักเรียนที่พื้นฐานสเก็ตช์ดีแบบนี้ สิ่งที่หลินเยวียนอธิบายจึงลึกซึ้งมากขึ้นสักหน่อย ในขณะเดียวกันก็แสดงเทคนิคการสเก็ตช์ขั้นสูงออกมาโดยไม่รู้ตัว และดึงดูดความตื่นตะลึงจากผู้คนรอบข้าง

นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่รางวัลจากค่าความโด่งดังนั้นมีมูลค่าสูงมาก

และขณะที่หลินเยวียนกำลังเตรียมตัวสอนคนต่อไป จู่ๆ ด้านนอกก็มีความเคลื่อนไหวดังออกมา

จากนั้นก็เห็นว่าอาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่ชมรมจิตรกรรม!

อาจารย์คนนี้เดินตรงมายังจงอวี๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล “จงอวี๋คุณโดดเรียนอีกแล้วนะ!”

“อาจารย์…”

จงอวี๋ก้มหน้างุด เขานึกไม่ถึงว่าอาจารย์สอนสีกวอชจะถึงกับมาที่ชมรมจิตรกรรม “ครั้งหน้าผมจะไม่โดดเรียนแล้วครับ!”

“หุบปาก!”

อาจารย์สอนสีกวอชของจงอวี๋กล่าวเสียงเย็น “ครั้งก่อน ครั้งก่อนๆๆๆๆ คุณก็พูดแบบนี้”

จงอวี๋ตบอก “ครั้งหน้าผมเข้าเรียนแน่นอน!”

อาจารย์สอนสีกวอชพูดอย่างหัวเสีย “ที่ฉันมาหาคุณก็ไม่ใช่เพราะคุณโดดเรียนอย่างเดียว จะมาแจ้งคุณสักหน่อย ว่าผลงานภาพวาดสีกวอชของคุณได้รางวัลที่สองในการประกวดสีกวอชครั้งนี้”

อาจารย์สอนสีกวอชว่าพลางหยิบภาพวาดสีกวอชของจงอวี๋ออกมา

“หา!”

จงอวี๋ได้ยินเช่นนั้น ก็ตื่นอกตกใจ คลี่ภาพวาดของตนเองออกมา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม “นึกไม่ถึงว่าฉันจะได้รางวัลด้วย”

“ว้าว!”

“ดีอยู่น้า!”

“จงอวี๋ฝีมือสีกวอชนายดีขนาดนี้เลย?”

“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนฝีมือสีกวอชนายธรรมดามากเลยนี่!”

“ถึงกับได้รางวัลที่สองของการประกวดสีกวอชระดับมหาวิทยาลัยเชียวเหรอ”

“…”

ทันทีที่ผู้คนเห็นภาพวาดสีกวอชของจงอวี๋ ต่างคนต่างเผยสีหน้าตกตะลึง

คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจำนวนมากเข้าร่วมการประกวดภาพวาดสีกวอชเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้รางวัลมาไม่กี่คน

และระหว่างชมรมจิตรกรรมก็นับว่ารู้ตื้นลึกหนาบางซึ่งกันและกัน

ในภาพจำในอดีตของทุกคน ฝีมือการวาดสีกวอชของจงอวี๋เรียกได้แค่ว่าใช้ได้ แต่ไม่มีทางคว้าได้ถึงระดับรางวัลที่สองในการประกวดภาพวาดสีกวอชเด็ดขาด!

แต่เมื่อมองจากผลงานของจงอวี๋ในตอนนี้ ราวกับว่าผลัดเนื้อเปลี่ยนกระดูกมาเลยทีเดียว!

สีหน้าของอาจารย์ค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น กระซิบเสียงเบา “ฝีมือไม่เลวเลย”

จงอวี๋รู้สึกกระหยิ่มใจ หัวเราะเหอๆ “ก็ดูสิว่าอาจารย์ผมเป็นใคร”

พูดจบ จงอวี๋ก็รีบยกมือปิดปากทันที

ซวยแล้ว!

ฝีมือการสอนสีกวอชของท่านเทพเกือบถูกเปิดเผยแล้ว!

ชมรมจิตรกรรม รวมไปถึงทั้งคณะวิจิตรศิลป์ คนที่กระจ่างในความสามารถในการวาดสีกวอชของหลินเยวียนนั้นมีไม่มาก

จงอวี๋ยังวางแผนจะเรียนรู้จากหลินเยวียนต่อไป พัฒนาความสามารถในการวาดภาพสีกวอชขึ้นไปอีก ดังนั้นนักศึกษากลุ่มที่เคยเห็นหลินเยวียนสร้างสรรค์หนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็ตกลงกันอย่างลับๆ ว่าจะไม่รีบเปิดเผยฝีมือการวาดสีกวอชของท่านเทพเร็วเกินไป

เมื่อเป็นแบบนี้พวกเขาจะได้โชคหล่นทับอย่างเงียบเชียบ

นึกไม่ถึงว่าวันนี้ตนมาหลุดปากซะเอง!

เป็นดังเช่นที่หลินเยวียนกังวล ทันทีที่คำพูดของเขาหลุดปากออกไป สายตาโดยรอบแต่ละคู่ก็พลันมองไปยังหลินเยวียนในทันที

ความสามารถในการวาดสีกวอชของจงอวี๋รุดหน้าไปเร็วถึงขนาดนั้น เป็นเพราะท่านเทพหรอกเหรอ?

อาจารย์สอนสีกวอชกลับไม่ได้แปลกใจ

ช่วงก่อนหน้านี้ ฝีมือการวาดสีกวอชของจงอวี๋กับนักศึกษาคนอื่นๆ ในคลาสก็พัฒนาก้าวกระโดด เธอก็ได้ถามเหตุผลจากนักศึกษาเหล่านั้นแล้ว

เจ้าพวกนี้กล้าปิดบังเพื่อน แต่ไม่กล้าปิดบังอาจารย์ ยอมรับว่าที่ฝีมือสีกวอชพัฒนาไปเร็วถึงขนาดนี้เป็นเพราะเรียนกับหลินเยวียน

“หลินเยวียนอยู่ไหม?”

อาจารย์สอนสีกวอชมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย

หลินเยวียนตอบ “อยู่ครับ”

อาจารย์สอนสีกวอชมองหน้าหลินเยวียน เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “คุณคือนักศึกษาที่ทำหนังสือพิมพ์กระดานดำนี่!”

ในการตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งก่อน อาจารย์ท่านนี้ก็อยู่ด้วย

ในตอนนั้นภาพวาดของหลินเยวียนเป็นที่จดจำของอาจารย์คนนี้ ฉะนั้นเธอจึงจำหน้าหลินเยวียนได้

จะว่าไป ใบหน้าหล่อๆ แบบนี้ จะให้จำไม่ได้ก็คงยาก

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

อาจารย์สอนสีกวอชมองภาพสเก็ตช์ตรงหน้าของหลินเยวียน ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้ม “อย่าสอนแต่สเก็ตช์สิ ถ้าว่างๆ ก็สอนสีกวอชด้วย”

“ครับ”

หลินเยวียนตกลง เขาเองก็รู้สึกว่าถ้าสอนสีกวอชจะได้ขยับขยายกิจการด้วย สอนสเก็ตช์ตั้งเยอะแยะทุกวัน ออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย

……

หลังจากที่อาจารย์สอนสีกวอชออกไป คนกลุ่มนี้ต่างก็จ้องมองจงอวี๋

จงอวี๋รู้ว่าปิดบังไม่อยู่แล้ว จึงยิ้มขื่น “สีกวอชฉันก็เรียนกับท่านเทพ”

“ถึงว่าล่ะทำไมนายเก่งสีกวอชขึ้นเร็วขนาดนี้!”

“คลาสพวกเรามีสามสี่คนที่ช่วงนี้คะแนนสีกวอชดีขึ้น เกี่ยวกับท่านเทพเหมือนกันหรือเปล่า”

“พวกนายปิดบังพวกฉันซะเนียนเลยนะ!”

“ก่อนหน้านี้พวกเราก็ยังคิดว่าท่านเทพเก่งสเก็ตช์แค่อย่างเดียวนะเนี่ย!”

“เมื่อก่อนฉันยังลังเลว่าจะเรียนสีกวอชกับท่านเทพดีมั้ย ตอนนี้มาคิดดูแล้วเสียดายจริงๆ ตอนนั้นฉันจะลังเลทำไมวะเนี่ย”

“ท่านเทพสอนฉันด้วย!”

สายตาของฝูงชนร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะนั้นไม่มีใครสนใจจงอวี๋อีกต่อไป ต่างคนต่างมองไปยังหลินเยวียน

“ชั่วโมงละห้าร้อยหยวนครับ”

หลินเยวียนเสนอราคาอย่างสุขุม

“ดีล!”

ทุกคนไม่ได้ร่นถอยไปเพราะราคา

“ลงชื่อเลย”

จงอวี๋ซึ่งอยู่ด้านข้างยิ้มกริ่ม

คนเหล่านี้เห็นจงอวี๋แล้วก็นึกโมโห แต่ก็ยังคงไปลงชื่อกับจงอวี๋อย่างว่าง่าย

ใครใช้ให้จงอวี๋รับผิดชอบเรื่องการลงชื่อล่ะ

นอกจากนั้น คนเยอะแยะขนาดนั้นมาเรียนสีกวอชกับท่านเทพ ถ้าไม่ต่อคิวจะได้ที่ไหนล่ะ หลินเยวียนอยู่ในชมรมจิตรกรรมอยู่นาน ทุกคนก็เข้าใจในกฎเกณฑ์ของหลินเยวียนมากแล้ว

ไม่ทันไร จำนวนคนที่มาลงชื่อเรียนสีกวอชก็ปาไปห้าสิบคนแล้ว

ตัวเลขนี้ได้เบียดรายชื่อคนที่ลงชื่อเรียนสเก็ตช์กับหลินเยวียนไปแล้ว

จงอวี๋ส่งรายชื่อให้หลินเยวียนดูผ่านตา

หลินเยวียนพยักหน้าเอ่ย “เรียนต่อเลยครับ”

สีกวอชเรื่องเล็ก ค่าความโด่งดังเรื่องใหญ่ เขาต้องรีบทำภารกิจ พยายามทำให้ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมแตะถึงหนึ่งพันในไม่กี่วันนี้

“เรียนต่อเลย”

จงอวี๋ตะโกนแจ้งคนอื่นๆ

นักเรียนของหลินเยวียนกลายเป็นวงกว้างขึ้นมาทันทีหลังจากเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจงอวี๋จะเสียดายที่หลังจากนี้จะไม่ได้เรียนคลาสสีกวอชกับหลินเยวียนอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ใช้เวลาที่คนอื่นยังไม่รู้ เรียนไประยะหนึ่งแล้ว ถึงขั้นคว้าอันดับสองจากการประกวดภาพวาดสีกวอช ก็ควรให้คนอื่นได้เรียนกับท่านเทพบ้างได้แล้ว

และอีกด้านหนึ่ง

สาขาการประพันธ์เพลงได้เข้าเรียนวิชาพละศึกษาในวันนี้แล้ว

อาจารย์วิชาพละไม่ได้เสแสร้งแกล้งหลับอย่างหวงเปิ่นอวี่แล้ว เขายังคงเช็กชื่อตามธรรมเนียม

“หวังเฉียง”

“มาครับ”

“หลี่เฟิง”

“มาครับ”

“โจวหาน”

“มาครับ”

“หลินเยวียน”

“มาครับ มาครับ มาครับ มาครับ มาครับ มาครับ…”

ทั้งชั้นเรียนมีอยู่สี่ห้าสิบคน ส่วนใหญ่ก็ตอบว่ามาครับมาค่ะกันทั้งนั้น

หลินเยวียนถูกผู้หญิงใส่รวมเข้าไปในกลุ่มที่ตอบว่า ‘มาครับ’ แล้ว โดยจงใจกดเสียงต่ำเลียนแบบเสียงผู้ชาย

วันนี้หลินเยวียนโดดเรียน เพื่อนๆ ในสาขาการประพันธ์เพลงรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงหมายมั่นปั้นมือแล้วว่าจะปกป้องหลินเยวียน ผลคือยังไม่ทันได้ปรึกษากัน ก็เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดและเหนือความคาดหมายแบบนี้ขึ้นซะก่อน

“…”

อาจารย์วิชาพละเงียบไป

เขาสอนมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอสถานการณ์เช่นนี้ จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “สรุปว่าคลาสพวกคุณมีหลินเยวียนกี่คนกันแน่”

ทุกคน “…”

นี่คือสิ่งที่ในตำนานเรียกว่าคนที่ใครๆ ก็เอ็นดูใช่ไหมเนี่ย

…………………………………………………….

เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเยวียนเริ่มขบคิดปัญหาเหล่านี้

เพราะความโด่งดังของเพลงกุหลาบแดง เขาจึงได้สัญญาฉบับใหม่สำเร็จ ขณะเดียวกันนั่นก็หมายความ ว่าในมือของเขาก็ไม่มีเพลงเป็นการชั่วคราว

ต้องสั่งทำหรือเปล่านะ

หรือว่ายังไม่ต้องรีบร้อนดี

ภารกิจชมรมจิตรกรรมของระบบยังทำไม่สำเร็จเลย

ภารกิจชมรมจิตรกรรมนี้ได้กล่องสมบัติเป็นรางวัล ถ้ากล่องสมบัติเปิดออกมาเป็นบทเพลง ก็จะประหยัดค่าสั่งทำเพลงไปอีกห้าแสนหยวนไม่ใช่เหรอ

นอกจากนั้นแล้ว เพลงความฝันแรกยังไม่ได้เผยแพร่!

ถึงแม้เพลงนี้ตอนปล่อยออกไปช่วงแรกอาจต้องซ่อนตัวตนของเซี่ยนอวี๋ แต่ค่าความโด่งดังที่เพลงความฝันแรกได้รับ ท้ายที่สุดแล้วก็จะกลับคืนสู่ตัวหลินเยวียนเอง

สำหรับหลินเยวียน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ถึงอย่างไรคนอย่างเขาทำอะไร แต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้แสวงหาชื่อเสียง

เขาแสวงหาผลประโยชน์

ค่าความโด่งดังโอนเข้าบัญชีก็พอแล้ว

ส่วนรายละเอียดว่าซย่าฝานจะปล่อยเพลงความฝันแรกเมื่อไหร่นั้น หลินเยวียนไม่กล้าเข้าไปยุ่ง

นี่เป็นเรื่องของซย่าฝาน

ถ้าซย่าฝานอยากร้องเพลงนี้ตอนประกวด ก็ร้องเพลงนี้ตอนประกวด ถ้าอยากรอให้เดบิวต์อย่างเป็นทางการแล้วค่อยปล่อยเพลง งั้นก็รอปล่อยเพลงตอนเดบิวต์อย่างเป็นทางการ

สำหรับหลินเยวียนแล้วก็เหมือนกันหมด ค่าความโด่งดังอาจมาช้า แต่ก็ไม่มีทางไม่มาเลย

ฟุ้งซ่านอยู่ชั่วขณะ

หลินเยวียนก็ตบตักอย่างแรง “แย่แล้ว!”

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ ว่าภารกิจค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมคล้ายว่าจะมีข้อจำกัดด้านเวลา

หลินเยวียนจึงรีบร้องเรียกระบบ “ภารกิจของฉันยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”

ระบบตอบ “เวลาที่เหลือให้โฮสต์มีไม่มากแล้ว เหลืออีกสองสัปดาห์ก่อนจะถึงเวลาที่กำหนดของภารกิจ”

หลินเยวียนตะลึงงัน

เหลือเวลาน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ

ก่อนหน้านี้ช่วยเพื่อนร่วมชั้นอัดทำนองเปียโน แล้วก็อัดเพลงกุหลาบแดงให้ซุนเย่าหั่ว บวกกับทำงานในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ละสิ่งอย่างล้วนประวิงเวลาของเขา พลอยให้เวลาทำภารกิจของตนไม่ค่อยพอ

หลินเยวียนดูความคืบหน้าของภารกิจ ก่อนจะผ่อนลมหายใจแผ่วเบา

ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมในปัจจุบันอยู่ที่แปดร้อย ในตอนนี้ห่างจากเป้าหมายค่าความโด่งดังหนึ่งพันอีกเพียงสองร้อย

ยังห่างอยู่ไม่มาก

รวบรวมสมาธิสักตั้ง แล้วทำภารกิจให้สำเร็จก่อนเถอะ

ถึงแม้ภารกิจระบบจะไม่มีการลงโทษหากทำไม่สำเร็จ แต่สำหรับหลินเยวียนแล้ว การพลาดกล่องสมบัติไปก็คือการถูกลงทัณฑ์ครั้งใหญ่

เมื่อนึกถึงตรงนี้

หลินเยวียนก็ดูตารางเรียนซึ่งบันทึกไว้ในโทรศัพท์ คลาสแรกของช่วงสายวันพรุ่งนี้คือวิชาเปียโนของอาจารย์หวง คาบที่สองคือวิชาพละ…

“โดดได้”

หลินเยวียนตัดสินใจแล้ว

สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยทุกวันนี้ การโดดเรียนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงแม้หลินเยวียนจะโดดเรียนน้อยมาก แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษ การโดดเรียนไม่ได้เป็นภาระทางจิตใจของเขาสักเท่าไหร่

ส่วนการลาหยุด…

อย่างไรซะ หลินเยวียนก็รู้สึกว่าการลาหยุดเพื่อทำภารกิจของระบบไม่ค่อยเหมาะ ไม่สู้โดดเรียนไปแบบสบายใจเลยดีกว่า

เมื่อคิดเช่นนี้

ในวันต่อมาหลินเยวียนก็ตรงมายังชมรมจิตรกรรม

คนในชมรมช่วงสายนั้นมีไม่มาก ถึงอย่างไรคณะวิจิตรศิลป์ก็ยังมีเรียนกันอยู่ แต่ก็มักจะมีนักศึกษาที่ไม่มีเรียนเข้าชมรม

ตัวอย่างเช่นคนที่มอบสมญานามให้ตนเองว่าเป็นศิษย์เอกของหลินเยวียนอย่างจงอวี๋ ในตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

ในความทรงจำของของหลินเยวียน จงอวี๋คล้ายกับจะใช้เวลาส่วนมากอยู่ที่ชมรมจิตรกรรม

เพราะวิชาเรียนของเขาน้อยที่สุดหรือ?

เปล่า เป็นเพราะจงอวี๋ชอบโดดเรียนต่างหาก

ทันทีที่หลินเยวียนเข้ามา จงอวี๋ก็ปรี่เข้ามาทันที เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ท่านเทพช่วงนี้นายมาชมรมจิตรกรรมน้อยมากเลย สมาชิกชมรมที่คิวนัดติวด้านหลังค้างเยอะสุดๆ”

“ไม่เป็นไร”

หลังจากโดดเรียนมาแล้วหลินเยวียนมีเวลาเหลือเฟือ เขากวาดตาไปที่กลุ่มคนโดยรอบ เอ่ยว่า “วันนี้ผมสอนสิบคน”

ทุกคน “…”

ความฮึกเหิมโผล่มาจากไหนเนี่ย?

หลังจากนั้น ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา!

ชอบความสู้ไม่ถอยของนายมาก!

คิวนัดหมายล่วงหน้าของคลาสติวหลินเยวียนมีเยอะมาก ใครๆ ก็อยากให้วนถึงคิวตนเองเร็วๆ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าวันนี้หลินเยวียนจะสอนสิบคน ก็ต้องดีใจกันเป็นธรรมดา

……

วันนี้ก็ยังมีวิชาเรียนสเก็ตช์เป็นส่วนมากเหมือนเดิม

นอกจากการสเก็ตช์แล้ว ช่วงเวลานี้ของหลินเยวียน ก็ยังสอนสีกวอชอีกส่วนหนึ่ง แถมทุกคนยังมองออกด้วยว่าฝีมือสีกวอชของหลินเยวียนก็ยอดเยี่ยมมาก

แต่เพราะหลินเยวียนยังไม่เคยแสดงฝีมือสีกวอชให้เป็นประจักษ์ ฉะนั้นทุกคนก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง

นอกจากนั้นแล้ว ทุกวันนี้วาดภาพได้ดีเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการสอนได้ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ฝีมือการวาดภาพสีกวอชของหลินเยวียนดูท่าไม่เลวเลย

แต่นั่นหมายความว่าการสอนสีกวอชของเขาก็ดีเหมือนกันหรือเปล่า?

เมื่อเทียบกันแล้ว ฝีมือการสอนสเก็ตช์ของหลินเยวียนได้รับการประเมินในทางที่ดีอย่างถ้วนหน้า ดังนั้นนักเรียนเหล่านี้ของเขา ร้อยละเก้าสิบมาเพื่อเรียนสเก็ตช์

หลินเยวียนเองไม่ได้เลือก

เอฟเฟกต์ ‘อาจารย์’ เปิดใช้

อยากเรียนอะไรเขาก็สอนแบบนั้น

ทำตามนี้ไปหนึ่งคน สองคน สามคน…

บางทีเอฟเฟกต์อาจารย์อาจใช้งานได้ดีจริงๆ หรือไม่หลายๆ คนที่หลินเยวียนสอนอาจฝึกฝนจนชำนาญแล้ว สรุปแล้วการสอนของหลินเยวียนในตอนนี้รวดเร็วมาก นักเรียนมีมากขึ้นเรื่อยๆ

“นี่ก็สายมากแล้ว”

ตอนที่หลินเยวียนสอนถึงคนที่สี่ จงอวี๋กระซิบเตือนหลินเยวียนประโยคหนึ่ง

“ท่านเทพวันนี้เหมือนจะมีเรียนไม่ใช่เหรอ?”

หลินเยวียนสอนที่ชมรมจิตรกรรมมานานขนาดนี้ เวลาของเขาแทบจะถูกจงอวี๋จัดการทั้งหมดแล้ว

“วันนี้ผมโดดเรียน”

หลินเยวียนอธิบายหนึ่งประโยค ก่อนจะพูดว่า “คนต่อไปครับ”

……

ขณะเดียวกัน

ในห้องเปียโนของสาขาการประพันธ์เพลง

หวงเปิ่นอวี่กวาดตามองนักศึกษาด้านล่างด้วยความเคยชิน เพื่อประเมินคร่าวๆ ว่ามีคนไม่มาเรียนหรือไม่

ผลคือกวาดตามองอยู่นาน ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ด้วยความประหลาดใจ ว่าวันนี้หลินเยวียนไม่อยู่

โดดเรียนเหรอ?

ถ้าหากเป็นนักศึกษาคนอื่นโดดเรียน หวงเปิ่นอวี่จะต้องกวดขันอย่างเข้มงวด ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าความร้ายแรงของการโดดเรียนเป็นอย่างไร!

แต่หลินเยวียนไม่มา หวงเปิ่นอวี่ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับตื่นเต้นมากด้วยซ้ำ!

ไม่มาก็ดี

น่าจะไม่มาตั้งนานแล้ว!

หลินเยวียนจะมาทำไมกัน

หรือว่าจะมาสอนฉันเล่นเปียโน?

ด้วยระดับความสามารถแล้ว หวงเปิ่นอวี่กับหลินเยวียนกินกันไม่ลง ทั้งสองคนอยู่ระดับมืออาชีพ และเมื่อพิจารณาถึงอายุของพวกเขาแล้ว หวงเปิ่นอวี่ไม่อยากให้หลินเยวียนมาเสียเวลาในคลาสเรียนของตน

ต่อให้หลินเยวียนไปหาห้องซ้อมเปียโนแล้วเล่นไปเรื่อยเปื่อย ก็ยังได้ประโยชน์กว่ามาเรียนคลาสตน

ในตอนนั้นเอง

ตัวแทนประจำวิชานำใบรายชื่อของชั้นเรียนมาส่งให้กับมือของหวงเปิ่นอวี่ แต่หวงเปิ่นอวี่ไม่ได้เหลือบมอง ก็วาง ลงไปแล้ว

ตัวแทนประจำวิชานึกสงสัย “อาจารย์หวง?”

หวงเปิ่นอวี่ยิ้มบาง “วันนี้ผมไม่เช็กชื่อ”

ตัวแทนประจำวิชาอึ้งไปชั่วขณะ

มีอาจารย์บางคนที่อัตราการเช็กชื่อไม่แน่นอน ทว่าในภาพจำของตัวแทนประจำวิชา หวงเปิ่นอวี่กลับเป็นคนที่คลั่งการเช็กชื่อโดยปราศการการประนีประนอมใดๆ

ทุกคาบเรียนของเขาจำเป็นต้องเช็กชื่อ ใครขาดเรียนจะต้องถูกเขาสั่งสอนอย่างหนัก

เพราะฉะนั้น นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงต่างก็ไม่กล้าโดดเรียนวิชาของหวงเปิ่นอวี่

วันนี้กลับแปลกชอบกล คนคลั่งการเช็กชื่อกลับไม่เช็กชื่อแล้ว?

หวงเปิ่นอวี่ลอบแสยะยิ้ม

ถ้าวันนี้เช็กชื่อ ฉันก็ต้องจดว่าหลินเยวียนขาดเรียนต่อหน้านักศึกษาทั้งคลาส?

งั้นไม่เท่ากับว่ายกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ

พอถึงตอนนั้นหลินเยวียนก็จะมาเข้าเรียนคลาสเปียโนของตนต่อเพื่อไม่ให้ขาดเรียนจะทำยังไงล่ะ

ดังนั้นง่ายมาก

ไม่เช็กชื่อก็สิ้นเรื่อง

ขอเพียงฉันแกล้งหลับ พวกนายก็อย่าหวังว่าจะปลุกฉันให้ตื่นเลย!

…………………………………………………

“นี่นาย…”

เหล่าโจวเห็นว่าหลังจากที่หลินเยวียนเลิกงาน ก็หอบกล่องใบชากลับมาที่ห้องทำงานเขา จึงอดรู้สึกงุนงงไม่ได้

“ใบชา”

หลินเยวียนเอ่ย

เหล่าโจวหลุดหัวเราะ “นายยังไปซื้อใบชามาคืนฉันอีกเหรอ ไม่เป็นไรหรอก เลี้ยงทุกคนไปแล้วก็แล้วไปเถอะ ฉันไม่ได้ขี้งกถึงขนาดนั้น”

“รับไปเถอะครับ”

หลินเยวียนหยิบใบชาใส่ลิ้นชัก

เหล่าโจวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “งั้นก็เก็บไว้ในนั้นแหละ ต่อไปนายอยากกินชาก็มาชง ไม่ต้องเกรงใจฉัน”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนวางใบชาลงแล้วก็เดินออกไป ตอนที่เดินผ่านพื้นที่พักผ่อน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงซึ่งคุ้นเคยดังมาจากด้านหน้า

เสียงของซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหั่วตอนนี้กำลังถูกนักร้องตัวเล็กๆ ในบริษัทห้อมล้อม ในดวงตาของนักร้องตัวเล็กเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและอิจฉาซุนเย่าหั่ว สายตาแบบนี้แทบไม่ได้ต่างกับสายตาที่สมาชิกชมรมจิตรกรรมมองหลินเยวียนเลย

ซุนเย่าหั่วกำลังอวดเบ่งอยู่

กล่าวให้ชัดก็คือซุนเย่าหั่วกำลังปาฐกถาเกี่ยวกับความสำเร็จอยู่ “อันที่จริงความสำเร็จนั้นง่ายมากครับ บากบั่นพากเพียรสองคำนี้ก็เพียงพอแล้ว พวกนายเห็นแค่ความสำเร็จของฉัน แต่กลับไม่เห็นหยาดเหงื่อเพื่อความสำเร็จของฉัน นายเคยเห็นพระอาทิตย์ตอนตีหนึ่งมั้ยล่ะ”

“พระอาทิตย์ตอนตีหนึ่ง?”

“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญก็คือฉันตื่นมาทุกวันต้องวอร์มเสียง ทุกวันต้องซ้อมค่าความจุปอด ฉันเลิกสูบบุหรี่เลิกดื่มเหล้าเพื่อการร้องเพลง แม้แต่พริกที่ตอนเด็กๆ ฉันชอบกินที่สุดก็ยังไม่แตะแม้แต่นิดเดียว!”

“พี่ซุนพูดอะไรที่แตกต่างหน่อยได้มั้ยคะ”

“ก็แค่ คำพูดพวกนี้พวกเราฟังบ่อยแล้วครับ”

“พวกเรามีใครไม่บากบั่น พากเพียรกันล่ะ”

ซุนเย่าหั่วนั่งแผ่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ พูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ก็ได้ งั้นจะพูดอะไรที่แตกต่าง ที่จริงแล้วเป็นเคล็ดลับความสำเร็จเลยละ!”

“เคล็ดลับอะไรเหรอคะ!”

ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย

ซุนเย่าหั่วยิ้มบาง “สำหรับหน้าใหม่แล้ว เคล็ดลับของความสำเร็จง่ายมาก ขอเพียงได้ร่วมงานกับพ่อเพลง ต่อให้ล่ามนายให้ร้องในสตูดิโอเล่นๆ ก็ยังได้!”

“งั้นก็เหมือนหมาไม่ใช่เหรอครับ”

มีคนหลุดปากพูดออกมา ก่อนจะรีบรูดซิปปากสนิท มองซุนเย่าหั่วอย่างหวาดระแวง เห็นชัดว่าตระหนักได้ว่าตนพลั้งปากไปแล้ว

“ฮ่าๆ”

ซุนเย่าหั่วตบไหล่คนนั้น ผุดยิ้มบาง “คำพูดนี้ฉันเคยได้ยิน ตอนนั้นฉันใช้เพลงชีวิตดุจมวลผกายามคิมหันต์เดบิวต์ ก็มีหลายคนเคยพูดว่าเพลงนี้ต่อให้สตูดิโอจับหมามาร้องก็ดังได้!”

ทุกคนพูด “พูดเกินไปหรือเปล่า!”

ซุนเย่าหั่วส่ายหน้า “ไม่ๆๆๆ ถึงได้บอกว่าพวกนายยังอายุน้อยเกินไป ทุกคนบอกกันว่าฉันเป็นหมาตัวหนึ่งของเซี่ยนอวี๋ แต่พวกนายดูซุนเย่าหั่วในตอนนี้สิ พวกนายบอกฉันมา…ว่าเป็นหมามันไม่ดีตรงไหน”

เมื่อเผชิญหน้ากับนักร้องเบอร์ใหญ่ เด็กใหม่ก็กลายเป็นแค่มด!

ชั่วชีวิตนี้ซุนเย่าหั่วไม่มีทางลืมภาพเหตุการณ์ที่เถาหรานหยิบนามบัตรออกมาแล้วให้ตนยกเพลงกุหลาบแดงให้ ในตอนนั้นเขารับรู้ได้ว่าอะไรคือการมองคนเป็นหมาที่แท้จริง

ทุกคนแลดูราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิด

หลินเยวียนเอ่ยขึ้น “รุ่นพี่”

ซุนเย่าหั่วได้ยินเสียงนี้ก็ตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน ท่ามกลางการจับตามองอย่างตกตะลึงของทุกคนโดยรอบ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที สีหน้าประกอบไปด้วยความกระตือรือร้นสามส่วน สามส่วนถัดมาคือประจบประแจง อีกสามส่วนคือความถ่อมตัว และอีกหนึ่งส่วนคือศักดิ์ศรีที่ทั้งไม่ได้ต่ำต้อยและไม่หยิ่งผยอง…

ศักดิ์ศรี?

“รุ่นน้องนายอยากได้อะไรหรือเปล่า”

“นั่งรถพี่ได้มั้ยครับ”

หลินเยวียนตัดสินใจว่าจะไม่เรียกรถ

ซุนเย่าหั่วยังไม่ทันได้ตอบ ผู้คนรอบตัวเขาลุกพรวดขึ้นมาห้อมล้อมหลินเยวียน ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่าซุนเย่าหั่วหลายเท่าเลยทีเดียว “อาจารย์เซี่ยนอวี๋เลิกงานแล้วใช่มั้ยครับ นั่งรถผมกลับมั้ยครับ”

“ฉันก็มีรถนะคะ!”

“ฉันไปส่งดีกว่าค่ะ!”

“รถของผมซื้อมาสามแสนเลยนะครับ!”

เจ้าพวกนี้เรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ

นี่มันกระบวนการของลูกศิษย์ที่กำลังจะปล่อยให้อาจารย์อดตายนี่หว่า

ซุนเย่าหั่วเกิดความรู้สึกระแวงขั้นรุนแรงขึ้นมาทันที รีบเดินไปอยู่ข้างหลินเยวียน “วันนี้รุ่นน้องชอบอุณหภูมิแบบเดิมเนอะ ฉันจะให้คนปรับอุณหภูมิแอร์ไว้ก่อน ระหว่างทางจะผ่านร้านชานมที่ฉันลงทุนเปิดไปก่อนหน้านี้ มีทุกรสชาติ อาหารเย็นพวกเราก็แวะกินแถวนั้นเลยแล้วกัน ตรงนั้นมีร้านอาหารที่ดังมากๆ ฉันจองไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว!”

ทุกคน “…”

เมื่อหลินเยวียนกับซุนเย่าหั่วเดินออกไป ผู้คนกลุ่มนี้ต่างคนต่างมองหน้ากัน พูดอย่างยกย่องชมเชย “เทียบกับรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วแล้ว พวกเรายังห่างไกลอีกหลายโยชน์จริงๆ ด้วย!”

“โฮ่ง!”

มีคนร้องขึ้นมา

ทุกคนมองไปทางคนที่ร้องออกมาด้วยความสับสน คนคนนั้นกลับเผยรอยยิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ ประหนึ่งกระจ่างในความจริงขึ้นมา “ฉันบอกให้พวกนายรู้ไว้วันนี้เลยนะ ฉันเองก็ทำได้เหมือนกัน!”

ทุกคนกระจ่างขึ้นมาทันที

ดังนั้นจึงพากันทำตามด้วย

อีกด้านหนึ่ง หลินเยวียนขึ้นมาบนรถแล้ว

ซุนเย่าหั่วขับรถตรงไปยังร้านชานมจริงๆ

ที่สำคัญคือการตอบโต้ของเจียงขุยในครั้งก่อนได้สร้างปมในใจของเขา

ร้านชานมนี้อยู่บนเส้นทางที่หลินเยวียนเดินทางไปทำงานพอดี มีรสชาติหลากหลาย ขณะที่หลินเยวียนกำลังดื่มชานม ซุนเย่าหั่วก็ยังเตือนพนักงานในร้านด้วย “หลังจากนี้ถ้าคุณผู้ชายท่านนี้มาดื่มชานมร้านเรา ไม่ต้องเก็บเงินนะ”

หลังจากไปร้านชานม

ซุนเย่าหั่วก็พาหลินเยวียนไปกินข้าวยังร้านอาหารซึ่งจองล่วงหน้าไว้แล้ว

ร้านอาหารนี้รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ หลินเยวียนจึงกินอย่างสำราญใจ

ทว่าในครั้งนี้ หลินเยวียนเป็นคนจ่ายเงินเอง

จะให้รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วควักกระเป๋าจ่ายทุกครั้งไม่ได้ หลินเยวียนเองก็รู้จักการตอบแทนน้ำใจเหมือนกัน

“ให้นายนายจ่ายได้ยังไงกัน”

ระหว่างทางที่ส่งหลินเยวียนกลับบ้าน ซุนเย่าหั่วก็พึมพำไม่หยุด

เขาสั่งอาหารดีๆ มาตั้งเยอะแยะ อาหารมื้อหนึ่งจ่ายเงินไปมาก ก็เพื่อเลี้ยงดูปูเสื่อหลินเยวียนให้ดี เพื่อแสดงความขอบคุณ แต่นึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วจะเป็นหลินเยวียนที่จ่ายเงิน

นั่นทำให้เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม

“ครั้งหน้าพี่ค่อยเลี้ยง” หลินเยวียนพูด

ซุนเย่าหั่วถึงได้หยุด

เขาถึงกับขบคิดว่าตนควรเปิดร้านอาหารดีไหม ทำอาหารที่รุ่นน้องชอบกินโดยเฉพาะ สถานที่แบบนี้ถึงจะขยายช่องทางการทำมาหากินได้

แต่ว่าในตอนนี้เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น ไว้ค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน

ไม่แน่อาจใช้เวลาอีกไม่นาน

ใช่แล้วละ

ซุนเย่าหั่วในตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมแล้ว!

ถึงแม้เพลงกุหลาบแดงจะเพิ่งออกมาได้ไม่นาน แต่เขาก็เริ่มมีชื่อเสียงที่มั่นคง มีกลิ่นอายของคนดังบ้างแล้ว

วันนี้ด้านนอกมีหลายแบรนด์มาหาผู้จัดการของเขาถึงที่ แม้จะไม่ถึงกับหัวกระไดไม่แห้ง แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน!

นอกจากนั้นแล้ว

เส้นทางที่บริษัทที่ให้ซุนเย่าหั่วหลังจากนี้ก็วางไว้อย่างชัดเจน ทั้งรายการมีคุณภาพต่างๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ซุนเย่าหั่วไม่เคยคาดฝัน

ไม่อย่างนั้นเด็กใหม่ในบริษัทจะมารุมล้อมซุนเย่าหั่วทำไมล่ะ

อย่าคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นแค่เด็กใหม่ธรรมดาเชียวนะ แท้จริงแล้วแต่ละคนฝีมือยอดเยี่ยมทีเดียว

ทว่าคนกลุ่มนี้ของบริษัทก็ยังคิดว่าความสำเร็จต้องพึ่งพาการประจบประแจงจริงๆ?

แปลกจริง

เคล็ดลับความสำเร็จของฉันซุนเย่าหั่ว ก็คือความจริงใจ!

…ในการประจบ!

ไม่ผิดหรอก การประจบด้วยความจริงใจถึงจะเป็นการประจบที่มีชั้นเชิงที่สุด

ที่ฉันดีกับรุ่นน้อง ก็ล้วนมาจากใจ คิดสิ่งที่รุ่นน้องคิด กังวลในสิ่งที่รุ่นน้องกังวล ถึงขั้นที่กลายเป็นความทรงจำถาวร สามารถทำได้อัตโนมัติเชียวละ!

เจ้าพวกนั้นยังห่างไกลอีกมาก

หากปราศจากการประจบอย่างจริงใจ ก็จะดูขอไปทีมากเกินไป ไร้ซึ่งเทคนิค เจียงขุยจัดการพวกเขาได้ในพริบตา!

“…”

เมื่อถึงด้านล่างตึก

จู่ๆ หลินเยวียนก็เอ่ยขึ้น “รุ่นพี่”

ซุนเย่าหั่วรีบตอบ “รุ่นน้องมีอะไรเชิญบอกมาได้เลย”

หลินเยวียนบอกกับเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ไม่ใช่หมา พี่เป็นคน”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป ชั่วขณะนั้นหัวใจก็อุ่นวาบ พยักหน้าซ้ำๆ

……………………………………………………………..

.

“ยินดีด้วยนายได้เป็นมือทองคนใหม่ของชั้นสิบแล้ว!”

หลินเยวียนเดินออกจากห้องทำงานไม่ทันไร คนในแผนกประพันธ์เพลงก็กรูกันเข้ามาและเริ่มปรบมือให้ พวกอู๋หย่งและคนอื่นๆ ก็ยิ่งนำขบวนมาเฉลิมฉลอง

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนผุดยิ้มให้เข้ากับความคาดหวังของสังคม

หนึ่งในเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแซวว่า “เซี่ยนอวี๋จะเลี้ยงกาแฟทุกคนเพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองหน่อยมั้ย”

“ไม่เอากาแฟ”

หลินเยวียนส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ “เลี้ยงชาทุกคนก็แล้วกันครับ”

ผู้คนพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ดื่มชาก็ได้ ด้านล่างมีร้านน้ำชา พวกเราลงไปตอนนี้กันเลย หรือว่าจะโทรศัพท์ให้พวกเขามาส่ง?”

“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น”

หลินเยวียนหันหลังกลับไปยังห้องทำงาน

จ้าวเจวี๋ยยังไม่ได้ออกไป เธอกำลังคุยกับเหล่าโจวอยู่ เมื่อเห็นหลินเยวียนเข้ามา ทั้งสองก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “หลินเยวียนมีเรื่องอะไรอีกเหรอ”

หลินเยวียนพูด “ใบชาล่ะครับ”

เหล่าโจวชะงัก ยิ้มตอบ “ด้านล่างลิ้นชักด้านซ้าย”

ดูท่าเด็กคนนี้จะเลิกกาแฟ แล้วติดอกติดใจชาแทน

หลินเยวียนพยักหน้า เปิดลิ้นชักของเหล่าโจว จากนั้นก็หยิบใบชาเดินออกไป

เหล่าโจวสะดุ้งโหยง ตื่นอกตกใจจนใบหน้าซีดเผือด “นี่ๆๆ เดี๋ยวนะๆ ทำไมนายดื่มเยอะขนาดนั้น”

หลินเยวียนตอบ “เลี้ยงทุกคนครับ”

เพื่อนร่วมงานด้านนอกเกาะประตูชะเง้อมอง เห็นหลินเยวียนไปหยิบใบชาชั้นดีที่เหล่าโจวเก็บไว้มาดื้อๆ ดวงตาก็เป็นประกาย ยกนิ้วโป้งมาให้หลินเยวียน!

“หลินเยวียนโหดแท้!”

“เหล่าโจวลงทุนโว้ย!”

“ใบชานี้แพงมากเลยสินะ!”

“เหล่าโจวดีกับหลินเยวียนมากเลยสินะ”

“ถ้านายมีความสามารถแบบเซี่ยนอวี๋ นายก็ได้เหมือนกัน”

“…”

ฝูงชนต่างตั้งหน้าตั้งตาคอย

เหล่าโจวกระวนกระวาย อยากจะเข้าไปแย่งกล่องชามาจากหลินเยวียน

จ้าวเจวี๋ยซึ่งนั่งอย่างสุขุมอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “หัวหน้าโจวใจกว้างเหลือเกิน เสี่ยวจ้าวนับถือ”

เหล่าโจว “…”

จะเสียหน้าต่อหน้าเสี่ยวจ้าวได้ยังไงกันล่ะ

เขาฝืนแสร้งเป็นเยือกเย็น โบกมือให้หลินเยวียนอย่างอ่อนแรง

หลินเยวียนกลับไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น เขาหยิบใบชาออกมา เริ่มชงชาแจกจ่ายให้เพื่อนร่วมงาน ถึงอย่างไรด้านนอกก็มีน้ำร้อนให้กดอยู่แล้ว

“ให้ฉันด้วย!”

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เพื่อนร่วมงานดูคล้ายกับว่าจะชอบดื่มชามาก ท่าทางกระตือรือร้นมากกว่ากาแฟซะอีก ต่อแถวกันเข้ามาทีละคน

เขานี่ฉลาดจริงๆ

ร้านน้ำชาด้านล่างตึกแพงจะตายไป!

เหล่าโจวมีชาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

ถึงยังไงตนก็ไม่ได้หยิบใบชาของเหล่าโจวมาใช้ฟรี เดี๋ยวจะไปซื้อใบชามาคืนเหล่าโจว ยังไงก็คุ้มค่ากว่าร้านน้ำชาด้านล่างตึก

เมื่อคิดเช่นนี้

หลินเยวียนก็ชงให้ตนเองถ้วยหนึ่ง แต่ดื่มไปได้แค่ครึ่งเดียว จู่ๆ อู๋หย่งก็เข้ามา “นายหน้าใหญ่จริงๆ เลย ใบชานี้

อย่างต่ำๆ กล่องละหลายหมื่น ปกติแล้วเหล่าโจวไม่ค่อยกล้าดื่มเท่าไหร่หรอก พวกเราเองก็ยิ่งดื่มไม่ได้เลย นายถึงกับหยิบมาได้ เรียกว่าพวกเราได้อานิสงส์จากนายเลยนะเนี่ย”

หลินเยวียนมือสั่นเทา

อู๋หย่งไม่ได้สังเกตความผิดปกติของหลินเยวียน สีหน้ายังคงฉายแววดื่มด่ำสำราญใจ “ว่าไปแล้ว ใบชากล่องละหลายหมื่นนี่ดื่มแล้วแตกต่างมากเลยละ!”

หลินเยวียนหันหลังไปมองเหล่าโจว

เหล่าโจวกำลังนวดขมับอย่างแรง

หลินเยวียนมองน้ำชาในมือ จากนั้นก็มองไปยังกล่องใบชาซึ่งตอนนี้ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็หวนนึกถึงกาแฟแก้วละหกสิบหยวนขึ้นมา

……

จะชดใช้เหล่าโจวยังไงดีล่ะเนี่ย

หลินเยวียนขบคิดปัญหาใหญ่ในชีวิตจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนที่ดื่มชากล่องละหลายหมื่นแบบเหล่าโจวด้วย!

ไม่ไหวเลย!

ชาก็รสชาติเหมือนกันหมดไม่ใช่หรือไง ก็เหมือนกับกาแฟที่คล้ายกันหมด ต่างกันแค่ความหวานและความฝาด

เอาเงินนี้ไปซื้อไอศกรีมกับพุดดิงเยลลี่ไม่ดีกว่าเหรอ

“อาจารย์เซี่ยนอวี๋”

ขณะที่หลินเยวียนกำลังสับสน จู่ๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียงดังขึ้น จากนั้นเขาก็เห็นคนสองคนมาปรากฏตัวตรงหน้า ทางซ้ายคือเถาหรานซึ่งพบกันครั้งก่อน ส่วนคนทางขวาไม่คุ้นหน้าสักเท่าไหร่

“ผมชื่อจินซูอวี่!”

จินซูอวี่รีบเอ่ยทักทาย

หลินเยวียนชะงักไปชั่วขณะ “มีอะไรเหรอครับ”

เถาหรานพูดอย่างขึงขัง “เรื่องครั้งก่อนทำให้อาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่พอใจ ดังนั้นพวกเราเลยมาขอโทษครับ ของขวัญเหล่านี้เป็นน้ำใจเล็กๆ จากพวกเรา โปรดรับไว้เถอะครับ!”

เถาหรานถือกล่องมาหลายใบ

หลินเยวียนไม่รับ “ไม่เป็นไรครับ”

จินซูอวี่ยิ้มขื่นกล่าว “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องครั้งก่อนผมเป็นฝ่ายทำผิด ที่ผ่านมาผมคิดทบทวนถี่ถ้วน ขอรับรองกับคุณว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!”

“งั้นก็ดีแล้วครับ”

ไม่ได้สร้างความดีความชอบ ย่อมไม่รับปูนบำเหน็จ

หลินเยวียนพยักหน้ากำลังจะเดินออกไป

จินซูอวี่ขยิบตาให้เถาหราน เถาหรานได้สติกลับมา ส่งกล่องหลายใบให้หลินเยวียน “ในนี้ไม่ได้มีอะไรเลิศหรูหรอกครับ ก็แค่ใบชาแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง”

ใบชา?

หลินเยวียนสมองแล่นปลาบ หยุดฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ ขยับเข้าไปหาเถาหราน กระซิบถามหนึ่งประโยค “ใบชาราคาเท่าไหร่เหรอครับ”

“ไม่แพงครับ ไม่แพง”

เถาหรานโบกมือรัวๆ

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “งั้นไม่ได้”

เถาหรานชะงักงัน กระแอมออกมาเสียงหนึ่ง “กล่องละสามสี่หมื่นหยวนครับ ถ้าคุณไม่พอใจ ผมสามารถหาใบชาที่ดีกว่านี้ให้ได้ แต่ชาชั้นดีจะต้องจองล่วงหน้า คุณให้เวลาผมสักหน่อย…”

“พอใจมากครับ!”

หลินเยวียนรับกล่องของขวัญมาเร็วรี่ คิดว่าเดินจากไปแบบนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างจริงจัง “ผมไม่ได้โทษพวกคุณหรอก ครั้งหน้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ครับ”

“ครับ!”

ทั้งสองคนเต็มตื้นไปตามกัน

จินซูอวี่ผ่อนลมหายใจ มองตามแผ่นหลังของหลินเยวียน พูดด้วยความรู้สึกหวั่นผวา “พี่เถาต้องจำไว้ว่าในบริษัทนี้ คนที่ห้ามล่วงเกินที่สุดก็คือนักประพันธ์เพลง แน่นอนว่าผมหมายถึงนักประพันธ์เพลงระดับเซี่ยนอวี๋”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

เถาหรานพยักหน้าอย่างแรง

จินซูอวี่หัวเราะ “แต่ก่อนหน้านี้ผมน่าจะคิดมากเกินไป ยังไงซะเซี่ยนอวี๋ก็เป็นคน ของขวัญพวกนี้เขาก็รับไปแล้วใช่มั้ยล่ะ ทุกคนก็เป็นปุถุชน ถ้าชอบเงิน หลังจากนี้จะสานสัมพันธ์ก็ไม่ยากแล้ว”

“งี่เง่า!”

เถาหรานหันกลับมาพูด

จินซูอวี่ “หา?”

เถาหรานส่ายหน้า “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่ใช่คนที่ถูกเงินชักจูงแน่นอน เพลงกุหลาบแดงฉันเสนอราคาไปสองล้าน เขาไม่เหลือบมองด้วยซ้ำ นายคิดว่าเขาจะใส่ใจกับของขวัญแค่ไม่กี่หมื่นหรือไง”

“แบบนี้เองเหรอ”

จินซูอวี่พูด “งั้นเขา…”

เถาหรานพูดพลางทอดถอนใจ “นี่คือจุดที่น่ายกย่องของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ เขาน่าจะกลัวว่าพวกเราจะกังวลแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจ เลยรับของขวัญพวกเราไว้ แถมยังจงใจถามราคาใบชาฉัน นี่เป็นการทดสอบฉันหรือเปล่านะ สามสี่หมื่นเป็นตัวเลขที่กำลังพอดีไม่มากไม่น้อย ถูกไปก็เห็นได้ชัดว่าไร้ความจริงใจ แพงไปก็ดูเหมือนมีนัยยะอีก ดังนั้นก็ทำแบบนี้ไปเพื่อให้พวกเราสบายใจ เพื่อบอกพวกเราว่าเขาให้อภัยแล้วจริงๆ”

“เข้าใจแล้วครับ!”

จินซูอวี่มองแผ่นหลังของหลินเยวียน ในใจก็ซาบซึ้งขึ้นมา เขามองอาจารย์เซี่ยนอวี๋เป็นปุถุชนคนธรรมดาเกินไปเองสินะ!

…………………………………………………………………….

อันที่จริง ในตอนที่เพลงกุหลาบแดงทะยานขึ้นนั่งบัลลังก์แชมป์ ยอดดาวน์โหลดเพลงก็พุ่งทะลุหนึ่งล้านสองแสนแล้ว!

นี่ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขอันสวยงาม ขณะเดียวกันก็ยังหมายความว่าหลินเยวียนได้ก้าวเข้าสู่คุณสมบัติของการเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงแล้ว

ใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาสักหน่อยก็คือ

ควรเปลี่ยนสัญญาส่วนแบ่งให้เซี่ยนอวี๋แล้ว!

สัญญาที่หลินเยวียนมีก่อนหน้านี้เป็นสัญญามาตรฐานของหน้าใหม่ บริษัทได้ส่วนแบ่งแปดส่วน

ในตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นอย่างไร จำเป็นต้องเจรจากันก่อน

สัญญาที่บรรดานักประพันธ์เพลงระดับสูงของบริษัทเซ็นนั้นไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด

หลินเยวียนเพิ่งจะแตะถึงระดับแรกเข้าของมาตรฐานนักประพันธ์เพลงระดับสูง เหล่าโจวก็มาหาหลินเยวียน ก่อนจะกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “นายแตะถึงมาตรฐานของนักประพันธ์เพลงระดับสูงที่บริษัทกำหนดไว้แล้ว มีความเห็นยังไงกับสัญญาใหม่”

มีความเห็นยังไง?

หลินเยวียนมองเหล่าโจวด้วยสายตางุนงง นี่มันคำถามไร้ประโยชน์ไม่ใช่เหรอ ส่วนแบ่งยิ่งมากก็ยิ่งดีอยู่แล้ว!

“…”

แน่นอนเหล่าโจวอ่านความนัยในสายตาของหลินเยวียนออก และไม่ได้โกรธเคือง เขายิ้มอย่างเป็นมิตร “เรื่องสัญญาฉันจะไปช่วยนายคุยกับบริษัทเอง”

หลินเยวียนลังเล

ไว้ใจเหล่าโจวได้ไหมนะ

ในตอนนั้นเอง ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ทันไรเงาร่างอันคุ้นเคยก็เดินมา

คนคนนี้คือจ้าวเจวี๋ย หลังจากที่เธอเดินเข้ามา ก็มองเหล่าโจวพลางเอ่ยว่า “หลินเยวียนแตะถึงมาตรฐานนักประพันธ์เพลงระดับสูงแล้ว ฉันกะว่าจะออกหน้าไปคุยเรื่องสัญญาใหม่แทนหลินเยวียน”

เหล่าโจวเหลือบมองจ้าวเจวี๋ย “ฉันจัดการเองก็ได้”

จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า “ฉันเจรจาสัญญาที่ดีกว่าได้”

เหล่าโจวไม่สบอารมณ์ “อย่าลืมว่าหลินเยวียนเป็นคนของแผนกประพันธ์เพลง เธอคิดว่าตัวเองมีกำลังภายในเยอะ หรือคิดว่าฉันออกหน้าเพราะจะหลอกหลินเยวียน?”

เสี่ยวจ้าวเล่นไม่ซื่อ!

หลินเยวียนเป็นคนของฉัน เธอยังจะมาแย่งโอกาสทำผลงานอีกเหรอ

จ้าวเจวี๋ยเองก็ไม่พอใจขึ้นมา เอ่ยเตือนเหล่าโจว “เหล่าโจว หลินเยวียนเป็นคนที่ฉันเซ็นสัญญาเข้ามา”

“ฉันจัดการเอง”

“ฉันจัดการเอง!”

“ฉัน โจวรุ่ยหมิงกล้างัดข้อกับผู้บริหารระดับสูง”

“ฉันคุ้นเคยกับบอส!”

“…”

หลินเยวียนมองทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันขึ้นมา ทำได้แค่พูดว่า “พวกพี่ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”

“ไปด้วยกัน?”

เหล่าโจวกับจ้าวเจวี๋ยมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างรู้กัน “ได้ รอข่าวดีจากพวกเราแล้วกัน”

หลินเยวียนพยักหน้า

ผ่านไปห้านาที

โจวรุ่ยหมิงกับจ้าวเจวี๋ยมายังแผนกการเงิน แผนกการเงินของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์มีคนรับผิดชอบเรื่องสัญญาของนักประพันธ์เพลงระดับสูง

“ลมอะไรหอบพวกคุณสองคนมาล่ะครับเนี่ย”

เมื่อผู้รับผิดชอบสัญญาท่านนี้เห็นโจวรุ่ยหมิงและจ้าวเจวี๋ยเข้ามาพร้อมกัน ก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นบนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มกระตือรือร้นออกมา

ทั้งสองคนนี้เป็นบุคลากรที่มีอำนาจในบริษัท

โจวรุ่ยหมิงพูดว่า “เปลี่ยนสัญญาให้เซี่ยนอวี๋ด้วย”

สีหน้าของผู้รับผิดชอบแปรเปลี่ยนเป็นอมทุกข์ “คุณมาแทนเซี่ยนอวี๋เองเลยเหรอครับ”

โจวรุ่ยหมิงพยักหน้า

ผู้รับผิดชอบงงงวยไปชั่วขณะ

สัญญาประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องที่นักประพันธ์เพลงกับบริษัทเจรจากัน

มีเพียงนักประพันธ์เพลงระดับสูงที่มีศักยภาพเท่านั้น ที่หัวหน้าจะออกหน้าช่วยเจรจาแทนด้วยตัวเอง

นี่คือสถานการณ์ที่ผู้รับผิดชอบหวาดกลัวมากที่สุด!

เพื่อที่จะรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อนักประพันธ์เพลงศักยภาพสูงเหล่านี้ ท่าทีของหัวหน้าเหล่านี้ตอนที่เจรจาผลประโยชน์มักจะดุดันเป็นที่สุด และยืนอยู่ฝั่งนักประพันธ์เพลงอย่างเต็มที่!

ทว่าหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ ก็คือการยืนอยู่ฝั่งผลประโยชน์ของบริษัท และกดราคาให้ได้มากที่สุด

“แล้วหัวหน้าจ้าวล่ะครับ”

ผู้รับผิดชอบมองไปยังจ้าวเจวี๋ย

จ้าวเจวี๋ยตอบ “เหมือนกับเขานั่นแหละ”

ผู้รับผิดชอบถลึงตา “มาแทนใครครับ”

จ้าวเจวี๋ย “เซี่ยนอวี๋”

ผู้รับผิดชอบอ้าปากพะงาบ มือขยับค้างกลางอากาศ นิ่งอึ้งไปพูดอะไรไม่ออก

……

เมื่อจ้าวเจวี๋ยและโจวรุ่ยหมิงออกไป ผู้รับผิดชอบฟุบแน่นิ่งอยู่กับโต๊ะ ทำเอาลูกน้องข้างโต๊ะตกใจเสียยกใหญ่ “เป็นอะไรเหรอครับ”

“ฉันเป็นคนบาปของบริษัท”

ผู้รับผิดชอบเอ่ยปากอย่างไร้เรี่ยวแรง

ลูกน้องจนใจ “ไปอธิบายกับผู้บริหารระดับสูงมั้ยครับ”

ผู้รับผิดชอบมองลูกน้อง “เรื่องที่นายคิดได้ มีเหรอฉันจะคิดไม่ได้ พอผู้บริหารระดับสูงได้ยินว่าเป็นสัญญาของเซี่ยนอวี๋ ก็ให้ฉันจัดการเองเลย”

“หัวหน้าเซ็นไปเท่าไหร่ครับ”

“นี่เป็นเรื่องที่นายควรถามเหรอ”

ลูกน้องแค่นหัวเราะ ถอยออกไปเงียบๆ

ผู้รับผิดชอบพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “ครั้งหน้าเสนอสัญญา ผู้บริหารระดับสูงน่าจะมาเจรจาเอง”

ลูกน้องชะงักไป

อีกด้านหนึ่ง เหล่าโจวและจ้าวเจวี๋ยกลับมายังแผนกประพันธ์เพลงแล้ว ทั้งสองดูท่าทางมีอำนาจ วางสัญญาฉบับใหม่บนโต๊ะ “นี่คือสัญญาฉบับใหม่ของนาย”

“แบ่งยังไงครับ”

หลินเยวียนออกจะคาดหวังอยู่บ้าง

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “ถ้าหลังจากนี้ร่วมงานกับนักร้องตัวเล็กๆ เธอจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งห้าส่วน นักร้องได้เท่าไหร่เธอตัดสินใจเลย แน่นอนล่ะพวกเขาเองก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ แต่ฉันว่าน่าจะไม่มีนักร้องคนไหนปฏิเสธโอกาสร่วมงานกับเธอหรอก”

หลินเยวียนเริ่มคิดคำนวณ

จากอัตราส่วนในสัญญานี้ เมื่อก่อนเขาได้ส่วนแบ่งเพียง 1.5 ส่วน ในตอนนี้ได้ 4.5 ส่วน เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวเลย

นั่นหมายความว่า หลังจากนี้ทุกเดือนรายได้รวมส่วนแบ่งจากเพลงของหลินเยวียนจะคูณสาม หลังจากนี้ราคาการสั่งทำเพลงจากระบบก็จะคุ้มค่าขึ้นมามาก

“อีกเรื่อง”

เหล่าโจวกล่าวเสริม “ถ้าร่วมงานกับนักร้องเบอร์ใหญ่ บริษัทจะให้ส่วนแบ่งสามส่วน หกส่วนที่เหลือบริษัทจะส่งคนไปคุยกับนักร้องและผู้จัดการ ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

หลินเยวียน “…”

นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ชอบร่วมงานกับนักร้องเบอร์ใหญ่

ร่วมงานกับผู้ช่วยงาน ตนสามารถเก็บ 4.5 ส่วน แบ่งออกไปแค่ 0.5 ส่วนก็พอแล้ว ถ้าร่วมงานกับนักร้องเบอร์ใหญ่ ทางตนกลับได้แค่สามส่วนเท่านั้น

ราคาแตกต่างกันถึง 1.5 ส่วน!

อย่าดูถูกเงิน 1.5 ส่วนเชียวนะ เพลงก่อนหน้านี้ของหลินเยวียน ได้เงินมาจากส่วนแบ่ง 1.5 ทั้งนั้น รวมๆ แล้วก็ได้เงินมาไม่น้อยเลย

“หลินเยวียน”

เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “สำหรับนายที่เพิ่งได้เป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูง สัญญานี้กลายเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขดีที่สุดในตอนนี้แล้ว คนที่มีผลงานยอดเยี่ยมเยอะกว่านายเยอะแยะ สัญญากลับไม่จำเป็นต้องดีกว่านายก็ได้”

“ครับ”

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้า “รอให้หลังจากนี้เธอผลิตผลงานที่โดดเด่นกว่านี้ สัญญานี้อาจเพิ่มขึ้นไปอีก พอถึงตอนนั้นฉันกับเหล่าโจวก็ยังช่วยเธอออกหน้าเจรจาได้”

“ขอบคุณครับ”

ระหว่างที่หลินเยวียนพูดก็หยิบสัญญามาอ่านรอบหนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว จึงเซ็นสัญญา ‘เซี่ยนอวี๋’ และชื่อของตนลงในช่อง

“จริงสิ”

หลินเยวียนเซ็นชื่อ ทันใดนั้นก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “ถ้าเป็นพ่อเพลง ทางบริษัทให้ส่วนแบ่งยังไงครับ”

“สิบส่วน”

จ้าวเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง

นักร้องไม่ได้ส่วนแบ่งเลย?

เหล่าโจวเสริมประโยคหนึ่ง โดยไม่รอให้หลินเยวียนรู้สึกอิจฉา “มีพ่อเพลงบางคน ยังสามารถได้รับส่วนแบ่งต่างๆ นอกเหนือจากยอดดาวน์โหลดได้”

หลินเยวียนตกตะลึงไป

บทเพลงทำเงินได้ไม่เพียงจากยอดดาวน์โหลด ยังรวมไปถึงการออกรายการและอีเวนต์ รวมไปถึงคอนเสิร์ตของนักร้องด้วย ส่วนแบ่งจากรายการเหล่านี้สูงมาก ถึงขั้นที่สูงกว่าส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลงเสียอีก!

“สู้ๆ ”

เหล่าโจวยิ้มเอ่ย “รอให้นายมีวันนั้นก่อน ก็จะบอกสิ่งที่โหดกว่านั้นกับนาย บริษัทมีมือทองถมเถไป เพราะงั้นสัญญาของมือทองไม่ได้นับว่าดีเลิศอะไร แต่พ่อเพลงเหมือนอยู่คนละโลกกันแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า

และระหว่างที่หลินเยวียนกำลังได้สัญญาฉบับใหม่นั้นเอง เฉินจื้ออวี่กับผู้จัดการก็กำลังกินโต๊ะจีนปลา ทันใดนั้น เฉินจื้ออวี่ก็อ้าปากกว้าง ท่าทางทรมานจับใจ

“เป็นอะไร”

ผู้จัดการเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เฉินจื้ออวี่ร้องลั่น “ก้าง! ปลานี่ มีก้าง!”

………………………………………….

ไม่ใช่เพียงการถกเถียงกันในสายงาน

ทางวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ตื่นเต้นเหลือล้นเช่นเดียวกัน

ถึงอย่างไรซุนเย่าหั่วก็เป็นรุ่นพี่ที่สาขาการขับร้อง ความรู้สึกรักในองค์กรของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั้นรุนแรงมาก ร้อยละแปดสิบของโพสต์ในเว็บบอร์ดของวิทยาลัยก็ล้วนพูดคุยกันเรื่องนี้

‘เห็นชัดๆ ว่าเซี่ยนอวี๋โคตรโหด’

‘ฉันว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วดวงโคตรโหดมากกว่า’

‘เซี่ยนอวี๋ยกระดับความสำคัญของพ่อเพลงอย่างเต็มที่มาก ครั้งก่อนช่วยจ้าวอิ๋งเก้อพลิกเอาชนะนักร้องแถวหน้า ครั้งนี้พารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วไปจัดการนักร้องแถวหน้า ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าเซี่ยนอวี๋จงใจ ชื่อเสียงของซุนเย่าหั่วกับจ้าวอิ๋งเก้อยิ่งน้อยก็ยิ่งขับให้ความสามารถของเซี่ยนอวี๋เด่นชัดยิ่งขึ้น ความจริงแล้วอย่าว่าแต่ชื่อเสียงของซุนเย่าหั่วเทียบกับนักร้องแถวหน้าไม่ได้เลย ต่อให้เป็นจ้าวอิ๋งเก้อก็ยังห่างชั้นกันมาก’

‘เนื้อเพลงก็สุดยอดมาก’

‘ประโยคนั้นที่ร้องว่าไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว ได้รับความรักไปก็ไม่ต้องกลัว ประโยคนี้โดนใจฉันมาก เลยตัดสินใจว่าจะเอาเนื้อเพลงประโยคนี้ไปตั้งเป็นชื่อ ความสามารถในการเขียนเนื้อเพลงของเซี่ยนอวี๋เขียนไม่ได้ด้อยไปกว่าทำนองเพลงเลย!’

‘ช่างเถอะ’

‘ตั้งแต่เพลงนี้ปล่อยออกมาจนถึงตอนนี้ ฉันเห็นเพื่อนอย่างน้อยสิบคนเอาประโยคนี้ไปตั้งเป็นชื่อ กวาดตามองไปแวบแรกยังคิดว่าพวกเขาเป็นตุ๊กตาแม่ลูกดกรุ่นใหม่ซะอีก แค่กลัวว่าวันใดวันหนึ่งอยู่ๆ พวกเขาอาจส่งข้อความมาหาฉันว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนเดียวกันมาตลอด ถ้าฉันไม่เชื่อเดี๋ยวพวกเขาสลับแอคมาคุยกับฉันก็ได้’

‘เย่าหั่วดังจริงๆ แล้ว’

‘ถ้าบอกว่าเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ทำให้รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วเดบิวต์ได้สำเร็จ เพลงนี้ก็มากพอให้รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา หลังจากนี้ทุกคนเห็นชื่อซุนเย่าหั่ว จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน’

‘…’

คนจำนวนมากเห็นชื่อของซุนเย่าหั่ว ปฏิกิริยาแรกย่อมรู้สึกไม่คุ้นเคย นอกเสียจากคนที่ชื่นชอบเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์จริงๆ จะมีสักกี่คนที่รู้จักว่าซุนเย่าหั่วเป็นใคร

ทว่าในตอนนี้สถานการณ์ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว

อย่าว่าแต่คนในสายงานกลุ่มนี้เลย

ต่อให้เป็นในช่องแสดงความคิดเห็นของเพลงนี้ ก็มีคนจำนวนมากพูดคุยกันเรื่องความสามารถในการร้องเพลงของซุนเย่าหั่ว

ถึงอย่างไรเพลงกุหลาบแดงก็ไม่ใช่เพลงที่ให้หมามาร้องก็ยังปัง ช่วงเสียงของเพลงนี้ค่อนข้างต่ำ ถ้าไม่มีความสามารถในการร้องระดับหนึ่ง ไม่มีทางคุมเพลงนี้ได้อยู่หมัด

นอกจากความสามารถในการร้องเพลง เพลงนี้ยังจำเป็นต้องใช้ความรู้สึก

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซุนเย่าหั่วเก็บตัวฝึกซ้อมในห้องอัดมานานแค่ไหน และเมื่อนึกถึงจินซูอวี่ที่อยากฉกฉวยโอกาสในการร้องเพลงนี้จนอดรนทนไม่ไหว ก็รู้แล้วว่าเพลงนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด

อาจมีคนบอกว่า เพลงนี้ฉันก็ร้องได้

ก็แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ

ถ้ามองจากการร้องเพียงอย่างเดียว เพลงกุหลาบแดงเป็นเพลงประเภทที่ร้องง่ายจริงๆ นั่นแหละ

แต่จะร้องได้ดีหรือไม่ดีนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

ต่อให้เนื้อร้องทำนองเหมือนกันหมด ถ้าหากอารมณ์ไม่ถึงก็มีแต่จะลดทอนเสน่ห์ของเพลงลง อันที่จริงคนจำนวนมากฟังเพลง สิ่งที่ฟังก็คืออารมณ์ความรู้สึก

หากเปลี่ยนคนร้อง อารมณ์ก็จะไม่เหมือนกันแล้ว เรื่องนี้แค่ฟังก็บอกได้!

สำหรับจุดนี้ ซุนเย่าหั่วควรค่าแก่การได้รับเสียงชื่นชม

อย่างไรก็ดี ในช่องคอมเมนต์ก็มีคนถกเถียงกันเกี่ยวกับตัวเนื้อเพลงมากยิ่งกว่า

ที่นี่เป็นพื้นที่ซึ่งผู้ที่รักเสียงเพลงมารวมตัวกัน ขณะเดียวกันก็มีผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาอีกมากมาย เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน ตัวอย่างเช่นบางคอมเมนต์กล่าวเช่นนี้ ‘แฟนฉันฟังเพลงนี้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน เขากำลังบอกใบ้อะไรหรือเปล่านะ’

แล้วก็มีคนถามว่า ‘ถูกหลอกให้รักรู้สึกเป็นยังไงเหรอ’

ด้านล่างก็มีคำตอบที่ได้รับการกดถูกใจมากที่สุด ‘แรงมาก เขากลับไม่ถามเธอเลยว่าเจ็บปวดมั้ย…’

‘งั้นก็แปลว่าที่จริงเรื่องราวของเพลงนี้เจ็บปวดมาก’

‘ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบใสซื่อว่าง่าย แต่ก็ปฏิเสธคนที่มาอ่อยไม่ได้’

‘มีแค่การฟังเสียงในใจของตัวเองเท่านั้นแหละ ถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข’

‘…’

คอมเมนต์ซึ่งถูกกดไลก์มากที่สุด กลับเป็นคอมเมนต์สำบัดสำนวนออกไปทางชอกช้ำพวกนั้น

ในจุดนี้ แอปพลิเคชัน NetEase Sad Music[1] บนโลกย่อมรู้ดี

แต่แท้จริงแล้ว สำหรับเรื่องราวเบื้องหลังของเพลงนี้

เรื่องราวเบื้องหลังนี้ก็มีที่มาจากโลกเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่คนบลูสตาร์เหล่านี้ไม่รู้ ขณะเดียวกันเรื่องราวพื้นหลังนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เนื้อเพลงเพลงนี้ด้วย

นั่นก็คืออารัมภบทจากนิยายสุดคลาสสิกของจางอ้ายหลิง[2] เรื่อง ‘กุหลาบแดงและกุหลาบขาว’

‘ในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง จะมีผู้หญิงแบบนี้เข้ามาสองคน อย่างน้อยสองคน

แต่งงานกับกุหลาบแดง นานวันเข้า สีแดงจะเปลี่ยนเป็นรอยเลือดของยุงบนฝาผนัง และสีขาวกลับเป็นแสงจันทร์กระจ่างหน้าเตียง[3]’

แต่งงานกับกุหลาบขาว สีขาวจะเปลี่ยนเป็นเมล็ดข้าวที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า สีแดงกลับกลายเป็นไฝสีชาดในหัวใจ’

……

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่ออารมณ์ของเพลง

อย่าได้รู้สึกว่าเพลงขาดอะไรไป เพราะที่จริงแล้วไม่ได้ขาดอะไรเลย

เพราะต่อให้อยู่บนโลก คนที่เคยฟังเพลงกุหลาบแดง รวมไปถึงคนที่คิดว่าตนฟังเพลงนี้เข้าใจ ก็มีมากกว่าร้อยละเก้าสิบที่ไม่เคยอ่านนิยายของจางอ้ายหลิง ถึงขั้นที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องพรรค์นี้ด้วยซ้ำ

เรื่องนี้เป็นประจักษ์ยิ่งขึ้นในวันที่สองหลังจากเพลงกุหลาบแดงบุกขึ้นไปนั่งบัลลังก์แชมป์

แค่เนื้อร้องและทำนอง

เฉินจื้ออวี่ก็จบเห่แล้ว

เขานั่งบัลลังก์แชมป์ได้วันเดียว ใช้คำแดกดันของคนนอกมาอธิบายก็คือ

เฉินจื้ออวี่นั่งก้นยังไม่ทันร้อน

แต่ถึงอย่างนั้นเฉินจื้ออวี่ก็คาดการณ์ผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว ฉะนั้นตอนที่ตนถูกเบียดหล่นไปอันดับที่สอง ก็แค่โทรศัพท์ไปหาผู้จัดการ

“ตอนเย็นไปกินข้าวกัน”

ผู้จัดการเข้าใจความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ จึงเอ่ยปลอบเขา หลังจากนั้นก็ถาม “เย็นนี้พวกเรากินอะไรดีล่ะ”

“กินปลาก็แล้วกัน”

เฉินจื้ออวี่พูด ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงอยากกินปลาเป็นพิเศษ

ทางที่ดีเป็นโต๊ะจีนปลาไปเลย ปลาน้ำแดง ปลานึ่งซีอิ๊ว ปลาต้มผักดอง หัวปลาราดพริก จะให้ดีขอปลาต้มน้ำแกงเต้าหู้ด้วย

เหมือนจะลืมซาชิมิไป?

ซาชิมิเป็นปลาสด เฉินจื้ออวี่ไม่กล้ากินมาตลอด

แต่เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าเย็นนี้จะลองกินสักหน่อย ว่ากันว่าการกินแบบนี้ถึงรสถึงชาติมาก

ผู้จัดการ “…”

และในละแวกใกล้เคียงบริษัท เถาหรานมองชาร์ตเพลงใหม่ของเดือนมิถุนายน จินซูอวี่ซึ่งยังคงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น “โชคดีที่นายเตือนฉันก่อนว่าอย่าลงมือกับซุนเย่าหั่ว ไม่เหมาะสมจริงๆ ด้วย”

ถ้าซุนเย่าหั่วไม่ได้มีตัวตนก็ว่าไปอย่าง

แต่พอเห็นแนวโน้มของเพลงกุหลาบแดง เห็นได้ชัดว่าซุนเย่าหั่วโด่งดังแล้ว

ถึงแม้ว่าจะยังห่างไกลกับนักร้องแถวหน้ามาก แต่หลังจากนี้บริษัทต้องจัดสรรทรัพยากรอีกมากให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเคืองแค้นอีกฝ่าย

“ไม่พอ”

จินซูอวี่จ้องมองชาร์ตเพลง กล่าวว่า “ยังไม่พอ”

เขาชื่นชอบเพลงนี้มาก

แต่ความน่าเกรงขามที่เพลงนี้แสดงออกมา เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ซะอีก ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนทำความผิดที่ไม่ควรทำจริงๆ!

เถาหรานชะงัก “หมายความว่ายังไง”

จินซูอวี่สูดลมหายใจเข้าลึก หยิบมีดโกนหนวดออกมาโกนหนวด หลายวันมานี้ไม่มีกะจิตกะใจจะโกน จนหนวดโผล่ขึ้นมายุบยับแล้ว

เมื่อจัดแจงผมเผ้าเสร็จแล้ว จินซูอวี่ก็หาเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเป็นทางการ พูดว่า

“พวกเราไปขอโทษเซี่ยนอวี๋กัน”

…………………………………………….

[1] NetEase Sad Music เป็นการล้อจากคำว่า NetEase Cloud Music (网易云) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสตรีมเพลง และในช่องแสดงความคิดเห็นมักจะมีความคิดเห็นเศร้าเป็นจำนวนมาก

[2] จาง อ้ายหลิง หรือไอลีน ชาง นักเขียนและนักเขียนบทละครสมัยใหม่

[3] แสงจันทร์กระจ่างหน้าเตียง มาจากบทประพันธ์ ‘ห้วงคำนึงในคืนสงัด’ ของหลี่ไป๋ บรรยายเกี่ยวกับความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด

สำหรับเฉินจื้ออวี่แล้ว นี่เป็นค่ำคืนที่ยากจะข่มตาหลับ

สำหรับผู้คนจำนวนมากในสายอาชีพนี้ นี่กลับเป็นค่ำคืนสุดแสนธรรมดา ถึงแม้ว่าการแข่งขันรายการใหม่จะเริ่มต้นขึ้นในคืนนี้

แต่การแข่งขันที่ไร้ซึ่งความตื่นเต้นใครจะอยากดู?

อันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงใหม่ในเดือนมิถุนายนต้องเป็นเฉินจื้ออวี่อย่างแน่นอน!

เมื่อ ‘ศึกสองอวี่’ ตายตั้งแต่ยังไม่คลอด ผู้คนจำนวนมากก็ย่อมเกิดความคิดแบบนั้นเป็นธรรมดา

แม้จะพูดแบบนี้ ในช่วงข้ามคืนของวันต่อมา ผู้คนเหล่านี้ต่างก็เข้ามาดูสถานการณ์ของการชิงชัย การวิเคราะห์สถานการณ์ของวงการผ่านผลงานเพลงในแต่ละรายการการแข่งขันนั้นเป็นความเคยชินของคนจำนวนมากไปแล้ว

เป็นอย่างที่คิด

อันดับหนึ่งชาร์ตเพลงใหม่เดือนมิถุนายนไม่ได้เหนือความคาดหมายแม้แต่นิดเดียว

‘ก็แค่เจ็บ’ นักร้อง: เฉินจื้ออวี่ ทำนอง: อู๋เทียนเกอ บริษัท: เซวี่ยนล่านอิ๋นกวง

ยอดดาวน์โหลด: 1,010,000

เมื่อเห็นยอดดาวน์โหลด คนจำนวนมากต่างก็พยักหน้าตามสัญชาตญาณ ยอดดาวน์โหลดเพลงใหม่ของเฉินจื้ออวี่ทะลุหนึ่งล้านได้ในวันถัดมา

สมแล้วที่เป็นพลังของนักร้องแถวหน้า!

ทำผลงานได้ขนาดนี้โหดเกินไปแล้ว!

อย่างที่บอกไป ยอดดาวน์โหลดของเพลงไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน

เพราะในแต่ละเดือน ผู้ฟังในฉินโจวต่างถูกเพลงดีๆ มากมายอัดใส่โสตประสาท ฟังมากๆ แล้วก็เหนื่อยล้า ผู้ฟังต้องการเวลาในการตอบสนอง ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะดาวน์โหลด

ดังนั้นผลงานระดับนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

น่ากลัวว่าต่อให้จินซูอวี่เข้าร่วมการแข่งขันในเดือนมิถุนายน ก็ยากที่จะเอาชนะเพลงนี้ของเฉินจื้ออวี่ ดังนั้นการถอนตัวของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี

มั่นคงมาก

ยึดบัลลังก์แชมป์ไว้แล้ว

ทุกคนคิดเช่นนั้น สายตาเหลือบไปเห็นอันดับที่สองโดยอัตโนมัติ ดูจากสถิติของอันดับที่สองแล้ว คงจะถูกจ่าฝูงอย่างเฉินจื้ออวี่ทิ้งห่างแล้ว

เพลงอันดับที่สองชื่อว่า ‘กุหลาบแดง’

ขับร้อง: ซุนเย่าหั่ว เนื้อร้อง/ทำนอง:เซี่ยนอวี๋ บริษัทสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

ยอดดาวน์โหลด: 880,000

คนที่ปฏิกิริยาตอบสนองช้าสักหน่อย ในตอนนั้นก็นิ่งค้างอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ส่วนคนที่การตอบสนองค่อนข้างเร็ว ก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นที่มีคนสบถออกมา

“เชี่ย!”

อันดับสองนี่มันแปลกๆ นะ!

ถ้าหากผู้ที่ขับร้องเพลงกุหลาบแดงคือจินซูอวี่ ทุกคนก็จะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพราะผลงานเช่นนี้ของจินซูอวี่นั้นธรรมดาสามัญมาก

ผลงานในวันแรกของนักร้องแถวหน้าก็ไม่มีทางย่ำแย่

แต่คนที่ขับร้องเพลงนี้คือซุนเย่าหั่วไง

ซุนเย่าหั่วเป็นใคร

พี่ชายนายนี่แปลกๆ นะ

บอกความจริงมานะว่าทุ่มเงินปั่นชาร์ตหรือเปล่า

จะโทษว่าคนในแวดวงเพลงความจำสั้นก็คงไม่ได้ อันที่จริงนักร้องในฉินโจวเยอะแยะไปหมด ทุกเดือนจะมีผลงานและศิลปินปรากฏออกมาอย่างล้นหลาม

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน

ในที่สุดก็มีคนนึกขึ้นมาได้ “ซุนเย่าหั่วเหมือนจะเป็นคนร้องเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นะ เป็นศิลปินหน้าใหม่ที่เดบิวต์เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน!”

หน้าใหม่มีอะไรดี!

สายตาของคนเหล่านี้มองผ่านซุนเย่าหั่วไป ปราดแรกสายตาก็ไปหยุดที่สองคำซึ่งสะดุดตากว่าใคร

เซี่ยนอวี๋

ที่จริงแล้วตอนที่ทุกคนเห็นคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ ในใจก็กระจ่างขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นความคลางแคลงใจอย่างการทุ่มเงินดันชาร์ต ก็เป็นแค่การหยอกล้อเท่านั้น

เห็นชัดๆ

ว่าพ่อเพลงพาปัง

เป็นเหตุการณ์ที่เซี่ยนอวี๋พาปังอีกแล้ว

เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องบอกว่าอีกแล้ว

มือฉวยคว้าหูฟังขึ้นมาสวมอย่างเร็วรี่ ฟังเพลงกุหลาบแดงทันที เพราะเมื่อไหร่ที่มีเพลงที่ไม่เข้าใจว่าทำผลงานแบบนี้ได้อย่างไร แค่ไปฟังเพลงสักรอบก็จบเรื่องแล้ว

ผ่านไปไม่กี่นาทีก็ฟังเพลงจบ

หลังจากนิ่งค้างไปชั่วขณะ นักประพันธ์เพลงระดับสูงสักคนหนึ่งในซาไห่คัลเจอร์ก็พลันถอนหายใจ ส่งข้อความในกลุ่มนักประพันธ์เพลงของบริษัท ‘เฉินจื้ออวี่เหลือเวลาไม่มากแล้ว’

พรึ่บๆๆ!

กลุ่มระเบิดแล้ว!

แน่นอนว่าทุกคนเข้าใจความหมายของนักประพันธ์เพลงระดับสูง นักร้องตัวเล็กๆ ไร้ฐานแฟนคลับอย่างซุนเย่าหั่วมียอดดาวน์โหลดตั้งแปดแสนแปดหมื่น หลังจากนี้จะพลิกเอาชนะเฉินจื้ออวี่ได้เมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว สุดท้ายแล้วชัยชนะก็เป็นของเพลงกุหลาบแดง

‘ยอมแล้วจ้า’

‘ปลาตัวนี้น่ากลัวมาก’

‘เรื่องนี้มีครั้งเดียวก็เกินพอ ไม่ควรมีครั้งที่สอง ก้าวข้ามความต่างระดับระหว่างนักร้องได้ในอึดใจเดียว เรื่องแบบนี้ทำสำเร็จครั้งหนึ่งก็มากพอให้อวดไปเป็นปีแล้ว เซี่ยนอวี๋นี่มาอีกรอบแล้ว!’

‘เกินไปมาก’

ทันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง ‘เดือนมกราปีนี้เขียนเพลงให้จ้าวอิ๋งเก้อก็เหมือนว่าจะเป็นช่วงที่เฉินจื้ออวี่ปล่อยเพลงเหมือนกัน ผลคือเฉินจื้ออวี่คว้าอันดับสองไปอย่างจนใจ ปีนี้เฉินจื้ออวี่ปล่อยเพลงครั้งที่สองก็เจอเซี่ยนอวี๋อีก…’

‘ฉึก!’

‘คู่เวรคู่กรรม!’

ในกลุ่มแช็ตใหญ่ก็หลุดหัวเราะออกมา ในตอนนั้นมีความเห็นสารพัด ตัวอย่างเช่นคำพูดจำพวก ‘เฉินจื้ออวี่น่าสงสารจัง’ ‘ปล่อยเฉินจื้ออวี่ไปเถอะ’ ‘มีชะปลาต้องกัน หมื่นลี้ย่อมพานพบ[1]’ ‘ฉากนี้ฉันเคยดู หลังจากนั้นเฉินจื้ออวี่ก็ตุ้บ’ ‘ตกใจกันใช่มั้ย ฉันคนดีคนเดิมไงล่ะ’

ทั้งสามบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นคู่แข่งกัน

เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงโชคร้าย ซาไห่ก็ทำได้แค่ยินดีบนหายนะของพวกเขา ถึงอย่างไรรายการนี้ของพวกเขาก็ไม่มีนักร้องแถวหน้าลงสนาม จึงได้รับบทผู้ชมข้างสนาม ไม่ว่าจะเป็นดราม่ารูปแบบไหน ชั่วขณะนั้นก็เป็นเรื่องชวนหัวเราะไปซะหมด

ทั้งวงการล้วนติดตามเรื่องนี้

และในหน่วยงานภายในของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

แผนกที่เกี่ยวข้องกับดนตรีดีอกดีใจเป็นเท่าตัว

คนในบริษัททุกระดับย่อมรู้เรื่องที่จินซูอวี่ถูกพักงานเป็นเวลาหนึ่งเดือน ด้วยเหตุนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากกังวลว่าบัลลังก์แชมป์ในรายการนี้คงหลุดมือไปแล้ว ไม่เข้าใจการตัดสินใจของบริษัทเลยจริงๆ จนได้มาเห็นว่าแท้จริงแล้วเซี่ยนอวี๋คือไพ่ตายตัวจริง!

“ซุนเย่าหั่วนอนสบายเลย”

“ตำแหน่งมือทองลอยมาหาเซี่ยนอวี๋แล้ว”

“มือทองคนนี้มือทองสมชื่อจริงๆ”

“ตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าบริษัทจงใจกดจินซูอวี่ลงไป พวกแกลองคิดดูนะ ถ้าจินซูอวี่ปล่อยเพลงเดือนนี้ จะไปโดนซุนเย่าหั่วชนได้ นักร้องแถวหน้าไม่จำเป็นต้องกลัวแพ้ แต่แพ้ให้หน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ แล้วกลายเป็นแค่ไม้ประดับของการแข่งขันก็ทำใจยอมรับได้ยากอยู่นะ”

“…”

จ้าวเจวี๋ยได้ยินบทสนทนานี้ก็งุนงงไป

เธอลงโทษจินซูอวี่เพียงเพราะเซี่ยนอวี๋จริงๆ จุดนี้เป็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามตรง แต่ในสายตาคนอื่น คล้ายกับว่าตนจะรู้ล่วงหน้าว่าเซี่ยนอวี๋จะทำคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา จึงตระเตรียมเวทีให้จินซูอวี่ล่วงหน้า

ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ นะ!

ผู้ช่วยด้านข้างมีสีหน้าชื่นชม “กลยุทธ์ของคุณสุดยอดไปเลย เห็นชัดๆ ว่าลงโทษจินซูอวี่กับเถาหราน จินซูอวี่กับเถาหรานกลับต้องรู้สึกซาบซึ้งกับการลงโทษของคุณ ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าคุณจะคาดการณ์ได้แม่นเหมือนมีตาทิพย์ขนาดนี้!”

“ถูกแล้วละ ฉันคิดแบบนั้นเลย”

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ

เด็กคนนี้ปลูกมวลผกายามคิมหันต์ออกมาอีกแล้ว

ส่วนทางแผนกประพันธ์เพลง ผู้บริหารระดับสูงก่อนหน้านี้ที่ปะทะคารมกับเหล่าโจวก็โทรศัพท์มาด้วยตนเอง หนำซ้ำน้ำเสียงในครั้งนี้ยังนุ่มนวลมาก “ครั้งก่อนผมผิดเอง มาพิจารณาอย่างละเอียดแล้วอันที่จริงคุณก็มีส่วนที่หนักใจของคุณ ผมควรจะสนับสนุนงานคุณมากกว่า”

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ”

หลังจากเหล่าโจววางสาย ก็ตรงไปยังห้องทำงานส่งเสียงหัวเราะลั่น ฉันนี่แหละนักพยากรณ์ตัวจริง เมื่อได้ฟังเพลงกุหลาบแดงจบก็รู้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ จินซูอวี่กับเถาหรานอะไรนั่นน่ะเรื่องเล็ก ไล่พนักงานแผนกตรวจสอบคนนั้นออกง่ายซะยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก

ตราบได้ที่เซี่ยนอวี๋ไม่เก่งกล้าสามารถเกินหน้าเกินตา

เขาก็จะอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง!

…………………………………………….

[1] มีชะปลาต้องกัน หมื่นลี้ย่อมพานพบ ล้อจากคำกล่าวว่า ‘มีชะตาต้องกัน หมื่นลี้ย่อมพานพบ’ แต่เป็นการเล่นมุกโดยเปลี่ยนคำในประโยคเป็นคำว่า ‘ปลา’ ซึ่งออกเสียงว่า ‘อวี๋’ เพื่อเล่นคำกับชื่อ ‘เซี่ยนอวี๋’

อย่าตื่นตระหนก

ฉันอ่านผิดไป

ต้องอ่านผิดแน่ๆ

เฉินจื้ออวี่สงบสติอารมณ์ ถึงขั้นที่ฉีกยิ้มให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะมองอีกรอบ แล้วรีบเบือนหน้าหนี

หน้านิ่วคิ้วขมวด

แบบนี้ก็ได้เหรอฟระ!

ทำไมเป็นเพลงของเซี่ยนอวี๋!

ความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ประเดประดังเละเทะไปหมด ก่อนหน้านี้ผู้จัดการบอกว่านักร้องที่สตาร์ไลท์เอามาแทนจินซูอวี่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง นักร้องตัวเล็กๆ ที่ชื่อซุนเย่าหั่วนั่นไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็จริง แต่ปัญหาคือใครเป็นคนเขียนเพลงของซุนเย่าหั่ว

เซี่ยนอวี๋ไงล่ะ เซี่ยนอวี๋!

คนที่เฉินจื้ออวี่หวาดกลัวที่สุด!

ถ้าเทียบกับเซี่ยนอวี๋แล้ว เฉินจื้ออวี่ยอมเจอกับจินซูอวี่ยังจะดีกว่า อย่างน้อยทุกคนจะได้แข่งกันด้วยความสามารถ

แต่เซี่ยนอวี๋น่ากลัวเกินไป

คนคนนี้ใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปมาตัดสินไม่ได้!

หรือว่าฉันจะทำพังอีกล่ะเนี่ย

เฉินจื้ออวี่รู้สึกตนตื่นตระหนก

แต่ตื่นตระหนกไปได้สิบวินาที เฉินจื้ออวี่ก็ค่อยๆ ใจเย็นลง

เขาพรูลมหายใจออกทันใด ชั่วขณะนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่องนิดหน่อยแล้ว “ฉันเป็นนักร้องแถวหน้าเลยนะ เซี่ยนอวี๋ยังกล้าเมินความต่างชั้นของนักร้อง คิดจริงๆ เหรอว่านักร้องแถวหน้าอย่างพวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง เรื่องแบบนี้อย่างมากก็เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ”

เหตุผลง่ายมาก

ที่ตนหวั่นกลัวได้ขนาดนี้ ก็เพราะครั้งก่อนเซี่ยนอวี๋ทำเสียเรื่อง

ฉะนั้นแล้วพอเห็นสองคำนี้ก็นึกถึงแต่ความทรงจำเลวร้ายทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้เขากลัวไม่ใช่เซี่ยนอวี๋ หากแต่เป็นความทรงจำอันชอกช้ำยามหวนระลึกนั่นต่างหาก

พูดแบบนี้ฟังดูมีชั้นเชิงสักหน่อย

แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีอะไรให้กลัวเลย

ก่อนหน้านี้จ้าวอิ๋งเก้อแม้จะไม่ใช่นักร้องแถวหน้า แต่ก็มีหน้ามีตาในฐานะผู้ชนะจากรายการสะพรั่งคอยเกื้อหนุน นับว่าเป็นคนมีชื่อเสียงอยู่บ้าง พอจะเรียกได้ว่าเป็นตัวท็อป เซี่ยนอวี๋ให้เพลงเธอร้องก็ใช่ว่าจะไร้ประสิทธิผล

ซุนเย่าหั่วล่ะ?

ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย

เดินไปตามถนนในเมืองก็แทบจะไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นนักร้อง ต่อให้มายืนต่อหน้าเฉินจื้ออวี่ เขาก็ไม่มีทางรู้จักว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

แบบนี้ก็ดี

สะดุดล้มตรงไหนก็ลุกยืนขึ้นตรงนั้น[1]แหละ!

เฉินจื้ออวี่รู้สึกว่าตนสบายใจแล้ว เก็บเมาส์จัดวางอย่างไม่รีบร้อน พลางสวมหูฟังซึ่งวางไว้ข้างเมาส์ “มาฟังเพลงครั้งนี้ของนายกันดีกว่า อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”

เขากดเปิดเพลงกุหลาบแดง

บทเพลงเริ่มเปิดด้วยทำนองเปียโนทั่วไป เป็นทำนองที่พบเห็นได้บ่อยเสียยิ่งกว่าบ่อย ตนเองก็บรรเลงทำนองพรรค์นี้ได้ง่ายๆ

แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ

เฉินจื้ออวี่แสยะยิ้มราบเรียบ

เสียงเปียโนค่อยๆ หยุดลงอย่างแผ่วเบา เสียงทุ้มหนาก็ดังขึ้น “ความฝันในฝันที่ไม่ตื่นจากฝัน สีแดงถูกเหนี่ยวรั้งในด้ายแดง ตื่นเต้นเหลือเพียงความเจ็บปวดไร้เรี่ยวแรงแล้วก็ไม่แยแส”

แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ!

เฉินจื้ออวี่ยังคงรักษายิ้มบางบนใบหน้า ฟังเพลงต่อ “ยามที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง ที่คาดหวังกลับไม่ใช่ใบหน้าเธอ ช่างเย้ยหยันจริงนะเออ ฉันไม่รู้แต่ยังหวังเธอเข้าใจ”

แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ!!

รอยยิ้มของเฉินจื้ออวี่แข็งค้างไปแล้ว แต่เขากลับดึงดันไม่ยอมให้มันเลือนหายไป ท่อนคอรัสของเพลงกุหลาบแดงก็ดังขึ้นในโสตประสาท “ใช่หรือว่าความสุขบางเบาเหลือทน หลอกใช้กันไปแล้วจะไม่ทุกข์ตรม แววตาว่างเปล่ามองมาแสนทุกข์ระทม สุดท้ายไม่เหลือ สุดท้ายแล้วจบไม่ลง”

แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ!!

เฉินจื้ออวี่กัดฟันกรอด ออกแรงหยิกหน้าขาของตน สีหน้าของเขาเบี้ยวบูดขึ้นเรื่อยๆ ยามบทเพลงดำเนินไป “ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว ได้รับความรักไปก็ไม่ต้องกลัว กุหลาบสีแดงฝันจางสลัว มือประสานไหลรินจากรอยร้าวรั่ว หมดความหมาย”

แต่…

แต่ก็…

นี่มันอะไรกันฟระเนี่ย!

เฉินจื้ออวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่ข่งไม่แข่งมันแล้วโว้ย พอใจยัง!

เขารีบถอดหูฟังออก ปิดหูของตนแน่น ในตอนนั้นเองผู้จัดการเข้ามาพอดี ยิ้มบางเอ่ยว่า

“จื้ออวี่ฟังเพลงยัง?”

เห็นได้ชัดว่าคลื่นลูกนี้สงบแล้ว!

เพื่อที่จะเฉลิมฉลองบัลลังก์แชมป์ ในมือของผู้จัดการถึงกับมีแก้วสองใบกับไวน์แดงอีกหนึ่งขวด มาถึงบ้านของเฉินจื้ออวี่เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี และเป็นเพราะสนิทสนมกันมาก ดังนั้นเขาจึงมีกุญแจบ้านของศิลปินในสังกัด

ฟังเพลง?

เฉินจื้ออวี่ราวกับถูกอะไรสักอย่างมากระตุ้น มือปิดหูแรงขึ้นเรื่อยๆ “ผมไม่ฟังผมไม่ฟังผมไม่ฟังผมไม่ฟังผมไม่ฟัง!”

“???”

ผู้จัดการสับสนอยู่บ้าง ภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของเขา ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“นายตั้งสติหน่อย”

ผู้จัดการเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น

ความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ค่อยๆ สงบลง ไม่ปิดหูอีก เพียงแค่จ้องมองผู้จัดการ “ไหนคุณบอกว่ารายการนี้ไม่มียอดฝีมือไงล่ะ”

“ก็ไม่มียอดฝีมือไง”

น้ำเสียงของผู้จัดการมั่นใจมาก

เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของผู้จัดการ เฉินจื้ออวี่ก็ถอนหายใจ หยิบหูฟังขึ้นมาใส่อีกครั้งอย่างเงียบเชียบ ฟังเพลงอีกรอบ

“เพราะจัง”

ฟังจบในครั้งนี้ เฉินจื้ออวี่ก็ดาวน์โหลดเพลงกุหลาบแดง พร้อมทั้งเพิ่มเพลงนี้ลงในเพลย์ลิสต์ของตน

“นายทำอะไรน่ะ”

ผู้จัดการมุมปากกระตุก เห็นสิ่งที่เฉินจื้ออวี่ทำทั้งกระบวนการ จู่ๆ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมา

“ในวงการเพลงของเรา นี่เป็นท่าทางของการยอมแพ้”

เฉินจื้ออวี่ยกมือขึ้นสองข้าง ┗( T﹏T )┛

ผู้จัดการ “…”

เฉินจื้ออวี่พึมพำกับตัวเอง “ฉันนี่โง่จริงๆ เล้ย”

เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาอันไร้ความรู้สึก “ฉันรู้มาแค่ว่าเดือนมิถุนาไม่มีนักร้องแถวหน้า มีโอกาสได้เปรียบ ไม่รู้ว่ามีพ่อเพลงมาด้วย”

ผู้จัดการทอดถอนใจ พอจะเดาคร่าวๆ ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “ไม่มีหวังแล้ว?”

“ยังมีหวัง”

เฉินจื้ออวี่พูด “หลบเขาก็พอแล้ว”

เฉินจื้ออวี่ชี้ไปยังชื่อผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองด้านหลังเพลงกุหลาบแดง

เมื่อผู้จัดการเห็นคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด

ชั่วขณะนั้น เขาก็นึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของสองคำนี้ที่เคยเข้าครอบงำ

มิน่าล่ะตอนที่เข้ามาในห้อง ถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อุตส่าห์หลบไปตั้งหลายเดือน แต่ก็ถูกเซี่ยนอวี๋เล่นงานอีกแล้ว?

โชคชะตาเล่นตลกอะไรฟระเนี่ย!

จินซูอวี่หายไป ได้เซี่ยนอวี๋มาแทน รู้สึกว่าแค่ชั่วพริบตาเดียวระดับความยากของเกมนี้จะเปลี่ยนจนโอเวอร์ไปหน่อยนะ!

“ครั้งหน้าจะต้องสืบมาให้ชัดเจน” ผู้จัดการพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

“ครั้งหน้าต้องทำให้ได้?”

“ครั้งหน้าต้องทำให้ได้!”

“ผมไม่เชื่อคุณแล้ว”

เฉินจื้ออวี่พูดอย่างชอกช้ำ “คุณนี่ช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

ผู้จัดการทอดถอนใจ “อันที่จริงฉันเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งให้นาย ตอนนี้อยู่ข้างนอก แล้วก็มีไวน์นี้ เอาไว้เลี้ยงฉลองที่พวกเราได้อันดับหนึ่ง”

“…”

เฉินจื้ออวี่ไม่อยากสนทนา

ผู้จัดการเปิดประตู ยกกล่องใบหนึ่งเข้ามา

เฉินจื้ออวี่เงิยหน้าขึ้นมามองผู้จัดการ “คืออะไรเหรอครับ”

ผู้จัดการตอบ “ตู้ปลา นายบอกไม่ใช่เหรอว่าเลื้ยงแมวมันยุ่งยาก เลี้ยงปลา[2]สบายกว่า”

“ให้ตายเถอะ!”

เฉินจื้ออวี่รู้สึกสลดใจขึ้นมาทันที

เขาออกแรงดันผู้จัดการออกจากประตูไป พลางโยนกล่องของผู้จัดการออกไปด้วย “ต่อให้ผมต้องอดตาย หรือกระโดดลงไปจากห้องนี้ ผมก็จะไม่เลี้ยงปลาเด็ดขาด! ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเลี้ยง!”

“ทำไมล่ะ”

ผู้จัดการถาม ทันใดนั้นก็ตบศีรษะตนเอง บรรยากาศก็ทั้งเงียบงันและประดักประเดิด

ผ่านไปนานโข

กว่าผู้จัดการจะพูดขึ้นว่า “ที่แท้นายก็เป็นโรคกลัวปลาเหรอเนี่ย”

เฉินจื้ออวี่ถลึงตาโต มองเขาด้วยความตกใจ “คุณคิดว่าคุณตลกมากใช่มั้ย”

……………………………………………..

[1] สะดุดล้มตรงไหนก็ลุกยืนขึ้นตรงนั้น เปรียบเปรยว่าถึงเจอกับอุปสรรค ก็ยังลุกขึ้นมาและพยายามต่อไปได้อย่างไม่ย่อท้อ

[2] ปลา ภาษาจีนคือคำว่าอวี๋(鱼) ในที่นี้เป็นการเล่นคำกับนามปากกา ‘เซี่ยนอวี๋’ ของหลินเยวียน

การประเมินประจำปีการศึกษาของปีสอง เพลงนี้ส่งผลต่อการคัดเลือกโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนในปีสาม ดังนั้นเพื่อนนักศึกษาทุกคนต่างก็มาหาหลินเยวียนพร้อมกันเพื่อให้ช่วยบรรเลงทำนองส่วนที่เป็นเปียโนให้

เพื่อนร่วมชั้นต้องอัดเพลง

หลินเยวียนก็ต้องอัดเพลง

ถึงยังไงเขาก็สนใจโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนในปีสามอยู่เหมือนกัน ถึงได้สั่งทำเพลงความฝันแรกจากระบบเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“หาคนจากสตาร์ไลท์มาอัดเพลง?”

เพลงนี้ต้องการคนมาขับร้อง

ถึงอย่างไรผู้ช่วยงานในสตาร์ไลท์ก็มีตั้งเยอะแยะ หลินเยวียนสามารถสุ่มเลือกมาได้

ทว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ หลินเยวียนเปลี่ยนความคิด เพราะข้างกายเขามีคนหนึ่งที่เหมาะสมกับเพลงนี้มาก

ซย่าฝานเพื่อนรัก!

แม้ว่าทำแบบนี้ไปอาจทำให้ตัวตนถูกเปิดเผย แต่ในเมื่อซย่าฝานจะก้าวเดินบนเส้นทางการเป็นนักร้อง ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้ ปิดบังต่อไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไร

ฉะนั้นแล้วเขาจึงติดต่อซย่าฝาน

เมื่อโทรศัพท์เสร็จ หลินเยวียนก็ครุ่นคิด ก่อนจะโทรเรียกเจี่ยนอี้มาด้วยซะเลย

ทั้งสามคนไปเจอกันที่โรงอาหารในช่วงเที่ยง

หลินเยวียนหยิบโน้ตเพลงความฝันแรกออกมาให้ซย่าฝาน

“เพลงที่นายเขียน?”

ซย่าฝานมองโน้ตเพลง ตกตะลึงไปชั่วขณะ

หลินเยวียนพยักหน้า แล้วส่งเดโมเพลงความฝันแรกเข้าโทรศัพท์ของซย่าฝาน

“ลองฟังดู”

“ได้”

หลินเยวียนเขียนเพลงได้ไม่ใช่เรื่องแปลก

ถึงยังไงก็ย้ายไปเรียนที่สาขาการประพันธ์เพลงตั้งนานแล้ว

ซย่าฝานคิดว่าหลินเยวียนจะถามความเห็นตน จึงหยิบหูฟังบลูทูธออกมาสองข้าง กำลังจะสวมฟัง ขณะเดียวกันในใจก็คิดว่าต่อให้เพลงนี้ธรรมดา ตนก็ต้องให้กำลังใจหลินเยวียนสักหน่อย

“ฉันขอหนึ่งข้าง”

เจี่ยนอี้แย่งหูฟังบลูทูธจากซย่าฝานไปข้างหนึ่ง ใส่เข้าไปในหูของตน เขาสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเพลงที่หลินเยวียนเขียนมาก

ฟังไปสองสามนาที

ซย่าฝานมองไปยังหลินเยวียนด้วยความตกตะลึงทันที

“ใช้ได้เลย หลินเยวียน เพลงนี้ไม่เลวเลย!”

เจี่ยนอี้อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องเพลง แต่เพลงเพราะหรือไม่เพราะเขาย่อมฟังออก

เพลงนี้ของหลินเยวียน ตั้งแต่เปิดมาประโยคแรก เขาก็รู้สึกว่าเพราะมากแล้ว!

“อื้ม”

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเจี่ยนอี้

ซย่าฝานมองหลินเยวียนด้วยแววตาซับซ้อน “เรียนดนตรีมาตั้งหลายปี นายน่าจะรู้นะว่ามูลค่าของเพลงนี้สูงมาก…”

แน่นอนว่าเธออยากร้องเพลงนี้!

แต่เพลงนี้ยอดเยี่ยมเกินไป!

ถ้าให้นักร้องมืออาชีพที่เดบิวต์แล้วไปร้อง น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ถึงขั้นที่น่าจะดังเป็นพลุแตกเลยล่ะ ซย่าฝานไม่อยากฉุดรั้งหลินเยวียนไว้ เพียงเพราะตนเองอยากร้องเพลงนี้

“ซย่าฝานเธอเป็นอะไร”

เจี่ยนอี้กลับกระวนกระวาย “เพลงดีขนาดนี้ เธอยังจะผลักออกไปอีก หลินเยวียนให้เธอร้องเธอก็ร้องไปเถอะ!”

ซย่าฝานก็ไม่ได้สนใจเจี่ยนอี้เช่นกัน

เธอจับจ้องหลินเยวียนเงียบๆ

หลินเยวียนผุดรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่น เธอเหมาะกับเพลงนี้ที่สุด แล้วก็มีอีกเรื่องที่ฉันอยากบอกพวกนายสองคน”

“เรื่องอะไรเหรอ”

จู่ๆ ทั้งก็สองคนกังวลใจขึ้นมา

หลินเยวียนพูด “ที่จริงแล้วฉันคือเซี่ยนอวี๋”

เจี่ยนอี้ชะงักไป แอบรู้สึกว่าชื่อนี้ออกจะคุ้นหูอยู่เล็กน้อย แต่นึกไม่ออกว่าได้ยินมาจากไหน

ส่วนซย่าฝานจ้องมองตาโต “นายล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย”

หลินเยวียนพูดอย่างจริงจัง “ขอโทษที่ไม่ได้บอกพวกนาย”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกน่า!”

ซย่าฝานจ้องหลินเยวียนไม่วางตา “นายคือเซี่ยนอวี๋จริงเหรอ”

หลินเยวียนพยักหน้า

ซย่าฝานยังไม่ทันได้พูดอะไร เจี่ยนอี้ก็ตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ

เขานึกออกแล้วว่าเซี่ยนอวี๋เป็นใคร!

ชื่อนี้ ก่อนหน้านี้ซย่าฝานเคยพูดถึงตั้งหลายครั้ง

ช่วงก่อนหน้านี้ เพลงดังหลายเพลงเช่นปลายักษ์ เหมือนว่าจะเป็นเซี่ยนอวี๋เขียนเนี่ยแหละ!

คนคนนี้ก็คือหลินเยวียนหรอกเหรอเนี่ย

หลินเยวียนเขียนเพลงได้เก่งขนาดนี้เชียว

ขณะที่เจี่ยนอี้กำลังตื่นเต้นว่าจะพูดอะไรดี จู่ๆ ซย่าฝานก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้า

เจี่ยนอี้ตกใจจนแทบกระโดดโหยง “ซย่าฝานเธอเป็นอะไรน่ะ”

หลินเยวียนเองก็มองซย่าฝานด้วยความกังวล

ซย่าฝานปล่อยมือลง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น สายตายังคงจับจ้องหลินเยวียน “เพลงเดียวไม่พอหรอก!”

“เอาไว้ก่อนแล้วกัน”

หลินเยวียนหลุดหัวเราะ “ถ้ามีเพลงที่เหมาะแล้วค่อยให้เธอ ตอนนี้เหลือแค่เพลงนี้”

เพลงนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ

เจี่ยนอี้ตบอก “เล่นซะฉันตกใจเลย ว่าแต่หลินเยวียนนายปิดปังพวกเรามานานขนาดนี้ ต้องถูกลงโทษ!”

ซย่าฝานพูดอย่างดุดัน “ตามกฎแล้วก็ต้องเลี้ยงข้าวสักมื้อ…ไม่สิ สองมื้อ!”

หลินเยวียนฝืนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตอนเย็นไปร้านโอเรียนทัลกัน”

นี่เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในวิทยาลัย ครั้งก่อนหลินเยวียนเคยไปกินกับเพื่อนในสาขาการประพันธ์เพลงครั้งหนึ่ง พุดดิงเยลลี่อร่อยมาก

“เย็นนี้ ดีล”

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานแตะมือกันด้วยความดีใจ

เรื่องราวก่อนหน้านี้ปะติดปะต่อได้ทันที ทำไมหัวหน้าถึงให้หลินเยวียนอยู่ในห้องที่ดีขนาดนี้ ทำไมค่าตอบแทนจากบริษัทของหลินเยวียนถึงได้ดีขนาดนี้

ก็เพราะหลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋ไงล่ะ

หลินเยวียนเตือนซย่าฝาน “วันหลังค่อยไปอัดเพลงที่สตาร์ไลท์”

ซย่าฝานยิ้มเอ่ย “ได้สิ แต่เพลงนี้ให้ฉัน จะไม่ผิดกฎบริษัทเหรอ”

หลินเยวียนชะงักไป เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย

ตามกฎของบริษัทแล้ว ตนไม่สามารถนำเพลงไปให้คนนอกเป็นการส่วนตัวได้ ต้องผ่านช่องทางของบริษัท

“หรือไม่ก็ให้สตาร์ไลท์เซ็นสัญญากับซย่าฝาน แบบนี้ได้มั้ยหลินเยวียน” เจี่ยนอี้ไม่แน่ใจว่าสถานะของหลินเยวียนในบริษัทมีสิทธิ์ออกปากออกเสียงหรือไม่ จึงลองถามหยั่งเชิง

หลินเยวียนมองไปยังซย่าฝาน “เธออยากเซ็นสัญญามั้ย”

ซย่าฝานพยักหน้าโดยไม่ลังเล “อยากสิ!”

หลินเยวียนเอ่ย “เดี๋ยวฉันไปคุยกับพี่จ้าวก่อน ไม่น่าจะยาก แต่ปัญหาก็คือถ้าเธอเซ็นสัญญากับบริษัทตอนนี้ ระดับของสัญญาไม่สูงแน่นอน”

“หา?”

เป็นเด็กใหม่จะกล้านึกถึงระดับสัญญาเหรอ

ซย่าฝานตามความคิดของหลินเยวียนไม่ค่อยทัน

หลินเยวียนอธิบายว่า “ถ้าซย่าฝานดังจากรายการสะพรั่งได้ ถ้าเซ็นสัญญาเข้าสตาร์ไลท์จะต้องได้สัญญาระดับที่ค่อนข้างสูง”

ก่อนหน้านี้จ้าวอิ๋งเก้อก็เป็นแบบนี้

หลังจากที่โด่งดังก็ย่อมมีคนอยากแย่งตัว

ซย่าฝานยิ้มขื่นพลางกล่าว “หลินเยวียน วิสัยทัศน์ของนายล้ำมาก สำหรับฉันแล้ว การได้เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์ก็โชคดีสุดๆ แล้ว ยังจะต้องคิดมากขนาดนั้นทำไม”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย อธิบายสถานการณ์ของตนให้ฟัง เขาเชื่อใจจ้าวเจวี๋ยมาก

“แบบนี้เองเหรอ”

หลังจากจ้าวเจวี๋ยได้ฟังคำขอของหลินเยวียนก็เงียบไปชั่วขณะ “เรื่องนี้ฉันรับปากแล้ว เธออยากให้สัญญาของเพื่อนระดับสูงขึ้นอีกหน่อยใช่มั้ย เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหา เซ็นสัญญาแสดงเจตจำนงก่อนก็ได้ ถ้าเกิดมีผลงานก่อนจะเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เราสามารถเพิ่มระดับสัญญาอย่างเป็นทางการได้ แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นการใช้ช่องโหว่ของบริษัท ดังนั้นก่อนเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เธอต้องระวังอย่าเขียนเพลงให้เพื่อนโดยใช้ชื่อเซี่ยนอวี๋ สร้างตัวตนปลอมขึ้นมาก็ได้”

เธอไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าหลินเยวียนจะให้ใครเซ็นสัญญา

สำหรับคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่มีความฝัน การได้เข้ามาในสตาร์ไลท์อาจเป็นจุดมุ่งหมายของทั้งชีวิต แต่สำหรับจ้าวเจวี๋ยแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือเซี่ยนอวี๋เอ่ยปากเอง

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนวางสาย

ซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ถามอย่างกังวลใจ “ว่ายังไง”

หลินเยวียนยิ้ม “เตรียมตัวอัดเสียงเลย แล้วก็อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเพลงนี้ฉันเป็นคนเขียน ไม่งั้นเรื่องอาจยุ่งได้”

“ได้!”

ซย่าฝานตื่นเต้นขึ้นมา

เจี่ยนอี้เองก็ผุดยิ้มขึ้นมา พลอยยินดีไปกับเพื่อนด้วย

ส่วนเรื่องที่หลินเยวียนเตือนไว้ ทั้งสองคนจำใส่ใจ ไม่กล้าหลุดข้อมูลตัวตนของหลินเยวียนออกไปแม้แต่นิดเดียว

เพื่อความปลอดภัย ในการอัดเพลงหลายวันหลังจากนั้น หลินเยวียนจึงไปใช้ห้องอัดเพลงนอกวิทยาลัย ไม่ได้ใช้ห้องอัดเสียงของสตาร์ไลท์

รอบคอบสักหน่อยย่อมดีกว่า

และในตอนนั้นเอง…

เดือนพฤษภาคมก็ค่อยๆ ผ่านพ้นไป

เวลา 00.00 ของวันที่ 1 มิถุนายน

การแข่งขันเพลงใหม่ในวงการเพลงของฉินโจวก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!

เฉินจื้ออวี่ผู้ซึ่งมุ่งมั่นว่าจะคว้าชัยชนะ ก็เปิดโปรแกรมเล่นเพลงพร้อมกับความมั่นใจเปี่ยมล้น

‘เพลงท็อปฮิตชวนฟัง’

บนหัวข้อแนะนำ เพลงใหม่ของตนอยู่ในตำแหน่งสะดุดตาที่สุด เขาได้หน้าได้ตาอย่างเต็มที่ เฉินจื้ออวี่พอใจเป็นอย่างมาก

“หืม?”

กวาดตาไปมองเพลงแนะนำเพลงอื่นๆ ในตอนนั้นเฉินจื้ออวี่ก็เห็นการแนะนำเพลงใหม่ซึ่งมีชื่อว่า ‘กุหลาบแดง’

เป็นเพลงของทางสตาร์ไลท์เหรอเนี่ย

นักร้องก็เป็นคนที่ผู้จัดการเคยเอ่ยถึงแล้ว ซุนเย่าหั่วเป็นนักร้องที่ทางสตาร์ไลท์ใส่แทนจินซูอวี่ และผู้แต่งเนื้อร้องทำนองก็คือ…

“แม่เจ้า!”

เฉินจื้ออวี่มือสั่นฉับพลัน จนเมาส์ลอยกระเด็นออกไป

…………………………………………………….

อันที่จริงไม่ว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยสาขาการประพันธ์เพลงทำทำนองเปียโน ความถี่ที่หลินเยวียนไปชมรมจิตรกรรมนั้นน้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขายังต้องหาเวลามาเขียนกระบี่เทพสังหาร

ต้องสะสมต้นฉบับวันละสองสามหมื่นตัวอักษร

ต่อให้พิมพ์เร็วกว่านี้ก็ยังต้องใช้เวลาสักพัก

และเดือนพฤษภาคมผ่านพ้นไปครึ่งเดือน แผนกเกี่ยวกับดนตรีในแต่ละบริษัทใหญ่ก็เริ่มลงมือตระเตรียมการแข่งขันในฤดูกาลใหม่ ทางสตาร์ไลท์ยืนยันแผนการปล่อยเพลงกุหลาบแดงในเดือนหน้าเป็นที่เรียบร้อย

หนึ่งในยักษ์ใหญ่สามบริษัทของฉินโจว

ในห้องพักผ่อนของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง

เฉินจื้ออวี่ในฐานะที่เป็นนักร้องแถวหน้าก็เตรียมออกเพลงใหม่ในเดือนมิถุนายนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เฉินจื้ออวี่จึงเตือนผู้จัดการโดยเฉพาะ ให้ตรวจสอบว่าในเดือนหน้าจะมีนักร้องคู่แข่งคนไหนที่ค่อนข้างน่ากลัวบ้าง

“ข่าวดี!”

หลังจากผู้จัดการไปตรวจสอบสถานการณ์การเตรียมตัวสำหรับเดือนหน้าของแต่ละบริษัทอย่างจริงจัง ก็ติดต่อเฉินจื้ออวี่ไปด่วนจี๋ น้ำเสียงตื่นเต้นเหลือล้น “ข่าวดีมาก เดือนหน้านายขึ้นชาร์ตได้สบายไร้อุปสรรค!”

“อย่ายืดเยื้อสิ! ”

เฉินจื้ออวี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เท่าที่ผมรู้ จินซูอวี่ของสตาร์ไลท์อาจปล่อยเพลงเดือนหน้า ความสามารถของจินซูอวี่กับพลังแฟนคลับไม่ใช่เล่นๆ ผมไม่มั่นใจว่าจะชนะอีกฝ่ายได้แบบแน่นอน”

เป็นนักร้องแถวหน้าเหมือนกัน

ชื่อเสียงก็มีความแตกต่างกันได้

จินซูอวี่เริ่มโด่งดังเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ขึ้นนั่งบนตำแหน่งนักร้องแถวหน้าอย่างมั่นคง ชื่อเสียงและแฟนคลับถึงขั้นสูงกว่าเฉินจื้ออวี่เล็กน้อย ด้วยสภาวการณ์เช่นนี้ เฉินจื้ออวี่จึงมองว่าจินซูอวี่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งในเดือนหน้า

“นี่แหละข่าวดีที่ฉันพูดถึง!”

ผู้จัดการพูดด้วยความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “จินซูอวี่ไม่รู้ไปทำความผิดอะไร เลยถูกสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์พักงานหนึ่งเดือน แม้แต่ผู้จัดการของเขาก็โดนลงโทษเหมือนกัน แพลนปล่อยเพลงในเดือนมิถุนาของเขาเลยถูกทางสตาร์ไลท์แคนเซิลไปแล้ว”

“คุณแน่ใจเหรอ”

เฉินจื้ออวี่รู้สึกทึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ “สตาร์ไลท์คงไม่ได้แกล้งปล่อยข่าวลือปกปิดหรอกใช่มั้ย จินซูอวี่เป็นนักร้องแถวหน้าที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้ อยู่ๆ บอกว่าจะแคนเซิลแผนปล่อยเพลงแล้วก็แคนเซิลได้เลยเหรอ”

“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ”

ผู้จัดการหัวเราะ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “แต่ฉันแน่ใจว่าจินซูอวี่ถูกสตาร์ไลท์ลงโทษเป็นเรื่องจริง เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านี้อีเวนต์สำคัญของเขาถูกยกเลิกทั้งหมดเลย น่าจะไปยั่วโมโหคนใหญ่คนโตสักคนล่ะมั้ง ถ้าเป็นแบบนี้ก็ง่ายแล้ว เพราะเดือนหน้านอกจากจินซูอวี่แล้ว นักร้องคนอื่นๆ ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร”

“นักร้องที่มาแทนของสตาร์ไลท์ล่ะ?”

“นักร้องที่มาแทนเหมือนจะเป็นซุนเย่าหั่ว สตาร์ไลท์น่าจะหาคนมาแทรกชั่วคราว ก็แค่นักร้องตัวเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จักน่ะ สู้จ้าวอิ๋งเก้อครั้งที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ สตาร์ไลท์คงไม่ได้เอานักร้องแถวหน้ามาแทนที่จินซูอวี่ชั่วคราวหรอก”

“สวรรค์มาโปรดผมชัดๆ!”

ความคลางแคลงของเฉินจื้ออวี่ก็มลายหายไปแล้ว

ในที่สุดเขาก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา อันที่จริงจะโทษที่เขาระแวงก็ไม่ได้ ที่สำคัญคือเขารู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง ครั้งก่อนที่ปล่อยเพลงคือเมื่อเดือนมกราคม ผลคือถูกเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายผู้ยิ่งใหญ่เหยียบจมดิน พานให้เฉินจื้ออวี่กลัวจนไม่กล้าปล่อยเพลงใหม่ไปตั้งหลายเดือน

ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!

กอบกู้ศักดิ์ศรีที่หายไปในเดือนมกราคม!

ต้องเข้าใจว่าเดือนมิถุนายนเป็นเวลาหลังจากที่เฉินจื้ออวี่ขบคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจปล่อยเพลง นี่เป็นเดือนที่เขาอยากช่วงชิงอันดับหนึ่งมาให้ได้ เขาไม่อยากทำเสียเรื่องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครั้ง

“ถึงยังไงคลื่นลูกนี้ก็สงบแล้ว!”

ผู้จัดการตบไหล่เฉินจื้ออวี่ “ฉันไม่เชื่อว่าครั้งนี้จะยังมีจ้าวอิ๋งเก้อโผล่มาอีกคน ต่อให้จ้าวอิ๋งเก้อมาก็ไร้ประโยชน์ ในสถานการณ์ปกติถ้าไม่ใช่นักร้องแถวหน้าจะไปทำอะไรนักร้องแถวหน้าอย่างนายได้”

……

ข่าวที่จินซูอวี่ถอนตัวจากการแข่งขันในเดือนมิถุนายนไม่เพียงลือกระฉ่อนไปถึงเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง ไม่ทันไรทั้งวงการก็รู้เรื่องนี้ ถึงยังไงก็เป็นนักร้องแถวหน้าที่ค่อนข้างโด่งดัง ฉะนั้นในวงการก็งุนงงไปตามกัน ว่าสรุปแล้วจินซูอวี่ทำอะไรถึงได้ถูกพักงานหนึ่งเดือน

‘เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงได้เปรียบแล้ว’

‘อดเห็นศึกสองอวี่เลย’

เพราะในชื่อของจินซูอวี่กับเฉินจื้ออวี่มีตัวอักษร ‘อวี่(宇)’ เหมือนกัน และทั้งสองคนก็เป็นนักร้องแถวหน้า ดังนั้นช่วงนี้สื่อถึงได้เอ่ยถึงชาร์ตเพลงใหม่ของเดือนนี้ เล่นมุกออกมาว่า ‘ศึกสองอวี่’

ในตอนนี้เหลือแค่ ‘อวี่’ เดียวแล้ว

เหล่าไทยมุงก็รู้สึกหมดสนุกอย่างอดไม่ได้

จะไม่ให้เสียดายได้ยังไงล่ะ จินซูอวี่และเฉินจื้ออวี่ไม่ได้สู้กัน งั้นเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงและสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ไม่ได้สู้กัน ใครจะอยากไปดูการแข่งขันที่ไม่น่าตื่นเต้นล่ะ ก็คงจะเป็นเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับเฉินจื้ออวี่ที่ลอบกระหยิ่มใจนั่นแหละ

คนที่หัวเสียกับเรื่องนี้ที่สุด ก็น่าจะเป็นตัวจินซูอวี่เองล่ะมั้ง?

ในวงการคาดเดากันไปแบบนั้น

และจินซูอวี่ในตอนนี้ ก็อยู่ในโรงแรมใกล้กับบริษัทมาตลอด

ช่วงเวลาที่บริษัทพักงานเขานี้ เขาก็ไม่ได้เฉียดออกไปนอกประตูเลยสักวัน

มีเพียงเถาหรานซึ่งไม่มีอะไรทำเหมือนกันที่อยู่เป็นเพื่อนเขา บางครั้งบางคราวทั้งสองคนก็จะดื่มสุราเพื่อคลายความกังวลใจ

“ก็แค่เดือนนี้”

หลังจากดื่มสุราไปหลายแก้วอย่างเงียบเชียบ เถาหรานก็เอ่ยปลอบจินซูอวี่ “รอให้บริษัทแพ้ในชาร์ตเพลงใหม่เดือนมิถุนาราบคาบ พวกเขาก็จะรู้ความสำคัญของนาย ไม่มีนายลงสนาม บริษัทจะเอาอะไรมาแข่งกับเฉินจื้ออวี่ แค่ซุนเย่าหั่วจะไปเป็นคู่แข่งกับเฉินจื้ออวี่ได้ยังไง”

“พี่คิดแบบนั้น?”

จินซูอวี่เงยหน้าจ้องมองเถาหราน

เถาหรานชะงักไป “ที่ฉันพูดผิดเหรอ”

จินซูอวี่ไม่ได้ตอบ เพียงแต่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ดื่มสุราอีกหนึ่งคำด้วยความหดหู่ ราวกับหยิบยืมความมึนเมาจากสุรามาคลายความเศร้า

“เป็นอะไรไป”

เถาหรานพูดพลางขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่สไตล์ของจินซูอวี่เลยนะ ก็แค่พักกิจกรรมเดือนเดียว ถ้านายโกรธ เดี๋ยวกลับไปฉันจะจัดการเล่นงานไอ้ซุนเย่าหั่วนั่นให้สาสมเลย”

“พี่เถา!”

จินซูอวี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา “พี่ห้ามแตะซุนเย่าหั่วนะ!”

“หา?”

เถาหรานยิ่งขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น “ทำไม”

จินซูอวี่เอ่ยเน้นทีละคำ “พี่ต้องรับปากกับผมก่อน ว่าจะไม่แตะต้องเขา!”

เถาหรานพูดแดกดัน “ก็ได้ๆๆ เอาตามที่นายว่า ฉันไม่แตะต้องเขา แต่นายก็น่าจะบอกเหตุผลฉันสักหน่อย”

“เหตุผล?”

จินซูอวี่วางแก้วสุราลง “ในฐานะที่เป็นผู้จัดการ พี่เถามีความสามารถอย่างแน่นอน แต่อยู่ๆ บอกว่าอยากได้เพลง แบบนี้ไม่เป็นมืออาชีพเลย”

เสียงแค่นหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้น

จินซูอวี่หยัดกายลุกขึ้นมองไปยังหน้าต่าง กล่าวว่า “เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงตอนนี้คงดีใจแย่เลยล่ะมั้ง คงคิดว่าตัวเองถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คืออะไร”

“นายหมายถึง…”

“พวกเขาอยากชนะ แต่ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก บริษัทไม่ได้โง่ เห็นได้ชัดว่าเดือนหน้าลงโทษผมอีกก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมถึงเป็นเดือนนี้ ก็เป็นการเตือนผมให้หลีกทางหน่อยแบบอ้อมๆ”

“แล้วใช้ซุนเย่าหั่ว?”

“ใช้เซี่ยนอวี๋ ใช้เพลงกุหลาบแดง!”

เถาหรานอ้าปากค้าง

รู้สึกว่าสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ

จินซูอวี่ไม่ใช่คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงสักเท่าไหร่

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีคนทำกับจินซูอวี่เสียเจ็บแสบขนาดนี้ จินซูอวี่คงตามล้างแค้นจนถึงที่สุด

ที่เดินมาเป็นนักร้องแถวหน้าแบบนี้ได้ ไม่มีทางประจบประแจงใคร!

แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าถูกโจมตีอย่างหนังหน่วงขนาดนี้ จินซูอวี่ถึงกับไม่ได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่กลับได้ใช้เวลานี้ทบทวนตนเอง?

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

…………………………………………

เมื่อเจอกับกู้ซี ก็มักจะหมายถึงความวุ่นวายปรากฏ งั้นทำไมไม่ให้กู้ซีมาจัดการความวุ่นวายนี้ล่ะ

แบบนี้เรียกว่าใช้พิษถอนพิษ!

หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเองฉลาดหลักแหลมดีจริงๆ

และเมื่อมีกู้ซีมาเข้าร่วม ประสิทธิภาพของทุกคนก็เพิ่มขึ้นมากทีเดียว

เพราะก่อนหน้านี้คนจากสาขาการประพันธ์เพลงเหล่านี้คาดหวังให้หลินเยวียนช่วยทุกคนเล่นเปียโนประกอบให้ จนหลินเยวียนแทบแยกร่างไม่ไหวแล้ว

การปรากฏตัวของกู้ซีในตอนนี้ แบ่งรับปริมาณงานจากหลินเยวียนโดยตรงครึ่งหนึ่ง ทำให้หลินเยวียนไปพักได้สักครู่เมื่อรู้สึกเหนื่อย

“เพื่อนนักเรียนกู้ซี ไปพักสักหน่อยเถอะ”

เมื่อเห็นว่ากู้ซีวุ่นจนตัวเป็นเกลียว คนจากสาขาประพันธ์เพลงก็รู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง

ไม่มีใครคาดคิดว่ากู้ซีจะกระตือรือร้นและเอาใจใส่ขนาดนี้

เธอไม่เพียงยินดีช่วยทุกคนบรรเลงทำนองเปียโน แถมยังพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนไม่ได้พักเลยตั้งแต่ต้นจนจบ!

ขณะเดียวกันท่าทีต่อทุกคนก็เป็นมิตรมาก ไม่มีแววของความเย่อหยิ่งหรือถือตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันไม่เหนื่อย”

กู้ซีตอบด้วยรอยยิ้ม

เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่เหนื่อย คนที่ต้องการความช่วยเหลือเยอะแยะขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีฝีมือสูงส่งกว่านี้ก็ต้องเหนื่อยเหมือนกัน!

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย จิตใจของกู้ซีกลับตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พ่อเพลงมาขอให้ตนเองช่วยงาน!

อย่าว่าแต่หลินเยวียนเรียกให้ตนมาช่วยเล่นเปียโนเลย

ต่อให้หลินเยวียนมาบอกให้ตนไปยกอิฐแบกปูน กู้ซีก็จะรีบม้วนแขนเสื้อสู้ตายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!

ถูกหลินเยวียนขอให้ช่วย ช่างเป็นเกียรติของตน

ในวงการมีคนตั้งมากมายแย่งกันช่วยเหลือพ่อเพลง แต่ก็ไม่มีโอกาส!

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับกู้ซีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่เธอเฝ้าฝันมาตลอด

โอกาสที่จะได้เข้าใกล้หลินเยวียน!

โอกาสที่จะได้ประจบหลินเยวียน!

เพราะฉะนั้นในตอนนี้กู้ซีถึงกับรู้สึกขอบคุณคนสาขาประพันธ์เพลงกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้พวกเขา หลินเยวียนก็ไม่มีทางมาเรียกตนก็ได้

สิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่ความเหนื่อย

สิ่งที่เธอกลัวก็คือตนไร้ค่าไร้ความหมายในสายตาพ่อเพลง พ่อเพลงจะไปถูกใจคนที่ไร้ค่าไร้ความหมายได้ยังไงกัน

และในระหว่างกระบวนการนี้

คนในสาขาการประพันธ์เพลงก็กระซิบพูดคุยกัน

“ข่าวลือก็แรงไปปะ”

“กู้ซีเข้าถึงง่ายอยู่นะ”

“รู้สึกว่ากู้ซีกระตือรือร้นเหมือนหลินเยวียนเลย”

“อาจเป็นเพราะคนเก่งๆ ไม่ได้หยิ่งแล้วก็เข้าถึงยากแบบที่ทุกคนคิดล่ะมั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินเยวียนย้ายมาที่สาขาการประพันธ์เพลง พวกเราก็คิดว่าหลินเยวียนเป็นคนหยิ่งไม่ใช่เหรอ หลังจากได้รู้จักถึงรู้ว่าหลินเยวียนเป็นคนดีจริงๆ เลย”

“…”

คำพูดเหล่านี้ดังเข้าโสตประสาทกู้ซีมาเป็นระยะ พลอยให้หัวใจของกู้ซีรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมา

ถ้าเป็นแบบนั้น ตนคงจะได้เปลี่ยนภาพลักษณ์อันเลวร้ายของตัวเองก่อนหน้านี้ในใจหลินเยวียนได้บ้างเล็กน้อยล่ะมั้ง

เธอแอบลอบสังเกตปฏิกิริยาของหลินเยวียน

หลินเยวียนกำลังนั่งพักผ่อนอย่างผ่อนคลายและสบายใจ ท่าทางนับว่าพึงพอใจกับความสามารถและท่าทีของตน

กู้ซีมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที!

แน่นอนละ

มีเพื่อนร่วมชั้นบางคนแอบคาดเดา ว่าที่กู้ซียอมมาช่วย อาจเป็นเพราะหลินเยวียน ดังนั้นจึงมีคนแอบถามหลินเยวียนว่าทำไมกู้ซีถึงยอมมาช่วย

หลินเยวียนส่ายหน้า

เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่ากู้ซีคิดอย่างไร

ก็แค่ก่อนหน้านี้กู้ซีเคยพูดว่า มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ตนเลยเอ่ยปากพูดไปก็เท่านั้น

สำหรับเรื่องแบบนี้แล้ว หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร

เพราะหลินเยวียนได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อยแล้ว

จากความทรงจำช่วงโรงเรียนอนุบาล คนรอบตัวก็มักจะถามแบบนี้เสมอ แถมน้อยคนมากที่จะปฏิเสธคำร้องขอของเขา

เป็นเพราะเพื่อนนักเรียนรอบตัวคุยด้วยง่าย ดังนั้นหลินเยวียนจึงคุยด้วยง่ายเช่นเดียวกัน

คนอื่นช่วยฉันอย่างง่ายดาย ฉันก็ต้องช่วยคนอื่นอย่างเต็มที่เหมือนกัน

ท้ายที่สุดแล้วก็มีคนเสนอขึ้นมา “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราพักก่อนเถอะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวหลินเยวียนกับเพื่อนนักเรียนกู้ซี!”

“ได้”

หลินเยวียนกระฉับกระเฉงขึ้นมา

กู้ซีเห็นว่าหลินเยวียนตอบตกลง ก็รีบพยักหน้าตาม เธอจะพลาดโอกาสการกินข้าวกับหลินเยวียนไปได้ยังไง “งั้นก็ขอบคุณนะ”

……

ในวิทยาลัยมีโรงอาหาร ก็ย่อมมีร้านอาหาร

แต่ถึงอย่างนั้นร้านอาหารมีราคาแพงกว่าโรงอาหารสักหน่อย

เพื่อที่จะขอบคุณความช่วยเหลือของหลินเยวียนกับกู้ซี แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางเลี้ยงที่โรงอาหาร จึงตรงไปยังร้านอาหารที่ดีที่สุดในวิทยาลัย

หลินเยวียนกินอย่างเพลิดเพลินใจ

กินอาหารคาวจนหมด ร้านอาหารก็ยกของหวานมาให้อีกเยอะแยะ

หลินเยวียนถูกใจพุดดิงเยลลี่หนึ่งในนั้นทันทีที่เห็น

ของหวานที่เขาชอบกินที่สุดมีสองประเภท หนึ่งคือไอศกรีม สองคือพุดดิงเยลลี่

“นี่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านพวกเขาเลยนะ”

พุดดิงเยลลี่ทั้งหมดมีแค่สองชุด เพื่อนคนอื่นๆ ย่อมไม่มีทางแย่ง เอ่ยแนะนำไปพลางแบ่งพุดดิงเยลลี่ที่มีเพียงสองชุดให้กับตัวละครหลักบนโต๊ะอาหารทั้งสองคนอย่างหลินเยวียนและกู้ซี

อร่อยจริงๆ

หลินเยวียนกินพุดดิงเยลลี่รสสตรอว์เบอร์รี ก็ยังรู้สึกอยากกินอยู่

เพื่อนนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านข้างมองออกว่าหลินเยวียนชอบพุดดิงเยลลี่มาก ทำได้เพียงยิ้มประดักประเดิด “พุดดิงเยลลี่ทำมามีจำนวนจำกัด แต่ละวันพวกเขาจะทำมาแค่นี้ ครั้งหน้าพวกเราจะซื้อให้นะ”

“อันนี้ของฉันยังไม่ได้กิน”

กู้ซีแทบจะเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณ “ถ้าไม่รังเกียจละก็ อันนี้ฉันให้…”

ทุกคนโดยรอบล้วนมองไปยังหลินเยวียนด้วยความสงสัย

แรกเริ่มเดิมทีสายตาแปลกประหลาดอยู่บ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา

ที่แท้กู้ซีเทพธิดาเปียโนก็เหมือนกับผู้หญิงในเซคเรียนเหล่านั้น พวกผู้หญิงมักจะส่งขนมที่ตนชอบที่สุดให้หลินเยวียนกินเสมอ

ถึงจะสังเกตเห็นสายตาชอบกลรอบข้าง กู้ซีกลับไม่ได้รู้สึกกระดากแต่อย่างใด

เธอสนใจแค่พ่อเพลง

สายตาของคนอื่นมีอะไรน่าใส่ใจกัน?

แต่เธอก็รู้สึกวิตกอยู่บ้าง ในใจก็คิดทบทวนขึ้นมา ‘ฉันทำแบบนี้ดูจงใจไปหน่อยมั้ย’

หลินเยวียนตอบ “ครับ”

เขารับน้ำใจของกู้ซีมาด้วยความยินดี

บนโลกนี้มีใครบ้างที่จะปฏิเสธไอศกรีมกับพุดดิงเยลลี่ล่ะ

กู้ซีผ่อนลมหายใจ

ดูท่าหลินเยวียนจะชอบกินพุดดิงเยลลี่มาก

ใช่แล้ว เหมือนว่าเขาจะชอบกินไอศกรีมด้วย แต่ครั้งก่อนตนถึงกับกล้าแย่งเขากินไอศกรีมอีก…

อยู่ดีไม่ว่าดีซะแล้ว

กินข้าวเสร็จ ก็ถึงช่วงบ่าย

หลินเยวียนกับกู้ซีช่วยเพื่อนร่วมชั้นอัดทำนองเปียโนต่อไปจนถึงเย็น ในที่สุดพวกเขาก็ทำทำนองเปียโนของทุกคนสำเร็จ

ทุกคนต่างก็กล่าวขอบคุณกันยกใหญ่

หลังจากที่ทุกคนออกไป กู้ซีก็นั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้

วุ่นวายมาทั้งวัน เธอเหนื่อยจนแทบไม่ไหว เพื่อให้หลินเยวียนสบายสักหน่อย เธอจึงแย่งงานส่วนมากมาทำ

แต่เมื่อคิดว่าในครั้งนี้ความสัมพันธ์กับหลินเยวียนก้าวหน้าขึ้นมาอีกสักหน่อย กู้ซีก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีก ออกแรงกำหมัดแน่น

“อดทนไว้

จะรีบร้อนไม่ได้!”

กู้ซีให้กำลังใจตนเอง การทำให้พ่อเพลงยอมรับเป็นหนทางอันยาวไกล กู้ซีอดทนกับเรื่องนี้มาก

ขณะเดียวกันในบริษัทสตาร์ไลท์

จู่ๆ ซุนเย่าหั่วซึ่งกำลังเตรียมตัวเลิกงานก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างบอกไม่ถูก

“ใครบอกว่าเจียงขุยจะลงมืออีกแล้ว”

ซุนเย่าหั่วคิดว่าตนเองประจบได้อย่างไร้เทียมทาน ความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวก็คือตอนที่เผชิญหน้ากับเจียงขุย

จวบจนวันนี้เขายังไม่ลืมภาพที่เจียงขุยซื้อชานมสารพัดรูปแบบมาให้หลินเยวียน

“คู่แข่งตัวฉกาจ”

ซุนเย่าหั่วก็เค้นกำปั้นแน่นเช่นกัน

……………………………………………………….

เรื่องกระบี่เทพสังหารเวอร์ชันต้นฉบับมีประมาณหนึ่งล้านห้าแสนตัวอักษร ส่วนเวอร์ชันปรับปรุงโดยระบบกลับทำให้เป็นแปดเล่ม มีทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนตัวอักษร เพราะการแนะนำโลกเซียนกำลังภายในของฉบับปรับปรุงนั้นละเอียดกว่า มีทั้งการลบทิ้งและเพิ่มเติม เพียงพอให้หลินเยวียนส่งตีพิมพ์ติดต่อกันได้เกินครึ่งปี…

ต่างกับปรินซ์ออฟเทนนิส

ครั้งนี้หลินเยวียนต้องลงมือด้วยตนเอง

โชคดีที่ความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียนนั้นสูงมาก

พักผ่อนมาทั้งคืน วันต่อมาก็ไปเรียนที่วิทยาลัย

คลาสเรียนแรก เป็นวิชาของอาจารย์ที่ปรึกษา

อัตราการเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง ปรากฏการณ์การโดดเรียนนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทว่ามีเพียงคลาสเรียนของของอาจารย์ที่ปรึกษา ที่เหล่านักศึกษาไม่เคยขาดเรียนต่อให้ต้องฝ่าลมฝ่าฝนมาก็ตาม

ช่วยไม่ได้

อาจารย์ประจำสาขาคนอื่นอาจจำชื่อนักศึกษาไม่ได้ ตอนเช็กชื่อมีคนบีบเสียงสักหน่อยแล้วขานตอบก็ได้แล้ว

แต่งานในแต่ละวันของอาจารย์ที่ปรึกษาก็คือพูดคุยกับนักศึกษาในเซค ในเซคมีนักศึกษากี่คนก็รู้จักดีประหนึ่งเป็นนิ้วมือของตนเอง ใครก็อย่าได้คิดจะมาเช็กชื่อแทนเพื่อน

เมื่อถูกอาจารย์ประจำวิชาเพ่งเล็ง อย่างมากก็แค่ถูกปรับตก แต่การถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเพ่งเล็งนั้นต่างออกไป

“คืออย่างนี้”

ก่อนที่จะเริ่มเรียน อาจารย์ที่ปรึกษามองไปยังนักศึกษาที่นั่งอยู่ “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพูดกันไว้แล้วใช่มั้ยว่าในการประเมินประจำปีของปีสอง ทุกคนต้องเขียนเพลงออกมา เดิมทีวางแผนว่าจะให้เวลาพวกคุณถึงปลายเดือนหน้า แต่ไม่นานมานี้วิทยาลัยมีกฎใหม่…”

นักศึกษาต่างเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย

การประเมินของวิทยาลัยเกี่ยวโยงไปถึงผลการเรียนและโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยน ทุกคนย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา

“ขยายเดดไลน์ไปอีกหนึ่งเดือน”

อาจารย์ที่ปรึกษายกนิ้วขึ้น “กำหนดส่งของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเดือนมิถุนา ผู้ตรวจไม่ได้มีแค่ในวิทยาลัยเรา ขณะเดียวกันก็จะมีคนจากข้างนอกที่บริษัทบันเทิงส่งมาด้วย รายละเอียดว่าเป็นบริษัทไหนกำลังเจรจากันอยู่ ถ้าพวกคุณผลงานดีจนบริษัทถูกใจ การเซ็นสัญญาโดยตรงก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้…”

จ๊อกแจ๊กๆ!

ทั้งชั้นเรียนคึกคักขึ้นมาทันที

ถ้าหากมีการตัดสินจากคนบริษัทบันเทิงในการประเมินประจำปีการศึกษา ความสำคัญของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น!

ทุกคนพยายามกันขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ

ไม่ใช่เพื่ออนาคตที่ดีหลังจากเรียนจบหรอกหรือไง

ในการประเมินของปีการศึกษาครั้งนี้ ถ้าผลงานสามารถทำให้คนจากบริษัทบันเทิงประทับใจได้ ก็เท่ากับก้าวข้ามอุปสรรคนับไม่ถ้วนแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปได้ในก้าวเดียว!

ชั่วขณะนั้นเอง

ทุกคนล้วนแต่ดีอกดีใจ

หลินเยวียนเองก็รู้สึกดีใจ

ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงตัวต่อโลกภายนอก

“เดี๋ยวเธอลองฟังเพลงของฉันหน่อยสิ…”

“แอกคอม[1]ของฉันยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย…”

“พวกเราแบ่งกันดู ช่วยกันออกความเห็นดีกว่า”

“เพลงนี้ของฉันเขียนเสร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว รอโอกาสมาตลอด ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเอามาใช้ตอนประเมินประจำปีการศึกษา แต่คนจากบริษัทบันเทิงมาก็ต่างออกไปแล้ว ฉันต้องหยิบเพลงนี้ออกมา!”

“…”

เพื่อนในชั้นเรียนพูดคุยกัน

เพื่อนในชั้นเรียนล้วนแต่ชื่นชอบหลินเยวียน ต่างคนต่างกันแย่งกันพูด “เรื่องเรียบเรียงเพลงของฉันยังขาดเปียโนท่อนหนึ่ง หลินเยวียนนายเป็นคนหนึ่งที่ฝีมือเปียโนดีที่สุดในเซคเรา ฉันว่านายเก่งกว่าเด็กสาขาเครื่องบรรเลงที่มาช่วยอีก นายมาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”

“อื้ม”

หลินเยวียนพยักหน้า

เขายังคงพูดน้อยเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่เพื่อนๆ ที่มาขอความช่วยเหลือต่างก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที รีบขอบอกขอบใจกันยกใหญ่

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบในตัวหลินเยวียน

ภายนอกเขาดูท่าทางไม่สนใจหรือคบค้าสมาคมกับใคร ปกติแล้วก็ไม่เห็นใครมาหยอกล้อกับเขา คล้ายกับว่าเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมมากคนหนึ่ง

แต่เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนมีเรื่องเดือดร้อน เขาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทุกครั้ง

อย่างหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งก่อน อย่างการขอให้เขาช่วยเรื่องเรียบเรียงเพลงจนสำเร็จ ใช้คำพูดที่ทั้งชั้นเรียนเห็นพ้องต้องกันก็คือ

นี่มันหลินเยวียนมาก

นี่ก็คือสไตล์และจุดเด่นของหลินเยวียน เมื่อไหร่ที่เจอปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมา อย่างน้อยผู้หญิงหลายคนในเซคก็พูดกันแบบนี้

……

หลินเยวียนไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนกระตือรือร้นชอบช่วยเหลือ แต่คนในชั้นเรียนดีกับเขามากทีเดียว

เมื่อก่อนตอนที่อาศัยในหอพักของวิทยาลัย เพื่อนร่วมห้องก็โอนอ่อนผ่อนปรนตามกิจวัตรประจำวันของเขาตลอด

ฉะนั้นแล้วคำขอของทุกคน หลินเยวียนล้วนตอบรับทั้งหมด อีกทั้งหลังจากลังเลอยู่สามวินาที ก็ตัดสินใจว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องคิดเงินจะดีกว่า

ใจกว้างสักครั้งน่ะ!

อีกหลายวันต่อจากนั้น เขาก็ช่วยอัดทำนองบรรเลงเปียโนให้เพื่อนร่วมชั้นมาตลอด

เป็นงานหนักครั้งหนึ่งเลย

เพราะทำนองเปียโนไม่ได้เป็นสิ่งที่อัดไปครั้งเดียวแล้วจบ ระหว่างการอัดเสียงนั้นยากที่จะเลี่ยงปัญหา หลินเยวียนต้องพูดคุยและปรับแก้กับเพื่อนๆ ซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็เสนอความเห็นของตนเองบ้าง

แน่นอนละ

ต้องใช้ความเห็นของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเป็นหลัก ถึงยังไงนั่นก็เป็นผลงานของพวกเขาเอง

เมื่อยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้แล้ว ทุกๆ วันหลินเยวียนแทบจะเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องอัดเสียงกับห้องเปียโนของวิทยาลัย แม้แต่เวลาที่ไปชมรมจิตรกรรมก็ลดน้อยลง

และในวันที่สามที่หลินเยวียนช่วยเพื่อนร่วมชั้นทำดนตรีประกอบ

หลินเยวียนก็พบกับกู้ซีที่ห้องเปียโนโดยบังเอิญ

“คุณนี่เอง!”

กู้ซีเห็นหลินเยวียน ก็พลันเต็มตื้นขึ้นมา ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรทักทายอีกฝ่ายว่าอย่างไร

เรียกพ่อเพลง ก็แปลกไปหน่อย

เรียกท่านเทพ ก็โอเวอร์ไปหน่อย

เรียกหลินเยวียน ก็สนิทสนมเกินไปหน่อย

คิดไปคิดมา เธอก็ทำได้แค่เอ่ยปากหยั่งเชิง “เพื่อนนักเรียนหลิน…”

หลินเยวียนพยักหน้า ก่อนจะเดินผ่านเธอไป

ทุกครั้งที่เจอกู้ซี ก็ไม่เคยมีเรื่องดี รีบหลบออกไปให้ห่างเข้าไว้เป็นดี

“เพื่อนนักเรียนหลิน!”

กู้ซีตะโกนออกมาอย่างตกประหม่า

หลินเยวียนไม่ได้หันหลังกลับไป เพียงแต่หยุดฝีเท้าลง “มีอะไรครับ”

กู้ซีพูดอย่างกระอักกระอ่วน “คือว่า…มีเรื่องอะไรที่ฉันทำได้ คุณบอกฉันได้เลยนะ…”

ช่วงนี้กู้ซีกังวลมาก

เธอครุ่นคิดหาวิธีเข้าใกล้หลินเยวียนมาตลอด

หลินเยวียนมาที่ห้องเปียโนน้อยครั้งมาก เธอจะออกตัวเข้าไปหาก็มองออกว่าจงใจเกินไป หนำซ้ำยังจะพลอยให้อีกฝ่ายไม่พอใจด้วย ดังนั้นเธอจึงลังเลอยู่นาน

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า กลับไปยังห้องเปียโน

คนที่ห้องเปียโนในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นจากวันก่อนๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว

หนึ่งในนั้นเห็นหลินเยวียนเดินมา ก็พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ “หลินเยวียน พวกเราก็อยากขอให้นายช่วยอัดเสียงเปียโน เข้าใจว่าหลายวันมานี้นายช่วยทุกคนเยอะมาก ถ้านายไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไรนะ”

หลินเยวียน “…”

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งชั้นเรียนก็จะเฮละโลกันมาหาเขา

หากเป็นเวลาปกติ หลินเยวียนก็มีเวลาช่วยพวกเขาอยู่หรอก

แต่ปัญหาในตอนนี้คือตนยังมีภารกิจค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมที่ยังทำไม่สำเร็จ ถ้าวันๆ เอาแต่แช่อยู่ในห้องเปียโนกับห้องอัดเพลง ความคืบหน้าของภารกิจนั้นก็คงยืดเยื้อได้ง่าย

แต่ถึงอย่างนั้น หลินเยวียนก็เข้าใจเหตุผลที่ทุกคนมาหาถึงที่แบบนี้

หากวัดกันตามฝีมือการเล่นเปียโน ร้อยละ 99 ของคนจากสาขาเครื่องบรรเลงที่มาช่วยนั้นไม่ได้มีฝีมือถึงระดับเชี่ยวชาญแบบตน

จริงๆ ด้วย

เจอกู้ซีทีไร ตนก็จะโชคร้าย

เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเห็นว่าหลินเยวียนลังเล ก็แค่นหัวเราะ “เอาเถอะๆ เป็นแบบนี้ต่อไปหลินเยวียนเหนื่อยตายแน่ พวกเราไปให้คนสาขาเครื่องบรรเลงช่วยเถอะ”

พวกเขาพูดพลางเตรียมตัวเก็บของเดินออกไป

เดิมทีที่ทุกคนมาก็รู้สึกขัดแย้งกันอยู่ในใจ ด้านหนึ่งก็อยากให้หลินเยวียนช่วย อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากรบกวนหลินเยวียนมากเกินไป

คนมากมายขนาดนี้มาขอให้ช่วย หลินเยวียนก็วุ่นวายตัวเป็นเกลียวแล้ว

“เดี๋ยวก่อน”

หลินเยวียนหวนนึกการเอาใจใส่ที่เพื่อนร่วมหอพักมีต่อตน รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่คอยดูแลตน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว

ทุกคนชะงักไปชั่วขณะ “แต่พวกเรามีกันตั้งหลายคน…”

หลินเยวียนไม่ได้ตอบ แต่กลับเดินไปที่ปากประตู มองกู้ซีซึ่งยังไม่ได้เดินไปจากระเบียงทางเดิน

ไม่รู้ว่ากู้ซีกำลังคิดอะไร กำลังยืนเหม่ออยู่กับที่

“โอ้โหแม่เจ้าโว้ย”

“นั่นมันกู้ซีไม่ใช่เหรอ”

“เทพธิดาเปียโนในตำนาน!”

“จะเจอกี่ครั้งก็รู้สึกว่าสวยมากเลย”

“ถ้าได้กู้ซีมาช่วยอัดทำนองเปียโนได้ก็คงดี…”

“เพ้อไปแล้ว กู้ซีเป็นคนที่เธอจะไปเรียกมาได้หรือไง อีกอย่างฉันรู้สึกว่าฝีมือหลินเยวียนก็ไม่ได้ด้อยกว่ากู้ซีเลย”

“เทพธิดาก็เย่อหยิ่งกันทั้งนั้น กู้ซียิ่งหยิ่งเข้าไปใหญ่ ท่าทางแบบนั้นก็หมายความว่าคนไม่สนิทเข้าใกล้ไม่ได้หรอก”

“…”

เมื่อเห็นกู้ซี ฝูงชนต่างก็กระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น

กู้ซีเป็นคนดังของวิทยาลัย สาขาประพันธ์เพลงและสาขาเครื่องบรรเลงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเหล่านี้ของหลินเยวียนย่อมรู้จักเทพธิดาเปียโนผู้โด่งดังอย่างกู้ซี ถึงขั้นรู้จักบุคลิกเย่อหยิ่งทระนงตนของเธอด้วย

และขณะที่ผู้คนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้นเอง

จู่ๆ หลินเยวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่วยหน่อยได้มั้ย”

เมื่อได้ยินเสียงของหลินเยวียน กู้ซีเงยหน้าขึ้นมามองทันที

เพื่อนๆ รอบตัวหลินเยวียนตะลึงงัน

อะไรเนี่ย

หลินเยวียนถึงกับกล้าเอ่ยปากให้กู้ซีช่วยเลยเหรอ

เอาเถอะ

นี่มันหลินเยวียนมากๆ

ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน

แต่ขณะที่ซาบซึ้งใจ ทุกคนก็รู้สึกขบขัน หลินเยวียนน่าจะคิดว่ากู้ซีกระตือรือร้นชอบช่วยคนเหมือนกับตนเองล่ะมั้ง?

หลินเยวียนใสซื่อบริสุทธิ์จังเลยนะ

กู้ซีจะไปตอบตกลงได้ยังไงล่ะ

เดิมทีเธอก็มีนิสัยที่ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้อยู่แล้ว แถมยังไม่ไว้หน้าใครด้วย เธอไม่ได้รู้จักคนสาขาประพันธ์เพลงพวกนี้ซะหน่อย อยู่ๆ ไปเรียกคนเขามาช่วย ต้องโดนปฏิเสธกลับมาพร้อมกับเศษหน้าที่ป่นเป็นผงอย่างแน่นอน

ผู้คนคิดแบบนั้น รู้สึกผิดอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน เทพธิดาเปียโนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสุดแสนเย่อหยิ่งก็พยักหน้าอย่างแรง น้ำเสียงระคนความตื่นเต้น

“ได้สิ!”

ขณะนั้น นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงงุนงงไปตามกัน ถึงกับนึกสงสัยว่ากำลังเจอกู้ซีตัวปลอม ไหนบอกว่าทระนงตนไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ไง?

บ้าบอ!

ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้เอาซะเลย!

……………………………………………..

[1] แอกคอม มาจากคำว่า accompaniment คือเสียงเพลงคลอหรือทำนองที่ใส่ประกอบกับทำนองหลัก เช่นเสียงนักร้อง หรือเสียงเครื่องดนตรีหลัก

การฝึกซ้อมที่ซุนเย่าหั่วลงทุนลงแรงไปเป็นเวลายาวนานก็ผลิดอกออกผลงดงาม

เขากับหลินเยวียนกินข้าวกลับมา ใช้เวลาสองชั่วโมง ก็อัดเพลงกุหลาบแดงเสร็จอย่างเป็นทางการ

เมื่อส่งเพลงให้เหล่าโจว เรื่องที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับบริษัทจะจัดการแล้ว

ตกเย็น

ช่วงเวลาเลิกงาน

รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วซึ่งคืนฟอร์มมาแล้ว ก็กลับมากระตือรือร้นดังเดิม ขับรถพาหลินเยวียนกลับที่พัก

“แล้วเจอกันครับ”

หลินเยวียนโบกมือ

เขาอาบน้ำแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ขึ้นไปนอนบนเตียง ยังเหลือเวลาอีกสักพันก่อนจะถึงเวลานอน หลินเยวียนจึงเอ่ยเรียกระบบ “ก่อนหน้านี้นายบอกว่าสั่งทำนิยายครั้งแรกลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ใช่มั้ย”

ระบบตอบ “ใช่”

หลินเยวียนขบคิดอย่างหนัก

ไม่กี่วันก่อนเขาได้รับเงินเดือน

ในบัญชีมีเงินทั้งหมดประมาณห้าล้าน

ตนต้องการสั่งทำนิยายราคาเท่าไหร่ดีล่ะ

ว่ากันว่าเงินมาเท่าไหร่ ของก็ไปเท่านั้น หลินเยวียนอยากได้ราคาถูก แถมอยากได้สินค้าสั่งทำที่ดีมากพอ

สุดท้ายแล้ว

หลินเยวียนก็กัดฟันพูด “ฉันจ่ายสี่ล้าน นายต้องทำนิยายที่ราคาเต็มในระบบแปดล้านออกมา”

“โฮสต์ยืนยันสั่งทำ?”

“รบกวนรีบหน่อย ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”

ขั้นตอนการทำใช้เวลาสิบกว่าวินาที ในห้วงสำนึกของหลินเยวียนมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น “ระบบหักเงินเรียบร้อย ยินดีด้วยโฮสต์ ได้นิยายเทพเซียนกำลังภายในฉบับปรับปรุงจากระบบเรื่องกระบี่เทพสังหาร[1]!”

ขณะเดียวกันนั้นเอง

หลินเยวียนก็ได้รับข้อความว่าทางธนาคารได้หักเงินไปสี่ล้านหยวน สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการปลอบประโลมก็คือ

ท้ายที่สุดแล้วระบบนำเงินนี้ไปบริจาค

หลินเยวียนรู้สึกดีใจขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็ไม่ใช่นิยายที่ดัดแปลงมาจากอนิเมะอีก ดูจากราคาแล้ว นิยายเรื่องกระบี่เทพสังหารนับว่าไม่เลวเลย!

ต้องอธิบายตรงนี้สักหน่อย

ราคาของผลงานที่ระบบตั้งขึ้นนั้นไม่ได้แสดงถึงคุณค่าที่แท้จริงของผลงานเสมอไป ได้โปรดอย่าคิดมาก

เงินห้าแสนของหลินเยวียนสามารถสั่งทำเพลงหนึ่งเพลงจากระบบ แต่คุณค่าที่แท้จริงของเพลงนี้ไม่ใช่แค่ห้าแสนหยวน

กล่องสมบัติทองแดงก็เป็นหลักการหนึ่ง

กล่องใบนี้เปิดออกมาได้เพลงฮิตทั่วไปอย่างเพลงลูกโป่ง

กล่องใบนั้นกลับเปิดออกมาได้ผลงานระดับโบว์แดงอย่างเพลงกุหลาบแดง

ถึงคุณค่าของบทเพลงจะไม่เท่ากัน แต่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เปิดออกมาจากกล่องสมบัติทองแดงทั้งนั้น

เรื่องพวกนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

มีคนที่ใช้เงินหยวนเดียวแล้วเปิดได้สกินหมัดมังกรลีซิน[2]

บางคนจ่ายเงินไปหลายพันหยวนแต่กลับจับได้สกินกระจอกงอกง่อยมาเป็นกอง

“เดี๋ยวนะ”

จู่ๆ หลินเยวียนก็เอะใจได้ว่าตนคล้ายกับมองข้ามเรื่องหนึ่งไป

นิยายเซียนกำลังภายใน?

นิยายประเภทนี้ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมสักเท่าไหร่บนบลูสตาร์

เพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกับตลาดนิยายของบลูสตาร์ หลินเยวียนทำการสำรวจมาแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นโลกที่เชื้อชาติและสีผิวแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก แต่ถึงอย่างไรก็ถูกครอบงำด้วยการปกครองแบบตะวันออก ดังนั้นพวกเทพนิยายต่างๆ บนบลูสตาร์จึงมีความหลากหลายมาก และผลงานเหล่านี้ก็เป็นต้นกำเนิดและพื้นฐานของการผลิตนิยายเซียนกำลังภายใน

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ…

เรื่องราวเหล่านี้ ส่วนมากมักจะหยุดอยู่ที่เทพนิยายปรัมปรา น้อยนักที่จะมีคนสร้างสรรค์งานต่อจากเรื่องต้นฉบับเหล่านี้

นิยายเซียนกำลังภายในใหม่ล่าสุด ก็คงต้องไล่ย้อนกลับไปแปดสิบปีก่อน!

ในตอนนั้นมีนิยายเรื่องหนึ่งชื่อว่า ‘มหาศึกเซียนปะทะมาร’ ก็เป็นประเภทเทพเซียนกำลังภายใน

สถานะของผลงานชิ้นนี้ คล้ายคลึงกับเรื่องตำนานมือกระบี่ขุนเขาซู่[3] ซึ่งมีอิทธิพลต่อผูู้คนจำนวนมาก!

ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือหลังจากนั้นก็ไม่มีนิยายเทพเซียนกำลังภายในที่ยอดเยี่ยมปรากฏขึ้นมาอีกเลย

ผ่านไปนานแสนนาน นิยายแนวนี้ก็ไม่มีใครสนใจ

ถ้าอย่างนั้นแนวผจญภัยในต่างโลกจะจัดว่าเป็นอะไรล่ะ

หลินเยวียนนิยามแนวผจญภัยในต่างโลกว่าแฟนตาซี

แฟนตาซีต่างโลก

นิยายประเภทซึ่งเป็นที่นิยมในฉินโจวแม้จะไม่ถึงกับลอกตามเซตติงแฟนตาซีฝั่งตะวันตกของโลกมาทั้งชุด แต่ค่อนไปทางรังสรรค์โลกขึ้นมาใหม่เสียมากกว่า

อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ก็คือเรื่องราวแฟนตาซีที่เกิดขึ้นโดยมีฉากหลังเป็นโลกตะวันออกในนิยายออนไลน์เหล่านั้น ต่อให้ในเรื่องราวจะสอดแทรกเซตติงเทพนิยายแฟนตาซีบ้างเป็นครั้งคราว โดยทั่วไปก็หยุดเพียงแค่นั้น

แต่ถึงอย่างไรแฟนตาซีกับเทพเซียนกำลังภายในก็แตกต่างกัน

อย่างแรกนั้นเซตติงเกิดขึ้นได้ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นกงล้อวิญญาณหรือสงคราม ถ้าหากมีความสมเหตุสมผลในตัวเองก็นับเป็นเรื่องราวที่ดีได้

ส่วนอย่างหลังได้ซึมซับกลิ่นอายจากเทพนิยายปรัมปรา ตำนานพื้นบ้านและมุขปาฐะต่างๆ รวมไปถึงคัมภีร์โบราณซึ่งได้รับการสืบทอดกันมา เมื่อพิจารณาจากสไตล์แล้วย่อมมีความแตกต่างกัน

แน่นอนละ

ตำนานพื้นบ้านและมุขปาฐะแต่ละประเภทที่หลงเหลือจากอดีตมาถึงปัจจุบันเกิดขึ้นไม่รู้จบ การวิวัฒนาการของทั้งเต๋าและพุทธรุ่งเรืองถึงเพียงนั้น ผลงานจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่งผ่านต่อมาสามารถกลายเป็นรากเหง้าของนิยายเทพเซียนกำลังภายในได้ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีกระแสความฮ็อตฮิตของเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารเมื่อแปดสิบปีก่อนได้หรอก

ด้วยฉากหลังเช่นนี้

นิยายเทพเซียนกำลังภายในอย่างกระบี่เทพสังหารจะตีตลาดไหม

หลังจากที่หลินเยวียนเกิดความสงสัยอันสั้นเพียงชั่วขณะ ในใจก็ค่อยๆ มีคำตอบ

ต้องเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้บนโลกก็เป็นเหมือนกัน

หลังจากเรื่องตำนานมือกระบี่ขุนเขาซู่ของหวนจูโหลวจู่ นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในก็ไม่เป็นที่พูดถึงอีก

จนกระทั่งผ่านไปร้อยปีหลังจากนั้น นิยายออนไลน์เฟื่องฟู ถึงได้มีนิยายอย่างเรื่องการเดินทางอันพร่าเลือน ทำให้แนวเทพเซียนกำลังภายในกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง

หลินเยวียนถึงขั้นรู้สึกว่าระบบจงใจ

ตลาดขาดแคลนประเภทไหน ระบบก็ส่งเขาไปบุกเบิก

ก่อนหน้านี้คนเขียนแนวการแข่งขันกีฬาแค่ไม่เท่าไหร่ ระบบก็ให้เรื่องเจ้าชายลูกสักหลาดกับตน

ในตอนนี้เป็นเพราะไม่ค่อยมีคนเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน ระบบก็ให้เรื่องกระบี่เทพสังหารกับตนมาอีก

บนโลกนี้มีรากฐานของผลงานแนวกำลังภายใน หลายปีก่อนหน้านี้ แนวกำลังภายในเฉิดฉายสุดๆ

กอปรกับมีพื้นฐานจากเรื่องมหาศึกเทพปะทะมารด้วย

ยังขาดก็แค่ผลงานที่สดใหม่มากพออย่างกระบี่เทพสังหาร ซึ่งไม่ทิ้งเอกลักษณ์ความเป็นเทพเซียนกำลังภายในมาดึงดูดตลาด…

‘เริ่มอ่าน’

หลินเยวียนคิดในใจ ชั่วพริบตาเดียวเนื้อหาของเรื่องกระบี่เทพสังหารทั้งเรื่องก็ปรากฏขึ้นในห้วงสำนึกของเขา

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”

ก็เหมือนกับเจ้าชายลูกสักหลาด

เรื่องกระบี่เทพสังหารที่ระบบมอบให้ ถูกปรับแก้แล้วเรียบร้อย หรือที่เรียกว่าฉบับปรับปรุงโดยระบบ

พล็อตเรื่องไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร

ที่สำคัญก็คือด้านรายละเอียดบางอย่าง

ถึงอย่างไรเรื่องกระบี่เทพสังหารก็เขียนขึ้นในยุคหลังกว่านั้น

นิยายเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากเรื่องการเดินทางอันพร่าเลือนประมาณสองปี ดังนั้นจึงนับว่าได้ปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในกับผู้อ่านมาบ้างแล้ว

ทว่านักอ่านบนโลกนี้ไม่มีการปูพื้นฐานจากเรื่องการเดินทางอันพร่าเลือน

ฉะนั้นความเข้าใจต่อนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในของพวกเขาก็หยุดอยู่ที่ยุคของเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารเมื่อแปดสิบปีก่อน

เรื่องกระบี่เทพสังหารฉบับปรับปรุงโดยระบบก็อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลนี้

ในเนื้อเรื่องเน้นการถ่ายทอดและนำเสนอแนวคิดของความเป็นเทพเซียนกำลังภายใน เผยให้เห็นถึงโลกเทพเซียนกำลังภายในซึ่งดูประหนึ่งมีอยู่จริงโดยละเอียด และทำให้นักอ่านเข้าใจนิยายเทพเซียนกำลังภายในได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น!

“ฝีมือของระบบไม่เลวเลยนะเนี่ย”

หลินเยวียนเอ่ยชมเชยสักประโยคอย่างห้ามไม่อยู่

ระบบตอบ “ระบบเลือกฝีมือในการเขียนของลั่วหยาง[4]จากจักรวาลนับไม่ถ้วนมาเป็นต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นนิยายครั้งก่อนหรือว่ากระบี่เทพสังหาร ก็ใช้ความสามารถของเขามาปรับแก้การเขียนทั้งนั้น”

“ลั่วหยางคือใคร”

“นักเขียนคนหนึ่งในโลกคู่ขนาน”

หลินเยวียนพยักหน้า ยอมรับในฝีมือของนักเขียนท่านนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ ยังไงซะตนก็ไม่ได้แซ่ลั่ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา

………………………………………………………

[1] กระบี่เทพสังหาร (《诛仙》) เขียนโดยเซียวติ่ง

[2] สกินหมัดมังกรลีซิน เป็นสกินหนึ่งในเกม League of Legends (LOL)

[3] ตำนานมือกระบี่ขุนเขาซู่ เขียนโดยหวนจูโหลวจู่ หรือนามจริงคือหลี่ซ่านจี

[4] ลั่วหยางเป็นชื่อตัวเอกจากนิยายเรื่องแรกของนักเขียนเรื่องนี้ มีบทบาทเป็นนักเขียน

“วันนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ”

อู๋หย่งเดินเข้ามาด้านข้างหลินเยวียน รู้สึกว่าหลินเยวียนเฉื่อยชาอยู่สักหน่อย “ใครมากวนประสาทว่าที่มือทองของชั้นสิบเราเนี่ย”

หลินเยวียนมีสี่เพลงที่ยอดดาวน์โหลดทะลุหนึ่งล้านแล้ว

เหลืออีกหนึ่งเพลง ก็จะได้ขึ้นเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงอย่างเป็นทางการ และนั่นก็คือมือทองของบริษัทนั่นเอง

คนทั้งแผนกประพันธ์เพลงรู้เรื่องนี้ ฉะนั้นก็จะมีคนแซวหลินเยวียนเป็นบางครั้งบางคราว

“สองล้าน…”

หลินเยวียนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความชอกช้ำ

“อะไรนะ”

“สองล้าน…”

อู๋หย่งจนคำพูด “สองล้านอะไร”

หลินเยวียนก็ไม่ตอบ แค่พูดซ้ำว่า “สองล้าน…”

อู๋หย่งไม่สนใจเขา

ตลอดทั้งช่วงสายนี้ หลินเยวียนท่าทางสับสน คล้ายคลึงกับซุนเย่าหั่วก่อนหน้านี้

และอีกด้านหนึ่ง

เหล่าโจวก็บุกไปยังแผนกตรวจสอบ

หัวหน้าของแผนกตรวจสอบ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “หัวหน้าโจว แวะมาเยี่ยมเหรอ ช่วงเที่ยงมีเวลาว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”

“กินบ้าอะไรล่ะ”

เหล่าโจวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แผนกตรวจสอบของพวกนายมีคนไม่ทำตามกฎ เรื่องนี้เดิมทีฉันก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้อยู่หรอก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ใครทำเพลงกุหลาบแดงหลุดออกไป”

อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ “เดี๋ยวฉันจะไปต่อว่า…”

โจวรุ่ยหมิงถลึงตาใส่ “นายก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่การต่อว่า”

อีกฝ่ายพยักหน้ารัว “ฉันรู้ๆ ฉันจะไปลงโทษให้หนัก!”

โจวรุ่ยหมิงกล่าว “ไม่พอ”

รอยยิ้มของอีกฝ่ายค่อยๆ หายไป ค่อยชี้นิ้วขึ้นด้านบน เบาเสียงพูดลง “หัวหน้าโจว จะพูดไปเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”

“ไล่ออก”

โจวรุ่ยหมิงเอ่ยเสียงเรียบ

อีกฝ่ายทำสีหน้าไม่ถูก “ถ้านายอยากได้แบบนั้นจริงๆ ฉันก็ต้องไปแจ้งกับเบื้องบนก่อน”

โจวรุ่ยนั่งลงที่เก้าอี้ “ก็แล้วแต่”

อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ

ไม่นาน โทรศัพท์ของโจวรุ่ยหมิงก็ดังขึ้น เขากดรับสายทันที ปลายสายส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจ “คุณคิดจะทำอะไร”

“ทางแผนกประพันธ์เพลงมีคนละเมิดกฎบริษัทครับ”

“ผมอนุญาต”

“งั้นผมไล่เขาออกได้ไหมล่ะ”

“คุณแน่ใจ”

“ผมเองก็ลำบากใจเหมือนกัน”

“แล้วแต่คุณ”

โทรศัพท์วางไปแล้ว คงจะโกรธจัดน่าดู

โจวรุ่ยหมิงเหลือบมองหัวหน้าแผนกตรวจสอบ “นายแจ้งไปแล้ว หลังจากนี้ฉันจะแจ้งบ้าง คงไม่ต้องให้ฉันพูดเยอะล่ะมั้ง”

“ได้”

อีกฝ่ายหัวเราะ ยกนิ้วโป้งขึ้น “สมแล้วที่เป็นมือหนึ่งของแผนกประพันธ์เพลง หนักแน่นอาจหาญ เรื่องนี้นายจะโทษฉันก็ไม่ได้นะ ถึงยังไงฉันก็แค่ทำไปตามคำสั่ง ในเมื่อนายคุยแล้ว งั้นฉันก็จะไล่เจ้านี่ออกแล้วนะ”

“ไปละ”

โจวรุ่ยหมิงหันหลังเดินออกไป

เมื่อกลับไปยังห้องทำงาน ผู้ช่วยก็ปรี่เข้ามาอย่างระแวดระวัง “หัวหน้า คุณคงไม่ได้ไปงัดกับคนระดับสูงในบริษัทมาหรอกใช่มั้ย”

“ก็ไปมาแล้วน่ะสิ”

โจวรุ่ยหมิงยิ้มขื่นกล่าว “ก่อนหน้านี้ไปงัดกับพวกเขามาเพราะพ่อเพลง ครั้งนี้ทำไปเพื่อเซี่ยนอวี๋ หัวหน้าอย่างฉันนี่มันน่าสงสารจริงๆ เลย”

“หัวหน้าเจ๋งสุดๆ!”

ผู้ช่วยกล่าวยิ้มเอ่ย “ผมเพิ่งจะให้ทางห้องอัดส่งเพลงกุหลาบแดงเวอร์ชันหยาบมาให้ตามที่คุณสั่งแล้ว หัวหน้าฟังก่อนเถอะ”

“ได้”

โจวรุ่ยหมิงสวมหูฟัง นั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ ฟังเพลงกุหลาบแดง ผลคือฟังไปแค่ครึ่งเพลง เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“มีอะไรเหรอครับ”

ผู้ช่วยมองเขาด้วยความแปลกใจ

โจวรุ่ยหมิงตบโต๊ะเต็มแรง จนผู้ช่วยตกใจกระโดดโหยง จากนั้นก็ได้ยินโจวรุ่ยหมิงหัวเราะอย่างมีความสุข “คุ้มค่า!”

……

ช่วงเที่ยง

เหล่าโจวเรียกหลินเยวียนไปยังห้องทำงาน กล่าวกลั้วหัวเราะ “คนที่ทำเพลงหลุดถูกไล่ออกไปแล้ว ฉันรับรองกับนายได้ว่า หลังจากนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก!”

“ครับ”

หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกดีใจ

เหล่าโจวถูมืออย่างระแวดระวัง “นายอยากกินกาแฟมั้ย”

หลินเยวียนตอบเสียงแข็งทันควัน “ไม่กินครับ!”

เหล่าโจวชะงักไปชั่วขณะ

ไม่กินก็ไม่กิน ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือไง

เขากระแอมเสียงหนึ่ง “งั้นเอาชามาแก้วหนึ่งแล้วกัน ชาที่ดีที่สุด ฉันเก็บไว้”

หลินเยวียนพยักหน้า

เหล่าโจวชงชาด้วยตนเอง

หลังจากชงชาเสร็จ เหล่าโจวก็ถูมืออย่างระแวง “เพลงกุหลาบแดงนี่นายเพิ่งเขียนเหรอ”

“ครับ”

หลินเยวียนเป่าน้ำชา

หลังจากนี้เขาจะไม่ดื่มกาแฟอีก เปลี่ยนไปกินชา

ดื่มชาทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง

เหล่าโจวนั่งพิงอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจเฉิบ “เพลงนี้ดีมาก”

หลินเยวียนเป่าควันที่ปากถ้วยชา “ฟู่…ฟู่…”

เหล่าโจวเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่าหลินเยวียนสนใจตนหรือไม่ เขานั่งยิ้มอย่างมีความสุขอยู่คนเดียวก็ได้

ในตอนนั้น

โทรศัพท์ของหลินเยวียนก็ดังขึ้น

จ้าวเจวี๋ย “เถาหรานพักงานหนึ่งเเดือน งานเดือนนี้ของจินซูอวี่ก็แคนเซิลทั้งหมด ส่วนทางแผนกตรวจสอบ เหล่าโจวไปจัดการแล้ว ฉันไม่ได้ออกหน้า ถ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีกบอกฉันได้”

“ขอบคุณครับพี่จ้าว”

“เรื่องเล็กน้อยน่ะ”

หลินเยวียนวางโทรศัพท์

เหล่าโจวยิ้มเอ่ย “เสี่ยวจ้าวดีกับนายมากเลย เธอเป็นเจ้านายสายตรงของเถาหราน เป็นหัวหน้าของผู้จัดการทั้งหมด มีจ้าวเจวี๋ยอยู่ เถาหรานก็เป็นแค่ลูกกระจ๊อก”

หลินเยวียนไม่ได้พูดอะไร

วันต่อมา ข่าวที่จินซูอวี่กับเถาหรานถูกเบื้องบนลงโทษอย่างเด็ดขาดก็แพร่สะพัดออกไปทั้งบริษัท หัวข้อซุบซิบตั้งแต่เช้าของทุกแผนกก็คือ

สรุปแล้วสองคนนี้ไปล่วงเกินเทพเซียนท่านไหน

ในตอนนั้นหลินเยวียนก็กำลังช่วยซุนเย่าหั่วอัดเพลงอยู่

วันนี้ซุนเย่าหั่วฟอร์มดีมาก ผลลัพธ์จากการอัดเพลงทำให้หลินเยวียนพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น อีกไม่นานเพลงนี้ก็จะอัดจนเสร็จสมบูรณ์

ระหว่างพักจากการอัดเพลง

ซุนเย่าหั่วก็ขยับเข้ามาหาหลินเยวียน เขาซึ่งปกติแล้วจะช่างพูดและร่าเริง ครั้งนี้กลับดูแปลกชอบกล “ขอบคุณมาก”

“ขอบคุณอะไรครับ”

“ขอบคุณที่เลือกฉัน”

หลินเยวียนไม่รู้ว่าซุนเย่าหั่วพบเจออะไรมาบ้าง เขารู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายแปลกไป “ผมให้พี่ร้องเพลงนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

ซุนเย่าหั่วนิ่งอึ้งไป

ชั่วขณะนั้น เขาก็หวนนึกย้อนไปถึงภาพฉากที่ตนได้พบกับหลินเยวียนเป็นครั้งแรกที่บริษัท ในตอนนั้นความรู้สึกก็ซับซ้อนขึ้นมา

จริงด้วย

สำหรับคนอย่างรุ่นน้องแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นแสนจะง่ายดาย เดิมทีก็เลือกให้ตนร้องอยู่แล้ว จะเปลี่ยนไปให้คนอื่นได้ยังไงล่ะ

“งั้นนายก็ไม่ได้ทำเพื่อฉัน…”

หลินเยวียนพูดด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่ายังไงครับ”

ซุนเย่าหัวร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เรื่องที่จินซูอวี่และเถาหรานถูกบริษัทลงโทษ รู้กันไปทั่วทั้งบริษัท ทุกคนถกเถียงกันว่าเป็นอิทธิพลของใคร ตนกลับรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับรุ่นน้องโดยตรง ฉะนั้นซุนเย่าหั่วจึงคิดมาตลอดว่าหลินเยวียนโกรธแทนตน

ในตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วเห็นจะเป็นการเข้าใจผิด

แต่ว่า แบบนี่สิถึงจะเป็นเซี่ยนอวี๋!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซุนเย่าหั่วก็ยิ้มอย่างผ่อนคลายพลางเอ่ยว่า “รุ่นน้อง ฉันพานายไปเลี้ยงข้าวที่โรงอาหารผู้บริหารระดับสูงดีกว่า เมื่อวานได้คูปองพิเศษในโรงอาหารผู้บริหารระดับสูงมา เราไปกินได้สักมื้อ!”

“ได้ครับ!”

หลินเยวียนดวงตาเป็นประกายวาบ

อาหารของโรงอาหารผู้บริหารระดับสูงนั้น รสชาติดีกว่าโรงอาหารธรรมดามาก ครั้งก่อนจ้าวเจวี๋ยพาหลินเยวียนไปกินที่นั่นครั้งหนึ่ง ทำให้หลินเยวียนหวนนึกถึง น่าเสียดายที่เขาเข้าไปไม่ได้

ไม่สิ

ถึงเข้าไปได้ก็กินไม่ได้ อาหารที่นั่นแพงเกินไป ถ้าไม่มีคนเลี้ยง ใครจะไปกินไหว

“ไปกันเถอะ”

ซุนเย่าหั่วช่วยหลินเยวียนเปิดประตูอย่างชำนิชำนาญ

ซุนเย่าหั่วสาบานอยู่ในใจว่า ต้องมีสักวันที่เขายืดอดในวงการได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เผชิญหน้ากับคนอย่างเถาหรานได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม!

ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เขาไม่ต้องประจบประแจงใคร!

…ประจบแค่เซี่ยนอวี๋คนเดียว!

……………………………………………..

เป็นอีกหนึ่งวันทำงาน

ระหว่างทางไปยังบริษัท หลินเยวียนก็โทรศัพท์หาซุนเย่าหัว “รุ่นพี่ครับ อีกเดี๋ยวผมจะเข้าบริษัท พี่ไปรอผมที่ห้องอัดเสียง หรือจะไปที่แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบก็ได้ครับ”

“ได้”

ซุนเย่าหั่วตอบ

หลังจากวางสาย หลินเยวียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกชอบกล คนที่ก่อนหน้านี้เคยช่างจำนรรจา วันนี้กลับพูดน้อยกว่าปกติมาก

ผ่านไปสิบนาที

หลินเยวียนมายังแผนกประพันธ์เพลง ทันใดนั้นก็เห็นซุนเย่าหั่วนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเล็กหน้าประตู จึงเอ่ยถาม “ซ้อมเพลงไปเป็นยังไงบ้างครับ”

“ฉัน…”

ซุนเย่าหั่วคล้ายกับมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา

หลินเยวียนคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ซ้อมมา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปลอบ จู่ๆ หน้าประตูก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา “อาจารย์เซี่ยนอวี๋อยู่หรือเปล่าครับ”

“มีอะไรเหรอครับ”

หลินเยวียนมองไปยังคนที่ถาม

เขาเป็นผู้ชายสวมแว่นตาท่าทางสุขุม เขายิ้มบางให้กับหลินเยวียน “ผมชื่อเถาหราน คุณคงเป็นอาจารย์เซี่ยนอวี๋ใช่มั้ยครับ ดูอายุน้อยกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย พวกเราไปคุยกันที่ร้านกาแฟชั้นบนได้มั้ยครับ”

“แป๊บนึงนะครับ”

หลินเยวียนบอกกับซุนเย่าหั่ว “เดี๋ยวผมมาหานะครับ”

“อืม นายไปทำธุระก่อนเถอะ”

ซุนเย่าหั่วเงยหน้าขึ้น ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา

เถาหรานกวาดตามองซุนเย่าหั่วด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะยิ้มให้หลินเยวียนอีกครั้ง “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ เชิญทางนี้”

หลินเยวียนพยักหน้า

อีกฝ่ายพาหลินเยวียนไปยังร้านกาแฟชั้นบน เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะเลี้ยงเครื่องดื่ม ก็พลอยให้หลินเยวียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“ผมแนะนำตัวอีกครั้งก็แล้วกัน”

ผู้ชายท่าทางสง่างามออกตัวพูด “ผมชื่อเถาหราน เป็นผู้จัดการของจินซูอวี่นักร้องในบริษัท ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากขอเพลงจากคุณ เพลงกุหลาบแดงที่คุณเขียนช่วงนี้ ซูอวี่ชอบมากครับ”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ผมยังไม่ได้ปล่อยเพลง”

เถาหรานยิ้ม “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าพวกผมรู้เรื่องเพลงนี้ได้ยังไง ประเด็นสำคัญคือซูอวี่ของเราอยากร่วมงานกับคุณมาก เขายังแอบเป็นแฟนคลับของคุณด้วยนะครับ มักพูดถึงชื่อเสียงของคุณกับผมอยู่บ่อยๆ ครั้งนี้ได้ร่วมงานกับคุณ เขาตั้งหน้าตั้งตารอมากเลยครับ”

“ขอโทษครับ”

หลินเยวียนพูด “เพลงนี้ผมให้คนอื่นไปแล้ว”

ใบหน้าของเถาหรานยังคงประทับรอยยิ้มดังเดิม “เท่าที่ผมรู้ นักร้องที่คุณเลือกในครั้งนี้คือซุนเย่าหั่วใช่มั้ยครับ ซุนเย่าหั่วเพิ่งเดบิวต์ ฐานแฟนคลับไม่ได้ดีมาก พูดตามตรงก็คือทำให้ผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างกุหลาบแดงเสียเปล่า แน่นอนว่าผมได้ถามความเห็นเขาแล้ว เขาบอกว่าพวกคุณยังไม่ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เพราะงั้นเรื่องนี้มาคุยกับคุณก็ได้แล้ว…และจินซูอวี่ก็เป็นเป็นนักร้องแถวหน้าที่บริษัทอุ้มชูมาเป็นอย่างดี เพลงเดียวกันให้คนละคนร้อง ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนกันเลยนะ เชื่อว่าคุณเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี”

“นักร้องแถวหน้า?”

หลินเยวียนส่ายหน้า ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป

อะไรฟระเนี่ย นักร้องแถวหน้าร้องแล้วไม่ดีหรือไง

เถาหรานคิดว่าหลินเยวียนปฏิเสธทันควันเช่นนี้ ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ คุณมีความต้องการยังไงเสนอมาได้เลยครับ ขอแค่ผมจัดการได้ผมจะตกลงทุกเรื่อง…”

หลินเยวียนยืนกรานหนักแน่น “นักร้องแถวหน้าไม่ได้ครับ”

เถาหรานไม่เข้าใจสารบบความคิดของหลินเยวียน นักประพันธ์เพลงทุกคนชอบร่วมงานกับนักร้องแนวหน้า ทำไมพอเป็นคุณแล้วถึงบอกว่านักร้องแถวหน้าไม่ได้ซะล่ะ

หรือว่าอยากได้ระดับราชาเพลง?

งั้นทำไมยังเลือกซุนเย่าหั่วอยู่อีกล่ะ

เขาพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “พวกผมสามารถลดรายได้ส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดได้ ตามหลักแล้วไม่มีขั้นตอนนี้ แต่เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของคุณไว้ พวกผมยินดีถอยให้ อีกอย่างทางพวกเราก็จะโอนเงินให้พวกคุณเป็นการส่วนตัว คุณเรียกราคามาได้ สักสองล้านเป็นไงครับ นี่เป็นการตกลงกันส่วนตัว ไม่ผ่านช่องทางบริษัท!”

พูดง่ายๆ ก็คือ

พวกเขาจะเพิ่มเงินให้!

หลินเยวียนชะงักฝีเท้าลง

อีกฝ่ายผ่อนลมหายใจลง เป็นเพราะราคาจริงด้วย!

ต้องจดเอาไว้ หลังจากนี้ยังมีประโยชน์มากโข

จุดอ่อนของเซี่ยนอวี๋…ความโลภ!

เขาผุดยิ้มอีกครั้ง พูดอย่างได้ใจเต็มเปี่ยม “ตอนนี้พวกเรามาเจรจากันเรื่องรายละเอียดราคากันเถอะครับ อาจารย์เซี่ยนอวี๋เชิญนั่ง”

“ไม่ใช่ครับ”

หลินเยวียนหันไปพูดกับเถาหราน “ผมแค่อยากถามว่า ทางแผนกตรวจสอบ ใครเป็นคนปล่อยเพลงหลุดออกมา บอกชื่อผมได้มั้ยครับ”

“อาจารย์เซี่ยนอวี๋”

สีหน้าของเถาหรานเคร่งขรึมขึ้นมา

สีหน้าของหลินเยวียนก็ขึงขังเช่นกัน “คุณอาจคิดว่านี่บริษัทของตัวเองไม่เป็นไร แต่ถ้าวันนี้เขาปล่อยเพลงหลุดไปให้พวกคุณได้ วันข้างหน้าก็อาจปล่อยเพลงหลุดออกไปข้างนอกได้เหมือนกัน ให้คนแบบนี้มาตรวจสอบเพลงของผม ผมไม่ไว้ใจ”

“พวกเราคิดซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”

เถาหรานลุกขึ้นยืน สีหน้าออกจะย่ำแย่อยู่สักหน่อย

“ถ้าคุณไม่บอกผม ผมก็จะไปถามเอง”

หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ต่อสายหาเหล่าโจวต่อหน้าเถาหราน “แผนกตรวจสอบมีคนแอบปล่อยเพลงผมให้นักร้องในบริษัทครับ”

เหล่าโจวงงงันไปชั่วครู่ “ฮะ?”

หลินเยวียนพูดสั้นๆ “ตรวจสอบมั้ยครับ”

เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “คนที่มีอิทธิพลกับแผนกตรวจสอบแบบนี้ อย่างน้อยต้องเป็นนักร้องแถวหน้าของบริษัทขึ้นไป เบื้องหลังอาจมีการอนุมัติจากคนระดับสูงบางคน เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบกับนาย ไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรพวกเขามาก เดี๋ยวฉันไปโวยก็เรียบร้อยแล้ว จัดการเรื่องนี้ให้นายได้แน่”

หลินเยวียนยังคงพูดสั้นๆ “ตรวจสอบมั้ยครับ”

ทันใดนั้นเหล่าโจวก็พูดขึ้นมาอย่างดุดัน “ตรวจสอบสิ! ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว! ตรวจสอบให้ถึงที่สุด! เอาน้ำพักน้ำแรงของแผนกประพันธ์มาล้อเล่นแบบนี้! ไม่ว่าจะเป็นใครฉันจะเอามันออกให้ได้!”

“โอเคครับ”

หลินเยวียนวางสาย

เหล่าโจววางโทรศัพท์ พูดขึ้นอย่างหัวเสีย “ไอ้บ้าที่ไหนมันมาหาเรื่องกับเซี่ยนอวี๋วะเนี่ย ฉันต้องไปคุยกับเบื้องบนสักยกแล้ว”

ผู้ช่วยตกอกตกใจ “ล่วงเกินเซี่ยนอวี๋?”

เหล่าโจวพยักหน้า “เซี่ยนอวี๋มีผลงานใหม่ใช่มั้ยล่ะ ปล่อยเพลงก็ไม่บอกฉันก่อน แถมท่าทีตอนที่แจ้งฉันเมื่อกี้นี่มันยิ่งกว่าพ่อเพลงซะอีก เด็กคนนี้นี่มันเอาใจยากเหมือนพ่อเพลงขึ้นทุกวัน”

ผู้ช่วยถามอย่างระมัดระวัง “คุณโกรธเหรอครับ”

เหล่าโจวหัวเราะลั่น “ฉันจะไปโกรธอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ไปล่วงเกินเขาสักหน่อย อีกอย่างเซี่ยนอวี๋ก็วัยรุ่นคนหนึ่ง ไม่เหมือนคนแก่อย่างพวกเรา ยังหนุ่มยังแน่นก็ไฟแรงเลือดร้อนไม่ใช่หรือไง!”

“…”

ในร้านกาแฟ

เมื่อได้ยินหลินเยวียนคุยโทรศัพท์ เถาหรานก็หน้าถอดสีทันที

แต่หลินเยวียนกลับยังไม่หยุด ไม่ได้ปรายตามองเถาหรานด้วยซ้ำ แล้วโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย พูดประโยคเดิม “แผนกตรวจสอบมีคนแอบปล่อยเพลงผมให้นักร้องในบริษัทครับ”

จ้าวเจวี๋ยตอบ “ฉันจัดการเอง”

หลินเยวียนวางสาย ก่อนจะเดินไปยังแคชเชียร์

พนักงานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบหยวนค่ะ”

หลินเยวียนพูด “แค่แก้วของผมครับ”

พนักงานเหลือบมองเถาหรานซึ่งแววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล กระแอมครั้งหนึ่ง “หกสิบหยวน…”

‘โหดร้ายมาก’

หลินเยวียนกลอกตาขณะจ่ายเงิน พลางลอบพึมพำในใจ

แต่เขากลับไม่รู้ว่า เพื่อที่จะประจบประแจงเขา เถาหรานได้สั่งกาแฟที่แพงที่สุดของที่นี่

เมื่อกลับไปถึงแผนกประพันธ์เพลง หลินเยวียนก็เห็นซุนเย่าหั่วนั่งอยู่หน้าประตู สีหน้าเศร้าสร้อยคอตก ท่าทางน่า สงสารจับใจ

เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ซ้อมเพลงได้แล้วใช่มั้ยครับ”

ซุนเย่าหั่วเงยหน้าขึ้นมองหลินเยวียน ขอบตาแดงระเรื่อ “หา?”

หลินเยวียนพูด “พรุ่งนี้อัดเพลง”

พูดจบ หลินเยวียนก็กลับไปยังที่นั่งของตน

ซุนเย่าหั่วซึ่งนั่งอยู่หน้าประตูตะลึงงันไปหลายวินาที อยู่ๆ น้ำตาก็หลั่งรินออกมา โค้งคำนับต่ำให้แผนกประพันธ์เพลง ก่อนจะเข้าไปหลบในห้องน้ำ

ซุนเย่าหั่วโทรศัพท์หาผู้จัดการ ปาดน้ำตาเอ่ยว่า “เพลงกุหลาบแดง ยังให้ผมร้อง”

“เซี่ยนอวี๋ไม่ได้ตอบตกลงเถาหรานเหรอ?”

“อื้ม”

ผู้จัดการเงียบงันไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า “นี่มันพ่อเพลงที่ไหน พ่อบังเกิดเกล้าชัดๆ เลย…”

…………………………………………………….

“ท่านเทพ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

ผู้คนมากมายเข้ามาห้อมล้อมและไต่ถามหลินเยวียนด้วยความเป็นห่วง

หลินเยวียนจำได้ว่าพวกเขาเป็นนักศึกษาในชมรมจิตรกรรม ก็พยักหน้าเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไร

เขาเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนผลักตน รู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายมีแรงเยอะมาก

เจี่ยนอี้ยืนอึ้งไป

ซย่าฝานเองก็งงเหมือนกัน

แน่นอนเขารู้ว่าหลินเยวียนเป็นที่เอ็นดูของทุกคน

ทว่าหลินเยวียนแค่ถูกคนผลักนิดเดียว ก็ดึงดูดกองทัพที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้มาได้ ไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอ

เห็นเพียงสีหน้าราวกับเห็นผี น่ากลัวว่ากำลังนึกสงสัยในชีวิตอยู่

อันที่จริง สวี่ชางเข่าอ่อนจนกำลังจะยืนไม่อยู่แล้ว

ถูกสายตาเหี้ยมโหดกระหายเลือดตั้งหลายคู่จ้องมองมา ใครจะไปรับไหวล่ะ

“ทำอะไรกันน่ะ”

อาจารย์ในวิทยาลัยถึงจะมาช้า แต่ก็มาถึงในที่สุด

สวี่ชางที่ประหนึ่งถูกล้อมด้วยรังต่อในตอนนี้น้ำตารื้นขึ้นมา แทบอยากวิ่งเข้าไปกอดและหอมแก้มอาจารย์สักสองฟอด เขารู้สึกว่าถ้าอาจารย์มาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็อาจไม่เห็นซากของเขาแล้ว!

น่า! กลัว! เกิน! ไป! แล้ว!

คนพวกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ต่อให้เป็นใครมายืนตรงนี้ โดนกลุ่มคนมืดฟ้ามัวดินจ้องเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก็ไม่มีทางอยู่ในสภาพดีกว่าสวี่ชางเท่าไหร่หรอก ในตอนนี้สวี่ชางถึงขั้นหวนนึกถึงอาหารรสมือแม่ ถึงแม้ความคิดของเขากับสภาวการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันสักนิด

“ไม่มีอะไรครับ”

จงอวี๋หัวเราะออกมา เขาไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวโจกพาคนสร้างความวุ่นวาย โชคดีที่ทุกคนควบคุมตัวเองได้ดีมาก ไม่ได้เข้าไปรบราฆ่าฟันกันเพียงเพราะไอ้งั่งคนหนึ่งผลักหลินเยวียนหรอก “พวกเรามาเชียร์สาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ”

อาจารย์งงงัน “สาขาการประพันธ์เพลง?”

เจี่ยนอี้กระซิบว่า “พวกผมอยู่สาขาศิลปะการแสดง”

จงอวี๋ก้มงุดมองปลายเท้าอย่างประดักประเดิด นักศึกษาสาขาจิตรกรรมต่างเกาหัวแกร็กๆ กันยกใหญ่ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอย่างเงียบเชียบ

อาจารย์เหลือบมองจงอวี๋ ไม่ได้พูดจาให้มากความ โบกมือไล่คน “ยังมีเกมครึ่งหลังอีกใช่มั้ย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว แข่งบาสทุกปีจะต้องตีกันตลอด เห็นว่าที่นี่เป็นสนามรบหรือไงฮะ”

พูดจบ อาจารย์ก็เดินออกไป

สวี่ชางตามหลังอาจารย์ออกไปติดๆ

อาจารย์หันหลังมา “แล้วตามผมมาทำไมเนี่ย”

สวี่ชางเหลือบมองสายตาซึ่งแม้ว่าจะค่อยๆ สลายโต๋กันไปแล้ว แต่ก็ยังคอยส่งสายตาตักเตือนอยู่เป็นบางครั้งคราว พูดเสียงสั่นเครือ “ผมเห็นอาจารย์แล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเลยล่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

ฉันต้องอยู่ที่นี่เหรอ ถ้าเกิดถูกรุมทึ้งฉีกเป็นชิ้นๆ จะทำยังไงล่ะ

หลินเยวียนอะไรนี่คงไม่ได้เป็นลูกมาเฟียใต้ดินของวิทยาลัยหรอกใช่มั้ย

ก็เหมือนกับในหนังต่อสู้ หลินเยวียนแค่ออกคำสั่ง นักเลงหัวไม้ทั้งวิทยาลัยก็พร้อมพุ่งเข้าใส่เขาแล้วหรือเปล่า?

สวี่ชางรู้สึกว่าตนได้ค้นพบความจริงของด้านมืดในวิทยาลัยแล้ว

อาจารย์ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ไม่ต้องตามผมมา”

สวี่ชางส่ายหน้ารัว “ผมเป็นคนที่ตามหัวใจไปครับ”

อาจารย์ “…”

สรุปแล้วความขัดแย้งในครั้งนี้ก็เป็นอันสงบลง

แต่ถึงกระนั้น เมื่อถึงการแข่งขันในครึ่งหลัง สวี่ชางเห็นได้ชัดว่าฟอร์มตกไปบ้าง แทบจะแข่งจนจบในสภาพคล้ายกับคนกำลังละเมอ

มือขวาของเขาจับลูกบาส เมื่อนึกได้ว่าตนใช้มือข้างนี้ผลักหลินเยวียน ก็เกิดความกระวนกระวายขึ้นมา

ท้ายที่สุดแล้ว สาขาศิลปะการแสดงก็คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันบาสเกตบอลครั้งนี้ไป

เพื่อนร่วมทีมไม่ได้กล่าวโทษสวี่ชาง เพราะเพื่อนร่วมทีมก็เป็นเหมือนกับสวี่ชาง จนถึงตอนนี้ก็ยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้

ส่วนหลินเยวียนยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม

เขากลับไปบนอัฒจันทร์ นั่งแทะเมล็ดแตงโมดังเดิม

ซย่าฝานถามเหตุผล หลินเยวียนก็อธิบายว่า “พวกเขาเป็นเพื่อนที่ชมรมจิตรกรรมน่ะ”

“เพื่อนที่ชมรมจิตรกรรม?”

คนที่ชมรมจิตรกรรมมีน้ำใจกันขนาดนี้เลยเหรอ

หลินเยวียนไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นเจี่ยนอี้มาถามซักไซ้อีก เขาก็ตอบไปแบบนั้น

ทั้งสองค่อยๆ ยอมรับเรื่องนี้

คงจะเป็นเพราะความน่าเอ็นดูของหลินเยวียนได้เพิ่มเลเวลขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรตั้งแต่เด็กจนโต หลินเยวียนก็เป็นคนที่ทุกคนเอ็นดูแบบนี้อยู่แล้ว

หลินเยวียนกลับรู้สึกเศร้าใจอยู่นิดหน่อย

เขารู้สึกว่าตนเป็นนักเลงอ่อนหัดที่ถูกผลักนิดเดียวก็ล้มแล้ว และถ้าอยากเปลี่ยนสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงทำให้ระบบปรับปรุงสภาพร่างกายของตน เพราะฉะนั้นค่าความโด่งดังจึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่รู้ว่าซุนเย่าหั่วฝึกเพลงไปถึงไหนแล้ว

……

ห้องอัดเสียงสักแห่งของสตาร์ไลท์

ซุนเย่าหั่วก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมร้องเพลง

ที่บอกว่าเก็บตัวฝึกซ้อมไม่ได้พูดออกมาพล่อยๆ ตั้งแต่อัดเสียงครั้งแรก จนกระทั่งวันนี้ นอกจากกินข้าวและนอน ซุนเย่าหั่วก็อยู่ในห้องอัดเสียงตลอด

บริษัทนั้นให้อัดเสียงฟรี

แต่หากใช้ห้องอัดเสียงฝึกซ้อมระยะยาวจะต้องเก็บค่าใช้จ่าย

และค่าใช้จ่ายนี้ ซุนเย่าหั่วจ่ายไปหลายวันติดๆ แล้ว เพื่อให้ร้องเพลงกุหลาบแดงได้ดี

“พักก่อนเถอะ ร้องได้สมบูรณ์แบบพอแล้ว”

เจ้าหน้าที่ห้องอัดเสียงเอ่ยพลางยิ้มขื่น เขาแทบไม่เคยเห็นนักร้องที่ฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้

ซุนเย่าหั่วพยักหน้า

ทันทีที่เดินออกไปจากห้องอัดเสียง ก็เห็นคนที่เดินมาตรงหน้า เสื้อสูทและกระเป๋าหนัง สวมแว่นตากรอบทอง “ซุนเย่าหั่ว ใช่มั้ย”

“พี่เถา สวัสดีครับ!”

ซุนเย่าหั่วพูดด้วยความเคารพ

ผู้ชายตรงหน้ากล่าว “คุณรู้จักผม?”

ซุนเย่าหั่วยิ้มแย้มอย่างรู้งาน “ผมจะไม่รู้จักพี่เถาได้ยังไงครับ ในบริษัทนอกจากซีอีโอแล้วก็มีพี่เถานี่แหละครับที่มีอิทธิพลมากที่สุด แม้แต่รุ่นพี่จินซูอวี่ที่โด่งดังมากในตอนนี้ก็เป็นคนที่คุณปั้นมาเองกับมือนี่ครับ!”

“อยู่เป็น”

เถาหรานพยักหน้า ใบหน้าฉายแววชื่นชม “ในเมื่อคุณรู้จักผม งั้นผมก็เข้าประเด็นเลยแล้วกัน ซูอวี่ของเราชอบเพลงกุหลาบแดง”

รอยยิ้มของซุนเย่าหั่วนิ่งค้างในชั่วพริบตา

เถาหรานกลับเผยรอยยิ้มสุขุม “เห็นว่าคุณอยู่เป็นแบบนี้ ก็คงเข้าใจกฎล่ะมั้ง ตั้งแต่ตอนนี้เพลงกุหลาบแดงจะเป็นเพลงของจินซูอวี่ของเราแล้ว แต่ความพยายามซ้อมเพลงมานานขนาดนี้ของคุณพวกเราเองก็รับรู้ จะไม่ปล่อยให้คุณทำไปเสียเปล่า ประเดี๋ยวจะชดเชยให้คุณด้วยอีเวนต์ แล้วในคอนเสิร์ตของซูอวี่เดือนหน้า ก็จะเชิญคุณไปเป็นแขกพิเศษ”

“พี่เถา…”

ซุนเย่าหั่วเสียงแหบพร่า

เถาหรานเลิกคิ้ว “ยังไม่พอใจ? ก็ได้ สามแสน ผมจะโอนเข้าบัญชีคุณ บวกกับเงื่อนไขที่ผมเพิ่งพูดไป น่าจะมากพอที่จะชดเชยความเสียหายของคุณได้แล้ว นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ผม คุณมีเรื่องอะไร หลังจากนี้แจ้งชื่อผมได้เลย”

เถาหรานหยิบนามบัตรออกมาจากอกเสื้อ

ซุนเย่าหั่วไม่ได้รับนามบัตรมา เงียบงันอยู่นานกว่าจะพูดขึ้นมา “นี่เป็นเพลงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจครับ เพราะผมยังไม่ได้เซ็นสัญญากับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ พวกคุณไปคุยกับเขาก็แล้วกันครับ…”

“อะไรนะ”

เถาหรานหลุดหัวเราะ “คุณซ้อมมานานขนาดนี้ แต่ไม่ได้แม้แต่เซ็นสัญญา อาจารย์เซี่ยนอวี๋ก็จริงๆ เลย แต่ถึงแม้ว่าคุณจะยังไม่ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่เงื่อนไขเมื่อครู่ก็นับรวมไปด้วย คุณรับนามบัตรนี้ไปแล้วกัน คุณคงจะรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง”

เขาถือนามบัตรไว้ในมือ

ซุนเย่าหั่วก้มหน้ารับนามบัตรมาด้วยสองมือ

เถาหรานโบกมือ หันหลังเดินจากไป

ซุนเย่าหั่วมองตามเงาหลังของเขา กำนามบัตรในมือแน่น ขยำจนเป็นก้อน จนแม้แต่ข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาวเล็กน้อย

“เป็นอะไร”

เจ้าหน้าที่ห้องอัดเสียงเดินผ่านมาจึงไต่ถาม

ซุนเย่าหั่วฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”

เขาโยนนามบัตรลงถังขยะ แสยะยิ้มอย่างรังเกียจ “โชคร้ายจังวะ”

เจ้าหน้าที่ห้องอัดเสียงเห็นเงาหลังของเถาหราน คล้ายกับจะเข้าใจขึ้นมา จึงตบไหล่ของซุนเย่าหั่ว ทอดถอนใจพลางกล่าว “นี่เป็นกฎเกณฑ์ของวงการเรา ต่อให้นายจะโกรธแค่ไหนก็ต้องทำใจยอมรับ ฉันทำงานอยู่ที่ห้องอัดมาแปดปี…เขาคงจะให้ค่าปิดปากมากทีเดียวเลย มันกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วละ รับๆ ไปเถอะ ไม่ต้องน้อยใจ คนที่เศร้าอยู่คนเดียวก็คือตัวนายเอง”

“ถ้าผมต่อต้านจะเป็นยังไงเหรอ” ซุนเย่าหั่วถาม

เจ้าหน้าที่ห้องอัดเสียงมองซุนเย่าหั่ว ก่อนจะส่ายหน้าพลางเดินออกไป “รอให้ถึงตอนที่นายมีคุณสมบัติที่จะต่อต้านได้ก่อน แล้วค่อยถามคำถามพรรค์นี้เถอะ”

……………………………………………………

ตั้งแต่ที่ระบบนำเสนอโปรเจ็กต์จ่ายเงินสั่งทำ หลินเยวียนก็ไม่ได้รับภารกิจใหม่มานานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิยายซึ่งได้รับเป็นรางวัล

ในตอนนี้มีภารกิจด้านจิตรกรรมซึ่งกำลังดำเนินการอยู่

ภารกิจนี้ต้องการให้หลินเยวียนทำให้ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมแตะถึงหนึ่งพันคะแนน

แต่เขาน่าจะยังเหลือเวลาหนึ่งเดือนในการทำภารกิจให้สำเร็จ

ถึงอย่างไรก็แค่ขลุกอยู่ในชมรมจิตรกรรมของวิทยาลัย ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของค่าความโด่งดังก็เรียกได้เพียงว่าอยู่ในระดับกลาง

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หลินเยวียนจึงอยากเขียนนิยายเรื่องยาวต่อไป มีแค่สองตัวเลือก

ตัวเลือกแรก รอให้ภารกิจด้านจิตรกรรมสำเร็จ รับกล่องสมบัติ ดูว่าจับได้นิยายหรือไม่

ตัวเลือกที่สอง สั่งทำโดยตรงกับระบบ

ตัวเลือกแรกนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ถ้าเปิดออกมาไม่ได้นิยายจะทำยังไง

จากสถิติของกล่องสมบัติที่ผ่านมา คล้ายกับว่าอัตราส่วนที่จะเปิดได้เพลงนั้นมากที่สุด

ตัวเลือกหลังนั้นง่ายกว่า เพียงแค่ควักเงินจ่าย อย่างน้อยหลินเยวียนก็มีอิสระในการเลือกประเภท

เขาไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจ

ถึงอย่างไรเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก็เพิ่งจบลง นามปากกาน้อยๆ อย่างฉู่ขวงก็ต้องมีพักกันบ้าง

ช่วงเวลาต่อจากนี้ หลินเยวียนจะใช้เวลาเพลิดเพลินกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

ตอนกลางวันตั้งใจเรียน กินอาหารทั้งสามมื้อพร้อมกับเจี่ยนอี้และซย่าฝาน ช่วงว่างจากการเรียนก็รีบปรี่ไปสอนวาดภาพที่ชมรมจิตรกรรม…

หลินเยวียนชื่นชอบช่วงเวลาแบบนี้

วันเวลาเช่นนี้ดูคล้ายกับว่าน่าเบื่อ แต่ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นเหมือนเดิมไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง บางครั้งบางคราวก็มีกิจกรรมนอกหลักสูตรมาสอดแทรกอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่นการแข่งขันบาสเกตบอลที่เจี่ยนอี้เอ่ยถึงเมื่อเดือนก่อน

ก็เหมือนกับการตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งก่อน วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจัดกิจกรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่ละคณะต่างก็เข้าร่วมกันอย่างคึกคักมาก เพราะวิทยาลัยมักจะมีรางวัลกองโตที่ทำให้ไม่มีใครปฏิเสธได้ลง

นี่เป็นจุดเด่นของบลูสตาร์

ในสถานที่ซึ่งให้ความสำคัญกับศิลปะอย่างบลูสตาร์ ผลงานอันโดดเด่นในสถาบันการศึกษาจะถูกเก็บบันทึกไว้ ใครบ้างที่ไม่อยากสร้างเกียรติประวัติที่ดีที่สุดก่อนจบการศึกษา

หลินเยวียนเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยาก

หน้าที่การงานของเขามั่นคงมาก หัวหน้าในบริษัทก็เห็นความสำคัญของตนมาก

หลินเยวียนรู้สึกว่าหลังจากที่ตนเรียนจบน่าจะไม่มีความเสี่ยงว่าจะตกงานสักเท่าไหร่

ฉะนั้นการแข่งขันบาสเกตบอลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลินเยวียน

อันที่จริงต่อให้หลินเยวียนอยากเข้าร่วมการแข่งขัน ก็มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ

ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป น่ากลัวว่าเล่นบาสเกตบอลไปได้แค่ครึ่งเกม หลินเยวียนก็คงลงไปนอนแหม็บ และถูกคนหามส่งโรงพยาบาลแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นในสาขาก็ให้ความสำคัญกับการแข่งขันในครั้งนี้มาก จนเลือกนักบาสเกตบอลฝีมือดีของแต่ละเซคมา รวมเป็นทีมสำหรับร่วมประลอง แถมยังส่งทั้งสาขาการประพันธ์เพลงไปยังสนามกีฬา เพื่อเชียร์เหล่านักกีฬาสาขาการประพันธ์เพลงด้วย

น่าเสียดายที่เชียร์ไปได้ไม่ถึงสองวัน

สาขาการประพันธ์เพลงก็ตกรอบซะแล้ว

นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงที่เข้าร่วมการแข่งขันเดินคอตกออกไปอย่างเศร้าสร้อย

ผู้ชายซึ่งอยู่แถวหลังของหลินเยวียนพึมพำว่า “โชคไม่ดีเกินไปหน่อย รอบสองก็จับฉลากเจอสาขานาฏศิลป์เลย”

ตอนอยู่ปีหนึ่งก็เคยมีการจัดแข่งขันบาสเกตบอล ในตอนนั้นสาขานาฏศิลป์ก็ได้รางวัลชนะเลิศ

ทีมนี้ไม่มีใครอยากเจอในรอบแรกๆ หรอก แต่ดันวนมาเจอกับสาขาการประพันธ์เพลงซะได้

หลินเยวียนกลับไม่ได้รู้สึกอะไร

แน่นอนเขาเองก็รักในศักดิ์ศรีสาขาของตน ตัวอย่างเช่นหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งก่อน หลินเยวียนลงมือเองก็เพราะศักดิ์ศรีของสาขา

แต่ถึงอย่างไรคนสายศิลปะก็มีความถนัดเฉพาะทางของตน

กีฬาอย่างบาสเกตบอล สาขาการประพันธ์เพลงรับมือไม่ไหวจริงๆ

ทว่าถึงแม้สาขาการประพันธ์เพลงจะตกรอบไป เพื่อนๆ ร่วมสาขาก็ไม่ได้สนใจการแข่งขันอีก แต่หลินเยวียนกลับยังคงติดตามการแข่งขันต่อไป

ไม่ใช่เพราะเขาสนใจบาสเกตบอล

แต่เพราะเขาคอยเชียร์เจี่ยนอี้อยู่ในบรรดาผู้ชม

โดยเฉพาะการแข่งขันในช่วงบ่าย!

สาขาศิลปะการแสดงที่เจี่ยนอี้อยู่นั้น กำลังจะแข่งรอบชิงชนะเลิศกับสาขานาฏศิลป์!

สาขาศิลปะการแสดงของเจี่ยนอี้ฝีมือดีมาก ถล่มทีมอื่นมามากมาย หนึ่งในนั้นรวมไปถึงสาขาการขับร้องของซย่าฝานด้วย

ฉะนั้นตอนกินอาหารกลางวัน ซย่าฝานก็มองเจี่ยนอี้อย่างหัวเสีย “นายชนเพื่อนตัวเล็กตัวน้อยในสาขาการขับร้องของฉันซะยับเลยนะ!”

เจี่ยนอี้อมยิ้มตาหยี “ฉันก็เป็นเพื่อนตัวเล็กตัวน้อยของเธอเหมือนกันน้า”

ซย่าฝานหันไปมองหลินเยวียน “สาขาการประพันธ์เพลงเหมือนจะตกรอบไปแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า

เจี่ยนอี้ได้ยินเช่นนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา พูดพลางตบอก “สาขานาฏศิลป์เล่นสกปรก ตอนบ่ายพวกพี่จะล้างแค้นให้สาขาการประพันธ์เพลงของน้องเอง”

“ล้างแค้นให้ตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง”

ซย่าฝานกลอกตา “นายไม่ได้บอกเหรอว่าปีที่แล้วสาขาศิลปะการแสดงตกรอบก็เพราะสาขานาฏศิลป์ ปีนี้เลยอยากเอาคืน”

เจี่ยนอี้ “…”

อันที่จริงเขาตั้งสาขานาฏศิลป์ไว้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ดังนั้นเขาถึงถูมือรอเฝ้าการแข่งขันในช่วงบ่ายมานานแล้ว

……

การแข่งขันบาสเกตบอลตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะทีมที่ทะลุเข้าสู่รอบท้ายๆ นั้นแข็งแกร่งกันมาก โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสาขานาฏศิลป์และสาขาศิลปะการแสดงที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้ที่ชื่นชอบบาสเกตบอลในวิทยาลัยด้วย

ช่วงบ่าย

หลินเยวียนและซย่าฝานไปที่สนามกีฬาแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วงชิงที่นั่งแถวหน้าซึ่งมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว การแข่งขันของเจี่ยนอี้ พวกเขาย่อมต้องคอยให้กำลังใจเพื่อนรักอย่างเต็มที่

“เมล็ดแตงโม…ป็อปคอร์น…โคล่า…”

ทันทีที่ขึ้นมา ซย่าฝานก็เสนอขนมขบเคี้ยวให้หลินเยวียน

ชั่วขณะนั้น หลินเยวียนรู้สึกเหมือนตนอยู่ในโรงหนังมากกว่าสนามกีฬา

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

การแข่งกันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้ชมแทบจะนั่งเต็มความจุของสนามกีฬา มีทุกสาขาและทุกชั้นปี มีบางสาขาพากันมาอย่างเนืองแน่น ในสนามครึกครื้นเกินบรรยาย

“พวกเจี่ยนอี้ลงสนามแล้ว”

ซย่าฝานพูดพลางดื่มโคล่า

หลินเยวียนกำลังกินป็อบคอร์นเต็มปาก ตอบไปแค่ ‘อื้ม’ อย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ

หลังจากที่พิธีกรสาธยายเรื่อยเปื่อยไปสักพักหนึ่ง การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทั้งหลินเยวียนกับซย่าฝานต่างก็ไม่รู้เกี่ยวกับบาสเกตบอล

เสียงตะโกนและผิวปากของผู้คนโดยรอบนับไม่ถ้วนไม่ได้มีผลต่อการกินของทั้งสองคนเลย

ช่วงเวลาที่เหลือจากการกิน ทั้งสองก็เหลือบไปมองเจี่ยนอี้บ้าง แล้วก็หันไปมองคะแนน

“ผลแพ้ชนะเดายากแฮะ”

เมื่อกินจนอิ่มแล้ว ซย่าฝานก็ชักจะยุกยิกอยู่ไม่สุข

หลินเยวียนแทะเมล็ดแตงโมพลางพยักหน้า

มีคนปรบมือ พวกเขาก็ปรบมือตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อพบว่าเป็นการปรบมือหลังจากที่สาขานาฏศิลป์ทำแต้มได้ ทั้งสองก็เก็บมือลงเงียบๆ

“พักครึ่ง”

พิธีกรตะโกนลั่น

ทั้งสองทีมเริ่มพัก

หลินเยวียนถาม “จะเอาน้ำไปให้เจี่ยนอี้มั้ย”

ซย่าฝานส่ายหน้า “สาขาพวกเขาเตรียมน้ำไว้ลังนึงแล้ว…”

หลินเยวียนพยักหน้า ก้มหน้าก้มตาแทะเมล็ดแตงโมต่อไป

ทันใดนั้น ซย่าฝานก็ลุกพรวดขึ้นมา “สู้กันแล้ว”

หลินเยวียนนึกว่าเริ่มแข่งครึ่งหลังแล้ว

แต่ผลคือเมื่อเข้าเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าซย่าฝานถึงกับถกแขนเสื้อขึ้น พุ่งเข้าไปยังสนามกีฬา “กล้ารังแกเพื่อนฉัน คอยดูแม่จะอัดมันให้น่วมเลย!”

หลินเยวียนถึงตั้งสติได้ในตอนนั้น

ไม่ใช่ครึ่งหลังเริ่มแล้ว แต่สองทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทะเลาะกันแล้ว คล้ายกับว่าเหม็นขี้หน้ากันมาตั้งแต่ในเกมเมื่อครู่แล้ว

เขารีบลุกขึ้นยืน วิ่งตามเข้าไป

“เมื่อกี้นั่นมันท่านเทพไม่ใช่เหรอ”

ที่นั่งริมทางเดิน จงอวี๋นักศึกษาสาขาจิตรกรรมซึ่งกำลังดูการแข่งขันอยู่ก็ชะงักไป เขาผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นศิษย์เอกของหลินเยวียน ไม่น่าจะจำคนผิดหรอกมั้ง

“เฮ้ย”

นักศึกษาสาขาจิตรกรรมทั้งกลุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างจงอวี๋ก็พยักหน้าด้วยความงงงัน “ท่านเทพจริงด้วย”

ในสนามบาสเกตบอล

เจี่ยนอี้กำลังคลุกวงในกับคนอื่น เมื่อเห็นซย่าฝานกับหลินเยวียนก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “ซย่าฝานเธอไปคอยกันหลินเยวียนข้างๆ เร็ว”

“ก็ได้ ก็ได้…”

ชั่วขณะนั้นซย่าฝานถึงตั้งสติได้ ว่าหลินเยวียนร่างกายอ่อนแอมาก

เธอรีบดึงหลินเยวียนถอยหลัง ทว่าทั้งสองข้างก็ยังคงวุ่นวาย กำลังหลักของสาขานาฏศิลป์คนหนึ่งตรงเข้ามาผลักหลินเยวียน จนหลินเยวียนเซถอยหลังไปหลายก้าว และเกือบล้มลงกับพื้น

“ไอ้นี่ยังมาช่วยอีกเหรอ”

สวี่ชางจ้องหลินเยวียนเขม็ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต เขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจี่ยนอี้ ดังนั้นเขาเองก็รู้จักหลินเยวียน เพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกับอีกฝ่ายก็แค่นั้น

แต่จ้องไปจ้องมา สวี่ชางก็รู้สึกแปลกชอบกล

บรรยากาศผิดปกติไป

เขาหันไปมองรอบข้าง สีหน้าพลันชะงักค้าง ม่านตาหดวูบ

จู่ๆ สนามกีฬาอันโอ่โถงก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน สาขานาฏศิลป์อย่างพวกเขาเปรียบเสมือนเรือเล็กในห้วงมหรรณพกว้างใหญ่ ถูกกลุ่มคนมหาศาลปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา!

อากาศโดยรอบหนักอึ้ง

คนพวกนี้จ้องตนเขม็ง

สวี่ชางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เสียงของเขาสั่นเครือขึ้นมา ทำได้เพียงเค้นรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นแลดูย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ซะอีก

“มะ มะ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง…”

เพื่อนร่วมทีมมองไปยังสวี่ชาง แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ราวกับกำลังถามว่า สรุปแล้วนายไปทำอะไร คนถึงได้จ้องนายเยอะขนาดนี้

สวี่ชางเองก็สับสนเหมือนกัน

ฉันเป็นใคร…ฉันมาทำอะไรที่นี่

พี่ๆ ทุกท่าน นี่มันอะไรกันครับเนี่ย

ฉันก็แค่ผลักหลินเยวียนเบาๆ เองไม่ใช่เหรอ ทำไมพริบตาเดียวก็รู้สึกเหมือนจะโดนคนทั้งโลกหยุมหัวล่ะเนี่ย

………………………………………..

สำหรับนักอ่านแล้ว การจบของเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นไม่กะทันหัน เพราะในตอนจบของเล่มที่สี่ซึ่งวางขายในเดือนเมษายน แผนกบรรณาธิการก็ประกาศเรื่องที่ว่านิยายเรื่องนี้กำลังจะจบไปล่วงหน้าแล้ว ต่อให้บรรดานักอ่านจะยังตัดใจไม่ลงก็ตามแต่

ทุกคนกำลังอ่านกันอย่างได้อรรถรสอยู่เลย

แล้วมาบอกว่าหนังสือกำลังจะจบเนี่ยนะ?

นิยายขายดีแบบนี้ โดยทั่วไปมักจะเขียนสักสองสามล้านตัวอักษรขึ้นไป เพราะฉะนั้นแล้วถึงแม้นักอ่านจะไม่ได้รู้สึกว่าปุบปับ แต่ก็ยังไม่คุ้นชินนัก ความไม่คุ้นชินนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกทำใจไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม

ทว่าทำใจไม่ได้นี่สิถึงจะเป็นเรื่องปกติ

เพราะเรื่องราวของปรินซ์ออฟเทนนิสซึ่งเน้นเนื้อไม่มีน้ำนั้นเข้มข้นมาก ทุกฉบับนั้นเรียกได้ว่าพีคสุดๆ และในเล่มสุดท้ายนั้นเป็นการแข่งขันระดับประเทศชวนระทึกใจ นักกีฬาเทนนิสทีมโรงเรียนมัธยมชิงชุนกำลังต้อนรับการมาถึงของช่วงเวลาไคลแม็กซ์ที่สุดของพวกเขาในหนังสือ!

เนื้อเรื่องไม่ได้มีแนวโน้มเวิ่นเว้อออกทะเลเลย

นักเขียนจึงมีตอนจบอันสมบูรณ์แบบ

ตั้งแต่ที่ฉู่ขวงได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดของปู้ลั่ว และกลายเป็นที่พูดถึงจากผู้ที่ชื่นชอบเรื่องสั้นอย่างเป็นวงกว้าง เขาก็เป็นที่พูดถึงจากผู้ที่ชื่นชอบนิยายแฟนตาซีเยาวชนเพราะเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสเช่นกัน เวลาของทั้งสองอย่างนี้ห่างกันแค่เพียงวันเดียว

‘อ่านเล่มสุดท้ายจบรวดเดียวเลย!’

‘ถึงตอนจบจะสมบูรณ์แล้ว แต่พอเห็นว่าเป็นตอนสุดท้ายของปรินซ์ออฟเทนนิสก็รู้สึกโหวงๆ ขึ้นมา อาจเป็นเพราะตัวละครในหนังสืออยู่กับฉันมาเกือบครึ่งปี เหมือนกับอยู่ๆ พวกเขาก็จากไปไกลอย่างนั้นเลย’

‘ทำใจอ่านเรื่องนี้จบไม่ได้เลย’

‘เล่มก่อนๆ ยืมเพื่อนมาอ่าน แต่วันนี้พอเห็นว่านิยายจบแล้ว เลยซื้อเล่มก่อนๆ หน้ามายกชุดเลย เพราะผมกะว่าจะเก็บนิยายเซ็ตนี้ขึ้นชั้น ไม่แน่อาจกลับมาอ่านใหม่’

‘ผู้บุกเบิกแนวการแข่งขันกีฬา’

‘ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีวันนึงที่ฉันโดนนิยายแนวการแข่งขันกีฬาตกขนาดนี้ ถึงอ่านนิยายแล้วจะยังตีเทนนิสไม่ได้ แต่นี่ก็ไม่ได้มีผลกับความชอบของฉันต่อนิยายเรื่องนี้เลย’

‘…’

คอมเมนต์ของบรรดานักอ่านปรากฏบนเว็บบอร์ดแสดงความคิดเห็นในคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ปรากฏในกระทู้สนทนาเกี่ยวกับนิยายจำนวนมาก ปรากฏในโพสต์ใหม่ของบัญชีผู้ใช้จำนวนมากในปู้ลั่ว ถึงขั้นปรากฏในโมเมนต์[1]คนจำนวนมากอีกด้วย

นิยายเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมาก

มันไม่ได้เพียงมีอิทธิพลต่อนักอ่าน แต่ยังมีอิทธิพลต่อนักเขียนจำนวนมาก ก่อนที่ฉู่ขวงจะตีพิมพ์ปรินซ์ออฟเทนนิส การแข่งขันกีฬาเป็นประเภทนิยายที่ไม่เฉพาะกลุ่มจนเรียกได้ว่าร้างผู้คนเชียวละ ทว่าหลังจากที่นิยายเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ในตลาดก็ปรากฏนิยายแนวการแข่งขันกีฬาขึ้นมาอีกมาก

บ้างก็เขียนเกี่ยวกับบาสเกตบอล

บ้างก็เขียนเกี่ยวกับฟุตบอล

บ้างก็ถึงขั้นเขียนเกี่ยวกับกรีฑา

เรื่องที่โด่งดังที่สุดในนั้นมีชื่อว่า ‘สแลมดังก์’ นักเขียนถึงกับเป็นเฮ่อหมิงเซวียนซึ่งถูกฉู่ขวงเบียดตกอันดับในรายการซูเปอร์โนวา หลังจากได้อ่านนิยายของฉู่ขวง เฮ่อหมิงเซวียนก็ค้นพบแนวนิยายที่เหมาะสมกับตนเอง เขาก็ยังเขียนคำประกาศในปู้ลั่วของตนว่า ‘เป็นฉู่ขวงที่ชักนำให้ผมเดินเส้นทางสายนิยายแนวการแข่งขันกีฬานี้ เขาเป็นผู้บุกเบิกแนวนิยายเฉพาะกลุ่มของพวกเรา!’

นิยายแนวกการแข่งขันกีฬาก็ยังคงไม่เป็นที่นิยม

แต่ฉู่ขวงก็ทำให้เป็นประจักษ์แล้วว่านิยายแนวนี้ไม่ได้ไม่มีตลาด นิยายที่ยอดเยี่ยมต่อให้ใช้แนวการแข่งขันกีฬา ก็ทำให้ผู้อ่านควักกระเป๋าจ่ายอย่างว่าง่ายได้เช่นกัน ฉะนั้นแล้วถึงได้มีความสำเร็จของนักเขียนคนต่อๆ มา และนักเขียนที่เดินตามรอยฉู่ขวงแล้วประสบความสำเร็จ ในใจย่อมยกให้ฉู่ขวงเป็นแบบอย่างของนิยายแนวการแข่งขันกีฬา!

ในสายอาชีพ

ผู้คนจำนวนมากกำลังถกเถียงกันเรื่องการจบของเรื่องนี้ ในใจของทุกคนนั้นคล้ายคลึงกับบรรณาธิการคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ล้วนแต่รู้สึกว่าหลินเยวียนเป็นเด็กใหม่ที่ช่างเอาแต่ใจ ที่ถึงกับตัดจบหนังสือขายดีอย่างปรินซ์ออฟเทนนิสง่ายๆ แบบนี้!

‘เขาชอบเนื้อๆ ไม่ใส่น้ำเหรอ’

‘หนึ่งล้านตัวอักษรก็จบซะแล้ว’

‘คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเองก็ต้องงงบ้างแหละ มีนักเขียนที่เอาแต่ใจแบบนี้ด้วย ทิ้งค่าต้นฉบับเดือนละตั้งกี่ล้านหยวน ตัดเรื่องจบดื้อๆ ถ้าเป็นฉันอย่างน้อยก็คงจะเขียนไปจนคลังหนังสือซิลเวอร์บลูเลิกกิจการไปเลย’

‘ฉู่ขวงไม่ได้เขียนเรื่องสั้นหรอกเหรอ’

‘ฉันติดตามนิยายสั้นของฉู่ขวง รู้สึกว่าคนคนนี้น่ากลัวจริงๆ นะ นิยายสองประเภทก็คุมได้อยู่หมัด เรียกได้ว่าเป็นหน้าใหม่สายแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในหลายปีนี้เลย’

‘เรื่องต่อไปก็พูดยากแล้ว’

‘พอฉู่ขวงปล่อยนิยายเรื่องใหม่แล้วผลลัพธ์สู้ปรินซ์ออฟเทนนิสไม่ได้ ไม่แน่เขาอาจนึกเสียใจที่จบเรื่องนี้เร็วเกินไปก็ได้ ถึงยังไงการแข่งขันกีฬาก็ไม่ใช่แนวที่อยู่ๆ ใครจะเขียนแล้วดังได้’

‘…’

บางคนเสียดาย บางคนทอดถอนใจ บางคนถึงกับลอบดีใจ โดยเฉพาะคู่แข่งของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูที่ดีอกดีใจยิ่งกว่าใคร ตัวอย่างเช่นหัวหน้าบรรณาธิการของสำนักพิมพ์เฟลอริช ในตอนนี้กำลังจิบเหล้าอย่างสบายใจเฉิบ

“คลังหนังสือซิลเวอร์บลูที่น่าสงสาร”

แค่นึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้ แน่นอนว่าการดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นนั้นไม่ได้เจาะจงไปที่ฉู่ขวง เขาไม่เคยเจอฉู่ขวงด้วยซ้ำ จะไปโกรธแค้นโดยที่ไม่รู้จักกันได้ยังไงล่ะ

อย่าว่าแต่โกรธแค้นเลย

หัวหน้าบรรณาธิการของเฟลอริชถึงขั้นอยากดึงตัวฉู่ขวงมา เขาที่คร่ำหวอดในสายงานมานานมีประสาทสัมผัสที่ว่องไวมากพอ ย่อมรู้ว่าความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานของฉู่ขวงนั้นไร้ซึ่งข้อกังขา ต่อให้หลังจากนี้เขาเขียนหนังสืออย่างปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาไม่ได้แล้วก็ตาม ฝีมือในการเขียนเรื่องสั้นของเขาก็มากพอให้ทุกสำนักพิมพ์เล็งเห็นความสำคัญ

คนแบบนี้เฟลอริชก็ต้องการตัวเหมือนกัน!

และที่ตอนนี้เขาอารมณ์ดีขนาดนี้ ก็เป็นเพราะคลังหนังสือซิลเวอร์บลูซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของสำนักพิมพ์เฟลอริชล้วนๆ ในตอนนี้หมากของศัตรูหมายเลขหนึ่งเขียนนิยายขายดีเล่มหนึ่งจบ คิดๆ ดูแล้วคู่ปรับเก่าของตนคงจะหดหู่สินะ ถึงยังไงผลงานทำเงินของพวกเขาก็หายไปตั้งเรื่องหนึ่งเลย

ยอดขายไม่อาจบีบบังคับให้ได้มา

ผลงานใดที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานขายดี ก็ล้วนเป็นลูกรักของสำนักพิมพ์ทั้งนั้น ตั้งแต่หัวหน้าบรรณาธิการไปจนถึงบรรณาธิการธรรมดา ก็ล้วนกางปีกปกป้องเป็นอย่างดี ด้วยกลัวว่านิยายจะเกิดข้อผิดพลาด

เกิดข้อผิดพลาดอะไรน่ะเหรอ

ก็ตัวอย่างเช่นพล็อตเรื่องเริ่มบ้ง

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าพล็อตเรื่องบ้ง ก็คือพล็อตนิยายไม่เกิดปัญหาอะไร ยอดขายก็ไม่ได้แปรปรวนมาก แต่นักเขียนเลือกที่จะจบนิยายลง เหตุการณ์แบบนี้อันที่จริงก็ไม่ได้พบเห็นได้ยาก เพราะนักเขียนเขียนเรื่องหนึ่งมานาน ยากที่จะไม่เกิดความเหนื่อยล้า

พูดง่ายๆ ก็คือ เขียนจนเหนื่อยนั่นแหละ

ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ โดยทั่วไปต้องรอให้นิยายย่างเข้าสองถึงสามล้านตัวอักษรก่อนถึงจะเกิดขึ้น เหตุการณ์จำพวกหนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แถมเพิ่งจะเขียนไปหนึ่งล้านตัวอักษรก็เหนื่อยแล้วนี่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น เพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่นักเขียนจะทำเงินได้มากที่สุด

“สบายใจจัง”

หัวหน้าบรรณาธิการสำนักพิมพ์เฟลอริชจิบสุรา รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ และในขณะนั้นเอง หยางเฟิงก็ติดต่อฉู่ขวงไป เอ่ยถามด้วยความกระอักกระอ่วน ‘นิยายเรื่องต่อไปจะเริ่มเขียนเมื่อไหร่เหรอครับ’

‘ไม่รีบครับ’

ฉู่ขวงตอบกลับมาเช่นนี้

หยางเฟิงไม่เพียงไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับคำพูดนี้ แต่กลับรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ไม่รีบก็หมายความว่าจะยังเขียนต่อไป ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าต่อไปฉู่ขวงจะเบนไปทางการผลิตนิยายสั้น ไม่เขียนนิยายเรื่องยาวซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วเปลืองแรงมากกว่า

ดีใจได้ชั่วประเดี๋ยว

หยางเฟิงก็นึกกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ฉู่ขวงเขียนนิยายแฟนตาซีเยาวชนต่อนั้นเป็นเรื่องดี แต่เขายังจะเขียนหนังสือขายดีระดับปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาได้ไหม

ในขณะเดียวกัน

หลินเยวียนเองก็กำลังขบคิดอยู่ว่าจะสั่งระบบทำนิยายแบบไหนถึงจะเหมาะสม ปรินซ์ออฟเทนนิสจบเร็วเกินไป ระบบไม่เคยทำบัญชีครัวเรือนไม่รู้หรอกว่าค่าครองชีพแพงคืออะไร

……………………………………………..

[1] โมเมนต์ ในที่นี้หมายถึงโมเมนต์ในแอปพลิเคชันวีแช็ต

เมื่อโหยวหรงอ่านเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐจบ ในใจก็นึกอยากรอการประกาศรายชื่อนักเขียน ตนจะต้องไปดึงตัวอีกฝ่ายมา ฝีมือของอีกฝ่ายเยี่ยมยอดมาก

แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่า คนคนนี้ก็คือฉู่ขวงที่ปู้ลั่วไปแย่งมาจากใต้จมูกของตน!

สำหรับผลของเรื่องนี้ ทำให้โหยวหรงโมโหจนถลึงตาโต รู้สึกราวกับบ้านถูกยกเค้าอย่างไรอย่างนั้น

แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอ่านสนุก เขาควบคุมอารมณ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว “ฉันจะต้องแย่งคนกลับมาให้ได้”

ในใจของโหยวหรงยังคงคุกรุ่น

ฉู่ขวงได้รับการยอมรับในแวดวงเรื่องสั้นแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่เด็กใหม่แกะกล่องอีกต่อไป หากแต่เป็นดาวรุ่งที่ค่อยๆ โผทะยานขึ้นมาในทั้งวงการเรื่องสั้น เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่แสดงพรสวรรค์อันเจิดจรัสให้เป็นที่ประจักษ์กันแล้ว!

และนักเขียนเปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ได้มีแค่โหยวหรงคนเดียวที่อยากคว้าตัว

สำนักพิมพ์ใหญ่ในฉินโจวต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือกันทั้งนั้น

เพราะการแข่งขันในสายอาชีพนี้ดุเดือดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร นักเขียนยอดอัจฉริยะอย่างฉู่ขวง ย่อมดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายได้ง่ายเหลือเกิน

แต่ว่า…

ทางสำนักพิมพ์เหล่านี้ ในตอนนี้คงไม่มีช่องทางการติดต่อฉู่ขวง

ปู้ลั่วสามารถติดต่อฉู่ขวงได้ก็เพราะใช้ข้อได้เปรียบจากแพล็ตฟอร์มล้วนๆ ต้องเข้าใจว่าบัญชีผู้ใช้ของปู้ลั่วนั้นผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ เซกชั่นวรรณกรรมก็แค่ติดต่อไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ฉู่ขวงทิ้งไว้ก็ใช้ได้แล้ว

โหยวหรงเชื่อว่า ตราบใดที่ปู้ลั่วไม่โง่งม ก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้อมูลของฉู่ขวงหลุดออกไป

น่าเสียดายที่แผ่นกระดาษไม่อาจห่อเปลวเพลิงได้มิด

น่าเสียดายที่การแทรกซึมในสายงานนั้นรุนแรงมาก ช่องทางในการค้นหาข้อมูลก็มีหลากหลาย ไม่ช้าก็เร็ว สำนักพิมพ์ที่ค่อนข้างใหญ่ในวงการก็สามารถตามหาฉู่ขวงได้อยู่ดี

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ ทำได้เพียงคิดว่ายื้อเวลาได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว คนที่จะมาแย่งชิงฉู่ขวงกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ก็น่าจะมีแต่เซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่ว

นั่นทำให้โหยวหรงรู้สึกเบาใจลงได้บ้าง

และขณะนั้นเอง

ณ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเช่นเดียวกัน

ในแผนกแฟนตาซีเยาวชน ก็กำลังถกเถียงกันเรื่องของฉู่ขวง

ทางแผนกนิยายแฟนตาซีเยาวชนไม่ทำเรื่องสั้น นั่นเป็นงานของเพื่อนบ้านอย่างแผนกนิตยสารอ่านสนุก

แต่ถึงอย่างไรฉู่ขวงก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ขายดีที่สุดของแผนกแฟนตาซีเยาวชนคลังหนังสือซิลเวอร์บลู เหล่าบรรณาธิการในแผนกก็ล้วนติดตามการเคลื่อนไหวนี้

ดังนั้นทันทีที่ฉู่ขวงคว้าอันดับหนึ่งในการประกวดเรื่องสั้นของปู้ลั่ว ก็นำพามาซึ่งการถกเถียงอย่างเป็นวงกว้างในแผนก

“นึกไม่ถึงว่าฉู่ขวงจะเขียนเรื่องสั้นได้สุดยอดขนาดนี้!”

“เก่งทั้งนิยายสั้น แล้วก็นิยายแฟนตาซีเยาวชน พรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้โหดเกินไปแล้วล่ะมั้ง”

“ถึงว่าล่ะ ฝั่งเรื่องสั้นอยากจะมาแย่งคนของเราไป แต่ฝีมือการเขียนเรื่องสั้นของฉู่ขวงก็คุ้มค่าให้มาแย่งอยู่หรอก”

“ได้ยินว่าแม้แต่ท่านใต้เท้าบรรณาธิการบริหารของพวกเรา ก็ยังชมนิยายสั้นของฉู่ขวงไม่ขาดปาก”

“…”

พูดคุยกันไปได้ครึ่งทาง อยู่ๆ ก็มีบรรณาธิการกล่าวขึ้นมาด้วยความกังวล “หลังจากนี้ฉู่ขวงจะไปเติบโตในเส้นทาง เรื่องสั้น จะไม่เขียนแนวแฟนตาซีแล้วเหรอ?”

ความกังวลนี้ไม่ได้เกินจริง

ฉู่ขวงเป็นหนึ่งในนักเขียนแนวแฟนตาซีเยาวชนที่มีผลงานขายดี สำหรับทั้งแผนกแฟนตาซีเยาวชนแล้ว นักเขียนแบบนี้นับว่าล้ำค่ามาก

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง”

บรรณาธิการบางคนส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ก็แค่นิยายสั้น มีจำนวนตัวอักษรสักเท่าไหร่กัน เขียนเรื่องสั้นจะไปรายได้ดีสู้เขียนนิยายแฟนตาซีเยาวชนได้ที่ไหน”

“รายได้ดี?”

หยางเฟิงบรรณาธิการผู้ประสานงานฉู่ขวงเงยหน้าขึ้นทันที พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉู่ขวงจะสนใจเงินเหรอ”

“…”

หยางเฟิงพูดประโยคนี้จบ ทั้งแผนกแฟนตาซีเยาวชนก็เงียบกริบลงทันใด เห็นได้ชัดว่าทุกคนลอบเห็นด้วยกับหยางเฟิง

ใช่แล้ว

ฉู่ขวงไม่ได้ชอบเงิน

เขาไม่ได้สนใจเงิน

นี่คือสิ่งที่แผนกแฟนตาซีเยาวชนยอมรับมาโดยตลอด ถ้าหากฉู่ขวงชอบเงินจริงๆ เขาคงไม่มีทางจบเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสง่ายๆ หรอก

เพราะแม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจเรื่องนี้ สำหรับนิยายขายดีแล้ว ยิ่งเขียนได้ยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ค่าต้นฉบับมากเท่านั้น!

นิยายประเภทนี้เมื่อใดที่จบลง ค่าต้นฉบับก็จะลดฮวบลงภายในเวลาไม่กี่เดือน!

ทว่าสองสัปดาห์ก่อน

ฉู่ขวงได้ส่งต้นฉบับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของเดือนพฤษภาคม เป็นอันว่านิยายเรื่องนี้จบลงอย่างเรียบร้อย

ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันที่หนึ่งพฤษภาคม เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจะวางขายตอนจบอย่างเป็นทางการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขียนคำโปรโมตออกมาเรียบร้อยแล้ว —— ฉู่ขวงจะไม่เขียนเพิ่มแล้วแม้แต่ตัวอักษรเดียว!

ปรินซ์ออฟเทนนิสทั้งเรื่อง เขาแทบดำเนินการตามโครงเรื่องที่ส่งมาให้แต่แรกเริ่ม ด้วยจำนวนตัวอักษรแค่ประมาณหนึ่งล้านตัวอักษร นิยายขายดีถล่มทลายเรื่องนี้ก็จบลง!

เด็ดขาดฉับไวจนแม้แต่บรรณาธิการในแผนกก็ยังรู้สึกปวดใจ แทบอยากจะเขียนต่อแทนฉู่ขวงให้รู้แล้วรู้รอด!

ต้องเข้าใจก่อนว่า ด้วยแนวโน้มการจำหน่ายนิยายเรื่องนี้ในปัจจุบัน ทุกตัวอักษรที่เขียนลงไปล้วนเป็นเงินก้อนใหญ่!

เมื่อไหร่ที่ฉู่ขวงยินดีเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสต่อ ต่อให้เขาเหลวไหล จนทำให้คุณภาพของผลงานลดลงอย่างรุนแรง ก็ย่อมไม่มีนักอ่านตามมาคิดบัญชีอย่างแน่นอน เพราะนักอ่านจำนวนมากอ่านจนเคยชินกับคุณภาพเดิมไปแล้ว นอกเสียจากว่านิยายเรื่องนี้เละตุ้มเป๊ะจนเหลือรับ ไม่อย่างนั้นผู้อ่านก็ไม่มีทางทิ้งไปง่ายๆ อย่างมากก็ก่นด่านักเขียนสักหน่อย จากนั้นก็ซื้อต่อด้วยความลังเล

นี่คือประสบการณ์จากการทำงานเป็นบรรณาธิการมาหลายปี

เชื่อว่าตัวฉู่ขวงเองก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน

แต่ฉู่ขวงทำอะไรตามใจตัวเองขนาดนี้ ถึงรู้อยู่เต็มอกว่าผลงานของตนยังทำเงินขนาดนี้ เขายังตัดจบหนังสือเรื่องนี้โดยไม่ลังเล

คนคนนี้จะไปชอบเงินได้ยังไงกัน

ผ่านไปเนิ่นนาน

ก็มีบรรณาธิการในแผนกคนหนึ่งพูดอย่างทอดถอนใจ “นี่คงเป็นศักดิ์ศรีของนักเขียนเขาล่ะมั้ง ไม่ใช้เงินเป็นเป้าหมายในการสร้างสรรค์ผลงาน นักเขียนแบบนี้ควรค่าแก่การเคารพมากเลย”

“ใช่แล้ว”

“ในยุคที่วรรณกรรมกลายเป็นธุรกิจ เจตจำนงแรกในการผลิตผลงานของนักเขียนคือความฝัน แต่ถ้านิยายของพวกเขาไม่สร้างรายได้ จะมีสักกี่คนกันที่ยอมทำเพราะความรัก”

“ไม่ได้เจอนักเขียนนิยายแบบนี้มานานมากแล้ว”

“นักเขียนนิยายส่วนใหญ่ไม่มีทางยอมตัดจบนิยายที่ขายดีมากๆ เรื่องหนึ่งหรอก ต่อให้โครงเรื่องของพวกเขาเสร็จแล้ว ก็จะหาวิธียืดเนื้อเรื่องอย่างสุดแรง เมื่อเทียบกันแล้ว นักเขียนที่ตัดจบนิยายขายดีแบบฉู่ชวงมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อย”

“…”

หยางเฟิงถอนหายใจ

ทำไมเขาจะไม่ชื่นชมฉู่ขวงล่ะ

ขณะที่นักเขียนจำนวนมากเลือกผลิตผลงานกระแสหลักอย่างแนวผจญภัยในต่างโลก ฉู่ขวงยืนหยัดเลือกเขียนแนวที่สุดแสนจะเฉพาะกลุ่มอย่างการแข่งขันกีฬา ลำพังจิตวิญญาณของผู้บุกเบิกก็ทำให้หยางเฟิงชื่นชมมากแล้ว

แต่ชื่นชมก็ส่วนชื่นชม

ขณะเดียวกันก็ทำเอาหยางเฟิงปวดหัวสุดๆ

เพราะการที่ฉู่ขวงจบเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสนั้น สำหรับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าเกิดความเสียหายที่ไม่น้อยเลย

ไม่งั้นก่อนหน้านี้บรรณาธิการบริหารคงไม่จงใจกำชับลงมาว่าให้ฉู่ขวงพยายามขยายโครงเรื่อง เขียนให้เรื่องยาวกว่าเดิมสักหน่อย…

หลังจากนั้นฉู่ขวงก็ไม่ฟังคำโน้มน้าว

หยางเฟิงไม่เพียงหวนระลึกถึงครั้งแรกสนทนากับฉู่ขวงครั้งแรก ก่อนหน้านี้ตนยังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่หน้าใหม่คนหนึ่ง ลูกวัวแรกเกิดย่อมไม่กลัวเสือ

ต้องมีสักวัน!

ที่อีกฝ่ายได้ลิ้มลองความน่ากลัวของการนั่งอยู่ในห้องมืด และได้รับรู้ว่าความน่าสะพรึงกลัวของการถูกบรรณาธิการเร่งต้นฉบับนั้นหนักหนาสาหัสขนาดไหนกันแน่

แต่ในตอนนี้

ฉู่ขวงไม่ได้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของตน เขาเป็นนักเขียนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยส่งต้นฉบับล่าช้าเลย เป็นตนเสียอีกที่ได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของฉู่ขวง

คนเขาเห็นเงินเป็นเศษดินจริงๆ นะ

หยางเฟิงส่ายหัวกับเรื่องนี้อย่างจนใจ ยิ้มขื่นพลางออกความเห็นหนึ่งประโยค “เอาแต่ใจจริงๆ เลย!”

วันต่อมา

วันที่ 1 พฤษภาคม

ตอนจบของปรินซ์ออฟเทนนิสก็วางแผงขายอย่างเป็นทางการ!

…………………………………………………….

เผยโฉมหน้าราชาเป็นแค่คำหยอกล้อ

ที่สำคัญก็เพราะเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วรูดซิปปิดปากเงียบกริบ

นิยายสั้นสามสิบเรื่องร่วมประลองในสังเวียนเดียวกัน ถ้ายังไม่ถึงวันสุดท้ายก็จะไม่บอกว่านักเขียนของนิยายเหล่านี้เป็นใคร บอกแค่ว่านักเขียนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในวงการ…

ปู้ลั่วเลือกใช้วิธีการแข่งขันนี้ พูดได้ว่ากระตุ้นความสงสัยของทุกคนได้ถึงขีดสุด!

ภาษิตกล่าวว่า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย

นักอ่านและผู้คนในแวดวงเรื่องสั้นนั้นไม่ใช่แมว แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าแมวเลย

ลูกเล่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการใช้วิธีการทางจิตวิทยามาก

ก็เหมือนกับคนคนหนึ่ง พูดจาได้ครึ่งเดียว จากนั้นก็ไม่ยอมพูดอีก

ไม่ว่าคำพูดนั้นจะสำคัญหรือไม่ ผู้ฟังก็ล้วนให้ความสนใจทั้งนั้น ใครใช้ให้หลุดพูดข้อมูลมาตั้งครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ

ฉะนั้นในช่องแสดงความคิดเห็นของปู้ลั่ว นักอ่านต่างโพสต์คาดเดานักเขียนไปต่างๆ นานา ตั้งแต่บทความวิเคราะห์หลากหลายด้านอย่างจริงจังกันเหลือเกิน

และต้องบอกว่าสิ่งที่ทุกคนสงสัยมากที่สุด ก็ย่อมเป็นนักเขียนอันดับที่หนึ่งในครั้งนี้!

เมื่อผ่านการแข่งขันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ตอนจบของการแข่งขันในการประกวดนิยายสั้นเรื่องนี้ก็ชัดเจนมาก

นิยายสั้นที่ชื่อว่า ‘วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ’ เป็นผลงานที่ชนะการประลองในครั้งนี้!

ในตอนนี้ การถกเถียงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐนั้นร้อนแรงที่สุด

ในโพสต์คาดเดาเหล่านี้ นักเขียนนิยายสั้นชื่อดังในวงการ ต่างก็ถูกนักอ่านเอ่ยถึงอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

น่าเสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครยอมรับ

แน่นอนว่าหลินเยวียนเองก็เห็นอันดับของตน

พูดตามตรง อันดับหนึ่งซึ่งเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐสามารถคว้ามาได้นั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขามาก เพราะเดิมทีเขาเตรียมตัวเตรียมใจว่านิยายเรื่องนี้จะชิงได้เพียงอันดับสาม

นิยายเรื่องนี้ยอดเยี่ยมสุดๆ แต่น่าเสียดายที่การเสียดสีในเรื่องนี้มีประสิทธิภาพด้อยไปหน่อย

อีกอย่าง ความด้อยประสิทธิภาพของการเสียดสีนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

หรือจะพูดง่ายๆ ว่า

ถ้าหากหลินเยวียนอาศัยอยู่ในสมัยที่มีการปกครองด้วยระบอบศักดินาอันมืดมน บางทีนิยายเรื่องนี้อาจถ่ายทอดความหมายที่ลึกซึ้งกว่านี้ได้

ทว่าในตอนนี้

ในยุคอันสงบสุขบนบลูสตาร์ นิยายเรื่องนี้กลับดูคล้ายกับใช้วิธี ‘หยิบยืมอดีตมาเสียดสีปัจจุบัน’ เสียมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้มากเกินไป

ในเมื่อเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายละก็ หลินเยวียนก็แค่นั่งรอเงินรางวัลของอันดับหนึ่งโอนเข้าบัญชีก็พอแล้ว

การนั่งรอเงินแบบนี้ไม่กินเวลายืดเยื้อนานหรอก

วันสุดท้ายของเดือนเมษายน ปู้ลั่วก็ประกาศรายชื่อนักเขียน

ท่ามกลางการจับตาอย่างใกล้ชิด ในที่สุดนักเขียนนิยายเหล่านี้ก็ถูกเผยโฉมหน้า!

‘แม่เจ้าโว้ย!’

‘ที่แท้คนเขียนเรื่องคลาดก็คืออาจารย์ผิงเองเหรอเนี่ย ฉันก็ว่าทำไมสำนวนคุ้นๆ ก่อนหน้านี้อาจารย์ผิงก็ไม่ยอมรับ!’

‘นิยายสืบสวนสอบสวนที่ได้อันดับสองนี่เหล่าหวังเป็นคนเขียน! เหล่าหวังจงใจเปลี่ยนสไตล์การเขียนใหม่ จนคนอ่านนึกไม่ถึงเลย’

‘อันดับห้าเรื่องเสียงสะท้อนเป็นผลงานของฉีถง? เรื่องสั้นของฉีถงมีน้อยมาก นึกไม่ถึงว่าคราวนี้จะลองเขียนเรื่องสั้นด้วย’

‘ผลงานอันดับแปดเป็นของเยี่ยเยี่ยเหรอ!’

‘ฮ่าๆๆ ในนี้มีสามเรื่องที่ฉันเดานักเขียนได้!’

‘ฉันเดาได้สองเรื่อง’

‘ก่อนหน้านี้มีโพสต์เดานักเขียน เหมือนมีญาณทิพย์ โพสต์นั้นเดาได้ตั้งแปดคน น่าจะเป็นเทพที่แม่นยำที่สุดในตอ นนี้แล้วแหละ!’

‘…’

คำตอบของปริศนาออกมาแล้ว บรรยากาศของนักอ่านครึ้นเครงกันเหลือเกิน

ทว่าสิ่งแรกที่นักอ่าน รวมไปถึงคนในแวดวงเรื่องสั้นจำนวนมากทำก็คือไปดูว่านักเขียนเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐเป็นใคร

ผลคือ ทั้งนักเขียนในแวดวงเรื่องสั้น และเหล่านักอ่านก็อึ้งทึ่งไปตามๆ กัน

เพราะนี่เป็นชื่อที่คนเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์คาดเดาไม่ออก

‘ฉู่ขวง?’

‘ฉู่ขวงเองเหรอ’

‘นักเขียนเรื่องโฉมงามประดิษฐ์?’

‘คนที่เขียนเรื่องของขวัญแห่งเมไจเมื่อเดือนที่แล้ว?’

‘ฉันจำเขาได้เพราะเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส ที่แท้เขียนเรื่องสั้นได้ด้วย’

‘ดูท่าคอมเมนต์บนๆ คงจะไม่ได้ติดตามวงการเรื่องสั้นช่วงนี้ เรื่องของขวัญแห่งเมไจเป็นนิยายสั้นที่ดังที่สุดของ เดือนที่แล้ว นักเขียนก็คือฉู่ขวงคนนี้แหละ!’

‘เรื่องโฉมงามประดิษฐ์ที่ออกไปช่วงตรุษจีนก็ไม่เลวเลยนะ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าสนุกมาก’

‘ดาวรุ่งของของวงการเรื่องสั้นค่อยๆ พุ่งแล้ว!’

‘ฉันคิดว่านิยายเรื่องนี้เป็นของนักเขียนนิยายที่คร่ำหวอดในวงการนะเนี่ย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นดาวรุ่งในวงการเรื่องสั้น!’

‘…’

จะโทษที่นักอ่านตื่นอกตกใจกันขนาดนี้ก็คงไม่ได้

ที่พวกเขาเดาไม่ออกว่านักเรียนของเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐคือฉู่ขวง เหตุผลประการแรกก็เพราะฉู่ขวงเป็นหน้าใหม่ในวงการเรื่องสั้น

ประการที่สอง นิยายสั้นเรื่องนี้กับผลงานสองเรื่องก่อนหน้าของฉู่ขวงนั้นมีสไตล์ที่แตกต่างมาก!

ในการสร้างสรรค์ผลงาน ต่อให้ซ่อนชื่อของนักเขียนไว้ อันที่จริงก็ใช่ว่าจะแยบยลไร้ร่องรอย

เพราะนักเขียนแต่ละคนก็จะมีความคุ้นเคยในการผลิตผลงานที่แตกต่างกัน

ก็เหมือนกับโอ.เฮนรี[1]

เขาชอบเขียนเรื่องที่มีจุดจบหักมุมซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายของนักอ่าน

การอยู่เหนือความคาดหมายและความสมเหตุสมผลนั้นเป็นจุดเด่นของงานเขียนของเขา ในโลกวรรณกรรมยกย่องให้การเขียนบทสรุปแบบเขาเป็น ‘บทสรุปแบบโอ.เฮนรี’

ขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่ทำให้เขาถูกผู้คนตำหนิเช่นกัน

เพราะมีคนกล่าวว่า อ่านผลงานของโอ.เฮนรีแล้วรู้สึกว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกันหมด

ทว่า ฉู่ขวงได้ทำลายคำจำกัดความพรรค์นี้ไป

นิยายสองเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา ความแตกต่างไม่นับว่าชัดเจน

แต่เมื่อมาถึงเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ ฉู่ขวงถึงกับใช้กลวิธีเสียดสี!

เพื่อการนี้ เขาถึงกับไม่ใช้วิธีการเล่าเรื่องและจุดจบหักมุมอย่างในเรื่องของขวัญแห่งเมไจ

กลวิธีเสียดสีเหนือชั้นกว่า?

ไม่จำเป็นเสมอไปหรอก แต่ในความคิดของผู้คนจำนวนมาก กลวิธีเสียดสีนั้นเป็นการแสดงถึงชั้นเชิงอันยอดเยี่ยม วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐได้ครองบัลลังก์แชมป์ในครั้งนี้ ก็เพราะคนจำนวนมากอ่านนิยายแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมอย่างรุนแรง

ปรากฏการณ์ในชีวิตจริงมากมายถูกนิยายเรื่องนี้เสียดสีเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วย!

ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่านักเขียนนั้นยอดเยี่ยมมาก

ในตอนนั้นเอง!

หวังกั๋วเจี้ยน นักเขียนเรื่องสั้นซึ่งได้อันดับที่สองก็แสดงความคิดเห็นในปู้ลั่ว ‘ฉู่ขวงได้อันดับที่หนึ่ง ก็เหมือนกับของขวัญแห่งเมไจ ตอนจบเปี่ยมไปด้วยความสนุกของการหักมุม ผมเริ่มจะตั้งตารอความตื่นเต้นที่ฉู่ขวงจะนำพามาในนิยายเรื่องต่อๆ ไปของเขาแล้วละสิ’

จากนั้น

อาจารย์เหล่าผู้ซึ่งได้อันดับที่สามก็แสดงความเห็นว่า ‘ฉู่ขวงเป็นดาวดวงใหม่ของวงการเรื่องสั้น!’

ไม่ใช่แค่เขา

พรึ่บๆๆๆ!

นักเขียนซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสามสิบคน สิบกว่าคนในนั้นแสดงความคิดเห็นผ่านปู้ลั่ว

‘สไตล์ของผลงานก่อนหลังต่างกันมากเลย ใครจะเดาได้ว่านี่เป็นเรืองที่เด็กใหม่อย่างฉู่ขวงเขียน แต่ต้องยอมรับว่าวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐเป็นนิยายที่ยอดเยี่ยมมาก’

‘ดีใจมากที่วงการเรื่องสั้นมีนักเขียนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ปรากฏขึ้นมา!’

‘เรื่องสั้นทั้งสามเรื่องของฉู่ขวง ผมอ่านหมดแล้ว เพิ่งเข้ามาในวงการก็ปล่อยผลงานยอดเยี่ยมระดับนี้ได้ เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งจริงๆ’

‘ลูกชายผมชื่นชอบเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสมาก ผมเลยรู้จักนักเขียนคนนี้มานานแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ผมต้องมาพ่ายแพ้ให้เขาในการประกวดเรื่องสั้น ไม่รู้ว่าลูกชายผมจะเสียใจหรือดีใจนะครับ/อิโมจิสุนัขยิ้มกรุ้มกริ่ม’

‘…’

และในแผนกนิตยสารของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูในตอนนี้ โหยวหรงหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอ่านสนุกกลับมีสีหน้าเดือดดาล ทุบโต๊ะอย่างแรงดังปัง

“ปู้ลั่วแย่งคนแล้ว!”

…………………………………………………………….

[1] โอ.เฮนรี (O.Henry) นามปากกาของวิลเลียม ซิดนีย์ พอร์เทอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน โดดเด่นด้านการเขียนเรื่องสั้น และเป็นนักเขียนต้นฉบับของเรื่องขอบขวัญแห่งเมไจ

หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จริงสิ ระบบ เงินที่ได้จากการสั่งทำเพลง นายคิดว่าจะเอาไปทำอะไร”

หรือว่าระบบจะใช้เงินอัปเลเวล?

แน่นอนว่าผลลัพธ์ไม่ใช่แบบนั้น คำตอบของระบบออกจะอยู่เหนือความคาดหมาย “บริจาคให้คนที่ขาดแคลนบนโลกนี้”

ที่แท้ก็เอาเงินไปทำการกุศล

หลินเยวียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก

วันเวลาต่อมายังเหมือนเดิมทุกประการ จวบจนวันที่ 18 เดือนเมษายน ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดหลินเยวียนก็แจ้งซุนเย่าหั่วไป “เตรียมเข้าบริษัทนะครับ วันนี้เราจะเริ่มอัดเสียงกัน”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

เดิมทีซุนเย่าหั่วจะออกไปเที่ยวกับแฟนสาว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง ทว่าเมื่อได้รับโทรศัพท์ของหลินเยวียน ก็เลี้ยวรถกลับโดยไม่ลังเล เหยียบคันเร่งมิดตรงดิ่งไปที่บริษัท

“ไม่ค่อยสบายหรือเปล่าครับ”

เมื่อหลินเยวียนเห็นซุนเย่าหั่วที่หน้าปากประตูห้องอัดเสียง อีกฝ่ายกำลับหอบโกยอากาศเข้าปอด ราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมา

“ไม่…เป็นไร”

ซุนเย่าหั่วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยายามเค้นรอยยิ้มออมา เขาไม่มีทางบอกว่าตนกลัวว่าหลินเยวียนจะต้องรอนาน ดังนั้นทันทีที่มาถึงบริษัทก็สับเท้าวิ่งมาตลอดทาง

“ร้องได้หรือยังครับ”

หลินเยวียนเอ่ยถาม ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาส่งเพลงกุหลาบแดงให้ซุนเย่าหั่วไปแล้ว ช่วงนี้อีกฝ่ายจึงฝึกซ้อมพอได้แล้ว

“ให้ร้องกลับหลังยังได้เลย”

ซุนเย่าหั่วพูดอย่างจริงจัง

ก่อนหน้านี้เขาได้รับเนื้อเพลงกุหลาบแดงและเดโม หลังจากฟังเดโมจบ ความรู้สึกเดียวในใจก็คือ

‘สมแล้วที่เป็นหลินเยวียน!’

เพลงที่ดีขนาดนี้ ถ้าตนร้องแล้วไม่ดัง ก็คงไม่ได้ร้องเพลงของรุ่นน้องไปอีกตลอดชีวิต!

เพราะนั่นหมายความว่าตนไม่คู่ควร!

หลินเยวียนพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องควบคุมของสตูดิโออัดเสียง เจ้าหน้าที่ทางนั้นเตรียมพร้อมอยู่แล้ว หยิบหูฟังขึ้นสวมอย่างคล่องแคล่ว

ห่างกันเพียงกระจกกั้น

ซุนเย่าหั่วในห้องอัดเสียงพยักหน้าให้หลินเยวียน หลังจากปรับอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็ทดสอบเสียงเป็นครั้งแรก “ความฝันในฝันที่ไม่ตื่นจากฝัน สีแดงถูกเหนี่ยวรั้งในด้ายแดง ตื่นเต้นเหลือเพียงความเจ็บปวดไร้เรี่ยวแรงแล้วก็ไม่แยแส…”

หลินเยวียนไม่ได้ขัดจังหวะ

จนกระทั่งร้องจบทั้งเพลงรอบหนึ่ง ซาวด์เอนจิเนียร์จึงกล่าวแนะนำขึ้นมาก่อน ส่วนหลินเยวียนซึ่งอยู่ด้านข้างก็พูดเสริมความคิดเห็นขึ้นมา “ความคุ้นเคยไม่มีปัญหาครับ แต่เสียงของพี่เปิดกว้างเกินไป ภาพรวมของเพลงนี้เสียงค่อนข้างเศร้า หาความรู้สึกเจ็บช้ำอย่างเดียวไม่พอ ตอนร้องพี่เก็บไว้ข้างในหน่อยครับ พวกเรามาลองกันอีกรอบ”

ซุนเย่าหั่วพยักหน้า

ร้องเพลงครั้งที่สอง เขาใช้วิธีที่ค่อนข้างเก็บเสียงไว้ ทว่าหลินเยวียนเอ่ยขัดขึ้นมา “เพลงนี้โดยพื้นฐานแล้วมีความเศร้าอยู่นะครับ แต่ความเศร้าก็แบ่งเป็นหลายระดับ ระดับของท่อนเปิด พี่เข้าใจว่าเป็นความเสียใจก็ได้ครับ”

“เสียใจ?”

ซุนเย่าหั่วพยักหน้าอีกครั้ง

เมื่อเขาร้องถึงท่อนคอรัส หลินเยวียนถึงได้เอ่ยถึงสิ่งที่ตนต้องการเป็นครั้งที่สาม “ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว ได้รับความรักไปก็ไม่ต้องกลัว นี่เป็นความเศร้าในระดับที่สองของเพลง จัดอยู่ในการคร่ำครวญหลังจากรู้สึกเสียใจ”

คำแนะนำในการแบ่งมาจากระบบ

การแบ่งมาจากความเข้าใจของหลินเยวียน

ในการอัดเพลงก่อนหน้านี้ หลินเยวียนก็ใช้วิธีการประเภทนี้ เขาไม่ต้องการให้ซุนเย่าหั่วเลียนแบบต้นฉบับ ในการร้องเพลง แต่ละคนต่างก็มีวิธีการที่เหมาะสมกับตนเอง จางปี้เฉิน[1]ในโลกเดิมก็เคยร้องเพลงกุหลาบแดง ให้คนละความรู้สึกกับเวอร์ชันต้นฉบับเลย แต่ฟังแล้วก็เพราะเหมือนกัน ถึงแม้ว่าซุนเย่าหั่วจะมีช่วงเสียงเหมือนกับต้นฉบับ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถึงขั้นเลียนแบบ

การแต่งเสียงหลังจากนี้ก็เหมือนกัน

หลินเยวียนกับทางห้องอัดเสียงได้เสนอความต้องการไปแล้ว และซุนเย่าหั่วก็ปรับใช้และทำความเข้าใจกับคำแนะนำนี้ ปรับการร้องของตนเองไปเรื่อยๆ การร้องในสตูดิโออัดเสียงกับการร้องสดนั้นยังไม่เหมือนกัน หลังจากปล่อยเพลงออกไป เวอร์ชันที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็คือเวอร์ชันสตูดิโอ

“หลังจากนี้เป็นความเศร้าชั้นที่สามนะครับ”

“ยามที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง ที่คาดหวังกลับไม่ใช่ใบหน้าเธอ ถ้าพี่ร้องไปพร้อมกับเนื้อเพลง ก็จะเห็นว่าอารมณ์ที่เพลงส่งมาเป็นการเยาะเย้ยตัวเองแบบราบเรียบ ไม่ต้องใส่อารมณ์มากครับ แบบนี้จะช่วยเวลาเปลี่ยนลมหายใจ”

“เทคนิคไม่ต้องใส่มากเกินไป”

“หลายเพลงต้องใช้ปากร้อง ใช้ความรู้สึกเข้าเสริม แต่เพลงนี้ใช้ความรู้สึกร้อง ปากช่วยเสริม ผ่อนลมหายใจเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่มเสียงนะครับ ทำให้วิธีการหายใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการคร่ำครวญที่มีเสียงสั่นแทน…”

ซาวด์เอนจิเนียร์ด้านหน้าให้คำแนะนำเยอะมาก

ทว่าคำพูดด้านหลังเป็นสิ่งที่หลินเยวียนเข้าใจ

ซาวด์เอนจิเนียร์อธิบายในมุมมองทางเทคนิค ส่วนหลินเยวียนอธิบายในมุมมองของดนตรี คำพูดด้านหน้าค่อนข้างเป็นภววิสัย และความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกนั้นเป็นอัตวิสัย ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ซุนเยาหั่วเป็นทุกข์ที่สุดคือจุดนี้ของหลินเยวียน

“ไร้ความหมาย…”

“หมดความหมาย…”

หลินเยวียนเพียงแค่พูดยังไม่พอ บางครั้งบางคราวก็ร้องเป็นตัวอย่าง ปัญหาเรื่องคอของเขาทำให้เขาไม่ได้เป็นนักร้องมืออาชีพ แต่ร้องเพลงสั้นๆ และไม่ได้เสียงสูงย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

เมื่อร้องด้วยเสียงตนเองจบแล้ว

หลินเยวียนพูด “จับจุดได้หรือยังครับ ก่อนร้องหายใจก่อนนะครับ ร้องจบหนึ่งประโยคแล้วหายใจใหม่ หายใจเข้าออกไปตามจริงเลย ถ้าอารมณ์ถึง ผมก็โอเคถ้าพี่จะหายใจได้ไม่สมบูรณ์แบบ”

ซุนเย่าหั่วทำได้เพียงพยักหน้า

นักประพันธ์เพลงส่วนใหญ่ไม่มีทางเข้มงวดเหมือนหลินเยวียน และการขับร้องของนักร้องนั้นจะยึดจากความเห็นของซาวด์เอนจิเนียร์เป็นหลัก แต่สิ่งที่หลินเยวียนต่างจากนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ก็คือเขาเคยเรียนการขับร้องมาเป็นปีๆ ถ้าการเปล่งเสียงไม่เกิดข้อบกพร่อง ก็อาจเป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยม ฉะนั้นมาตรฐานและความเข้าใจที่เขามีต่อการขับร้อง ก็เป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงคนอื่นส่วนมากเทียบไม่ได้

กล่าวโดยความหมายคือ

เจ้าหน้าที่ในสตูดิโออัดเสียงก็คือผู้ช่วยงาน

คนที่ทำเนื้อเพลง ดนตรี และเรียบเรียงเพลงอย่างหลินเยวียน ขณะเดียวกันนักประพันธ์เพลงที่เชี่ยวชาญการขับร้องก็มีน้อยเหลือเกิน ถ้าหากนักประพันธ์เพลงทุกคนเป็นแบบหลินเยวียน เจ้าหน้าที่ในสตูดิโอจำนวนมากคงต้องตกงานแล้ว

“พอก่อนแล้วกันครับ”

ง่วนอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดหลินเยวียนก็บอกให้พัก ในตอนนั้นซุนเย่าหั่วยังคงไม่สามารถแสดงเวอร์ชันที่แตะถึงมาตรฐานของหลินเยวียน แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของหลินเยวียน “ช่วงนี้ก็ฝึกเยอะๆ นะครับ”

“ได้”

ซุนเย่าหั่วเตรียมตัว ‘เก็บตัวฝึกซ้อม’

สิ่งที่เรียกว่าเก็บตัวฝึกซ้อมก็คือการฝึกซ้อมในห้องอัดเสียงเป็นเวลานาน

ในบ้านก็ฝึกร้องเพลงได้ ตอนไหนก็ฝึกร้องเพลงได้ แต่ในห้องอัดเสียงนั้นได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

เพราะอุปกรณ์ในห้องอัดเสียงสามารถฟีดแบ็กรายละเอียดของเสียงได้ดี มิหนำซ้ำยังมีเจ้าหน้าที่ของห้องอัดเสียงคอยดูแลอยู่ สามารถฟีดแบ็กประสิทธิภาพในการร้องของนักร้องได้ตลอดเวลา

หลินเยวียนออกไปแล้ว

หลังจากช่วงนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องการอัดเพลง

การอัดเพลงอย่างเป็นทางการจะต้องรอให้ซุนเย่าหั่วเข้าใจเพลงนี้ได้อย่างลึกซึ้งเสียก่อน ถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ได้รีบร้อน

ทว่าในตอนนี้

ครั้นเวลาล่วงเลยเข้าสิ้นเดือน

เซกชันวรรณกรรมของแพล็ตฟอร์มปู้ลั่ว ศึกในครั้งนี้ที่นักเขียนทั้งสามสิบชีวิตใช้นิยายสั้นเป็นอาวุธ ในที่สุดก็ประกาศผลแล้ว!

ถึงขั้นมีคนแซวว่า

นี่เป็นช่วงเวลาเผยโฉมหน้าราชา!

………………………………………..

[1] จางปี้เฉิน (张碧辰) นักร้องชาวจีน เป็นผู้ชนะการประกวดรายการ The Voice of China ในปี 2017 และได้ร้องเพลงกุหลาบแดง (《红玫瑰》) ของเฉินอี้ซวิ่น (Eason Chan) ในการแข่งขันรอบ Knock Out

เพื่อนๆ ในห้องคาดเดาได้ถูกต้อง ทุกคนล้วนแต่คุ้นเคยกับสไตล์ของหลินเยวียน เป็นสไตล์ที่ได้ชื่อว่า ‘หลินเยวียน’

หลินเยวียนเป็นคนที่ขี้เกียจอธิบายจริงๆ

ทว่าเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลินเยวียนไม่อยากเป็นจุดสนใจมาก ไม่อย่างนั้นศาสตราจารย์ท่านนี้เสนอเรื่องย้ายคณะขึ้นมาจะทำอย่างไร

เขาไม่อยากออกจากสาขาการประพันธ์เพลง

“ห้องต่อไป”

ก่อนที่ข่งอันจะเดินไป ก็มองหลินเยวียนอย่างลึกล้ำ ความคิดที่มีในใจก็แน่วแน่ขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากคณะกรรมการออกไป

สายตาของทุกคนก็ไปรวมกันอยู่ที่หลินเยวียน

เพื่อนนักเรียนทั้งซ้ายขวาจำนวนไม่น้อยพูดชมเชยหลินเยวียน บวกกับการไต่ถามอีกหลายครั้ง ส่วนหลินเยวียนก็ตอบไปอย่างคุ้นเคย

เขาเริ่มเข้าใจการเป็นที่เอ็นดูตั้งแต่เรียนอนุบาล จึงเคยชินไปนานแล้ว

เหมือนกับฝีมือเปียโนนั่นแหละ

เมื่อเผชิญหน้ากับหนังสือพิมพ์กระดานดำที่สวยพริ้งเพรานี้ แทบทุกคนจึงได้ข้อสรุปเพียงว่าฝีมือการวาดรูปของหลินเยวียนเองก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน

ทว่ายอดเยี่ยมมากแค่ไหนนั้น กลับไม่ได้มีคำจำกัดความที่ชัดเจน

แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายศิลป์เหยียนเมิ่งเจียซึ่งเรียนศิลปะมาหลายปีกลับกระจ่างในทันทีว่าการสร้างสรรค์หนังสือพิมพ์กระดานดำได้ระดับนี้ภายในสองชั่วโมงนั้นหมายความว่าอย่างไร

แน่นอน

สายตาที่ผู้หญิงในเซคมองมายังหลินเยวียนนั้นแปลกชอบกล

และนี่คือที่มาของบรรดาขนมซึ่งมักจะปรากฏอยู่บนโต๊ะของหลินเยวียนโดยไม่รู้ที่มา

เหตุการณ์แบบนี้ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือหลังจากนี้ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะหลังจากที่หลินเยวียนได้สร้างภาพจำของพรสวรรค์ทั้งสองแขนงต่อหน้าทุกคนอย่างต่อเนื่อง

วันต่อมา

หนังสือพิมพ์กระดานดำในชั้นเรียนของหลินเยวียนไปปรากฏในเว็บไซต์ทางการของวิทยาลัยได้สำเร็จ หนังสือพิมพ์กระดานดำนี้คว้าอันดับหนึ่งของชั้นปีที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย

และหลินเยวียนก็ถือโอกาสนี้เริ่มต้นคลาสเรียนสีกวอชของตนในชมรมจิตรกรรม สอนวันละสองรอบ

สอนสเก็ตช์ก่อน ตามด้วยสีกวอช

แต่คนที่ลงชื่อเรียนสเก็ตช์นั้นมากกว่าคนที่เรียนสีกวอชมาก ทุกวันนี้ฝีมือการสอนสเก็ตช์ของหลินเยวียนนั้นได้ตราตรึงในจิตใจของคนคณะวิจิตรศิลป์ไปแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว คนจำนวนมากยังไม่ค่อยรู้ถึงความสามารถในการวาดภาพสีกวอช รวมไปถึงฝีมือในการสอนของหลินเยวียนเท่าไหร่นัก

นอกจากนักศึกษาอย่างจงอวี๋และคนอื่นๆ ซึ่งได้เห็นการสร้างสรรค์ผลงานภายในกรอบเวลาเพียงสองชั่วโมงของหลินเยวียน

คนพวกนี้เองก็หน้าเนื้อใจเสือ

พวกเขานัดแนะกันลับหลัง ยังไม่ยอมเปิดเผยเรื่องของหลินเยวียนออกไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีคนไม่มากที่แย่งชิงคลาสเรียนสีกวอชของหลินเยวียนของพวกเขา

รอให้ผ่านไปอีกสักพัก พวกเขาได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจากหลินเยวียนแล้วค่อยให้คณะวิจิตรศิลป์รับรู้ถึงความโหดของฝีมือการวาดภาพสีกวอชของหลินเยวียน

ส่วนหลินเยวียนก็ไม่ได้สนใจ

ตอนนี้เขาเองก็มีนักเรียนให้สอนไม่ขาด

ถึงอย่างไรราคาค่าเรียนก็เหมือนกัน

และผลลัพธ์จากรางวัลหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็ทำให้หลินเยวียนได้รับคำชมเชยจากที่ปรึกษาในสาขาการประพันธ์เพลง และบทบาทของที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นก็ไม่ได้ต่างกับครูประจำชั้น ทว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั้นส่วนมากควบตำแหน่งอาจารย์ประจำสาขาไปด้วย

ที่ปรึกษามีชื่อว่าหวาลี่

ช่วงนี้หวาลี่ให้ความสนใจกับหลินเยวียนมาตลอด เพราะผลการเรียนของหลินเยวียนนั้นดีขึ้นในเวลาอันสั้น นักศึกษาส่วนมากไม่ได้มุ่งมั่นเรื่องผลการเรียนมากนัก มาตรฐานอยู่ที่ระดับผ่านเกณฑ์ไม่ต้องเรียนซ้ำ แต่หลินเยวียนกลับต่างออกไป เขาตั้งใจเรียน มานะบากบั่น ถึงแม้ว่าตอนที่เพิ่งย้ายมาสาขาการประพันธ์เพลงจะตามไม่ค่อยทัน ทว่าในการสอบครั้งที่ผ่านมา หลินเยวียนก็ติดห้าอันดับแรกของเซคแล้ว

หวาลี่ชื่นชอบนักศึกษาประเภทนี้

ส่วนความชื่นชอบประเภทที่เอาไปปะปนกับปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องหน้าตานี่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความแล้ว ถึงอย่างไรหวาลี่ก็ชื่นชมหลินเยวียนอย่างมากที่สร้างชื่อเสียงให้กับชั้นเรียน คำชมของเธอยาวนานต่อเนื่องสามนาทีเต็มๆ

เมื่อกล่าวชมเชยหลินเยวียนเสร็จ

หวาลี่จึงโยงเข้าสู่ประเด็นหลักในวันนี้ “พวกเราเรียนการประพันธ์เพลงมาเกือบสองปีแล้ว เชื่อว่าทิศทางและเป้าหมายในการเติบโตในอนาคตของพวกคุณส่วนใหญ่น่าจะไม่ใช่การแต่งโน้ตเพลง แต่เป็นการเข้าไปเป็นนักประพันธ์เพลงในบริษัทบันเทิง”

โน้ตเปียโนเป็นงานของนักประพันธ์เพลง

เขียนทำนองเพลงของเพลงฮิตติดชาร์ตก็เป็นงานของนักประพันธ์เพลงเช่นกัน

อย่างแรกนั้นมาตรฐานสูงเกินไป อย่างหลังค่อนข้างเป็นที่นิยมกว่า

ดังนั้นในวิชาเฉพาะทางสาขาประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว แม้ชื่อจะเน้นไปทางอย่างแรก แต่ก็ไม่เคยมองข้ามการชี้แนะและบ่มเพาะอย่างหลัง

เฉกเช่นในครั้งนี้

หวาลี่กล่าวว่า “ภารกิจในบทเรียนของพวกเราหลังจากนี้ จะไม่ใช่การเขียนปริญญานิพนธ์ แต่ทุกคนจะต้องเขียนเพลงมาให้ฉัน ไม่จำกัดสไตล์เพลง ส่วนเรื่องเนื้อร้องกับการขับร้อง พวกคุณไปหาคน หรือว่าจะทำเองก็ได้ ไม่ต้องจ่ายตังค์ ในวิทยาลัยเรามีสมาคมของแต่ละสาขาที่คอยช่วยเหลือกันอยู่ ระยะเวลาสร้างสรรค์ผลงานถึงสิ้นเดือนหน้า”

“ครับ/ค่ะ”

บรรดานักศึกษาต่างกระตือรือร้นอยากลองดู นี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรสำหรับนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลง คนจำนวนมากมีเพลงที่เคยเขียนไว้ตั้งเยอะแยะ มีคลังเพลงเก็บเอาไว้ ถึงขั้นที่ส่งต้นฉบับให้กับบริษัทบันเทิงด้วย

“เตือนพวกคุณเรื่องหนึ่งก่อน”

หวาลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คะแนนของเพลงในครั้งนี้สำคัญมาก พูดให้ชัดก็คือ นี่เป็นการประเมินพวกคุณในปีการศึกษานี้! หัวหน้าสาขาการประพันธ์เพลงจะให้คะแนนด้วยตัวเอง เพราะปีนี้พวกคุณอยู่ปีสอง ปีหน้าก็ปีสามแล้ว ปีสามจะคัดเลือกโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยน คะแนนของเพลงเป็นปัจจัยสำคัญของโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยน”

“อะไรนะ”

“จริงปะเนี่ย”

“ประเมินประจำปีการศึกษา?”

เสียงของทุกคนในตอนนี้แหลมสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!

ใบหน้าของคนจำนวนมากถึงกับฉายแววความตื่นเต้น เก็บความคิดที่จะเล่นสนุกตามอำเภอใจเอาไว้ก่อน

ใช่แล้ว

นักศึกษาส่วนมากสนใจการเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน เพราะประสบการณ์นี้ มีส่วนช่วยในการหางานหลังจากเรียนจบเป็นอย่างมาก!

ยิ่งไปกว่านั้น นักศึกษาแลกเปลี่ยนยังจะได้สัมผัสการเรียนการสอนในต่างมหาวิทยาลัย ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปีจากการแลกเปลี่ยน สำหรับหลายคนแล้วนับว่าล้ำค่าเหลือเกิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่ทางวิทยาลัยจะจัดสรรให้กับนักศึกษาแลกเปลี่ยนด้วย!

“นักศึกษาแลกเปลี่ยน”

หลินเยวียนแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด

ครั้งก่อนหลังจากเจี่ยนอี้บอกว่าจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว อันที่จริงหลินเยวียนเองก็กำลังใคร่ครวญอยู่เช่นกันว่าจะไปฉีโจวเป็นเพื่อนเจี่ยนอี้ดีไหม ถึงยังไงหลังจากนี้เวลาที่ทุกคนจะได้อยู่ด้วยกันก็มีน้อยลงเรื่อยๆ แถมเขายังสนใจสวัสดิการของนักศึกษาแลกเปลี่ยนด้วย

ส่วนซย่าฝาน…

ซย่าฝานต้องอยู่ที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวต่ออย่างแน่นอน

เธอจะเข้าร่วมรายการ ‘สะพรั่ง’ ในปีนี้

เธอยังคิดจะใช้รายการนี้เป็นช่องทางเดบิวต์

นี่คือความฝันตลอดหลายปีของเธอ ถ้าหากเธอได้เดบิวต์จริงๆ หลังจากนี้เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยก็จะมีไม่มากแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ การไปฉีโจวก็เป็นตัวเลือกที่หลินเยวียนสามารถพิจารณาได้อย่างจริงจัง

เพราะหลินเยวียนมั่นใจ

ซย่าฝานจะได้เดบิวต์อย่างแน่นอน

ต่อให้ปีนี้เธอไม่ได้ไปต่อในรายการสะพรั่งอีกครั้ง หลินเยวียนก็จะขอร้องให้จ้าวเจวี๋ยเซ็นสัญญากับซย่าฝานไว้ ขณะเดียวกันทางเขาเองก็จะเตรียมเพลงไว้ให้ซย่าฝานด้วย

ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว บทเพลงในครั้งนี้ก็ต้องตั้งใจทำเป็นอย่างดี

ตกเย็น

ระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน หลินเยวียนเรียกระบบ ข่มกลั้นความเจ็บปวดใจ “ฉันอยากสั่งทำเพลง เอาแบบเพลงละห้าแสนหยวน”

“ประเภทไหน”

หลินเยวียนตอบ “เกี่ยวกับการให้กำลังใจ”

เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องประเภท แต่กลับพูดถึงธีมหลักของเพลง เพราะนักศึกษายังไม่ได้เข้าสู่โลกแห่งการทำงาน เขียนเพลงให้กำลังใจสักหน่อยน่าจะเข้ากับบรรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัย

“กำลังหักเงิน…”

“กำลังสุ่มเลือกเพลง…”

“เลือกเพลงสำเร็จ…”

“ยินดีด้วยโฮสต์ได้รับเพลง ‘ความฝันแรก’”

ระหว่างการบรรยายคร่าวๆ หลินเยวียนได้รับข้อความว่าเงินในบัญชีน้อยลงห้าแสนหยวน ขณะเดียวกันในคลังไอเทมก็มีเพลงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเพลง หลินเยวียนรู้สึกว่ามือดีไม่เบาเลย

“จริงสิ”

ทันใดนั้นหลินเยวียนก็ถามขึ้น “หักเงินจากธนาคารจะไม่มีปัญหาเหรอ”

ระบบตอบ “ไม่ต้องเป็นห่วง ทางธนาคารตรวจสอบปัญหาอะไรไม่ได้หรอก เพราะระบบหักเงินของโฮสต์ตามช่องทางปกติ”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนตัดสินใจว่าเดือนหน้าจะส่งเพลงนี้

ด้วยผลการเรียนในเทอมนี้ของเขา บวกกับเพลงนี้ ถ้าอยากได้โควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

แน่นอนว่า

ภาคการศึกษานี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ ยังเหลือเวลาอีกนานโขกว่าจะถึงภาคการศึกษาหน้า ดังนั้นจะมาคิดในตอนนี้ก็ยังอีกไกล หลินเยวียนเพียงแค่เตรียมตัวล่วงหน้า

……………………………………………………

หลังจากที่นักศึกษาสาขาจิตรกรรมเงียบงันไปหลายวินาที ในห้องเรียนอันเงียบงัน ก็พลันมีเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ!

“แม่เจ้าโว้ย!”

“นี่มันเทพเซียนจากไหนเนี่ย”

“ก่อนหน้านี้ใครมันบอกฟระว่าท่านเทพฝีมือสีกวอชไม่ดี เลยให้พวกเรามาช่วย แบบนี้บ้านแกเรียกว่าไม่ดีเรอะ”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“ถ้าแบบนี้เรียกไม่ดี เด็กจิตรกรรมทั้งหมดควรเก็บของกลับบ้านเลยนะ กลับบ้านไปแล้วแม่ก็ต้องถามอีกว่าจะคุกเข่าวาดรูปทำไม”

“พวกเรามาช่วยจริงๆ นั่นแหละ”

“ไม่ได้มาช่วยวาดรูปนะ แต่มาช่วยยกน้ำถือพู่กันจับเก้าอี้ถือจานสีต่างๆ”

“…”

นักศึกษากลุ่มนี้งงไป

เฉาปินหัวหน้าห้องก็งงเหมือนกัน

เขาคิดว่าหลินเยวียนเรียกรุ่นพี่สาขาจิตรกรรมมาช่วยวาดภาพ แต่เขานึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะเรียกคนกลุ่มนี้มาก็เพื่อให้รุ่นพี่สาขาจิตรกรรมซึ่งถนัดเฉพาะทางมาเป็นผู้ช่วย!

นี่มันเรียกว่าแค่มีมือก็ใช้ได้ไม่ใช่เหรอ?

จงอวี๋กลืนน้ำลายลงคอ อ้าปากพูดอย่างยากลำบาก “ที่แท้นอกจากสเก็ตช์ภาพแล้ว สีกวอชท่านก็สุดยอดขนาดนี้เลยเหรอ”

ขอเสริมเกร็ดความรู้เรื่องวิจิตรศิลป์สักหน่อย

การสเก็ตช์ให้ความสำคัญระหว่างรูปทรงและพื้นที่ แต่สีกวอชนั้นเป็นการถ่ายทอดสีสันและองค์ประกอบแวดล้อม หากจะต้องกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเภทนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของมิติซึ่งทุกคนล้วนให้ความสำคัญ ดังนั้นจิตรกรส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปเพียงทิศทางเดียว

บ้างก็เชี่ยวชาญการสเก็ตช์

บ้างก็เชี่ยวชาญสีกวอช

บ้างก็เชี่ยวชาญสีน้ำมัน

บ้างก็เชี่ยวชาญภาพวาดน้ำหมึก

นอกเหนือจากแขนงที่ตนถนัดแล้ว เมื่อจิตรกรชื่อดังบางคนเหยียบย่างเข้าไปในจิตรกรรมแขนงอื่นๆ โดยพื้นฐานแล้วฝีมือจะไม่แย่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีน้อยเหลือเกินที่จะแตะได้ถึงระดับเดียวกับแขนงที่ตนถนัด

เพราะฉะนั้น…

ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแต่คิดไปโดยปริยายว่าหลินเยวียนเป็นศิลปินประเภทหนึ่งซึ่งค่อนข้างถนัดไปทางการสเก็ตช์ ใครจะไปคิดว่าหลินเยวียนจะเป็นอัจฉริยะที่ชำนิชำนาญทั้งการสเก็ตช์และสีกวอชในเวลาเดียวกัน

นี่สิถึงจะเรียกว่าเทพตัวจริง!

ต้องเข้าใจว่าคนที่มานั่งกันอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญสีกวอชกันทั้งนั้น แต่ในตอนนี้นักศึกษากลุ่มนี้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือสีกวอชของปีสามคณะวิจิตรศิลป์ ก็เข่าอ่อนลงไปแล้ว ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

“ท่านเทพสอนสีกวอชฉันหน่อย!”

คำพูดนี้เตือนสติทุกคน ชั่วขณะนั้นก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ นักศึกษาทั้งกลุ่มต่างคนต่างแย่งกันพูด “อ๊าาาา ฉันจะเรียนสีกวอชกับท่านเทพ!”

“ท่านเทพมองผมหน่อย!”

“ขอร้องละท่านเทพสอนฉันหน่อย!”

สอนคนจนกลายเป็นยอดฝีมือด้านการสเก็ตช์ตั้งกลุ่มหนึ่ง ฝีมือในการสอนของหลินเยวียนเป็นประจักษ์แล้ว ในตอนนี้หลินเยวียนแสดงความสามารถในการใช้สีกวอชอีก คนกลุ่มนี้ย่อมรู้ว่าโอกาสนี้หาได้ยากมากแค่ไหน แต่ละคนดูเหมือนคลุ้มคลั่งไปอย่างไรอย่างนั้น!

“ชั่วโมงละห้าร้อยหยวนครับ”

สีหน้าของหลินเยวียนไม่เปลี่ยนแปลง

จงอวี๋แทรกขึ้นมาด้านหน้าสุดด้วยความตื่นเต้น “พวกนายก็อย่าแย่งกันสิ อยากเรียนสีกวอชก็มาจองคิวที่ฉัน อย่าลืมว่าฉันเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของท่านเทพนะ!”

“หน้าไม่อาย!”

ทันใดนั้นก็มีคนโมโหขึ้นมา “คนมีจิตสาธารณะปลอมๆ อย่างนายต้องเขียนชื่อตัวเองลงไปคนแรกแน่ๆ!”

“…”

แน่นอนว่าถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ทุกคนก็ยังมานัดหมายจองคิวเรียนสีกวอชกับหลินเยวียน และจงอวี๋เองก็ใส่ชื่อตนเองลงไปในคิวแรกจริงๆ โดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น

“ไปละ”

หลินเยวียนบอกกับเฉาปินประโยคหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป

“ท่านเทพไปไหนอะ”

“ไปกินข้าวที่โรงอาหารครับ”

สมาชิกชมรมจิตรกรรมกลุ่มนี้จึงปรี่ตามไปด้วย แต่ละคนต่างพูดประมาณว่าจะเลี้ยงข้าว เหลือเพียงเฉาปินซึ่งยืนใจลอยอยู่หน้าหนังสือพิมพ์กระดานดำ

เหยียนเมิ่งเจียและฝ่ายศิลป์กินข้าวเสร็จแล้วก็กลับหอพักไป เพราะทุกคนรู้ว่าหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้หมดหนทางเยียวยาแล้ว ทว่าจู่ๆ เฉาปินก็โทรศัพท์ตามให้พวกเขามา ทั้งหมดจึงลุกขึ้นกลับห้องเรียน

“น่าจะมาผิดห้องนะ”

เมื่อมาถึงห้องเรียนของอาคารตะวันออก หลังจากที่เหยียนเมิ่งเจียเดินเข้ามาแล้วเห็นหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็หันหลังไปพูด

“หา?”

ผู้ชายด้านหลังของเหยียนเมิ่งเจียก็เดินเข้าประตูมามองเช่นกัน แต่ก็ชะงักไป “เหมือนจะมาผิดห้องจริงๆ นะ นี่อาคารไหนเนี่ย”

“ไม่ผิดนะ”

นักศึกษาด้านหลังมองเห็นแผ่นหลังของเฉาปินด้านหน้ากระดานดำ “นั่นไม่ใช่หัวหน้าห้องเราเหรอ”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน

ผ่านไปหลายวินาที พวกเขาก็กรูเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกัน ยืนเหม่อมองภาพวาดทิวทัศน์ของหนังสือพิมพ์กระดานดำ ราวกับสะกดจุดไว้อย่างไรอย่างนั้น

“พวกนายมาแล้วเหรอ”

เฉาปินหันหลังมาเห็นเหยียนเมิ่งเจีย จึงพูดว่า “ฉันต้องไปกินข้าวแล้ว ไม่รู้ว่าโรงอาหารปิดไปหรือยัง”

“นี่คือ?”

เหยียนเมิ่งเจียมองหนังสือพิมพ์กระดานดำอย่างตกตะลึง ชั่วขณะนั้นก็งุนงงอยู่บ้าง หนังสือพิมพ์กระดานดำก่อนหน้านี้ก็ลบไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยภาพวาดทิวทัศน์ที่ชวนให้ประหลาดใจ

ช่วงพักกลางวันของพวกเขาเพิ่งจะผ่านมาประมาณสองชั่วโมงเองล่ะมั้ง?

เวทมนตร์?

เป็นเวทมนตร์ใช่มั้ย

เฉาปินเข้าใจปฏิกิริยาของทุกคนเป็นอย่างดี จึงยิ้มพลางอธิบาย “หลินเยวียนเป็นคนวาด”

ผู้ชายด้านหลังเหยียนเมิ่งเจียรู้สึกไม่แน่ใจ “หลินเยวียนที่พวกเรารู้จักน่ะเหรอ”

เฉาปินไม่ได้ตอบ แต่กลับมองไปยังเหยียนเมิ่งเจีย “หลินเยวียน ผู้รับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำให้ใส่ชื่อพวกนาย แต่ฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่งั้นเขียนชื่อพวกนายไว้ข้างหลังก็แล้วกัน ได้หน่วยกิตด้วย”

“อื้มๆ”

เหยียนเมิ่งเจียแทบจะตอบรับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

……

ช่วงบ่ายยังมีคลาสเรียนอีก เมื่อหลินเยวียนกินข้าวเสร็จและกลับมาถึงห้องเรียน ก็มีคนในชั้นตะโกนขึ้นมาว่า

“หลินเยวียนมาแล้ว!”

“หลินเยวียนเจ๋งสุดยอด!”

“นายเป็นคนวาดหนังสือพิมพ์กระดานดำเหรอ?”

“สองชั่วโมงก็วาดออกมาได้?”

ทุกคนล้วนมองไปยังหลินเยวียน ราวกับว่ารู้จักเขาใหม่อีกครั้ง

เหยียนเมิ่งเจียเดินมาข้างหลินเยวียน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณนะ”

“อื้ม”

หลินเยวียนนั่งลงในที่ของตน

เพื่อนในห้องต่างก็ผุดยิ้มอย่างรู้กัน ไม่ได้รู้สึกแปลกต่อปฏิกิริยาเช่นนี้ของหลินเยวียนแม้แต่นิดเดียว

หยิ่งเหรอ?

ไม่เลย

นี่มันหลินเยวียนมากต่างหาก

ในตอนนั้นมีการเคลื่อนไหวดังมาจากระเบียงทางเดิน อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ซึ่งรับผิดชอบการตรวจหนังสือพิมพ์กระดานดำมาถึงแล้ว และผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือข่งอัน ผู้ทรงคุณวุฒิของคณะวิจิตรศิลป์!

นักศึกษาทุกคนยืนขึ้นทันที

คณะกรรมการตัดสินทยอยกันเดินเข้ามา ข่งอันผู้ซึ่งเดินนำมาด้านหน้าสุดมองไปยังหนังสือพิมพ์กระดานดำ แล้วก็ต้องชะงักงัน

ไม่เพียงข่งอัน

อาจารย์สอนสีกวอชด้านหลังของเขาอีกหลายคน ก็ถลึงตาจ้องมองอย่างอดไม่ได้ หนังสือพิมพ์กระดานดำนี่เป็นระดับที่นักศึกษาทำได้หรือ?

พวกเขาจ้างคนจากข้างนอกมาล่ะมั้ง

หรือว่าอาจารย์คนไหนแอบมาช่วย

ผ่านไปชั่วครู่ ข่งอันถึงได้ค่อยๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง “หนังสือพิมพ์กระดานดำของพวกคุณใครเป็นคนทำ”

“หลินเยวียน!”

เหยียนเมิ่งเจียตอบเป็นคนแรก

หลินเยวียนทำได้เพียงยกมือขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ

ความคลางแคลงใจของข่งอันมลายหายไปในชั่วพริบตา

เขามองหลินเยวียน แล้วหันไปมองกระดานดำ มองหลินเยวียนอีกครั้ง แล้วหันไปมองหนังสือพิมพ์กระดานดำ แล้วมองหลินเยวียน แล้วมองหนังสือพิมพ์กระดานดำ แล้วมองหลินเยวียน…

จากนั้น เขาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าแลดูซับซ้อนอยู่สักหน่อย “คุณวาดคนเดียวเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “ครับ”

ข่งอันขยับเข้าไปใกล้หนังสือพิมพ์กระดานดำเพื่อดื่มด่ำผลงานเงียบๆ กล่าว “ที่แท้คุณก็วาดสีกวอชได้ดีขนาดนี้ด้วย เพียงแต่รายละเอียดบางอย่างยังไม่แม่นยำมากพอ มีพื้นที่สำหรับพัฒนาได้อีก”

“…”

ขอร้องละ กระดานดำที่ใหญ่ขนาดนี้ มีเวลาวาดแค่สองชั่วโมง จะไปเก็บรายละเอียดทั้งหมดได้ยังไง

เหยียนเมิ่งเจียและคนอื่นๆ อยากพูดออกไป แต่ในเมื่อหลินเยวียนไม่ได้พูด พวกเขาจึงทำได้แค่อดทนไว้

ในยามนั้นอาจารย์คนหนึ่งมองไปยังหลินเยวียน “ศาสตราจารย์ตั้งมาตรฐานสูงเกินไปแล้วครับ สำหรับผม ภาพนี้สมบูรณ์แบบมากแล้ว แค่สีดูเหมือนกับไม่แห้งดี?”

หลินเยวียนตอบ “ช่วงนี้ฟ้าครึ้ม เลยชื้นนิดหน่อยครับ”

ทุกคนในห้อง “…”

ลูกพี่ ทำไมไม่บอกไปล่ะว่าที่สียังไม่แห้ง เก็บรายละเอียดไม่ดี ก็เพราะที่จริงแล้วนายใช้เวลาสองชั่วโมงเร่งวาดหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้ออกมา

เอาเถอะ

เขาขี้เกียจจะอธิบาย

จุดนี้ก็หลินเยวียนมากอยู่ดี

……………………………………

เมื่อต่อสายติด หลินเยวียนพูด “ตอนนี้พี่มีเวลามั้ยครับ”

จงอวี๋หนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูกับไหล่ “ฉันกินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร ท่านเทพมีเรื่องอะไรบัญชามาได้”

หลินเยวียนพูด “กินข้าวเสร็จ รบกวนพี่ช่วยหยิบอุปกรณ์สีกวอชมาที่ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออกหน่อยนะครับ”

“ไปทำอะไร”

“ทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ”

จงอวี๋ชะงักไป ก่อนจะตอบทันควัน “ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

พูดจบ จงอวี๋ก็วางมือจากข้าว ลุกพรวดขึ้นมา “พวกนายไปกับฉันเร็ว”

“ฮะ?”

ข้างๆ จงอวี๋มีเพื่อนอยู่อีกไม่น้อย ต่างก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

จงอวี๋บอก “ทางท่านเทพเหมือนจะอยากทำหนังสือพิมพ์กระดานดำน่ะ”

ทุกคนล้วนแต่อึ้งงันไปชั่วขณะ “ท่านเทพอยู่กลุ่มปีสองสินะ หนังสือพิมพ์กระดานดำของกลุ่มปีสองตัดสินช่วงบ่ายแล้วนะ เวลากระชั้นเกินไปหรือเปล่า”

จงอวี๋พูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “แล้วยังจะกินอยู่ทำไมล่ะค้าบ”

ทุกคนพลันได้สติ หลุดหัวเราะออกมา “นั่นสิ พวกเราเด็กอาร์ตมารวมกลุ่มกันแบบนี้ หนังสือพิมพ์กระดานดำจะไปคณามือได้ไง ท่านเทพเตรียมจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำด้วยสีกวอชเหรอ”

“อื้ม เก็บของเร็ว”

จงอวี๋ขยับตัว พลางส่งข้อความเข้ากลุ่ม ‘คลาสของท่านเทพจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ คนที่เก่งสีกวอชไปที่สาขาประพันธ์เพลงกันหน่อย ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออก’

พรึ่บๆๆ

ปฏิกิริยาตอบรับในกลุ่มแสนคึกคัก

‘รอแป๊บ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!’

‘ท่านเทพขอมา จะไม่ไปได้ยังไงล่ะ’

‘ท่านเทพจะออกหนังสือพิมพ์กระดานดำ ยังต้องใช้ไก่อ่อนอย่างพวกเราด้วยเหรอ’

‘แกจะงงอะไร ท่านเทพเชี่ยวชาญการสเก็ตช์ ไม่ใช่สีกวอช สองอย่างนี้มันคนละทางกันเลย’

สีกวอชคือสีกวอช

สเก็ตช์คือสเก็ตช์

วาดสีกวอชเป็นอย่างไร วาดสเก็ตช์ได้ดีหรือไม่ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน จิตรกรรมสองประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

‘จริง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ท่านเทพต้องการพวกเรา’

‘ถึงเวลาแสดงให้ท่านเทพเห็นฝีมือการวาดสีกวอชของฉันแล้วว้อย ฉันจะใช้สกิลสีกวอชมากอบกู้ภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีที่หายไปต่อหน้าท่านเทพตอนเรียนสเก็ตช์’

‘พวกแกใจเย็นก่อนนนน หนังสือพิมพ์กระดานดำไม่ได้ใช้คนเยอะขนาดนั้น’

‘ก็ได้ งั้นก็ไปน้อยหน่อย ให้พวกที่คะแนนสีกวอชดีที่สุดในคลาสไปแล้วกัน’

‘ยังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำ เจ็ดแปดคนก็พอแล้ว’

‘…’

ในกลุ่มนั้นแสนคึกคักอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะชื่อของกลุ่มนี้ ก็คือตัวอักษร ‘L’

คนที่เหลือในโรงอาหารไม่กินข้าวกันแล้ว ต่างคนต่างตามจงอวี๋ไป พวกเขาก็เป็นนักเรียนการสเก็ตช์ภาพของหลินเยวียนเหมือนกัน

“นายเรียกใครมาเหรอ”

ในห้องเรียนของสาขาการประพันธ์เพลง เฉาปินมองหลินเยวียนโทรศัพท์อย่างอึ้งงัน

หลินเยวียนตอบ “เพื่อนสาขาจิตรกรรม”

“อยู่ปีไหน”

“ปีสาม”

เฉาปินอ้าปากค้าง ชั่วขณะนั้นก็พลันดีอกดีใจขึ้นมา “ใช่แล้วละ ถ้าถามว่าใครที่จะทำข่าวหนังสือพิมพ์ได้ในเวลาที่สั้นขนาดนี้ ก็มีแค่คนสาขาจิตรกรรมแล้วสินะ แถมยังเป็นรุ่นพี่ปีสามที่มีประสบการณ์อีก! นายเรียกคนมาเยอะๆ เลยนะ พวกเรายังมีความหวังอยู่!”

หลินเยวียนบอก “ฉันเรียกมาคนแค่คนเดียว”

เฉาปินกระวนกระวายขึ้นมาทันที “คนเดียวจะไปพอที่ไหนล่ะ ต้องเรียกมาอีกหน่อยสิ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทันเวลา

นายโทรไปใหม่ได้มั้ย ให้เพื่อนนายขอร้องพวกรุ่นพี่สาขาจิตรกรรม ถึงยังไงกระดานดำก็ใหญ่ซะขนาดนี้ แถมนายอาจไม่รู้เรื่องความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ เมื่อเทอมที่แล้วเหยียนเมิ่งเจียดร็อปเรียนไปเพราะปัญหาสุขภาพ หน่วยกิตเลยไม่ค่อยพอ ตอนนี้เธอเป็นกำลังหลักของหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ ถ้าหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ทำผลงานได้ดี เธอก็จะได้หน่วยกิตเป็นรางวัล นายก็รู้กฎของวิทยาลัยเรา หน่วยกิตไม่พอไม่ยอมให้จบแน่ หนังสือพิมพ์กระดานดำเกิดปัญหาในครั้งนี้ที่จริงแล้วทำให้เหยียนเมิ่งเจียเสียใจมาก แต่เธอก็ไม่ได้โทษเพื่อนคนที่เป็นเวรเมื่อวานหรอก…”

เฉาปินยิ่งพูดยิ่งกระวนกระวานใจ

เขาเป็นหัวหน้าห้องที่ดีจริงๆ

ทว่าขณะกำลังพูดอยู่นั้น เสียงของเฉาปินก็หยุดลงฉับพลัน มองไปทางหน้าต่างอย่างอึ้งงัน

ทันใดนั้นที่ระเบียงทางเดินก็ปรากฏกลุ่มคนมืดฟ้ามัวดิน พวกเขากรูกันเข้ามาทางประตูใหญ่ของห้องเรียน เป็นเพราะจำนวนคนเกินกว่าที่คาดไว้สักหน่อย ท้ายที่สุดแล้วประตูหน้าห้องจึงดูเบียดเสียดขึ้นมาถนัดตา

“แบบนี้นายเรียกว่าคนเดียวเหรอ”

เฉาปินเหลือบมองหลินเยวียนด้วยความสับสน

หลินเยวียนเองก็ประหลาดใจ หัวโจกคือจงอวี๋ ทว่ากลุ่มคนด้านหลังของจงอวี๋คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นนักศึกษาชมรมจิตรกรรมที่หลินเยวียนเคยสอน

จงอวี๋ยิ้มแย้ม “ท่านเทพ”

หลินเยวียนพยักหน้า ไม่พูดให้มากความ “เวลากระชั้นมาก รบกวนพี่ช่วยจัดสีให้ผมหน่อยครับ”

ในตอนนั้นจงอวี๋กำลังคิดโครงภาพของหนังสือพิมพ์กระดานดำ จนไม่ทันได้ฟังคำพูดของหลินเยวียนให้ชัดเจน

รีบพูดขึ้นมาว่า “เวลากระชั้นมาก ใครก็ได้มาเตรียมสีที อีกอย่างอย่าลืมรองน้ำมาหน่อยด้วย แต่ละฝ่ายเร่งมือหน่อย…”

ระหว่างที่พูด

จงอวี๋ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาภาพจากอินเทอร์เน็ต อันที่จริงหนังสือพิมพ์กระดานดำจัดอยู่ในศิลปะประเภทคัดลอกภาพ ตราบใดที่หารูปต้นฉบับออกมาได้ดีก็ใช้ได้แล้ว

ผ่านไปไม่กี่นาที

จงอวี๋ก็หาภาพที่ค่อนข้างถูกใจได้ภาพหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเขาหันหลังไป กลับพบว่าทุกคนยืนอึ้งจ้องมองไปยังกระดานดำ ประหนึ่งนิ่งค้างไปแล้ว

“เป็นอะไรกัน”

จงอวี๋จึงมองไปยังกระดานดำบ้าง จากนั้นเขาก็เห็นภาพอันน่าตกตะลึงอย่างสุดแสน

เพียงแค่เห็นหลินเยวียนกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ซึ่งจัดวางอย่างมั่นคง หยิบแปรงขนาดใหญ่ออกมา ทาสีพื้นลงไปหนึ่งชั้นด้วยความเร็วสูง แม้แต่ขั้นตอนการสเก็ตช์โครงภาพด้วยชอล์กก็ถูกข้ามไปเลย จากนั้นก็ใช้พู่กันขนาดใหญ่ตวัดวาดโครง ร่างของทิวเขาทอดยาวสีเทาแกมเขียวเส้นคมชวนมองอย่างรวดเร็ว!

นักศึกษาทั้งสองคนรับผิดชอบถือจานสี

หลินเยวียนเปลี่ยนเป็นพู่กันที่หนาขึ้น ราวกับไม่จำเป็นต้องขบคิด ตวัดพู่กันจากนั้นก็จุ่มสีอีกหลายสี ผสมสีออกมาอย่างแม่นยำ สีชั้นแล้วชั้นเล่าถูกระบายลงไป ก็ถ่ายทอดรายละเอียดของทิวเขาออกมาได้อย่างแจ่มชัด!

สามนาที…

เจ็ดนาที…

สิบห้านาที…

สามสิบสองนาที…

เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา ทุกคนล้วนมองดูหลินเยวียนแต่งแต้มสีสันลงบนกระดานดำ ในยามนี้กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญสีกวอชในคณะวิจิตรศิลป์ทำได้เพียงอยู่ในฐานะตัวละครซึ่งถือจานสีให้หลินเยวียน กระนั้นแล้วก็ไม่มีใครไม่พอใจ สายตาของพวกเขาแลดูราวกับมีแสงประกาย!

“พรึ่บๆๆ”

หลินเยวียนใช้ความเร็วสูงสุดวาดภาพที่หยาบที่สุด เขาประหนึ่งว่าสามารถท่องจำได้ว่าสีใดสามารถผสมออกมาได้เป็นสีใด เขาคล้ายกับว่าจะไม่สนใจโครงร่างชั้นล่าง ทุกการจรดพู่กันนั้นแม่นยำราวกับว่าได้วาดโครงภาพไว้ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว

“ตึ้ง”

มีคนเปลี่ยนจานสี นักศึกษาที่ถือจานสีก็เปลี่ยนกันอีกสองคน ถึงอย่างไรการยกจานสีไว้สูงๆ แบบนี้ก็เมื่อยมากทีเดียว

หลินเยวียนสมาธิแน่วแน่

เมื่อกำหนดโทนสีแล้ว ขนาดของพู่กันที่ใช้ก็เล็กลงเรื่อยๆ ในทะเลมีแพไม้ไผ่ บนแพไม้ไผ่มีคนสวมหมวกฟางสาน ด้วยความแตกต่างระหว่างความเข้มและสว่างของแสง ภาพนี้คล้ายกับว่ามีไดนามิกขึ้นมา

ทิวเขาเขียวชอุ่ม!

น้ำตกเร่งเร็ว!

กระแสน้ำเชี่ยวกราก!

ดิ่งลงรุนแรง!

เวหาสูงเมฆาล้ำ!

การแสดงฝีมือของของหลินเยวียนอลังการงานสร้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในวงแขนของเขามีพู่กันสามด้าม ปากคาบพู่กันหนึ่งด้าม มือซ้ายขวายังถือพู่กันอีกหนึ่งด้าม ใช้เสร็จด้ามหนึ่งก็โยนทิ้งไป นอกจากผสมสีแล้ว สายตาของเขาแทบไม่ได้ละไปจากกระดานดำเลย

ริมฝั่งมีสิ่งก่อสร้างไร้นาม

ในน้ำมีปลาไม่ทราบสายพันธุ์แหวกว่าย

บนหาดทรายมีปูเดินไปมา

บนเส้นขอบฟ้ามีเรือใบสีขาวแล่นฉิวตามแรงลม

เมื่อพู่กันขนาดเล็กตัดเส้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนรู้สึกว่าทั้งคอและมือล้วนเมื่อยขบ ทั้งร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนล้า

และบนกระดานดำ

ขุนเขาและท้องทะเลเชื่อมโยงถึงกันแล้ว ต้นสนเร้นในเมฆหมอกกลางเชิงเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงส่องรัศมี หมู่นกนางนวลและสายธารแห่งสารทฤดูหลอมรวมเป็นสีเดียวกับท้องนภา

จรดพู่กันสะท้านปฐพี!

ในตอนนั้น นักศึกษาที่รับผิดชอบการผสมสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการถือจานสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการรองน้ำให้หลินเยวียน และรับผิดชอบการล้างจานสีให้หลินเยวียน ก็เกิดความรู้สึกสองอย่างกำลังโรมรันพันตูกันอยู่ในใจ

เป็นเกียรติ และน้อยใจ

…………………………………………………..

หลินเยวียนกลายเป็นคนดังของชมรมจิตรกรรม นักศึกษาซึ่งเรียนเฉพาะทางด้านการสเก็ตช์ก็ยิ่งยกหลินเยวียนไว้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังคงไม่ได้มีผลกับเขามากนัก

ในฐานะที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค นักเรียนในแต่ละคณะมีมากมายนับไม่ถ้วน คนดังหลากหลายประเภทมีเยอะแยะไปหมด

ถ้าหากไม่ใช่คนดังที่มีคนติดตามอย่างใกล้ชิด ใครจะไปจำได้ล่ะ

วันเวลาต่อจากนั้น

ชีวิตของหลินเยวียนก็ยังเป็นดังเดิม

เช้าตรู่ของวันนี้ หลินเยวียนลืมตาขึ้น พบว่านอกห้องพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ

หัวคิ้วของเขาขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะออกไปข้างนอกไม่สะดวกเอาซะเลย ช่วงสายวันนี้เขามีตารางเรียนแน่นมาก

ในตอนนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เป็นซุนเย่าหั่วที่โทรศัพท์มา

น้ำเสียงของเขาฟังดูระมัดระวัง “รุ่นน้อง คงไม่ได้โทรมารบกวนหรอกใช่มั้ย ครั้งก่อนจะพูดเรื่องอัดเพลงหรอกเหรอ พวกเราจะอัดเสียงเมื่อไหร่ล่ะ ทางฉันรอรับคำสั่งตลอดเวลา!”

“เดี๋ยวผมแจ้งไปนะครับ”

หลินเยวียนมองไปทางหน้าต่าง “รุ่นพี่ซุน ตอนนี้พอจะมีเวลาช่วยผมหน่อยได้มั้ย”

“ช่วยอะไรเหรอ”

“ขับรถมารับผมไปเรียนหน่อยฮะ” หลินเยวียนจำได้ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วซื้อรถแล้ว ครั้งก่อนตอนกินข้าวก็ยังเอ่ยถึงเรื่องนี้

“นายส่งที่อยู่มาเลย”

ซุนเย่าหั่วไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่ายุ่งยาก มิหนำซ้ำน้ำเสียงยังฟังดูตื่นเต้น ดังนั้นหลินเยวียนรู้สึกว่า บางทีรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วอาจชื่นชอบความรู้สึกเวลาขับรถแบบนี้ก็ได้

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเยวียนนั่งรถของซุนเย่าหั่วมาถึงวิทยาลัย

หลังจากจอดรถ ซุนเย่าหั่วก็กางร่มสีดำคันหนึ่ง รีบลงจากรถ ใช้ร่มกางเหนือประตูฝั่งหลินเยวียน พลางช่วยเปิดประตูด้านหลังให้หลินเยวียน

ขอบเขตที่ร่มสามารถกันฝนได้นั้นมีจำกัด ทำให้ร่มบังแผ่นหลังของเขาไม่มิด และถูกฝนสาดจนเปียกชุ่ม

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังกำชับหลินเยวียนอีกว่า “รุ่นน้องระวังด้วย”

“ขอบคุณครับรุ่นพี่”

“เรื่องแค่นี้ขอบคุณอะไรกัน วิทยาลัยไม่ให้ฉันเข้าไป นายอยู่สาขาการประพันธ์เพลงใช่มั้ยล่ะ จะให้ฉันช่วยกางร่มไปมั้ย” ใบหน้าของซุนเย่าหั่วเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกครับ”

“งั้นนายเอาร่มไปใช้”

ซุนเย่าหั่วยิ้มพลางส่งร่มให้หลินเยวียน ส่วนตนก็ใช้มือกำบังศีรษะ ก่อนจะรีบกลับเข้าไปในรถ โบกมือลาหลินเยวียนอย่างกระตือรือร้นเฉกเช่นที่เคยเป็นมา

“บ๊ายบายครับ”

หลินเยวียนโบกมือ จากนั้นก็ถือร่มเดินไปยังห้องเรียน

เมื่อวางร่มเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนก็พบว่าบรรยากาศของห้องเรียนนั้นผิดแปลกไป

แม้แต่หัวหน้าห้องที่ปกติแล้วจะร่าเริงสดใส วันนี้กลับดูห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาราวกับกับมะเขือแช่แข็ง

ทุกคนกำลังบ่นกันว่า

“เมื่อวานเวรใครอะ ตอนออกไปไม่ได้ปิดหน้าต่างด้วย”

“วันอื่นไม่ปิดหน้าต่างก็ว่าไปอย่าง อย่างมากน้ำก็เข้าห้องเรียนนิดๆ หน่อยๆ แต่ครั้งนี้ยุ่งเลย หนังสือพิมพ์กระดานดำที่พวกเรากว่าจะทำเสร็จ ถูกลบไปหมดเลย!”

“นั่นสิ”

“เพราะว่าไม่ได้ปิดหน้าต่าง หนังสือพิมพ์กระดานดำที่หัวหน้าห้องกับฝ่ายศิลป์ทำมาครึ่งเดือนกว่าจะเสร็จ ตอนนี้ถูกลบทิ้งไปเกินครึ่ง”

หนังสือพิมพ์กระดานดำเขียนด้วยชอล์ก

เครื่องเขียนอย่างชอล์ก เดิมทีก็โดนน้ำไม่ได้อยู่แล้ว พายุฝนกระหน่ำทั้งคืน ย่อมไม่แปลกที่หนังสือพิมพ์กระดานดำจะถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

“จบเห่แล้ว”

“ก็คงต้องทำแก้ขัดไปก่อน แต่ว่าทุกคนก็ไม่ต้องหวังรางวัลแล้วแหละ เพราะมองจากเวลาแล้วไม่ทัน แถมวันนี้พวกเรามีเรียนทั้งช่วงเช้า เวลากระชั้นเกินไป”

“…”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นจึงเหลือบมองหนังสือพิมพ์กระดานดำ

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฝ่ายศิลป์ของเซคก็เริ่มง่วนอยู่กับหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้จริงๆ นั่นแหละ

พวกเขาลงแรงไปมากเพื่อหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้ บางครั้งยุ่งกันอยู่จนดึกดื่นกว่าจะได้กลับหอ

ตอนนี้ผลงานที่หลังขดหลังแข็งทำขึ้นมาได้ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเป็นหลินเยวียนก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

ในตอนนั้น

ผู้หญิงใส่แว่นซึ่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งก็ยกมือขึ้น พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ “เมื่อวานเป็นเวรฉันเอง ฉันรีบเกินไปหน่อยเลยลืมปิดหน้าต่าง ขอโทษทุกคนด้วยนะ…”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้โทษเธอหรอก”

เฉาปินหัวหน้าห้องข่มกลั้นความหดหู่ เอ่ยปลอบ “ไม่มีใครคิดหรอกว่าวันนี้ฝนจะตก เมื่อวานพยากรณ์อากาศก็บอกว่าอากาศแจ่มใส อีกอย่างต้องโทษที่การออกแบบห้องเรียนเราไม่เหมาะสม กระดานดำด้านหลังอยู่ใกล้หน้าต่างเกินไป ห้องอื่นไม่ได้เป็นแบบห้องเรา”

“งั้นตอนนี้ทำไงดีล่ะ”

เสียงของเหยียนเมิ่งเจียซึ่งอยู่ฝ่ายศิลป์ฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย “ช่วงบ่ายจะมีการคัดเลือกหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว อาจารย์ที่รับผิดชอบการตัดสินไม่มีทางสนใจว่าหนังสือพิมพ์กระดานดำของเราถูกฝนสาดหรอก”

ต้องเข้าใจว่า

หนังสือพิมพ์กระดานดำนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เวลาไปครึ่งเดือนกว่าจะทำเสร็จ และทำออกมาได้ดีมาก เพื่อคว้ารางวัลชนะเลิศของกลุ่มชั้นปีที่สอง!

เมื่อปีที่แล้ว

เหยียนเมิ่งเจียนำทีมเพื่อนๆ ในเซคที่วาดภาพได้ สร้างสรรค์หนังสือพิมพ์กระดานดำออกมา แถมยังช่วงชิงบัลลังก์แชมป์ของกลุ่มปีหนึ่งเอาไว้

ในตอนนี้

อีกเพียงครึ่งวันก็จะตัดสินผลการแข่งขัน หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งทำออกมาเสียดิบดีกลับถูกทำลาย และดันแก้ใหม่ไม่ทันแล้วด้วย จนพานให้ทุกคนเหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากด้วยความร้อนรน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะมีการจัดประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำทุกปี

กลิ่นอายของศิลปะบลูสตาร์นั้นเข้มข้น

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะที่เป็นสถาบันศิลปะย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

ฉะนั้นแต่ละชั้นเรียนจะสนอกสนใจการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำมาก

หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งได้รับรางวัลของทุกครั้งจะถูกนำไปโชว์ในเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน ทำให้ทั้งชั้นเรียนได้หน้าไปเต็มๆ วิทยาลัยเองก็อาจให้รางวัลบางอย่าง ถึงขั้นที่ให้หน่วยกิตเพื่อเป็นกำลังใจให้เหล่านักศึกษา เรียกได้ว่าตบรางวัลให้อย่างงาม

“เรียนกันก่อนเถอะ”

หัวหน้าห้องเอ่ยปาก “เวลาที่เหลือค่อยมาจัดการ ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทุกคนเองก็ไม่ต้องเศร้าไป ถึงยังไงทำไม่ดีก็ไม่ได้โดนลงโทษอะไร”

ทุกคนพยักหน้า

ทว่าในคาบเรียนวันนี้ แต่ละคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน โดยเฉพาะคนกลุ่มที่รับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็ยิ่งสีหน้าคร่ำเครียด เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์ซึ่งรับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งนี้ก็อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก

ช่วยไม่ได้

ช่วงพักระหว่างวิชาเรียน

ทุกคนก็ช่วยกันวาดเพิ่มเติม

น่าเสียดายที่ผลลัพธ์จากการแก้ไขในครั้งนี้ไม่ได้ดีเอาซะเลย ความแตกต่างของฝั่งซ้ายและขวานั้นเด่นชัดเกินไป มิหนำซ้ำยังพลอยให้หนังสือพิมพ์กระดานดำแลดูอีรุงตุงนังไปสักหน่อย แถมสไตล์อันเรียบง่ายของฝั่งขวากับความประณีตละเอียดลออของฝั่งซ้ายนั้นช่างไม่เข้ากันแม้แต่น้อย

ช่วงเที่ยงวัน

เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์กับคนอื่นๆ ไม่ได้ออกจากห้องไป ยืนเหม่อมองกระดานดำ จนเฉาปินหัวหน้าห้องทนดูต่อไปไม่ไหว จึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทุกคนไปกินข้าวที่โรงอาหารกันก่อนเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาแก้”

“จะทำยังไงได้อีกล่ะ”

เหยียนเมิ่งเจียยักไหล่ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป

คนอื่นๆ ในทีมหนังสือพิมพ์กระดานดำก็ทยอยตามกันออกไป

เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว เฉาปินกลับไม่ได้ตามไปด้วย เพียงแต่เงยหน้าเหม่อมองกระดานดำซึ่งพอจะถูๆ ไถๆ ไปประกวดได้

ในตอนนั้นเอง

ด้านหลังของเฉาปิน จู่ๆ ก็มีเสียงซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยดังขึ้น “หรือว่า ให้ฉันลองมั้ย”

“อ๋า?”

เฉาปินจึงพบว่า ในห้องเรียนยังมีคนเหลืออยู่อีกคน “หลินเยวียน?”

หลินเยวียนไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเฉาปิน แต่ยังเคยเป็นรูมเมตกับเฉาปินด้วย เพียงแต่ในตอนนี้หลินเยวียนย้ายออกมาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่เลวเลย

น้อยครั้งนักที่จะมีคนเข้ากับหลินเยวียนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฉาปินยังเป็นหัวหน้าห้องซึ่งมีความรับผิดชอบ ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเอาใจใส่หลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงเป็นอย่างดี

“นายวาดรูปได้เหรอ”

แววตาของเฉาปินทอประกายความหวัง

จากนั้นเขาก็ทอดถอนใจออกมาราวกับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “ต่อให้วาดได้ เวลาของพวกเราก็ไม่พอหรอก ช่วงบ่ายก็จะเริ่มตัดสินการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว”

“มีเวลาพอ”

หลินเยวียนพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาจงอวี๋

……………………………………………..

ข่งอันไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสตราจารย์คณะวิจิตรศิลป์ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นแคนดิเดตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์คนต่อไปด้วย

เรื่องนี้ไม่น่าจะพลิกโผไปได้

ด้วยชื่อเสียงและคุณวุฒิของเขา ไปหาอธิการบดีตอนดึกดื่นเพื่อพูดคุยย่อมไม่ใช่ปัญหา

ทว่า ทันทีที่อธิการบดีซือหวายหนานได้ฟังข่งอันพูดเรื่องนี้ สิ่งแรกที่คิดก็คือ

เข้าใจผิดกันหรือเปล่า?

เขาจ้องมองข่งอันด้วยท่าทางจริงจัง กล่าวด้วยความยากลำบาก “คุณบอกว่านักศึกษาปีสามของสาขาจิตรกรรมที่ผลคะแนนดีกลุ่มนั้น เป็นคนที่นักศึกษาปีสองสักคนในสาขาการประพันธ์เพลงสอน?”

“ไม่ผิดแน่ครับ”

แววตาของข่งอันพราวประกาย “อธิการฯ ผมแค่อยากขอร้องคุณเรื่องเดียว ย้ายเจ้าหมอนั่นมาที่คณะวิจิตรศิลป์เถอะ ให้เขาเป็นอาจารย์ก็ได้!”

“คุณบ้าไปแล้วเหรอ”

ซือหวายหนานคลึงขมับ “คุณจะให้นักศึกษาปีสองมาเป็นอาจารยสอนนักศึกษาปีสามคณะวิจิตรศิลป์ของพวกคุณเนี่ยนะ?”

“ไม่ใช่แค่ปีสาม”

ข่งอันกล่าว “เป็นอาจารย์สอนปีสี่ได้สบายๆ เลยด้วยซ้ำ”

อธิการบดีซือหวายหนานชะงักงันไป “เก่งขนาดนั้นเลย?”

ข่งอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผมตรวจสอบดูแล้ว ผลการเรียนของนักศึกษากลุ่มนี้ก่อนหน้านี้ค่อนข้างธรรมดา พอไปเรียนกับหลินเยวียน ฝีมือของแต่ละคนก็ก้าวกระโดดขึ้นมา พูดจากใจจริง ฝีมือการสอนแบบนี้ทำเอาผมละอายใจเลยล่ะ”

“เข้าใจแล้ว”

ซือหวายหนานลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพูด “เรื่องนี้จะให้ผมตกลงคนเดียวไม่ได้ พวกคุณยังต้องเคารพความเห็นขอ งทางนักศึกษา สาขาการประพันธ์เพลง แล้วก็ผู้ปกครองเขาด้วย”

“ได้”

ข่งอันพยักหน้า “พรุ่งนี้ผมจะไปหาเขา ถ้าจับมัดได้จะจับมัดมาเลย!”

ซือหวายหนานยิ้มขื่น แต่ก็รู้ว่าข่งอันเพียงพูดไปเท่านั้น ไม่มีทางจับคนเขามัดมือไพล่หลัง แล้วพาตัวมาคณะวิจิตรศิลป์จริงๆ หรอก

“ไปละครับ”

ข่งอันโบกมือเดินออกไป

ซือหวายหนานมองตามหลัง เขาจดจำชื่อ ‘หลินเยวียน’ ได้เป็นครั้งแรก

วันต่อมา

การสอบใหญ่ประกาศผล เรื่องที่ห้าสิบอันดับแรกในการสอบสเก็ตช์ถูกลูกศิษย์ของหลินเยวียนเข้ายึดครองพื้นที่ ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งคณะวิจิตรศิลป์!

“แม่เจ้าโว้ย”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“นักเรียนที่หลินเยวียนสอนโหดอะไรขนาดนี้เนี่ย”

“ถ้าไม่ลองเสี่ยงก็คงไม่รู้ผลสินะ ตอนแรกฉันรู้สึกว่าแพง ตอนนี้จะราคาเท่าไหร่ฉันก็จะให้หลินเยวียนสอนสเก็ตช์ให้ได้!”

“หลินเยวียนไม่ใช่คนที่เธออยากเรียนก็เรียนได้ แค่นักเรียนที่จองเรียนสเก็ตช์ล่วงหน้า ก็คิวยาวไปอีกสองอาทิตย์แล้ว”

“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยเชื่อใจเขา ตอนนี้โคตรจะเสียดายเลย”

“เอาเงินฟาดซื้อโอกาสเรียนกับหลินเยวียนไปเลยสิค้าบ ใครให้ผมแทรกคิว ผมจ่ายชดเชยให้สองเท่าเลย!”

“ฉันให้สามเท่า!”

“…”

หลังจากกระแสแพร่สะพัดไป เมื่อหลินเยวียนกลับมาที่ชมรมจิตรกรรมอีกครั้ง ก็พบฝูงชนจำนวนมากดังที่คาดไว้

ในขณะเดียวกัน

นักเรียนซึ่งจองคิวเรียนสเก็ตช์กับหลินเยวียนก็แทบจะเต็มจนระเบิด!

หลินเยวียนรู้สึกแปลกใจชอบกล คนที่มานัดเรียนในวันนี้มากเป็นพิเศษ

จงอวี๋แอบยิ้มกรุ้มกริ่ม ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเยวียนด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “ท่านเทพ วันนี้คนมาจองคิวแน่นเอี้ยด เพราะเมื่อวานพวกเราสร้างข่าวใหญ่ ฉันเป็นตัวตั้งตัวตีเลยนะ!”

หลินเยวียนถาม “ใหญ่ขนาดไหนครับ”

จงอวี๋อึ้งไป ขณะที่กำลังจะตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังโหวกเหวกดังมาจากหน้าประตูชมรมจิตรกรรม ก่อนจะเห็นชายชราท่าทางผึ่งผายเดินทอดน่องเข้ามา

ศาสตราจารย์ข่งอันแห่งคณะวิจิตรศิลป์!

จงอวี๋พึมพำว่า “ใหญ่ขนาดนี้แหละ…”

ในตอนนั้นข่งอันก็เดินไปถึงพื้นที่จัดแสดงผลงานของชมรมจิตรกรรมแล้ว

ในมุมของนิทรรศการนั้นเต็มไปด้วยภาพวาดของเหล่าเทพในชมรมจิตรกรรม เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย มองไปยังภาพวาดระดับสูงตรงนั้น สุดท้ายสายตาก็ ไปหยุดที่ภาพสเก็ตช์สองแผ่นทางริมซ้ายซึ่งมีชื่อของหลินเยวียนเขียนไว้

เมื่อเห็นภาพวาดสองภาพนี้

ข่งอันสั่นสะท้านไปทั้งตัว

จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “หลินเยวียนอยู่ไหม”

ทันใดนั้นก็มีนักศึกษาชี้ทาง พาข่งอันไปหาหลินเยวียน

ข่งอันเผยรอยยิ้มเป็นมิตร สายตาซึ่งมองหลินเยวียนนั้นประดุจกำลังมองเพชรน้ำหนึ่งหายาก

“สวัสดีครับ”

เมื่อพบผู้อาวุโส หลินเยวียนจึงลุกขึ้นยืนตามมารยาท

ข่งอันมองประเมินเขา มองไปพลางพยักหน้าไปพลาง “คุณคือหลินเยวียนใช่มั้ย ไม่ต้องตกใจ ผมมาหาคุณก็เพราะอยากถามสักประโยคหนึ่ง สนใจย้ายมาอยู่คณะวิจิตรศิลป์ของเรามั้ย”

“ไม่ครับ”

หลินเยวียนส่ายหน้า

รอยยิ้มของข่งอันชะงักค้าง มองไปยังจงอวี๋ ก่อนจะกระแอมเบาๆ

จงอวี๋เดิมทีก็กระวนกระวายอยู่แล้ว คิดว่าเรื่องที่ตนจัดแจงจะนำพาความซวยมาให้หลินเยวียนซะแล้ว

ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของข่งอัน ในตอนนั้นจึงค่อยเบาใจลง

จากนัยยะของอีกฝ่าย สติสัมปชัญญะของเขาพลันสว่างวาบ กระเถิบเข้าไปกระซิบข้างหูหลินเยวียน “ท่านเทพ นี่คือศาสตราจารย์ข่ง อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ของเรา ทั้งคณะวิจิตรศิลป์ก็มีเขาเนี่ยแหละเป็นคนดูแล…”

หลินเยวียนพยักหน้า “ศาสตราจารย์ข่ง สวัสดีครับ”

ใบหน้าของข่งอันประดับรอยยิ้มอีกครั้ง “มาคณะวิจิตรศิลป์สิ ผมสอนคุณเอง”

ภาพวาดเมื่อกี้นี้ ข่งอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าหลินเยวียนมีความสามารถระดับมืออาชีพ!

หลินเยวียนอายุยังน้อย แต่กลับมีฝีมือถึงระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการสเก็ตช์ภาพก็ยังได้ ฉะนั้นในใจของข่งอันในตอนนี้ไม่เพียงอยากดึงตัวหลินเยวียนมาคณะวิจิตรศิลป์เพียงอย่างเดียว

เขายังขาดศิษย์เอกที่เป็นหน้าเป็นตาได้อีกหนึ่งคน

ในตอนนั้นทั้งชมรมจิตรกรรมล้วนเข้ามารายล้อมมุงดู ทันทีที่ได้ยินคำพูดของข่งอัน ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง อิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน!

นี่คือกระบวนการรับหลินเยวียนเป็นศิษย์คนสุดท้ายสินะ!

ข่งอันเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในโลกจิตรกรรม การได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขานั้นเป็นเรื่องที่จิตรกรนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันหา

กล่าวได้ว่า ขอเพียงหลินเยวียนตอบตกลง ในอนาคตก็จะมีหน้ามีตาและฐานะในวงการจิตรกรรมอย่างแน่นอน

แต่ว่า

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ หลินเยวียนคล้ายกับจะไม่รู้เรื่องนี้ “ผมไม่อยากย้ายไปสาขาจิตรกรรมครับ”

รอยยิ้มของข่งอันแข็งค้างไปอีกครั้ง

เขามองหลินเยวียนด้วยความแปลกใจ “คุณไม่ชอบจิตรกรรมเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “ชอบครับ”

ข่งอันพูด “งั้นทำไมไม่มาล่ะ”

หลินเยวียนหยุดคิด ก่อนจะตอบ “สาขาการประพันธ์เพลงเหมาะกับผม”

ศิลปะนั้นมีหลากหลายแขนง ระบบจะมอบเส้นทางให้หลินเยวียนนับไม่ถ้วน แต่เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม หลินเยวียนก็ยังชอบดนตรีมากที่สุดอยู่ดี

“ผมให้เวลาคุณพิจารณาดู”

ข่งอันไม่กล้ากดดันมาก กลัวว่าหลินเยวียนจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน

เขาตั้งเป้าว่าจะต้องดึงตัวหลินเยวียนมาให้ได้ ต้นกล้าอ่อนชั้นดีขนาดนี้ ชั่วชีวิตนี้เขาอาจเฟ้นหาไม่พบอีกแล้วก็ได้ จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ

เด็กหนอเด็ก ยังใช้ลูกล่อลูกชนดึงตัวมาง่ายอยู่

ข่งอันนั่งลงบนม้านั่งของลูกศิษย์ พลางถาม “คุณมาสอนสเก็ตช์ที่ชมรมจิตรกรรมไปเรื่อยๆ เลยได้มั้ย”

“ไม่แน่ใจครับ”

“ทำไมล่ะ”

“ผมอาจขึ้นราคา”

หลินเยวียนตอบไปตามตรง

ข่งอันมุมปากกระตุก

นักศึกษาโดยรอบกุมขมับอย่างห้ามไม่อยู่ ชั่วโมงละห้าร้อยหยวนสำหรับนักศึกษาก็นับว่าแพงมากแล้ว หลินเยวียนยังจะขึ้นราคาอีก?

ข่งอันถาม “เท่าไหร่”

หลินเยวียนตอบ “ชั่วโมงละหนึ่งพันครับ”

มุมปากของข่งอันกระตุกอีกรอบ ราคานี้เทียบกับตนได้แล้ว ทว่าลำพังฝีมือการสอนสเก็ตช์ภาพ หลินเยวียนเหนือกว่าเขาจริงๆ ฉะนั้นความจริงแล้วราคานี้ก็ไม่ได้สูงเกินไปหรอก

“จะขึ้นราคาเมื่อไหร่ล่ะ”

หลินเยวียนตอบ “ยังไม่รู้เลยครับ”

ตอนนี้เขาขึ้นราคาไม่ได้ รอประสิทธิภาพของ ‘อาจารย์’ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไหร่ เขาค่อยคิดเรื่องขึ้นราคา ทำธุรกิจก็ต้องมีมโนธรรมกันบ้าง เขาไม่อยากกลายเป็นคนหน้าเงิน

“ได้”

ข่งอันหยัดกายลุกขึ้นทันที “พอคุณขึ้นราคาแล้ว อย่าลืมมาหาผมที่คณะวิจิตรศิลป์ ทุกคนจะได้พูดคุยกันว่าทางมหา’ลัยสามารถร่วมมือกับคุณ จ่ายค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง เราจะไม่เอาเปรียบคุณ เพียงเพราะคุณเป็นนักศึกษา”

หลินเยวียนพยักหน้า “ครับ”

สมาชิกรอบข้างมองดูภาพเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเปี่ยมความตะลึงงัน

พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะมีวันที่ได้เห็นบุคลากรระดับสูงของคณะวิจิตรศิลป์มาเจรจาธุรกิจกับนักศึกษาปีสองคนหนึ่ง

ภาพนี้ทำไมมองดูแล้วแปลกชอบกล

แต่ถึงอย่างไร เมื่อคิดว่าในการสอบใหญ่ของคณะวิจิตรศิลป์ ห้าสิบอันดับแรกแทบจะถูกลูกศิษย์ของหลินเยวียนเข้าไปยึดครองไว้ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่า เรื่องการขึ้นราคานั้นช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน…

………………………………………………………

วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ หลินเยวียนยังคงไปทำงานดังเดิม

และวันนี้ ในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว คณะวิจิตรศิลป์ก็ได้ต้อนรับการมาถึงของการสอบรวมครั้งใหญ่

ระยะเวลาการสอบคือหนึ่งวัน

ช่วงเช้าสอบสีน้ำ ช่วงบ่ายสอบสเก็ตช์

การสอบในวันนี้ ไม่เพียงท้าทายฝีมือด้านจิตรกรรมของนักศึกษา ขณะเดียวกันก็ยังท้าทายสภาพร่างกายของอาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ด้วย

คณาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ต้องให้คะแนนนักศึกษาภายในวันนั้น เพื่อให้สะดวกแก่การประกาศในวันถัดไป

เวลากระชั้นเหลือเกิน

เมื่อสอบเสร็จ เหล่านักศึกษาต่างก็เก็บของกลับหอพัก

ส่วนบรรดาอาจารย์กลับจำต้องทำงานล่วงเวลาตรวจข้อสอบอีกกองโต

จนกระทั่งย่างเข้าเวลาสามทุ่ม อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ก็ทยอยกันให้คะแนนเสร็จ

ในห้องทำงานใหญ่สักห้องหนึ่งของคณะวิจิตรศิลป์

ข่งอัน อาจารย์สาขาจิตรกรรมยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ยืดเส้นยืดสายพลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เสร็จซะที พวกคุณสังเกตมั้ยว่าคะแนนสเก็ตช์เทอมนี้ของนักศึกษาดีขึ้นมาก”

“จริงค่ะ/ครับ”

บรรดาอาจารย์สอนการสเก็ตช์ภาพต่างเห็นด้วยกับคำพูดของข่งอัน

อย่างไรซะข้อสอบก็ตรวจเสร็จแล้ว ทุกคนคำนวณคะแนนสุดท้ายไปพลางสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย

“…”

ในตอนนั้นอาจารย์สอนสเก็ตช์หนึ่งในนั้นกล่าว “ช่วงนี้ชมรมจิตรกรรมมีเด็กปีสองคนนึงสอนสเก็ตช์แบบเก็บเงินไม่ใช่เหรอ ปีนี้คะแนนสเก็ตช์ของทั้งคณะวิจิตรเพิ่มขึ้น ฉันคิดว่าเป็นความดีความชอบของเขาส่วนหนึ่งด้วย”

“ผมก็ได้ยินมาเหมือนกัน”

อาจารย์สอนสเก็ตช์ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังดื่มกาแฟพูดขึ้น “คลาสฉันมีนักศึกษาที่พื้นฐานอ่อนมากคนหนึ่ง หลังจากเรียนกับเขาสองครั้ง ฝีมือก็ดีขึ้นมากเลย”

“สิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็คือ คนที่ติวให้เด็กคนนี้เป็นนักศึกษา แถมยังไม่ใช่นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ซะด้วย”

อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟอยู่เอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย “สอนเก่งขนาดนี้ ฝีมือการสเก็ตช์รูปของเขาต้องดีมากแน่เลย ทำไมตอนนั้นไม่สอบเข้าคณะเรานะ”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ”

ข่งอันเลิกคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่

ในฐานะที่เป็นศาสตราจารย์คณะวิจิตรศิลป์ซึ่งเชี่ยวชาญการสเก็ตช์ น้อยครั้งนักที่เขาจะสอนนักศึกษาด้วยเองแบบนี้

บางครั้งบางคราวสอนนักศึกษา ก็เป็นการสอนคลาสเปิดที่มีขนาดใหญ่มาก นักเรียนที่เขาพบเจอนั้นมีเยอะมาก ลำพังแค่เช็กชื่อก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้จักสถานการณ์แบบนี้

“ผมได้ยินนักศึกษาคุยกัน”

อาจารย์สอนสเก็ตช์ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างกล่าวกลั้วหัวเราะ “เด็กคนนั้นเหมือนจะชื่อหลินเยวียน นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงปีสอง ช่วงนี้จะติวแบบเก็บเงินที่ชมรมจิตรกรรมทุกวัน ราคาของเขาก็ไม่ใช่ถูกๆ ด้วยนะ”

“หลินเยวียน?”

ข่งอันถาม “เท่าไหร่ครับ”

มีคนตอบว่า “ชั่วโมงละห้าร้อย”

ข่งอันอึ้งไป “ยอดเลย ไปเป็นอาจารย์พิเศษก็ได้แค่ชั่วโมงละพันหยวน…”

ในฐานะที่เป็นศาสตราจารย์วิทยาลัยศิลปะฉินโจว ข่งอันมีชื่อตำแหน่งเป็นหลักประกัน แถมยังเชี่ยวชาญการสเก็ตช์ ในวงการจิตรกรรมก็นับว่าเป็นบุคลากรที่มีหน้ามีตา ฉะนั้นถึงได้กล้าเก็บค่าสอนชั่วโมงละหนึ่งพันหยวน!

แต่นักศึกษาที่ยังไม่ทันเรียนจบ ถึงกับสอนสเก็ตช์ภาพชั่วโมงละห้าร้อย?

เป็นเขาเองที่เก็บค่าสอนถูกไปหรือเปล่า?

หรือว่าค่าสอนของนักศึกษาคนนั้นโอเวอร์เกินไป?

กะว่าจะขูดรีดจากนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ของเราเลยหรือเปล่าเนี่ย

เมื่อสังเกตเห็นความไม่พอใจของข่งอัน อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟอยู่ก็แดกดันว่า “เทียบกับบุคลากรที่โดดเด่นในสายอาชีพอย่างคุณไม่ได้หรอกค่ะ แต่เด็กคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ นักศึกษาไม่น้อยเลยที่หลังจากเรียนแล้วฝีมือพัฒนาเยอะมาก ถ้าดูจากผลลัพธ์แล้ว ฉันว่าค่าเรียนชั่วโมงละห้าร้อยคุ้มมากเลยนะคะ”

ข่งอันเน้นน้ำเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย “ไม่ว่าจะพูดยังไงก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง ทำแบบนี้ไม่เหมาะ”

“ศาตราจารย์ข่งก็คิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะครับ”

ด้านข้างของข่งอัน อาจารย์ผู้ชายสอนสเก็ตช์ภาพคนหนึ่งแค่นเสียงขึ้นจมูก “ที่จริงผมก็ไม่ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นคุณออกหน้าตำหนิสักหน่อยสิครับ ด้วยสถานะของคุณ ถ้าออกหน้าหยุดเรื่องนี้ละก็ จะต้องหยุดปรากฏการณ์ประเภทนี้ในชมรมได้แน่!”

อาจารย์ผู้ชายสอนสเก็ตช์ภาพคนนี้ไม่ชอบหลินเยวียนมาก

เพราะมีครั้งหนึ่งระหว่างคาบเรียน เขาได้ยินนักศึกษาหลายคนพูดกันว่า การสอนของตนสู้หลินเยวียนไม่ได้

ตนเป็นอาจารย์สอนสเก็ตช์ชำนาญการ ถูกนินทาลับหลังว่าดีสู้นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งไม่ได้ ก็พานให้ไฟโทสะสุมอกจริงๆ

“เหล่าเกา คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ”

อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟขมวดคิ้วกล่าว “พอหลินเยวียนคนนั้นสอนเสร็จ แล้วผลคะแนนของนักศึกษาที่ดีขึ้นก็เป็นเรื่องจริง แถมพวกนักศึกษาติวกับเขาก็ยินดีจ่ายเงินกันเอง คนเขาไม่ได้ไปลักขโมยเงินใครมา ก็ไม่ได้ผิดตรงไหนนี่คะ”

“เป็นแค่ตัวอย่างก็เท่านั้น”

อาจารย์ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าเกาเอ่ยเสียงเรียบ “คุณเองไม่ต้องขยายความความดีความชอบของนักศึกษาคนนั้น ด้วยฝีมือการสเก็ตช์ที่ไม่เลว แล้วไปใช้วิธีสอนตัวต่อตัวมันช่วยดึงคะแนนของนักศึกษาในระยะสั้นได้ก็จริง แต่พวกเราเป็นอาจารย์ พวกเราต้องสอนนักศึกษาทั้งคลาส นี่คือภาพรวมที่พวกเราในฐานะอาจารย์จะต้องมอง หรือว่าตอนคุณสอน คุณสอนนักศึกษาแค่คนเดียว?”

อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟเบือนหน้าไม่ใส่ใจเขา

เหล่าเกาก็ไม่สบอารมณ์ สีหน้าบูดบึ้ง

ในตอนนั้นประตูถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “ศาสตราจารย์ข่ง รวมคะแนนเสร็จแล้วครับ คุณดูสักหน่อย”

“อืม”

ข่งอันรับตารางคะแนนมาดู กวาดตาไปยังห้าสิบอันดับแรกของการสอบในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็ถามว่า “ระบบมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมด้านหลังชื่อนักศึกษามีตัว L ด้วยล่ะ”

“ระบบไม่ได้เกิดปัญหาหรอกครับ”

เจ้าหน้าที่ยิ้มขื่น กล่าวว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงยังไงการสอบในครั้งนี้ นักเรียนจำนวนมากที่ได้คะแนนดีก็เขียนตัวอักษรนี้ไว้หลังชื่อของตัวเองกันทั้งนั้น ผมเองจะไปเทียบกับบัตรนักศึกษาก็ไม่ได้ เลยบันทึกตามที่นักศึกษาเขียนมา”

ข่งอันชักจะไม่สบอารมณ์ “เหลวไหล!”

อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟเอ่ยขึ้น “ขอฉันดูหน่อยค่ะ”

ข่งอันส่งตารางคะแนนให้เขา

เธอมองปราดแรกก็สับสนไปหมด ว่าเมื่อมองอีกครั้ง เธอก็คล้ายจะกระจ่างขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นจึงพูดอย่างหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “ฉันเหมือนจะเข้าใจแล้ว พวกคุณเองก็มาดูสิคะ จะได้เช็กนักศึกษาของแต่ละคนไปด้วย”

เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

ยังต้องเช็กนักศึกษาอีกเหรอ

อาจารย์คนอื่นๆ ก็สงสัยขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ต่างคนต่างรับตารางคะแนนไป อ่านกันอยู่หลายวินาที สีหน้าของทุกคนก็พลันพิลึกกึกกือขึ้นมา

“ทำไมเหรอ”

ข่งอันรู้สึกแปลกใจ

ตัวอักษร L คืออะไรฟระ

หรือว่าจะเป็นโค้ดลับอะไรสักอย่าง?

อาจารย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน “นักศึกษาคนที่สามที่มีตัวอักษรนี้ชื่อว่าจงอวี๋ เป็นนักศึกษาเซคผม…เหมือนว่าเขา…จะไปติวกับหลินเยวียนอยู่หลายครั้ง…”

อาจารย์คนที่สองพูด “ที่สี่ชื่อผางปัวอยู่เซคผม เขาก็เคยเรียนกับหลินเยวียนเหมือนกัน”

อาจารย์คนที่สามพูด “ที่หกนี่…”

“แล้วก็มีคนนี้ ที่แปด…”

“เฮ้อ มีที่เก้าด้วย ที่สิบ”

“…”

ในบรรดานักศึกษาซึ่งผลการเรียนติดห้าสิบอันดับแรก มีสามสิบเก้าคนที่เขียนตัวอักษร L ไว้ด้านหลังชื่อของตน

ข่งอันร้อนรนขึ้นมา “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”

อาจารย์ซึ่งดื่มกาแฟเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด “ศาสตราจารย์ข่ง นักศึกษากลุ่มนี้ทำเรื่องเหลวไหลไปหน่อย สิ่งที่นักศึกษาที่เขียนตัวอักษรไว้หลังชื่อมีร่วมกันทั้งหมดก็คือ พวกเขาล้วนเคยเรียนกับหลินเยวียน!”

“หมายความว่า…”

อาจารย์อีกคนหนึ่งพูด “L น่ากลัวว่าจะหมายถึงหลินเยวียน”

สถานการณ์นี้ออกจะน่าอึดอัดใจอยู่สักหน่อย พานให้ทุกคนไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไรดี ห้าสิบอันดับแรกของการสอบสเก็ตช์ นักศึกษาเกินครึ่งถึงกับเป็นคนที่หลินเยวียนสอนมา

อาจารย์สอนสเก็ตช์ภาพอย่างพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

และขณะที่กำลังเผชิญกับความอึดอัดใจ ทุกคนก็ตกใจด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดว่าหลินเยวียนสอนตัวต่อตัว ถึงจะทำให้คะแนนการสเก็ตช์ของนักเรียนแต่ละคนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเห็นจำนวนนักเรียนสเกลระดับนี้แล้ว การสอนของเขาก็ออกจะเกินจริงไปหน่อย

“ผมเข้าใจแล้ว”

ข่งอันสูดลมหายใจเข้าลึก มองดูตารางคะแนน “ผมจะไปหาอธิการบดี”

อาจารย์สอนสเก็ตช์ซึ่งถูกเรียกว่าเหล่าเกาพูดด้วยความตื่นเต้น “ต้องไปหาอธิการบดีเลยครับ! นักศึกษาพวกนี้ไม่รู้จักกฎระเบียบจริงๆ เลย! โดยเฉพาะเจ้าหลินเยวียนนั่น! นี่มันเป็นการดูถูกคณะวิจิตรศิลป์ของพวกเราชัดๆ!”

“คุณพูดอะไรน่ะ”

ข่งอันจ้องเหล่าเกาเขม็ง สีหน้าแลดูซับซ้อน “ด้วยความสามารถในการยกระดับฝีมือการสเก็ตช์ของทั้งคณะวิจิตรศิลป์ด้วยตัวคนเดียว ผมอยู่มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเจอนักเรียนแบบนี้ วันนี้ต่อให้ต้องเสียหน้า ก็จะต้องทำให้อธิการบดีย้ายเด็กคนนั้นมาที่คณะวิจิตรศิลป์ของเราให้ได้!”

………………………………………………..

วันต่อมาเป็นวันเสาร์

หลินเยวียนมาถึงแผนกประพันธ์เพลงของบริษัทตอนเก้าโมง

เมื่อเดินเข้าประตูไป เขาก็พบว่าสายตาของเพื่อนร่วมงานซึ่งมองมาที่เขานั้นแปลกชอบกล

อู่หย่งปรี่เข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ กระซิบถามหลินเยวียน “นายรู้จักอาจารย์หยางรึเปล่า”

“ใครเหรอครับ”

“ผู้อาวุโสหยางจงหมิง”

“รู้จักครับ” หลินเยวียนเคยได้ยินเกี่ยวกับผลงานของหยางจงหมิง

อู๋หย่งพรูลมหายใจแรง “มิน่าล่ะเขาถึงไม่โกรธ ถ้ารู้จักกันก็สมเหตุสมผลแล้ว…”

หลินเยวียนไม่ได้ขบคิดคำพูดของอู๋หย่งโดยละเอียด

อู๋หย่งเองก็ไม่รู้แม้แต่นิดเดียว ว่าความเข้าใจต่อคำว่า ‘รู้จัก’ ของหลินเยวียนนั้น ต่างกับความเข้าใจที่เขามีต่อคำนี้โดยสิ้นเชิง

ตอนนั้นโจวรุ่ยหมิงก็มาพอดี สีหน้าของเขาในวันนี้แลดูร่าเริง ทันทีที่เข้าประตูมาก็พูดว่า

“หลินเยวียน มาที่ห้องทำงานฉันหน่อย”

“ครับ”

หลินเยวียนเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องทำงาน

เหล่าโจวยิ้มเอ่ย “นายนั่งลงก่อน”

หลินเยวียนพยักหน้า นั่งลงที่โซฟาในห้องทำงาน

เหล่าโจวหยิบตารางแผ่นหนึ่งออกมา “นายดูนี่สิ”

หลินเยวียนรับตารางมา

ในตารางแสดงชื่อเพลงทั้งสี่เพลงในชื่อของหลินเยวียน ด้านหลังของเพลงเป็นยอดดาวน์โหลดอีกแถบหนึ่ง

ชีวิตดุจมวลผกายามคิมหันต์ ยอดดาวน์โหลด 3.33 ล้าน

ปลายักษ์ ยอดดาวน์โหลด 5.01 ล้าน

ติดไฟง่ายระเบิดง่าย ยอดดาวน์โหลด 4.21 ล้าน

ลูกโป่ง ยอดดาวน์โหลด 3.57 ล้าน

หลินเยวียนเข้าใจขึ้นมาทันที ถึงว่าตอนเงินเดือนออกเมื่อวาน ส่วนแบ่งจากเพลงถึงทะลุหกแสนหยวนแบบที่หาได้ยาก

ที่แท้ยอดดาวน์โหลดตรงหน้าของตนก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ถึงขั้นที่สูงเกินกว่าในเดือนที่เพลงปล่อยออกไปด้วย

“เชื่อว่านายรู้แต่แรกแล้ว”

เหล่าโจวกล่าวด้วยความตื่นเต้น “หลายเดือนที่ผ่านมา สามสี่เพลงที่นายเขียนนั้นศักยภาพดีมาก ยอด

ดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกเพลงล้วนมีศักยภาพมากพอที่จะแตะถึงร้อยล้าน เช้าวันนี้ตอนที่ฉันเห็นสถิติของแผนกข้างล่างส่งมา ก็ตกใจจนแทบกระโดดแน่ะ!”

หลินเยวียน “…”

เขาไม่รู้เลยสักนิด เพราะเขาไม่ได้สนใจ

แต่เขาดูจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของยอดดาวน์โหลดก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง

ผลงานในฤดูหนาวไม่ใช่ทุกอย่าง เพียงแต่เพราะมีบางเพลงที่เหมาะแก่การติดชาร์ต มีบางเพลงที่ไม่เหมาะแก่การติดชาร์ตก็เท่านั้น สิ่งที่ตัดสินคุณค่าของเพลงจริงๆ นั้นไม่ใช่ผลของชาร์ตเพลงฤดูหนาว หากแต่เป็นศักยภาพของเพลงหนึ่งๆ ต่อจากนั้น!

เรื่องนี้ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมของฉินโจว

ทุกๆ เดือนจะมีเพลงใหม่ที่ยอดเยี่ยมมากปล่อยออกมากองใหญ่ นอกจากคนในสายงานกับเหล่าแฟนเพลงผู้คลั่งไคล้บางคน ก็ไม่มีใครคอยเฝ้าการเปลี่ยนแปลงของชาร์ตได้ตลอดเวลาหรอก

คนส่วนมากผ่านไปหลายเดือน ถึงจะฟังเพลงที่มาจากการแข่งขันรายการเหล่านี้ จากนั้นค่อยเพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์

มีบางเพลงซึ่งยอดดาวน์โหลดอาจทะลุถึงห้าล้านในเดือนนั้น ถึงขั้นที่ทะลุสิบล้าน ทะยานขึ้นชาร์ตอย่างไร้คู่แข่ง

ทว่าหลังจากนั้นหลายเดือน ยอดดาวน์โหลดของเพลงเหล่านี้กลับหยุดชะงัก

และมีบางเพลง ที่ยอดดาวน์โหลดในเดือนนั้นมีเพียงไม่กี่แสน แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แตะหลักล้านหรือถึงขนาดสิบล้านอย่างง่ายดาย!

ยกเพลงลูกโป่งของหลินเยวียนเป็นตัวอย่าง

เพลงนี้ปล่อยออกมาเดือนกุมภาพันธ์ ยอดดาวน์โหลดในเดือนนั้นสูงที่สุดในบรรดาเพลงของหลินเยวียน

แต่เมื่อถึงเดือนมีนาคม ยอดดาวน์โหลดของเพลงนี้กลับดูเหมือนว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่

นั่นเห็นได้ชัดว่า มีบางเพลงที่ผู้ฟังชอบฟังเพียงระยะหนึ่ง แต่ฟังไปได้สักพักก็รู้สึกเอียนแล้ว

เพลงจำพวกนี้เหมาะแก่การติดชาร์ต ความรู้สึกแปลกใหม่ในระยะสั้นมีมากพอ

ถึงขั้นที่เพลงลูกโป่งได้ติดชาร์ตนั้นไม่นับว่ายอดเยี่ยม สิ่งที่เป็นปัจจัยมากกว่ากลับเป็นชาเลนจ์ลูกโป่งซึ่งติดฮ็อตชาร์ตในเวยปั๋วในตอนนั้น

ท่ามกลางเพลงใหม่จำนวนมหาศาลในทุกเดือน ผู้ฟังในฉินโจวล้วนตาลายกันไปหมดแล้ว

ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนนั้นไม่เพียงพอ พวกเขาอาจต้องการเวลานานกว่านั้น ถึงจะรู้ว่าเพลงที่ตนชื่นชอบที่สุดคือเพลงไหน

นอกจากนั้นแล้ว เพลงของฉินโจวยังมีอีกหนึ่งกฎ

แต่ละเพลง จะมีโอกาสได้ทดลองฟังฟรีเดือนละห้าครั้ง

ภายใต้กฎข้อนี้ ก็ย่อมต้องมีพลพรรคฟังฟรีปรากฏตัวขึ้น

เพราะสำหรับหลายๆ คนแล้ว ต่อให้ชอบเพลงหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินดาวน์โหลด โอกาสทดลองฟังฟรีเดือนละห้าครั้งก็เพียงพอแล้ว

เพลงที่ชอบ เดือนหนึ่งๆ จะฟังสักกี่ครั้งกัน

คนที่ยอมจ่ายเงินดาวน์โหลด ถ้าไม่ได้ชอบเพลงนี้มาก ก็ไม่ได้เดือดร้อนกับจำนวนเงินเล็กน้อยแค่นี้

เพราะฉะนั้น

ในชาร์ตรายการเพลงของเดือนธันวาคมในฉินโจว ก็ยากที่จะเห็นเพลงหนึ่งปล่อยออกไปหนึ่ง ยอดดาวน์โหลดก็ทะลุไปถึงระดับหนึ่ง เว้นเสียแต่ว่าเพลงนั้นดีเลิศถึงระดับที่พลิกลิขิตฟ้าได้ ในจุดนี้ก็เหมือนกับบนโลก

“สี่เพลงแล้ว”

เหล่าโจวจ้องมองหลินเยวียน “เพียงแต่ถ้ามีอีกเพลงทะลุล้านขึ้นมา นายก็จะได้กลายเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูง ก็คือมือทองคนใหม่ของแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ!”

ยังมีอีกประโยคหนึ่ง เหล่าโจวไม่ได้พูดออกไป

นั่นก็คือ ถ้าหากในปีนี้หลินเยวียนกลายเป็นนักแต่งเพลงระดับสูง งั้นเขาก็จะเป็นมือทองซึ่งอายุน้อยที่สุดในทั้งสตาร์ไลท์

หลินเยวียนพยักหน้า

เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “เอาละ นายไปทำงานเถอะ จะบอกข่าวหนึ่งให้นายรู้ ช่วงนี้เบื้องบนของบริษัทก็กำลังสนใจนายอยู่ เรื่องนี้มีผลดีต่ออนาคตของนาย”

“ครับ”

หลินเยวียนลุกขึ้นยืน

เมื่อเดินออกมาหน้าประตู เขาก็ได้ยินเหล่าโจวพูดโทรศัพท์ “หยางจงหมิงกลับมาจากฉีโจว ฉันกะว่าจะส่งคนไปอีก”

“…”

ส่งคนไปฉีโจว?

ลังเลอยู่สักพัก หลินเยวียนก็เดินออกไป

เมื่อกลับมาถึงโต๊ะ เขาก็ใคร่ครวญอย่างเงียบเชียบ

ยังขาดอีกหนึ่งเพลง ตนก็จะเป็นนักแต่งเพลงมือทองแล้ว จะลองสู้ดูสักตั้งดีไหม

ถึงยังไงเมื่อเดือนที่แล้วก็ยังไม่ได้ปล่อยเพลง ถือว่าพักไปหนึ่งเดือนแล้วล่ะมั้ง?

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เป็นนักแต่งเพลงมือทองแล้ว ก็จะได้รับส่วนแบ่งสูงขึ้นไปอีก

นี่เป็นสิ่งที่จ้าวเจวี๋ยพูด สำหรับหลินเยวียนแล้วถือว่าน่าดึงดูดมาก

ดังนั้น ระหว่างทางกลับวิทยาลัยในตอนเย็น ในที่สุดหลินเยวียนก็ตัดสินใจได้

ขณะที่เขาเดินกลับวิทยาลัย ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ต่อสายหาซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหั่วรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เขาแทบจะรับสายทันทีที่โทรศัพท์ของหลินเยวียนดังขึ้น เสียงของซุนเย่าหั่วสามารถรับมือกับเพลงนี้ได้

“อะไรนะ”

ซุนเย่าหั่วคิดว่าตนเองฟังผิดไป

หลินเยวียนครุ่นคิด “ส่วนแบ่ง 0.5 นะครับ”

พูดจบ หลินเยวียนก็วางสาย ไม่เว้นช่องว่างให้อีกฝ่ายต่อราคา

“…”

ในตอนนั้นซุนเย่าหั่วกำลังอยู่บนถนน ทันทีที่ได้รับข่าวนี้ ก็ยืนอึ้งอยู่นานโข

จวบจนหลินเยวียนวางสายลง และเสียงวางสายในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาถึงได้สติกลับมา ตระหนักได้ถึงความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของหลินเยวียน

“เยส!”

เขาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในฉับพลัน แทบชูไม้ชูมือกระโดดโลดเต้น จนโทรศัพท์เกือบปลิวหลุดมือไป “ฉันจะดังอีกแล้ว!”

บนถนนผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา

ทว่าซุนเย่าหั่วไม่สนใจ ปลื้มอกปลื้มใจอยู่กลางถนน ถึงขั้นร้องเพลงออกมาอย่างเต็มตื้น “ฉันคือช่วงเวลาอันเจิดจรัส ฉันคือเปลวไฟที่ผ่านพัดเส้นขอบฟ้า…”

ผู้คนรอบข้างรีบขยับออกห่างเขา

เด็กหญิงตัวน้อยซึ่งผ่านมาถามขึ้นด้วยความสงสัย “แม่จ๋า คุณลุงคนนี้เค้าเป็นอะไรเหรอ”

มารดาของเด็กหญิงถอนหายใจ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสะท้อนใจ “เขาถูกชีวิตบีบคั้นน่ะ ต่อไปหนูต้องตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้ไม่เป็นแบบนี้”

“ค่ะ”

เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ คล้ายกับจะเข้าใจ

………………………………………..

หลายวันต่อจากนั้น

หลินเยวียนยังคงไปๆ มาๆ ระหว่างห้องเรียนและชมรมจิตรกรรม รักษาความถี่ในการสอนสเก็ตช์ภาพวันละสองคนทุกวัน

สิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตก็คือ

ช่วงนี้จงอวี๋มักจะซุบซิบกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ ราวกับกำลังแอบวางแผนสิ่งที่เขาเรียกว่าข่าวใหญ่อยู่แน่นอน

ต่อให้หลินเยวียนสังเกตเห็นก็ไม่ได้ใส่ใจแค่นั้นเอง

และหลังจากที่สอนการสเก็ตช์ภาพมานานหลายวัน หลินเยวียนก็เริ่มใคร่ครวญแล้วว่าจะสอนสีกวอชกับสีน้ำที่ซึ่งค่อนข้างใช้บ่อย เพื่อขยายฐานลูกค้าของตน

แต่เมื่อคิดว่าลำพังแค่การสเก็ตช์ภาพต่อให้สอนทุกวันก็ยังสอนสมาชิกชมรมได้ไม่ครบทุกคน เขาจึงล้มเลิกความคิดเป็นการชั่วคราว

ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน

ถึงยังไงหลังจากนี้ก็ยังมีเวลา

หลังจากนี้เขาจะเตรียมสอนจิตรกรรมแต่ละประเภทสักรอบ รวมไปถึงภาพวาดพู่กันจีนซึ่งมีระดับความยากสูง พรของ ‘อาจารย์’ ทำให้เขามั่นใจในการสอนมากขึ้น

นอกจากนั้นแล้วระบบยังเคยบอกว่า

ยิ่งคนที่ตนสอนมีมากขึ้น ผลของพร ‘อาจารย์’ ก็จะดีขึ้นด้วย

เมื่อผลของพร ‘อาจารย์’ ดีถึงระดับนั้น หลินเยวียนจะไม่ขึ้นราคาก็คงไม่ได้แล้ว

ขึ้นราคาได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นั่นถึงจะเป็นแรงผลักอันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลินเยวียน

และหากพูดถึงเงิน วันที่หลินเยวียนชอบที่สุดในทุกๆ เดือนก็หนีไม่พ้นวันที่ห้า

วันที่ห้าของทุกเดือนล้วนเป็นวันธงชัย

วันที่ 5 เมษายน ก็เป็นวันธงชัยเช่นเดียวกัน

เพราะว่าในวันนี้ ในบัญชีเงินเดือนของเขา จะได้รับเงินโอนมาก้อนโต!

แต่ว่า…

ในครั้งนี้ ตอนที่หลินเยวียนได้รับข้อความแจ้งเตือนการโอนเงินจากธนาคาร ก็ตกตะลึงไป!

เพราะเขาพบว่า สวนแบ่งจากเพลงที่ตนได้รับในเดือนนี้ หลังจากหักภาษีจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ยังสูงกว่าหกแสนหยวน

ความจริงแล้ว ส่วนแบ่งจากเพลงของหลินเยวียนนั้นแทบจะสูงขึ้นทุกเดือน เพราะในตอนนี้หลินเยวียนมีเพลงที่ช่วยหาเงินทั้งหมดสี่เพลง

ยิ่งมีเพลงมาก ก็ยิ่งหาเงินได้เร็ว

รวมกับส่วนแบ่งจากยอดขายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสในเดือนที่แล้ว และรายได้เสริมจากที่หลินเยวียนสอนในชมรมจิตรกรรมด้วยตนเอง และยังมีนิยายสั้นในปู้ลั่วซึ่งได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรโกยทรัพย์ด้วย…

เมื่อหลากหลายรายการรวมกัน รายรับสุทธิในเดือนที่แล้วของเขาทะลุสามล้านต้นๆ!

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเยวียนหาเงินได้เยอะขนาดนี้ ชั่วขณะหนึ่ง หลินเยวียนแทบจะอยากสั่งระบบผลิตผลงานออกมาสักหน่อย จะได้มาช่วยตนหาเงินให้มากขึ้น

แต่มาใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

รอให้ตนต้องการผลงานอย่างเร่งด่วน แล้วค่อยสั่งซื้อในระบบก็ได้ น่าเสียดายที่ทางบริษัทไม่ส่งออเดอร์มาให้ตนเลย

‘สั่งซื้อในระบบ[1]’

หลินเยวียนไม่ชอบคำนี้

ถ้าก่อนหน้านี้มีคนบอกเขาว่าวันหนึ่งเขาจะทำการสั่งซื้อในระบบเพื่อบรรลุสักเป้าหมายหนึ่งได้ หลินเยวียนคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นอยู่

ว่ากันว่า ‘ปรัชญาไม่ได้แก้โชคร้าย จ่ายเงินไม่ได้เปลี่ยนชะตาชีวิต’

ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็พบว่าถ้าหากตนต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิต ก็ยังต้องใช้เงินอยู่จริงๆ ไม่งั้นเขาจะเก็บค่าความโด่งดังได้ยังไงล่ะ

……

สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ

นักแต่งเพลงต่างกำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน

ในตอนนั้นเอง ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีดำตัวโคร่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู

หนึ่งในพนักงานแผนกประพันธ์เพลงเห็นผู้ชายคนนี้หน้าประตู ก็ผุดลุกพรวดขึ้นมา พูดจาตะกุกตะกัก

“ผู้…ผู้อาวุโส…”

“เป็นอะไร” อู๋หย่งซึ่งอยู่ด้านข้างมองตามสายตาของเพื่อนร่วมงานไป จากนั้นสายตาก็พลันจ้องเขม็ง หลุดปากโพล่งออกไป

“อาจารย์หยางเข้าบริษัทแล้ว!

คำพูดนี้ประหนึ่งจุดระเบิดทั้งแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบในชั่วพริบตา

คนทั้งชั้นสิบลุกพรวดขึ้นยืน มองผู้ชายเสื้อสีดำซึ่งสีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาซึ่งบ้างก็เปี่ยมความยกย่องเชิดชู บ้างก็ตะลึงลาน

“ผู้อาวุโส!”

“ผู้อาวุโส สวัสดีค่ะ!”

“ไม่พบกันนานนะครับ ผู้อาวุโส!”

“…”

เสียงกล่าวทักทายดังขึ้นเป็นระลอก

ผู้ชายชุดดำพยักหน้า ถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เหล่าโจวล่ะ”

ต่อให้เป็นนักแต่งเพลงมือทอง ก็ไม่กล้าเรียกหัวหน้าตรงๆ ว่าเหล่าโจว แต่ผู้ชายชุดสีดำคนนี้กลับเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หนำซ้ำทั้งแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบก็ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะสม

เพราะผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อเพลงเพียงคนเดียวของแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ หยางจงหมิง

อู๋หย่งรีบร้อนเอ่ย “ผู้อาวุโสรอสักครู่นะครับ ผมจะโทรไปตามหัวหน้าเดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่ต้อง”

หยางจงหมิงกล่าว ก่อนจะเดินไปยังตำแหน่งริมหน้าต่าง

แต่ทันทีที่ไปถึงหน้าโต๊ะ หัวคิ้วของหยางจงหมิงกลับขมวดเล็กน้อย สีหน้าแลดูราวกับเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ

นี่เป็นโต๊ะทำงานริมหน้าต่างของเขา

เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เข้าบริษัทระยะยาว

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น โต๊ะตัวนี้ก็ควรจะไร้รอยขีดข่วน ต้องมีคนมาปัดกวาดเช็ดถูให้ทุกวันสิถึงจะถูก

เพราะนี่คือที่ของเขา หยางจงหมิง

แต่ในตอนนี้ บนโต๊ะถึงกับมีหนังสือกองอยู่ไม่น้อย

อย่างเช่น สรุปทฤษฎีประพันธ์เพลง

อย่างเช่น คำอธิบายว่าด้วยคอร์ดอย่างง่าย

อย่างเช่น สามหลักสำคัญของการประพันธ์เพลงเบื้องต้น

หนังสือพวกนี้มาวางอยู่ในแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ ก็เต็มไปด้วยความผิดแปลกและไม่เข้าพวกแล้ว ฉะนั้นหยางจงหมิงจึงหยุดยืนหน้าโต๊ะอยู่เสียนาน

“แย่แล้ว!”

เมื่อเห็นหยางจงหมิงยืนอยู่หน้าโต๊ะของหลินเยวียน อู๋หย่งก็ใจหายวาบ

คนอื่นๆ ในแผนกประพันธ์เพลงรับรู้ได้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ที่ตรงนี้เดิมทีเป็นของอาจารย์หยาง

แต่ด้วยเหตุที่ผู้อาวุโสหยางไม่เข้าบริษัทเป็นเวลานาน เหล่าโจวจึงจัดให้หลินเยวียนไปนั่งโต๊ะนี้

ตอนนั้นมีหลายคนที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าเกิดผู้อาวุโสหยางรู้เข้าละก็จบเห่แน่

ในตอนนี้ ความกังวลของผู้คนมากมายก็เป็นจริงขึ้นมาในที่สุด อาจารย์หยางเริ่มโมโหแล้ว

“ที่นี่”

หยางหมิงกัดฟันกรอด มองไปยังที่นั่งของตน ฟังอารมณ์จากน้ำเสียงไม่ออก “ใครนั่ง”

ผู้อาวุโสหยางโกรธจริงๆ แล้ว!

ต่อให้ผู้อาวุโสหยางไม่ได้แสดงออกมา ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ ในฉับพลันโดยรอบเย็นยะเยือก ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

“ต้องให้ฉันถามเป็นรอบที่สองไหม”

หยางจงหมิงกวาดตามองไปที่ผู้คน

อู๋หย่งผู้ซึ่งคุ้นเคยกับหลินเยวียนที่สุดในแผนกกลืนน้ำลาย ทำใจดีสู้เสือตอบไป “หลิน…หลินเยวียน…”

“หลินเยวียนคือใคร”

หยางจงหมิงหรี่ตาเล็กน้อย

อู๋หย่งเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าขื่นขม “ผู้อาวุโสหยางอย่าถือโทษโกรธเคืองเขาเลยครับ เขาเป็นแค่เด็กใหม่ ไม่รู้ว่านี่เป็นที่ของคุณ เรื่องนี้หัวหน้าเป็นคนจัดแจง…”

“ใช่ค่ะ!”

เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ทนไม่ไหวจึงออกตัวช่วย ไม่อยากให้หลินเยวียนประสบพบเจอกับหายนะโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “หัวหน้าเป็นคนจัดการค่ะ”

“เซี่ยนอวี๋เองไม่ได้รู้สถานการณ์ค่ะ”

“เซี่ยนอวี๋คิดว่าตรงนี้ไม่มีคนนั่งครับ”

ช่วยไม่ได้ มีแค่หัวหน้าถึงจะรับมือกับพ่อเพลงได้

หยางจงหมิงเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง กล่าวขึ้นราวกับมีอะไรในใจ “เซี่ยนอวี๋?”

อู๋หย่งสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทน “เซี่ยนอวี๋ก็คือหลินเยวียนครับ ผู้อาวุโสอย่าโทษเขาเลยนะครับ เขายังเป็นนักเรียนมหา’ลัย เพิ่งมาที่บริษัทเราได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้อะไร…”

หยางจงหมิงนิ่งเงียบ

ผู้คนโดยรอบต่างก็ไม่กล้าส่งเสียง แม้ว่าอยากปกป้องหลินเยวียน แต่โทสะของพ่อเพลงไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็รับมือได้สักหน่อย

หลินเยวียนภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกันนะ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนคิดว่าหยางจงหมิงกำลังจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนั้นเอง จู่ๆ พ่อเพลงคนนี้ก็พยักหน้า พลางหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ

“งั้นไม่เป็นไร”

พูดจบพ่อเพลงหยางจงหมิงก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงประชาชนชาวแผนกประพันธ์เพลงที่มองหน้ากันไปมา

ราวกับว่าความโมโหโทโสยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

…………………………………………………..

[1] สั่งซื้อในระบบ ในที่นี้หมายถึง in-app purchase

“ช่วงนี้นายทำอะไร ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่เห็นหน้าค่าตา”

วันที่สองของเดือนเมษายน ในโรงอาหารวิทยาลัย เจี่ยนอี้เอ่ยถามหลินเยวียน

ซย่าฝานจ้องมองหลินเยวียน ช่วงนี้หลินเยวียนหายหน้าหายตาไป จนชวนให้รู้สึกสงสัย

หลินเยวียนตอบ “ช่วงนี้ฉันไปวาดรูปที่ชมรมจิตรกรรม”

เจี่ยนอี้ชะงักไป ฉับพลันก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นึกไม่ถึงเลยว่านายจะสนใจชมรมกับเขาด้วย แต่เข้าร่วมชมรมบ้างเป็นครั้งคราวก็ดีเหมือนกัน ความสนุกชีวิตมหา’ลัยของฉันครึ่งหนึ่งก็มาจากชมรมเนี่ยแหละ”

เจี่ยนอี้เป็นกำลังหลักของชมรมบาสเกตบอลวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

เขาชื่นชอบบาสเกตบอลมาตั้งแต่ยังเด็ก ทันทีที่เข้าวิทยาลัยก็พุ่งหาชมรมบาสเกตบอลทันที

“จริงสิ”

ซย่าฝานเอ่ยขึ้น “เดือนหน้าวิทยาลัยเราจะมีแข่งบาส เด็กกิจกรรมอย่างนายจะไปเป็นตัวแทนคณะด้วยใช่มั้ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

เจี่ยนอี้หัวเราะอย่างกระหยิ่มใจ “ฉันเป็นกำลังหลักของสาขาศิลปะการแสดงเลยนะ ปีนี้เป้าหมายของคณะฉันก็คือต้องได้ที่หนึ่ง!”

“นั่นก็ไม่แน่”

ซย่าฝานยิ้มเอ่ย “ปีหนึ่งสาขาศิลปะการแสดงของนายเหมือนจะได้แค่ที่สามใช่มั้ย”

“ก็ตอนปีหนึ่งไอ้หมอนั่นที่อยู่สาขานาฏศิลป์มันโกงหนิ”

เจี่ยนอี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ตอนแรกพวกเราจะได้เข้าชิงแล้วด้วย แต่ดันโดนคนที่ชื่อสวี่ชางสาขานาฏศิลป์ทำฟาล์ว ทำให้ฉันบาดเจ็บ”

ซย่าฝานส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ พูดว่า “โห ความแค้นนี้ แม้แต่ชื่อก็ยังจำได้แม่น”

เจี่ยนอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก “ปีนี้คอยดูก็แล้วกันว่าฉันจะแก้แค้นยังไง เขาชู้ตแม่น ฉันกะว่าพอถึงตอนนั้นก็จะไปบล็อกเขา วันแข่งพวกนายสองคนต้องไปเชียร์ฉันด้วยนะ”

ซย่าฝานพูด “ฉันจะไปเชียร์สาขาการประพันธ์เพลง”

เจี่ยนอี้เบ้ปาก “วางใจเถอะ รอบแรกสาขาการประพันธ์เพลงก็ไม่ไหวแล้ว”

หลินเยวียนพูด “ฉัน…”

ซย่าฝานเสริม “สาขาการประพันธ์เพลงไกลสุดก็เข้ารอบสอง”

เจี่ยนอี้หัวเราะลั่น ก่อนจะพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องแข่งบาสเลย ซย่าฝานเธอเริ่มออดิชันในรายการสะพรั่งเมื่อไหร่”

“เริ่มเดือนพฤษภาปีนี้”

ซย่าฝานตอบ “ถ้าได้เข้ารอบร้อยคน ปิดเทอมหน้าร้อนปีนี้ฉันไม่กลับบ้านก็ได้”

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า “ปิดเทอมฤดูร้อนฉันก็ไม่กลับบ้านเหมือนกัน ต้องทำงาน”

ช่วงวันหยุดตรุษจีนลาได้ แต่ปิดเทอมฤดูร้อนยาวเกินไป หลินเยวียนจะโดดงานนานขนาดนั้นไม่ได้

เจี่ยนอี้ยิ้มขื่น “นี่เพิ่งปีสอง ทำไมพวกนายก็งานยุ่งขึ้นมาแล้ว หลินเยวียนก็มีงานของตัวเอง เธอก็พยายามเพื่ออนาคตของตัวเอง ต่อไปพวกเราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงเรื่อยๆ อะดิ”

“ยังเร็วไป”

ซย่าฝานพูด “วิทยาลัยพวกเราเรียนห้าปี ปีห้าอาจต้องยุ่งกับการเขียนธีสิสแล้วก็หางาน แต่อย่างน้อยปีสามปีสี่ พวกเราก็ยังอยู่ที่วิทยาลัย แต่นอนว่าถ้าฉันดังจากรายการสะพรั่งละก็ หลังจากนี้ฉันต้องยุ่งมากแน่ๆ”

“ไม่ใช่แค่เธอหรอก…”

เจี่ยนอี้ทอดถอนใจ “ปีสามฉันก็อาจไม่อยู่”

หลินเยวียนกับซย่าฝานมองไปที่เขาแทบจะพร้อมกัน “ทำไมล่ะ”

เจี่ยนอี้ยักไหล่ “ก็เหมือนกับพวกนาย ทำเพื่อชีวิตของตัวเองนั่นแหละ ตอนปีสามมีโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ ตอนปีสามฉันน่าจะไปฉีโจวล่ะมั้ง พวกนายก็รู้ว่าที่ฉีโจว โอกาสงานสายการแสดงเยอะกว่า”

เจี่ยนอี้เป็นนักศึกษาสาขาศิลปะการแสดง

อุตสาหกรรมภาพยนตร์และละครในฉีโจวเฟื่องฟูที่สุดในบลูสตาร์

ก็เหมือนกับที่คนวงการดนตรีมักจะมาแสวงหาความก้าวหน้าในฉินโจว คนที่เรียนศิลปะการแสดงอย่างเจี่ยนอี้ก็ชอบไปหาโอกาสที่ฉีโจว

“นักศึกษาแลกเปลี่ยนเหรอ”

หลินเยวียนกับซย่าฝานเงียบงัน

เจี่ยนอี้ยิ้ม “อย่าทำให้บรรยากาศมันเศร้าสิ ถ้าเกิดฉันไม่ได้โควตาล่ะ พวกนายก็รู้ว่าโควตานักเรียนเรียกผลการเรียนสูงมาก”

“นายต้องเอาโควตามาได้อยู่แล้ว”

ซย่าฝานรู้สึกเศร้า ถึงแม้เจี่ยนอี้จะดูเป็นคนสบายๆ ไม่เครียด แต่ผลการเรียนก็นับว่าดีที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคน

“ขอรับคำอวยพรจากเธอแล้วกัน”

เจี่ยนอี้เอ่ยว่า “มาคิดๆ ให้ละเอียด เธอต้องเดบิวต์ผ่านสะพรั่ง ต่อให้ฉันเรียนอยู่ที่นี่ต่อ เวลาที่พวกเรา

จะได้อยู่ด้วยกันหลังจากนี้ก็น้อยมาก ศิลปินออกรายการเยอะมาก วิทยาลัยเราก็ไม่ได้ไม่มีคนดังซะหน่อย เธอดูคนดังพวกนั้นดิ เคยเข้าคลาสสักกี่ครั้งกัน ยังลาหยุดเป็นเดือนได้ง่ายๆ”

“ก็จริง”

ซย่าฝานก้มหน้า

หลินเยวียน เจี่ยนอี้ และซย่าฝาน ทั้งสามคนตัวติดกันหนึบมาตั้งแต่เด็ก และถึงขั้นที่สอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทั้งหมด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแยกจากกัน

นักศึกษาแลกเปลี่ยน?

เข้าร่วมการประกวด?

เริ่มงานล่วงหน้า?

ทางเดินในชีวิตเหล่านี้ ก็แค่ดำเนินมาถึงทางแยกเร็วกว่าที่คิดไว้เท่านั้นเอง

“ถ้าอย่างงั้น เวลาที่พวกเราเหลืออยู่ก็ไม่มากแล้วสิ” น้ำเสียงของเจี่ยนอี้ฟังดูเจ็บปวดขึ้นมา

……

กินข้าวเสร็จ หลินเยวียนก็ไปปรากฏตัวที่ชมรมจิตรกรรม

จงอวี๋ซึ่งมารอหลินเยวียนที่นี่อยู่นานแล้วก็ยิ้มร่า “ท่านเทพ วันนี้จะสอนกี่คนดี”

“สองคนครับ”

ผลของ ‘อาจารย์’ ของหลินเยวียนเพิ่มขึ้นแล้ว ฉะนั้นในตอนนี้ เขาสามารถสอนนักเรียนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

“ได้เลย”

หลินเยวียนพูด “อย่าเพิ่งเรียกคนนะครับ พี่รู้เรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนมั้ย”

“นักศึกษาแลกเปลี่ยน?”

จงอวี๋ชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็พยักหน้า “นักศึกษาแลกเปลี่ยนเริ่มตอนปีสาม ทุกคณะจะมีโควตาไม่กี่คนล่ะมั้ง

เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำ ปกติแล้วก็จะให้นักศึกษาที่ผลการเรียนดีที่สุดแค่ไม่กี่คนไปแลกเปลี่ยน แล้วได้สวัสดิการเยอะมาก มหา’ลัยส่งไปเอง ก็จะมีทั้งการอุดหนุนแล้วก็ยกเว้นค่ากินอยู่กับค่าเรียน เป็นประโยชน์เวลาหางานหลังเรียนจบ เทอมที่แล้วฉันก็สมัครไปนะ แต่น่าเสียดายที่ผลการเรียนแย่ไปหน่อย”

หลินเยวียนแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด

จงอวี๋จึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมอยู่ๆ ท่านเทพถึงถามขึ้นมาล่ะ เพื่อนนายหรือว่านายอยากไปแลกเปลี่ยนเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ”

หลินเยวียนพูด “เริ่มเรียนได้”

จงอวี๋พยักหน้า ไม่ได้ซักไซ้ เริ่มเรียกคนมาเรียน

อันที่จริงไม่ต้องเรียกเลย

เพราะว่าทันทีที่หลินเยวียนเข้ามาในชมรมจิตรกรรม คนจำนวนมากก็จะเข้ามาห้อมล้อมโดยอัตโนมัติ สมาชิกชมรมคนที่ถึงคิวเรียนในวันนี้ก็ยกม้านั่งเล็กมาแล้ว รอแค่ทางหลินเยวียนเริ่มสอน

ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ก็เพียงยืนดูอยู่ข้างๆ

แม้จะไม่ได้ถูกหลินเยวียนจับมือติวให้กับตัว ทว่าพวกเขายืนมองอยู่ด้านข้าง ก็ไม่ต่างกับได้เรียนฟรี แล้วก็ยังได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย

แต่ว่าพวกเขาไม่ได้รับพรจาก ‘อาจารย์’ เท่านั้นเอง

หลินเยวียนเองก็ไม่เคยขับไล่คนเหล่านี้เลย

อย่างไรซะคนเหล่านี้ยืนอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขา หนำซ้ำยังให้ความโด่งดังของเขาเพิ่มขึ้นด้วย

ที่จริงแล้วหลินเยวียนเคยคิดเรื่องสอนนักเรียนหลายคนพร้อมกัน

แต่ระบบเคยอธิบายว่า พร ‘อาจารย์’ นั้นมีไว้สำหรับการสอนตัวต่อตัว ถ้าหากหลินเยวียนสอนนักเรียนกลุ่มหนึ่งพร้อมกัน ผลของพร ‘อาจารย์’ นี้ก็จะถูกแบ่ง

ด้วยเหตุผลนี้เอง หลินเยวียนจึงล้มเลิกความคิดในการขยายช่องทางกอบโกยรายได้ แล้วดำเนินวิธีการสอนแบบหนึ่งต่อหนึ่งต่อไป

เมื่อจบการสอนของนักเรียนคนแรกในวันนี้

จงอวี๋ก็เข้ามาพูดด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “ท่านเทพ อีกระยะหนึ่ง พวกเรากำลังเตรียมข่าวใหญ่ละ!”

“ข่าวใหญ่อะไรเหรอครับ”

“ถึงตอนนั้นเดี๋ยวนายก็รู้เอง” จงอวี๋รูดซิปปากเงียบ

“อ่อ”

หลินเยวียนเพียงแค่ตอบไปโดยไม่ใส่ใจ

เขาไม่ได้สงสัยสักเท่าไหร่ว่าจงอวี๋มีข่าวใหญ่อะไร

…………………………………………………………

ขณะเดียวกันนักเขียนนิยายชื่อดังซึ่งได้รับคำเชิญทั้งสามสิบท่านก็ร่วมประกวดในเวทีเดียวกัน

กิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ ปู้ลั่วย่อมตีฆ้องร้องป่าวโปรโมตไปทั่วโลก

ตั้งแต่ที่ข่าวนี้ประกาศออกไป ผู้ที่ชื่นชอบการอ่านเรื่องสั้นจำนวนมากเริ่มตั้งหน้าตั้งตาคอย

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ก็คืองานเลี้ยงครั้งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ

และในแวดวงนิยายสั้นเอง ผู้คนในสายงานซึ่งคอยติดตามเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ยามที่กิจกรรมเริ่มต้นขึ้น ทุกคนล้วนพบว่าปู้ลั่วกลับใช้กลเม็ดหนึ่งขึ้นมา

ในประกาศของกิจกรรมเขียนไว้ว่า

[แต่ละบัญชีผู้ใช้มีโอกาสกดหัวใจสามครั้ง ท่านสามารถกดหัวใจได้ที่ส่วนท้ายของนิยาย และท่านสามารถกดหัวใจได้เพียงหนึ่งครั้งต่อนิยายหนึ่งเรื่อง ด้วยวิธีการแสดงออกถึงการสนับสนุนต่อผลงานเช่นนี้ การจัดอันดับของผลงานจะตัดสินจากจำนวนหัวใจ แต่เพื่อให้การจัดอันดับเป็นไปด้วยความยุติธรรม เราจึงซ่อนชื่อของนักเขียนไว้ ขอให้ทุกท่านเริ่มต้นอ่านจากเรื่องราว แล้วเลือกสรรด้วยความเที่ยงธรรมที่สุด เมื่อผลคะแนนสุดท้ายออกมา เราจึงจะเปิดเผยชื่อเจ้าของผลงานเหล่านั้น]

ทำไมต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยากถึงขนาดนี้น่ะหรือ

ก็เพราะนักเขียนที่ได้รับเชิญจากปู้ลั่วให้มาร่วมชิงชัยต่างก็มีแฟนคลับของตนเอง

มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าฟิลเตอร์แฟนคลับ[1]

แฟนคลับจำนวนมากก็จะทุ่มโหวตให้กับนักเขียนที่ตนชื่นชอบ แทนที่จะโหวตให้กับผลงานที่ตนชื่นชอบมากที่สุด

ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ปู้ลั่วจึงซ่อนชื่อนักเขียนไปเสียเลย

‘น่าสนใจดีแฮะ’

‘นักเขียนบางคนมีสำนวนภาษาที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นนักอ่านก็ยังคงเดาออกอยู่ดีว่านักเขียนคนนั้นเป็นใคร แต่ใครจะไปกล้ายืนยันล่ะ ถึงยังไงสำนวนภาษาของนักเขียนหลายคนก็ค่อนข้างคล้ายกัน’

‘นี่ก็คือเหตุผลที่ปู้ลั่วไม่เปิดเผยว่าสรุปแล้วนักเขียนสามสิบคนที่เข้าร่วมการประกวดมีใครบ้างสินะ’

‘ตอนแรกผมก็ไม่ได้อะไรกับกิจกรรมนี้หรอก แต่ตอนนี้กลับเริ่มสนใจขึ้นมาแล้วล่ะครับ’

‘…’

หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทุกคนก็เริ่มอ่านนิยาย

โดยทั่วไปความยาวของนิยายขนาดสั้นจะถูกกำหนดไว้ที่ประมาณสามพันถึงห้าพันตัวอักษร ฉะนั้นนักอ่านจึงอ่านได้อย่างรวดเร็ว

ปู้ลั่วยกอำนาจในการตัดสินอันดับให้แก่ผู้อ่าน

ทุกคนล้วนเพลินกับความรู้สึกที่ได้เป็นกรรมการเช่นนี้มาก ขณะที่อ่านนิยายจึงไม่เกิดความรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรู้สึกราวกับกำลังทำภารกิจสำคัญอย่างบอกไม่ถูก

‘หัวใจที่ฉันกดจะตัดสินอนาคตของผลงาน’

ผู้คนมากมายเข้าร่วมการคัดเลือกและตัดสินด้วยความคิดเช่นนี้

ไม่นาน ก็มีคนสังเกตเห็นนิยายเรื่อง ‘วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ’

นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้านิยายเรื่องนี้ไม่ดึงดูดนักอ่านสิ ถึงจะเรียกว่าแปลก เพราะมาตรฐานในการเสพงานศิลปะบนบลูสตาร์นั้นสูงกว่าโลกมากทีเดียว ไม่มีทางมองไม่เห็นความยอดเยี่ยมของนิยายเรื่องนี้

ต้องเข้าใจก่อนว่า

เชคอฟเป็นหนึ่งในสามบิดาแห่งเรื่องสั้นของโลก ผลงานในช่วงแรกของเขานั้นจัดว่ามีความโดดเด่นมาก!

เลโอ ตอลสตอย[2]ยังเคยกล่าวถึงเชคอฟไว้ว่า ‘ผมจะพูดให้ชัดโดยปราศจากการเสแสร้ง หากว่ากันตามเทคนิคแล้ว เชคอฟนั้นยอดเยี่ยมกว่าผมเสียอีก!’

บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง[3]

ชาวตะวันตกไม่ค่อยชอบอ้อมค้อมและถ่อมตัว

เชคอฟผู้ซึ่งทำให้เลโอ ตอลสตอยกล่าวเช่นนี้ได้ ต้องปราดเปรื่องมากอย่างแน่นอน

เชคอฟเป็นที่เลื่องลือด้านการวิพากษ์สัจธรรม เรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐก็เป็นผลงานซึ่งค่อนข้างโดดเด่นเรื่องหนึ่ง

และเมื่อผู้คนได้อ่านวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่องแสดงความคิดเห็นของนิยายเรื่องนี้ก็ค่อยๆ คึกคักขึ้นมา

แม้ว่าจะซ่อนชื่อเสียงเรียงนามของนักเขียนไว้ แต่ทุกคนก็ยังคงเข้ามาแสดงความคิดเห็น

‘นิยายเรื่องนี้โหดอยู่นะ’

‘ถึงจะมีแค่พันกว่าตัวอักษร แต่ฉันอ่านวนไปตั้งสาม รอบแรกรู้สึกว่าตลก รอบสองรู้สึกว่าเศร้า รอบสามรู้สึกมีอารมณ์ร่วม เพราะฉันคิดว่าถ้าเปลี่ยนให้ฉันไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเสมียนคนนี้ แม้จะไม่ถึงกับขอโทษขอโพยซ้ำๆ แต่อย่างน้อยก็คงกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับไปเป็นอาทิตย์แหละ’

‘ใช่ๆ หยิบยืมอดีตมาเสียดสีปัจจุบัน ผมนึกคำนี้อยู่ตั้งนาน แต่ก็นึกไม่ออก นึกออกแค่คำว่าโหดสาสส’

‘สังคมปัจจุบันของเรามีข้าราชการตัวเล็กตัวน้อยแบบนี้เยอะมาก เพียงแต่ว่าในนิยายใช้วิธีกล่าวเกินจริงเพื่อสื่อสารออกมาเท่านั้นเอง’

‘ฉันไม่ได้รู้สึกว่ามันเกินจริงด้วยซ้ำ คนที่มีประสบการณ์ตรงคงจะรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ได้มากกว่าล่ะมั้ง แล้วก็คงจะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมากด้วย เพราะมันทำลายชีวิตคนคนหนึ่งได้เลยนะ แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเราต้องเน้นย้ำเรื่องสุขภาพจิตไงล่ะ’

‘…’

หลังจากที่อภิปรายถกเถียงกันไป ทุกคนต่างก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา

‘ปู้ลั่วซ่อนชื่อผู้แต่งไปอีก วิธีนี้แกงมาก ดูจากแค่สำนวนภาษา ฉันบอกไม่ได้หรอกว่านิยายเรื่องนี้มาจากนักเขียนคนไหน’

‘น่าจะเป็นนักเขียนที่ดังมานานแล้วล่ะมั้ง’

‘ความสามารถของนักเขียนไม่ต้องพูดถึงเลย ตกคนอ่านได้ด้วยพันกว่าตัวอักษรนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็โดนตกไปแล้วละ กดหัวใจให้ไปเลย’

‘นิยายเรื่องนี้มีแค่พันกว่าตัวอักษร สิ่งที่น่ากลัวคือตรงนี้แหละ!’

‘ฉันละอยากกดหัวใจให้นิยายเรื่องนี้ไปเลยสามดวงรัวๆ แต่น่าเสียดายที่ปู้ลั่วไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น นิยายแต่ละเรื่องกดหัวใจได้ครั้งเดียวเอง’

‘เริ่มสงสัยตอนประกาศผลออกมาแล้ว ว่านักเขียนคนนี้เป็นใครกันแน่ ความรู้สึกคาดหวังอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ ฮ่าๆๆๆๆ’

‘…’

ในวันที่สอง นิยายเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐก็ขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่ง!

ทว่าอันดับสองและอันดับสามนั้นมีจำนวนหัวใจไม่ต่างกับอันดับหนึ่งมาก ฉะนั้นศึกในครั้งนี้ยังคงคุมเชิงกันอยู่

และเมื่อเผชิญกับผลลัพธ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่นักอ่านสงสัยเลย แม้แต่นักเขียนในวงการนิยายสั้นเองก็ยังเริ่มสงสัย ในกลุ่มย่อยไม่น้อยก็พูดคุยกัน

‘อันดับหนึ่งเป็นผลงานของใครเหรอ’

‘ดูจากแค่สไตล์การเขียน ฉันมองไม่ออกว่าเป็นใคร’

‘หรือว่าจะเป็นเหล่าโจว? ปู้ลั่วต้องเชิญเขาเข้าร่วมแน่เลย’

‘เหล่าโจวเข้าร่วมจริงนั่นแหละ เขาไม่ยอมบอกฉันว่าตัวเองเขียนนิยายเรื่องไหน แต่เมื่อกี้ก็เพิ่งจะมาถามฉันว่ารู้มั้ยว่าใครเขียนเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ’

‘ไม่มีใครยอมรับเหรอ?’

‘เจ้าพวกนี้เล่นแรงมากนะ ถึงยังไงนักเขียนที่พวกเราคุ้นเคยก็ต้องเป็นคนเขียนเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ ปู้ลั่วยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่านักเขียนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนเป็นนักเขียนผู้ทรงคุณวุฒิในวงการ’

‘มีคนไปสืบจากปู้ลั่วมาหรือยัง’

‘ไปสืบมาแล้ว ต่อให้เป็นคนในปู้ลั่ว อย่างน้อยก็ต้องระดับหัวหน้าบรรณาธิการถึงจะรู้ว่านักเขียนเป็นใคร แต่ว่าพวกเขาปิดปากเงียบกริบ ไม่มีทางหลุดปากบอกชื่อนักเขียนของผลงานแต่ละเรื่องหรอก’

‘ทำได้แค่รอประกาศผลไฟนอล’

‘จะว่าไปแล้ว เรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐอยู่เลเวลสูงจริงๆ สไตล์การเขียนตลกขบขัน แต่จิกกัดได้เจ็บแสบ เนื้อเรื่องสั้นมาก แต่เนื้อหากลับมีความหมายลึกซึ้ง’

‘สุดท้ายแล้ว ถ้าจะคว้าอันดับหนึ่งก็ไม่น่ามีปัญหา’

‘พูดยาก อันดับสองเป็นนิยายแนวสืบสวนสอบสวน มีความเป็นเรื่องราวน่าติดตาม สุดท้ายแล้วถ้าเกมพลิกน่าประหลาดใจอยู่ มีความพลิกโผ’

‘อันดับสามเองก็ไม่เลวเลยนะ นักเรียนม.ต้นสองคนเริ่มเป็นแฟนกัน คนหนึ่งเรียนดี คนหนึ่งเรียนแย่ เพื่อที่จะทำให้ต่างคนต่างคบกันได้ คนหนึ่งตั้งใจเรียนอย่างหนัก เริ่มมีผลการเรียนที่ดีกว่าปกติ ได้เข้าโรงเรียนม.ปลายที่ดีที่สุดในเขต อีกคนหนึ่งจงใจออมมือ ได้เข้าโรงเรียนม.ปลายที่ค่อนข้างแย่ แต่ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนิยายเรื่องของขวัญแห่งเมไจที่ดังมากก่อนหน้านี้’

‘…’

บทสนทนาร้อนแรง กิจกรรมของปู้ลั่วท่วมท้นไปด้วยความสนุกหรรษาของเกม ‘เดาซิฉันเป็นใคร’

…………………………………….

[1] ฟิลเตอร์แฟนคลับ ใช้เปรียบเปรยการที่แฟนคลับชอบศิลปินหรือคนดังมาก จนมองข้ามข้อบกพร่องของคนเหล่านั้นไป เหมือนกับการใส่ฟิลเตอร์เพื่อแต่งภาพนั่นเอง

[2] เลโอ ตอลสตอย นักเขียนชื่อดังชาวรัสเซีย มีผลงานโดดเด่นคือสงครามและสันติภาพ และ อันนา คาเรนินา

[3] บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง เปรียบเปรยว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกันเป็นอันดับหนึ่ง ต่างคนต่างมีข้อดีของตนเอง

หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าระบบจะถึงกับใส่บัฟมาให้เขาด้วย

แล้วก็ไม่ใช่ภารกิจแต่อย่างใด แต่ยังไงก็เป็นการอวยพรให้ตน ก็คล้ายกับพวกเกมปลูกผักอะไรทำนองนั้น

“งั้นต่อไปฉันก็จะสอนเก่งกว่าครูเหรอ” หลินเยวียนคิดแบบนั้น

ก่อนหน้านี้เขาสอนนักเรียนแล้วได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมขนาดนั้น ล้วนเป็นเพราะฝีมือของตนเองสูงมากพอทั้งนั้น แถมยังสอนตัวต่อตัวอีก

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว

เมื่อมีประสิทธิผลของ ‘อาจารย์’ นักเรียนที่เรียนกับตนก็มีความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ก็จะเรียนได้ง่ายขึ้น!

ความสามารถในการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นสองเท่า สรุปแล้วเป็นยังไงกันแน่นะ

หลินเยวียนตัดสินใจทดสอบ เขามองไปที่จงอวี๋ “วันนี้ผมจะสอนอีกคนหนึ่ง”

จงอวี๋ชะงักไป “นายไม่พักเหรอ”

“อื้ม”

“งั้นก็ได้ คนต่อไปคือเฉินรุ่ย วันนี้เฉินรุ่ยอยู่มั้ย”

“อยู่ครับ!”

เฉินรุ่ยรีบยกมือขึ้น ชั่วขณะนั้นก็พลันตื่นเต้นดีใจ

เมื่อสัปดาห์ก่อนเขานัดหมายคาบติวกับหลินเยวียนไว้

เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้จึงจะถึงคิวของตน นึกไม่ถึงว่าวันนี้ท่านเทพหลินเยวียนจะถึงกับยอมสอนต่ออีกคน!

“เริ่มเลยนะครับ”

หลินเยวียนบอก “คุณคัดลอกภาพนี้ก่อน ระหว่างนั้นมีตรงไหนผิดพลาด ผมจะช่วยแก้ให้ครับ”

ในตอนนี้หลินเยวียนพอจะมีประสบการณ์ในการสอนบ้างแล้ว

เขาชอบให้นักเรียนวาดภาพต่อหน้าเขา ระหว่างกระบวนการวาด นักเรียนก็จะเผยข้อผิดพลาดของตนออกมาให้เห็น

ในตอนนี้หลินเยวียนบอกให้หยุดได้ จากนั้นก็ทำการแนะนำและชี้จุดบกพร่อง

วันนี้ก็เหมือนกัน

เฉินรุ่ยเผยความผิดพลาดแรกออกมาอย่างรวดเร็ว เขาควบคุมแรงยามที่วาดเส้นตรงได้ไม่ดี

หลินเยวียนอธิบาย “เส้นตรงต้องควบคุมความมั่นคงของมือให้ดี จากนั้นใช้ปลายข้าง ปลายแบนหรือว่าตรงกลางของดินสอ ก็วาดเส้นที่มีระยะเท่ากันได้…”

เฉินรุ่ย “…”

เฉินรุ่ยจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ค่อนข้างอ่อน ตอนนี้เขารู้สึกว่าทฤษฎีที่หลินเยวียนพูด ในหนังสือก็มี อาจารย์เน้นย้ำวิธีสเก็ตช์ที่ถูกต้องไว้เป็นหมื่นครั้ง แต่ตนไม่ค่อยเข้าใจจะให้ทำอย่างไรล่ะ

ช่วยไม่ได้ เขาได้เพียงทำตามที่หลินเยวียนบอก

ครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้คาดหวัง เพียงแต่อยากให้หลินเยวียนเข้าใจว่าตนเป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่พื้นฐานการสเก็ตช์อ่อนที่สุด

ทว่าวาดไปเรื่อยๆ เฉินรุ่ยก็พลันเกิดความรู้สึกอัศจรรย์อย่างหนึ่งขึ้นมา “เหมือนฉันจะเข้าใจนะ”

แกร็กๆๆ

มือของเขาขยับ เส้นตรงหลายเส้นเรียงต่อกัน น้ำหนักกำลังพอดี

ผลลัพธ์นี้เกินกว่าที่เฉินรุ่ยจินตนาการไว้ ในตอนนั้น เขาถึงกับเกิดมโนภาพขึ้นมาว่าตนเองเริ่มเป็นอัจฉริยะด้านการสเก็ตช์ภาพ

เกิดอะไรขึ้น

ฉันเข้าใจแล้วเหรอเนี่ย

อาจารย์อธิบายตั้งหลายรอบฉันไม่ยักเข้าใจ ทำไมหลินเยวียนพูดรอบเดียวฉันก็เข้าใจเลย ทั้งที่เนื้อหาที่พวกเขาพูดก็คล้ายกันแท้ๆ

ออกจะน่าประหลาดใจอยู่บ้าง

เฉินรุ่ยเริ่มรวบรวมสมาธิ เรียนกับหลินเยวียนต่อไป

เรียนแบบนี้มาครึ่งชั่วโมง เฉินรุ่ยมองดูแววตาของหลินเยวียน เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

แม่เจ้าโว้ย!

ครูดัง[1]นี่หว่า!

จนถึงตอนนี้หลินเยวียนสอนเขามาแล้วครึ่งชั่วโมง

การเรียนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ เฉินรุ่ยรู้สึกว่าสมองของตนแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ หลายอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ

หลินเยวียนพูดครั้งเดียวก็กระจ่างแล้ว

ตนเองฉลาดขึ้นมาแล้วใช่มั้ยนะ

หรือว่าฉันกลายเป็นอัจฉริยะแล้วจริงๆ

เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการสเก็ตช์สักหน่อย

เฉินรุ่ยค่อยๆ ตระหนักขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่ตนดูเหมือนฉลาดขึ้นมาเล็กน้อย ก็ล้วนเป็นเพราะท่านเทพหลินเยวียนสอนดี การสอนตั้งแต่พื้นฐานไปถึงลึกซึ้งของเขา ทำให้ฉันเข้าใจกระบวนการคิดของตนเอง ทำให้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรคือการสเก็ตช์ภาพ!

ชั่วขณะนั้นเฉินรุ่ยก็รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงแนะนำให้ตนมาชมรมจิตรกรรม จ่ายเงินให้เทพท่านนี้สอน!

เจ๋งเป้ง!

โคตรจะเจ๋งเป้ง!

ก่อนหน้านี้ตนยังคิดว่าเรียนชั่วโมงละห้าร้อยหยวนแพงไปหน่อย

หลินเยวียนดูท่าแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าตนซะอีก เอาอะไรมาเก็บค่าเรียนแพงขนาดนี้

ทว่าในตอนนี้เฉินรุ่ยเชื่อสนิทใจแล้ว แถมเขายังรู้สึกด้วยว่าชั่วโมงละห้าร้อยหยวน เป็นตนนี่แหละที่ได้กำไร หลินเยวียนไม่เพียงฝีมือการสเก็ตช์สูงส่ง ความสามารถในการสอนคนอื่นสเก็ตช์ภาพยังแข็งแกร่งสุดยอดอีกด้วย!

……

หลินเยวียนไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเฉินรุ่ย ในตอนนั้นเขาสัมผัสได้เพียงอย่างเดียว

ผลลัพธ์ของ ‘อาจารย์’ สุดยอดไปเลย!

นักเรียนที่ชื่อเฉินรุ่ยคนนี้ ดูจากตอนที่วาดรูปแล้ว ท่าทางไม่น่าจะเป็นคนหัวไวอะไร

เดิมทีหลินเยวียนเตรียมตัวสู้รบตบมือไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะนักเรียนแบบนี้สอนยากที่สุด

ผลคือหลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ในช่วงเวลาอันสั้น

ตนคิดว่าเขาอาจไม่ได้ฟังทฤษฎีแล้วเข้าใจ หลังจากที่อธิบายออกไป อีกฝ่ายก็เข้าใจแทบทั้งหมด!

นี่อาจเป็นผลลัพธ์ของบัฟอาจารย์อย่างแน่นอน

ช่วงนี้หลินเยวียนสอนนักเรียนไปไม่น้อย

ดังนั้นเขาเองก็รู้ว่า นักเรียนที่มีพื้นฐานอ่อนมากเหล่านั้นสอนยากขนาดไหน

ก็ตามนั้นแหละ

สอนมาได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลินเยวียนก็หยุด

เขาพูดกับเฉินรุ่ย “เท่านี้ก็แล้วกันครับ”

เฉินรุ่ยหยัดกายลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “ท่านเทพ ฉันยังเรียนกับนายต่อได้มั้ย”

หลินเยวียนตอบ “จองคิวล่วงหน้านะครับ”

จงอวี๋รับผิดชอบเรื่องจองคิวนัดหมาย

คิววนถึงใคร หลินเยวียนก็สอนคนนั้น แบบนี้จะค่อนข้างยุติธรรม ไม่งั้นเจ้าพวกนี้ก็จะชอบแย่งคิวกันอยู่เรื่อย

“ได้!”

เฉินรุ่ยจึงปรี่เข้าไปจองคิวกับจงอวี๋ในทันที

การเรียนที่ต้องนัดหมายประเภทนี้ ปูพื้นฐานหนึ่งชั่วโมง ลงรายละเอียดอีกหนึ่งชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเวลาของหลินเยวียน

“วันนี้พอแค่นี้นะครับ”

หลินเยวียนพอจะเข้าใจผลลัพธ์ของ ‘อาจารย์’ คร่าวๆ แล้ว

หากอิงตามสิ่งที่ระบบพูด หลังจากนี้ยิ่งตนสอนนักเรียนมากเท่าไหร่ พลังของ ‘อาจารย์’ ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

ไม่ช้าก็เร็ว ต่อให้นักเรียนจะสมองช้าแค่ไหน เมื่อมาถึงมือหลินเยวียน ก็จะกลายเป็นยอดอัจฉริยะขึ้นมาทันที!

“เห็นทีหลังจากนี้คงต้องขึ้นราคาอีก”

ผลลัพธ์ของ ‘อาจารย์’ สุดยอดไปเลยจริงๆ

แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็ยังลังเลอยู่บ้าง เพราะถ้าขึ้นราคาไปเรื่อยๆ ก็อาจมีนักเรียนจำนวนมากที่จ่ายค่าเรียนของตนไม่ไหว

ค่าใช้จ่ายรายเดือนของนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่เกินเดือนละสามพันหยวน

หลินเยวียนไม่มีหัวด้านการแสวงหากำไร ฉะนั้นเรื่องการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องแบบนี้ เขาก็รู้สึกทำไม่ลงอยู่บ้าง

“ช่างเถอะ ทำแบบนี้ไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน”

หลินเยวียนข่มกลั้นความอยากขึ้นราคา ช่วงเวลาต่อจากนั้น เขายังคงเก็บค่าเรียนชั่วโมงละห้าร้อยหยวนต่อไป

แต่ว่า ผลลัพธ์ของ ‘อาจารย์’ มันช่างใช้งานได้ดีเหลือเกิน

บรรดานักเรียนที่มาเรียนกับหลินเยวียนหลังจากนั้น สัมผัสไม่ได้ว่าตนได้อิทธิพลจากพรของหลินเยวียนเลย พวกเขาเรียนกับหลินเยวียนเสร็จ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจมีเพียงสองประเภท

ความรู้สึกประเภทแรกคือ ฉันเรียนการสเก็ตช์ภาพรู้เรื่องขนาดนี้เลย?

ความรู้สึกประเภทที่สองคือ ท่านเทพหลินเยวียนสอนเก่งมาก!

ความรู้สึกประเภทที่สองมักจะกลบความรู้สึกประเภทแรก เพราะพวกเขายังได้เรียนวิชากับอาจารย์ในสาขา

นักศึกษาที่พื้นฐานค่อนข้างอ่อนมากมาย หลังจากผ่านการเรียนกับหลินเยวียนก็พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงประหนึ่งเกิดใหม่ แม้แต่อาจารย์ก็ยังตกตะลึงไปตามกัน!

ในนั้นมีนักศึกษาบางคนที่อาจารย์คิดว่าหัวทึบจนเกินเยียวยา ก็ถึงกับถูกหลินเยวียนขัดเกลาจนก้อนหินกลายเป็นทองคำ

นั่นก็ยิ่งบ่มเพาะชื่อเสียงของหลินเยวียนอย่างหนักหน่วง

ถึงอย่างไรการเปลี่ยนแปลงของคนเหล่านี้ก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ฉะนั้นชื่อเสียงของหลินเยวียนในฐานะเทพแห่งการสเก็ตช์ก็ยิ่งโชติช่วงชัชวาลขึ้นไปอีก

และพลอยให้คนมาสมัครเข้าชมรมจิตรกรรมมากขึ้นตามไปด้วย

ตั้งแต่ที่เสิ่นเลี่ยงเป็นรองประธานชมรมมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขบคิดอย่างจริงจังว่าจะจำกัดการสมัครดีหรือไม่

ตัวเขาเมื่อก่อนต้องนึกไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าวันใดวันหนึ่งชมรมจิตรกรรมจะฮ็อตฮิตได้ขนาดนี้!

ในตอนนี้สมาชิกชมรมจิตรกรรมเกินสามร้อยคนไปแล้ว

นี่เป็นความดีความชอบของหลินเยวียนทั้งนั้น!

ถ้าทำแบบนี้ต่อไป นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ที่อยากพัฒนาฝีมือการสเก็ตช์ภาพก็จะเฮละโลกันมาที่ชมรมจิตรกรรม!

“เทพเกินไปแล้ว!”

ด้วยนักเรียนที่หลินเยวียนติวให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลินเยวียนในตอนนี้ ได้รับการปรนนิบัติพัดวีเยี่ยงบอสใหญ่ในชมรมจิตรกรรม

ทั้งอาหารการกิน เครื่องดื่ม ของใช้…

หลินเยวียนขยิบตาครั้งเดียว ก็มีคนยกมาส่งให้ถึงที่

คนที่ขันอาสาเหล่านี้ ส่วนมากก็เป็นสมาชิกชมรมที่เขาเคยสอน และก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่หยุด

เมื่อดูจากสวัสดิการแล้ว หลินเยวียนเห็นจะมีหน้ามีตากว่ารองประธานชมรมอย่างตนมากโข

และในตอนนี้ วันเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือน

ต้นฉบับเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐซึ่งหลินเยวียนส่งไปในนามปากกาว่าฉู่ขวง ในสุดก็ได้ตีพิมพ์ในเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วแล้ว

………………………………………………..

[1] ครูดัง มาจากสำนวนว่า ‘ครูดังสร้างศิษย์เอก’ เปรียบเปรยว่าครูที่มีความรู้ความสามารถจะสร้างให้ลูกศิษย์มีความรู้ความสามารถเช่นกัน

เว่ยหลงสูดลมหายใจเข้าลึก อ่านทวนเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง

อ่านจบรอบที่สอง

สีหน้าของเว่ยหลงซับซ้อนขึ้นมา ปากพึมพำว่า

“อัจฉริยะ”

ตนประเมินฉู่ขวงต่ำไปจริงๆ

นี่มันไม่ใช่นิยายขนาดมินิที่ทำให้คนอ่านแล้วกลั้นขำไว้ไม่อยู่

ในทุกคำของฉู่ขวงดูคล้ายกับว่าจะสอดแทรกอารมณ์ขันชวนผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนขั้นสุด

เสียดสี!

คนผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่โดยไม่ตั้งใจ ต่อให้ผู้ใหญ่จะแสดงออกว่าเข้าอกเข้าใจ ผู้น้อยกลับยากที่จะหลีกหนีความรู้สึกหวั่นผวาและตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา เพราะผู้ใหญ่มีความสามารถเช่นนี้ ก็ย่อมลิขิตชะตาชีวิตของผู้น้อยรอบตัวได้อย่างง่ายดาย

นี่คือความทุกข์ตรมของคนที่อยู่ในสถานะผู้น้อย

ฉู่ขวงไม่ได้บรรยายฉากของเรื่องไว้แน่ชัด

แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ว่าเป็นยุคสมัยซึ่งนายพลสามารถควบคุมความเป็นความตายของข้าราชการชั้นผู้น้อยได้ เขาสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อตำหนิการกดขี่ชนชั้นล่างของระบอบเผด็จการศักดินาในยุคสมัยนั้น…

อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจแบบนี้ผิวเผินมาก

เมื่ออ่านจบอย่างละเอียดก็ใคร่ครวญอีกครั้ง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแค่ในอดีตซะที่ไหนกันล่ะ ยุคปัจจุบันที่พวกเราอยู่ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง

คนที่มีตำแหน่งต่ำกว่ามักจะเกิดความคิดหวาดระแวงผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า จากนั้นก็จะทึกทักไปว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง เพียงแค่ถูกหัวหน้าจ้องมอง พนักงานก็จะเริ่มใคร่ครวญด้วยความอึดอัดใจแล้วว่าตนทำอะไรผิดไปกันแน่

ถ้าเกิดมีคนไม่ทันระวัง ไปล่วงเกินหัวหน้าเข้า ในสมองก็คงจะอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวว่า ‘ต้องโดนลงโทษแน่ๆ’

ก็เหมือนกับครั้งก่อนที่เว่ยหลงเห็นในหนังสือพิมพ์

เป็นแค่หัวหน้าในบริษัทขายสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ถึงขั้นที่สามารถทำให้พนักงานลงไปคลานกับพื้น ใช้วิธีลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการลงโทษพนักงานที่ทำผลงานได้ไม่ถึงเป้า…

เว่ยหลงรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะ

สิ่งที่ทำให้เขางุนงงยิ่งกว่าก็คือ พนักงานเหล่านั้นไม่ได้ต่อต้านด้วยซ้ำ แต่กลับทำตามอย่างว่าง่าย นี่ก็เหมือนกับการที่นายพลชี้เป็นชี้ตายเสมียนได้ไม่ใช่หรือ

ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีวันถูกถอนรากถอนโคนไปจากโลกนี้

ดังนั้นถึงได้มี ‘เสมียนรัฐ’ มากมายที่จบชีวิตลง

เมื่อคาดเดาความคิดของผู้ใหญ่ได้ ก็จะได้รับการชื่นชมจากคนเหล่านั้น ทว่าหากเข้าใจเจตนาผิดขึ้นมา อนาคตก็อาจตกอยู่ในภาวะลำบากแล้ว

มีหลายครั้งที่เหล่าเสมียนก็สวมพันธนาการแห่งความเป็นทาสให้ตนเอง

ทำไมตนถึงรู้สึกว่าน่าขัน

ทำไมตนถึงไม่รู้สึกว่าเรื่องราวนั้นเกินจริง

ก็เพราะสถานการณ์พรรค์นี้ พบเห็นได้จนชินตาในยุคปัจจุบันอย่างไรล่ะ

เจตนารมณ์ของฉู่ขวงนั้นสูงส่ง

นิยายสั้นเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการหยิบยืมอดีตมาเสียดสีปัจจุบัน!

บริภาษปรากฏการณ์ทางสังคมปัจจุบันผ่านหนึ่งพันกว่าตัวอักษรสั้นๆ ถ่ายทอดความคิดของตน นี่เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานที่ล้ำเลิศมาก

นี่คือศิลปะในการเสียดสี!

ยากที่จะจินตนาการว่า ขณะที่เรื่องสั้นซึ่งเข้าประกวดจำนวนมากยังคงมุ่งเน้นเนื้อเรื่องและอรรถรส

ฉู่ขวงได้เริ่มมุ่งเน้นการแสดงออกถึงความคิดของตนผ่านตัวอักษร นี่คือเหตุผลที่เว่ยหลงรู้สึกตกใจ…

แต่ถึงอย่างนั้นนักอ่านจะชอบด้วยหรือเปล่า

เว่ยหลงคาดเดาไม่ค่อยได้ ถึงอย่างไรรสนิยมในการเสพสุนทรีย์ของแต่ละคนก็ต่างกัน เจตจำนงของเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐอาจอยู่ในขั้นสูงที่สุดในบรรดานิยายทั้งหมด ทว่าเจตจำนงไม่ใช่ทั้งหมดของนิยาย

“คิดเยอะขนาดนั้นไปทำไมนะ” เว่ยหลงหัวเราะเบาๆ

ไม่ว่าผู้อ่านจะชอบหรือไม่ การคัดเลือกผลงานในครั้งนี้ จะขาดเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐไปไม่ได้ เว่ยหลงคิดว่าการมีอยู่ของเรื่องนี้ได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของการแข่งขันในครั้งนี้ไปแล้ว

……

ช่วงเวลาหลังจากนั้น หลินเยวียนก็จะไปที่ชมรมจิตรกรรมทุกวัน

ตนสเก็ตช์ภาพ และสอนคนอื่นสเก็ตช์ภาพ ได้ทั้งเงินทั้งชื่อเสียง

นั่นทำให้หลินเยวียนมีรายรับอย่างน้อยหนึ่งพันหยวนต่อวัน รวมกันแล้วมากกว่าเงินเดือนที่ได้จากแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ซะอีก เป็นช่องทางใหม่เอี่ยมในการหาเงิน!

ในขณะเดียวกัน

นักศึกษาที่ผ่านการติวตัวต่อตัวกับหลินเยวียน และฝีมือการสเก็ตช์ภาพรุดหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องราวแพร่สะพัดไปถึงระดับนี้ จนแม้แต่อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ยังรู้เรื่องที่มีขั้นเทพคนหนึ่งในชมรมจิตรกรรมเปิดสอนการสเก็ตช์ภาพ

จะไม่สังเกตเห็นก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง

วันดีคืนดี อยู่ๆ ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของนักศึกษาบางคนในคลาสก็ก้าวกระโดดขึ้นมา

อย่างกับเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติไม่มีผิดเพี้ยน

มีอาจารย์บางคนไปสืบความจากนักศึกษา ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วในชมรมจิตรกรรมมีเทพแห่งการสเก็ตช์ภาพซึ่งรับติวโดยเก็บค่าเรียนคนหนึ่ง และที่ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของเหล่านักศึกษาดีขึ้น ก็ล้วนเป็นเพราะความดีความชอบของเทพคนนี้นี่เอง

เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ คณาจารย์ต่างก็งงงันไปตามกัน

โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าขั้นเทพคนนี้เป็นเพียงนักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลง

แต่ว่าอาจารย์ก็ย่อมไม่เข้าไปขัดขวางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของนักศึกษาที่พัฒนาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี การจ่ายเงินเรียนนั้นไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือจ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่เห็นผล

ด้วยความสามารถในการสอนขั้นเทพด้านการสเก็ตช์ภาพที่สำแดงออกมา เห็นได้ชัดว่านักศึกษาที่จ่ายเงินเหล่านี้ได้กำไรเต็มๆ!

ถึงขั้นที่มีอาจารย์บางคนยังแนะนำให้นักศึกษาที่ผลคะแนนการสเก็ตช์ภาพไม่ดีไปชมรมจิตรกรรม เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนศิลปะกับท่านเทพ

เมื่อเป็นเช่นนี้

นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ซึ่งมาสมัครเข้าชมรมจิตรกรรมในช่วงนี้จึงเยอะขึ้นมากทีเดียว เมื่อถามเหตุผล ต่างก็ตอบว่ามาเพราะเทพการสเก็ตช์ภาพ

เรื่องนี้ทำเอาเสิ่นเลี่ยงรองประธานชมรมจิตรกรรมหัวเราะจนกรามแทบค้าง

นึกไม่ถึงว่าพอมีหลินเยวียนมาประจำการในชมรมจิตรกรรมแล้วจะได้ผลชะงัด เป็นโฆษณาในร่างคนดีๆ นี่เอง!

ชมรมมีหลินเยวียน ประหนึ่งมีสมบัติล้ำค่า!

หลินเยวียนก็ยังคงนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ บุคลิกของเขาก็ยังเหมือนเดิม

ในวันนี้

หลังเลิกเรียน หลินเยวียนก็ไปชมรมจิตรกรรมอีกครั้ง

ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูไปก็มีคนตระเตรียมกระดานวาดภาพ เก้าอี้ ดินสอที่เหลาแล้ว รวมไปถึงเครื่องดื่มที่เขาชื่นชอบไว้ให้เสร็จสรรพ

ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ชมรมจิตรกรรมปฏิบัติต่อหลินเยวียน

และจากการมาประจำการของหลินเยวียน รอบข้างถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย มีผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านเทพ วันนี้ถึงคิวฉันแล้ว”

“ท่านเทพ ยืนยัน”

จงอวี๋มองตารางบันทึกในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะพยักหน้าให้หลินเยวียน

เนื่องจากคนที่มาเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียนมีมากเกินไป หลินเยวียนดูแลไม่ไหว

ดังนั้นจงอวี๋ผู้ซึ่งขนานนามตนเองว่าเป็นศิษย์เอกของหลินเยวียนก็ออกตัวรับหน้าที่ ให้สมาชิกในชมรมใช้ระบบจองคิวล่วงหน้า ทุกคนที่อยากเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียน จำต้องมานัดหมายล่วงหน้า!

หลินเยวียนก็ตกลง

จวบจนวันนี้ วิธีการนี้ถูกนำมาใช้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มาเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียนก็มีมากจนเหลือรับ ทุกคนต่างก็ต่อคิวรอโอกาสของตนมาถึง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นเต้นหลังจากที่ถึงคิวของตนเอง คลาสเรียนของหลินเยวียนจองคิวยากเสียจริง

ใช้เวลาไปสองชั่วโมง

หลินเยวียนก็สอนสุภาพสตรีคนนั้นเสร็จ

จงอวี๋หยิบถือกาแฟมารออยู่นานแล้ว ยิ้มตาหยี “แก้วเมื่อกี้เย็นแล้ว นี่แก้วใหม่ ท่านเทพเชิญรับประทาน”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนดื่มกาแฟที่อุณหภูมิกำลังพอดีซึ่งอีกฝ่ายยกมาให้

ในตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทของเขา “อาจารย์ มีไว้เผยแผ่วิชาวิสัชนาข้อสงสัย[2] ช่วงนี้โฮสต์ชี้แนะนักเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รับความสำเร็จในฐานะ ‘อาจารย์’ ชั่วนิรันดร์ ”

หลินเยวียนชะงักไป “หมายความว่ายังไง”

ระบบอธิบาย “อาจารย์เป็นความสำเร็จประเภทพิเศษ โดยทั่วไปจะได้รับเมื่อโฮสต์แตะถึงมาตรฐานบางอย่างที่ระบบซ่อนไว้ จากนี้นักเรียนซึ่งได้รับคำชี้แนะจากโฮสต์จะเรียนรู้ได้มากขึ้นสองเท่าในระยะเวลาที่เรียน เพราะคนที่โฮสต์สอนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่อาจารย์มีต่อลูกศิษย์ก็จะเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!”

หลินเยวียน “…”

ระบบมีวิธีการแบบนี้ด้วยเหรอ

อยากให้ฉันเป็นครูสอนศิลปะหรือไงเนี่ย

………………………………………………

[1] บัฟ (buff) เป็นศัพท์แสลงในเกม หมายถึงเพิ่มความแข็งแกร่งหรือความสามารถให้บางสิ่งอย่างรวดเร็ว

[2] อาจารย์ มีไว้เผยแผ่วิชาวิสัชนาข้อสงสัย มาจากบทประพันธ์เรื่อง ‘คำสอนอาจารย์’ ของหานอวี้ กวีและนักเขียนสมัยราชวงศ์ถัง

“วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ?”

เมื่อเห็นชื่อเรื่องนี้ เว่ยหลงก็เผลอคิดไปทันทีว่านี่คือนิยายสืบสวนสอบสวน เพราะไม่ได้จำกัดแนวนิยาย ดังนั้นในบรรดานักเขียนนิยายสั้นซึ่งทยอยส่งต้นฉบับกันมาจึงมีผลงานแนวสืบสวนสอบสวนอยู่บ้าง

เมื่อกดเปิดดู

เว่ยหลงเหลือบมองจำนวนตัวอักษร จากนั้นก็ชะงักไป

หนึ่งพันแปดร้อยตัวอักษร?

เขาสงสัยว่าตนเองมองผิดไป

ถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจำนวนตัวอักษรของนิยายขนาดสั้นพวกนี้จะมีไม่มาก แถมตนก็ยังแนะนำฉู่ขวงเป็นพิเศษว่านิยายขนาดสั้นนั้นสั้นดีกว่ายาว จำนวนตัวอักษรไม่ควรยาวเกินไป…

แต่นี่มันน้อยเกินไปมั้ยเนี่ย

รวมกันแล้วไม่ถึงสองพันตัวอักษรด้วยซ้ำ?

ฉันพูดว่าสั้นหน่อย หมายความว่าจำนวนตัวอักษรของนิยายอยู่ที่ประมาณสามพันถึงห้าพันตัวอักษรต่างหากล่ะ!

ฉู่ขวงคงไม่ได้ฟังคำแนะนำของตนแล้วเกิดความเข้าใจผิด ถึงได้จงใจปรับจำนวนตัวอักษรหรอกนะ

เขาคิดว่ายิ่งสั้นยิ่งดี?

ถ้าเหตุผลนี้ไปส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลงาน ตนก็คงผิดพลาดไปแล้วจริงๆ เว่ยหลงนวดขมับอย่างอดไม่ได้

อ่านนิยายก่อนก็แล้วกัน

[นี่เป็นค่ำคืนอันธรรมดาสามัญ เสมียนรัฐนั่งอยู่ในแถวที่สองของโถงใหญ่ ชมการแสดงผ่านกล้องส่องทางไกล ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเพียงว่าช่างเป็นวันคืนชื่นอุรา]

วันคืนชื่นอุรา?

คำบรรยายแบบนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องขบคิด เขาก็สามารถเข้าใจนัยยะของคำนี้ได้อย่างชัดเจน

“ใช้คำได้น่าสนใจดี”

คำบรรยายต่อมาก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก [ทว่าทันใดนั้นเอง ใบหน้าของเขาก็บูดเบี้ยว ดวงตาของเขามองไม่เห็น

ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก เขาลดกล้องส่องทางไกลออกจากสายตา ก้มเอวค้อมหลังลง…]

โรคหัวใจกำเริบเหรอ

นี่คือวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ?

เสมียนรัฐที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม?

เว่ยหลงฉงนสนเท่ห์ จนกระทั่งเขาอ่านต่อไปถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเสมียนรัฐคนนี้ก็แค่จาม

“อุก”

เมื่อย้อนกลับไปมองคำขยายความก่อนหน้านี้ นั่นมันท่าทางของคนเวลาที่จามไม่ใช่เหรอ คำบรรยายของฉู่ขวงแลดูออกเสียงยากสักหน่อย หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกเคร่งเครียดแปลกๆ จนพลอยให้เว่ยหลงเกิดภาพคนคนหนึ่งกำลังจามขึ้นมาในห้วงสำนึก

ก็แค่จาม เสมียนรัฐย่อมไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย คนเราก็จามกันทั้งนั้น

สำหรับการกระทำนี้ ผลที่ตามมาขนานใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นโรคหวัด

เว่ยหลงเองก็คิดเช่นนั้น

ทว่าจุดหักมุมของเรื่องก็ปรากฏตรงนี้ [เสมียนรัฐเริ่มวิตกขึ้นมา เพราะเขาเห็นคนแก่รูปร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่แถวแรกใน

ห้องโถงนั้นหยิบถุงมือมาเช็ดศีรษะและคอของตน ปากพลางพูดพึมพำ]

เห็นได้ชัดว่า

น้ำลายของเสมียนรัฐกระเซ็นไปโดนคนแก่ข้างหน้า

และเสมียนรัฐกระวนกระวายก็เพราะ…

เขาจำคนแก่คนนั้นได้ เป็นนายพลปลดเกษียณประจำสักหน่วยงานหนึ่ง!

“เขาจะถูกนายพลฆ่าตาย?”

เว่ยหลงคิดโยงไปยังชื่อเรื่องอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่

คนที่อ่านนิยายก็มักจะจินตนาการเนื้อเรื่องฉากต่อไปด้วยความเคยชิน

แต่กระนั้นนายพลก็ไม่ได้ระเบิดโทสะดังที่เขานึกภาพไว้ เพียงแค่แสดงความเข้าอกเข้าใจอย่างใจกว้างทีเดียว

“นายพลคนนี้เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ? ต่อหน้าผู้คนทำเป็นแสดงออกว่าใจกว้าง แต่ลับหลังก็จะตามไปแก้แค้นเสมียนรัฐ?”

นี่คือความคิดเชื่อมโยงใหม่ที่ผุดขึ้นในสมองของเว่ยหลง

มิหนำซ้ำเสมียนรัฐไร้ชื่อผู้นี้ก็ย่อมเกิดความกังวลใจที่คล้ายคลึง

ฉะนั้นเขาจึงเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง แถมยังสาบานสารพัด เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ตั้งใจจริง

นายพลคล้ายกับรำคาญใจ กล่าวไปประโยคหนึ่ง [“นี่ นั่งลงเถอะ! ฉันจะได้ดูการแสดงสักที!”]

นายพลโมโหแล้ว? เสมียนยิ่งวิตกขึ้นมา

การแสดงแสนตระการตาบนเวที แต่เขากลับดูไม่รู้เรื่องแล้ว

จวบจนกระทั่งช่วงพัก นายพลลุกไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ตามออกไปติดๆ และกล่าวขอโทษเป็นครั้งที่สาม

[เฮ้อ พอได้แล้ว…ฉันลืมไปแล้วเนี่ย นายกลับไม่จบไม่สิ้นสักที!]

นายพลขยับกางเกง รัดเข็มขัด รู้สึกจนปัญญา จนเบ้ปากอย่างหมดความอดทน

เว่ยหลงกระจ่างทันใด “ท่าทางนายพลจะไม่ได้โกรธจริงๆ แฮะ”

เขาได้รับอิทธิพลจากชื่อเรื่อง มักจะคิดว่านายพลจะลงไม้ลงมือปลิดชีพเสมียนเพราะเหตุนี้ ทว่าจากสิ่งที่เล่ามาในนิยาย นายพลคนนี้แสดงออกว่าให้อภัยไปหลายครั้งหลายหน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนใจแคบถึงขนาดนั้น

การจามครั้งนี้เป็นเพียงสัญญาณเตือนเท็จสำหรับเสมียน

เว่ยหลงเข้าใจแล้ว

แต่เสมียนกลับไม่เข้าใจ

เขายังคงคิดไปต่างๆ นานา [เขาบอกว่าเขาลืมไปแล้ว แต่ในดวงตาของเขายังคงฉายแววอำมหิต แถมเขายังไม่ยอมคุยด้วย ฉันควรไปอธิบายกับเขาสักรอบ พูดให้ชัดว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พูดให้ชัดว่าการจามเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่งั้นเขาอาจคิดว่าฉันมีเจตนาพ่นน้ำลายใส่เขา ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ได้คิดแบบนั้น แต่อีกประเดี๋ยวเขาก็ต้องคิด!]

ขี้กลัวเกินไปล่ะมั้ง?

เว่ยหลงพลันรู้สึกว่าเสมียนคนนี้ออกจะน่าขันอยู่สักหน่อย

เมื่อกลับถึงบ้าน เสมียนเล่าเรื่องเสียมารยาทของตนให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็ตกใจเช่นเดียวกัน และกล่าวโน้มน้าวให้เสมียนไปขอโทษคนเขา

เสมียนบ่นว่า [ก็ใช่น่ะสิ! ฉันไปขอโทษมาแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ท่าทางของเขาแปลกๆ เหมือนไม่อยากฟังฉันอธิบาย]

คนเขาก็ให้อภัยแล้วไง!

นายหวาดระแวงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

สารบบความคิดของเสมียนทำให้เสียงหัวเราะของเว่ยหลงค่อยๆ ดังขึ้น

แต่ทว่าเสมียนคนนี้ก็ยังไม่กระจ่าง วันต่อมาเขาสวมเครื่องแบบทางการอย่างเอาจริงเอาจัง นำของขวัญชิ้นโตไปยังจวนนายพล เพื่อขอขมาลาโทษอีกครั้ง

อย่าว่าแต่นายพลเลย

เว่ยหลงคิดว่าถ้าเป็นตนเอง ถูกคนตามมาตอแย ขอโทษขอโพยไม่เลิกราก็คงรู้สึกมึนตึ้บไปเหมือนกัน

ในขณะนั้นนายพลกำลังต้อนรับแขก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแขกคนสำคัญเสียด้วย

เสมียนจึงทำได้เพียงรอจนกระทั่งนายพลต้อนรับแขกเสร็จแล้ว จึงเข้าไปทำการขอโทษอีกคำรบ

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้

นายพลบอกไปว่าให้อภัย เพียงแต่ขณะที่พูด ก็แสดงท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่

“หน้านิ่วคิ้วขมวด”

สี่คำนี้แทบทำเอาเว่ยหลงระเบิดหัวเราะออกมา

เดิมทีการขอโทษนั้นเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง แต่หากเจอเสมียนคนหนึ่งที่ชอบตามมาขอโทษตน ไม่ว่าจะให้อภัยยังไงก็ไร้ประโยชน์แบบนี้ จะไม่ให้หน้านิ่วคิ้วขมวดได้หรือ

ขณะที่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เว่ยหลงก็ถึงกับรู้สึกเห็นใจนายพลคนนี้ขึ้นมา

เสมียนในฐานะคนที่มีความคิดฟุ้งซ่าน ย่อมเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของนายพล ในใจปั่นป่วน รู้สึกว่าเห็นได้ชัดว่านายพลไม่ได้มีความคิดจะให้อภัยตนแล้ว

เมื่อคิดถึงอนาคตของตน

ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่านายพลใจแคบเกินไป ถึงขั้นผูกใจเจ็บกับตนไม่ยอมเลิกรา แต่ก็ยังอยากกู้สถานการณ์

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงนายพล อธิบายเหตุและผลด้วยความจริงใจ

น่าเสียดายที่สมองของเขาว่างเปล่า ถึงขั้นที่แม้แต่จดหมายฉบับเดียวก็เขียนไม่ออก

เขาทำได้เพียงไปเยือนถึงหน้าประตูอีกในวันที่สาม เพื่อแสดงความขอโทษ

นิยายจบลงตรงนี้แหละ

ในท่อนสุดท้าย หลังจากที่เสมียนขอโทษขอโพยครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อเกิดเป็นจุดจบที่เรียบง่ายและรวบรัด เป็นหนึ่งในจุดจบที่อยู่ในความคาดเดา

[“ไสหัวออกไป!” นายพลตวาดลั่น ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งร่างสั่นเทา]

[“อะไรนะครับ!” เสมียนเอ่ยถาม ขลาดกลัวจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว]

[“ไสหัวออกไป!” นายพลพูดอีกรอบ กระทืบเท้าดัง]

[ในท้องของเสมียนประหนึ่งมีบางสิ่งบิดมวนขึ้นมา เขามองอะไรไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ถอยกรูดไปยังประตู เดินไปยังถนน เดินตุปัดตุเป๋ไปตลอดทาง…โซซัดโซเซไปจนถึงบ้าน เขาไม่ได้ถอดเครื่องแบบ ตรงไปยังโซฟาล้มตัวลง…สิ้นใจ]

[…]

ใช่ เสมียนรัฐตายแล้ว

นี่เป็นที่มาของชื่อเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ

เขาตามตอแยขอขมาลาโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดก็ไปยั่วโทสะนายพลเข้าเต็มเปา ผลคือนายพลเดือดดาลขึ้นมา เขาตกใจกลัวกับความคิดในสมองของตนจนสิ้นใจไป!

นี่ก็คือนิยายความยาวหนึ่งพันกว่าตัวอักษร?

ไม่ใช่นิยายสืบสวนสอบสวน และไม่ใช่นายพลปลิดชีพคนอย่างที่จินตนาการไว้ หากแต่เป็นเรื่องราวของคนคนหนึ่งซึ่งถูกความคิดของตนเองหลอกหลอนจนตาย

ถึงแม้จะสั้นเพียงหนึ่งพันกว่าตัวอักษร ทว่าเนื้อหานั้นอัดแน่นเต็มเปี่ยม แต่ก็คล้ายกลับว่าจะสอดคล้องกับตรรกะบางอย่าง ทำให้ผู้อ่านยอมรับเซตติงของนิยายได้โดยปริยาย ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงอรรถรสของเรื่องราวอย่างเต็มที่!

ชั่วขณะนั้น

เว่ยหลงดีใจจนตบเข่าฉาด นึกไม่ถึงว่าฉู่ขวงจะเล่นมุกได้เหมือนกัน

แต่หัวเราะไปได้เพียงครึ่งเดียว รอยยิ้มของเว่ยหลงก็แข็งค้าง หน้าจอราวกับหยุดชะงัก

ราวกับว่ากระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง ความคิดพลันสว่างวาบ เว่ยหลงดวงตาเบิกกว้างประดุจต้องมนตร์สะกด!

“เดี๋ยวนะ…เรื่องนี้…”

……………………………………………………….

ชั้นบนของชมรมจิตรกรรมเป็นออฟฟิศเดี่ยว

หลัวเวยเป็นประธานชมรมจิตรกรรม ไม่ได้มาที่ชมรมจิตรกรรมนานแล้ว เพราะในช่วงนี้ปัญหาเรื่องวิชาที่ไม่ผ่านนั้นหนักหนาสาหัส นึกไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งจะโผล่หน้ามาที่ชมรมก็ถูกนักศึกษาหลายคนมาออกันเพื่อรอร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว

“เก็บค่าเรียน?”

หลัวเวยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เลิกคิ้วเล็กน้อย “มีใครบ้าง”

นักศึกษาที่มาฟ้องนั้นมีท่าทีไม่พอใจ “จงอวี๋ หลี่เจีย แล้วก็จ้าวเหยียน พวกนี้ชอบไปเข้าร่วมการเรียนการสอนที่คิดเงินของหลินเยวียน ทำลายบรรยากาศของชมรมจิตรกรรม”

“มีมานานเท่าไหร่แล้ว”

“สิบกว่าวันล่ะมั้ง”

หลัวเวยแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด “ถึงว่า…”

นักศึกษาที่มาฟ้องชะงักไป ประธานชมรมไม่ได้มีท่าทีตกใจเลย พานให้มีคนพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก

“ถึงว่าอะไรเหรอ”

หลัวเวยเหลือบมองคนที่เอ่ยขึ้น นิ้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ “ถึงว่าช่วงนี้ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของจงอวี๋กับหลี่เจียพัฒนาขึ้นเร็วมาก”

“อ๋า?”

“พวกเขาอยู่เซคเดียวกับฉัน พวกนายก็รู้ใช่มั้ย เมื่อวานมีสอบสเก็ตช์ จงอวี๋ได้ที่สี่ของเซค หลี่เจียได้ที่ห้าของเซค ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมอยู่ๆ ฝีมือพวกเขาถึงก้าวกระโดดขนาดนั้น ที่แท้ก็หาคนในชมรมมาติวให้เหรอเนี่ย ฝีมือของติวเตอร์คนนี้สูงกว่าที่คิดไว้แน่ๆ” หลัวเวยเอ่ยปาก

“อะไรนะ”

คนที่มาฟ้องก็ชะงักไป

ในตอนนั้นรองประธานชมรมเสิ่นเลี่ยงเดินเข้ามาพอดี

หลัวเวยมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “นายมาได้จังหวะพอดี ได้ยินว่าช่วงนี้ชมรมเรามีเทพการสเก็ตช์คนใหม่มา ติวให้แบบเก็บค่าเรียน?”

“ใช่”

เสิ่นเลี่ยงเหลือบมองคนที่มาฟ้อง “นี่มันไม่ได้ผิดกฎของชมรมเราซะหน่อย อีกอย่างฉันเองก็สำรวจมาแล้วว่าคนที่ผ่านการติวจากหลินเยวียนฝีมือพัฒนาเร็วมาก คนเขามีเงินจ่ายพัฒนาความสามารถของตัวเองก็เป็นเรื่องของเขา แถมผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้โดนหลอก”

“ฉันเข้าใจแล้ว พวกนายกลับไปเถอะ”

หลัวเวยมองไปยังคนที่มาฟ้องพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เอาใจไปอยู่กับงานศิลปะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีส่วนช่วยพัฒนาฝีมือพวกนายก็ได้ ยอดฝีมือด้านการสเก็ตช์ระดับนี้ไม่มีทางติวแบบเก็บเงินเพียงเพราะเงินหรอก หรือจะบอกว่าพวกนายรู้สึกว่าพวกจงอวี๋ไม่ฉลาดเท่าพวกนาย? พวกนี้มันฉลาดจะตาย ถ้าจ่ายเงินแล้วไม่ได้ผล คิดว่าเขาจะควักเงินจ่ายกันเหรอ”

“…”

บรรดาคนที่มาฟ้องต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็เดินออกไปอย่างห่อเหี่ยว

หลัวเวยมองตามหลังพวกเขา เอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือจริงๆ แฮะ สอนแค่ไม่นาน ก็ทำให้ฝีมือของเจ้าพวกนั้นก้าวกระโดดไปเร็วมาก คนเก่งระดับนี้ รอให้ฉันสอบซ่อมเสร็จก่อน แล้วจะไปหาเขาให้ได้”

“เก่งจริงๆ นั่นแหละ ฉันคิดว่าในชมรมเราคงไม่มีใครฝีมือการสเก็ตช์ภาพดีไปกว่าเขาแล้ว”

เสิ่นเลี่ยงกล่าวด้วยสีหน้าคล้อยตาม “ที่จริงตอนแรกฉันเองก็รู้สึกว่าวิธีการเก็บเงินไม่ดีเท่าไหร่ แต่พอเห็นคะแนนการสเก็ตช์ภาพของเจ้าพวกที่เรียนกับเขาเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนั้น ฉันถึงได้เข้าใจว่าคนเขาอาจไม่ได้หน้าเงิน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้คนเรียนใช้โอกาสของตัวเองให้คุ้มค่าก็แค่นั้น…ว่าแต่ประธาน เธอสอบตกทุกปีขนาดนี้ จะโดนซ้ำมั้ยเนี่ย อีกหน่อยเธออยากเป็นรุ่นน้องฉันใช่มั้ยล่ะ”

“ไปให้พ้นเลย”

หลัวเวยกลอกตา

กระแสของการร้องทุกกล่าวโทษครั้งนี้จึงจบลงด้วยประการฉะนี้

ทว่าเรื่องที่บรรดาคนที่เรียนกับหลินเยวียน แล้วคะแนนการสเก็ตช์ดีขึ้นพรวดพราดนั้น กลับยิ่งแพร่สะพัดไปทั่วทั้งชมรมจิตรกรรม

เจ้าจงอวี๋นั่นก็อวดใบผลคะแนนการสเก็ตช์ภาพของตนเองกับคนในชมรมจิตรกรรมอย่างกระหยิ่มใจ คุยโวว่าฝีมือของตนเองดีขึ้น แถมยังตีฆ้องร้องป่าวไม่หยุดอีก

“ฉันเป็นลูกศิษย์คนแรกของท่านเทพ!”

ประเด็นถกเถียงกันเรื่องการเรียนการสอนที่เก็บค่าเรียนก็เงียบไป เพียงชั่วพริบตาหลินเยวียนกลายเป็นเนื้อหอมขึ้นมาในชมรมจิตรกรรม คนมากมายเริ่มแย่งกันเรียนกับหลินเยวียน

ทุกคนไม่ได้โง่งม!

พวกจงอวี๋พัฒนาเร็วเกินไปแล้ว!

นอกจากนั้นแล้วต่อให้เป็นคนโง่งม เมื่อเห็นการพัฒนาของพวกจงอวี๋ ก็น่าจะตระหนักได้ว่าการสอนแบบเก็บเงินของหลินเยวียนนั้นมีคุณภาพสูงแค่ไหน!

……

อันที่จริงความสามารถในการสอนของหลินเยวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเหนือกว่าคณาจารย์ผู้มากประสบการณ์ในวิทยาลัยหรอก อาจารย์ในวิทยาลัยมีนักศึกษาที่ต้องสอนเต็มไปหมด แต่ละเซคมีนักศึกษาหลายสิบคน ไม่มีทางดูแลได้ทั่วถึง

หลินเยวียนนั้นต่างออกไป

เขามีฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ ด้วยความสามารถของเขา ถ้าให้สอนนักเรียนตัวต่อตัว ก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกัน

หลินเยวียนเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี

ฉะนั้นถึงแม้ว่าคนที่อยากเรียนกับหลินเยวียนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมากมายแทบจะตีกันกันเพื่อให้ได้เรียนกับเขา แต่เขายังคงยืนหยัดในนโยบายการสอนตัวต่อตัว

แต่ละวันเขาจะสอนตัวต่อตัวแค่คนเดียว ทำแบบนี้จะได้พัฒนาฝีมือของผู้เรียนให้ถึงระดับที่ตั้งเป้าไว้

ทว่าเพื่อให้ธรณีประตูของตนไม่ถูกคนกลุ่มนี้ย่ำจนพังเสียก่อน หลินเยวียนจึงทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย

เขาขึ้นราคา!

จากเดิมทีชั่วโมงละสองร้อยหยวน ในตอนนี้ราคาในการสอนตัวต่อตัวของหลินเยวียนเพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงละห้าร้อยหยวน

ถึงอย่างไรนักเรียนที่มีฐานะร่ำรวยก็ย่อมมีไม่มาก

ค่าเรียนของหลินเยวียนสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในชั่วพริบตา และทำให้นักเรียนหลายคนล่าถอยไปดังคาด

แต่วันคืนหลังจากนั้นของหลินเยวียนก็ยังคงมีนักเรียนมาอย่างไม่ขาดสาย

ต่อให้เป็นชั่วโมงละห้าร้อยหยวน ก็ยังมีนักเรียนมากมายยินดีจองคิวมาเรียน

และเวลาที่ว่างจากการสอนตัวต่อตัว หลินเยวียนก็ยังวาดภาพอย่างเปิดเผย พลอยให้สมาชิกในชมรมซาบซึ้งใจเหลือเกิน

“เปิดคลาสเรียนสาธารณะให้พวกเราสินะ”

“ท่านเทพคอยดูแลนักเรียนที่ไม่มีเงินอย่างพวกเราด้วย”

“นั่นสิ แค่ท่านเทพวาดรูป พวกเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย”

“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนใส่ความท่านเทพด้วย ใจร้ายจริงๆ เลย โชคดีที่ทางประธานชมรมไม่ได้ว่าอะไร”

“…”

แม้ว่าหลินเยวียนจะเข้ามาในชมรมจิตรกรรมได้ไม่นาน แต่มีชื่อเสียงขึ้นมาในระดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ยามที่เขาวาดภาพต่อสาธารณะ ข้างกายของเขาจะมีชานมหรือกาแฟและพวกขนมนมเนยที่สมาชิกในชมรมส่งมาให้

หลินเยวียนเองก็ดีใจมาก

เพราะเขาพบว่าในเวลาว่างจากการสอนตัวต่อตัว ทุกครั้งที่เขาวาดรูปต่อสาธารณะ ค่าความโด่งดังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง

นั่นทำให้ความคืบหน้าของภารกิจน่าพึงพอใจมาก

ตราบใดที่การวาดภาพอย่างเปิดเผยนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะมีผู้คนรอบข้างยอมรับในการผลิตผลงานของเขา ค่าความโด่งดังหนึ่งพันที่ระบบต้องการนั้นต้องเสร็จสมบูรณ์อย่างแน่นอน

“เรียบร้อย”

หลังจากจบการวาดรูปสาธารณะแล้ว หลินเยวียนก็ลุกขึ้นออกมาท่ามกลางเสียงชื่นชมของเหล่าสมาชิกในชมรม เขาควรกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว

ตอนนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว

หลินเยวียนยังไม่ลืมเรื่องที่ตนต้องเข้าร่วมการประกวดเรื่องสั้นในเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่ว ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าคืนนี้จะส่งนิยายสั้นซึ่งตนทำเสร็จไว้แต่เนิ่นๆ ไปให้กองประกวด

จะคว้าอันดับหนึ่งได้ไหมยังบอกไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็มั่นใจว่าจะเข้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก

เมื่อคิดเช่นนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเยวียนก็ส่งนิยายเรื่องที่ตนเลือกไว้ไปยังอีเมลซึ่งผู้ประสานงานของปู้ลั่วให้ไว้

ขณะเดียวกันนั้นเอง

เว่ยหลงหนึ่งในหัวหน้าบรรณาธิการของปู้ลั่วก็ได้รับแจ้งเตือนในอีเมล

“ต้นฉบับของฉู่ขวง?”

เว่ยหลงลุกขึ้นมาดู ความสนใจใคร่รู้ฉายแววบนใบหน้า และเรื่องที่ปรากฏแก่สายตาของเขานั้นมีชื่อว่า ‘วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ[1]’

……………………………………………….

[1] วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ (The Death of a Government Clerk) โดยอันตอน เชคอฟ (Anton Chekhov) แพทย์และนักเขียนชาวรัสเซีย

รองประธานชมรมจิตรกรรมมีชื่อว่าเสิ่นเลี่ยง โดยปกติแล้วจะวาดภาพอยู่ที่ห้องข้างๆ บางครั้งวาดจนเหนื่อยแล้วก็จะออกมาเดินข้างนอก แต่ครั้งนี้ออกมาแล้วกลับเห็นคนโขยงหนึ่งยืนล้อมวงกันอยู่

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในชมรมจิตรกรรม

ขอเพียงมีคนฝีมือขั้นเทพนั่งวาดภาพในโถงใหญ่ รอบข้างก็มักจะมีสมาชิกจำนวนมากมามุงดู ด้วยหวังว่าการสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ จะทำให้เรียนรู้สกิลเพิ่มได้บ้าง ทว่าปัญหาก็คือวันนี้ชมรมจิตรกรรมไม่มีพวกขั้นเทพเข้ามา แล้วเจ้าพวกนี้มามุงกันทำไม

เขาจึงเดินเข้าไป

ฝูงชนโดยรอบเปิดทางให้

เสิ่นเลี่ยงมองปราดเดียวก็เห็นผลงานของหลินเยวียน ทำตาโตจ้องมองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งมองเห็นหลินเยวียนก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่มันเด็กใหม่ที่ตนบอกให้ไปทำความสะอาดไม่ใช่หรือ

ฝีมือระดับนี้ เป็นเด็กใหม่

แถมยังบอกว่าเพิ่งได้เรียนจิตรกรรมในปีนี้?

ในใจของเสิ่นเลี่ยงรู้สึกถึงเพียงความตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อว่าหลินเยวียนเพิ่งจะฝึกวาดรูป เพราะฝีมือที่แสดงให้เห็นในภาพสเก็ตช์แผ่นนี้เรียกได้ว่าอยู่ระดับสุดยอดของทั้งชมรมจิตรกรรมซะด้วยซ้ำ!

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำหลักสำคัญอะไร

ที่สำคัญก็คือชมรมจิตรกรรมได้เทพด้านการสเก็ตช์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน

เขาสาวเท้าเข้าไปทันที ยื่นมือขวาออกไปหาหลินเยวียน “เสิ่นเลี่ยงรองประธานชมรม ฉันเป็นตัวแทนของชมรมมาต้อนรับนาย!”

“สวัสดีครับ ผมหลินเยวียน”

หลินเยวียนจับมือกับอีกฝ่าย

เสิ่นเลี่ยงมองไปรอบๆ “พวกนายกลับไปทำงานทำการของตัวเองได้แล้ว”

ผู้คนโดยรอบมองไปยังผลงานของหลินเยวียนอีกครั้ง แล้วถึงเดินจากไปอย่างตัดใจไม่ลง เหลือเพียงจงอวี๋ที่ไม่ได้ไป

“ทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก”

จงอวี๋ตอบเสียงเบา “นี่เป็นที่ของผม”

เสิ่นเลี่ยงฟังเช่นชั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เพียงแค่หันไปยิ้มให้หลินเยวียน “ภาพสเก็ตช์ของนายดีมาก หลังจากนี้ถ้าอยากวาดรูปเงียบๆ ก็ไปใช้ห้องข้างๆ นี้ได้นะ”

ห้องด้านข้างเป็นห้องซึ่งเตรียมไว้ให้สำหรับขั้นเทพของชมรมจิตรกรรม

พื้นที่ไม่ใหญ่นัก แต่ด้วยจำนวนเหล่าขั้นเทพที่มีจำนวนไม่มาก ก็เพียงพอให้ใช้สบายๆ ที่สำคัญก็คือสามารถหลีกเลี่ยงการถูกไทยมุงได้

“ไม่ต้องหรอกครับ”

หลินเยวียนปฏิเสธ ก่อนจะมองจงอวี๋ “คิดคุณชั่วโมงเดียวก็แล้วกัน”

จงอวี๋พูดขึ้นทันที “ท่านเทพ แอดเพื่อนกันก่อน ฉันจะโอนเงินให้”

“ครับ”

หลินเยวียนแอดช่องทางการติดต่อกับอีกฝ่าย จากนั้นก็ได้รับเงินโอนมาสามร้อยหยวน

“สามร้อย?”

“ท่านเทพไม่ต้องเกรงใจ”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

เสิ่นเลี่ยงซึ่งอยู่ด้านข้างตะลึงงัน “นี่คือ?”

จงอวี๋จึงเอ่ยปากอธิบาย “ฉันขอให้ท่านเทพสอนสเก็ตช์ภาพ ชั่วโมงละสองร้อยหยวน”

เสิ่นเลี่ยง “…”

ชมรมจิตรกรรมเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ตามหลักแล้วเขาก็ควรจะตำหนิ แต่ก็กลัวหลินเยวียนจะไม่พอใจ ทำได้เพียงรับรู้ ชมรมจิตรกรรมมีขั้นเทพเพิ่มขึ้นมาอีกคนไม่ใช่เรื่องง่าย

“ชั่วโมงละสองร้อย?”

สมาชิกชมรมโดยรอบคอยเงี่ยหูฟังอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ท่านเทพสอนฉันด้วยสิ เดี๋ยวฉันจ่ายค่าเรียนให้!”

“ครั้งหน้านะ”

ถึงแม้หลินเยวียนจะอยากหาเงินต่อ แต่ช่วงบ่ายเขามีเรียน ไม่มีเวลามากนัก

“ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย” เสิ่นเลี่ยงถาม

หลินเยวียนตอบตกลง

ทั้งสองเดินไปที่ห้องภาพวาดด้านข้าง

ในห้องนี้ไม่มีคน มีแค่ขาตั้งวาดภาพตั้งอยู่หลายอัน

บนขาตั้งยังมีผลงานที่ยังไม่เสร็จดีวางอยู่ ทั้งภาพสเก็ตช์ สีน้ำ สีกวอช หรือแม้แต่สีน้ำมันและภาพเขียนหมึกโบราณ

เสิ่นเลี่ยงถาม “เอาผลงานที่นายวาดเมื่อกี้มาแขวนโชว์บนผนังได้มั้ย”

“ได้ครับ”

หลังจากหลินเยวียนรับปาก ก็ตรงดิ่งเข้าสู่ประเด็นหลักทันที “ได้ยินว่าชมรมจิตรกรรมมีนิทรรศการ ผมเข้าร่วมได้มั้ยครับ”

“ฝีมืออย่างนายเข้าร่วมได้อยู่แล้ว”

เสิ่นเลี่ยงพอจะเดาเหตุผลที่หลินเยวียนเข้าชมรมจิตรกรรมได้แล้ว “เดี๋ยวครั้งหน้าชมรมจิตรกรรมมีนิทรรศการกับหน่วยงานข้างนอก ฉันจะแจ้งนายไปล่วงหน้า”

……

หลังจากแอดเพื่อนกับเสิ่นเลี่ยงเป็นที่เรียบร้อย หลินเยวียนก็เตรียมตัวไปเข้าเรียนแล้ว ในตอนนั้นเขาเอ่ยเรียก

ระบบ เพื่อดูสถิติ

[ชื่อ: หลินเยวียน]

[ดนตรี: 52345]

[วรรณกรรม: 19658]

[จิตรกรรม: 98]

ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมได้ 98 แล้ว

ดูท่าการมาชมรมจิตรกรรมในวันนี้ทำให้ตนได้ค่าความโด่งดังเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย ถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่สูง แต่เชื่อว่าเขาสามารถเก็บจากน้อยให้กลายเป็นมากได้

นี่ทำให้เห็นได้ชัดว่ากลยุทธ์ของเขาไม่ผิดพลาด

ค่อยๆ เก็บจากนักศึกษา ค่าความโด่งดังก็สามารถทะลุหนึ่งพันได้ เพียงแต่ใช้เวลาค่อนข้างนานก็แค่นั้นเอง

แต่เรื่องนั้นก็ไม่เป็นไร

ขอเพียงหาเงินได้ ใช้เวลานานหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างไรซะภารกิจนี้ก็ให้เวลานานทีเดียว

หลินเยวียนโอบกอดความคิดเช่นนั้นไว้

เย็นวันเดียวกัน เขาก็กลับไปที่ชมรมจิตรกรรม

ในตอนเย็นนั้นต่างกับช่วงกลางวันที่เข้าไปก็ถูกเรียกให้ไปทำความสะอาด หลินเยวียนเข้าไปยังชมรมจิตรกรรมอีกครั้ง และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกจำนวนหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าสมาชิกเหล่านั้นได้เจอกับหลินเยวียนในตอนกลางวัน ทั้งยังได้เห็นฝีมือการสเก็ตช์ภาพของหลินเยวียนแล้ว

เมื่อหลินเยวียนเดินเข้าประตูมา ก็เห็นภาพวาดบนผนังห้องชมรมจิตรกรรมทันที มีบอร์ดขนาดใหญ่สำหรับจัดแสดงผลงานอยู่

ช่วงกลางวันไม่ได้สังเกตดูให้ละเอียด

บนบอร์ดแสดงผลงานนั้นมีผลงานของเหล่าฝีมือขั้นเทพของชมรมแขวนอยู่

สีน้ำ สีกวอช สีน้ำมัน ภาพเขียนหมึกโบราณ ก็ล้วนแต่มีครบ

ภาพสเก็ตช์คนซึ่งระดับความยากสูงที่หลินเยวียนคัดลอกในตอนกลางวัน ตอนนี้ก็ถูกจัดแสดงไว้บนบอร์ดเช่นกัน อีกทั้งบนส่วนสีขาวที่ว่างบนกระดาษ ก็ยังเขียนชื่อของหลินเยวียนและวันที่ไว้ด้วย

มองดูอยู่สักพัก หลินเยวียนก็พยักหน้า

เทพในชมรมมีความสามารถสูงมาก บนบอร์ดมีหลายภาพที่หลินเยวียนคิดว่ายอดเยี่ยมสุดๆ

หนึ่งในนั้นมีภาพเขียนหมึกโบราณภาพหนึ่ง แล้วก็ภาพสีน้ำมัน ที่แตะถึงระดับมืออาชีพแล้ว!

หรือจะพูดได้ว่า คนที่วาดภาพนี้ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเยวียนเลย!

ในตอนนั้นเอง

ด้านข้างของหลินเยวียนก็มีเสียงดังขึ้นมา “ท่านเทพ ฉันรออยู่ตั้งนานแน่ะ”

หลินเยวียนหันหน้าไปมอง เป็นจงอวี๋

“สอนฉันหน่อย” จงอวี๋มองหลินเยวียนด้วยความคาดหวัง

หลินเยวียนพยักหน้า “ตามกฎเดิม”

“ดีล”

จงอวี๋ตอบรับด้วยความยินดี

ดังนั้นหลินเยวียนจึงนั่งลง สอนจงอวี๋สเก็ตช์ภาพ

ครั้งนี้จงอวี๋รับผิดชอบการวาด ส่วนหลินเยวียนรับหน้าที่คอยแนะนำ

จงอวี๋นับว่ามีฝีมือ เขาเพียงแต่ขาดทิศทางในการพัฒนา

หลินเยวียนใช้สายตาของจิตรกรมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญการสเก็ตช์ภาพมอง ย่อมมองข้อบกพร่องออกในปราดเดียว

ฉะนั้นหลินเยวียนจึงเริ่มจับมือสอนเขา

“ขอบคุณนะท่านเทพ”

ผ่านไปสองชั่วโมง การเรียนการสอนจึงจบลง หลินเยวียนต้องกลับไปพักแล้ว

จงอวี๋ยิ้มเอ่ย “สี่ร้อยหยวนโอนไปแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า

เขาชื่นชอบท่าทีของอีกฝ่าย

ต่อจากนั้นอีกหลายวัน เมื่อเขามีเวลาว่าง ก็จะไปเก็บเกี่ยวค่าความโด่งดังจากชมรมจิตรกรรม และทุกครั้งที่ไปก็จะได้รับค่าเรียนกลับมาตลอด

จงอวี๋แลดูน่าจะมีเงิน ดังนั้นจำนวนครั้งที่เขามาหาหลินเยวียนจึงมากที่สุด

บางครั้งจงอวี๋ไม่อยู่ หลินเยวียนก็จะสอนสมาชิกในชมรมคนอื่นๆ

คนในชมรมที่ยินดีจะจ่ายเงินเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียนนั้นไม่ได้มีจงอวี๋แค่คนเดียว

แน่นอนว่ามาตรฐานค่าเรียนของสมาชิกในชมรมทุกคนล้วนเหมือนกัน หลินเยวียนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน สอนชั่วโมงละสองร้อยหยวน

เป็นแบบนั้นแหละ

ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชื่อเสียงของหลินเยวียนก็ระบือไกลไปทั้งชมรม!

ทั้งชมรมรู้แล้วว่าในชมรมมีเทพด้านการสเก็ตช์ภาพซึ่งมีความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้น!

แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่ชื่อเสียงของหลินเยวียนแพร่สะพัดไป การกระทำของเขาก็กลายเป็นที่ถกเถียงกัน

มีคนคิดว่าหลินเยวียนหน้าเงินเกินไป

ขั้นเทพในชมรมก็ชี้แนะสมาชิกในชมรมเรื่องการวาดภาพเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทน

เมื่อเทียบกันแล้ว พฤติกรรมการรับเงินของหลินเยวียนนั้นไม่เหมาะสมเอาเสียเลย

ท้ายที่สุดก็มีคนทนดูไม่ได้อีกต่อไป

บางคนรวมกลุ่มกัน วิ่งแจ้นไปฟ้องประธานชมรม…

……………………………………..

แววตาของจงอวี๋สั่นคลอน

การสเก็ตช์ภาพเป็นวิชาพื้นฐานที่นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ทุกคนต้องเรียน เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นจิตรกรชื่อดัง ก่อนอื่นจำต้องเป็นจิตรกรด้านการสเก็ตช์ภาพก่อน หากไร้ซึ่งพื้นฐานการสเก็ตช์ภาพก็ไม่มีทางไปได้ถึงจุดนั้น

ถึงขั้นที่มีจิตรกรบางคนคิดว่า

ถ้าไม่มีสีสัน ทุกอย่างก็คือการสเก็ตช์

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทัศนะนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างน้อยความสำคัญของการสเก็ตช์ต่องานจิตรกรรมนั้นไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่จงอวี๋ซึ่งอยู่ปีสามคณะวิจิตรศิลป์ยังคงฝึกฝนการสเก็ตช์ภาพอย่างไม่ย่อท้อ

สำหรับคนที่เรียนการสเก็ตช์ภาพมานานหลายปีอย่างจงอวี๋แล้ว เขาคิดว่าระดับฝีมือของตนไม่ได้ย่ำแย่เลย

ทว่าในวันนี้ ความคิดเช่นนี้ได้ถูกนักศึกษาปีสองคนหนึ่งโจมตีเสียจนราบคาบภายในเวลาเพียงสิบนาที!

“…”

หลินเยวียนจ้องดูใต้เท้าของจงอวี๋

จงอวี๋คล้ายกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ใบหน้าของเขาพลันประดับด้วยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รีบดึงอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากมือของหลินเยวียน “ขั้นเทพเลยนี่หว่า งานใช้แรงแบบนี้ให้นายทำได้ไง ฉันทำเองแล้วกัน!”

ไม่ทันรอให้หลินเยวียนตอบ จงอวี๋ก็จัดแจงเก็บกวาดเศษยางลบใต้ที่นั่งของตนจนสะอาดก่อน

จากนั้นก็จับให้หลินเยวียนนั่งลงบนที่นั่งของตนอย่างกระตือรือร้น “ฉันชื่อจงอวี๋นะ ปีสามคณะวิจิตรศิลป์”

“ผมชื่อหลินเยวียน”

“ครับๆ ท่านเทพหลินเยวียน เชิญนั่งก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปทำความสะอาดเสร็จแล้วค่อยคุยกัน!”

จงอวี๋พูดไปพลางเดินปรี่ไปยังนักศึกษาด้านข้าง “นาย ลุกขึ้น”

“พี่จง?”

อีกฝ่ายรีบผุดลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็มีสีหน้างุนงง รีบพูดว่า “ใครให้พี่มาทำความสะอาดเนี่ย ผมทำเอง…”

“ไม่ต้อง”

จงอวี๋ปัดกวาดที่นั่งของอีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปยังอีกที่หนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบจนยากจะปฏิเสธ “ลุกขึ้น”

“ครับ”

ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดของจงอวี๋สูงกว่าหลินเยวียนมาก

เขาทำความสะอาดไปตรงไหน บางครั้งแทบจะไม่ต้องเอ่ยปาก สมาชิกชมรมที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ลุกให้โดยอัตโนมัติ

ทำความสะอาดเสร็จ

จงอวี๋นำไม้กวาดไปเก็บที่ ไม่รู้ว่าไปลากม้านั่งเล็กมาจากไหน รอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง เขานั่งลงข้างกายหลินเยวียนอย่างกระตือรือร้น

“ท่านเทพ! นายสอนฉันสเก็ตช์ภาพหน่อยได้มั้ย”

หลินเยวียนส่ายหน้า “ยุ่งยากเกินไปครับ”

จงอวี๋ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ก็แค่ทำเหมือนเมื่อกี้ไงครับ แก้ภาพของฉันก็พอแล้ว”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “จุดที่ต้องแก้มีเยอะมากเลย”

ต้องใช้แรงมากเกินไป

รอยยิ้มของจงอวี๋ชะงักค้าง รู้สึกราวกับถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ “ภาพวาดของฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

หลินเยวียนพยักหน้า “อื้ม”

จงอวี๋แทบร้องไห้ “งั้นท่านเทพนายต้องช่วยสอนฉันแล้ว แน่นอนว่าฉันไม่ให้เทพอย่างนายทำงานฟรีๆ หรอก มีอะไรให้ฉันช่วยนายบอกฉันได้เลย…”

มืออาชีพออกโรงเอง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีของ

เวลาเพียงสิบนาทีก็พอให้จงอวี๋เห็นถึงความน่ากลัวของหลินเยวียนแล้ว

ต่อให้อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ลงมือเอง ก็อาจไม่ถึงระดับที่สามารถแก้ไขภาพของเขาในเวลาสิบนาทีแบบภาพตรงหน้านี้ ดังนั้นจงอวี๋จึงมั่นใจมากว่าวันนี้ตนได้พบเทพตัวจริงเสียงจริงแล้ว

ถ้าเกิดได้รับคำชี้แนะจากคนที่ฝีมือขั้นเทพแบบนี้ละก็ เขาต้องโชคหล่นทับแน่!

หลินเยวียนใจกระตุกวูบ “อันที่จริงจะให้ผมสอนก็ใช่ว่าจะไม่ได้”

จงอวี๋ดีใจออกนอกหน้า “นายต้องการอะไรล่ะ ท่านเทพนายบอกมาได้เลย”

หลินเยวียนตอบอย่างจริงจัง “ต้องจ่ายค่าเรียนครับ”

จงอวี๋ประหม่าขึ้นมา “ท่านเทพจะคิดเงินเท่าไหร่…”

หลินเยวียนครุ่นคิด “ชั่วโมงละสองร้อยหยวน”

จงอวี๋ชะงักไปชั่วขณะ

หลินเยวียนคิดว่าราคาที่เขาเรียกนั้นสูงเกิน ขณะที่กำลังคิดว่าจะลดราคาลงให้เหมาะสม จงอวี๋ก็รีบก็พูดขึ้นมาราวกับกลัวว่าหลินเยวียนจะเปลี่ยนใจ

“ดีล!”

ตอนแรกเขาก็ตกใจจริงๆ นั่นแหละ คิดว่าฝีมือขั้นเทพอย่างหลินเยวียนจะเรียกราคาแพงลิบลิ่ว ไม่คิดว่าจะชั่วโมงละแค่สองร้อยหยวน

ใจดีเกินไปแล้วมั้ง!

ในแวดวงจิตรกรรมของฉินโจว เทพระดับนี้อย่าว่าแต่สองร้อยหยวนเลย ต่อให้เป็นชั่วโมงละหนึ่งพันน่ากลัวว่าเขาก็ยินดีจ่าย

“ดีล!”

หลินเยวียนดีใจมาก เพราะราคานี้ทำเงินได้ดีว่าเขาไปตั้งเก้าอี้วาดภาพควิกสเก็ตช์ให้คนผ่านไปผ่านมาอีก เพราะคำนึงถึงเรื่องออกไปตั้งแผงหาเงิน เขาจึงเข้าใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจระบบผิดไปแล้ว

หยิบยื่นปลาให้ ไม่สู้สอนให้คนจับปลา!

ถึงแม้ฝีมือด้านจิตรกรรมจะไม่สามารถนำมาซึ่งรายได้มากเท่าเพลงหรือนิยายในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาก็สามารถใช้การสอนวาดภาพให้คนอื่นมาเป็นแหล่งรายรับอันไม่สิ้นสุด

ลงแรงนิดเดียว รายรับมหาศาล!

หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์ออกมามองเวลา “งั้นเราเริ่มกันเลยแล้วกันครับ ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้ว คุณให้ผมสอนกี่ชั่วโมงดี”

ทำธุรกิจต้องทำด้วยความจริงใจ

ในเมื่อหลินเยวียนรับค่าจ้าง ก็ย่อมต้องสอนอย่างเต็มที่

“เอางี้ ท่านเทพนายลอกภาพนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยจับเวลา”

จงอวี๋พลิกเปิดอัลบั้มภาพ และหาภาพที่คัดลอกยากที่สุดในอัลบั้ม ภาพนี้เป็นภาพผู้ชายซึ่งมีผมหยิกและหนวดเคราเฟิ้ม

ลำพังเส้นขนอันดกหนาเหล่านี้ก็เป็นงานหินสำหรับนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์แปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

“ได้”

หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกถึงความยากสักเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่ใช้เวลานานขึ้นสักหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็ต้องจัดการเส้นขนอันอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ให้เป็นธรรมชาติ

“ดินสออยู่นี่”

ดินสอทั้งยี่สิบเอ็ดขนาดล้วนมีพร้อมสรรพ ส่วนที่ถูกใช้จนปลายทู่ จงอวี๋ก็จัดแจงเหลาอย่างรวดเร็ว

หลินเยวียนเริ่มลงมือวาด

มาปรากฏในอัลบั้มภาพของนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ได้นั้นย่อมเป็นประจักษ์แล้วว่าภาพสเก็ตช์คัดลอกภาพเหล่านี้ล้วนมาจากปลายดินสอของบรรดาปรมาจารย์ภาพสเก็ตช์ หลินเยวียนก็ไม่กล้าบอกว่าตนทำได้เหนือกว่า ทว่านี่เป็นการคัดลอกภาพ จึงไม่ยากนักที่จะคัดลอกออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนเริ่มต้น จงอวี๋ยังคงมีคำถามอยู่บ้าง

แต่เมื่อโครงร่างของดินสอที่หลินเยวียนวาดนั้นค่อยๆ ชัดขึ้น จงอวี๋ก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่มองดูอย่างจดจ่อ บางครั้งบางคราวก็สูดลมหายใจเสียเฮือกใหญ่

“สวบๆๆ”

เพราะคนเขาจ่ายเงินให้ หลินเยวียนจึงวาดรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ มือขยับฉวัดเฉวียน แม้แต่จุดที่มีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่ตกหล่น จัดการได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ขณะเดียวกันความรวดเร็วก็ยังเกินคนธรรมดาไปแล้ว

ในขณะนั้น

ด้านหลังของหลินเยวียน มีสมาชิกในชมรมเดินผ่านมา เพียงแค่ชำเลืองมองกระดานวาดภาพของหลินเยวียนอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นก็ไม่อาจละสายตาไปไหนได้อีกเลย ปากเผยอออกน้อยๆ ก่อนจะยืนค้างคอยเฝ้าอยู่ด้านหลังเช่นนั้น

ไม่ทันไรก็มีสมาชิกชมรมเดินผ่านมาอีก

คนคนนั้นเหลือบมองกระดานวาดภาพของหลินเยวียนเช่นเดียวกัน แล้วก็พลันวางมือจากสิ่งที่ทำ คอยเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบด้วยสีหน้าตกตะลึง

หนึ่งคน…

สองคน…

สามคน…

สี่คน…

ในระยะร้อยแปดสิบองศารอบตัวหลินเยวียนมีสมาชิกมาห้อมล้อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนล้วนจ้องมองหลินเยวียนซึ่งกำลังวาดภาพอย่างว่องไว ถึงขั้นที่กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

“เสร็จแล้ว”

สมาธิของหลินเยวียนดำดิ่งสู่การวาดภาพ เขาไม่ทันได้สังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบ จนกระทั่งเขาคัดลอกภาพเสร็จ จึงพบว่ารอบตัวของเขามีคนมามุงอยู่เต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คะเนคร่าวๆ ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ บางคนถึงกับถูกเบียดอยู่วงนอกด้วยซ้ำไป

“เชี่ย!”

“โคตรโหดเลย”

“เทพมาจากไหนครับเนี่ย”

“นี่มันภาพปราบเซียนในตำนานไม่ใช่เหรอ…นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนคัดลอกภาพคุณลุงคนนี้ออกมาเลยนะเนี่ย!”

“เหมือนเกินไปแล้ว!”

“เทพคนใหม่ของชมรมจิตรกรรมเราใช่มั้ยเนี่ย แถมยังเป็นนักเรียนอีก ฝีมือระดับนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว รู้สึกว่าอยู่ระดับเดียวกับอาจารย์คลาสพวกเราได้เลยนะ!”

“…”

ครั้นหลินเยวียนวาดเสร็จ เสียงอุทานด้วยความตกใจจากรอบข้างก็ทยอยดังขึ้น จงอวี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลินเยวียนก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติในที่สุด จึงรีบลุกขึ้นไล่คนไป “พวกนายไม่มีอะไรทำกันหรือไง มายืนมุงกันทำไมเนี่ย”

ไม่มีใครยอมออกไป

ถึงแม้จงอวี๋จะเป็นรุ่นพี่ในชมรมจิตรกรรม ทว่าในชมรมจิตรกรรมก็มีคนที่อาวุโสกว่าจงอวี๋ จงอวี๋ไล่ก็ย่อมไม่เป็นผล ทุกคนยังคงยืนจ้องมองผลงานของหลินเยวียน ถึงขั้นที่มีคนอุตส่าห์เบียดเข้ามาด้านหน้าเพื่อทักทายหลินเยวียนด้วย

“ทำอะไรกันน่ะ”

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ทุกคนถึงได้หยุดดันกันไปมาในที่สุด เมื่อมองไปยังผู้มาเยือนด้านหลัง สีหน้าก็พลันยำเกรงหรือไม่ก็ตกประหม่า

“รองประธาน…”

…………………………………………………………

หลายวันต่อมา ในช่วงเวลาว่างจากการเรียน หลินเยวียนก็เสาะหาช่องทางในการสะสมค่าความโด่งดังมาตลอด

อย่างแรกคือข้ามเรื่องนิทรรศการภาพวาดไปก่อน

จัดนิทรรศการภาพวาดต้องมีสปอนเซอร์ ศิลปินตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งผลงานและชื่อเสียงอย่างหลินเยวียนไม่มีทางมีคนโง่เง่าที่ไหนมาสปอนเซอร์ให้หรอก

ส่วนเรื่องออกเงินเองน่ะเหรอ

ชั่วชีวิตนี้หลินเยวียนไม่มีทางจ่ายเงินจัดนิทรรศการภาพวาดเองแน่

อย่างที่สองหาคนมาพาไป ถ้ามีจิตรกรชื่อดังมาพาเข้าวงการก็จะลดความยุ่งยากไปได้มาก ทว่าหลินเยวียนไม่รู้จักจิตรกรแบบนี้เลย

นอกจากสองช่องทางนี้แล้ว วิธีการที่หลินเยวียนนึกออกก็คือ

เก็บค่าความโด่งดังจากนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก่อน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวใหญ่ซะขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจได้ค่าความโด่งดังมายืนพื้นไว้สักหนึ่งพัน ฉะนั้นดูก่อนดีกว่าว่าในวิทยาลัยมีที่ไหนที่สามารถเก็บค่าความโด่งดังได้บ้าง

หลังจากหลินเยวียนตรวจสอบดูแล้วก็พบว่า ในวิทยาลัยมีพวกชมรมจิตรกรรมอะไรทำนองนี้ด้วย

เมื่อเข้าชมรมจิตรกรรม อาจได้รับโอกาสกอบโกยค่าความโด่งดังก็เป็นได้ ถึงอย่างไรสิ่งที่สถานศึกษาอย่างวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไม่เคยขาดแคลนก็คือกิจกรรมชมรมต่างๆ

ชมรมประเภทกีฬาก็จะมีชมรมบาสเกตบอล ชมรมฟุตบอล ไปจนถึงชมรมสตรีทแดนซ์เป็นต้น

ประเภทศิลปะก็มีชมรมเปียโน ชมรมจิตรกรรม ชมรมเขียนพู่กัน ชมรมโคลงกลอนเป็นต้น

ชมรมเหล่านี้มีขนาดใหญ่ เพราะวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเองก็เป็นสถานศึกษาด้านศิลปะ และมีสาขาที่เกี่ยวข้อง

แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็เป็นนักศึกษาคณะดนตรี และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคณะอื่น คนนอกคณะดนตรีเพียงคนเดียวที่คุ้นเคยก็คือเจี่ยนอี้ แถมยังเป็นนักศึกสาขาศิลปะการแสดง ไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้จิตรกรรมเทือกนี้เลย

ช่วยไม่ได้

เขาทำได้แค่ดุ่มเข้าไปหาถึงที่ ส่งใบสมัครชมรมในออฟฟิศชมรมจิตรกรรม

“มีพื้นฐานวาดรูปมั้ย”

ชมรมขนาดใหญ่ของวิทยาลัยจะได้รับการสนับสนุนจากทางวิทยาลัย มีออฟฟิศให้ใช้งานโดยเฉพาะ ปกติแล้วจะมีสมาชิกในชมรมประจำอยู่ รูปแบบก็คล้ายกับองค์การนักศึกษา

หลังจากหลินเยวียนอธิบายเหตุผลที่มาอย่างชัดเจน ก็ถูกถามขึ้นมาอย่างที่คาดไว้

“มีครับ”

หลินเยวียนตอบอย่างฉะฉาน

อีกฝ่ายอ่านข้อมูลของหลินเยวียนครู่หนึ่ง “นายเป็นนักศึกษาคณะดนตรีนี่นา ชมรมเราส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์…”

“จำกัดคณะเหรอครับ”

“ก็ไม่ได้จำกัดอะไรหรอก เพียงแต่ถ้านายไม่มีข้อได้เปรียบด้านความรู้เฉพาะทาง ชมรมนี้อาจไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่น่ะ ถึงยังไงในชมรมเราก็มีตัวท็อปสาขาจิตรกรรมอยู่เยอะเลย ปกติก็จะประสานงานกับข้างนอก จัดกิจกรรมพวกนิทรรศการผลงานของนักศึกษา งานพวกนี้จำกัดจำนวน นายแน่ใจใช่มั้ยว่าอยากเข้า”

นิทรรศการผลงาน

หลินเยวียนแววตาเป็นประกาย “ผมอยากเข้า”

อีกฝ่ายหัวเราะด้วยความพอใจ “งั้นนายก็กรอกแบบฟอร์มเถอะ ทางที่ดีกรอกเวลาเรียนของตัวเองลงไปด้วย พวกเราจะพิจารณาว่าจะเรียกนายไปร่วมกิจกรรมด้วยมั้ยจากเวลาของนาย”

เจตนาของเขาไม่ใช่โน้มน้าวให้หลินเยวียนล่าถอย!

ชมรมของวิทยาลัยอยากให้นักศึกษาเข้าร่วมเยอะๆ เพราะยิ่งจำนวนสมาชิกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหมายความว่าเป็นชมรมใหญ่ ทุกชมรมหวังให้ชมรมของตนเป็นชมรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวิทยาลัย ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีคนสมัครเข้าชมรมจิตรกรรม พวกเขาก็ทำได้เพียงอ้าแขนรับด้วยความยินดี

นอกจากนั้นเด็กใหม่ไม่มีทางตกใจกับคำพูดของตนหรอก!

เพราะเมื่อเด็กใหม่ส่วนมากได้ยินว่าชมรมมีนิทรรศการผลงาน ก็มักจะตื่นเต้นดีใจอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้เด็กใหม่บางคนไม่มีโอกาสส่งผลงานของตนไปจัดนิทรรศการเสียด้วยซ้ำ

กรอกข้อมูลสมัครเข้าชมรมเสร็จแล้ว

อีกฝ่ายประทับตราลงไปอย่างเร็วรี่โดยที่ไม่เหลือบมองแม้แต่น้อย คล้ายกลับว่ากลัวหลินเยวียนจะเปลี่ยนใจ “มี

เรื่องหนึ่งลืมบอกกับนายไป หลังจากที่เข้าชมรมแล้วก็อย่าลืมหาเวลามาร่วมกิจกรรมของชมรมให้มากหน่อยนะ ถ้าขาดกิจกรรมหลายครั้ง ชมรมเราก็จะตัดชื่อออก เพราะงั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นักศึกษาบางคนแค่อยากเข้าชมรมเราเพราะความสนใจแค่ช่วงสั้นๆ ผ่านไปหน่อยก็บอกว่าชมรมเรายุ่งยากมากความ เลยมีหลายเรื่องที่พวกเราต้องพูดให้ชัดเจนเอาไว้ล่วงหน้า”

แล้วนี่มันเรียกว่าลืมบอกตรงไหนกัน

เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าหลินเยวียนฟังจบแล้วจะขวัญหนีดีฝ่อ ก็เลยให้หลินเยวียนกรอกใบสมัครก่อน จากนั้นค่อยแนะนำ

“ไม่มีปัญหาครับ”

วิชาเรียนของสาขาการประพันธ์เพลงไม่ได้หนัก เวลานอกเหนือจากการเรียนนั้นมีถมไป ฉะนั้นหลินเยวียนจึงรับปากไปอย่างสบายอารมณ์ จะว่าไปเรื่องอย่างการเข้าชมรมก็เหมือนจะง่ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้อีกแฮะ

……

หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จ นักศึกษาคนที่ปั๊มตราประทับให้หลินเยวียนก็ลุกขึ้นยืน “มีเวลามั้ย ฉันจะพานายไปดูพื้นที่ทำกิจกรรมของชมรมเราสักหน่อยน่ะ”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนเดินตามอีกฝ่ายไป ไม่นานก็มาถึงหน้าอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง “อาคารนี้มีอยู่หลายชมรม ชมรมจิตรกรรมเราอยู่ชั้นหนึ่ง”

เมื่อเดินเข้าไปในอาคาร

หลินเยวียนถึงได้พบว่าพื้นที่กิจกรรมของชมรมจิตรกรรมเป็นถึงห้องเรียนขนาดใหญ่สองสามร้อยตารางเมตรได้ ยามนี้ในห้องเรียนมีสมาชิกในชมรมจำนวนไม่น้อยกำลังถือกระดานวาดภาพ บางคนวาดภาพสเก็ตช์ บางคนวาดภาพสีน้ำ บางคนวาดภาพสีน้ำมัน แล้วก็มีบางคนที่กำลังสร้างสรรค์ภาพเขียนหมึกโบราณอยู่ อากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของสี

“เด็กใหม่?”

ผู้รับผิดชอบคนหนึ่งในชมรมได้รับเอกสารของหลินเยวียน จึงมองมาที่เขา “นักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลง ทำไมนายไม่มาตั้งแต่ปีหนึ่งล่ะ”

นักศึกษาส่วนใหญ่เริ่มเข้าร่วมชมรมกันตอนปีหนึ่ง

หลินเยวียน “ตอนปีหนึ่งผมยังวาดภาพไม่ได้”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มั่นใจว่าหลินเยวียนเป็นเด็กใหม่แกะกล่องอย่างแน่นอน “ไม่ได้เอาอุปกรณ์วาดภาพมาด้วย งั้นนายก็ปัดกวาดห้องวาดภาพไปก่อนแล้วกัน ทำความสะอาดฝั่งขวาก็ได้ อุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ที่ห้องน้ำข้างๆ”

“อืม”

หลินเยวียนทำตาม

คนที่พาหลินเยวียนมาผุดยิ้ม เด็กใหม่มักจะถูกมอบหมายให้ไปทำความสะอาดกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ชมรมจิตรกรรมที่เป็นแบบนี้ ชมรมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกัน

หลินเยวียนเริ่มก้มหน้าก้มตาลงมือทำความสะอาด

แม้จะบอกว่าให้ทำความสะอาดแค่ฝั่งขวา แต่พื้นที่ก็ยังกว้างมาก บนพื้นมีแต่เศษยางลบ หนำซ้ำยังมีขาตั้งสำหรับวาดรูปวางเกลื่อนไปหมด จึงเป็นงานที่หนักพอตัวสำหรับหลินเยวียน

……

จงอวี๋กำลังสเก็ตช์ภาพคนตามแบบอยู่ ในตอนนั้นกำลังเจอกับความยากลำบาก เกาหูเกาหัวอย่างงุ่นง่าน ทันใดนั้นข้างหูก็มีเสียงดังขึ้น “รบกวนช่วยยกเท้าขึ้นหน่อย”

“ไปกวาดตรงอื่นก่อน”

จงอวี๋เอ่ยปากโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“แป๊บเดียวครับ” หลินเยวียนมองเศษยางลบใต้เท้าของอีกฝ่าย ถ้าปล่อยตรงนี้ไว้ไม่ยอมกวาด คนที่ย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรงอย่างเขาคงทนไม่ไหวหรอก

“เฮ้อ”

จงอวี๋ชักจะทนไม่ไหว เหลือบมองหลินเยวียน พูดด้วยน้ำเสียงไม่ญาติดีนัก “หน้าไม่คุ้นเลย เด็กใหม่ในชมรมเหรอ”

“ครับ”

“ปีไหนอะ”

“ปีนี้ปีสอง”

“วันนี้รุ่นพี่ปีสามจะสอนนายให้รู้จักขอบเขต เวลาชมรมจิตรกรรมของพวกเราทำความสะอาด จะต้องเงียบๆ ไม่ไปรบกวนการสร้างสรรค์ผลงานของรุ่นพี่”

“คุณลอกตามแบบอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

หลินเยวียนสงสัย ลอกตามแบบไม่ใช่การสร้างสรรค์ผลงานซะหน่อย

จงอวี๋ไม่สบอารมณ์ วางมือจากภาพวาด จ้องมองหลินเยวียนพลางเอ่ยด้วยความโมโห “เฮ้ย จะให้เอาดินสอให้นาย แล้วนายมาวาดมั้ยล่ะ”

“ก็ได้”

หลินเยวียนพูด “วาดเสร็จคุณช่วยยกเท้าขึ้นด้วยนะครับ”

จงอวี๋ “…”

รุ่นน้องคนนี้จริงจังเหรอเนี่ย ฟังไม่ออกเหรอว่าฉันโกรธ

หลินเยวียนกลับไม่ได้คิดมาก เพราะเขากำลังรีบร้อนกวาดพื้นที่ที่เหลืออยู่ ฉะนั้นจึงหยิบดินสอด้านข้างขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ เป็นภาพ

รุ่นพี่คนนี้ร่างโครงภาพไว้แล้ว

ถึงแม้ว่าโครงภาพที่อีกฝ่ายร่างจะไม่ได้ดีมากก็เถอะ

จากนั้นเป็นการลงรายละเอียด

‘ดวงตาไม่ได้สัดส่วน…เส้นผมหนาเกินไป…ส่วนเงาที่จมูกเข้มเกินไป…’

หลินเยวียนมองผลงานซึ่งรุ่นพี่ทำไว้ครึ่งๆ กลางๆ ในสมองแทบจะมีแต่จุดบกพร่อง ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะมองไม่ออก แต่จุดบกพร่องเหล่านี้กลับเด่นชัดขึ้นมาไม่รู้กี่เท่าเมื่ออยู่ในสายตาของหลินเยวียน

เขาหยิบยางลบออกมา ลบทิ้งออกไปสองในสามส่วน ก็ยังรู้สึกว่าใช้ไม่ได้ จึงลบส่วนที่ลบได้ไปซะให้หมดเลย

จงอวี๋ห้ามไว้ไม่ทัน จ้องมองหลินเยวียนลบผลงานซึ่งตนใช้เวลาวาดไปหนึ่งชั่วโมงต่อหน้าต่อตา

“นาย…”

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเขา โน้มตัวเข้าไป มือเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แก้ไขจุดบกพร่องมากมายของรุ่นพี่ และแทนที่ด้วยเส้นที่คมกว่า

เมื่อเทียบกับภาพสเก็ตซ์จากความคิด ความเร็วของภาพวาดลอกแบบแผ่นนี้ของหลินเยวียนนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัวมาก

ผ่านไปสิบนาที หลินเยวียนเหยียดหลัง เหลือบมองผลงานซึ่งแทบจะเหมือนกับต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้ว กล่าว “ตอนนี้ยกเท้าขึ้นได้แล้วใช่มั้ยครับ”

“หา?”

จงอวี๋มองภาพวาดของตนซึ่งหลินเยวียนปรับแก้ตามอำเภอใจ แววตาแปรเปลี่ยนจากความเดือดดาลเป็นความสับสน ก่อนจะตะลึงงันไปสิบนาทีพอดิบพอดี

มิหนำซ้ำภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบนาที

เห็นกับตาว่าหลินเยวียนแก้ไขภาพวาดของตนถึงระดับที่ไม่กล้ายอมรับ หัวใจดวงไม่เล็กของจงอวี๋ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!

…………………………………………………

ตอนเย็นหลังเลิกเรียนระหว่างทางกลับบ้าน หลินเยวียนสรุปความรู้ที่ได้รับมาใหม่ในสมอง

สิ่งที่ได้ในครั้งนี้ เป็นฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ

แต่คนที่มีความรู้ด้านจิตรกรรมย่อมรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพนั้น คำนิยามและคำจำกัดความออกจะกำกวมอยู่สักหน่อย

หากจำแนกตามประเภทของภาพเขียน ประเภทของจิตรกรรมนั้นก็ซับซ้อนมากแล้ว

ในนั้นรวมไปถึงภาพวาดน้ำหมึก ภาพสีน้ำมัน ภาพพิมพ์ ภาพสีน้ำ ทั้งยังมีภาพกวอชกับภาพสเก็ตช์ และการร่างหยาบต่างๆ นานาด้วย

ถ้าหากจำแนกจากอุปกรณ์ที่ใช้ก็จะมากกว่านี้เสียอีก

ดังนั้นพวกเราจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ซึ่งมีอิทธิพลสูงสุดในบลูสตาร์ก็แล้วกัน

ประเภทใหญ่เหล่านี้ เรียงตามลำดับแล้วจะแบ่งเป็นภาพวาดหมึกโบราณ ภาพสีน้ำมัน ภาดสีน้ำ ภาพสีกวอช และภาพสเก็ตช์

บนโลก สถานะของภาพสีน้ำมันนั้นสูงกว่าภาพวาดหมึกโบราณ ทว่าบนบลูสตาร์กลับนิยมชมชอบศิลปะทางตะวันออกมากกว่า เพราะฉะนั้นสถานะของภาพวาดหมึกโบราณนั้นสูงกว่า และภาพสีน้ำมันนั้นเป็นรอง

ภาพสีน้ำ ภาพสีกวอช และภาพสเก็ตช์ทั้งสามประเภทนี้เป็นแขนงสำคัญสำหรับนักเรียนศิลปะ ดังนั้นมาตรฐานของสามประเภทนี้ไม่นับว่าสูง คนทั่วไปสามารถฝึกฝนได้

เมื่อเทียบกันแล้ว มาตรฐานสำหรับภาพวาดหมึกโบราณกับภาพสีน้ำมันนั้นสูงกว่า

ส่วนฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพของหลินเยวียน…

ไม่ใช่เพราะฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพที่หลินเยวียนได้รับนั้นกว้างเกินไป แต่เป็นเพราะฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพที่หลินเยวียนได้รับนั้นหมายรวมถึงประเภทผลงานซึ่งเป็นที่นิยมด้วย!

ทั้งภาพวาดหมึกโบราณ ภาพสีน้ำมัน ภาพกวอช ภาพสีน้ำ และภาพสเก็ตช์เขาล้วนแต่ชำนาญ

“เย็นวันนี้ต้องลองผลสักหน่อย”

หลินเยวียนเดินผ่านร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่ง ในใจพลันกระตุกวูบ รีบสาวเท้าเข้าไปด้านใน

สี…

กระดานวาดเขียน…

พู่กัน…

กระดาษวาดเขียน…

จิตรกรรมมืออาชีพต้องเป็นสิ่งที่ล้างผลาญเงินมากน่าดู หลินเยวียนแค่ซื้ออุปกรณ์สำหรับภาพวาดสีน้ำ ภาพสีกวอช แล้วก็ภาพสเก็ตช์ ก็จ่ายเงินไปเกินพันหยวนในรวดเดียวแล้ว!

“อุปกรณ์สำหรับภาพสีน้ำมันกับภาพวาดน้ำหมึกไว้ค่อยซื้อทีหลังก็แล้วกัน”

หลินเยวียนวางแผนจะเริ่มฝึกจากสิ่งที่ง่ายที่สุด ถึงอย่างการวาดภาพสเก็ตช์ ภาพสีกวอช แล้วก็ภาพสีน้ำก็ได้ใช้ค่อนข้างบ่อยในชีวิตจริง

หลังจากเดินออกมา หลินเยวียนก็เรียกรถ

เขาซื้อของมาตั้งเยอะแยะ หิ้วกลับคนเดียวไม่ไหวหรอก

เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเยวียนก็เลือกระเบียงเป็นฐานที่มั่นในการวาดภาพ นำขาตั้งและกระดานวาดรูปออกมาก่อน จากนั้นก็เริ่มเหลาดินสอ

เขาเริ่มทดลองสเก็ตช์เป็นอันดับแรก

นักเรียนศิลปะโดยทั่วไปต้องลอกตามผลงานต้นแบบ ทว่าศิลปินระดับมืออาชีพอย่างหลินเยวียนนั้นไม่จำเป็น เขาพึ่งเพียงภาพจำก็สเก็ตช์ผลงานได้แล้ว และผลงานสเก็ตช์ชิ้นแรกในชีวิตของหลินเยวียนก็คือภาพเหมือนของตนเอง

ศิลปินงานสเก็ตช์ชั้นยอดมากมายล้วนแต่เคยวาดภาพเหมือนของตนเอง

แต่ถึงอย่างนั้น ดินสอที่จำเป็นต้องใช้ในการสเก็ตช์ภาพนั้นจะมีแค่แท่งเดียวไม่ได้ เพราะขนาดของดินสอที่แตกต่างกัน จะเขียนเส้นที่แตกต่างกันออกมา ฉะนั้นแล้วหลินเยวียนจึงเหลาดินสอออกมารวดเดียวสิบกว่าแท่ง

เริ่มจากดินสอ2Bซึ่งมักจะใช้เป็นประจำ

ดินสอประเภทนี้พบเห็นได้บ่อยในการสเก็ตช์ภาพ ในการร่างสัดส่วนคร่าวๆ หลินเยวียนก็ใช้ดินสอประเภทนี้วาด

ทว่าก็ไม่จำเป็นเสมอไป

ด้วยความคุ้นเคยที่แตกต่างกันของจิตรกร บางคนก็อาจใช้ดินสอขนาดอื่นร่างภาพออกมา

เมื่อร่างเค้าโครงเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนก็เริ่มสเก็ตช์

สิ่งที่เรียกว่าภาพสเก็ตช์นั้น ในความจริงก็คือการวาดต่อเติมจากภาพร่าง หลินเยวียนไม่มีทางไม่คุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของตน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นลักษณะของดวงตาหรือจมูก เขาก็ล้วนวาดออกมาได้อย่างชัดเจน

“สัมผัสของเส้นที่ไหลลื่น”

เส้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสเก็ตช์ภาพ คนจำนวนมากสเก็ตช์ภาพได้ไม่ดี อันที่จริงก็เพราะควบคุมเส้นได้ไม่ดีพอ หลินเยวียนสามารถวาดสักสิบเส้นออกมาได้ขนาน มีความหนาและความยาวเท่ากันทุกกระเบียดนิ้ว และผู้เริ่มเรียนไม่มีทางทำได้ถึงระดับนี้

จากนั้นก็คือแสงและเงา

ทิศทางของแสงนั้นเป็นตัวตัดสินแสงและเงา

ไม่ว่าจะเป็นสีกวอชหรือการสเก็ตช์ ก็ล้วนแต่เน้นการใช้แสงและเงา คำว่ามิติที่ทุกคนเรียกนั้นก็เกิดจากความเข้มและจาง ทว่าพื้นฐานของแสงและเงาก็ยังมาจากเส้น เมื่อเส้นจำนวนมากมาจัดเรียงรวมกัน ก็จะเกิดเป็นด้านมืด(ด้านที่เกิดเงา)ของภาพสเก็ตช์

“ฟู่…”

การสเก็ตช์ภาพเป็นสิ่งที่ทดสอบความอดทน หลินเยวียนง่วนอยู่สองชั่วโมง ในที่สุดก็วาดภาพเหมือนจริงได้สำเร็จ!

ระดับความเร็วนี้เป็นเพราะระดับฝีมืออันเลิศล้ำของหลินเยวียนถึงทำได้สำเร็จ

ถ้าอยากวาดภาพสเก็ตช์ออกมาสุดความสามารถละก็ ต่อให้เป็นภาพสเก็ตช์ลอกจากต้นแบบก็ต้องใช้เวลาสองสามชั่งโมงกว่าจะสำเร็จ

ภาพวาดดินสอซึ่งวาดเสร็จในสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมงเรียกว่าควิกสเก็ตช์

ถึงแม้การสเก็ตช์เร็วจะเป็นการสเก็ตช์ประเภทหนึ่ง แต่ระดับความละเอียดก็แตกต่างกับภาพสเก็ตช์ของหลินเยวียนโดยสิ้นเชิง

ลุกขึ้นถอยออกไปสองก้าว หลินเยวียนพินิจพิจารณาภาพเหมือนของตนเอง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

สมแล้วที่เป็นฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ

ภาพเหมือนของหลินเยวียนภาพนี้เรียกได้ว่าสมจริงมีจิตวิญญาณ ถ้าหากหยิบออกมาให้คนดู จะต้องได้รับคำชื่นชมล้นหลามอย่างแน่นอน เป็นเพราะของแบบภาพสเก็ตช์ส่วนมากมักจะค่อนข้างสมจริงตรงไปตรงมา ถึงแม้คนที่วาดภาพสเก็ตช์ไม่เป็นก็ยังซาบซึ้งในสุนทรีย์นี้ได้

“วาดได้เหมือนมาก!”

ทั้งสี่คำนี้ โดยมากเป็นสิ่งที่คนทั่วไปใช้วิจารณ์ว่าภาพสเก็ตช์ดีหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะดูตื้นเขินไปหน่อย แต่ระดับนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว เพราะถ้าอยากวาดให้เหมือน ก็ต้องนับรวมปัจจัยด้านแสงเงาและเส้นเข้าไปด้วย

“อาบน้ำนอนดีกว่า”

เมื่อมั่นใจว่าตนสามารถแตะได้ถึงระดับแล้ว หลินเยวียนก็ตรงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแปรงฟัน เพราะในตอนนั้นมือของเขาเลอะเทอะเต็มทีแล้ว

สำหรับจิตรกรแล้ว ความสกปรกนั้นเป็นเรื่องปกติ

นี่เป็นแค่ภาพสเก็ตช์ก็แค่นั้น

ตอนที่หลินเยวียนสเก็ตช์ภาพ บางครั้งก็ใช้นิ้วโป้งถูเส้นที่ค่อนข้างหนา แบบนี้ก็จะทำให้เส้นแลดูนุ่มนวลมากขึ้น (ใช้พวกกระดาษทิชชู่ก็จะได้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน)

ถ้าหากเป็นพวกสีกวอชหรือสีน้ำมัน เป็นเพราะต้องจุ่มสี จึงยากที่จะเลี่ยงไม่ให้สีหกเลอะกางเกงหรือเสื้อผ้า

คนที่รักสะอาดอาจรับไม่ได้

คนที่เคยเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ประเภทนี้ดี

หลังจากอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ หลินเยวียนก็เตรียมหลับตานอนบนเตียง ระบบก็พลันปรากฏขึ้นมา “ยินดีกับโฮสต์ด้วยที่สร้างสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมชิ้นแรกได้สำเร็จ มอบหมายภารกิจ ทำให้ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมทะลุหนึ่งพันภายในสามเดือน”

“รับ”

หลินเยวียนตอบโดยไม่ลังเล

เห็นได้ชัดว่าระบบก็รู้ว่าค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาโดยง่าย จึงกำหนดเป้าหมายให้หลินเยวียนไว้ต่ำมาก ในระยะเริ่มแรกสามารถแตะถึงค่าความโด่งดังหนึ่งพันก็ใช้ได้แล้ว

[ชื่อภารกิจ: เส้นทางของจิตรกร]

[เนื้อหาภารกิจ: ทำให้ค่าความโด่งดังแตะถึงหนึ่งพันภายในสามเดือน ไม่จำกัดวิธีการ]

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติสีเงินหนึ่งใบ กล่องสมบัติทองแดงหนึ่ง]

หลินเยวียนชะงักไป เห็นชัดๆ ว่าภารกิจนี้ไม่ได้ยาก แต่กลับตบรางวัลอย่างหนัก แถมยังมีกล่องสมบัติสีเงินหนึ่งใบ เห็นทีตนจะต้องทำภารกิจนี้จนสำเร็จให้ได้!

“ระบบเหมือนจะหวังให้ฉันพัฒนารอบด้าน”

พอจะจับทางกฎของระบบได้แล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็เข้าใจว่าทำไมระบบนี้ถึงชื่อว่า ‘ระบบศิลปะ’ แล้ว

จิตรกรรม ดนตรี วรรณกรรม ก็ล้วนเป็นแขนงที่สำคัญของศิลปะ

“พรุ่งนี้ค่อยดูว่ามีช่องทางไหนที่จะได้ความโด่งดังมาบ้าง อีกอย่างฉันน่าจะยังต้องเรียนการวาดภาพแบบดิจิทัลด้วย ฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ ถ้าเอาไปประยุกต์กับเทคโนโลยีคงไม่ใช่เรื่องยากล่ะมั้ง”

ระบบให้ฝีมือการวาดภาพแบบมืออาชีพกับหลินเยวียนมาแล้ว

แต่ก็มีจิตรกรรมบางประเภทสร้างสรรค์ผ่านเครื่องมือดิจิทัล ความสามารถในส่วนนี้ ระบบไม่ได้มอบให้หลินเยวียนมา หลินเยวียนจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง

……………………………………………………

ช่วงสายของวันที่สองมีเรียนหนึ่งวิชา

เมื่อวิชาเรียนช่วงสายจบลง หลินเยวียนก็ตรงไปยังห้องเปียโน

เมื่อวานตระหนักได้ถึงข้อบกพร่องของตน เขาอยากพัฒนาฝีมือของตนเองสักหน่อย

ผลคือเมื่อถึงห้องเปียโน หลินเยวียนกลับพบว่าวันนี้ห้องเปียโนเต็มหมดแล้ว

นี่มันแปลกมาก

หลินเยวียนเพิ่งประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่ห้องเปียโนมีคนใช้เต็มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้สองสามครั้ง ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

ช่วยไม่ได้

ถ้าจะรอให้ห้องเปียโนว่างสักห้อง ก็ไม่รู้ว่าต้องต่อคิวอีกนานแค่ไหน หลินเยวียนตัดสินใจเดินออกมา

ทว่าทันทีที่หันหลังกลับไปนั้น กลับมีเสียงดังขึ้นมาข้างหู

“คุณอยากใช้เปียโนเหรอคะ”

หลินเยวียนหันหลังไปมอง เป็นกู้ซีที่มาขอโทษเขาเมื่อวานนี่เอง ในใจแอบพูดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

มิน่าล่ะ

เดิมทีห้องเปียโนไม่มีทางเต็มหรอก

แต่จากทุกครั้งหลินเยวียนเจอกับกู้ซีไป ก็มักจะเกิดแต่เรื่องไม่ดีขึ้น สถานการณ์แบบนี้กลายเป็นกฎตายตัวไปแล้ว!

ฉะนั้นการที่ห้องเปียโนเต็มในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเขาพบกับอีกฝ่าย

“ไม่ใช้แล้วครับ”

ในเมื่อเจอหน้าอีกฝ่ายแล้วจะโชคร้าย หลินเยวียนย่อมอยากหลีกหนีทุกวิถีทาง

“ไม่เป็นไร คุณใช้ห้องเปียโนฉันได้นะ”

กู้ซีมองหลินเยวียน สีหน้าในตอนนั้นเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

นี่คือวิธีที่เธอเค้นสมองคิดมาแทบทั้งคืนกว่าจะคิดออก

หาคนมาใช้ห้องเปียโนให้เต็ม แบบนี้ตนจะได้เชิญหลินเยวียนมาซ้อมที่ห้องเปียโนของตนเองได้ไงล่ะ!

“ผมมีธุระ”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นก็รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นอย่างอดไม่ได้

กู้ซีมองหลินเยวียนเดินจากไปด้วยความตะลึงงัน อยากจะเข้าไปดึงอีกฝ่ายก็ไม่กล้า ชั่วขณะนั้นก็พลันหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ฉันล่วงเกินเขาแรงเกินไปจริงๆ สินะ

จะซ่อมแซมรอยร้าวนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย

“กู้ซี เธอเป็นอะไร”

ผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวสีขาวคนหนึ่งออกมาถามด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังเหลือบมองไล่หลังหลินเยวียนไปด้วย

“ไม่มีอะไร”

กู้ซีเค้นรอยยิ้ม พูดว่า “ขอบคุณนะหัวหน้าห้องที่เรียกเพื่อนในคลาสมาที่ห้องเปียโนเยอะขนาดนี้ กว่าจะเรียกทุกคนมารวมกันได้คงยากน่าดูเลย”

“ฉันต้องขอบคุณเธอมากกว่า”

หัวหน้าห้องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าพวกนี้น่ะ ปกติแล้วไม่ตั้งใจเรียนเท่าไหร่หรอก วางเปียโนไว้ตั้งเยอะแยะไม่มีประโยชน์ ทั้งที่ห้องเปียโนนี้วิทยาลัยมีไว้ให้นักศึกษาคณะดนตรีใช้ฝึกซ้อม ครั้งนี้ได้ยินว่าเธอจะช่วยติวให้ทุกคน ทุกคนก็ตอบตกลงจะมาซ้อมทันทีเลย เรียกมาโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิดเดียว”

“เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันก็จะทำตามสัญญา”

กู้ซีพูด “เริ่มจากห้องเปียโนห้องแรกทางซ้ายก็แล้วกัน”

เดิมทีก็เธอวางแผนว่าจะให้หลินเยวียนมาใช้ห้องเปียโนของเธอ เพื่อชดเชยความเสียใจที่ไล่หลินเยวียนออกจากห้องเปียโนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ส่วนตนเองก็สอนนักศึกษาซ้อมเปียโนในห้องอื่น

แต่หลินเยวียนกลับปฏิเสธตนทันควัน

ถึงแม้แผนการจะล้มเหลว แต่เพื่อนในชั้นเรียนก็ถูกเรียกมาแล้ว คำพูดที่บอกกับหัวหน้าห้อง พูดจริงก็ต้องทำจริง

จะปล่อยให้คนมาเสียเที่ยวไม่ได้

……

ผ่านไปสองชั่วโมง

กู้ซีสอนเพื่อนร่วมชั้นเรียนในทุกๆ ห้อง เมื่อการสอนในห้องเปียโนห้องสุดท้ายจบลง เธอก็รู้สึกว่าตนพูดจนคอแห้งแล้ว

เป็นครูนี่เหนื่อยจริงๆ

เธอโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท นัดอีกฝ่ายไปที่โรงอาหาร กินข้าวด้วยกันเล็กน้อย จะได้สงบจิตสงบใจสักหน่อย

“เมื่อวานเธอบอกว่ามีแผน”

เพื่อนสนิทเอ่ยถามทันทีที่พบกัน “สำเร็จมั้ย”

กู้ซีหน้านิ่วคิ้วขมวด “พังไม่เป็นท่าเลย”

เพื่อนสนิทหลุดหัวเราะ กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งปรี่เข้ามา “กู้ซี เธอกินมั้ย ฉันซื้อเครื่องดื่มมาให้เธอกับเพื่อน”

ผู้ชายคนนั้นพูดพลางหยิบน้ำส้มสองขวดวางลงบนโต๊ะ

“ขอบคุณ” กู้ซียิ้มตอบ

ผู้ชายชะงักไป คล้ายกับว่าสติหลุดลอยไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เป็นไร” ขณะที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

เพื่อนสนิทมองด้วยความประหลาดใจราวกับเพิ่งรู้จักกู้ซีเป็นครั้งแรก “เธอเกลียดพวกผู้ชายที่ทำดีหวังผลแบบนี้ที่สุดไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันเองก็คิดว่าพวกขี้ประจบพวกนี้น่าเบื่อชะมัด”

“ขี้ประจบอะไร”

กู้ซีขุ่นเคืองใจขึ้นมาประหนึ่งถูกเหยียบหาง “เป็นเพื่อนในวิทยาลัยก็ต้องญาติดีกันไว้ ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง”

“ฮะ?”

เพื่อนสนิทกล่าว “เมื่อก่อนเธอไม่ได้พูดว่ามีแต่พวกคนชอบอ่อยที่ชอบให้ความหวังคนอื่นอยู่เรื่อย มีแค่วิธีการปฏิเสธคนประเภทนี้ไปแรงๆ เท่านั้นถึงจะทำให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดที่ไม่มีทางเป็นจริงไปได้ไม่ใช่เหรอ”

“เธอไม่เข้าใจ”

กู้ซีพูด “แล้วถ้าชอบใครสักคนจริงๆ แล้วยินดีเข้าไปประจบ ยินดีทุ่มเทให้คนคนนั้น คิดหาทุกวิถีทางเพื่อเอาใจ แต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธ คงรู้สึกเศร้าน่าดูเลย”

……

หลินเยวียนเดินออกมาจากห้องเปียโน ก็พบว่าโชคดีของตนกลับมาแล้ว เจี่ยนอี้ถึงกับส่งข้อความมาบอกว่าจะเลี้ยงข้าว!

“โรงอาหารหมายเลขสอง”

หลินเยวียนมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมาย

ซย่าฝานเองก็มาถึงแล้ว ทันทีที่มาถึงก็ถามว่า “เงินเดือนนี้เหลือเยอะหรือไง ทำไมอยู่ๆ ก็อยากจะเลี้ยงข้าวขึ้นมาล่ะ”

“แหะๆ”

เจี่ยนอี้ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เมื่อคืนตอนที่ฉันออกไป ใช้เงินที่เหลือติดตัวอยู่น้อยนิดซื้อล็อตเตอรี่ แล้วก็ถูกรางวัลแปดร้อยหยวน!”

“แม่เจ้าโว้ย”

ซย่าฝานตกใจ “ล็อตเตอรี่นี่ถูกได้จริงๆ เหรอ ฉันคิดมาตลอดเลยว่าเป็นแค่เกมหลอกเด็ก”

หลินเยวียนก็ถามขึ้นด้วยความอิจฉา “นายซื้อที่ร้านไหนเหรอ”

เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าอยากจะลองดูบ้าง

เจี่ยนอี้มองหลินเยวียนอย่างกระหยิ่มใจ “นายอย่าเลย โชคดีแบบนี้น่ะนะไม่ใช่ว่าใครก็มีได้”

“ก็ไม่แน่”

หลินเยวียนยื่นมือออกไปลูบเจี่ยนอี้

เจี่ยนอี้แปลกใจ “ทำอะไรของนายน่ะ”

หลินเยวียนไม่ตอบ มัวแต่ลูบเจี่ยนอี้ ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ พวกนายกินไปก่อนเลย”

พูดจบ หลินเยวียนก็วิ่งออกไป

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมองหน้ากัน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสับสน

เมื่อหลินเยวียนมาถึงห้องน้ำแล้ว ก็พูดกับระบบ “ฉันยังเหลือกล่องสมบัติอยู่อีกใบใช่มั้ย รีบเปิดเลย”

ระบบทำงานอย่างว่องไว กล่องสมบัติใบสุดท้ายก็เปิดออกทันใด “ยินดีด้วยคุณได้รับฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ”

“จิตรกรรม?”

สีหน้าของหลินเยวียนนิ่งไป

ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นจิตรกรรมล่ะ

ไม่มีนิยาย ต่อให้ให้เพลงมาอีกก็ยังดี อย่างน้อยฉันก็ยังเอาไปใช้หาเงินได้ ทำไมอยู่ๆ ครั้งนี้ก็ดันให้จิตรกรรมมาล่ะ

“จิตรกรรมก็เป็นศิลปะ”

ระบบทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “อีกทั้งมูลค่าของจิตรกรรมระดับมืออาชีพก็สูงกว่านิยายเรื่องหนึ่งหรือเพลงเพลงหนึ่งด้วย หวังว่าโฮสต์จะแยกแยะความสำคัญได้นะ”

“…”

หลินเยวียนกลับไปยังโรงอาหารด้วยความหดหู่ และสิ่งที่ต่างจากก่อนออกมาก็คือ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความรู้ด้านจิตรกรรมมากมาย ตั้งแต่การสเก็ตช์ไปจนถึงการใช้สีกวอช

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมองเขา “เป็นอะไรเหรอ”

หลินเยวียนส่ายหน้า เริ่มลงมือกินข้าว และปลอบตนเองอยู่ในใจ

ถึงตนจะยังใช้ฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพไม่ได้ แต่เมื่อมองจากมุมมองในระยะยาวก็นับว่าดีมาก จะโทษว่าเจี่ยนอี้ไม่ได้เรื่องก็คงไม่ได้ ตนได้ความโชคดีของเจี่ยนอี้ติดมาแค่นิดเดียวจริงๆ

ถึงยังไงก็มีความสามารถทางศิลปะเพิ่มมาอีกหนึ่งด้าน

อีกทั้งอันที่จริงฝีมือด้านนี้ก็ใช้หาเงินได้เหมือนกัน

หรือว่าหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็หาสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน แล้วตั้งแผงสเก็ตช์ภาพให้นักศึกษาดี?

ค่าแรงถึงจะน้อย แต่เก็บรวบรวมไปก็มากขึ้นเอง

ไปสมัครเป็นครูสอนวิชาศิลปะก็ได้ แต่ว่าตนก็มีงานที่แผนกประพันธ์เพลง วันหยุดสุดสัปดาห์ก็อาจปลีกตัวมาไม่ได้ มิหนำซ้ำเงินที่ได้จากแผนกประพันธ์เพลงก็ยังมากกว่างานจิตรกรรมอย่างแน่นอน

หลินเยวียนถลำลึกสู่ห้วงความคิด

……………………………………………

หลินเยวียนย่อมไม่ล่วงรู้ถึงชุดความคิดของกู้ซี เขาออกมาได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โทรศัพท์แปลกหน้า

ตามกฎแล้ว ตัดสายทิ้ง

อีกฝ่ายโทรมาสองครั้ง

ดูท่าจะไม่ใช่พวกโทรมาก่อนกวนสินะ หลินเยวียนคิด เขาไม่ได้วางสายอีก และรับโทรศัพท์ “ใครครับ?”

“สวัสดีครับ!”

อีกฝ่ายกล่าว “คุณคืออาจารย์ฉู่ขวงใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ”

“สวัสดีครับ อาจารย์ฉู่ขวง ผมชื่อเว่ยหลง[1] เป็นหัวหน้าบรรณาธิการเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วครับ…” อีกฝ่ายรายงานตัวด้วยความภาคภูมิใจ

หลินเยวียนกลืนน้ำลาย

แน่นอนว่าเว่ยหลงไม่รู้ว่าชื่อของตัวเองนั้นพิเศษขนาดไหน “ช่วงนี้ปู้ลั่วของพวกเราเตรียมทำกิจกรรมนิยายขนาดสั้น เมื่อถึงตอนนั้นจะเชิญนักเขียนนิยายขนาดสั้นมาแข่งขันในเวทีเดียวกัน คุณก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่พวกเราเชิญนะครับ”

“ไม่สนใจครับ”

หลินเยวียนมีแผนจะร่วมงานกับนิตยสารอ่านสนุกต่อ

เขาคิดว่าค่าต้นฉบับเรื่องละสองแสนหยวนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าไม่น้อย แพลตฟอร์มของปู้ลั่วถึงแม้จะสะดวก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีค่าต้นฉบับ

“คุณอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิครับ”

อีกฝ่ายรีบยิ้มเอ่ย “นักเขียนทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมกับเราจะได้รับเงินหนึ่งแสนหยวน นอกจากนั้นแล้ว จากพื้นฐานนี้ ถ้าผลงานของคุณเข้าไปเป็นสามอันดับแรก พวกคุณก็จะได้รับรางวัล อันดับหนึ่งสามแสนหยวน อันดับสองสองแสนหยวน และอันดับสามหนึ่งแสนหยวนครับ”

รางวัล?

หลินเยวียนใจเต้นโครมครามขึ้นมา

ค่าต้นฉบับของอันดับที่สามคือหนึ่งแสนหยวน รวมกับค่าเข้าร่วมแรกเริ่มอีกหนึ่งแสนหยวน คล้ายว่าจะไม่ด้อยไปกว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ถ้าตนได้อันดับสองถึงอันดับหนึ่งก็จะได้เงินรางวัลมากกว่านี้อีก!

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เดิมพันที่แน่นอน…

แต่หลินเยวียนรู้สึกว่าด้วยคุณภาพของเรื่องที่ตนมีอยู่ในมือ การติดสามอันดับแรกนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถึงอย่างไรนิยายสั้นที่มีก็เป็นผลงานของนักเขียนชื่อดังทั้งนั้น

มีความหวัง

เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนไม่พูดจา อีกฝ่ายก็เดาได้ว่าหลินเยวียนสนใจขึ้นมาแล้ว จึงพูดเสียงสูงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “วางใจเถอะครับ สำหรับผลการแข่งขันของนักเขียนทั้งสามสิบท่าน ปู้ลั่วของเราจะไม่แทรกแซง สุดท้ายแล้วสามอันดับแรกจะเป็นใคร ล้วนตัดสินโดยผู้อ่านวรรณกรรมในปู้ลั่วของพวกเรา”

“แล้วกฎล่ะครับ?”

หลินเยวียนมีความคิดว่าจะเข้าร่วม

หัวหน้าบรรณาธิการชื่อเว่ยหลงตอบ “กฎง่ายมากครับ พวกเราไม่จำกัดแนวผลงาน แต่จำกัดจำนวนตัวอักษร จำนวนตัวอักษรของผลงานรวมแล้วต้องไม่เกินหนึ่งหมื่นตัวอักษร ถึงยังไงนี่ก็เป็นการประกวดนิยายขนาดสั้นใช่มั้ยล่ะครับ นักอ่านออนไลน์ก็ไม่มีความอดทนที่จะอ่านนิยายเรื่องยาว ในความเห็นผมถ้าไม่เกินห้าพันตัวอักษรจะดีกว่าครับ…”

เว่ยหลงชะงักไปชั่วขณะ

ก่อนจะพูดต่อ “และหลังจากที่ได้รับต้นฉบับของนักเขียนทุกท่าน พวกเราจะทำการโปรโมตในนามทางการ กระแสและขอบเขตของการโปรโมตแบบนี้จะเป็นวงกว้างกว่าแบบนิตยสารกระดาษดั้งเดิม…”

หลินเยวียนคล้ายกับกำลังใช้ความคิด

กลุ่มผู้อ่านของปู้ลั่ววรรณกรรมนั้นกว้างมาก เรื่องนี้ถูกกำหนดโดยคุณสมบัติของตัวแพลตฟอร์มปู้ลั่วเอง พวก

เขามีจำนวนบัญชีผู้ใช้ซึ่งเหนือกว่านิตยสารฉบับใด พวกเขาจัดกิจกรรมนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือปัญหาว่าจะมีผู้ใช้กลายเป็นผู้อ่านมากแค่ไหนต่างหาก

“พูดแบบไม่ปิดบังเลยนะครับ”

เว่ยหลงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เดิมทีพวกเราคิดจะจ่ายเงินเชิญนักเขียนแต่ละท่านมาเลย แต่พอคิดว่ากิจกรรมนี้อาจไปลอกเลียนรูปแบบที่มีมานานแล้วของการจัดอันดับในวงการเพลง สุดท้ายเลยเลือกวิธีการนี้น่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณตัดสินใจว่าอย่างไรครับ”

“ผมขอพิจารณาก่อนครับ”

ปากตอบไปแบบนั้น อันที่จริงในใจของหลินเยวียนมีความคิดไว้อยู่แล้ว

อีกฝ่ายเองก็เดาจุดนี้ได้ จึงกล่าวว่า “ได้ครับ เบอร์โทรศัพท์นี้คือเบอร์คุณใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมแอดเพื่อนไป แล้วจะส่งอีเมลไปให้ ถ้าตัดสินใจได้แล้ว รบกวนส่งต้นฉบับก่อนสิ้นเดือนนี้นะครับ เพราะต้นเดือนหน้าจะเริ่มการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ”

“ครับ”

หลินเยวียนวางสาย

อันที่จริงทางนิตยสารอ่านสนุกก็ขอต้นฉบับจากหลินเยวียนมาแล้ว

เพราะของขวัญแห่งเมไจนั้นโด่งดังมาก ทำให้ยอดขายนิตยสารสูงขึ้นไม่น้อย ดังนั้นทางนิตยสารจึงอยากเซ็นสัญญาในระยะยาวกับหลินเยวียน

ทว่าตอนนี้ดูแล้ว กิจกรรมของปู้ลั่วคุ้มค่ากว่าอยู่สักหน่อย

หลินเยวียนไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ถึงอย่างไรสิ่งที่เซ็นสัญญากับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไปก็คือผลงาน ไม่ใช่คน เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกแพลตฟอร์มในการเผยแพร่ผลงาน นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกโพสต์โฉมงามประดิษฐ์บนปู้ลั่วในตอนแรก

……

ช่วงตรุษจีน หลินเยวียนหยิบยืมความโชคดีของน้องสาว จับได้เรื่องสั้นห้าเรื่องในคราวเดียว ตอนนี้ใช้ไปแล้วสองเรื่อง ยังเหลืออีกสามเรื่องให้เลือก

“อันนี้ก็แล้วกัน”

จะเลือกก็ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะ

เพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไรหลินเยวียนก็รู้สึกว่าสามเรื่องที่เหลือล้วนแต่ไม่ได้แย่ แต่จะทำผลงานได้ขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมของนักอ่าน

แต่ว่าภารกิจของหลินเยวียนไม่ได้อยู่เพียงที่คัดเรื่องสั้นหนึ่งในนั้น เขายังต้องยกเครื่องปรับแก้เซตติงของของนิยาย เพื่อให้สอดคล้องกับแต่ละยุคสมัยบนบลูสตาร์มากยิ่งขึ้น

เป็นเพราะระบบให้เวอร์ชันต้นฉบับของทั้งห้าเรื่องมา

ดังนั้น ของขวัญแห่งเมไจก็เป็นเรื่องที่หลินเยวียนปรับแก้เอง อย่างอัตราแลกเปลี่ยน รวมไปถึงการเปลี่ยนฉากเป็นต้น

เมื่อเทียบกันแล้ว

เรื่องโฉมงามประดิษฐ์ที่หลินเยวียนเผยแพร่ออกไปในครั้งแรกไม่ได้มียุคสมัยของฉากที่ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องปรับแก้มากนัก ฉะนั้นจึงพิมพ์ออกมาได้สบายที่สุด

คำอธิบายของระบบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ

สำหรับการปรับแก้ที่ซับซ้อน ระบบสามารถช่วยปรับแก้สิ่งที่ซับซ้อนได้ แต่เรื่องราวที่มีทั้งหมดไม่กี่พันตัวอักษรอย่างของขวัญแห่งเมไจ หลินเยวียนต้องแก้เองถึงจะได้

หลินเยวียนไม่ได้คัดค้าน

คนเรามีตั้งหนึ่งหมื่นเซลล์ ปรับแก้เนื้อหาไม่กี่พันตัวอักษร เซลล์ตายไปไม่เท่าไหร่ แต่ได้ความรู้สึกมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นมา

อันที่จริงก็เป็นแบบนั้นแหละ

ถึงจะไม่รู้ว่าเซลล์สมองของตนตายไปมากน้อยเท่าไหร่กันแน่ แต่หลินเยวียนกลับมาถึงห้องในตอนเย็น นั่งหน้าคอมพิวเตอร์แก้ฉากในเรื่องจนเสร็จ ทว่าใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ในนั้นยังรวมไปถึงหนึ่งชั่วโมงซึ่งใช้สำหรับตรวจสอบความถี่ถ้วน

เรื่องแบบนี้ รอบคอบไว้ก็ไม่เสียหาย

ส่วนการพิมพ์ต้นฉบับออกมา เรื่องนั้นใช้เวลาแค่ไม่ถึงยี่สิบนาที

เมื่อปรับแก้นิยายเสร็จแล้ว หลินเยวียนไม่ได้ส่งไปยังอีเมลของเว่ยหลงในทันที แต่อยากรอให้ผ่านไปสองสามวันก่อนแล้วค่อยส่ง

ถ้าส่งไปให้อีกฝ่ายในวันเดียวกัน จะไม่ถูกเปิดเผยเหรอว่าตนมีต้นฉบับสำรอง

หลินเยวียนปิดคอมพิวเตอร์ เตรียมตัวเข้านอน

……

และขณะที่หลินเยวียนกำลังจะเข้านอน ที่หน้าโต๊ะในคอนโดแห่งหนึ่ง กู้ซีกำลังเฝ้ารอโทรศัพท์จากเพื่อนด้วยความวิตกกังวล

ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เธอรับโทรศัพท์อย่างเร็วรี่ “เป็นไงบ้าง”

“คุณหนูกู้ ฉันใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนวันกว่าจะหามาให้เธอได้ เอาไว้เธอต้องเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ฉันด้วยนะ”

“ฉันเลี้ยงเอง!”

“นับว่าเธอยังมีมโนธรรมอยู่นะ คนที่เธอสืบชื่อว่าหลินเยวียน ที่จริงแล้วเป็นนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลง ปีนี้อยู่ปีสอง”

“แล้วไงต่อ”

“หลินเยวียนคนนี้ค่อนข้างเงียบพูดน้อย ได้ยินว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่จากคำบอกเล่าของเพื่อนในคลาสก็ถือว่าไม่เลย บอกว่านิสัยดี ไม่เคยทะเลาะกับใคร ประมาณนี้แหละ ที่เหลือฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

กู้ซี “…”

คนที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนในชั้นเรียน มามีปัญหากับฉัน แล้วฉันจะโดนคนเกลียดอีกเท่าไหร่เนี่ย

“จริงสิ”

เพื่อนสนิทถามว่า “ทำไมเธอต้องให้ฉันสืบเรื่องหลินเยวียนด้วย? คงไม่ได้สนใจตัวเขาหรอกใช่มั้ย คุณหนูกู้อย่างเธอมองสูงมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”

“ที่สนใจไม่ใช่ตัวเขา…”

กู้ซีทอดถอนใจ “เธอไม่เข้าใจ เธอแนะนำฉันหน่อยได้มั้ยว่าทำยังไงถึงจะเอาใจคนคนหนึ่งได้”

“ก็ทำสิ่งที่คนคนนั้นชอบไงล่ะ”

“แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร”

“จากประสบการณ์ของฉันนะ คนเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ชอบเงิน แน่นอนว่าฉันหมายถึงคนธรรมดาอย่างฉันน่ะนะ”

“เขาธรรมดาซะที่ไหนกัน”

กู้ซีถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าเขาชอบเงินก็ง่ายน่ะสิ…แต่เขาไม่มีทางชอบเงินหรอก…”

บุคคลระดับเทพเซียนจะไปชอบเงินได้ยังไงกัน

…………………………………………………

[1] เว่ยหลง พ้องรูปและพ้องเสียงกับชื่อยี่ห้อขนมและของกินเล่นชื่อดังของประเทศจีน

“ปรากฏตัวแล้ว!”

หญิงสาวในห้องด้านข้างก็คือกู้ซี เมื่อได้ยินเพลงที่ยังไม่เคยเผยแพร่มาก่อน กู้ซีทั้งตื่นเต้นทั้งปวดใจ!

ตื่นเต้นก็เพราะ…

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ก็เป็นเวลาสี่เดือนแล้ว ในที่สุดเธอก็เฝ้าคอยจนได้เยี่ยมเยียนพ่อเพลงผู้ลึกลับท่านนี้อีกครั้ง!

ปวดใจเพราะ…

เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เพื่อที่จะตามหาพ่อเพลงลึกลับท่านนี้ กู้ซีก็จะมาเฝ้ารอที่ห้องเปียโนช่วงพักระหว่างคาบเรียนแทบทุกวัน ถึงขั้นที่แม้แต่ช่วงพักกลางวันก็ยังมาใช้เวลาในห้องเปียโนเลย ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนก็จะเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องเปียโน เพราะกลัวว่าจะคลาดกันไปอีกครั้ง!

แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเวลานานเหลือเกิน

กู้ซีคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว

ทว่าในวันนี้ เธอกลับรอคอยการปรากฏตัวของเขาอีกครั้งได้สำเร็จ ชั่วขณะนั้นกู้ซีรู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ยืนหยัดและไม่ยอมแพ้มานานถึงขนาดนี้!

หัวใจเต้นระส่ำ

กู้ซีรีบพุ่งปราดเข้าไปยังระเบียงทางเดิน ก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องเปียโนด้านข้างอย่างว่องไว

เธอมั่นใจว่า โน้ตเปียโนดังออกมาจากในห้องนี้!

เธอยื่นมือออกไป หมายเปิดประตูห้อง ทว่าทันใดนั้นก็หยุดชะงัก

อยู่ๆ พรวดพราดเข้าไปรบกวนจะทำให้พ่อเพลงโมโหไหมนะ

กู้ซีรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง พ่อเพลงจำนวนมากอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าหากตนทำให้อีกฝ่ายเกิดภาพจำที่ย่ำแย่ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จบเห่กันพอดี

ความประทับใจแรกสำคัญมาก!

“รอให้เสียงเปียโนจบก่อนแล้วกัน” วันนี้เธอจะรออยู่ตรงนี้แหละ ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ไปไหนแม้แต่นิดเดียว พ่อเพลงไม่มีทางติดปีกบินหายไปได้หรอก

ผ่านไปห้านาที

เสียงเปียโนในห้องหยุดลง เข้าไปตอนนี้แหละเหมาะสม

กู้ซีรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก จัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เรียบร้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าตนไม่มีจุดไหนที่ผิดกาลเทศะ จึงเคาะประตูเบาๆ

เธอไม่กล้าเคาะประตูรัว

จึงเคาะสามครั้งอย่างใส่ใจ

หลินเยวียนซึ่งอยู่ในห้องประหลาดใจ ไม่รู้ว่าใครมาหาตน ถึงขั้นลอบรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย

เปียโนหลังนี้คงไม่ได้มีเจ้าของหรอกใช่มั้ย

เขาเอ่ยปากว่า “เชิญครับ”

ประตูถูกเปิดออก หลินเยวียนเห็นคนที่เคาะประตู หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย

กู้ซี?

หลินเยวียนจำชื่อของผู้หญิงคนนี้ได้ ว่ากันว่าเป็นคนที่เล่นเปียโนได้ยอดเยี่ยมที่สุดของวิทยาลัย ตอนที่อาจารย์สอนเปียโนก็เคยเอ่ยถึงเธอ

ทว่าภาพจำที่หลินเยวียนมีต่อผู้หญิงคนนี้ไม่ดีเลย เพราะทุกครั้งที่พบหน้าอีกฝ่าย ก็มักจะเกิดเรื่องไม่สบอารมณ์อยู่ตลอด

เมื่อเทียบกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของหลินเยวียน

ในใจของกู้ซีราวกับเกิดคลื่นโหมคลั่ง จ้องมองตาแทบถลน สมองขาวโพลน!

“มีอะไรครับ”

หลินเยวียนรออยู่หลายวินาที อีกฝ่ายไม่เอ่ยปากโต้ตอบ จึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายออกตัวถามเอง

“เมื่อกี้!”

ครั้นกู้ซีเอ่ยปากพูดจึงพบว่าตนเองปากคอแห้งผาก ในใจของเธอยังคงโอบกอดความหวังสุดท้าย

“เพลงนั้นนาย…แค่ก…คุณเป็นคนเขียนเหรอคะ”

“ครับ”

หลินเยวียนยอมรับว่าเรื่องประเภทนี้ไม่ได้ทำให้เขากังวลใจสักเท่าไหร่ หนำซ้ำเขายังมั่นใจว่าบนโลกนี้ไม่มีเพลงที่คล้ายคลึงกัน

จบสิ้นแล้ว!

คำตอบของหลินเยวียนทำให้ความหวังทั้งหมดของกู้ซีมอดมลายไปทันที

เมื่อเห็นหัวคิ้วขมวดเป็นปมของหลินเยวียนโดยไม่ปิดบัง ชั่วขณะนั้นเธอแทบอยากตบหน้าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

เขาเป็นถึงพ่อเพลงลึกลับท่านนั้นเชียวนะ!

กู้ซีจินตนาการตัวตนของพ่อเพลงคนนี้นับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่นอาจารย์หรือศาสตราจารย์ท่านหนึ่งในวิทยาลัยซึ่งไม่ค่อยชอบเป็นที่สนใจของผู้คน หรือไม่ก็พ่อเพลงจากข้างนอกที่ผ่านมา…

สิ่งเดียวที่ไม่เคยนึกถึงเลยก็คืออีกฝ่ายเป็นนักศึกษาเหมือนกับตัวเอง!

ที่แท้ตนพบหน้าครั้งแรกก็ล่วงเกินพ่อเพลงไปแล้ว ตนยังคิดอยากจะมีความประทับใจแรกได้ยังไงกัน

ก่อนหน้านี้ฉันทำอะไรลงไปกันเนี่ย

นี่เรียกว่าฆ่าตัวตายใช่มั้ยเนี่ย

กู้ซีไม่ได้คลางแคลงว่าสิ่งที่หลินเยวียนพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ และไม่ได้คิดว่าหลินเยวียนจะเขียนบทเพลงที่ล้ำเลิศเช่นนี้ออกมาไม่ได้เพียงเพราะเขาอายุใกล้เคียงกับตนเอง

บนโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่มากมาย

ถ้าบอกว่าตนเป็นอัจฉริยะด้านการบรรเลงบทเพลง เช่นนั้นพ่อเพลงตรงหน้าซึ่งถูกตนล่วงเกินไปอย่างหนักหน่วง ก็คงจะเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสะพรึงกลัวเลยละ!

นอกจากนั้นแล้ว ตอนนี้หวนคิดย้อนกลับไป ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ตนตามหาพ่อเพลง ก็มักจะคลาดกันเพียงนิดเดียวเสมอ

ในตอนนั้นไม่ทันได้สังเกต ถึงขั้นยังคิดไปว่าที่อีกฝ่ายจงใจมาปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง มีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตน

ยามนี้ได้สติหวนกลับมาไตร่ตรองโดยละเอียด จึงพบว่าภาพเหตุการณ์ที่พบกันในห้องเปียโน นั้นเป็นข้อพิสูจน์ตัวตนในฐานะพ่อเพลงของอีกฝ่ายชัดๆ!

ขอโทษตอนนี้จะทันมั้ยนะ

ไม่ว่าจะทันหรือไม่ทัน กู้ซีก็มีความรักตัวกลัวตายโดยสัญชาตญาณ กลัวเสียหน้าในช่วงเวลาเฉียดตายแบบนี้เป็น

สิ่งที่โง่เขลาที่สุด!

จำเป็นต้องขจัดปัญหา!

เธอค้อมเอวก้มศีรษะต่ำโดยไม่ลังเล “ขอโทษนะคะ ก่อนหน้านี้ฉันผิดเอง ได้โปรดให้อภัยที่ก่อนหน้านี้ฉันเลินเล่อแล้วก็เสียมารยาทด้วยค่ะ”

ชั่วขณะที่ก้มหน้า

ใบหน้าของกู้ซีแดงก่ำด้วยความอับอาย

ก่อนหน้านี้ตนยังวางท่าสูงส่ง คิดว่าพ่อเพลงคิดไม่ซื่อกับตนเหมือนกับแมลงที่ชอบมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ พวกนั้น ความคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้น่าขายหน้าที่สุด…

หลินเยวียนชะงักไป

กู้ซีมีจิตสำนึกขึ้นมาแล้วเหรอ

ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียด ในเมื่ออีกฝ่ายขอโทษอย่างจริงใจ หลินเยวียนก็ย่อมปล่อยวางความขุ่นเคือง

ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป ขณะที่เดินผ่านอีกฝ่าย ก็พูดออกไปว่า “ไม่เป็นไร”

“ขอบคุณค่ะ!”

กู้ซีเงยหน้าขึ้นอย่างรู้สึกผิด และพบว่าหลินเยวียนเดินออกไปทางด้านนอกประตูแล้ว ราวกับไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว

“…”

เธอมองแผ่นหลังหลินเยวียน อ้าปากค้าง อยากพูดอะไรอีก ท้ายที่สุดแล้วก็กลืนคำพูดนั้นกลับลงคอไป

แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายให้อภัยไปตามมารยาท หรือเพราะว่าไม่ถือโทษโกรธเคืองที่เธอล่วงเกินจริงๆ แต่อย่างน้อยท่าทีของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม

นั่นหมายความว่าตนยังมีโอกาส!

อีกทั้งในตอนนี้ตนก็ไม่ต้องกังวลว่าพ่อเพลงจะอันตรธานหายไปอีก เธอรู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว!

“ไม่สิ…”

กู้ซีเกาศีรษะด้วยความรำคาญใจ เธอถึงกับลืมถามชื่อของอีกฝ่าย และความเลินเล่อในครั้งนี้แทบจะทำให้กู้ซีวิ่งตามออกไปอย่างห้ามไม่อยู่

ความคิดแล่นปราด เธอหยุดฝีเท้าลง

ในเมื่อเป็นนักศึกษาในวิทยาลัย เพียงแต่อยากรู้ชื่อของอีกฝ่าย สำหรับกู้ซีแล้วไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นแต่อย่างใด

ถ้าหากตามไปตอนนี้ แล้วพ่อเพลงคิดว่าเธอกำลังตามตอแยไม่เลิกรา…

แม้ว่าในมุมหนึ่ง ตนก็มีความคิดที่จะตามตอแยจริงๆ นั่นแหละ

“ฉันจะต้องทำให้พ่อเพลงยอมรับให้ได้!”

ด้วยอายุของอีกฝ่าย สร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ออกมาได้ กู้ซีจินตนาการความสำเร็จในอนาคตของอีกฝ่ายได้เลย โอกาสแบบนี้มาวางตรงหน้านักเปียโนคนไหน อีกฝ่ายก็ไม่อาจเมินเฉยได้เหมือนกันนั่นละ!

“ทำยังไงดี”

กู้ซีรู้สึกลำบากใจ “ฉันจะต้องหากลศึกถึงจะได้”

มาตรฐานของพ่อเพลงต่อนักเปียโนนั้นสูงมาก ด้วยระดับของเพลงที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา ต่อให้เป็นนักเปียโนที่ฝีมือดีกว่าตน เขาก็เลือกร่วมงานได้ตามใจชอบ

“ข้อได้เปรียบของฉันก็คือ ฉันอายุเท่าเขา แถมยังอยู่วิทยาลัยเดียวกัน หอคอยที่อยู่ใกล้น้ำย่อมเห็นเงาสะท้อนของดวงจันทร์ได้ก่อนอยู่แล้ว”

คิดถึงตรงนี้ กู้ซีก็หงุดหงิดกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของตนขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้ล่วงเกินพ่อเพลงซะขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจง่ายขึ้นหน่อย ฉันละอยากจะร้องไห้กับความโง่ของตัวเองจริงๆ เลย”

มีเหตุก็ต้องมีผล

นี่เป็นผลกรรมสินะ

อะไร ใครถูกใครผิดน่ะเหรอ

ขอโทษเถอะ พ่อเพลงไม่มีทางผิด

………………………………………………….

แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่จำเป็นต้องรอให้ความตายมาเยือนถึงจะสำแดงพลัง โลกที่เขาจากมานั้นเป็นคลังสมบัติทางศิลปะซึ่งกอบโกยได้ไม่สิ้นสุด

อีกทั้งเขายังเชื่อมั่นว่าไม่ช้าก็เร็วระบบจะเอาชนะโรคร้ายได้!

มาถึงจุดนี้ต้องเน้นย้ำสักประโยคว่า อันที่จริงนิยายอย่างของขวัญแห่งเมไจมักจะมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่าชั้นเดียว อย่างเช่นการสะท้อนเรื่องความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมของชนชั้นในสังคม

ทว่าหลินเยวียนอาศัยอยู่บนบลูสตาร์

ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องราว และการบรรยายก็โฟกัสอยู่ที่ตัวเรื่องราว ไม่มีทางสอดแทรกความหมายอันลึกซึ้ง และการถกเถียงเกี่ยวกับยุคสมัยนั้นก็มีเพียงผิวเผินเท่านั้น

ในตอนนั้นเขากำลังกินข้าวอยู่ในโรงอาหาร

ฝั่งตรงข้ามคือซย่าฝานกับเจี่ยนอี้

วันนี้ซย่าฝานคล้ายกับว่าจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาเหม่อลอยไม่โฟกัส เจี่ยนอี้ซึ่งจับสังเกตเห็นในจุดนี้ก็ยกมือไปโบกไหวๆ ด้านหน้าซย่าฝาน

“คิดอะไรอยู่น่ะ เหม่อขนาดนั้น”

หลินเยวียนก็มองไปยังเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยความเป็นห่วง

ซย่าฝานเงยหน้า เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “พวกนายห้ามหัวเราะฉันนะ คือว่าเมื่อคืนฉันสมัคร ‘สะพรั่ง’ ปีนี้ไป”

เจี่ยนอี้ได้ยินดังนั้น ก็สบตากับหลินเยวียน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

ในฐานะที่เป็นรายการประกวดซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในฉินโจว สะพรั่งจะจัดขึ้นปีละครั้ง เด็กหญิงผู้มีความฝันด้านดนตรีทุกคนล้วนใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าร่วมรายการนี้

ซย่าฝานก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทว่าผ่านไปสองปี ซย่าฝานเข้าร่วมรายการสะพรั่งมาแล้วสองครั้ง สองครั้งแต่ก็ไร้ผล นั่นทำให้ซย่าฝานสะเทือนใจอย่างรุนแรง ตอนตกรอบเมื่อปีที่แล้วเธอก็ร้องไห้พูดว่า จะไม่เข้าร่วมรายการนี้อีกแล้ว

คำพูดเมื่อปีก่อนยังคงดังก้องอยู่ในหู

ผลคือสะพรั่งในปีนี้เพิ่งจะเปิดรับสมัคร ซย่าฝานก็รีบสมัครอย่างไม่รอช้า ราวกับว่าลืมคำพูดของตัวเองไปเสียสนิท มิหนำซ้ำยังลืมความสะเทือนใจทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ไปแล้วสิ้น

“พวกนายอยากตายหรือไงฮะ!”

ซย่าฝานส่งสายตาโกรธเคืองไปยังทั้งสองคนซึ่งส่งเสียงหัวเราะออกมา

หลินเยวียนรีบหุบยิ้มในทันที “ฉันสนับสนุนนะ”

เจี่ยนอี้ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “ทำตามความฝันของเธอเถอะ”

สีหน้าของซย่าฝานจึงค่อยผ่อนคลายลง

แต่สองคนกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ซย่าฝานโทสะพลุ่งพล่าน “พวกนายคิดว่ามันตลกมากหรือไง”

ทักษะการเอาชีวิตรอดทำให้เจี่ยนอี้และหลินเยวียนรีบกลั้นยิ้ม

ซย่าฝานแค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “ครั้งที่สามแล้ว ฉันรับรองว่าปีนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย!”

เจี่ยนอี้พึมพำว่า “ปีที่แล้วเธอก็พูดแบบนี้…”

จากนั้นเขาก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เพราะซย่าฝานเหยียบเท้าเขาเสียเต็มรัก

หลินเยวียนพูด “รอให้ถึงการแข่งขัน พวกเราจะไปตะโกนเชียร์เธอด้านล่างเวทีเหมื่อนสองปีที่ผ่านมานั่นแหละ”

“นี่ยังพอได้หน่อย”

ซย่าฝานผุดลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกนายสองคนก็ช่วยฉัน ฉันคิดว่าสองปีที่ผ่านมาไม่ติดหนึ่งร้อยคน ที่สำคัญก็เป็นเพราะเลือกเพลงพลาด ปีนี้จะต้องเลือกเพลงที่เหมาะกับฉัน ทำให้คณะกรรมการอึ้งไปเลย”

“ดีๆ”

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ไม่ได้ปฏิเสธ

อันที่จริงสิ่งสำคัญคือความเห็นของหลินเยวียน

คนที่ร้องเพลงยังเสียงเพี้ยนอย่างเจี่ยนอี้ไม่รู้เรื่องดนตรีหรอก เขาจำแนกประเภทดนตรีได้แค่ ‘เพราะ’ กับ ‘ไม่เพราะ’ แค่สองประเภท

ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

หลินเยวียนพูด “เพลงที่เธอร้องเมื่อปีที่แล้ว จริงๆ ก็ดีมากเลยนะ แต่ที่กรรมการไม่เลือก หลักๆ ก็น่าจะเป็นเพราะแนวเพลงที่เธอเลือกมันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม”

ในฐานะเพื่อนสนิท หลินเยวียนกระจ่างในความสามารถของซย่าฝานดี

ด้วยศักยภาพของซย่าฝาน เข้าร่วมรายการสะพรั่งย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ปัญหาของซย่าฝานนั้นอยู่ที่กลยุทธ์ในการแข่งขัน

เธอคนนี้ชื่นชอบแนวเพลงเฉพาะกลุ่ม

การแข่งขันให้ความสนใจกับอารมณ์ร่วม เพลงที่ทำให้ผู้ชมคึกคักขึ้นมามักจะโดดเด่นได้ง่าย ส่วนเพลงเฉพาะกลุ่มมักจะได้รับเสียงชื่นชมไม่มาก

……

เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสามก็วางแผนช่วยซย่าฝานเลือกเพลงสำหรับแข่งขันในรายการสะพรั่ง

ซย่าฝานหยิบรายชื่อเพลงซึ่งเตรียมไว้แล้วออกมา “หลินเยวียน นายวงเพลงที่แนะนำที ฉันจะได้ฝึกให้เยอะหน่อย”

“อื้ม”

หลินเยวียนอ่านรายชื่อเพลงของซย่าฝาน เธอคนนี้ยังคงเปลี่ยนเอกลักษณ์อย่างการชื่นชอบแนวเพลงเฉพาะกลุ่มไม่ได้ ทว่านอกจากเพลงเฉพาะกลุ่มแล้ว หลินเยวียนยังเหลือบไปเห็นสองเพลงที่เขาคุ้นเคยเลยทีเดียว

เพลงหนึ่งคือปลายักษ์

อีกเพลงหนึ่งคือติดไฟง่ายระเบิดง่าย

หลินเยวียนปรายตามองซย่าฝาน ขีดฆ่าเพลงปลายักษ์ทิ้งทันที

เสียงของซย่าฝานไม่มีทางดึงจุดเด่นของเพลงนี้ออกมาได้แน่

เขาชี้ไปที่อีกเพลงหนึ่ง “เธอลองเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่าย”

“ได้”

นี่เป็นเพลงที่ซย่าฝานชอบเพลงหนึ่ง

หลินเยวียนครุ่นคิดแล้วจึงพูด “ฉันไม่ได้ให้เธอร้องเพลงนี้ในรอบออดิชันนะ รอบออดิชันเธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว รอรอบหนึ่งร้อยคนแล้วค่อยเอาเพลงนี้มาร้องจะดีกว่า”

ซย่าฝานพยักหน้า

โดยพื้นฐานแล้วการได้เข้ารอบหนึ่งร้อยคนจะเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีระดับความเป็นมืออาชีพสูง ในเวลาแบบนี้ ใครเข้ารอบใครตกรอบก็ไม่แปลก สองปีก่อนเธอประมาทเกินไป คิดว่าถ้าตนเองร้องได้ดีจะต้องได้เข้ารอบหนึ่งร้อยคนอย่างแน่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ผ่านเข้ารอบหนึ่งร้อยคนสุดท้าย มีใครบ้างล่ะที่ความสามารถไม่ถึงขั้น?

หลินเยวียนเสนอความเห็นอีกส่วนหนึ่ง

หลินเยวียนขีดฆ่าเพลงแทบทั้งหมดในรายชื่อของซย่าฝาน เขามองชื่อเพลงซึ่งเหลืออยู่ไม่มากพลางกล่าว “เพลงพวกนี้เธอไปฝึกให้ดี ใช้เป็นเพลงประกวดได้หมดเลย”

“ได้”

ซย่าฝานเชื่อใจหลินเยวียนพอสมควร ต่อให้เพลงส่วนมากที่หลินเยวียนขีดฆ่าไปส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่เธออยากร้องแต่แรกก็ตามแต่

กว่าจะพูดคุยกันจบ

ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้มีธุระจึงแยกตัวออกมา หลินเยวียนซึ่งช่วงบ่ายไม่มีวิชาเรียนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียกระบบ “ฉันใช้การฝึกฝนมาเพิ่มสกิลเปียโนได้มั้ย”

“ได้”

ระบบตอบ “ระบบให้ความสามารถด้านเปียโนระดับเชี่ยวชาญกับโฮสต์ แต่ถ้าโฮสต์หมั่นฝึกฝนจากพื้นฐานที่มีละก็พัฒนาฝีมือของตัวเองได้”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนมุ่งหน้าไปยังห้องเปียโน

ทุกคนชอบการประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องลงแรงทั้งนั้นแหละ หลินเยวียนก็เช่นเดียวกัน ใครจะเกลียดความรู้สึกของการนั่งสบายๆ แล้วได้ผลประโยชน์กันล่ะ

แต่นอกจากรอให้ระบบเพิ่มความสามารถให้ตนเอง หลินเยวียนก็ไม่ได้ต่อต้านการพัฒนาความสามารถด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งใจเรียนทุกวิชาในวิทยาลัยไปทำไมล่ะ

ถึงยังไงระบบก็มอบเพลงให้ได้อยู่แล้ว?

ถ้าหากมีความคิดแบบนี้ หลินเยวียนคงใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างสบายใจเฉิบ

เพียงแต่ว่านั่นมันออกจะน่าเบื่อเกินไปหน่อย

ประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถด้วยตนเอง เมื่อเทียบกับการพัฒนาฝีมือด้วยระบบแล้ว ก็น้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำไป

ทว่าหลินเยวียนก็ยังชอบความรู้สึกของการพัฒนาเพราะการบากบั่นพยายามมาก สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ต้องการความรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จ

เมื่อถึงห้องเปียโน

หลินเยวียนก็เริ่มเล่นเพลงที่คุ้นเคยสองสามเพลง

หลังจากเริ่มคล่องมือแล้ว เขาก็บรรเลงเพลงวิวาห์ในฝัน นี่คือเพลงที่ได้รับจากกล่องสมบัติสีเงิน จวบจนวันนี้ยังถูกดองไว้ในคลังไอเทม

โน้ตเพลงถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว

หลินเยวียนหลับตาลงอย่างแผ่วเบา

นิ้วมือของเขาค่อยๆ เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทดลองแปลงโน้ตเพลงวิวาห์ในฝัน นี่คือการอิมโพรไวส์ซึ่งนักเปียโนจำนวนมากทดลองเล่น บางครั้งการอิมโพรไวส์ในลักษณะนี้อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบของต้นฉบับทั้งหมดเลยทีเดียว

ทว่าการทดลองในครั้งนี้ไม่สำเร็จ

หลินเยวียนรู้สึว่าตนยังขาดการบ่มเพาะฝึกฝนด้านเปียโนอยู่ระดับหนึ่ง ไม่อาจถ่ายทอดจิตวิญญาณของบทเพลงให้หลากหลายมากกว่านี้

นี่เป็นข้อเสียของการเพิ่มระดับความสามารถที่ระบบมอบให้ หลินเยวียนได้รับฝีมือด้านเปียโนมาในชั่วข้ามคืน เทคนิคระดับมืออาชีพก็จริง ทว่าเขายังขาดการสั่งสมประสบการณ์บางอย่างอยู่

ก็เหมือนกับการร้องเพลงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก

อันที่จริงเปียโนของหลินเยวียนนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกสักเท่าไหร่ เทคนิคการบรรเลงเพลงระดับเชี่ยวชาญจึงยิ่งทำให้เขาดูประหนึ่งกลายเป็นเครื่องบรรเลงเพลงอันไร้ความรู้สึกเครื่องหนึ่ง

“นี่อาจเป็นทิศทางในการปรับปรุงของฉันหลังจากนี้”

ในใจของหลินเยวียนคล้ายกับตระหนักขึ้นมาได้ เขาจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง และทำให้เพลงกลับไปเป็นโน้ตดั้งเดิม บรรเลงบทเพลงไปพลางขบคิดให้ลึกซึ้งกว่าเก่า

ทว่าสิ่งที่หลินเยวียนไม่รู้ก็คือ…

ยามที่ท่วงทำนองเปียโนบรรเลงไป ที่ห้องเปียโนข้างๆ เขาในตอนนั้น หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังงีบหลับหน้าเปียโนก็ลืมตาขึ้นทันใด ลุกพรวดขึ้นยืนเบื้องหน้าเปียโน

…………………………………………….

หลังจากตะลึงงันไปนับสิบวินาที ในที่สุดฮั่นจี้เหม่ยก็ตั้งสติได้

เธอนึกไม่ถึงแม้แต่นิดเดียวว่าตอนจบจะเป็นแบบนี้…

ภรรยาขายเส้นผมยาวสลวยไปทั้งศีรษะ เพื่อซื้อสายคล้องนาฬิกาทองคำให้สามี ส่วนสามีก็ขายนาฬิกาทองคำของรักของหวง เพื่อซื้อชุดหวีที่ภรรยาปรารถนามาเนิ่นนาน

พวกเขายอมสละทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดในครอบครัวเพื่อกันและกัน แต่ของขวัญที่มอบให้กันก็สูญเสียคุณค่าดั้งเดิมไปในเวลาเดียวกัน

ตอนจบแบบนี้จะบอกว่าโหดร้ายก็ออกจะมากเกินไปหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังทำให้คนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก

และท่ามกลางความย้อนแย้งอันน่าขันนี้ ความรักของสามีกับภรรยาถูกร้อยเรียงสู่หน้ากระดาษ ถ่ายทอดได้อย่างแจ่มชัด!

ชวนให้คนอยากมีความรักจริงๆ เลย

ฮั่นจี้เหม่ยปิดนิตยสารอย่างใจลอยราวกับกำลังใช้ความคิด

ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้

เรื่องราวดีๆ เช่นนี้เดิมทีควรปรากฏในเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่ว เฉกเช่นเดียวกับเรื่องโฉมงามประดิษฐ์ของฉู่ขวง

“ทำไมสุดท้ายแล้วถึงพลาดฉู่ขวงไปได้กัน”

ทั้งที่แรกเริ่มเดิมทีเขาเลือกแพลตฟอร์มของพวกเรา

แววตาของฮั่นจี้เหม่ยสว่างวาบ กดลงบนปุ่มสีเขียวทางด้านซ้ายของโต๊ะทำงาน “อีกห้านาทีประชุมหัวหน้าบ.ก.ทั้งหมด”

ทำไมเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกันเลยน่ะหรือ

ก็เพราะคุณภาพของผลงานในเซกชันวรรณกรรมสู้นิตยสารในท้องตลาดไม่ได้น่ะสิ

และเมื่อใคร่ครวญถึงเหตุผลสำคัญที่สุด ก็เป็นเพราะเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วนั้นไม่มีแรงดึงดูดนักเขียนฝีมือดีมามากพอน่ะสิ!

ตนจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ยังไงดีล่ะ

ง่ายมาก ก็ต้องไปช่วงชิงผลงานมา ช่วงชิงนักเขียน!

นักเขียนที่ยอดเยี่ยมอย่างฉู่ขวง ก็ควรค่าให้เซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วไปแย่งชิงมา ฮั่นจี้เหม่ยเชื่อว่าสุดท้ายแล้วตนเองก็จะโน้มน้าวนักเขียนมือดีเช่นฉู่ขวงได้

ฉั่นจี้เหม่ยเปิดประชุมหัวหน้าบรรณาธิการพร้อมกับความคิดนี้

เธอเอ่ยถึงปัญหานี้ในการประชุม “ทำไมปู้ลั่วถึงไม่เป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งที่นักเขียนเลือก”

อันที่จริงนี่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด

หัวหน้าบรรณาธิการซึ่งอยู่ด้านขวาหัวเราะ “นอกจากเซกชันวรรณกรรมซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งค่อนข้างพิเศษสำหรับการเผยแพร่ผลงานแล้ว เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือพวกเราไม่ได้จ่ายโบนัสที่มากพอแก่นักเขียน”

นักเขียนเองก็ต้องกินข้าวเหมือนกัน

ลำพังแค่ยอดถูกใจของแพลตฟอร์มออนไลน์เห็นจะไม่พอ

ฮั่นจี้เหม่ยหยัดกายลุกขึ้นยืน สองมือกดลงบนโต๊ะ โน้มตัวลงเล็กน้อย “ฉันจะทำเรื่องของบกับเบื้องบน พวกคุณรู้ใช่มั้ยว่าควรทำอะไร”

“ดึงตัวคนมา!”

เหล่าหัวหน้าบรรณาธิการฮึกเหิมขึ้นมา

ฮั่นจี้เหม่ยยิ้มบางๆ “เย็นนี้ฉันจะส่งรายชื่อเป้าหมายให้พวกคุณ จำนวนนักเขียนกลุ่มแรกต้องไม่น้อยกว่าสามสิบ พวกเราต้องทำการใหญ่กันแล้ว”

“ดูท่าพวกเราจะไปแย่งนักเขียนกับนิตยสารรายใหญ่แล้ว”

เหล่าบรรณาธิการผุดรอยยิ้ม เส้นสายนักเขียนของพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลน ถ้าหากมีงบพอ อยากจะดึงนักเขียนมือทองมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก

“ดีมาก”

ฮั่นจี้เหม่ยเหยียดตัวตรง “ดูท่าพวกคุณก็ล้วนมีเป้าหมายที่อยากไปดึงตัว ก่อนอื่นฉันขอแนะนำหนึ่งในเป้าหมายจากรายชื่อที่พวกคุณต้องไปดึงตัวมา”

“ใครเหรอ”

“ฉู่ขวง”

เหล่าบรรณาธิการอึ้งไป คิดว่าฮั่นจี้เหม่ยเข้าใจอะไรผิด “คนนี้คงไม่นับเป็นนักเขียนนิยายขนาดสั้นชื่อดังหรอกมั้ง เขาเขียนนิยายแฟนตาซีเยาวชน โฉมงามประดิษฐ์ในครั้งก่อนก็เป็นนิยายสั้นที่เขาเขียนขึ้นมาชั่วครั้งคราว ถึงแม้จะไม่เลวเลย…”

“งั้นพวกคุณดูเรื่องนี้”

ฮั่นจี้เหม่ยวางนิตยสารอ่านสนุกบนโต๊ะประชุม จากนั้นสายตาก็กวาดไปยังผู้คน “พวกคุณอยากดันใครตัดสินใจเองได้เลย แต่ฉู่ขวงคือเป้าหมายแรกที่ฉันอยากช่วงชิงมา”

……

ในฐานะที่เป็นบทความเรื่องแรกซึ่งขึ้นแนะนำบนหน้าปกนิตยสาร ของขวัญแห่งเมไจไม่เพียงถูกฮั่นจี้เหม่ยสังเกตเห็น ผู้ซื้อนิตยสารจำนวนมากก็ค่อยๆ สังเกตเห็นเรื่องนี้

หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง บนอินเทอร์เน็ตก็มีการพูดคุยกันเป็นวงกว้างแล้ว

หนึ่งในแพลตฟอร์มซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างร้อนแรง ก็คือบอร์ดข้อความทางการของนิตยสารของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ฟังก์ชันของบอร์ดข้อความก็คล้ายคลึงกับเว็บบอร์ดนิยาย

‘คุณภาพของนิตยสารฉบับนี้สูงมาก โดยเฉพาะของขวัญแห่งเมไจ ชอบมากเลย ซึ้งสุดๆ’

‘สมแล้วที่ได้ขึ้นแนะนำบนหน้าปก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!’

‘ไม่ได้อ่านเรื่องที่ดีแบบนี้มานานมากจริงๆ ของขวัญแห่งเมไจยอดเยี่ยมมาก’

‘ตอนตรุษจีนโชคดีได้อ่านโฉมงามประดิษฐ์ในปู้ลั่ว จำนักเขียนชื่อฉู่ขวงได้ นึกไม่ถึงว่าแป๊บเดียวก็ได้อ่านเรื่องใหม่ของเขาอีกแล้ว ยังสุดยอดเหมือนเดิม ถึงขั้นแอบรู้สึกว่าสุดยอดกว่าเรื่องก่อนหน้านี้อีก’

‘เรื่องสั้นที่ดีขนาดนี้ ที่แท้ฉู่ขวงก็เป็นคนเขียน…’

‘ไปเช็กข้อมูลของฉู่ขวงมา ถึงได้รู้ว่าเขาเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชน หายากจริงๆ’

‘ในฐานะที่เป็นคนที่ชอบอ่านทั้งนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชน แล้วก็ชอบอ่านเรื่องสั้นมากๆๆ พอได้อ่านผลงานทั้งสองประเภทของฉู่ขวงในเวลาเดียวกันแล้วก็รู้สึกมหัศจรรย์จริงๆ ฉันกลายเป็นแฟนคลับเขาไปแล้วละ’

‘…’

ไม่นานกระแสการพูดคุยถกเถียงกันก็เริ่มแพร่สะพัดไป ของขวัญแห่งเมไจได้รับความนิยมเป็นวงกว้างดังที่ทุกคนคาดการณ์

และผลโดยตรงที่ตามมาก็คือ ยอดขายในสัปดาห์แรกของนิตยสารอ่านสนุกฉบับล่าสุดนั้นสูงกว่าฉบับที่แล้วถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์!

บางทียอดขายของอ่านสนุกหลังจากเดือนนี้ก็อาจควรแก่การจับตามองก็เป็นได้

และนามปากกาฉู่ขวงนี้ ก็ได้เข้ามาปรากฏแก่สายตาของบรรดาผู้ที่ชื่นชอบเรื่องสั้นเป็นครั้งแรก

ฉู่ขวงในยามนี้ นับว่าเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเรื่องสั้นแล้ว

มีคนบอกว่าก่อนหน้านี้ฉู่ขวงก็เคยเขียนเรื่องโฉมงามประดิษฐ์ไม่ใช่หรือไง

ถูกต้องแล้ว ทว่าฉู่ขวงในตอนนั้นยังมีฉลากแปะว่าเป็นนักเขียนนิยายแฟนตาซีเยาวชน ชื่อเสียงของปรินซ์ออฟเทนนิสได้กลบความยอดเยี่ยมของผลงานเรื่องสั้นไปในระดับหนึ่ง

เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อตัวตนหนึ่งเจิดจรัสจนแสบตา

ฉะนั้นแล้วจวบจนฉู่ขวงเผยแพร่เรื่องสั้นเป็นครั้งที่สอง ทุกคนถึงตระหนักได้ว่า

ที่แท้ฉู่ขวงก็ยังมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นจุดหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ไม่ว่าจะในสายเรื่องสั้นหรือแฟนตาซีเยาวชน ฉู่ขวงก็ล้วนเป็นนักเขียนหน้าใหม่

เขายังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดิน

และกลุ่มคนซึ่งยังคงคาดหวังกับเรื่องนี้ก็กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อาจมีคนพูดว่า ของขวัญแห่งเมไจไม่ใช่เรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงมากบนโลกหรอกหรือไง ทำให้นักอ่านตกตะลึงนิดๆ หน่อยๆ ก็แล้วไง?

ทัศนคติเช่นนี้จะว่าไปก็ยังพอเข้าใจได้

แต่ผู้ที่พูดประโยคนี้ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าการเขียนนิยายซึ่งทำให้นักอ่านตกตะลึงได้เช่นนี้ยากเย็นแค่ไหน อีกทั้งต้องเข้าใจว่าความจริงแล้วการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะนั้นยากที่จะโด่งดังได้ในชั่วข้ามคืน

ในความเป็นจริง

ผลงานสุดคลาสสิกชิ้นโบว์แดงซึ่งถูกคนรุ่นหลังยกย่องเชิดชูนับไม่ถ้วนก็ทำได้เพียงกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันเพียงประเดี๋ยวประด๋าว เมื่อทุกคนได้ยินว่าผลงานนี้เป็นผลงานอันเลื่องชื่อของโลก ก่อนอื่นต้องคิดว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้วหลังจากที่ผลงานนี้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการ

ทุกวันนี้หาคนที่เทพจริงๆ ได้น้อยมาก

ส่วนมากจะเป็นเวลาที่ช่วยบ่มเพราะผลงานคลาสสิกชื่อดัง

และเมื่อผลงานคลาสสิกชื่อดังตีพิมพ์ออกไป อันที่จริงบรรดาผู้สร้างสรรค์ผลงานก็แค่ตระเตรียมผลงานศักยภาพระดับเทพไว้ แต่ถามว่าจะห่างจากพลังขั้นเทพที่แท้จริงของพวกเขาสักมากแค่ไหน ก็อาจขาดแค่เพียงการยกย่องจากรางวัลโนเบล หรือไม่ก็ขาดแค่ผลงานคลาสสิกในระดับเดียวกันอีกมากมาย

หรือไม่อย่างนั้นก็…ขาดแค่เพียงความตาย

…………………………………………..

ไม่นานฮั่นจี้เหม่ยก็ตระหนักได้ว่าความคิดของตนนั้นเลยเถิดไปมากแค่ไหน

แน่นอนว่าฉู่ขวงไม่มีทางเขียนเนื้อเรื่องที่เสียดสีเพียงเพราะต้องการเสียดสีพรรค์นั้นหรอก

[ในครอบครัวอันแสนอัตคัดนี้ มีของสองสิ่งซึ่งล้ำค่าที่สุดสองอย่าง อย่างแรกคือนาฬิกาทองคำซึ่งตกทอดมาสามรุ่นของคุณเอ อีกอย่างหนึ่งคือเส้นผมของคุณนายเอ ถ้าหากมีหญิงสาวที่มั่งคั่งและหน้าตาสะสวยอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณนายเอก็จะปล่อยเรือนผมสยายออกไปตากแดดนอกหน้าต่าง ทำให้เพชรนิลจินดาและของขวัญของหญิงสาวดูหมดราคาไป ถ้าหากมีชายหนุ่มฐานะร่ำรวยนำทรัพย์ศฤงคารเข้ามาในห้องใต้ดิน คุณเอก็จะหยิบนาฬิกาทองคำออกมาดูทุกครั้งที่เดินผ่าน เพื่อให้อีกฝ่ายอิจฉาจนหนวดกระตุกตาลุกเป็นไฟ]

นี่คือวิธีการบรรยายที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง

เพราะบนบลูสตาร์ไม่มีการถอดเสียงภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน ดังนั้นในครั้งแรกที่เห็นการบรรยายประเภทนี้ ฮั่น

จี้เหม่ยถึงกับรู้สึกสนุกขึ้นมาหลังจากลองออกเสียงอย่างยากเย็น

เอาเถอะ ฮั่นจี้เหม่ยรู้แล้วว่าคุณนายเอคิดจะขายเส้นผม

นี่เป็นการตัดสินใจอันยากลำบากอย่างหนึ่ง เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่คุณนายเอหวงแหนและภาคภูมิใจ

[เรือนผมงดงามของเธอนั้นแผ่สยายระร่างกาย ประดุจสายน้ำตกสีนิล ดำขลับทอประกาย

เส้นผมของเธอตรงยาวลงมาต่ำกว่าเข่า ราวกับเป็นชุดเดรสคลุมร่างของเธอ

เธอรีบร้อนรวบผมกลับอย่างกระวนกระวาย

เธอลังเลอยู่สักพัก ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงบนพรมสีแดงผืนเก่าคร่ำคร่า]

เนื้อเรื่องยิ่งบรรยายว่าเส้นผมของคุณนายเองดงามมากเท่าไหร่ ฮั่นจี้เหม่ยก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเสียดายและปวดร้าวของหญิงสาว

ทว่าสุดท้ายแล้วหญิงสาวก็นำเส้นผมอันเป็นความภาคภูมิใจไปขาย หนำซ้ำยังแลกมาเป็นเงินยี่สิบหยวนได้สำเร็จ

และของขวัญที่เธอซื้อก็คือสายคล้องนาฬิกาสีขาว ราคายี่สิบสามหยวน นี่เป็นราคาสูงสุดที่ได้รับหลังจากต่อรองกับเถ้าแก่อยู่ครึ่งชั่วโมง

คุณนายเอนำเงินที่เหลืออยู่แปดเหมากลับบ้านมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

ความจริงแล้ว…

[ถึงแม้ว่านาฬิกาของคุณเอจะหรูหรา แต่ก็เพราะใช้สายหนังทรุดโทรมเส้นหนึ่งมาทำเป็นสายคล้อง บางครั้งเขาจึงลอบหยิบขึ้นมองก็เท่านั้น]

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอมองกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอซึ่งมีผมสั้นกุดพันผ้าไว้ แลดูเหมือนกับนักเรียนเด็กประถมที่โดดเรียน

เธอเริ่มกังวลขึ้นมา

ถ้าสามีรู้จะโมโหไหม

จะตำหนิด่าทอเธอหรือเปล่า

ถึงอย่างไรเขาก็เคยเอ่ยชมเรือนผมของเธอนับครั้งไม่ถ้วน ตนซึ่งปราศจากผมยาวสลวย สำหรับเขาแล้วจะยังสวยอยู่หรือไม่

เธอใคร่ครวญ ในใจก็กระวนกระวาย

อ่านถึงตรงนี้ ฮั่นจี้เหม่ยก็นึกสงสารหญิงสาวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ถ้าหากบนโลกนี้มีราชวงศ์ถัง ฮั่นจี้เหม่ยจะต้องนึกโยงถึง ‘คู่สามีภรรยาที่ยากจนย่อมมีแต่ความทุกข์ระทม’ และรู้สึกกังวลขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ควรเกิด สุดท้ายก็ต้องเกิด

เรื่องราวยังคงบรรยายจากมุมมองของคุณนายเอ

[ประตูเปิดออก สามีของเธอเดินเข้ามา พลางเอื้อมมือปิดประตู เขาผ่ายผอม ท่าทางเคร่งขรึม คนที่น่าสงสาร เขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบสองปีก็ต้องแบกรับภาระในครอบครัว! เขาไม่มีเสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่ต้องการ ไม่มีแม้แต่ถุงมือ]

เธอรักสามีของตนมากจริงๆ

ไม่ใช่เพราะฉู่ขวงใช้สำนวนภาษาซึ่งพรรณนาความรักอันซื่อสัตย์ หากแต่ความรู้สึกเปี่ยมล้นถูกถ่ายทอดผ่านรายละเอียดในแต่ละตัวอักษร

สามีจะโกรธไหม

ฮั่นจี้เหม่ยถึงขั้นไม่กล้าอ่านต่อ แต่สุดท้ายเธอก็อ่านต่อจนได้

[“คุณไปตัดผมมาเหรอ?” สามีเอ่ยถามอย่างปวดใจ ราวกับว่าหลังจากที่เขาเค้นสมองขบคิด ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่ชัดเจนและง่ายดายเช่นนี้ได้]

นี่เรียกว่าโกรธไหมนะ

ฮั่นจี้เหม่ยสงสัยในความคิดของสามีเช่นเดียวกับคุณนายเอ เธอไม่รู้ว่าอีกชั่วครู่หนึ่ง เขาจะบันดาลโทสะฟาดฝ่ามือมาหรือเปล่า

ผู้ชายเลวๆ ถึงจะทำแบบนี้!

ถ้าหากเป็นแบบนั้น หลังจากนี้เธอคงทำใจอ่านนิยายของฉู่ขวงไม่ลงแล้ว

[“ไม่ได้แค่ตัด แต่ขายไปแล้ว” คุณนายเอเอ่ยถาม “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คุณยังรักฉันเหมือนเดิมมั้ยคะ ถึงแม้จะไม่มีผมแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นฉันไม่ใช่เหรอคะ”]

เธอพูดอย่างระมัดระวังด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ในตอนนี้เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนจบ

ฮั่นจี้เหม่ยนึกไม่ออกว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร จนกระทั่งเธออ่านข้อความท่อนต่อมา

[สามีหยิบสิ่งของห่อหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม ก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ

“อย่าเข้าใจผมผิดนะ ที่รัก” เขาพูด “ไม่ว่าคุณจะตัดผม โกนผม หรือว่าสระผม ความรักที่ผมมีต่อภรรยาก็ไม่มีทางลดลง แต่เมื่อคุณเปิดของห่อนี้ออก คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้ผมถึงอึ้งไป”

นิ้วเรียวขาวผ่องแกะเชือกและกระดาษห่อของออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมีเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจตามมา จากนั้น ไอ้หยา! กลับกลายเป็นหยาดน้ำตาและเสียงร่ำไห้จากใจของหญิงสาว จนเจ้าของอพาร์ตเมนต์ต้องรุดเข้ามาปลอบประโลมเธอ]

มันคือหวี!

สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า สิ่งที่สามีหยิบออกมา ก็คือหวีซึ่งใช้ทัดประดับบนเส้นผม

ชุดหวีทั้งชุด สำหรับประดับจอนผม สำหรับประดับด้านหลัง ล้วนมีพร้อมสรรพ

ที่แท้ก็เป็นของซึ่งอยู่บนชั้นวางสินค้าของถนนอันพลุกพล่านสายหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปจากอพาร์ตเมนต์ และเป็นสิ่งที่คุณนายเอปรารถนามาเนิ่นนาน แต่ทว่ามันแพงเกินไป เธอตัดใจซื้อไม่ลง และไม่มีเงินซื้อด้วย

นี่เป็นหวีนี้ทำมาจากกระดองเต่าบริสุทธิ์ ด้านข้างประดับด้วยอัญมณีงดงาม!

หากนำมาประดับบนเรือนผมยาวสลวยซึ่งไม่เหลืออยู่แล้วของคุณนายเอ สีสันนับว่างดงามเกินบรรยาย

ภรรยารู้ดีว่าหวีชุดนี้ราคาสูงลิบ ใจปรารถนามาแสนนาน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีหวังจะได้ครอบครอง ยามนี้เธอได้มาแล้ว แต่เรือนผมซึ่งหวังว่าจะนำมาใช้ประดับนั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว

“…”

ฮั่นจี้เหม่ยอ้าปากค้าง

เธอไม่อาจอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้

อย่างไรก็ดี เนื้อเรื่องได้พรรณนาความรู้สึกของคุณนายเอไว้อย่างละเอียด [เธอกอดชุดหวีไว้แนบอกไม่ยอมปล่อย ผ่านไปเนิ่นนาน เธอถึงเงยหน้าขึ้น ดวงตารื้นด้วยน้ำตาจนพร่าเลือน พูดกับสามีด้วยรอยยิ้ม “ผมของฉันยาวเร็วมากนะ!”]

จากนั้นคุณนายเอก็หยิบสายคล้องนาฬิกาออกมา

เธอมองสามีด้วยความคาดหวัง [สวยมั้ยคะ ฉันเดินหาจนทั่วเลยนะกว่าจะเจอ ตอนนี้ทุกวันคุณก็หยิบนาฬิกาออกมาดูได้เป็นร้อยรอบ หยิบนาฬิกาของคุณมาให้ฉันหน่อยค่ะ ฉันจะดูตอนที่ใส่คู่กับนาฬิกาว่าเป็นอย่างไร]

ฮั่นจี้เหม่ยค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา ทั้งยังเผยรอยยิ้มหวานอันคุ้นเคย

ถึงแม้คุณนายเอจะขายเส้นผมไปแล้ว แต่สามีก็ไม่โกรธเคือง เพียงแต่ทอดถอนใจที่หวีนั้นไร้ประโยชน์เป็นการชั่วคราว

ดีจริงๆ

ตอนจบของเรื่องเช่นนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งงดงาม ทำให้คนอดรู้สึกอยากมีความรักไม่ได้ ถึงแม้ว่าฮั่นจี้เหม่ยจะแต่งงานแล้วก็เถอะ

จิบชาหนึ่งคำ

ฮั่นจี้เหม่ยมองไปยังเนื้อเรื่องท่อนสุดท้าย เธอคิดว่านี่อาจเป็นบทสรุปของเรื่องนี้ นิยายสั้นชอบเขียนบทสรุปไว้ในบรรทัดสุดท้าย

ตัวอย่างเช่น ‘นี่คือความรักอันสวยงาม’ อะไรทำนองนั้น?

ทว่าเมื่อเห็นท่อนสุดท้าย น้ำชาในปากของเธอก็แทบจะพ่นออกมาใส่นิตยสาร

[สามีไม่ได้ทำตามที่เธอบอก

เขาเพียงทรุดตัวลงบนโซฟา สองมือประสานรองศีรษะพลางหัวเราะอออกมา “พวกเราเก็บของขวัญวันคริสต์มาสเอาไว้ชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน ของขวัญดีมากเลยล่ะ ถ้าจะใช้ตอนนี้ก็น่าเสียดาย ผมขายนาฬิกาทองคำไปแล้วเอาเงินมาซื้อหวีให้คุณ”]

เรื่องราวจบลงดื้อๆ เพียงเท่านี้

ชั่วขณะนั้น ฮั่นจี้เหม่ยอ้าปากค้างไปแล้ว

……………………………………………………..

“…”

คำตอบของหลินเยวียนทำลายความรู้ของหวงเปิ่นอวี่ที่ผ่านมาเสียยับเยิน แต่เมื่อนึกถึงว่าในวิทยาลัยยังมีกู้ซีซึ่งความสามารถระดับปีศาจอยู่ เขาก็พลันโล่งใจขึ้นมา

นี่นับเป็นเรื่องดี

และเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่าวิทยาลัยนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้มีพรสวรรค์

อันที่จริงคนที่ไม่มีโสตประสาทระดับมืออาชีพแบบหวงเปิ่นอวี่ย่อมไม่มีทางฟังออกว่าเทคนิคของหลินเยวียนนั้นมีชั้นเชิงมากขนาดไหน นักศึกษาในชั้นเรียนเพียงแค่ได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันว่า

หลินเยวียนเล่นเปียโนเก่งมาก

ทว่าหลังจากที่หลินเยวียนโชว์เดี่ยวเพลงเปียโนจบ หวงเปิ่นอวี่ก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดประเภทไม่ต่างกับการว่ากล่าวโดยรวม อย่าง ‘ผมไม่ได้เพ่งเล็งใคร ผมกำลังพูดถึงทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่’ อีกต่อไป

ในคาบเรียนเปียโนหลังจากนั้น คำพูดของหวงเปิ่นอวี่จะมีประโยคหนึ่งซึ่งใช้เป็นประจำ

‘ยกเว้นหลินเยวียน ความรู้พวกนี้พวกคุณต้องจำเอาไว้’

‘ยกเว้นหลินเยวียน ผมเชื่อว่าคนอื่นๆ คงไม่รู้ว่าทำไมตรงนี้ทำแบบนี้’

‘ยกเว้นหลินเยวียน ทุกคนต้องไปฝึกเพลงนี้หลังจากจบคลาส โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย’

‘ยกเว้นหลินเยวียน…’

อย่างไรเสีย ตั้งแต่คาบนั้นเป็นต้นไป วลีว่า ‘ยกเว้นหลินเยวียน’ ก็แทบจะกลายเป็นคำพูดติดปากของหวงเปิ่นอวี่ไปแล้ว

ในใจของหวงเปิ่นอวี่ก็หวังว่า ทางที่ดีหลินเยวียนจะไม่เข้าเรียนวิชาเปียโนเหมือนกับกู้ซี

เขายินดีให้คะแนนไปเลย!

ถึงอย่างนั้นชีวิตอันสงบสุขของหลินเยวียนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะเขาโชว์ฝีมือในคาบเรียนเปียโนไปครั้งหนึ่งหรอก

ถ้าจะถามว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปก็น่าจะเป็นเรื่องที่เขาได้รับความสนใจในชั้นเรียนมากขึ้น

ก็จริง

ร่างกายอ่อนแอ นิสัยดี หน้าตาดี ตั้งใจเรียน แถมยังเล่นเปียโนก่งอีก เพื่อนร่วมชั้นที่เก่งและนิสัยดีแบบนี้ก็ยากนักที่คนจะเกลียดชัง

อันที่จริง

ตอนที่หลินเยวียนเพิ่งย้ายมายังสาขาประพันธ์เพลง เพื่อนในชั้นคิดมาตลอดว่าหลินเยวียนเย็นชา แต่หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว ก็ไม่มีใครคิดว่าหลินเยวียนเย็นชาอีก

พูดน้อยกับเย็นชาเป็นคนละเรื่องกัน ผู้ชายคนนี้แค่ไม่ชอบพูดก็เท่านั้น

วันเวลาหลังจากนั้น

หลินเยวียนก็ยังคงไม่พูดเยอะเหมือนเดิม และยังคงตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ผลคะแนนวิชาสาขาของเขาจึงก้าวหน้าไปมาก จนไม่ได้รับผลกระทบจากการโอนย้ายสาขาในปีสองอย่างกะทันหัน

และในวันเวลาอันสงบสุขของเขาเช่นนี้ เดือนมีนาคมก็เวียนมาถึงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในช่วงเวลาซึ่งยังคาบเกี่ยวกับฤดูหนาว อากาศของเดือนสามก็ยังคงเย็นเฉียบจนพลอยให้ผู้คนไม่อยากลุกออกจากใต้ผ้าห่มง่ายๆ

กลิ่นอายของการเฉลิมฉลองตรุษจีนค่อยๆ จางไป

ปรินซ์ออฟเทนนิสเล่มล่าสุดก็ยังทำยอดขายได้ชวนชุ่มชื่นหัวใจดังเคย

และในวันที่หนึ่งมีนาคมเช่นเดียวกันนั้น ผลงานใหม่ของฉู่ขวงก็ยังได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารอ่านสนุก

เรื่องสั้นชื่อว่าของขวัญแห่งเมไจ

ในวันนี้หลินเยวียนยังได้รับนิตยสารตัวอย่างซึ่งคลังหนังสือซิลเวอร์บลูส่งมาให้ฟรีๆ

นิตยสารตัวอย่างก็คือนิตยการซึ่งกองบรรณาธิการมอบให้นักเขียนหลักที่ผลงานถูกเผยแพร่ ในนิตยสารก็มีผลงานของนักเขียนคนนั้น และการมอบนิตยสารตัวอย่างก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำนักพิมพ์มีต่อนักเขียน

เมื่อได้รับนิตยสารตัวอย่างอ่านสนุกแล้ว

หลินเยวียนก็เห็นว่าของขวัญแห่งเมไจถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งโปรโมตที่สะดุดตาที่สุดของนิตยสาร คำว่า ‘ผลงานใหม่ของฉู่ขวง’ ก็เด่นหราปรากฏแก่สายตา

นี่หมายความว่าบรรณาธิการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

อย่างไรก็ดี ข้อความโปรโมตว่า ‘ผลงานใหม่ของฉู่ขวง’ อันที่จริงก็ไม่ได้มีประสิทธิผลมากนัก เพราะกลุ่มผู้ที่ชอบซื้อนิตยสารอ่านสนุก กับกลุ่มนักอ่านที่ชื่นชอบนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนนั้นไม่ได้ซ้อนทับกันมากนัก

ถึงอย่างไรฉู่ขวงก็โด่งดังมาจากนิยายแฟนตาซีเยาวชน

ถ้าหากไม่สนใจนิยายแฟนตาซีเยาวชน ผู้ซื้อนิตยสารอ่านสนุกบางคนก็คงไม่รู้ว่าฉู่ขวงเป็นใคร แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเห็นข้อความโปรโมตบนหน้าปก ผู้คนจำนวนมากก็อาจเกิดความคาดหวังกับเรื่องที่โปรโมตบนหน้าปก

……

ฮั่นจี้เหม่ยเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านวรรณกรรมของปู้ลั่ว และเป็นผู้ประสานงานเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วด้วย เป้าหมายในอนาคตและภารกิจในอนาคตของเธอก็คือทำให้เซกชันนิยายของปู้ลั่วกลายเป็นพื้นที่สำหรับการอ่านเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งทำให้ผู้ใช้พัฒนานิสัยรักการอ่านได้

ในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่รักการอ่านคนหนึ่ง เธอชื่นชอบงานนี้มาก นอกจากนั้นยังมีนิสัยชอบสมัครนิตยสารรายเดือนอ่านด้วย

นิตยสารขายดีในฉินโจวล้วนแต่มีคุณภาพดีกันทั้งนั้น

ในนั้นมักจะตีพิมพ์นิยายสั้นที่ยอดเยี่ยมจำนวนมาก

ไม่ใช่เพราะฮั่นจี้เหม่ยไม่ชอบนิยายขนาดยาว เพียงแต่สำหรับหญิงสาวที่ยุ่งอยู่กับหน้าที่การงานอย่างเธอ เวลาที่ต้องใช้ไปกับนิยายขนาดยาวนั้นออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย ด้วยเหตุผลว่านิยายสั้นนั้นมีขนาดสั้น จึงไม่เสียเวลาในการอ่านมากเท่าไหร่

ตอนนี้เป็นต้นเดือนมีนาคม

เป็นวันใหม่ของสิ่งพิมพ์หลากหลายประเภท ดังนั้นลำพังแค่เดือนนี้ ฮั่นจี้เหม่ยก็ซื้อนิตยสารไปแล้วถึงหกเล่ม ทว่าเล่มที่ไปดึงดูดสายตาของเธอในครั้งแรกกลับเป็นฉบับล่าสุดของนิตยสารขายดีอย่างอ่านสนุก

ไม่ใช่เพราะเธอชื่นชอบนิตยสารอ่านสนุก

แต่เป็นเพราะหน้าปกของนิตยสารเล่มนี้ถึงกับโฆษณาผลงานใหม่ของฉู่ขวง

ต้องเข้าใจก่อนว่าเมื่อเดือนที่แล้วฉู่ขวงเพิ่งโพสต์นิยายสั้นซึ่งได้เสียงตอบรับไม่เลวในเซกชันนิยายของปู้ลั่วน่ะสิ

นิยายสั้นชื่อเรื่องว่าโฉมงามประดิษฐ์ ไอเดียล้ำเลิศมาก เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งซึ่งหาได้ยากทีเดียว

เดิมทีฮั่นจี้เหม่ยยังคาดหวังว่าฉู่ขวงจะเขียนนิยายขนาดสั้นเรื่องใหม่ลงในเซ็กชันนิยายของปู้ลั่วอีกสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ฉู่ขวงจะเปลี่ยนฐานที่มั่นโดยสิ้นเชิง และไปปักหลักเผยแพร่ผลงานในอ่านสนุกแทน

“ขอดูหน่อยว่าครั้งนี้คุณเขียนอะไร”

แม้ว่าในใจจะรู้สึกเสียดายที่ฉู่ขวงไม่ได้เลือกปู้ลั่วเป็นแพลตฟอร์มในการเผยแพร่ผลงาน แต่ฮั่นจี้เหม่ยก็ยังสงสัยว่าผลงานครั้งนี้ของฉู่ขวงจะเขียนอะไร

พลิกเปิดข้ามเรื่องสั้นสามสี่เรื่องก่อนหน้า

ฮั่นจี้เหม่ยอ่านของขวัญแห่งเมไจก่อน

คนจำนวนมากอาจไม่เข้าใจว่า ‘ของขวัญแห่งเมไจ’ หมายความว่าอย่างไร และอาจคิดว่าตัวเอกในเรื่องมีชื่อว่าเมไจ ทว่าฮั่นจี้เหม่ยในฐานะที่เป็นคนอ่านหนังสือเยอะ ย่อมรู้ว่าตัวเอกในเรื่องไม่น่าจะชื่อว่าเมไจหรอก

นั่นมีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาสของเว่ยโจว

ฉินโจวก็มีเทศกาลคริสต์มาส แต่คริสต์มาสของฉินโจวไม่ใช่เทศกาลกระแสหลัก ถึงขั้นที่ไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำไป คนฉินโจวเพียงแค่ใช้โอกาสแสวงหาความสุขในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นเอง

ทางเว่ยโจวกลับต่างออกไป

พวกเขามีธรรมเนียมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ทั้งยังมีผู้คนจำนวนมากซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ตำนานเล่าว่ายามพระเยซูประสูติ มีนักปราชญ์ผู้ชาญฉลาดสามคนนำของขวัญมามอบให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เกิดเป็นธรรมเนียมการมอบของขวัญให้แก่กันในเทศกาลคริสต์มาส

และนี่น่าจะเป็นที่มาของชื่อเรื่อง

ในขณะนั้น ฮั่นจี้เหม่ยก็เริ่มอ่าน [พรุ่งนี้ก็เป็นวันคริสต์มาสแล้ว คุณนายเอมีเงินสำหรับซื้อของขวัญให้สามีอยู่เพียงสามหยวนแปดเหมา ทั้งที่เธอกินอยู่อย่างประหยัดมาหลายเดือน เก็บออมได้ก็ล้วนเก็บออม แต่ทว่ามีเงินเหลืออยู่เพียงเท่านี้]

เรียกว่าคุณนายเอเลยเหรอ

ฉู่ขวงขี้เกียจตั้งชื่อเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง

ฮั่นจี้เหม่ยแดกดันอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจสิ่งที่ท่อนแรกของเนื้อเรื่องกำลังสื่อ

ตัวละครเป็นผู้หญิงซึ่งชีวิตยากจนข้นแค้น เธอนับเศษเงินซึ่งมีอยู่ในมือไม่มาก พลางวิตกกังวลว่าในวันคริสต์มาสพรุ่งนี้จะให้ของขวัญอะไรกับสามีดี

เซตติงของเรื่องราวน่าจะเป็นสมัยก่อน

ในตอนนั้นมูลค่าของเงินยังสูงมาก

แต่กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าสามหยวนแปดเหมานั้นไม่ได้มากมายแต่อย่างใด

[จู่ๆ เธอก็หันกลับมาจากหน้าต่าง ยืนมองตนเองหน้ากระจกบนผนัง ชั่วขณะนั้นดวงตาของเธอสุกสกาว ทว่าใบหน้าของเธอไม่ทันไรก็ซีดเผือด เธอรีบคลายผมออกและปล่อยให้มันสยายลงมา]

เธอจะทำอะไรน่ะ

ฮั่นจี้เหม่ยคาดเดาเจตนาของคุณนายเอ

เธอซึ่งมีประสบการณ์จากการอ่านมามากถึงขั้นเกิดจินตนาการไปจนเลยเถิด ตัวอย่างเช่นคุณนายเอจะใช้เรือนร่างของตนแลกเงิน สุดท้ายลูกค้าคนแรกที่พบก็คือสามี

ไม่ใช่เพราะความคิดของฮั่นจี้เหม่ยมีแต่ความคิดบัดสีบัดเถลิง

ทว่าในบางยุคสมัย การที่คนขายเรือนร่างเพื่อใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยาก ฉู่ขวงก็อาจต้องการหวนระลึกถึงความยากลำเค็ญของยุคนั้น แต่ถ้าแค่เพื่อของขวัญคริสต์มาสละก็…

เหตุผลจะไม่เกินเลยไปสักหน่อยเหรอ

………………………………………….

หลังจากที่หลินเยวียนทำงานในบริษัทได้ไม่กี่วัน ปิดเทอมฤดูร้อนก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ สถานศึกษาแต่ละแห่งทยอยกันเปิดเรียน หนึ่งในนั้นย่อมรวมไปถึงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวด้วย

วางมือจากงานเป็นการชั่วคราว

หลินเยวียนกลับไปใช้ชีวิตในรั้ววิทยาลัยดังเดิม

นี่เป็นภาคการศึกษาใหม่ ตารางเรียนของหลินเยวียนมีวิชาเฉพาะของสาขาเพิ่มมาอีกหนึ่งวิชา ทว่าวิชาของสาขานี้นับว่าเป็นมิตรสำหรับหลินเยวียน

วิชาเปียโน

นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท แต่ความเข้าใจในระดับหนึ่งนั้นขาดไม่ได้ และเปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีสำคัญที่สาขาการประพันธ์เพลงจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยไว้พอดิบพอดี

ในวิทยาลัย หลินเยวียนเป็นนักเรียนที่ดีคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ระบบจะบอกว่าความสามารถในการเล่นเปียโนของหลินเยวียนอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็ยังปรากฏตัวในห้องเรียนอย่างว่าง่าย

ไม่เพียงเพื่อคะแนน และยังเพราะก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าความสามารถด้านเปียโนของเขาไม่เอาไหน ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้พัฒนาฝีมือสักหน่อย

“ทุกคน”

อาจารย์ที่สอนเป็นผู้ชาย รูปร่างแม้จะไม่สูง แต่หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการทีเดียว ไว้ผมยาวถักเปียเส้นเล็ก แลดูเปี่ยมด้วยความเป็นศิลปิน และถูกมองว่าเป็นต้นแบบที่ไม่ดีของนักศึกษา

เห็นได้ชัดว่าวิทยาลัยไม่สนับสนุนให้นักศึกษาไว้ผมยาว

“พวกคุณเป็นนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ส่วนใหญ่น่าจะมีพื้นฐานเปียโนในระดับหนึ่งถึงขั้นระดับที่ดี ดังนั้นพอได้ยินว่าเทอมนี้จะมีคลาสเปียโนเพิ่มขึ้นมา พวกคุณหลายคนอาจข่มความตื่นเต้นที่จะได้โชว์ความสามารถต่อหน้าเพื่อนๆ ไม่อยู่ใช่มั้ยล่ะ”

นี่เป็นอารัมภบทเปิดวิชาเรียนครั้งแรกของอาจารย์สอนเปียโน

เพียงแต่แค่ประโยคเดียวก็สามารถเข้าถึงความคิดของคนในวิชาเรียนมากมายได้

จากนั้นเขาก็กล่าวแนะนำตัว “ผมชื่อหวงเปิ่นอวี่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์หวงก็ได้ ตั้งแต่นี้จะมาเป็นครูสอนเปียโนของพวกคุณ”

นักศึกษาห้าสิบคนในชั้นเรียนล้วนปรบมือให้

หวงเปิ่นอวี่ยิ้มบาง “ในคาบแรกทุกปี นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงมักจะคิดว่าตัวเองช่ำชองมากแล้ว เก็บความคิดของพวกคุณกลับไปก่อน อย่าคิดว่าตัวเองพอเล่นเปียโนได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วจะไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ในวิทยาลัยของพวกคุณ กู้ซีเป็นนักศึกษาคนเดียวที่ผมสอนไม่ได้ ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ก็คงจะต้องเรียนกับผมอย่างจริงจัง เพราะระดับของพวกคุณนั้นยังห่างไกลกว่ามาก!”

นี่เป็นการสำแดงแสนยานุภาพ

หวงเปิ่นอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางอืดอาด “ความรู้ทางทฤษฎีพวกคุณเรียนไปเมื่อเทอมที่แล้ว ในคลาสนี้พวกเราจะเรียนเพลงกัน เริ่มจากเพลงที่ค่อนข้างง่ายก็แล้วกัน จะได้ช่วยเติมเต็มความคิดของพวกคุณที่อยากโชว์ความสามารถด้วย ‘ลำนำฉิน’ เล่นกันได้ทุกคนใช่มั้ย”

นักศึกษาต่างพยักหน้า

คนส่วนใหญ่เมื่อแรกเริ่มฝึกเปียโน เพลงที่เรียนก็มักจะคล้ายคลึงกัน ลำนำฉินก็เป็นบทเพลงระดับเริ่มต้นที่ค่อนข้างคลาสสิก

“ดีมาก”

หวงเปิ่นอวี่กล่าวเสียงเรียบ “งั้นพวกเราหาคนมาเล่นลำนำฉินดีกว่า พวกคุณไม่ได้อยากโชว์เหรอ ผมให้โอกาสแล้ว”

พรึ่บๆๆ!

กลุ่มคนด้านล่างต่างยกมือ

มุมปากของหวงเปิ่นอวี่ยกยิ้ม เขาชอบเวลาที่นักศึกษาแย่งกันออกมาแสดงตัวอย่างที่ผิดกันเหลือเกิน นี่เป็นมุกเก่าที่เขาให้นักศึกษาใหม่เล่นทุกครั้ง

หานักศึกษาที่คิดว่าฝีมือของตนใช้ได้ขึ้นมาบนเวทีก่อน

รอให้นักเรียนคนนี้บรรเลงเพลงเสร็จและเตรียมพร้อมรับคำเยินยอจากเพื่อนในคลาส ตนก็จะชี้ความผิดพลาดของพวกเขาจากมุมมองของมืออาชีพ จากนั้นจะโจมตีความมั่นอกมั่นใจของนักศึกษากลุ่มนี้อย่างหนักหน่วง ทำให้นักศึกษาพวกนี้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วระดับของพวกเขานั้นไม่ได้สูงส่งอย่างที่พวกตนจินตนาการ

จุ๊ๆ

ดูสิว่าเจ้าพวกนี้ตื่นเต้นขนาดไหน

อะดรีนาลีนกับฮอร์โมนพลุ่งพล่านแล้วล่ะมั้ง?

เหมือนกับฉันตอนยังเป็นวัยรุ่นไม่ผิดเพี้ยน คงมีความคิดอยากเฉิดฉายต่อหน้าเพื่อนๆ สินะ โดยเฉพาะนักศึกษาในแถวหน้าซึ่งยกมือกันทุกคน…

เอ๊ะ?

ทันใดนั้นหวงเปิ่นอวี่ก็สังเกตเห็นว่าในบรรดาศึกษาแถวหน้า มีคนหนึ่งไม่ได้ยกมือ?

หวงเปิ่นอวี่มองไปยังหลินเยวียนผู้ซึ่งโดดเด่นไม่ว่าจะตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยกมือไปจนถึงหน้าตา

ไม่ยกมือคือไม่เล่นตามแผน?

เด็กที่คิดว่าตนฉลาดต้องถูกคนฉลาดกว่าดักทาง เลือกนายก็แล้วกันเจ้าคนโชคร้าย หวงเปิ่นอวี่มองไปยังหลินเยวียนที่ไม่ได้ยกมือ “คุณเล่นได้มั้ย”

หลินเยวียนตอบ “นิดหน่อยครับ”

ไม่เล่นตามแผนจริงๆ เล่นได้แท้ๆ แต่กลับไม่ยกมือ ในสถานการณ์ที่ทุกคนยกมือ คนที่ไม่ยกมือก็ย่อมดึงดูดความสนใจของฉันได้สำเร็จ

หวงเปิ่นอวี่พูด “งั้นคุณมาลองเล่นดูหน่อย?”

“ก็ได้ครับ”

หลินเยวียนลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

เขารู้สึกว่าอาจารย์คนนี้แปลกมาก ทั้งคลาสยกมือกันตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาดันมาเลือกตนที่ไม่ยกมือ

“เฮ้อ”

นักศึกษาคนอื่นเห็นว่าตนไม่ถูกเลือกก็ลดมือลงอย่างยอมแพ้

หลินเยวียนนั่งลงหน้าเปียโน

เขาเคยเรียนเพลงลำนำฉิน ดังนั้นจึงเล่นได้อย่างแน่นอน ทว่าบทเพลงนี้มีหลายเวอร์ชันมาก ในเมื่ออาจารย์ไม่ได้บอกระบุเวอร์ชันมา อย่างนั้นหลินเยวียนก็เลือกเวอร์ชันที่ตนเองค่อนข้างชอบก็แล้วกัน

ห้านิ้วกางออก

มือขวาวางลงบนคีย์บอร์ด

คอร์ดกลุ่มแรกดังขึ้นอย่างหนักหน่วง ทั้งแข็งกร้าวและรุนแรง ตามมาติดๆ ด้วยมือซ้ายของหลินเยวียน นิ้วมือทั้งสิบเริงระบำอยู่บนคีย์บอร์ดเปียโน

“ลำนำฉินเวอร์ชันดัดแปลง?”

หวงเปิ่นอวี่เลิกคิ้ว บทเพลงนี้มีหลายเวอร์ชัน หลินเยวียนดันเลือกเล่นหนึ่งในเวอร์ชันที่ระดับความยากสูงมาก เวอร์ชันนี้แม้แต่ตนเองยังไม่กล้ารับประกันเลยว่าจะเล่นได้ดี

หลินเยวียนดำดิ่งสู่ท่วงทำนอง

เสียงดนตรีซึ่งลดระดับลงราวกับศรธนูโฉบเต็มท้องนภา ท่ามกลางความแตกต่างของเสียงหนักและเบาดังแจ่มชัด เสียงเน้นอันอ่อนโยนสอดประสาน กลมกล่อมจนไม่เสียดหูแม้แต่นิดเดียว

สีหน้าของหวงเปิ่นอวี่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

เมื่อเพลงดำเนินมาถึงบาร์ไลน์ที่สิบ เสียงดนตรีจากปลายนิ้วของหลินเยวียนก็สำแดงความพลิ้วไหวอันน่าทึ่ง แทบไม่มีใครจับเสียงที่เพี้ยนได้เลย ในนั้นกลับปรากฏเสียงหนืดขึ้นมาบ้าง ทว่าเสียงหนืดที่เกิดขึ้นบางครั้งคราวนี้ หวงเปิ่นอวี่ก็รู้ว่าต่อให้เป็นตนเองก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

เทคนิคในการบรรเลงเพลงอันช่ำชอง…

หลินเยวียนจัดการโน้ตประดับได้อย่างละเอียดอ่อน การแบ่งประโยคเพลงและจัดวางกลุ่มโน้ตได้อย่างสมบูรณ์แบบถ่ายทอดความหมายของบทเพลงออกมาได้อย่างแจ่มชัด

ไม่เพียงหวงเปิ่นอวี่

แม้แต่นักศึกษาที่นั่งอยู่กับที่ก็จ้องเขม็งอย่างอดไม่ได้ สายตาที่เด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งมองหลินเยวียนก็ยิ่งพร่างพราวขึ้นมา

“ท่อนสุดท้าย”

ยามที่เสียงยาวดังขึ้น บรรดานักศึกษาที่รู้จักเพลงนี้ต่างก็สัมผัสได้พร้อมกัน ว่านี่คือท่อนจบของดนตรี และเป็นส่วนที่ให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดของบทเพลง

ไม่ยินยอม

เสียใจ

ความรู้สึกถ่ายทอดผ่านคีย์บอร์ดเปียโน มือทั้งสองข้างของหลินเยวียนเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งนิ้วมือของเขาหลุดออกในทุกครั้งที่กดลง ท้ายที่สุดบทเพลงก็จบลงด้วยเสียงเปียโนซึ่งราวกับเป็นเสียงคร่ำครวญ

ลำตัวยืดตรง

หลินเยวียนบรรเลงเพลงจบแล้ว

ผู้ที่พอรู้เรื่องเปียโนอยู่บ้างล้วนรู้ว่าท่วงทำนองที่หลินเยวียนเล่นไปเมื่อครู่นั้นดีขนาดไหน ทุกคนปรบมือให้ ส่วนหวงเปินอวี่ก็ยิ่งผุดลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในสมองเต็มไปด้วยความงุนงง

อะไรกัน

นี่มันอะไรเนี่ย

แบบนี้เรียกว่าได้นิดหน่อยเรอะ

นิดหน่อยบ้านนายมันหน้าตาแบบนี้หรือไง!

เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวนี่มันยากจริงๆ เลย!

ถ้าเป็นนักศึกษาที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเข้าเรียนคลาสเปียโนกับตน แต่ตนก็ต้องให้คะแนนไปอย่างว่าง่ายอย่างกู้ซีก็ว่าไปอย่าง ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็นถึงอัจฉริยะด้านเปียโนที่หาได้ยากยิ่ง เคยได้ขึ้นแสดงในโถงทองคำที่ตนเองใฝ่ฝันมาแล้วด้วยซ้ำไป

ถึงแม้พูดแบบนี้จะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วหวงเปิ่นอวี่ก็ยังหวังว่ากู้ซีจะไม่มาเข้าเรียน เพราะเมื่อด้านล่างมีกู้ซี เขาก็มักจะกังวลว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาสอนตนเองเล่นเปียโน

แต่ไหงตอนนี้กลับมีนักศึกษาปีศาจโผล่มาอีกคนหนึ่งแล้วล่ะ

ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเลย!

งั้นหลังจากนี้วิชาเปียโนของเขาจะสอนยังไงล่ะ

เมื่อเสียงปรบมือสงบลง

ท่ามกลางห้องเรียนอันเงียบสงัด หวงเปิ่นอวี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะกล่าวกลั้วหัวเราะ “ถ้าตอนนี้พวกคุณอยู่ระดับนี้กันหมด งั้นผมจะไปลาออกที่ห้องอธิการบดีตึกข้างๆ เดี๋ยวนี้ละ”

ฝูงชนหัวเราะครืน

หวงเปิ่นอวี่ถามหลินเยวียน “คุณชื่ออะไร”

“หลินเยวียน”

“ใครเป็นคนสอนเปียโนให้คุณ”

“แม่ผมสอนครับ” หลินเยวียนโกหกหน้าตาย

หวงเปิ่นอวี่ตะลึงงันขึ้นมา “คุณแม่ของคุณคืออาจารย์ท่านไหนเหรอ”

ห้วงสำนึกของเขาในยามนั้นปรากฏรายชื่อของเหล่าปรมาจารย์เปียโนซึ่งเคยขึ้นแสดงในโถงทองคำมาชุดหนึ่ง

หลินเยวียนครุ่นคิด “อาจารย์สอนดนตรีชั้นป.สี่ห้องสามโรงเรียนประถมซีวั่งในหมู่บ้านหย่งหนิงครับ”

…………………………………………………

เข้าไปอยู่ที่บ้านในสวนดอกไม้หลงเจียง ในที่สุดทั้งสี่คนในครอบครัวก็ได้มีห้องนอนเป็นของตัวเองสักที

ตอนกลางวันน้องสาวสามารถอ่านหนังสือในห้องหนังสือได้

ไม่ว่าจะอาบน้ำตอนกลางคืน หรือล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้า ก็ไม่ต้องต่อคิวเข้าห้องน้ำอีกต่อไป

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ร่างกายของหลินเยวียนกำลังฟื้นตัวอยู่!

นั่นก็ช่วยปัดเป่าความมืดหม่นในใจของทุกคนในครอบครัวไปแล้ว

ในใจปราศจากความทุกข์ตรม ถึงจะเพลิดเพลินกับความสุขได้อย่างแท้จริง

แต่ว่าวันหยุดตรุษจีนก็แสนสั้น อยู่บ้านหลังใหม่ได้ไม่กี่วัน หลินเซวียนก็ต้องกลับบริษัทไปทำงานแล้ว

หลินเยวียนก็เช่นกัน

ถึงแม้ปิดเทอมฤดูหนาวของเขาจะยังไม่จบลง แต่วันหยุดที่เขาลาไว้กับเหล่าโจวนั้นครบกำหนดแล้ว ต้องกลับไปทำงานที่บริษัทดังเดิม

ฉะนั้นเขาก็เหมือนกับพี่สาว มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองซูพร้อมกับคำบอกลาและกำชับต่างๆ นานาของคนในครอบครัว ตัวอย่างเช่นอย่าลืมกินยาให้ตรงเวลา

ในตอนนั้นแต่ละบริษัทซึ่งวันหยุดได้สิ้นสุดลงก็ล้วนกลับมาทำการดังเดิม

ที่สตาร์ไลท์ เหล่าพนักงานซึ่งกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญในช่วงตรุษจีนจนน้ำหนักขึ้นอีกเฉลี่ยคนละหลายกิโลก็กลับมาทำงานแล้ว

“ตรุษจีนเป็นไงบ้าง”

เมื่อตรุษจีนผ่านพ้นไป เหล่าโจวซึ่งอุดมสมบูรณ์ขึ้นมานิดหน่อยก็แบกพุงป่องๆ เอ่ยถามหลินเยวียนซึ่งเพิ่งกลับมาทำงาน ท่าทางอารมณ์ดีน่าดู

“ดีมากเลยครับ”

หลินเยวียนให้คำตอบแบบเดิม

เหล่าโจวพยักหน้า มองหลินเยวียนด้วยความพึงพอใจเป็นที่สุด “ผลงานของเพลงลูกโป่งไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้ยึดอันดับห้าในรายการอย่างมั่นคงแล้ว นายทำได้ดีมาก!”

“ครับ”

หลินเยวียนยังคงเยือกเย็น

เหล่าโจวยิ้มแย้ม ไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าเคยชินกับนิสัยของหลินเยวียนแล้ว “เอาละ นายไปทำงานเถอะ”

หลินเยวียนเดินออกมาจากห้องทำงาน

มาถึงแผนกประพันธ์เพลง บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแสดงความยินดีกับหลินเยวียน เพลงลูกโป่งทะยานขึ้นครองอันดับที่ห้าในกลุ่มแห่งความตายอย่างเดือนกุมภาพันธ์ ผลงานนี้เรียกได้ว่างดงามมากเลยทีเดียว

อู๋หย่งพูดอย่างขุ่นเคือง “ข่งเจินหนึ่งในมือทองชั้นสิบแปดได้บทเพลงชนะเลิศในปีนี้ ว่ากันว่าได้รับคำชมในการประชุมระดับสูงวันนี้ด้วยนะ”

บทเพลงชนะเลิศ?

หลินเยวียนเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ มิน่าล่ะวันนี้เหล่าโจวดูอารมณ์ดีมาก ที่แท้บริษัทก็มีคนได้อันดับที่หนึ่งกลุ่มแห่งความตายของปีนี้

สำหรับสตาร์ไลท์แล้ว นี่เป็นข่าวดีที่ชวนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เขาถึงขั้นที่ต้องไปฟังเพลงชนะเลิศของเดือนนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อฟังจบก็ได้ข้อสรุปอย่างแน่ชัดว่า

ชนะเลิศสมชื่อ!

สำหรับปรากฏการณ์ที่บนบลูสตาร์เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรี หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดมาแต่แรกแล้ว เขากลับมีความสุขที่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ความเฟื่องฟูของตลาดนั้นเป็นเรื่องดีสำหรับหลินเยวียน

ตอนเย็นหลังเลิกงาน

หลินเยวียนกลับไปยังที่พัก สิ่งแรกที่ทำคือเปิดหน้าต่างระบายอากาศ จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าคลุมเตียงและปลอกผ้าห่ม ห้องที่ไม่มีคนอยู่เป็นเวลานานจำเป็นต้องเก็บกวาดสักหน่อย

หลังจากเก็บกวาดห้องเสร็จ

หลินเยวียนก็ได้รับสายโทรศัพท์

เป็นสายจากหยางเฟิง เปิดมาประโยคแรกอีกฝ่ายก็เอ่ยแสดงความยินดี “ตอนนี้ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสดีมาก เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญกับอาจารย์ฉู่ขวง พวกเราตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนสัญญาฉบับใหม่ให้กับอาจารย์ฉู่ขวง ตอนนี้ส่งสัญญาฉบับใหม่ให้แล้วครับ คุณลองอ่านดู”

ตรงกับที่พี่พูดไว้เลย

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเตรียมจะเปลี่ยนสัญญาให้ตนอีกฉบับจริงด้วย

หลังจากหลินเยวียนวางสายก็กดดูสัญญาฉบับใหม่ ภาษีลิขสิทธิ์ของสัญญาฉบับใหม่เพิ่มจากร้อยละห้าในสัญญาฉบับเก่าเป็นร้อยละเจ็ด

แลดูไม่นับว่ามาก

แต่เมื่อพิจารณาถึงยอดขายโดยรวมของปรินซ์ออฟเทนนิส ส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้มหาศาลเลยดีเดียว ต่างกันอยู่หลายแสนเห็นจะได้

ส่วนด้านอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไม่มาก

หลินเยวียนตั้งใจตรวจสอบดูสักหน่อย เพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เติมลงไปในสัญญาว่าหนังสือเล่มต่อไปของฉู่ขวงจำเป็นต้องเผยแพร่กับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

“ได้ครับ”

สำหรับราคาที่เพิ่มขึ้นนั้น หลินเยวียนดีใจมาก

เขาออกไปพิมพ์สัญญาฉบับใหม่ออกมา เมื่อเซ็นชื่อเสร็จก็ส่งไปให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลู หลังจากนี้ก็รออีกฝ่ายลงนามประทับตรากลับมาก็เรียบร้อยแล้ว

……

ผู้ประสานงานคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็อยู่ที่เมืองซู ฉะนั้นวันต่อมาสัญญาฉบับใหม่ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็มาถึง นั่นหมายความว่าสัญญาฉบับใหม่ก็มีผลอย่างเป็นทางการแล้ว หลินเยวียนจึงถือโอกาสส่งเล่มที่สามของปรินซ์ออฟเทนนิสให้หยางเฟิงด้วย

นิยายเรื่องนี้มีทั้งหมดห้าเล่ม

ทันทีที่เล่มสามออกไป ก็หมายความว่านิยายเรื่องนี้ยังเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จบแล้ว หลินเยวียนนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกตัดใจไม่ลงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีนิยายขนาดยาวเรื่องใหม่มารับช่วงต่อได้เป็นการชั่วคราว

“ติ๊งต่อง”

ระบบคิดในสิ่งที่หลินเยวียนคิด กังวลในสิ่งที่หลินเยวียนกังวลได้เสมอ “เนื่องด้วยโฮสต์ไม่มีหนี้สินและมีความสามารถหารายได้ในระดับหนึ่ง ระบบจึงเปิดร้านค้าสั่งทำขึ้นมา หลังจากนี้ถ้าโฮสต์มีสิ่งที่ต้องการก็สามารถจ่ายเงินสั่งระบบทำได้!”

หลินเยวียนชะงักไป “สั่งทำ?”

ระบบตอบ “ตัวอย่างเช่นโฮสต์ต้องการนิยายหรือเพลงประเภทไหน ก็สามารถจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนกับระบบได้ แน่นอนว่าโฮสต์สามารถระบุชื่อผลงานที่สั่งทำมาได้ แต่ทำแบบนั้นราคาในการแลกเปลี่ยนก็จะสูงกว่าสักหน่อย”

“อ้อ”

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า “พูดง่ายๆ ก็หมายความว่าถ้าฉันอยากได้เพลงสไตล์ไหน ระบบก็จะส่งเพลงที่ตรงกับความต้องการมาให้ แต่ต้องเก็บเงิน ถูกมั้ย”

“ใช่แล้ว”

หลินเยวียนเงียบงันไป “ยกตัวอย่างถ้าตอนนี้ฉันอยากได้เพลงแนวร็อกจากระบบ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสั่ง แน่นอนว่าตอนนี้ฉันแค่ยกตัวอย่างนะ นายจะคิดเงินยังไง”

ระบบตอบ “ห้าแสนห้าหมื่นหยวน”

หลินเยวียนเอ่ย “ขูดรีดแฮะ”

ระบบพูด “นี่เป็นการแลกเปลี่ยนตามความสมัครใจ ระบบจะไม่บังคับโฮสต์ อีกทั้งระบบยังสามารถรับรองคุณภาพของเพลงว่าไม่มีทางใช้เพลงร็อกสุ่มสี่สุ่มห้ามาหลอกโฮสต์แน่นอน”

“อ่า”

หลินเยวียนยังไม่ตอบตกลง และถามอีกคำถามหนึ่ง “งั้นสั่งทำแบบเจาะจงล่ะ อย่างเช่นฉันบอกชื่อไปว่าอยากได้เพลงไหนหรือนิยายเรื่องไหน ปกติแล้วนายจะคิดเงินยังไง”

“สั่งทำแบบเจาะจง”

ระบบตอบ “อันนี้มาตรฐานราคาจะต่างกันไป ต้องดูรายละเอียดว่าโฮสต์ต้องการผลงานชิ้นไหน ถ้าโฮสต์อยากให้ระบบขายเพลง ‘เลียนเสียงแมว[1]’ ละก็แน่นอนว่าจะถูกมาก แต่ถ้าโฮสต์อยากให้ระบบจัดหาเพลงดังสุดคลาสสิก ก็อาจจะเกินล้านหยวนหรือมากกว่านั้น”

หลินเยวียนไม่สบอารมณ์ “โหดร้าย”

ถึงอย่างนั้นความถี่ในการมอบภารกิจของระบบก็ต่ำมาก หลินเยวียนอยากมั่นใจว่าคลังไอเทมของตนนั้นเต็มและต้องสั่งทำเพลงบ้างในยามจำเป็น แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้ เขาไม่คิดจะสั่งทำเพลงอะไรกับระบบง่ายๆ ทางที่ดีที่สุดคือหลังจากตนเองกลายเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงของบริษัท และได้สัญญาส่วนแบ่งสูงกว่านี้เสียก่อน…

ถึงจะเห็นว่าหลินเยวียนเอาแต่บ่นว่าระบบขูดรีดโหดร้ายก็เถอะ

ทว่าในใจของหลินเยวียนเองก็กระจ่างดีว่าผลงานสั่งทำประเภทนี้ก็ทำเงินได้จริงๆ ก็เหมือนกับการลงทุนนั่นละ เพียงแต่ระยะเวลาในการทำเงินอาจถูกลากไปค่อนข้างนาน สรุปก็คือการที่ระบบเพิ่มฟังก์ชันนี้มาเป็นเรื่องดี สามารถแก้ปัญหาคลังไอเทมของหลินเยวียนไม่เพียงพอ

โดยเฉพาะ…

ยามที่ในแผนกต้องเผชิญกับออเดอร์ที่คล้ายคลึงกับเพลงปลายักษ์ ฟังก์ชันระบบสั่งทำนี้เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อออเดอร์พรรค์นี้โดยแท้!

เพียงแต่ออเดอร์ลักษณะนี้ค่อนข้างน้อย

ก็เหมือนกับการสุ่มบอสในเกมนั่นละ ไม่ใช่แค่สุ่มได้ยาก แถมทุกครั้งที่สุ่มได้ ก็จะมีคนอีกโขยงหนึ่งมาแย่งอยู่ร่ำไป

ชีวิตมันยาก อยากเกิดเป็นแมว

…………………………………………………

[1] เพลงเลียนเสียงแมว (《学猫叫》) ขับร้องโดยเสี่ยวพานพานและเสี่ยวเฟิงเฟิง

วันรุ่งขึ้น แปดโมงตรง

หลินเยวียนยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าก็ออกจากบ้าน

จุดประสงค์ที่เขาออกไปข้างนอกในครั้งนี้ก็คือ ซื้อบ้าน

ในบัญชีธนาคารของหลินเยวียนมีเงินที่มาจากค่าต้นฉบับในเดือนที่แล้วของนิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส หลังจากหักภาษีแล้วเข้ากระเป๋าเขาจริงๆ ทั้งหมดหนึ่งล้านสองแสนหยวน

เมื่อรวมกับส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลง ก็แตะถึงสองล้านหยวน

ในจำนวนนั้น โดยมากส่วนแบ่งจากเพลงนั้นมาจากเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายซึ่งปล่อยไปเมื่อเดือนก่อน

จากนั้นก็มีนิยายขนาดสั้นเรื่องของขวัญแห่งเมไจที่ขายได้อีกสองแสนหยวน

เดิมทีเงินก้อนนี้ต้องโอนมาในเดือนหน้า แต่หลินเยวียนอยากมีเงินในกระเป๋าให้เพียงพอสักหน่อยก่อนซื้อบ้าน จึงให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจ่ายค่าต้นฉบับล่วงหน้า

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกับหลินเยวียนร่วมงานกันอย่างราบรื่น ดังนั้นอีกฝ่ายจึงตอบตกลงด้วยความยินดี

ในตอนนี้เงินสองแสนก็โอนมาแล้ว

ฉะนั้นตอนนี้หลินเยวียนมีเงินทุนในมือราวสองล้านสองแสน ความคิดจะซื้อบ้านของเขาฉุดไม่อยู่แล้ว

อันที่จริงตอนที่หลินเยวียนเพิ่งมาถึงบ้าน ก็มีความคิดจะซื้อบ้านใหม่แล้ว

นั่นก็เพราะบ้านที่ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ สภาพต่างๆ ค่อนข้างทรุดโทรม ไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิต

ตัวอย่างเช่นความเป็นอยู่

บ้านสองห้องหนึ่งห้องรับแขกมีพื้นที่จำกัด

ยามปกติยังพอว่า มีแม่พักอาศัยอยู่เพียงคนเดียวก็นับว่าเพียงพอ

แต่เมื่อถึงช่วงตรุษจีน ทุกคนล้วนกลับบ้านมา พื้นที่สำหรับสี่คนก็จะเบียดเสียดมาก

ทำยังไงดี

มีแค่หลินเยวียนที่ได้อยู่ห้องเดี่ยว เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน

จากนั้นก็แบ่งห้องนอนของแม่ให้เป็นสองห้อง

พี่สาวกับน้องสาวนอนที่ห้องฝั่งซ้าย เบียดกันบนอยู่เตียงเดียว

ส่วนแม่นอนห้องฝั่งขวา

การเก็บเสียงย่ำแย่ พื้นที่ก็เล็ก อย่างเข้าห้องน้ำในตอนเช้า อาบน้ำในตอนบ่ายก็ต้องเวียนคิวห้องน้ำกัน หากว่ากันตามความเคยชินในการทำกิจวัตรประจำวันแล้วอันที่จริงก็อึดอัดมาก เพียงแต่ไม่มีใครปริปากบ่น

ตอนนี้มีเงินแล้ว ทำไมต้องปล่อยให้ทั้งครอบครัวอัดกันอยู่ในพื้นที่คับแคบแบบนี้ด้วยล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของบ้านหลังเก่าก็ไม่ดี ตั้งแต่การตกแต่งประดับประดาและสภาพเครื่องเรือน ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ แถมด้านการเดินทางก็ยังล้าสมัย ต่อให้เป็นแม่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้คนเดียวก็ลำบากมากทีเดียว

ซื้อบ้าน จำเป็นจริงๆ

ก่อนออกจากบ้าน หลินเยวียนอุตส่าห์หาในอินเทอร์เน็ต ผลคือเขาพบว่าเงินสองล้านหยวนนั้นมากพอให้ซื้อห้องชุดดีๆ ในเมืองอวิ๋นแล้ว

ถึงยังไงที่ฉินโจว เมืองอวิ๋นก็เป็นเมืองเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

ก่อนหน้านี้ตนยังกังวลว่าเงินในมือจะไม่พอ คิดมากไปเองจริงๆ ด้วย

แน่นอนว่าหลินเยวียนก็เคยคิดว่าจะรับแม่ไปอยู่ที่เมืองซูด้วย แต่เมื่อวานตอนที่เขาลองเอ่ยขึ้นหยั่งเชิงแม่ก็ปฏิเสธกลับมา เธอยังคงตัดใจจากบ้านเกิดที่อยู่มานานหลายปีไม่ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินเยวียนก็ตัดสินใจมองในระยะยาว

อย่างไรเสียในตอนนี้หลินเยวียนก็ยังซื้อบ้านในเมืองซูไม่ไหว

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็นั่งรถประจำทางไปถึงศูนย์จัดจำหน่ายบ้าน

เขากินอาหารเช้าแถวนั้นเพื่อเติมพลังก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน

“สวัสดีครับคุณผู้ชาย”

พนักงานขายวัยหนุ่มหนึ่งในนั้นเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้าเปี่ยมความกระตือรือร้น “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายอสังหาริมทรัพย์ เรียกผมว่าเสี่ยวมู่ก็ได้ครับ ขอถามสักหน่อยว่าคุณแซ่อะไรเหรอครับ มาที่นี่เพราะต้องการซื้อบ้านใช่มั้ยครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ผมแซ่หลิน”

เสี่ยวมู่พยักหน้า “สวัสดีครับคุณหลิน คุณต้องการซื้อบ้านระดับราคาประมาณไหนเหรอครับ”

หลินเยวียนใคร่ครวญอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง “สองล้านหยวน ไม่เกินกว่านั้นมากเกินไปครับ”

เสี่ยวมู่ชะงักงัน หลินเยวียนแลดูอายุน้อยมาก ท่าทางคล้ายว่าจะยังเป็นนักเรียนอยู่เลย ถึงกับเอ่ยปากถามหาบ้านราคาสองล้านหยวนขึ้นมาทันที?

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแนะนำบ้านหลายชุดให้กับหลินเยวียนอย่างขยันขันแข็ง โดยคุมราคาอยู่ที่ประมาณสองล้านหยวน

“ห้องนี้ไปดูได้มั้ยครับ”

หลินเยวียนเกิดความสนอกสนใจห้องชุดห้องหนึ่ง นี่เป็นบ้านราคาสองล้านหนึ่งแสนหยวน ราคาบ้านไม่ได้เกินกว่าที่หลินเยวียนคำนวณไว้

“แน่นอนครับ”

อีกฝ่ายพยักหน้าทันที “ทางผมมีกุญแจของห้องนี้พอดีครับ ผมพาคุณไปดูตอนนี้ได้เลย รอสักครูนะครับ ผมไปหยิบกุญแจประเดี๋ยว”

……

เสี่ยวมู่รีบร้อนเข้าไปหยิบกุญแจในห้อง

เพื่อนร่วมงานด้านหลังกระซิบว่า “เสี่ยวมู่ ลูกค้าคนนี้ไม่ต้องใส่ใจมากหรอก เขาคงจะแค่มาดู ไม่ซื้อหรอก”

เสี่ยวมู่ชะงัก “ทำไมล่ะ”

เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางของผู้มาเยือน มองไปยังหลินเยวียนซึ่งรออยู่ด้านนอก กล่าวกลั้วหัวเราะ “ทำงานแบบพวกเราก็ต้องมองต้องสังเกตให้มาก ลูกค้าคนนี้นั่งรถเมล์มา แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ได้ดูแพง ที่สำคัญก็คือ…”

“คืออะไร”

“ฉันเจอเขาตอนเดินผ่านร้านอาหารเช้า เขากินอาหารเช้าแล้วยังต่อราคากับเถ้าแก่ด้วยน่ะสิ ถามเถ้าแก่ว่าลดราคากว่านี้ได้มั้ย นายเคยเห็นคนกินอาหารเช้าแล้วต่อราคากับเถ้าแก่มั้ยล่ะ”

“แต่ร้านอาหารเช้าข้างๆ นี่ก็แพงจริงนั่นแหละ”

เสี่ยวมู่คล้ายกับว่าจะเห็นใจหลินเยวียนอยู่มาก “บะหมี่ชามละยี่สิบ ราคาเว่อร์มาก ในร้านอาหารเช้าข้างเขตของพวกเราขายบะหมี่แพงสุดก็แค่สิบเอ็ดหยวน แถมยังเติมเนื้อให้อีกตั้งเยอะ เพราะงั้นฉันก็เลยไม่เคยกินข้าวเช้าที่ร้านข้างๆ เลย”

เพื่อนร่วมงาน “…”

เสี่ยวมู่หยิบกุญแจเสร็จก็เดินออกไป

ไม่นานเขาก็พาหลินเยวียนมาถึงหนึ่งในเขตที่ดีที่สุดของเมืองอวิ๋น สวนดอกไม้หลงเจียง

“ที่เมืองอวิ๋น สวนดอกไม้หลงเจียงมีชื่อเสียงมากเลยนะครับ”

เสี่ยวมู่ยิ้มเอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่ผมเป็นไรเดอร์ส่งอาหาร ทุกครั้งที่เข้าไปต้องลงทะเบียนที่หน้าประตูทางเข้าก่อน ส่วนกลางรับผิดชอบดีมากครับ สภาพแวดล้อมในเขตนี้ก็สวยงาม เหมาะแก่การพักอาศัยมากเลยนะครับ”

แนะนำไปได้ไม่กี่ประโยค

ทั้งสองก็เดินมาถึงห้องยูนิตหนึ่งของชั้นเก้าบนอาคารที่ยี่สิบแปด

เมื่อเข้ามาในห้อง หลินเยวียนก็พบว่าห้องชุดนี้ประดับตกแต่งได้ดูดี เป็นสไตล์นีโอไชนีส หรูหราแต่ไม่โบราณ เครื่องเรือนทั้งใหม่เอี่ยมและครบครัน

“ลูกค้าได้เห็นแล้วนะครับ”

เสี่ยวมู่เอ่ย “ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องมือสอง แต่ผมรับประกันได้ว่าที่จริงแล้วห้องชุดนี้ไม่เคยมีคนเข้าพักมาก่อน เจ้าของเป็นศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา เดิมทีคิดว่าจะซื้อห้องลงหลักปักฐาน เลยตกแต่งแล้วก็เตรียมพวกเฟอร์นิเจอร์ไว้ครบแล้ว แต่เพราะมีการโยกย้ายงานชั่วคราวไปที่ฉู่โจว จึงวางแผนว่าจะขายห้องนี้ แล้วซื้อห้องใหม่ที่ฉู่โจวน่ะครับ”

หลินเยวียนเดินออกไปมองที่ระเบียง

ทัศนียภาพดีมาก มองปราดเดียวก็เห็นต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม อากาศก็สดชื่น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมากเลยครับ แต่ว่า…”

เสี่ยวมู่กล่าว “บอกได้เลยครับ”

เขาเองก็เคยดูแลลูกค้ามาประมาณหนึ่ง ฉะนั้นจึงรู้ว่าโดยปกติแล้วถ้าหากลูกค้าพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าดีลนี้คงปิดยาก

หลินเยวียนพูด “ผมเข้าอยู่ได้ทันทีเลยมั้ยครับ”

เสี่ยวมู่อึ้งงัน “คุณจะซื้อเหรอครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ผมว่าดีมาก เอาห้องนี้แหละครับ”

เสี่ยวมู่ประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา “สินเชื่อธนาคารต้องผ่านขั้นตอน เจ้าของน่าจะต้องรอให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อก่อนนะครับ…”

หลินเยวียนพูด “ผมจ่ายสดเต็มจำนวนครับ”

หลินเยวียนคิดว่าตนเองไม่ได้มีหัวการค้าอะไร และไม่เข้าใจการลงทุน และยิ่งไม่รู้เรื่องเงินเฟ้ออะไรเทือกนั้น ความคิดอันเคยชินของคนกระเป๋าแฟบบอกเขาว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อธนาคารสูงมาก ต้องเสียเงินเยอะมาก ถ้ามีเงินจ่ายสดเต็มจำนวนไปก็หมดปัญหา

“อะไรนะครับ”

เสี่ยวมู่อ้าปากค้าง

แต่ชั่วขณะต่อมา เขาก็ข่มกลั้นความตื่นเต้นพลางกล่าวว่า “รอสักครู่นะครับ ผมจะโทรไปคุยกับเจ้าของก่อน!”

สายโทรศัพท์ต่อติดอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวมู่คุยกับอีกฝ่ายจบ ก็พูดกับหลินเยวียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนแรกทางนั้นไม่ยอม แต่หลังจากได้ยินว่าคุณเตรียมจ่ายสดเต็มจำนวน ก็ตกลงยอมให้คุณเข้าอยู่ได้เลยครับ ตอนนี้คุณต้องกลับไปเซ็นสัญญาที่บริษัทกับผมก่อนครับ ทางเจ้าของจะเข้ามาติดต่อด้วยครับ”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า เสี่ยวมู่กลับบริษัทไป

เพื่อนร่วมงานยิ้มกรุ้มกริ่มเอ่ย “เป็นไง ฉันพูดไว้ไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ”

เสี่ยวมู่มองเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาประหลาด “ลูกค้าจะเซ็นสัญญาตอนนี้ เย็นนี้จะเข้าไปอยู่ เขาจ่ายเงินสดเต็มจำนวน ทางผู้ขายเลยยินดีเซ็นสัญญา”

“หา?”

เพื่อนร่วมงานอึ้งงันไปชั่วขณะ

ซื้อแล้วเหรอ? แถมยังจ่ายสดเต็มจำนวน?

หรือว่านี่จะเหมือนที่ว่ากันว่ายิ่งรวยยิ่งสมถะ?

ในตอนนั้นเสี่ยวมู่ก็ออกไปแล้ว และหลินเยวียนก็พูดคุยกับเจ้าของครู่หนึ่ง ก็เซ็นสัญญาซื้อห้อง ทั้งยังโอนเงินไปในวันนั้น

“หลังจากซื้อห้องไปแล้วแนะนำให้คุณเปลี่ยนกุญแจนะครับ”

เสี่ยวมู่พูดอย่างยิ้มแย้ม “โดยทั่วไปซื้อห้องแล้วจะทำแบบนี้น่ะครับ อีกอย่างคือหลังจากนี้ยังมีขั้นตอนอีกเล็กน้อย คุณหรือไม่ก็คนที่บ้านคุณต้องไปๆ มาๆ อีกสักหน่อย ผมจะรับผิดชอบขั้นตอนทั้งหมดเองครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า “ได้ครับ งั้นก็ขอบคุณมากครับ”

นอกจากซื้อบ้านแล้ว เขายังจ่ายภาษีจิปาถะและค่าส่วนกลางไปประมาณสามหมื่นหยวน ตอนนี้ในบัญชีของเขาเหลือเงินไม่ถึงสามหมื่นแล้ว แต่ว่าในใจของเขาก็ยังอิ่มเอิบ โทรศัพท์หาพี่สาวในทันที

พี่สาวถาม “มีอะไร ไม่เห็นเธอตั้งแต่เช้า ออกไปไหนแล้วล่ะ”

หลินเยวียนตอบ “พี่พาแม่กับน้องมาหน่อยได้มั้ย ผมอยู่ที่สวนดอกไม้หลงเจียง”

หลินเยวียนออกมาซื้อบ้านโดยไม่ได้บอกคนในครอบครัว

ไม่ใช่เพราะอยากเซอร์ไพร์สคนในครอบครัว

เขากลัวยิ่งกว่าว่าคนในครอบครัวจะห้ามไม่ให้เขาใช้เงิน และให้เขาเก็บเงินไว้รักษาอาการป่วยอะไรเทือกนั้น

“ทำไม เธอเกิดเรื่องอะไรเหรอ”

“พวกพี่มาก็แล้วกัน”

หลินเยวียนทิ้งปริศนาเอาไว้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง แม่กับพี่สาวและน้องสาวก็ปรากฏตัวที่สวนดอกไม้หลงเจียง หลินเยวียนรอพวกเขาอยู่ที่ทางเข้า

“เรียกพวกเรามาทำไมเหรอ”

หลินเซวียนมองหลินเยวียนด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “พี่นึกว่าเธอเกิดเรื่องอะไรซะอีก”

“นั่นซิ แม่ตกใจหมด”

แม่ยังคงมีท่าทางกังวลอยู่มาก

หลินเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หนูกำลังอ่านหนังสืออยู่เลย”

หลินเยวียนหัวเราะร่า พูดว่า “งั้นเธอก็มาอ่านหนังสือที่นี่เลย”

“หมายความว่ายังไง”

“พี่ซื้อบ้านที่นี่แล้ว”

หลินเยวียนไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป และพาคนในครอบครัวซึ่งกำลังสับสนเข้าไปในบ้านใหม่ จากนั้นก็เอ่ยแนะนำเลียนแบบคำพูดของเจ้าหน้าที่คนกลาง “พื้นที่หนึ่งร้อยสี่สิบตารางเมตร สี่ห้องนอน หนึ่งห้องรับแขก สองห้องน้ำ สองห้องหันทางทิศใต้ สัดส่วนเหมาะสมลงตัว ทางนี้ยังมีห้องหนังสือที่เงียบสงบ ระเบียงกว้างขวาง ทัศนียภาพดีเยี่ยม…”

หลินเยวียนพบว่าไม่มีใครสนใจตนเลย

เขาหันกลับไป ก็พบว่าคนในครอบครัวยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองมายังตนด้วยสายตาซับซ้อน ทั้งสามคนเบื้องหน้าไม่มีใครตื่นเต้นเหมือนที่หลินเยวียนจินตนาการไว้เลยสักนิดเดียว

หลินเยวียนเดาเหตุผลออก

เขาจึงยิ้ม “ก่อนหน้านี้ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลมาครั้งนึงแล้ว หมอบอกว่าร่างกายผมไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก ให้

แค่กินยาตามกำหนด สุดท้ายจะกลับมาแข็งแรงแน่นอน!”

“อะไรนะ”

“จริงเหรอ”

ทบทวนอยู่ชั่วครู่ คนในครอบครัวก็ขอบตาแดงก่ำ แม่ก็ดึงหลินเยวียนมาตรงหน้าด้วยท่าทางกึ่งร้องไห้กึ่งหัวเราะ “ลูกไม่ได้หลอกแม่ใช่มั้ย”

“เปล่าฮะ”

หลินเยวียนเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าไม่เชื่อ ผมไปตรวจที่โรง’บาลกับแม่ก็ได้นะ”

“ไปเดี๋ยวนี้เลย!”

แม่ลากหลินเยวียนออกไปข้างนอก

หลินเยวียนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ทำได้เพียงไปพร้อมกับแม่ เพื่อให้คนในครอบครัวสบายใจ เขาเคยถามระบบแล้วว่า โรงพยาบาลตรวจไม่พบปัญหาอะไรก็เพราะร่างกายของเขาอยู่ระหว่างการฟื้นฟู

เป็นดังคาด

หลังจากตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว หลินเยวียนนอกจากร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติแล้ว โรครักษาไม่หายที่เป็นก่อนหน้านี้ก็กำลังค่อยๆ ฟื้นฟู

“ดีเหลือเกิน”

แม่กอดหลินเยวียนร้องไห้ พี่สาวกับน้องสาวก็ลอบปาดน้ำตา ถึงจะไม่มีใครพูดออกมา แต่ความจริงแล้วร่างกายและอาการป่วยของหลินเยวียนก็ทำให้คนในครอบครัวทุกข์ทรมานมาโดยตลอด

หลินเยวียนรู้สึกปวดใจ “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

“กลับบ้านไหน”

“แน่นอนว่าบ้านใหม่”

“แล้วบ้านหลังเก่าของพวกเราล่ะ” ครั้งนี้แม่เป็นคนถามขึ้น

“ถ้าแม่ชอบก็ปล่อยไว้แบบนั้น เก็บไว้เป็นความทรงจำ เผื่อแวะเวียนไปบ้าง…หลังจากนี้พวกเรามาอยู่บ้านใหม่กัน” หลินเยวียนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้”

ทั้งสามตอบพร้อมเพรียงกัน ในตอนนี้ทุกคนได้ปล่อยวางภาระและมีความสุขกับบ้านที่เพิ่งซื้อมา เพราะความสุขนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของสุขภาพที่แข็งแรงของหลินเยวียน และไม่ใช่สิ่งที่หลินเยวียนใช้เวลาในชีวิตซึ่งเหลือไม่มากมาจัดหาให้กับคนในครอบครัว

บ้านหลังใหม่

การเริ่มต้นใหม่

ชีวิตใหม่

………………………………………………

ใช่แล้วล่ะ โหยวหรงไม่กล้าเสนอราคา!

เขาเป็นหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอ่านสนุกมานับสิบปี อ่านนิยายสั้นชั้นเยี่ยมมานับไม่ถ้วน เบื้องหน้านี้นับเป็นหนึ่งในผลงานที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตการทำงานสิบปีของเขาเลย แน่นอนว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของโหยวหรง ถึงอย่างไรมุมมองของคนต่อผลงานศิลปะก็แตกต่างกัน

ทว่าโหยวหรงเชื่อว่าใครได้อ่าน ‘ของขวัญแห่งเมไจ’ ก็ยากที่จะให้คำวิจารณ์ เพราะเรื่องนี้ซาบซึ้งกินใจเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนจบของเรื่องนี้เหนือความคาดหมายของผู้คน ความรู้สึกหลังอ่านจบยังคงซาบซ่านอยู่ในใจ

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไร้ข้อกังขาก็คือ

เขาต้องการนิยายเรื่องนี้!

โหยวหรงสูดหายใจเข้าลึก โทรศัพท์หาฉู่ขวง และบอกกล่าวความคิดของตนเองไปตามตรง “เป็นเกียรติของผมมากที่ได้เป็นผู้อ่านนิยายสั้นเรื่องนี้เป็นกลุ่มแรก ผมยินดีเป็นตัวแทนของบริษัทเสนอราคาซื้อนิยายสั้นเรื่องนี้ในราคาสองแสนหยวน ไม่ได้หมายความว่านิยายเรื่องนี้ราคาสองแสนหยวนนะครับ แต่โดยทั่วไปแล้วค่าต้นฉบับวงการนิตยสารของพวกเรามีลิมิต…”

“สองแสนเหรอครับ”

หลินเยวียนครุ่นคิดแล้วก็ตอบตกลง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เพียงแค่มอบช่องทางในการเผยแพร่เรื่องของขวัญแห่งเมไจ ตนก็ไม่ได้ต้องขายลิขสิทธิ์นิยายทำนองนั้น เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย

“อะไรสองแสนเหรอ”

ในตอนนั้นหลินเยวียนกำลังช็อปปิงเป็นเพื่อนพี่สาวกับน้องสาว พี่สาวได้ยินหลินเยวียนคุยโทรศัพท์ ก็หูผึ่งขึ้นมาทันที แต่ว่าหลินเยวียนก็ไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนของตนเอง เพียงแค่ตอบไปลวกๆ “พวกเงินเดือนน่ะ”

“เหยาเหยา ไปเร็ว!”

หลินเซวียนได้ยินคำพูดนี้ ก็ลากน้องสาวเดินกลับไป “เสื้อตัวเมื่อกี้สวยมาก ถึงราคาจะสามพันกว่าหยวน แต่ใครใช้ให้เธอมีพี่ชายรวยขนาดนี้กันล่ะ”

“ไม่เอาอะ”

หลินเหยาตัดใจซื้อไม่ลง

ถึงแม้หลินเยวียนจะดูเหมือนมีเงินขึ้นมา แต่การประหยัดเงินก็เป็นนิสัยซึ่งฝังอยู่ในกระดูกของเด็กเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นหลินเยวียน หลินเซวียน หรือหลินเหยาก็ไม่มีทางถึงกับใช้เงินมือเติบเพียงเพราะอยู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมาหรอก

หลินเยวียนพูด “งั้นพวกเรากลับเถอะ”

หลินเซวียนแค่นเสียงหึ “พี่ชายขี้งก”

หลินเยวียนส่งรอยยิ้มตระหนี่ไปตามน้ำ เขาไม่มีทางยอมรับว่าก่อนหน้านี้เสื้อกันหนาวสองตัวที่ตนซื้อให้หลินเหยานั้นไม่มีตัวไหนที่ราคาต่ำกว่าสามพันหยวนเลย ไม่อย่างนั้นน้องสาวสวมแล้วจะรู้สึกเป็นภาระ

เมื่อกลับถึงบ้าน

หลินเซวียนก็เริ่มรับโทรศัพท์หลายสาย น่าจะเป็นงานที่ต้องจัดการซึ่งสะสมระหว่างช่วงวันหยุด หลังจากรับ

โทรศัพท์หลายสายต่อเนื่องกัน หลินเซวียนก็นอนแผ่บนโซฟาด้วยความหดหู่ บ่นว่า “รุ่นพี่ในบริษัทบอกว่าตรุษจีนทุกปีพวกนักเขียนจะชอบยืดเวลาส่งต้นฉบับ วันนี้ฉันได้เจอเองกับตัวแล้ว เดือนหน้าคงจะมีนักเขียนสักครึ่งหนึ่งที่เปิดหน้าต่างสวรรค์ บรรณาธิการบริหารแทบจะมาฆ่าฉันอยู่แล้ว”

“เปิดหน้าต่างสวรรค์คืออะไรเหรอ”

หลินเหยาน้องสาวสงสัยเรื่องนี้มาก

หลินเซียนอธิบายว่า “เปิดหน้าต่างสวรรค์ก่อนหน้านี้เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ หมายถึงหน้านิตยสารที่เดิมทีถูกจัดคิวมาแล้ว แต่นักเขียนกลับส่งต้นฉบับมาไม่ทันจนคอลัมน์นั้นอยู่ในสภาพว่างเปล่า เหมือนกับการเปิดหน้าต่างสวรรค์ไว้โล่งๆ ในวงการนิยายของพวกเรา เปิดหน้าต่างสวรรค์ก็คือการเลื่อนส่งต้นฉบับนั่นแหละ”

หลินเหยาถาม “งั้นเลื่อนส่งต้นฉบับแล้วทำยังไงล่ะคะ”

หลินเซวียนถอนหายใจ “โดยทั่วไปสำหรับนักเขียนแล้วก็จะมีเส้นตาย อย่างแรกคือตอนที่นัดกับบ.ก.ว่าจะส่งต้นฉบับ แล้วส่งต้นฉบับในเวลาก็ยังจะสามารถทวนต้นฉบับได้อย่างสบายใจ และอย่างหลังก็คือถ้าเขียนไม่เสร็จก็จะส่งผลต่อเวลาเผยแพร่ นั่นหมายรวมไปถึงการตีพิมพ์ต่างๆ และจำเป็นต้องทำต้นฉบับให้เสร็จในเวลาถึงจะได้ เรียกได้ว่าเส้นตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับนักเขียน แต่สำหรับนักเขียนที่มีทั้งพรสวรรค์แล้วก็ชื่อเสียง เปิดหน้าต่างสวรรค์หรือเหยียบบนเส้นตายก็กลายเป็นฉลากประจำตัวของเขาไปแล้ว”

หลินเหยาถามอย่างเป็นห่วง “จะหักเงินมั้ย”

หลินเหยาส่ายศีรษะ “นักเขียนตัวเล็กๆ ไม่กล้าเลื่อนส่งต้นฉบับหรอก พวกเรามีระบุในสัญญา ถ้าเขียนต้นฉบับออกมาไม่ได้ก็จะหักเงิน ถ้าเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงถึงแม้จะมีสัญญา แต่ในความจริงแล้วเราไม่กล้าหักค่าต้นฉบับเพราะพวกเขาเลื่อนส่งต้นฉบับหรอก อย่างเช่นโจรเฒ่าลมบูรพา คนคนนี้เป็นนักเขียนเบอร์ใหญ่ที่สุดที่สำนักพิมพ์เราร่วมงานด้วย เขามักจะเลื่อนส่งต้นฉบับหลายเดือนกว่าจะส่งสักครั้งหนึ่ง แต่พวกเราไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก ทำได้แค่เร่งไปตามเดิม”

“อย่างงั้นเหรอ”

แม้ว่าจะเป็นบทสนทนาระหว่างพี่สาวกับน้องสาว แต่ว่าหลินเยวียนกลับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ด้านข้าง ถึงแม้เขาจะเผยแพร่นิยายในฐานะฉู่ขวง แต่แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เข้าใจระบบนิเวศของวงการแบบนี้เลย

เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน

อย่างเช่นที่พี่บอกว่า นักเขียนกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เคยผ่านประสบการณ์การเลื่อนส่งต้นฉบับมาทั้งนั้น ดูท่าการตีพิมพ์หนังสือก็เหมือนกับนิยายออนไลน์ของโลกเดิม มักจะทำให้คนอ่านหัวเสียกับปัญหาที่นักเขียนไม่ขยันอัปเดต

“และมีข่าวดีอยู่เรื่องหนึ่ง”

จู่ๆ หลินเซวียนก็พูดด้วยความตื่นเต้น “ก่อนตรุษจีนพี่ไปเยี่ยมอาจารย์ท่านหนึ่งที่เพิ่งหมดสัญญากับสำนักพิมพ์อื่น เชิญเธอมาเขียนหนังสือที่สำนักพิมพ์ของพวกเรา ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตกลง ตอนนี้เป็นนักเขียนเบอร์ใหญ่ที่สุดที่พี่ดูแลอยู่ ผลงานใหม่ที่เธอเขียนพี่ก็อ่านแล้ว รู้สึกว่าสุดยอดมาก น่าจะวางขายอย่างเป็นทางการหลังช่วงตรุษจีน!”

“บ.ก.ได้ส่วนแบ่งหรือเปล่า”

หลินเยวียนถามคำถามที่ตนใส่ใจ

พี่สาวส่ายหน้า “จะเรียกว่าส่วนแบ่งคงไม่ได้ แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกัน ที่สำคัญคือเป็นเกณฑ์การวัดผลงานของบ.ก.อย่างหนึ่งละ ถ้าไม่มีนักเขียนเก่งๆ อยู่ในความดูแล ผลงานก็อาจจะแย่มากจนสุดท้ายแล้วส่งผลต่อการจ่ายเงินเดือนกับโบนัส เพราะงั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับส่วนแบ่งหรอก ไม่อย่างนั้นพี่จะต้องลำบากลำบนออกไปเชิญนักเขียนมาทำไมล่ะ”

“แล้วฉู่ขวงล่ะ”

เหยาเหยาน้องสาวถามข้อสงสัยขึ้นในฉับพลัน “พี่ไม่ได้บอกเหรอว่าตัวเองรู้จักกับฉู่ขวง งั้นพอเขาเขียนนิยายที่มีอยู่จบ พี่จะไปดึงเขามาอยู่ในมือตัวเองแล้วให้เขาเขียนหนังสือเรื่องใหม่ได้มั้ย”

“…”

หลินเซวียนหลุดหัวเราะ “เธอยังสนใจฉู่ขวงอยู่อีกเหรอ…ฉู่ขวงเซ็นสัญญากับบริษัทที่ชื่อว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ที่นั่นเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในฉินโจว ถ้าเทียบกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้ว บริษัทของพี่เทียบไม่ติดเลย เพราะงั้นจะไปเชิญฉู่ขวงมาไม่ได้หรอก คลังหนังสือซิลเวอร์บลูคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ร่วมงานกับฉู่ขวงต่อ”

“งั้นเขาก็ดังมากเลยล่ะสิ”

หลินเหยาเหลือบมองหลินเยวียน

หลินเซวียนพยักหน้า “ในฐานะที่เป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนหน้าใหม่ ฉู่ขวงเรียกได้ว่ากลายเป็นเทพด้วยนิยายเล่มเดียว ยอดขายเดือนที่แล้วของปรินซ์ออฟเทนนิสรวมแล้วหนึ่งล้านสี่แสนเล่ม จัดอยู่ในอันดับที่สิบสองของผลงานแนวแฟนตาซีเยาวชน…”

“อันดับสิบสองเองเหรอ?”

“อะไรคืออันดับที่สิบสองเอง ขายได้หนึ่งล้านสี่แสนเล่มท่ามกลางการแข่งขันในตลาดขนาดยักษ์ใหญ่ หมายความว่าค่าส่วนแบ่งต้นฉบับของฉู่ขวงในเดือนที่แล้วคือหนึ่งล้านกว่าหยวน นี่พี่แค่สมมุติว่าเขาเซ็นสัญญาแบบนักเขียนหน้าใหม่นะ แน่นอนว่าถ้าคิดตามเงื่อนไขนี้ หลังจากตรุษจีนไป ส่วนแบ่งในสัญญาของเขาน่าจะสูงกว่านี้แล้ว”

หลินเยวียนตะลึงงัน

พี่สาวถึงขั้นรู้ค่าต้นฉบับโดยประมาณในเดือนที่แล้วของเขา!

แต่จะว่าไปแล้ว ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสท้ายที่สุดก็ทะลุหนึ่งล้าน ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากนักเทนนิสมืออาชีพ ถึงหลินเยวียนจะไม่ได้สนใจสถานการณ์เท่าไหร่ ก็ยังรู้ว่ามีนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพที่ยอมรับความเฉพาะทางและคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ จนทำให้กระแสของหนังสือเล่มนี้เพิ่มขึ้นไปด้วย

ต่อจากนั้น

หลินเยวียนก็พลันจับจุดสำคัญในคำพูดของพี่สาวได้ จึงถามขึ้น “ทำไมพี่ถึงบอกว่าส่วนแบ่งของฉู่ขวงจะเพิ่มขึ้น

ล่ะ”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วไง”

หลินเซวียนตอบฉะฉาน “ส่วนแบ่งนักเขียนหน้าใหม่ของปรินซ์ออฟเทนนิสอยู่บนพื้นฐานที่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่า

หนังสือเล่มนี้จะดัง แต่ตอนนี้พอหนังสือเล่มนี้ดังแล้ว โดยทั่วไปสำนักพิมพ์จะพิจารณาเพิ่มส่วนแบ่งให้ฉู่ขวง ไม่งั้นหนังสือเรื่องต่อไปพวกเขาก็อาจรั้งฉู่ขวงให้อยู่ต่อไม่ได้”

“มีเหตุผล”

หลินเยวียนแสดงความเห็นด้วยอย่างจริงจัง

หลินเซวียนพูดอย่างขบขัน “เธอไม่รู้เรื่องการเขียนหนังสือ เล่าให้เธอฟังไปแล้วได้อะไร เธอทำงานอยู่ในสตาร์ไลท์ ไม่สู้เล่าเรื่องซุบซิบของดาราในบริษัทพวกเธอให้พี่ฟังจะดีกว่านะ…”

…………………………………………….

‘นี่คืออะไรเหรอครับ’

หยางเฟิงส่งข้อความหาฉู่ขวง

หลินเยวียนกินข้าวเสร็จถึงเห็นข้อความ ตอบกลับไปว่า ‘ต้นฉบับที่บอกกับสำนักพิมพ์พวกคุณครับ คนที่ขอชื่อโหยวหรง บอกว่าเป็นหัวหน้าบ.ก.นิตยสารอ่านสนุก หรือว่าผมโดนโจรหลอกแล้ว?’

หลินเยวียนรู้สึกดีใจอยู่บ้าง

โชคดีที่ตนเองมีไหวพริบ ส่งต้นฉบับให้หยางเฟิงบรรณาธิการผู้รับผิดชอบเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ถ้าหากคนที่เรียกตัวเองว่าโหยวหรงไม่ใช่คนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู งั้นหลินเยวียนก็ไม่มีทางเสียหาย

‘เขาไม่ใช่โจรหรอก’

หยางเฟิงตอบไปหนึ่งประโยคด้วยความรู้สึกซับซ้อน

เมื่อเห็นว่าทางฉู่ขวงไม่ได้ตอบกลับ หยางเฟิงก็ผุดลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง ต่อสายหาหัวหน้าบรรณาธิการ “หัวหน้าเรื่องนี้ต้องให้คุณออกหน้าแล้ว โหยวหรงนัดรับต้นฉบับกับฉู่ขวงลับหลังพวกเรา!”

“อะไรนะ”

หัวหน้าบรรณาธิการปลายสายกระวนกระวายใจขึ้นมา น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล “บ้านกันแดดกันฝนได้ แต่กันหัวขโมยในบ้านไม่ได้ โหยวหรงกล้าขอต้นฉบับจากฉู่ขวงลับหลังกองแฟนตาซีเยาวชนของพวกเรา ยังเห็นพวกเราในสายตาอยู่มั้ยเนี่ย ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่บริษัท เดี๋ยวจะไปคิดบัญชีที่แผนกนิตยสาร!”

หลายบริษัทหยุดประจำปีแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ยังมีคนเข้าเวรอยู่ คนที่ทำงานอยู่เป็นคนในเมืองซูโดยกำเนิด เงินเดือนเป็นห้าเท่าของช่วงปกติ ด้วยโบนัสหนักอึ้งเช่นนี้ ทำให้คนจำนวนมากยินดีทำงานในช่วงตรุษจีน

หลังจากวางสายลง

เหล่าสยงหัวหน้าบรรณาธิการกองแฟนตาซีเยาวชนเดินดุ่มไปยังแผนกนิตยสาร มองปราดเดียวก็เห็นโหยวหรง

ผู้รับผิดชอบของแผนกนิตยสาร “เหล่าโหยวพวกคุณทำเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าท่าอยู่ใช่มั้ย ถึงกับขอต้นฉบับจากฉู่ขวงลับหลังพวกเราใช่มั้ย”

“เหล่าสยง คำพูดของพวกคุณนี่ไม่น่าฟังเอาซะเลย”

ตั้งแต่ที่ฉู่ขวงส่งต้นฉบับให้หยางเฟิง โหยวหรงก็รับรู้ได้ว่าแย่แน่ ดังนั้นจึงทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว “ผมกำลังจะแจ้งพวกคุณ แต่พวกคุณก็มาแล้ว นั่งลงดื่มชาก่อนเถอะ ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น”

“คุณอย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย”

เหล่าสยงเองก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาพิลึกโดยรอบ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของฉู่ขวงต้อง

ส่งต้นฉบับหนึ่งแสนตัวอักษรทุกเดือน ตอนนี้ยอดขายของเรื่องนี้สูงขนาดไหนคงไม่ต้องให้ผมบอก แต่คุณกลับมาเรียกต้นฉบับกับเขาตอนนี้ นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์ผลงานของเขาหรอกหรือ”

“เรื่องนี้จะโทษผมไม่ได้หรอกนะ”

โหยวหรงวิตกขึ้นมา “ต่อให้ผมไม่ขอต้นฉบับจากเขา เขาก็โพสต์นิยายสั้นลงในปู้ลั่วอยู่ดี ผมถูกใจคุณภาพของ

นิยายสั้นที่เขาเขียนมาก ถ้าจะให้โพสต์อ่านฟรีในปู้ลั่ว ทำไมไม่เผยแพร่ในอ่านสนุกของพวกเรา นี่เป็นนิตยสารระดับท็อปของบริษัทเลยนะ”

“เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ”

ไฟโทสะของเหล่าสยงยิ่งลุกโหมขึ้นมา “แต่คุณกลับพยายามให้เขาสนใจเขียนนิยายสั้น คนเราน่ะมีพลังจำกัด

เขาเขียนนิยายสั้นให้พวกคุณ จะเอาแรงที่ไหนไปเขียนปรินซ์ออฟเทนนิส”

“เขายินดีทำเอง”

โหยงหรงกระแอม

เรื่องพวกนี้ควรจะแจ้งก่อนก็จริงอยู่ แต่โหยวหรงรู้ว่าเพื่อรับประกันว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจะตีพิมพ์ได้อย่างสม่ำเสมอ เหล่าสยงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงคิดจะประหารก่อนรายงานทีหลัง นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายผลกลับย้อนหาตัวซะเอง

“คุณคิดจะแย่งคนใช่มั้ย”

“บริษัทเดียวกันทั้งนั้น จะแย่งทำไมล่ะครับ”

“ผมว่าคุณอิจฉาผลงานของพวกเรา!”

“เหล่าสยง คุณพูดแบบนี้เกินไปแล้วนะ”

ในตอนนี้หัวหน้าบรรณาธิการทั้งสองโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว ในเมื่อทะเลาะกันขึ้นมาต่อหน้าพนักงาน สุดท้ายก็ถูกบรรณาธิการบริหารเรียกพบ ทั้งสองฝ่ายถึงได้สงบศึกกันชั่วคราว ทว่าบรรณาธิการบริหารก็ปวดเศียรเวียนเหล้าเหมือนกัน “หยุดทะเลาะกันก่อน เอาต้นฉบับมาให้ผมดูหน่อย”

ไม่นานหยางเฟิงก็ส่งต้นฉบับให้บรรณาธิการบริหาร

ต้นฉบับนี้ชื่อว่า ‘ของขวัญแห่งเมไจ’ มีเพียงสามพันตัวอักษร ฉะนั้นบรรณาธิการบริหารอ่านจบภายในช่วงเวลาอันสั้น

ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าสยงกับโหยวหรงแปลกใจก็คือ…

หลังจากที่บรรณาธิการบริหารอ่านต้นฉบับจบ ก็เงียบงันไปชั่วครู่

อ่านอีกรอบให้ละเอียดถี่ถ้วน

ทั้งสองคนตะลึงงันไปอีก

เป็นเพราะบรรณาธิการบริหารซึ่งได้ชื่อว่าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้ม ในยามนี้ขอบตาแดงระเรื่อ ถึงขั้นแอบปาดน้ำตาเบาๆ

บรรณาธิการบริหารโกรธจนร้องไห้เลย?

ตอนนี้ทั้งสองกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

โหยวหรงพูดอย่างตกประหม่า “บ.ก.บริหารเป็นอะไรเหรอครับ ช่วงตรุษจีนแล้ว เรื่องที่พวกเราเถียงกันก็แค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ คุณไม่ต้องเจ็บใจถึงขนาดนี้ก็ได้”

“นั่นสิ”

ตอนนี้เหล่าสยงไม่กล้าตอแยแล้ว “ก็แค่ต้นฉบับเองครับ ในเมื่อฉู่ขวงตกลงแล้ว งั้นทางผมก็จะไม่พูดอะไรอีก เขากล้ารับก็แปลว่าเขามั่นใจว่าจะจัดการทั้งสองงานได้”

ทั้งสองไม่เคยเห็นบรรณาธิการบริหารเป็นแบบนี้มาก่อน

บรรณาธิการบริหารลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจทั้งสองคน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “จองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านให้ผมหนึ่งใบ ผมต้องการไฟลต์เร็วที่สุด”

“บ.ก.บริหาร…”

เหล่าสยงและโหยวหรงกังวลอย่างเห็นได้ชัด

เดิมทีบรรณาธิการบริหารพูดเสียดิบดีว่าปีนี้จะไม่กลับบ้านช่วงตรุษจีน แต่เป็นเพราะทั้งสองคนมีเรื่องกันจนทำให้เขาโมโหจนร้องไห้!

แม้แต่งานก็ไม่สนใจแล้ว!

บรรณาธิการบริหารกวาดตามองทั้งสองด้วยดวงตาแดงก่ำ “พวกคุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมเริ่มธุรกิจมันลำบากขนาดไหน”

“หา?”

บรรณาธิการบริหารไม่ใส่ใจท่าทางสับสนของทั้งสอง พูดกับตนเองว่า “จำได้ว่าในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

ผมกับภรรยากินหมั่นโถวกับน้ำเปล่าประทังชีวิต หลังจากนั้นภรรยาผมได้งานทำความสะอาดในโรงอาหารของโรงเรียน ช่วงกลางวันของทุกๆ วันผมเลยใช้เหตุผลว่าไปเยี่ยมเธอ เข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียนเพื่อกินข้าวฟรี ต้มน้ำแกงกินฟรี กลิ่นมันหอมจริงๆ เลยละ”

เหล่าสยงถามต่ออย่างลืมตัว “หลังจากนั้นล่ะครับ?”

บรรณาธิการบริหารยิ้มน้อยๆ “จากนั้นก็ภรรยาของผมก็ได้เข้าไปอยู่ในวิลล่าหลังใหญ่หรูหรา ได้กินอาหารเลิศ

รสหลากหลายอย่าง แต่เธอก็ต้องอยู่ดูแลพ่อแม่ของผมในวิลล่า เวลาที่กินอาหารอันโอชะ ก็มักจะกินอย่างโดดเดี่ยวเสมอ พวกคุณคิดว่าพวกผมเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้มีความสุขมากกว่ากัน ปีใหม่แล้ว ผมคิดถึงภรรยา ผมต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว พวกคุณเป็นคนในพื้นที่ ทำงานหนักหน่อยก็แล้วกัน ขอร้องละ”

พูดจบ บรรณาธิการบริหารก็ค้อมหลังให้พวกเขาน้อยๆ แล้วหันหลังเดินจากไป

โหยวหรงตะโกนเรียกด้วยความสับสน “บ.ก.บริหาร…”

บรรณาธิการบริหารชะงักฝีเท้าทันใด “อื้อ แล้วช่วยขอลายเซ็นของฉู่ขวงให้ผมหนึ่งชุดนะ บอกเขาว่าผมเป็นแฟนหนังสือ”

ครั้งนี้ บรรณาธิการบริหารเดินออกไปแล้วจริงๆ

แต่เหล่าสยงกับโหยวหรงกลับมองหน้ากัน ต่างคนต่างตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็คือข้อพิพาทของทั้งสองคน

เพราะบรรณาธิการบริหารอยู่ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าตนเป็นแฟนหนังสือของนักเขียนสักคนในสังกัดของบริษัท

นิยาย!

เป็นเพราะนิยาย!

ทั้งสองได้สติกลับมาทันที ไม่ได้ทะเลาะกันอีกต่อไป เพียงแต่ให้หยางเฟิงส่งของขวัญแห่งเมไจไปให้

นี่อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้บรรณาธิการบริหารเปลี่ยนความคิด

หลังจากที่เหล่าสยงกลับไป

โหยวหรงรีบเปิดอ่านของขวัญแห่งเมไจอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาอยากรู้ว่าในนิยายเรื่องนี้เขียนอะไร ถึงกับทำให้บรรณาธิการบริหารไม่สนใจแม้แต่งาน

นิยายสั้นมาก

ระหว่างที่อ่านนิยาย โหยวหรงกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาแปลกๆ แต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่ออ่านมาถึงตอนสุดท้าย โหยวหรงก็กดขมับทั้งสองข้างบนศีรษะอย่างห้ามไม่อยู่ ส่งเสียงโอดครวญอย่างปวดร้าว

“อ๊า!”

ทีนี้เขาก็เข้าใจถึงท่าทางพิลึกของบรรณาธิการบริหารแล้ว พลังของเรื่องนี้น่ากลัวเหลือเกิน คนที่เคยประสบพบ

เจอเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันมักจะหลั่งน้ำตาเมื่อได้อ่านเรื่องราวของคนอื่น โดยเฉพาะยามที่เผชิญหน้ากับนิยายซึ่งมีตอนจบซาบซึ้งกินใจอย่างเรื่องของขวัญแห่งเมไจ!

“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้นครับ”

มีพนักงานเอ่ยแสดงความเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้

โหยวหรงนั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ “ฉู่ขวงบอกฉันว่าอ่านนิยายจบแล้วค่อยเสนอราคา…นิยายแบบนี้ฉันจะกล้าเสนอราคามั้ยล่ะ…”

………………………………………………..

นี่เป็นครั้งแรกที่จูฮุ่ยเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชน ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าฉู่ขวงเป็นนักเขียนนิยายไร้รสนิยมอย่างพวกที่เขียนฮาเร็มไร้สมองนั่น

ตอนนี้ดูแล้วเห็นไม่ใช่แบบนั้น

เรื่องโฉมงามประดิษฐ์นี้เขียนได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแค่สองสามพันตัวอักษรสั้นๆ ก็สามารถทำให้ตนอ่านจนตะลึงไปได้ จากเหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดว่าฉู่ขวงมีความสามารถในการเขียนสูงมาก!

เมื่อเปิดดูคอมเมนต์ จูฮุ่ยก็พบว่าไม่ได้มีแค่ตนเองที่ตกใจ มีคอมเมนต์มากมายที่แสดงความคิดเห็นคล้ายคลึงกับสิ่งที่จูฮุ่ยคิด

‘เรื่องนี้สนุกมาก!’

‘ฉู่ขวงเขียนเรื่องนี้จริงเหรอ’

‘ฉู่ขวงไม่ได้เป็นนักเขียนแนวแฟนตาซีเยาวชนหรอกเหรอ’

‘ตอนแรกกะว่าจะมาทวงปรินซ์ออฟเทนนิส นึกไม่ถึงว่าจะถูกนิยายสั้นของฉู่ขวงตกซะแล้ว นิยายสั้นเรื่องนี้ไม่แฟนตาซีเยาวชนเลยสักนิด แต่ว่าตื่นเต้นมาก’

‘ชอบสไตล์นี้มาก!’

‘ในเรื่องไม่ค่อยได้แสดงความรู้สึกของนักเขียนสักเท่าไหร่ เป็นบทบรรยายล้วนๆ แต่ตอนจบไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์เกินจริงใดๆ เลย แต่กลับทำให้ตกใจจนมึนไปหมด’

‘พล็อตทวิสต์อย่างเทพ’

‘ฉันวิเคราะห์มากเกินไปหรือเปล่า รู้สึกว่าบทความนี้เสียดสีปรากฏการณ์หลายอย่างในสังคม ก่อนหน้านี้ในข่าวไม่ได้บอกหรอกเหรอว่ามีหุ่นยนต์ที่เลียนแบบรูปร่างหน้าตามนุษย์ได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ถ้าคิดตามนิยายเรื่องนี้ก็น่ากลัวมากอยู่นะ’

‘พอดูแล้วไม่ใช่ภาคแยกของปรินซ์ออฟเทนนิสก็ผิดหวังมาก แต่พออ่านเรื่องสั้นจบเท่านั้นแหละ รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปแล้วจ้า’

‘คอมเมนต์บน คุณไม่ใช่คนเดียว’

‘หยุด คุณไม่ใช่คนเดียวหรอก’

‘…’

นอกจากคอมเมนต์แล้ว ก็ยังได้รับการกดถูกใจและกดแชร์ต่อด้วย

ในปู้ลั่วมีฟังก์ชันกดถูกใจ

ผู้อ่านในเซกชันนิยายเมื่อเจอผลงานที่ชื่นชอบ ก็สามารถกดถูกใจผลงานได้ สุดท้ายแล้วนักเขียนก็จะได้ส่วนแบ่ง

และจากการแชร์ของหลายคน บางคนเป็นถึงคนที่ผ่านมาโดยที่ไม่รู้จักฉู่ขวง ก็สังเกตเห็นเรื่องสั้นเรื่องโฉมงามประดิษฐ์นี้

ต้องบอกเลยว่าคำว่า ‘โฉมงามประดิษฐ์’ นี้มีกิมมิกมากทีเดียว

ทันทีที่ผู้อ่านได้ยิน ก็อาจนึกโยงไปว่านักเขียนกำลังเสียดสีการทำศัลยกรรมในสังคมอยู่?

โดยเฉพาะคำว่า ‘โฉมงาม’ ซึ่งนำพาแรงดึงดูดมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับชาวเน็ตผู้ชาย!

ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงลองกดเข้าไปอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบ

นี่ก็คือข้อดีของเรื่องสั้น

เอาเถอะ

ถึงแม้จะต่างจากที่จินตนาการไว้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนต่อนิยายเรื่องนี้เลย แม้แต่บล็อกเกอร์แนะนำหนังสือโดยเฉพาะในปู้ลั่วก็ยังสังเกตเห็นเรื่องสั้นเรื่องโฉมงามประดิษฐ์นี้ แถมยังกดแชร์อีกด้วย

‘ช็อก!’

หนึ่งในบล็อกเกอร์คนหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่าไปเหยียบหลุมพรางดักนักอ่านเช่นกัน ‘ใครจะไปเชื่อว่านี่เป็นนิยายสั้นของฉู่ขวง นักเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสล่ะ’

วิธีการอาจจะน่าละอายไปหน่อยแต่ได้ผลชะงัด

ฉู่ขวงเดิมทีมีชื่อเสียงในฐานะนักเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสอยู่เป็นทุนเดิม

เมื่อบวกกับการโปรโมตของบรรดานักอ่าน นิยายสั้นๆ อย่างโฉมงามประดิษฐ์ก็ยังคงร้อนแรงมาก

จนท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ผู้รับผิดชอบเซกชันนิยายของปู้ลั่วก็ยังสังเกตเห็น

“หัวหน้า นิยายสั้นเรื่องนี้พุ่งเร็วมาก”

เมื่อได้ยินสิ่งที่พนักงานใต้บังคับบัญชารายงาน ผู้รับผิดชอบเซกชันนิยายของปู้ลั่วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉู่ขวงเหมือนจะเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนที่ค่อนข้างดังเรื่องนั้น นักเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส?”

“ครับ”

ผู้รับผิดชอบพยักหน้า เขาอ่านโฉมงามประดิษฐ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มจะวาดผ่านใบหน้า “เรื่องนี้เขียนได้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ดันไปในประเภทนิยายฮ็อตฮิตในเซกชันนิยายแล้วกัน”

……

หลินเยวียนกินข้าวเสร็จ ก็ลงไปเดินเล่นข้างล่างกับครอบครัว กว่าเขาจะกลับมาล็อกอินเข้าบัญชีปู้ลั่ว ก็ย่างเข้าวันถัดมาแล้ว

ในวันนี้เป็นวันตรุษจีน

ทุกครอบครัวล้วนแต่ครึกครึ้น

ครอบครัวของหลินเยวียนเองก็ครึกครื้นเหมือนกัน ทว่าหลินเยวียนอยู่ข้างนอกได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับเข้ามาเปิดคอมพิวเตอร์ที่ห้องแล้ว

“เอ๊ะ?”

หลินเยวียนพบว่าเพิ่งจะตกเย็น คอมเมนต์หลังบ้านในปู้ลั่วของตนมีข้อความเพิ่มมากว่าหมื่นข้อความแล้ว

ข้อความเหล่านี้แทบจะเกี่ยวข้องกับโฉมงามประดิษฐ์ทั้งนั้น

และเรื่องโฉมงามประดิษฐ์ที่ตนกดโพสต์ลงไปเมื่อวาน ตอนนี้มีเพิ่มขึ้นมาสี่หมื่นคอมเมนต์ และอีกหมื่นกว่ารีโพสต์

นอกจากนั้นแล้ว

แฟนคลับในบัญชีนี้ของฉู่ขวงก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งหมื่นเป็นสองหมื่นได้สำเร็จ

ในตอนนั้น

โทรศัพท์มือถือของหลินเยวียนก็ดังขึ้น

เขาหยิบขึ้นดู เมื่อเป็นเบอร์แปลกจึงกดวางสาย

ผ่านไปชั่วครู่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

หลินเยวียนกดตัดสายอีกครั้ง

ครั้งที่สามก็ยังดังขึ้นอีก เป็นสายเดิมกับก่อนหน้านี้ หลินเยวียนทำได้เพียงหยิบขึ้นมารับสาย

อีกฝ่ายกล่าวกลั้วหัวเราะ “สวัสดีปีใหม่”

หลินเยวียนตอบ “ผมไม่ได้ชื่อปีใหม่ครับ”

ปลายสายชะงักไปนาน ก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “สวัสดีครับอาจารย์ฉู่ขวง”

ที่แท้ก็โทรมาหาฉู่ขวง

เบอร์แปลกพรรค์นี้ ถ้าไม่ได้เป็นพวกโฆษณาขายของ หลินเยวียนต้องมั่นใจก่อนว่าอีกฝ่ายโทรมาหาเซี่ยนอวี๋ หรือฉู่ขวง หรือหลินเยวียน ขั้นตอนนี้จำเป็นอย่างยิ่ง

หลินเยวียนถาม “มีอะไรเหรอครับ”

ผู้ชายปลายสายหัวเราะ “แนะนำตัวก่อนแล้วกัน  โหยวหรง หัวหน้าบ.ก.นิตยสาร ‘อ่านสนุก’ ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูครับ วันนี้โทรมารบกวนเพราะอยากปรึกษาเรื่องการร่วมงานน่ะครับ”

หลินเยวียนเอ่ยถาม “ร่วมงานอะไรเหรอครับ”

อีกฝ่ายตอบอย่างจริงจัง “เมื่อวานเห็นคุณโพสต์นิยายลงในปู้ลั่ว ผมแอบรู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อย นิยายที่เยี่ยมยอดแบบนี้คุณสามารถนำมาลงรวมเล่มในนิตยสารอ่านสนุกของพวกเราได้นะครับ เพราะนิตยสารของพวกเราตีพิมพ์นิยายสั้นเป็นหลัก เน้นความน่าสนใจ เพราะฉะนั้นเลยไม่จำกัดประเภทนิยาย แล้วก็ยอดขายใช้ได้ทีเดียว นอกจากนั้นแล้วปู้ลั่วไม่ให้ค่าต้นฉบับกับคุณ แต่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูของพวกเรายินดีจ่ายนะครับ!”

“เท่าไหร่ครับ”

คำพูดนี้โดนใจหลินเยวียนเข้าพอดิบพอดี เขาเป็นคนขาดแคลนเงิน แม้ว่าเงินเดือนของเดือนนี้จะเข้ามาแล้ว แต่เงินที่เขาจะใช้ซื้อบ้านนั้นกลับไม่พอ

“หนึ่งพันตัวอักษรสามพันหยวน!”

อีกฝ่ายเสนอราคา “หนึ่งพันตัวอักษรสามพันหยวนครับ พวกเราสามารถตกลงสัญญาตามราคานี้ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือผลงานของคุณต้องผ่านการตรวจสอบของพวกเราก่อน”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “น้อยเกินไปครับ”

เขาลองคำนวณดูคร่าวๆ เผยแพร่โฉมงามประดิษฐ์ในปู้ลั่ว เงินที่ได้รวมๆ กันแล้วก็หลายพันหยวน อีกทั้งยังทำเวลาได้ดีกว่าด้วย คนอ่านอ่านจบแล้วก็ให้ฟีดแบ็กได้เลย ค่าความโด่งดังก็จะเข้ามาในบัญชีได้ทันที

“คุณเรียกเท่าไหร่ครับ”

ปลายสายโยนหินถามทางมาแล้ว

หลินเยวียนกลัวคำถามประเภทนี้ที่สุด แต่เขาก็ยังบ่ายเบี่ยงต่อไปได้ “ผมส่งนิยายให้คุณหนึ่งตอน แล้วค่อยคุยกันเรื่องราคา ถ้าผมคิดว่าราคาไม่เหมาะสมก็ขอผ่านนะครับ”

“ได้ครับ อีเมลของผมคือ…”

“ผมส่งไปให้แล้วครับ”

“หา? คุณยังไม่รู้อีเมลของผมเลย…”

“คุณไม่ได้อยู่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเหรอครับ ผมส่งเข้าอีเมลของหยางเฟิงไปแล้ว พวกคุณเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ไปตามต้นฉบับจากเขาก็ได้นี่ครับ”

“แต่ว่า…หน่วยงานของพวกเราไม่ได้…”

อีกฝ่ายถึงกับมึนงง น้ำเสียงสับสนอย่างเห็นได้ชัด

หลินเยวียนกล่าว “งั้นผมวางแล้วนะครับ สวัสดีครับ”

แล้วหลินเยวียนก็วางสายไปจริงๆ

ที่สำคัญคือวันตรุษจีนมาถึงแล้ว อาหารในวันนี้พรั่งพร้อมกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียอีก ถ้าไม่รีบออกไปแล้วพี่กินอาหารหมดจะทำยังไง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง

บรรณาธิการหยางเฟิงก็ได้รับต้นฉบับชิ้นหนึ่ง เป็นนิยายขนาดสั้นที่ฉู่ขวงส่งมา มีชื่อเรื่องว่า ‘ของขวัญแห่งเมไจ’

เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

สมองของหยางเฟิงมีเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด

……………………………………….

ฉู่ขวงโพสต์นิยายขนาดสั้น

เมื่อได้รับข้อความ ปฏิกิริยาตอบรับแรกของแฟนคลับก็เหมือนกัน

ฉู่ขวงโพสต์ภาคแยกของปรินซ์ออฟเทนนิสในปู้ลั่วเหรอ

ความคิดแบบนี้ธรรมดามาก

มีนักเขียนบางคนชอบโพสต์ภาคแยกของนิยายซึ่งเดิมทีไม่มีแผนจะตีพิมพ์ผ่านปู้ลั่ว และพูดคุยกับนักอ่าน

แต่ว่าฉู่ขวงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับ

เมื่อทุกคนกดเข้าไปดูในปู้ลั่วตามแจ้งเตือน ก็พบว่านี่ไม่ใช่ภาคแยกแต่อย่างใด หากแต่เป็นนิยายสั้นที่ฉู่ขวงเขียน

“ถ้าเป็นภาคแยกของปรินซ์ออฟเทนนิสก็ดีน่ะสิ”

ในตอนนั้น ปรินซ์ออฟเทนนิสได้ตีพิมพ์เล่มที่สองแล้ว ฐานแฟนคลับก็ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อพบว่าไม่ใช่ภาคแยก คนจำนวนมากก็ผิดหวังอยู่บ้าง

ยกตัวอย่างเช่นจูหมิง นักเรียนมัธยมปลายของเมืองซานในฉินโจว เรียกได้ว่าเป็นแฟนตัวยงของปรินซ์ออฟเทนนิสเลย

“นายน่าจะอ่านหนังสือที่มีสาระให้มากกว่านี้นะ”

จูฮุ่ยพี่สาวของจูหมิงต่อต้านนิยายแฟนตาซีเยาวชนที่น้องชายอ่านมาโดยตลอด ได้โอกาสก็เอ่ยปากบ่นจูหมิงอยู่เสมอ

จูฮุ่ยมีอคติกับนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนพรรค์นี้

เพราะในนิยายประเภทนี้ที่เธอเคยอ่านนั้น ตัวละครทะลุมิติไปยังต่างโลก วันๆ ก็เอาแต่ขลุกอยู่กับสาวสวยโขยงหนึ่ง สุดท้ายหญิงสาวกลุ่มนี้ก็กลายเป็นภรรยาของเขาทั้งหมด บทบรรยายในเนื้อเรื่องบางครั้งก็ยังสอดแทรกเนื้อหาของผู้ใหญ่ไว้ด้วย…

“ผมบอกแล้วไง”

น้องชายตอบโต้จูฮุ่ย “ปรินซ์ออฟเทนนิสไม่เหมือนกับนิยายพวกนั้นซะหน่อย นิยายเรื่องนี้เขียนเกี่ยวกับเทนนิส นักกีฬาเทนนิสมืออาชีพยังบอกเลยว่านิยายเขียนดีมาก มีผู้หญิงตั้งเยอะแยะที่อ่านนิยายเล่มนี้”

“งั้นเหรอ”

จูฮุ่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เธอนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ ในคอมพิวเตอร์ล็อกอินบัญชีผู้ใช้ปู้ลั่วของน้องชายค้างไว้ “เมื่อกี้นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉู่ขวงโพสต์นิยายสั้น เป็นนักเขียนที่นายชอบใช่มั้ย ไหนพี่ดูหน่อยซิว่าเขาเขียนเกี่ยวกับอะไร”

“เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีเยาวชน”

“ขอแค่เป็นคนเดียวกันก็ได้”

“งั้นพี่ก็ไปอ่านปรินซ์ออฟเทนนิสสิ ผมมีหนังสือ”

“ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น บางครั้งอ่านจากสำนวนก็เข้าใจคนได้แล้ว” จูฮุ่ยว่าพลางกดเปิดนิยายที่ชื่อว่า ‘โฉมงามประดิษฐ์’

เนื้อเรื่องสั้นจริงๆ นั่นละ

บทเปิดของเรื่องบรรยายถึงเถ้าแก่บาร์คนหนึ่งเห็นว่าบาร์ของตนเองล้มละลาย จึงเดิมพันหมดหน้าตัก ผลิตหุ่นยนต์สาวสวยซึ่งสามารถบริการลูกค้าในบาร์ได้ เพราะหุ่นยนต์หญิงสาวนี้จะตัดสินโชคชะตาของบาร์แห่งนี้ ดังนั้นเถ้าแก่จึงทุ่มเท สร้างเธอออกมาให้สวยสะคราญชวนตะลึง

ผิวขาวผุดผ่องเนียนละเอียดดุจหยกเกินสาววัยแรกแย้มคนใดเปรียบ พานให้ทึกทักว่าเป็นมนุษย์จริงๆ

ผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ย่อมต้องคิดว่านี่เป็นหญิงสาวที่ผิวเนียนนุ่มที่สุดคนหนึ่งที่ตนเคยพบมาเลย!

เมื่อบรรดาลูกค้าเห็นเด็กสาวอายุน้อยรูปร่างหน้าตาสะสวยมาใหม่หลังเคาน์เตอร์ในบาร์ ก็รีบปรี่เข้ามาแย่งกันทักทาย

ยามที่อีกฝ่ายถามชื่อเสียงเรียงนามและอายุ เธอยังตอบได้พร้อมรอยยิ้มสบายๆ แต่ถ้าถามต่อไปเรื่อยๆ เธอก็จะตอบไม่ได้แล้ว…

แม้จะพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครจับสังเกตได้ว่าเธอเป็นหุ่นยนต์

ดังนั้นบาร์แห่งนี้จึงโด่งดังขึ้นมา

ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาที่บาร์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ เชื้อเชิญให้โฉมงามคนนี้ร่ำสุรา

ส่วนเถ้าแก่ก็ยืนอยู่ในเคาน์เตอร์ บ้างครั้งก็นั่งยองลง เก็บสุราในท่อพลาสติกที่เท้าของหุ่นยนต์หญิงสาวกลับมา แล้วนำไปขายให้ลูกค้าด้วยราคาเที่ยงธรรม

บรรดาลูกค้าไม่ล่วงรู้ถึงความลับนี้

[หญิงสาวคนนั้นยังเยาว์วัย ดื่มสุราไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร่างกายต้องแข็งแรงมากแน่ๆ เธอไม่ได้เข้าไปดึงลูกค้ามายั่วเย้าคลอเคลีย ลูกค้าเลี้ยงเหล้าเธอ เธอก็ดื่มจนหมดเสียทุกครั้ง แต่กลับไร้ซึ่งท่าทีว่าจะเมามาย]

ลูกค้าคิดกัน

จูฮุ่ยซึ่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์รู้สึกตกตะลึง

ความคิดของฉู่ขวงคนนี้น่าสนใจอยู่เหมือนกันแฮะ

ในสำนวนภาษาคล้ายกับจะระคนกลิ่นอายของการเสียดสีอยู่เล็กน้อย เพราะทุกคนสนใจเพียงรูปลักษณ์

ภายนอก ไม่ได้สนใจภายใน ฉะนั้นทุกคนจึงชมชอบหุ่นยนต์หญิงสาวโดยปราศจากความสามารถในการขบคิดและกลั่นกรองด้วยตนเอง

แต่ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไงล่ะ

ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา จูฮุ่ยก็เห็นเนื้อหาท่อนต่อไปแล้ว

[ในบรรดาลูกค้าเหล่านี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาตกหลุมรักหุ่นยนต์หญิงสาวนี้ทันทีที่แรกเห็น ทุกวันจะต้องไปเลี้ยงสุราหุ่นยนต์หญิงสาวที่บาร์นี้ทุกวัน แน่นอนไม่ว่าเขาจะใช้รอยยิ้มพะเน้าพะนอคุณผู้หญิงโปกเกอร์เฟซอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ทว่าเขายังไม่ยอมถอดใจ กลับรุกใส่คุณผู้หญิงโปกเกอร์เฟซมากขึ้นอีก สั่งสุราชั้นดีราคาแพงที่สุดในบาร์ ถึงขั้นที่ใช้เงินเก็บของตนไปจนหมด]

ท่อนนี้ก็เป็นการเสียดสีเช่นเดียวกัน

ถึงกับแฝงเรื่องจริงเข้าไปในนั้นเล็กน้อยด้วย

เด็กหนุ่มที่หลงรักหุ่นยนต์หญิงสาวตั้งแต่แรกพบนั้นเหมือนกับพวกหนอนน่าสงสารที่กดส่งของขวัญให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ส่วนตัวเองก็ยอมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นละ

ทว่าทิศทางของเรื่องราวนั้นคาดเดาได้ยาก

คงไม่ใช่ท้ายที่สุดแล้วหุ่นยนต์ก็มีชีวิตขึ้นมาหรอกล่ะมั้ง

ถ้าเป็นแบบนั้น จูฮุ่ยต้องผิดหวังมากแน่ๆ

เพราะมันเห่ยสุดๆ ไปเลย

เธอโอบกอดความคาดหวัง อ่านต่อไป [สุดท้ายแล้ว เป็นเพราะจ่ายค่าสุราไม่ไหว เด็กหนุ่มจำต้องกัดฟันไปหยิบ

เงินของที่บ้านมาใช้ ด้วยเหตุนี้เอง พ่อของเขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กล่าวโทษอย่างเดือดดาล ‘ต่อไปห้ามไปสถานที่ทุเรศทุรังนั่นอีก! เอ้า เอาเงินก้อนนี้ไปจ่ายซะ จำไว้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้าย!’]

ครั้งสุดท้าย

เด็กหนุ่มนำเงินก้อนนี้ไปยังบาร์ เพื่อบอกลา เขายกแก้วหลายต่อหลายครั้ง เลี้ยงสุราคุณหุ่นยนต์ไปไม่น้อย

เขาสารภาพรักอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้สมองของหุ่นยนต์มีแต่ความว่างเปล่า ราวกับเป็นกระป๋องดีบุกเปล่า โฉมงามซึ่งมีเพียงรูปโฉมงดงามทำได้เพียงตอบไปตามคำพูดซึ่งถูกโปรแกรมเอาไว้แล้ว

เด็กหนุ่มไม่ได้คำตอบตามที่ใจปรารถนา

[เขาแอบหยิบยาพิษร้ายแรงออกมาจากกระเป๋า ใส่ลงในแก้วสุรา เติมสุราลงไปจนเต็ม จากนั้นก็วางไว้ต่อหน้าหุ่นยนต์หญิงสาว จ้องมองหุ่นยนต์หญิงสาวยกแก้วขึ้นมาอย่างไม่วางตา แล้วดื่มสุราพิษจนหมดแก้ว]

“โหดร้ายไปหรือเปล่า”

จูฮุ่ยซึ่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พลันรู้สึกว่าใจเต้นระส่ำ ลูกค้าสุดโต่ง หลงรักแต่ไม่ได้ครอบครองก็ฆ่าอีกฝ่าย โชคดีที่หุ่นยนต์หญิงสาวไม่ได้เป็นมนุษย์ ไม่อย่างนั้นคงถูกเด็กหนุ่มวางยาพิษตายไปแล้วล่ะมั้ง

เธอคิดเช่นนี้

ทว่าในเนื้อเรื่องท่อนต่อมา กลับทำให้จูฮุ่ยเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที

[หลังจากที่เด็กหนุ่มออกไป เถ้าแก่ก็ตะโกนเรียกลูกค้าที่เหลือตรงนั้น ‘ตั้งแต่ตอนนี้ ผมขอเลี้ยงสุราทุกท่าน ทุกท่านเชิญดื่มให้เต็มที่!’

แม้จะบอกว่าเลี้ยง แต่เถ้าแก่ก็ไม่มีทางยอมขาดทุน เพราะในค่ำคืนอันเงียบสงัด ผู้คนบางตาแบบนี้ คงไม่มีลูกค้ามาเพิ่มแล้ว พูดอีกอย่างก็คือสุราที่เถ้าแก่ให้ทุกคนดื่มก็หนีไม่พ้นสุราที่เก็บกลับมาจากท่อพลาสติกที่เท้าของคุณผู้หญิงโปกเกอร์เฟซ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย]

อ๋า!

เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย!

สุราที่หุ่นยนต์หญิงสาวดื่มเข้าไป สุดท้ายแล้วก็ถูกเถ้าแก่เก็บกลับมา แล้วขายให้ลูกค้าคนอื่นดื่ม หรือจะเรียกได้ว่าสุราที่ทุกคนในบาร์ดื่มเข้าไปในวันนี้เป็นสุราพิษร้ายแรง!

จูฮุ่ยสีหน้าพลันฉายแววประทับใจขึ้นมา

นิยายตอนสั้นๆ ดำเนินมาถึงตอนจบ ท่อนสุดท้ายของเรื่องเขียนไว้เช่นนี้

[เหล่าลูกค้าและบริกรในร้านส่งเสียงกู่ร้องด้วยความดีใจ ทุกคนต่างยกแก้วขึ้นชนกัน ร่ำสุรากันอย่างเพลิดเพลิน แม้แต่เถ้าแก่ซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เองก็ถูกบรรยากาศเช่นนี้พาไป ค่อยๆ หยิบแก้วสุราขึ้นมา ดื่มเข้าไปหนึ่งแก้วอย่างแช่มช้า]

เรื่องราวทั้งหมดก็ตัดจบลงเพียงเท่านี้

แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น แทบจะไม่ต้องคาดเดาเลย นี่คือพื้นที่ซึ่งนักเขียนเหลือว่างไว้ แต่กลับยิ่งมีพลังมากกว่า!

‘ตายเรียบ’

ตอนจบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของจูฮุ่ยโดยสิ้นเชิง จนเธอส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ “ตายเรียบเลย!”

“อะไรนะ”

น้องชายซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

จูฮุ่ยไม่ตอบ รีบล็อกอินเข้าบัญชีปู้ลั่วของตนเพื่อติดตามฉู่ขวง จากนั้นก็พูดขึ้นมา

“ฉู่ขวงเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์ นิยายของเขาน่ะ…น่าจะควรค่าแก่การอ่าน”

………………………………………………

หลินเซวียนผู้เป็นพี่สาวกลับมาถึงบ้านก่อนวันตรุษจีน

ทันทีที่เธอกลับถึงบ้านก็จ้องหลินเยวียนไม่วางตา “ตอนที่พี่กลับมาบ้าน น้องผู้หญิงคนข้างๆ ฮัมเพลงสีแดงสีเขียวสีฟ้าอยู่ครึ่งชั่วโมง…”

“แล้ว?”

หลินเยวียนไม่เข้าใจอยู่บ้าง

หลินเซวียนยิ้มตาหยียื่นมือออกมา “เพลงของน้องชายทรมานพี่มาตลอดทาง ยังไงก็ต้องจ่ายค่าเสียหายทางจิตใจมาสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง”

“งั้นผมส่งซองแดงแล้วกัน”

หลินเยวียนส่งเงินหนึ่งหมื่นหยวนในกลุ่มแช็ตครอบครัว กลุ่มแช็ตครอบครัวมีแม่ หลินเยวียน หลินเหยา และหลินเซวียนรวมสี่คน ดังนั้นหลินเยวียนจึงแบ่งเป็นสี่ซอง

สองวินาทีผ่านไป

แบ่งซองแดงเสร็จสรรพ

แต่ทันทีที่หลินเซวียนเปิดออก ใบหน้าก็มืดครึ้มขึ้นมา “ซองแดงหนึ่งหมื่นหยวนแบ่งสี่คน เหยาเหยาคนโชคดีได้ไปแล้วหกพันหยวน?”

เธอกอดหลินเหยาไว้แน่น เพื่อดูดซับความโชคดี!

หลินเยวียนครุ่นคิด เขายื่นมือออกไปบีบแก้มหลินเหยา จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องไปด้วยท่าทางพิลึกกึกกือ

“ทำอะไรของเขาน่ะ”

หลินเซวียนกับหลินเหยามองหน้ากัน

ถึงแม้ว่าจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจและเข้าใจหลินเยวียนมากพอ แต่ท่าทางที่เขาบีบแก้มน้องสาวเสร็จแล้วก็พุ่งเข้าห้องไปทันทีนั้นออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย

“ระบบ รีบเปิดกล่องสมบัติหนึ่งใบเร็ว!”

หลินเยวียนกลับมาถึงห้องพร้อมกับเสียงกู่ร้องในใจ เพิ่งจะจับหน้าหลินเหยามา ตอนนี้โชคดีที่ติดมือมาคงยังไม่สลายไป

กล่องสมบัติเปิดออก

ระบบแจ้งเตือนว่า [ยินดีด้วยคุณได้รับเรื่องสั้นห้าเรื่อง]

“เรื่องสั้นห้าเรื่อง?”

ชั่วขณะนั้นหลินเยวียนก็รู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมา

ถึงแม้จะเป็นเรื่องสั้น แต่หลินเยวียนก็ชอบมาก!

เป็นเพราะระบบต้องการให้หลินเยวียนพิมพ์เอง ฉะนั้นเขาเลยไม่อยากเขียนเรื่องยาว

นอกจากนั้น ข้อดีของเรื่องสั้นก็คือผู้อ่านใช้เวลาไม่นานก็อ่านจบ ดังนั้นความเร็วในการเก็บเกี่ยวชื่อเสียงก็น่าจะมากกว่าอีกสักหน่อย

“ตีพิมพ์ยังไงเหรอ”

นี่เป็นคำถามที่หลินเยวียนขบคิดในเวลาต่อมา

ในตอนนั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกขึ้นมาได้ว่าสามารถโพสต์เรื่องสั้นในปู้ลั่วได้

ก่อนหน้านี้หยางเฟิงได้ช่วยตนยืนยันบัญชีในปู้ลั่วแล้ว

เมื่อเป็นอย่างนั้นเรื่องก็ง่ายขึ้นมาแล้วละ ใช้บัญชีผู้ใช้ของฉู่ขวงโพสต์เรื่องสั้นพวกนี้ก็ได้

เขียนเรื่อง ‘โฉมงามประดิษฐ์’ ก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็มีไม่กี่พันตัวอักษร

ขอแนะนำก่อนแล้วกัน

ผลงานที่ชื่อว่าโฉมงามประดิษฐ์นั้นไม่อาจจัดว่าเป็นเรื่องสั้น น่าจะเป็นนิยายสั้นเสียมากกว่า ผู้แต่งมีชื่อว่าโฮชิ ชินอิจิ

โฮชิ ชินอิจิ

นักเขียนนิยายไซไฟสมัยใหม่ ได้รับการขนานนามว่าเจ้าพ่อนิยายไซไฟขนาดสั้น จุดเด่นของผลงานก็คือพล็อตเรื่องอันชาญฉลาด

อีกเรื่องที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ชื่อของนักสืบคุโด ชินอิจิก็มาจากชื่อของเขานี่เอง

หลินเยวียนเปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าปู้ลั่ว

สิ่งที่เรียกว่าปู้ลั่ว อันที่จริงก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับเวยปั๋วหรือเฟซบุ๊กในโลกเดิม

ถ้าจะถามว่าตรงไหนที่ต่างกันละก็ เห็นจะอยู่ที่ส่วนนิยายในปู้ลั่วดังมากทีเดียว

ผู้คนมากมายชอบโพสต์นิยายขนาดสั้นในปู้ลั่ว

โดยทั่วไปจะไม่มีใครโพสต์นิยายขนาดยาว

บัญชีผู้ใช้ในปู้ลั่วของหลินเยวียนชื่อว่า ‘ฉู่ขวง’ คำแนะนำอย่างเป็นทางการก็คือนักเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

หลินเยวียนเข้าไปในบัญชีแล้วถึงรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาตนไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่เคยมีการโปรโมตใดในบัญชีผู้ใช้ของปู้ลั่ว แต่ก็มีคนติดตามหมื่นกว่าคนแล้ว

ด้านหลังยังมีข้อความอีกมากมาย ล้วนส่งมาจากแฟนคลับทั้งนั้น

ทว่าคำถามส่วนมากล้วนเกี่ยวข้องกับปรินซ์ออฟเทนนิส หรือไม่ก็เป็นคำยกย่องชื่นชมฉู่ขวง

หลินเยวียนไม่ได้ตอบ

เขาเปิดเซกชันนิยายทันที ก่อนจะเริ่มพิมพ์โฉมงามประดิษฐ์

[นี่คือหุ่นยนต์หญิงสาวยอดอัจฉริยะซึ่งถูกสร้างขึ้น ต่อให้หญิงสาวจะงามพิเลิศเฉิดฉันท์แค่ไหนก็ไม่อาจเทียบได้กับหญิงสาวแสนทันสมัยซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นคนนี้ เพราะได้รับจุดเด่นของสาวงามมาทั้งหมด ทำให้หุ่นยนต์หญิงสาวนี้กลายเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเธอมักจะวางมาด ไม่สนใจใคร ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ เพราะมีสาวสวยไม่น้อยที่ชอบหยิ่งทะนง ภูมิอกภูมิใจในตนเองมาก]

เขียนมาถึงตรงนี้

หลินเยวียนถาม “ระบบ นายบอกไม่ใช่เหรอว่าว่าจะเพิ่มความเร็วมือให้ฉัน”

ระบบตอบ “ใช่ไง”

หลินเยวียนเอ่ย “แล้วเพิ่มหรือยัง”

ระบบตอบ “โฮสต์ได้รับสกิลเปียโนระดับเชี่ยวชาญ ก็เป็นการเพิ่มความเร็วมืออย่างหนึ่งแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…”

“คืออะไร”

“นายโสด”

“โสดแล้วยังไง”

ระบบ “…”

ดูท่าแล้ว คนที่เล่นมุกตลกไม่เป็น ก็มักจะฟังมุกตลกไม่ออกเหมือนกัน

แต่ว่าหลินเยวียนก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยก็แค่นั้น เขาพิมพ์ต๊อกแต๊กๆ ลงไปบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊ก […ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดในธุรกิจ มีบาร์แห่งหนึ่งซึ่งล้มละลายจนจวนเจียนจะปิดตัวลงเต็มที เถ้าแก่จึงทุ่มเงินผลิตหุ่นยนต์หญิงสาวทรงเสน่ห์ เพื่อเรียกลูกค้าโดยเฉพาะ]

ผ่านไปสิบห้านาที

หลินเยวียนกดปุ่มเอนเทอร์

เขาค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตนใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ก็เขียนโฉมงามประดิษฐ์เสร็จ

นิยายเรื่องนี้ยาวเกือบสามพันตัวอักษรเลยนะ!

เห็นทีความเร็วของตนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้ แถมข้อดีของหลินเยวียนตอนเขียนเรื่องอยู่ที่เขาไม่ต้องขบคิดเรื่องราว

ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่บั่นทอนความเร็วในการพิมพ์มักจะไม่ใช่ความเร็วของมือ แต่เป็นความเร็วของสมอง

มีหลายครั้งที่ความเร็วในการประมวลผลพล็อตของสมองนั้นตามไม่ทัน พลอยให้นักเขียนเขียนเรื่องช้าไปด้วย

ถ้าหากไม่ต้องขบคิดเนื้อเรื่อง ต่อให้เป็นนักเขียนที่มือไม้ไม่คล่องแคล่ว หนึ่งวันก็คงเขียนได้สักหนึ่งหมื่นตัวอักษร

แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่ได้เงอะงะขนาดนั้น และยิ่งไม่ต้องเค้นสมองคิดเรื่อง ดังนั้นเขาจึงเขียนได้เร็วขนาดนี้

หลังจากเขียนเสร็จ

หลินเยวียนก็ไม่ได้คิดมาก โพสต์นิยายลงในปู้ลั่วทันที

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเอง

เสียงของแม่ก็ดังมาจากนอกประตู “กินข้าวได้แล้ว!”

ไม่นานทุกคนในครอบครัวก็นั่งล้อมโต๊ะกินข้าว อาหารมื้อนี้หลากหลายมาก มีกับข้าวทั้งหมดห้าอย่าง แม่ง่วนทำอาหารอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน

แต่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องกินไม่หมด เพราะหลินเซวียนกลับมาแล้ว

ถึงแม้หลินเซวียนจะรูปร่างผอมเพรียว แต่ที่จริงแล้วเธอกินเก่งมาก และก็น่าจะเป็นเหตุผลที่แก้มยุ้ยๆ เหมือนเด็กของพี่ยังไม่หายไปสักที

ขณะกำลังกินข้าว

หลินเซวียนยังอวดกับน้องสาวว่า “ตอนนี้พี่รู้จักนักเขียนชื่อดังเยอะแยะเลย เธอสุ่มชื่อมาสักคนพี่อาจรู้จักก็ได้!”

“ฉู่ขวง”

น้องสาวก็ตามน้ำไป

หลินเซวียนกระแอม “ฉู่ขวงพี่รู้จักอยู่แล้ว…ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวด้วยกัน…แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนบริษัทเดียวกัน…ทุกคนก็เลยไม่คุ้นเคยกับเขาเท่าไหร่…”

ตัวตนของฉู่ขวงถูกเปิดเผยแล้วเหรอ

หลินเยวียนมองพี่สาวด้วยความเคลือบแคลงใจ

พี่สาวไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระคนความสงสัยของหลินเยวียน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างประดักประเดิด เอ่ยถามน้องสาวว่า “เธอก็อ่านปรินซ์ออฟเทนนิสเหรอ”

“เพื่อนหนูอ่าน”

หลินเหยาพูด “หนูต้องตั้งใจเรียน ไม่มีเวลามาอ่านนิยายหรอก”

น่าจะยังไม่ถูกเปิดเผยแฮะ

หลินเยวียนจึงเบาใจลงสักหน่อย

และในตอนนั้นเอง นิยายของหลินเยวียนก็ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการของปู้ลั่ว บัญชีผู้ใช้ในปู้ลั่วที่ติดตามฉู่ขวงก็ล้วนได้รับการแจ้งเตือน ‘ฉู่ขวงโพสต์นิยายขนาดสั้น’

…………………………………….

หายากโดยแท้!

เพลงลูกโป่งที่คุณภาพเพลงนับได้ว่าอยู่ระดับกลาง ถึงขั้นที่ใช้ทำนองอินโทรที่มีเอกลักษณ์ ดึงดูดให้ผู้ฟังพากันเลียนแบบและเข้าร่วมชาเลนจ์…

แถมยังพุ่งขึ้นสู่ฮอตเสิร์ชด้วย

โอกาสหายากแบบนี้ถ้าคว้าเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นจ้าวเจวี๋ยก็คงไม่ต้องเป็นหัวหน้าผู้จัดการของสตาร์ไลท์แล้ว

ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง

รีบดันฮ็อตเสิร์ชให้ขึ้นสูงก่อน

ฮ็อตเสิร์ชซึ่งคนผ่านไปผ่านมาเข้าร่วมเล่นลูกโป่งชาเลนจ์โดยทั่วไปแล้วอันดับจะหล่นเร็วมาก แต่หากดาราศิลปินของสตาร์ไลท์ก็เข้าร่วมชาเลนจ์นี้ละก็ จะต้องเรียกแฟนคลับของศิลปินเหล่านี้ได้อีกมาก เมื่อดึงดูดเทรนด์และการทำตามได้ในวงกว้างแล้ว ความร้อนแรงของหัวข้อบนฮ็อตเสิร์ชก็ย่อมสามารถไต่สูงขึ้นตามไปด้วย…

ผลลัพธ์นั้นเป็นดังที่จ้าวเจวี๋ยคิดไว้

เมื่อศิลปินดาราลงสนาม ความร้อนแรงของหัวข้อลูกโป่งชาเลนจ์ก็เพิ่มสูงขึ้นไปตามคาด คนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวข้อลูกโป่งชาเลนจ์ทะยานขึ้นแตะอันดับห้าแล้ว!

สิ่งที่แปรผันตามมาก็คือ

บนชาร์ตเพลงใหม่เดือนกุมภาพันธ์ เพลงลูกโป่งขึ้นชาร์ตได้สำเร็จ กลายเป็นอันดับที่หกบนชาร์ตเพลงใหม่

ในวงการต่างโอดครวญกันยกใหญ่!

ในกลุ่มแห่งความตายของเดือนกุมภาพันธ์ แต่ละบริษัทใหญ่เรียกได้ว่าลงทุนลงแรงเพื่อชาร์ตเพลงในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ดังนั้นคุณภาพของเพลงที่นำออกมานั้นจึงสูงมาก

ไม่มีใครคาดคิดว่า

สตาร์ไลท์ปล่อยเพลงลูกโป่งออกไป

เพลงนี้ถึงกับไต่ขึ้นไปบนฮ็อตเสิร์ชเพราะความยากของการขับร้อง!

ความแปลกประหลาดของเพลงนี้อยู่ที่แทบจะไม่มีคนใส่ใจว่าเพลงนี้เพราะหรือไม่ ทุกคนใส่ใจเพียงว่าตนร้องท่อนแรกของเพลงจบในรวดเดียวเหมือนนักร้องได้ไหม…

เมื่อพูดถึงคุณภาพ เพลงลูกโป่งไม่ได้มีความได้เปรียบที่จะกดเพลงอื่นๆ ในชาร์ตได้เลย

เพลงนี้ดังขึ้นได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ล้วนแต่พึ่ง ‘ลูกโป่งชาเลนจ์’ บนฮ็อตเสิร์ชทั้งนั้น!

แน่นอนว่า เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการที่ใกล้กับช่วงตรุษจีน ดังนั้นช่วงนี้ทุกคนจึงค่อนข้างยุ่ง ตัวอย่างเช่นยุ่งอยู่กับงาน ใครจะไปว่างมานั่งอัดวิดีโอเล่นกันล่ะ

……

เจียงขุยได้รับสายโทรศัพท์จากผู้จัดการ เมื่อรู้ถึงสถานการณ์เพลงใหม่ของตน ก็กระเด้งตัวออกมาออกมาจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ ตะโกนร้องเพลงลูกโป่งทั้งที่ผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิงอยู่

“ฮ็อตเสิร์ชๆๆ!”

เมื่อใจเย็นลงแล้ว เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเข้าปู้ลั่ว และเห็นหัวข้อ ‘ลูกโป่งชาเลนจ์’ บนชาร์ตของฮ็อตเสิร์ชด้วย

“อาฮ่า!”

ความรู้สึกของการติดฮ็อตเสิร์ชครั้งแรกในชีวิตนั้น สำหรับเจียงขุยแล้วออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย ถึงแม้ตัวเอกของฮ็อตเสิร์ชจะไม่ใช่ตนก็เถอะ แต่เมื่อถัวเฉลี่ยดูแล้วก็เท่ากับว่าตัวเจียงขุยได้ติดฮ็อตเสิร์ชเหมือนกัน

ด้านล่างของฮ็อตเสิร์ชมีวิดีโอแนะนำจำนวนมาก

เจียงขุยลองเลือกดูวิดีโอที่เรตติงค่อนข้างดี

เป็นวิดีโอที่อินฟลูเอนเซอร์หญิงคนหนึ่งถ่ายไว้ ตัดต่อได้ตั้งใจมาก ภาพประกอบของท่อนอินโทรเป็นโปรแกรมการฝึกฝนร่างกายประเภทต่างๆ ที่อินฟลูเอนเซอร์หญิงคนนี้ใช้เพื่อเพิ่มความจุปอด

หลังจากฝึกฝนโปรแกรมต่างๆ เป็นตั้ง

อินฟลูเอนเซอร์หญิงโชว์กล้ามซึ่งไม่มีอยู่จริงกับกล้อง พูดกับเพื่อนอีกคนด้วยใบหน้าฮึกเหิม “พร้อมหรือยัง”

เพื่อนพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

เธอจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นก็เริ่มร้องออกมาตามทำนองเปียโนที่เพื่อนดีด “สีดำสีขาวสีแดงสีเหลืองสีม่วงสีฟ้าสีเขียวสีเทาของคุณของฉันของเขาของเธออันเล็กอันใหญ่อันกลมอันแบนทั้งดีทั้งเลวทั้งสวยน่าเกลียด…”

ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว

เจียงขุยแค่ฟังก็รู้

อินฟลูเอนเซอร์หญิงในวิดีโอร้องต่อไปไม่ไหวจริงๆ ด้วย

เธอเค้นเสียงออกมาในไม่กี่คำสุดท้ายไม่ไหว ราวกับว่าจะขาดอากาศหายใจตาย ทำได้เพียงโบกมือพูดว่า

“ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว หมดสภาพ”

ในฉากสุดท้ายกล้องตัดไปที่อินฟลูเอนเซอร์หญิงและเพื่อนซึ่งนั่งแผ่อยู่บนเก้าอี้ จากนั้นภาพก็ถูกกากบาททับ และมีตัวอักษรสีดำขนาดใหญ่หลายตัว

‘Balloon Challenge failed!’

คอมเมนต์ของวิดีโอนี้ในปู้ลั่วทะลุหมื่น ชาวเน็ตต่างต่อแถวกันมาคอมเมนต์

‘อินฟลูเอนเซอร์ คุณเป็นไตพร่อง’

‘ไตพร่องอีกคนนึงแล้ว จบข่าว’

และมีคนที่ไม่เข้าใจถามว่า ‘ทำไมถึงบอกว่าเป็นไตพร่องล่ะ’

คอมเมนต์ด้านล่างตอบกลับอย่างจริงจัง ‘พวกคุณยังไม่รู้เหรอ งานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าคนที่ร้องเวิร์สท่อนแรกของเพลงลูกโป่งไม่จบจัดอยู่ในกลุ่มภาวะไตพร่อง/อีโมจิหมายิ้มกรุ้มกริ่ม’

“อะไรวะเนี่ย”

เจียงขุยหัวเราะจนท้องแข็ง

ความจุปอดไปเกี่ยวอะไรกับภาวะไตพร่อง พวกชาวเน็ตบ้าๆ บอๆ ในปู้ลั่วนี่ตลกจริงๆ

เมื่อหัวเราะเสร็จ เจียงขุยก็พลันรู้สึกสะท้อนใจ

เป็นอีกครั้งที่เธอได้เห็นความยอดเยี่ยมของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงว่าต่อให้จับเพลงลูกโป่งไปใส่ในกลุ่มแห่งความตาย จะยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตขนาดนี้

ชาร์ตเพลงเดือนกุมภาพันธ์มีผลต่อจิตใจผู้คนนับไม่ถ้วน

สื่อออนไลน์บางสำนักของฉินโจวย่อมไม่พลาดหัวข้อบนปู้ลั่วซึ่งเกี่ยวข้องกับลูกโป่งชาเลนจ์อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นพลเมืองบันเทิง

นี่คือรายการบันเทิงรายการหนึ่ง

พิธีกรรายการเป็นผู้ชายหัวเหม่งคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเป็นอย่างมาก “เช้านี้ตื่นมาดู ในปู้ลั่วมีลูกโป่งชาเลนจ์ซึ่งดังมากทีเดียวครับ ผมนี่ถึงกับอึ้งเลย ยังคิดว่าขึ้นไปบนบอลลูนลมร้อนบนท้องฟ้าแล้วกระโดดลงมาซะอีก พอกดเข้าไปดูถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเพลงเพลงหนึ่ง ประโยคแรกของเนื้อเพลงคือสีแดงสีฟ้าสีเขียวสีดำ…เยี่ยมไปเลย ผมจำเนื้อเพลงไม่ได้ แต่ผมอุตส่าห์ไปนับพยางค์มาเลยนะ แค่ประโยคแรกของเพลงนี้ก็มีห้าสิบหกพยางค์แล้ว!”

พูดจนถึงตอนนี้

รายการก็เปิดเสียงร้องท่อนแรกของเจียงขุย

เมื่อเพลงจบ พิธีกรก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งครับ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านดนตรี ร้องเพลงเพราะ

มาก เขาพูดกับผมว่าคอมเมนต์ตอนไลฟ์วันนี้มีแต่คนให้เขาร้องเพลงลูกโป่ง สุดท้ายเขาร้องยังไงก็ร้องท่อนแรกไม่จบ ทรมานอยู่ตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าแฟนคลับจะหายไป แต่ดันมีแฟนคลับเพิ่มมาอีกหมื่นคนได้ เหมือนกับเพลงนี้แหละครับ ทำเอาใจหายใจคว่ำกันหมด”

พิธีกรเล่นมุกด้นสดได้อย่างแพรวพราว

ไม่ทันไรก็คุยกันมาถึงชาร์ตเพลงทั้งเดือนกุมภาพันธ์ “พวกเราทุกคนรู้ว่า เดือนกุมภาพันธ์และเดือนธันวาคมของ ทุกปีเป็นกลุ่มแห่งความตาย เป็นเพราะทั้งสองฤดูกาลการแข่งขันนี้จะมีนักร้องแถวหน้ามากมายปล่อยเพลงออกมา ปีนี้ก็เช่นกันครับ นักร้องแถวหน้าทั้งยี่สิบคนประชันกันบนเวทีเดียว ฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ให้ทุกคนดูชาร์ตซะหน่อย…”

พิธีกรพูดจบ ทีมงานรายการก็เปิด ‘ชาร์ต’ ของกลุ่มอันแสนพิเศษนี้

นี่เป็นภาพการ์ตูนของฝูงสุนัขป่า

บนสุนัขป่าทุกตัวจะเขียนชื่อเพลงที่เกี่ยวข้อง จากซ้ายไปขวาจะแสดงถึงอันดับของแต่ละเพลงในเดือนกุมภาพันธ์

ทว่าลำดับที่หกในฝูงสุนัขป่า

กลับมีเจ้าฮัสกี้ตัวหนึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า

บนหน้าผากของฮัสกี้ตัวนั้นเขียนไว้สองคำ ‘ลูกโป่ง’!

ชั่วขณะนั้น ผู้ชมซึ่งดูรายการนับไม่ถ้วนก็หลุดหัวเราะออกมา

ภาพนี้อธิบายอันดับของเดือนกุมภาพันธ์ได้อย่างชัดเจนมาก

ก็เพราะนอกจากเจียงขุยแล้ว นักร้องของสิบอันดับเพลงแรกบนชาร์ตล้วนเป็นนักร้องแถวหน้าที่โดดเด่นทั้งนั้น!

ได้ติดชาร์ตร่วมกับนักร้องแถวหน้ากลุ่มนี้ มิหนำซ้ำยังอยู่ในอันดับที่สูงทีเดียว เจียงขุยในฐานะนักร้องใหม่ ก็เป็นเจ้าฮัสกี้ที่ปะปนอยู่ในฝูงสุนัขป่าอย่างในภาพการ์ตูนไม่ใช่หรือ?

ช่วงสุดท้ายของรายการ

พิธีกรพูดว่า “เพลงลูกโป่งนำพาความเพลิดเพลินมาให้ทุกคน แต่ตอนที่ร้องเพลงนี้ ผมพบว่าออกซิเจนในปอดของผมน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หมดลมอย่างสิ้นเชิง ก็เหมือนกับลูกโป่ง จากพองจนแฟบ ผมคิดว่านี่อาจเป็นความหมายที่เซี่ยนอวี๋ใช้เพลงถ่ายทอดออกมาก็เป็นได้”

……

เมืองอวิ๋น ฉินโจว

หลินเหยาก็กำลังดูรายการพลเมืองบันเทิงอยู่เช่นกัน

ในฐานะที่เป็นน้องสาวของหลินเยวียน เธอเองก็รู้แล้วว่าพี่ชายคือเซี่ยนอวี๋ ก็ย่อมสนอกสนใจข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นธรรมดา

ในยามนี้เธอก็พลันรู้สึกสงสัยกับข้อสรุปของพิธีกร “พี่ พี่คิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า”

หลินเยวียนตอบ “งั้นก็ต้องรอดูว่าเพลงนี้จะกลายเป็นข้อสอบหรือเปล่าก่อน”

…………………………………..

บรรดานักร้องในฉินโจวแม้ว่าจะพากันตัวสั่นเทิ้มทันทีที่เอ่ยถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว เดือนกุมภาพันธ์กลับเป็นเดือนที่ควรค่าแก่การรอคอย เพราะในเดือนนี้มักจะมีเพลงใหม่ที่ยอดเยี่ยมรอคอยทุกคนอยู่

โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแบบนี้

นักเรียนล้วนแต่มีเวลาว่างมากมาย

ฉะนั้นในคืนระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ เหล่าแมวนอนดึกที่ชื่นชอบในเสียงเพลงก็จะเคลื่อนไหวกันเป็นวงกว้าง

แต่ละแอปพลิเคชันฟังเพลงใหญ่ในฉินโจวก็จะมียอดการใช้งานสูงมาก และยอดการฟังเพลงใหม่ที่โปรโมตก็น่าอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อดูในลิสต์เพลงโปรโมต

คนในบางแวดวงคุยกันว่า ‘เจียงขุยก็ปล่อยเพลงเหมือนกัน มีแบนเนอร์โปรโมตในต้าหมี่มิวสิก!’

‘เจียงขุยคือใครน่ะ’

‘คนที่ร้องเพลงปลายักษ์’

‘อ้อๆ เด็กคนนั้นเสียงเพราะมากเลย’

‘เพลงชื่อไร ฉันจะไปฟังบ้าง’

‘ชื่อ ‘ลูกโป่ง’’

‘ชื่อลูกโป่ง?’

‘อินเทอร์เน็ตเพิ่งถึง เรื่องเมื่อแปดสิบปีก่อนก็เอามาพูดได้[1]’

‘…’

เมื่อพูดถึงเจียงขุย คนจำนวนมากไม่รู้จัก แต่เมื่อพูดถึงปลายักษ์ ทุกคนก็พอจะมีภาพจำขึ้นมาแล้ว

เพลงนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น

ด้วยชื่อเสียงของเพลงปลายักษ์ ผู้คนจำนวนมากยังยินดีไปฟังเพลงใหม่ของเจียงขุยด้วย

กดเล่นเพลงลูกโป่ง

‘จงใจเกินไปหรือเปล่า’

นี่เป็นความรู้สึกแรกของผู้คนจำนวนมาก

ทุกคนไม่ได้รู้สึกต่อต้านเสียงหายใจ เพียงแค่รู้สึกว่าเสียงลมหายใจของนักร้องนั้นเกินจริงไปสักหน่อย ก็แค่ร้องเพลง จำเป็นต้องออกแรงมากขนาดนั้นเชียว?

อย่างไรก็ดี

พวกเขายังไม่ทันได้หยุดเล่นเพลง ท่อนร้องที่ตามมาก็ทำให้คนฟังซึ่งกำลังสวมหูฟังต่างตะลึงงันไปตามกัน ‘สีดำสีขาวสีแดงสีเหลืองสีม่วงสีฟ้าสีเขียวสีเทาของคุณของฉันของเขาของเธออันเล็กอันใหญ่อันกลมอันแบนทั้งดีทั้งเลวทั้งสวยน่าเกลียดทั้งใหม่ทั้งเก่าแต่ละรูปแบบแต่ละสีสันเชิญเลือกตามใจ…’

อะไรฟระ

เพียงชั่วอึดใจเดียว คนมากมายก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกขาดอากาศหายใจ ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกไปพร้อมกับนักร้องโดยไม่รู้ตัว

‘เฮือก’

นักร้องสูดอากาศหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ครั้งนี้ระดับเสียงในทำนองเปลี่ยนไปหลากหลายมาก ท่วงทำนองของเปียโนซึ่งเป็นเสียงพื้นหลังก็เร่งเร็ว ราวกับกำลังเลียนจังหวะของกลอง ‘โบยบินขึ้นสูงยิ่งไกลยิ่งดีตัดเชือกทิ้งเสียมันก็ตายไปชีวิตแสนสั้นสุขสันต์ก็ได้ชื่นชอบก็ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ยิ่งเปลี่ยนยิ่งเล็กน้อยลงทุกวันจะตายอยู่แล้วยังหยิ่งอยู่ได้’

อะไรฟระเนี่ย!

คนจำนวนมากอึ้งงันไป

เสียงในหูฟังสำแดงจุดเด่นออกมา ‘เธอไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดฉันไม่อยากฟังไม่อยากฟังอีกก็คิดแค่ว่าคำสาบานล้วนเป็นลูกโป่งปล่อยมันลอยไปฉันไม่สนใจไม่คิดสนใจก็ปล่อยมันไปปล่อยมันลอยไป’

ท่อนเวิร์สจบลงตรงนี้

ชั่วขณะนั้นผู้คนก็พลันรู้สึกถึงความผ่อนคลายบางอย่าง ไม่มีใครรู้สึกว่านักร้องจงใจทำเสียงลมหายใจอีกต่อไป

นักร้องคนนี้เกิดมาเพื่อท้าทายความจุปอดของนักร้องชัดๆ

‘สงสารนักร้องเลย…’

ในกลุ่มของแฟนเพลง อยู่ๆ ก็มีคนพูดประโยคนี้ขึ้นมา ในตอนนั้นเพลงที่เปิดฟังก็เข้าสู่ช่วงผ่อนคลายแล้ว ‘ลูกโป่ง ลอยเข้าหมู่เมฆ ลอยตามสายลม จบชีวิตลง ลูกโป่งลอยสู่ความรัก ลอยสู่หัวใจ ตายลงช้าๆ’

‘สงสารนักร้อง +1!’

‘เพลงนี้โชว์เทคนิคการร้องล่ะมั้ง’

‘ไม่หรอก โชว์ความจุปอดล้วนๆ’

‘เอ่อ ฉันแนะนำให้พวกเธอร้องตามดูสักท่อน…’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ร้องแค่เวิร์สแรกเลือดก็แทบไม่ไปเลี้ยงสมองแล้ว ไม่ไหวเลย ขอไปหายใจแป๊บ’

‘ผมก็ร้องไม่ได้’

‘ร้องถึงท่อนหลังก็หมดลมแล้ว’

‘…’

ในตอนนั้นก็มีคนในกลุ่มส่งข้อความมา ‘ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ถ้าร้องประโยคแรกของเพลงลูกโป่งไม่จบแปลว่าเป็นภาวะไตพร่อง’

และข้อความด้านบนก็ถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็ว

‘ฉันร้องได้!’

‘ฉันก็ร้องได้!’

‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่’

ทุกคนต่างคิดว่าตนเองทำได้

คนไม่น้อยที่ถึงขั้นพลีชีพลองอัดเสียงร้องท่อนแรกของเพลงนี้

มิหนำซ้ำ ในท่อนอินโทรของทุกคนก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างห้ามไม่อยู่ด้วย

หากว่ากันเรื่องทำนอง เพลงนี้ยังนับว่าจำง่าย ฟังผ่านหูก็ยังพอถูๆ ไถๆ ร้องออกมาได้

แต่ว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเสียงในเพลงนี้ เมื่อร้องไปจนถึงท่อนหลังกลับเรียกได้ว่าพังพินาศ พลอยทำให้คนฟังสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นลมเพราะขาดออกซิเจนหรือเปล่า

‘โคตรฮา’

‘ฟังพวกเธอร้องจบ ฉันละอยากเรียกรถพยาบาลไปให้’

‘ฟังดูแล้วคิดว่าตัวเองร้องได้ พอลองร้องไปรอบเดียวเท่านั้นแหละ ขาดใจตายเลย ถ้าลดคีย์ลงมาน่าจะพอมีหวัง’

‘เอาเถอะ ฉันทำไม่ได้’

‘ทุกวันนี้ถ้าอยากเป็นนักร้องต้องฝึกกลั้นหายใจก่อนเลย’

‘…’

การถกเถียงกันในกลุ่มนั้นคึกคักเป็นพิเศษ ไม่นานช่องคอมเมนต์ก็ร้อนแรงขึ้นมา ‘เพลงนี้ฆ่าพวกแชมป์คาราโอเกะตัวปลอมหมดแน่!’

‘เพลงนี้จะร้องตอนไหนก็ร้องไปเถอะ เพราะสุดท้ายแล้วก็หมดลมกันทั้งนั้น’

‘ฉันเป็นครูสอนผู้ประกาศข่าว คิดว่าพรุ่งนี้จะไปสอนนักเรียนในคลาสสักหน่อย’

‘ฉันต้องไปฝึกเพลงนี้ เปิดเทอมจะไปเฉิดฉายที่คาราโอเกะ!’

‘เฮ้อ ไม่มีความจุปอดเยอะก็อย่าคิดจะร้องเพลงนี้’

‘ไม่ ต้องให้ทั้งตัวกลายเป็นปอดถึงจะร้องได้’

‘เพลงนี้น่าจะชื่อว่าขาดออกซิเจนละมั้ง’

‘ฉันรู้สึกว่าตั้งชื่อเพลงนี้ว่าหมดลมจะเหมาะสมกว่า’

‘เพลงนี้ ประโยคแรกแทบจะทำฉันสิ้นใจ ร้องจบแล้วสภาพอนาถมาก’

‘…’

ประเด็นสำคัญของทุกคนไม่ได้อยู่ที่เพลงเป็นอย่างไรแล้ว

ทุกคนล้วนแต่ถกเถียงกันเรื่องความยากรวมไปถึงความรู้สึกของตนเองตอนลองร้องเพลง

มีคนบอกว่า ฟังเพลงเท่ากับฟังความรู้สึก

เพลงนี้กลับทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม

และในตอนนั้นก็เข้าสู่วันที่สอง

สิ่งแรกที่เหล่าโจวทำหลังจากที่มาถึงบริษัทก็คือเปิดชาร์ตเพลงใหม่ และค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าเพลงลูกโป่งอยู่บนอันดับที่เจ็ดของชาร์ต!

อะไรกันเนี่ย

ฉันตาฝาดไปแล้วเหรอ

สิ่งแรกที่เหล่าโจวสงสัยก็คือสายตาของตนเอง เพราะว่าการแข่งขันของเดือนกุมภาพันธ์กับเดือนธันวาคมนั้นเหมือนกัน เป็นกลุ่มแห่งความตาย!

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเดือนกุมภาพันธ์ถึงเป็นกลุ่มแห่งความตายน่ะหรือ

แค่มองรายชื่อที่บริษัทส่งมาเข้าร่วมสงครามก็กระจ่างแล้ว

ในรายชื่อมีนักร้องแถวหน้าทั้งหมดยี่สิบคน

หนึ่งในนั้นยังรวมไปถึงราชาเพลงสองคน ราชินีเพลงอีกหนึ่งคน!

แต่ในชาร์ตเพลงนี้ที่เต็มไปด้วยดาวจรัสแสง เพลงลูกโป่งของนักร้องกึ่งหน้าใหม่อย่างเจียงขุยถึงกับขึ้นไปถึง

อันดับที่เจ็ด!

“แม่เจ้าโว้ย…”

เจียงขุยร้องรวดเดียวแบบนี้

เท่ากับจัดการนักร้องแถวหน้าไปเท่าไหร่แล้วนะ

ใช่ เพลงลูกโป่งคุณภาพไม่เลว แถวนักร้องในเดือนกุมภาพันธ์ก็สุดยอดกันทั้งนั้น ผลงานแบบนี้เหลือเชื่อไปหน่อยแล้วมั้ง?

ในตอนนั้นเอง

เหล่าโจวก็ได้ยินคนในแผนกตะโกนว่า “ดูเร็ว! เพลงใหม่ของเซี่ยนอวี๋ติดฮ็อตเสิร์ชละ!”

เหล่าโจวรีบร้อนเปิดปู้ลั่ว

ปู้ลั่วเป็นเป็นสื่อสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตซึ่งใช้สำหรับเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลตามความสัมพันธ์ของผู้ใช้ ขณะเดียวกันก็เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในฉินโจว มีเพียงประเด็นที่ร้อนแรงมากๆ เท่านั้น ถึงจะไต่ขึ้นไปบนฮ็อตเสิร์ชได้!

ตอนนั้นเอง

ในอันดับที่สิบของฮ็อตเสิร์ช และเป็นอันดับสุดท้ายของชาร์ตประเด็นสนทนาบนปู้ลั่ว ก็เห็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเพลงลูกโป่ง

#ลูกโป่งชาเลนจ์

เมื่อกดเข้าไปดู ในนั้นก็เต็มไปด้วยวิดีโอที่ถูกแชร์ มีบัญชีผู้ใช้มากมาย รวมไปถึงเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ด้านดนตรีทั้งหลายก็ร้องเพลงใหม่ชื่อว่าลูกโป่งด้วยความท้าทาย

บางคนก็พอไหว

บางคนก็ร้องจนหายใจไม่ทัน

แต่บัญชีผู้ใช้ชื่อดังทุกบัญชีที่เข้าร่วมการท้าประลองในครั้งนี้ก็ล้วนแต่ได้รับกระแสที่ไม่น้อยกันถ้วนหน้า บรรดาแฟนคลับต่างคอมเมนต์เกี่ยวกับชาเลนจ์นี้กันอย่างคึกคัก

“ยังนิ่งอยู่ทำไมกัน!”

และที่แผนกประพันธ์เพลงในตอนนั้นเอง จ้าวเจวี๋ยแทบจะตะเบ็งเสียงบอกผู้จัดการใต้การดูแลทุกคนว่า “ให้ศิลปินของพวกเธอเข้าร่วมชาเลนจ์เพลงลูกโป่งในปู้ลั่วเดี๋ยวนี้!”

…………………………………………………


[1] อินเทอร์เน็ตเพิ่งถึง เรื่องเมื่อแปดสิบปีก่อนก็เอามาพูดได้ เปรียบเปรยว่าตามไม่ทันกระแส

ฉินโจวกว้างใหญ่มาก ในเมืองมีประชากรหนาแน่น

บริเวณที่หลินเยวียนอยู่นั้นเรียกว่าเมืองซู นี่คือหนึ่งในไม่กี่เมืองหลักที่เจริญที่สุดในฉินโจว และบ้านเกิดของเขาก็คือสถานที่ซึ่งเรียกว่าเมืองอวิ๋น

นั่งรถไฟความเร็วสูงหกชั่วโมง

ในที่สุดหลินเยวียนก็มาถึงเมืองอวิ๋น

“เจอกันตอนเปิดเรียน”

เจี่ยนอี้และซย่าฝานซึ่งเดินทางมาด้วยบอกลาหลินเยวียน

เมื่อส่งทั้งสองคนไปแล้ว หลินเยวียนไม่ได้กลับบ้านทันที แต่กลับนั่งรถเมล์ตรงไปยังห้างสรรพสินค้า และซื้อของจำนวนมาก

ทั้งหมดเป็นของขวัญให้แม่กับน้องสาว

ออกมาจากห้างสรรพสินค้า หลินเยวียนหิ้วถุงเล็กถุงใหญ่มาเต็มไม้เต็มมือ นั่งรถเมล์ไม่สะดวกเอาซะเลย จึงทำได้เพียงเรียกรถ

บ้านของเขาอยู่ทางทิศใต้ของเมือง

คล้ายกับเป็นพื้นที่หมู่บ้านในเขตเมือง

เดินมาถึงหน้าประตูบ้านอันคุ้นเคยในความทรงจำ หลินเยวียนเคาะประตู คนที่มาเปิดประตูเป็นเด็กหญิงหน้าตาสะสวยสวมชุดนอนตัวหนาคนหนึ่ง

“น้องสาว”

หลินเยวียนยิ้มพลางเอ่ยทักทาย นี่คือหลินเหยา น้องสาวของหลินเยวียน หน้าตาสะสวย ได้รับจุดเด่นถ่ายทอดมาจากบิดามารดาเช่นเดียวกับหลินเยวียน ปีนี้อยู่มัธยมปลายปีสาม

“พี่”

เด็กสาวพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม

หลินเยวียนเดินเข้าประตูไป เปลี่ยนเป็นใส่รองเท้าแตะ ก่อนจะตะโกนเข้าไปในบ้าน “แม่ ผมกลับแล้วครับ”

“กลับมาแล้วเหรอ”

แม่สวมผ้ากันเปื้อนพันรอบเอวออกมา มือยังคงเปื้อนเลือด “แม่กำลังทำปลาน้ำแดงให้อยู่พอดี”

“ครับ”

หลินเยวียนพูดพลางยกข้าวของเข้าไปในบ้าน หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งกับรองเท้าออกมา บอกกับน้องสาว “ของขวัญให้เธอ”

“ขอบคุณค่ะ”

หลินเหยารับของขวัญมาจากหลินเยวียน เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นเสื้อกันหนาวขนเป็ดชมพู จึงขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “หนูไม่ชอบสีชมพู”

“งั้นเธอชอบสีอะไรล่ะ”

หลินเหยาตอบโดยไม่ต้องยั้งคิด “สีขาว”

หลินเยวียนหยิบออกมาอีกชุด “แล้วอันนี้ล่ะ”

หลินเหยามองหลินเยวียนด้วยความตกใจ “แม่บอกว่าพี่รวยแล้ว ที่แท้แม่ก็ไม่ได้หลอกหนู งั้นพี่ให้หนูสักร้อยหยวนไปซื้อหนังสือเรียนได้มั้ย หนูมีคูปองลดราคา จริงๆ ต้องร้อยยี่สิบหยวน ซื้อหนึ่งร้อยลดยี่สิบ”

“ได้สิ”

หลินเยวียนพูดอย่างอารมณ์ดี “พี่ได้คูปองลดราคาร้านปลาเผามาจากห้างด้วย เอาไว้พวกเราไปกินกัน”

หลินเหยาพยักหน้า “อื้ม”

แม่ได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องก็ร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “มิน่าล่ะตอนเด็กๆ มีแต่คนพวกว่าพวกลูกสองพี่น้องนิสัยแปลก…”

“ทำไมล่ะครับ/คะ”

หลินเยวียนกับหลินเหยาหันไปมองแม่พร้อมกัน

แม่ยิ้มพลางโบกมือ ถึงว่าพี่น้องคู่นี้จะจัดอยู่ในบุคลิกพูดน้อยเงียบขรึม ไม่เหมือนกับพี่สาวที่ร่าเริงสดใส แต่เธอก็รู้ว่าลูกทั้งสามคนเข้ากันได้ดีมาก

หลินเยวียนนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา

หลินเหยาซึ่งปีนี้อยู่มัธยมปลายปีสามก็นั่งทำโจทย์อยู่บนโต๊ะ

ที่นี่เป็นบ้านสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น แสงไม่นับว่าสว่าง การประดับตกแต่งและเครื่องเรือนเรียบง่ายและทรุดโทรม ตัวอย่างเช่นโซฟาที่หลินเยวียนกำลังหย่อนก้นลงนั่งก็ทะลุตั้งหลายรู แต่ถึงแม้บ้านจะเก่าทรุดโทรม แต่ก็สะอาดสะอ้าน ข้าวของจัดเข้าที่เข้าทาง

รอเงินเดือนออกก็จะซื้อบ้านสักหลัง

ในใจของหลินเยวียนมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา

ไม่นานอาหารก็ทำเสร็จ ก่อนที่หลินเยวียนจะกลับบ้านเขาโทรมาหาแม่แล้ว ฉะนั้นตอนเที่ยงจึงมีอาหารสี่อย่างพร้อมสรรพ

ปลาน้ำแดง กระดูกหมูเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดพริกแห้ง ผักกวางตุ้งผัดเห็ดหอม รวมไปถึงน้ำแกงไข่มะเขือเทศ

“กินข้าวเถอะ”

ทั้งสามนั่งล้อมรอบโต๊ะ แม่เอ่ยด้วยความเสียดาย “พี่สาวลูกยังไม่หยุด ถ้าพี่เขาอยู่ที่นี่ ต้องกินกับข้าวพวกนี้หมดแน่”

หลินเยวียนพยักหน้า

พี่เป็นคนที่เก่งที่สุดของบ้าน

เมื่อเทียบกันแล้ว หลินเยวียนกับหลินเหยาจัดอยู่ในประเภทเลือกกิน ชอบกินแต่เนื้อสัตว์

แม่ยิ้มเตือน “กินผักกวางตุ้งด้วยสิ”

ดังนั้นหลินเยวียนกับหลินเหยาก็เลือกจิ้มผักกวางตุ้งขึ้นมาพร้อมกันหนึ่งชิ้น ทั้งสองใช้ตะเกียบแย่งกันคนละครึ่ง

“…”

แม่พูดอย่างยิ้มแย้ม “เหยาเหยา พี่ชายลูกตอนนี้เริ่มมีเงินแล้ว หลังจากนี้ลูกอยากได้อะไรก็ไปบอกพี่ชายลูกได้”

“อื้ม”

หลินเหยาดวงตาเป็นประกาย มองไปยังหลินเยวียน “พี่ งั้นช่วยหนูกินผักกวางตุ้งชิ้นนี้ให้หมดหน่อยได้มั้ย”

“คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์!”

หลินเยวียนปฏิเสธ “ว่ากันว่าคนที่กินผักกวางตุ้งจะหน้าเด็ก พี่มีเพื่อนคนนึงกินผักกวางตุ้งประจำ เขาเลยอายุหยุดที่สิบแปดตลอดกาล”

หลินเหยา “…”

หลินเยวียนย้ำเตือน “เขาอายุหยุดที่สิบแปดตลอดกาลเลยนะ”

หลินเหยาพูดด้วยความสับสน “พี่ นี่กำลังพูดมุกตลกอยู่เหรอ” เธอจับเค้าลางได้ว่าหลินเยวียนคล้ายกับกำลังเล่ามุกตลก แต่บรรยากาศและน้ำเสียงกลับไม่ยักเหมือนเอาซะเลย

หลินเยวียนไม่ตอบ เพียงแค่นึกเสียใจ ดูแล้วไม่ใช่เพราะอารมณ์ขันของตน แต่เป็นเพราะรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วเส้นตื้นไปหน่อย เขาจึงต้านทานมุกตลกของตนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

……

หลินเยวียนเริ่มวันหยุดของตนเองล่วงหน้า ทว่าแผนกต่างๆ ในสตาร์ไลท์กลับยังคงง่วนกับงานกันอยู่

แผนกศิลปิน

ในที่สุดเจียงขุยก็อัดเพลงลูกโป่งเสร็จ ในตอนนั้นกำลังไปรายงานผลการทำศึกกับจ้าวเจวี๋ย

ขณะนั้นเอง

เหล่าโจวก็ปรากฏตัวที่แผนกศิลปิน ตรงไปหาจ้าวเจวี๋ย “มีข่าวร้าย แผนช่วงตรุษจีนของพวกเราอาจมีการปรับเปลี่ยน”

“เกิดอะไรขึ้น”

จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เหล่าโจวถอนหายใจ “ก็ตรุษจีนปีนี้ บริษัทมีแผนทั้งหมดสิบเพลงไม่ใช่เหรอ มีเพลงหนึ่งในนั้นเกิดปัญหา ทางแผนกตรวจสอบตรวจเจอว่าทำนองของเพลงนั้นคล้ายกับทำนองเพลงไหนสักเพลงของฉู่โจว”

“คัดลอกผลงาน?”

“ไม่ใช่คัดลอกผลงาน ฉันเข้าใจนักแต่งเพลงคนนั้นนะ เขาน่าจะเคยได้ยินเพลงนั้นโดยบังเอิญเลยเขียนทำนองที่คล้ายกันออกมาโดยไม่ตั้งใจ เรื่องแบบนี้ที่แผนกประพันธ์เพลงไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”

“งั้นปีนี้มีเก้าเพลงไม่ได้เหรอ”

ผลงานของนักแต่งเพลงจะทำนองไปคล้ายคลึงกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก โดนเฉพาะพวกเพลงฮิต คอร์ดที่ทุกคนใช้มักจะใกล้เคียงกัน

“ไม่ได้”

เหล่าโจวเองก็กำลังหงุดหงิดใจ “ทรัพยากรในการโปรโมตเพลงนี้จัดสรรเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ปล่อยละก็น่าเสียดายไปหน่อย พวกเราก็ดันสุ่มปล่อยเพลงออกไปมั่วๆ ไม่ได้อีก ไม่งั้นคงเสียทรัพยากรโปรโมตดีๆ ไปโดยเสียเปล่า”

“งั้นเปลี่ยนเป็นเพลงของใครล่ะ”

ทั้งสองมองกันไปมา เธอมองฉันฉันมองเธอ สุดท้ายก็หันหน้าไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สายตามองเจียงขุยซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

“ฉันเหรอคะ?”

เจียงขุยปากเผยอเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นก็พลันเข้าใจความหมายของทั้งสอง จึงโอดครวญขึ้นมา “เพลงลูกโป่งเป็นเพลงฉันที่เตรียมไว้ปล่อยเดือนมีนา…”

“ฉันเข้าใจแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยถอนหายใจ “คุณภาพของเพลงลูกโป่งไม่เลวเลย ปล่อยไปเดือนมีนาน่าจะติดชาร์ตได้ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เพลงเดือนกุมภาของพวกเรายังขาดอีกหนึ่งเพลง”

“แต่เดือนกุมภาเป็นกลุ่มแห่งความตาย นักร้องแถวหน้าเยอะแยะขนาดนั้นแข่งกัน”

เจียงขุยน้อยอกน้อยใจ กลุ่มแห่งความตายหมายความว่าชาร์ตเพลงในเดือนกุมภาพันธ์จะแข่งขันกันดุเดือดมาก ตอนนั้นเพลงปลายักษ์ปล่อยออกมาในกลุ่มแห่งความตายเดือนสิบสอง ทำให้ได้อันดับที่ไม่ดีสักเท่าไรนัก

นี่คือความน่ากลัวของกลุ่มแห่งความตาย!

เพลงที่ได้อันดับหนึ่งในเดือนอื่นๆ เมื่อมาปล่อยในเดือนกุมภาพันธ์ อาจไม่ติดสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ”

เหล่าโจวเอ่ยปลอบ “แต่เดือนกุมภาพวกเราขาดไปหนึ่งเพลง และคุณภาพเพลงนี้ของเธอก็ค่อนข้างดี ถ้าเกิดดังขึ้นมาล่ะ”

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้า

เจียงขุย “…”

ไม่กล้าถามอะไร และไม่กล้าพูดอะไร

ยังไงแขนก็พันรอบขาไม่ไหว เธอทำได้แค่ยกหลินเยวียนขึ้นมาเป็นโล่กำบัง “พวกคุณแจ้งกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋เถอะค่ะ”

“ฉันโทรศัพท์ก่อน”

เหล่าโจวพูด ก่อนจะต่อสายหาหลินเยวียน ในตอนนั้นหลินเยวียนกำลังออกไปซื้อหนังสือเรียนเป็นเพื่อนน้องสาวข้างนอก เขารับโทรศัพท์ รับทราบเรื่องราว ตอบไปว่า

“ได้ครับ”

เหล่าโจววางสายโทรศัพท์ “ทางหลินเยวียนไม่มีปัญหา พวกเราก็…แค่ก ก็ตัดสินใจกันตามนี้”

อาจารย์เซี่ยนอวี๋ตกหลุมพรางแล้วเหรอ

แววตาของเจียงขุยเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ทำไมฉันต้องมาเจอกับกลุ่มแห่งความตายอีกแล้วเนี่ย

ลูกโป่งเป็นเพลงที่ไม่เลวก็จริง เมื่อใส่ไว้ในเดือนมีนาคมก็มีโอกาสทำผลงานได้สูง ทว่าเมื่อใส่ไปในกลุ่มแห่งความตายของเดือนกุมภาพันธ์ จะไม่กลายเป็นตัวตายตัวแทนของคนอื่นหรอกหรือ?

……………………………………

หลังจากหลินเยวียนไป โจวรุ่ยหมิงก็ฟังเพลงลูกโป่งอีกครั้ง

“คุณภาพไม่เลวก็จริง…”

ฟังครั้งที่สอง เหล่าโจวยังคงประเมินออกมาเหมือนเดิม

เพลงนี้ไม่ได้ทำให้เหล่าโจวตกตะลึงทันทีที่ได้ยินเหมือนกับเพลงปลายักษ์

แต่เหล่าโจวเข้าใจดีว่านี่สิถึงจะปกติ

ไม่มีนักประพันธ์เพลงคนไหนที่ทำได้ถึงขั้นที่ผลงานทุกชิ้นที่ปล่อยออกมาจะกลายเป็นเพลงดัง

หลังจากที่หลินเยวียนทำเพลงดังออกมาติดต่อกันสามเพลง แล้วยังส่งเพลงใหม่ที่คุณภาพไม่เลวมาอีก ก็ทำให้เหล่าโจวพึงพอใจมากแล้ว

“เพลงนี้เหมาะที่จะปล่อยเดือนมีนา ยังไงเดือนหน้าก็มีแต่เทพเซียนสู้กัน…”

เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงเดือนกุมภาพันธ์จึงเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลของนักร้องหลายคน

ต้องเข้าใจก่อนว่า

กลุ่มแห่งความตายในเดือนธันวาคม ต่อให้เป็นเพลงระดับปลายักษ์ ก็คงทะลวงไปได้แค่อันดับสิบเท่านั้น

เหล่าโจวได้ศึกษาสถิติมาแล้ว

หลังจากวิเคราะห์จึงได้ข้อสรุปว่า ต่อให้ในตอนนั้นเพลงปลายักษ์เข้าไปในชาร์ตตั้งแต่ต้นเดือน สุดท้ายแล้วน่าจะเก็บได้สักประมาณอันดับห้า

เมื่อนึกถึงตรงนี้

เหล่าโจวก็ติดต่อจ้าวเจวี๋ย พร้อมกับส่งเพลงลูกโป่งไปให้

“เพลงของหลินเยวียน?”

จ้าวเจวี๋ยฟังเพลงจบ ก็พูดด้วยความตกใจ “หลินเยวียนผลิตเพลงเร็วจริงๆ”

เหล่าโจวเห็นด้วย “ผลิตเพลงเร็วจริงๆ แถมเพลงครั้งนี้คุณภาพก็ไม่เลวด้วยนะ ถึงภาพรวมจะรู้สึกว่าสู้เพลงก่อนๆ ไม่ได้ แต่ฉันก็คิดว่าถ้าปล่อยเดือนมีนาก็มีหวังแตะที่หนึ่งนะ อีกอย่างคือเขาบอกว่าให้เจียงขุยมาร้อง”

“เจียงขุยเหรอ”

จ้าวเจวี๋ยครุ่นคิด “หลังจากเพลงปลายักษ์ ชื่อเสียงของเจียงขุยดีมากทีเดียว บริษัทคิดจะอุ้มชูเจียงขุยจริงๆ ถ้าจะให้เธอร้องเพลงนี้ฉันไม่มีความเห็นอะไร”

“อื้ม”

เหล่าโจวไตร่ตรอง พูดว่า “สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจก็คืออินโทรยาวมาก ฉันฟังเพลงมาตั้งเยอะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอินโทรยาวขนาดนี้”

จ้าวเจวี๋ยกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร เจียงขุยเป็นนักร้องมืออาชีพ เรื่องนี้ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง”

เหล่าโจวขบคิด แล้วตอบไปว่า “ก็จริง”

……

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยคก็ยืนยันแผนงาน

และหลังจากที่เจียงขุยได้รับแจ้งไป เธอก็ตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงนั้น

อาจารย์เซี่ยนอวี๋ให้เพลงใหม่เธอมาร้องจริงๆ ด้วย!

เดิมทีก็แค่ประจบประแจง ประจบจนถึงวินาทีสุดท้าย และก็ได้มาสมใจปรารถนาจริงๆ!

กระนั้นแล้วทันทีที่เห็นเนื้อเพลงลูกโป่ง เจียงขุยถึงได้รู้ว่าตนเองดีใจเก้อเกินไปหน่อย

โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเข้าไปในห้องอัดเสียง เธอถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมเมื่อวานหลินเยวียนถึงถามตนว่าความจุปอดเป็นอย่างไร

ก็เพราะว่าเพลงนี้ทำให้เธอหาย! ใจ! ไม่! ทัน!

ถามว่าหายใจไม่ทันถึงขนาดไหนน่ะเหรอ

แค่ดูเนื้อเพลงท่อนแรกก็รู้แล้วละ ‘สีดำสีขาวสีแดงสีเหลืองสีม่วงสีฟ้าสีเขียวสีเทาของคุณของฉันของเขาของเธออันเล็กอันใหญ่อันกลมอันแบนทั้งดีทั้งเลวทั้งสวยน่าเกลียดทั้งใหม่ทั้งเก่าแต่ละรูปแบบแต่ละสีสันเชิญเลือกตามใจ’

เจียงขุยอุตส่าห์นับพยางค์

ใช่แล้ว ยี่สิบหกพยางค์เต็มๆ!

อีกทั้งระหว่างคำก็ไม่มีโอกาสได้หายใจหายคอเลย

ท่อนแรกของเวิร์สจะต้องเชื่อมคำพวกนี้เข้าด้วยกัน จากนั้นก็ร้องให้ครบทุกคำ

เดินเข้าไปในห้องอัดเสียง

เจียงขุยอัดเสียงครั้งแรก ยามที่ร้องเวิร์สท่อนแรกก็ฝืนร้องต่อไป แต่เมื่อร้องจบเจียงขุยก็หายใจไม่ทันอย่างรุนแรง ต้องใช้เวลาอีกหลายวินาทีถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น

โดยเฉพาะไม่กี่คำสุดท้าย กลายเป็นว่าเจียงขุยร้องลูกคอออกมา เสียงสั่นจนฟังได้ชัด

นี่แสดงให้เห็นว่าลมหายใจไม่มั่นคงพอ

เจียงขุยไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนร้องเพลงแล้วลมหายใจไม่มั่นคงขนาดนี้!

“ฉันพูดได้เลยว่าสมแล้วที่เป็นเซี่ยนอวี๋ เพลงใหม่ครั้งนี้พิเศษสุดๆ…”

ซาวด์เอนจิเนียร์ก็ประหลาดใจกับเพลงนี้ “ต่อให้เป็นนักร้องระดับมืออาชีพในบริษัท จะให้ร้องเพลงที่มีหลายคำรวดเดียวแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสบายๆ หรอก”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”

ซาวด์เอนจิเนียร์อีกคนหนึ่งในสตูดิโอส่งเสียงชมเชย “ถ้าแค่ท่อนแรกของเวิร์สยาวก็ว่าไปอย่าง ที่น่ากลัวก็คือส่วนอินโทรของเพลงนี้เสียงไม่ต่ำเลย สำหรับนักร้องแล้ว เสียงยิ่งสูงก็ยิ่งยากที่จะร้องเวิร์สจนจบในลมหายใจเดียว”

“ให้ฉันลองเถอะค่ะ”

เจียงขุยบอกกับซาวด์เอนจิเนียร์หนึ่งประโยค จากนั้นก็ลองอยู่หลายครั้ง และนั่นทำให้เจียงขุยยิ่งมึนหัวขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเพราะในเพลงนี้ ทุกครั้งที่เจียงขุยอ้าปากร้อง ก็จะต้องสูดลมหายใจเยอะมาก!

ตอนจบของทุกประโยค กับตอนเริ่มของประโยคถัดไป ส่วนเชื่อมจะต้องสูดลมหายใจเร็วถึงจะได้

และหลังจากที่สูดลมหายใจไปแล้วเฮือกใหญ่ ก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทุกคำจะต้องงับอย่างไม่เบาและไม่หนัก ถ้าใช้ลมหายใจที่คำไหนหนักเกินไป จังหวะทั้งหมดก็จะขาดท่อนไป

สุดท้ายแล้ว

ต่อให้เจียงขุยจะทำทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นได้ ก็ยังไม่ระวังหมดลมหายใจช่วงไม่กี่คำสุดท้าย

คนทั่วไปอาจฟังไม่ออก

ถึงขั้นที่สำหรับคนทั่วไป การขับร้องของเจียงขุยนั้นสมบูรณ์แบบแล้ว

ทว่าสำหรับนักร้องที่มีมาตรฐานของตนเองสูง เจียงขุยเป็นคนที่ไม่ยอมให้ลมหายใจในสองสามคำสุดท้ายของตนไม่พอ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกผิดต่อเพลงนี้ที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋เขียน ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาครึ่งค่อนวันอัดเพลงนี้อยู่ในห้องอัด สาบานว่าจะต้องอัดเพลงนี้ออกมาให้ได้ถึงระดับสมบูรณ์แบบที่สุด

“ต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ตกเย็นก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจออกมา ซาวด์เอนจิเนียร์จึงเสนอให้เลิกงานชั่วคราว

เจียงขุยร้องเพลงลูกโป่งได้ เรื่องนี้ไร้ซึ่งข้อสงสัย

แต่อยากร้องออกมาได้ถึงระดับสมบูรณ์แบบ งั้นก็ต้องให้เจียงขุยอัดเพลงไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เพลงธรรมดา

“เจียงขุย?”

ไม่มีเสียงตอบรับ ซาวด์เอนจิเนียร์อดมองไปยังเจียงขุยไม่ได้ และเขาก็พบว่าเจียงขุยกำลังนั่งแผ่หลาไปกับเก้าอี้ แลบลิ้นออกมาข้างนอก

“แฮ่กๆๆ…”

ซาวด์เอนจิเนียร์ทั้งสองรู้สึกขบขัน

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เข้าใจเจียงขุยอย่างดี ท่อนอินโทรของเพลงนี้เขียนได้ผิดมนุษย์มนาไปหน่อย

“ฉันมีไอเดีย”

ซาวด์เอนจิเนียร์ทางซ้ายกล่าว “รอให้เพลงที่อัดเวอร์ชันทางการออกมา พวกเราไม่ต้องลบเสียงหายใจ แบบนี้อาจดูเรียลกว่า”

“จะไม่ส่งผลกับความรู้สึกตอนฟังเหรอ”

ซาวด์เอนจิเนียร์ด้านขวาถามอย่างกังวล

สตูดิโอตัดต่อเสียงมีเทคนิคในมิกซ์เสียงเพื่อตัดเสียงลมหายใจออก

เสียงหายใจระหว่างการขับร้องที่ดังเกินไปทำให้แปลกอยู่บ้าง และจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในการฟังเพลง ดังนั้นโดยทั่วไปในขั้นตอนการมิกซ์เสียงนั้นจะทำให้เสียงหายใจของนักร้องเบาลง หรือถึงขั้นตัดทิ้งไปเลย

“ไม่เป็นไร”

ซาวด์เอนจิเนียร์คนซ้ายตอบ “วิธีการทั้งหมดที่ทำก็เพื่อให้ผลงานและเสียงน่าฟังขึ้น นี่คือประเด็นสำคัญ การอัดเสียงไม่มีแบบแผนที่ผิดหรือถูก เพลงรักที่มีอารมณ์ค่อนข้างหลากหลายไม่ชอบเก็บเสียงลมหายใจไว้ใช่มั้ยล่ะ พวกเราก็เก็บเสียงลมหายใจของเพลงลูกโป่งไว้ คนที่ฟังเพลงถึงจะเข้าใจถึงเอกลักษณ์ของเพลงนี้ยิ่งขึ้น”

“ก็จริง”

ซาวด์เอนจิเนียร์ด้านขวาถูกโน้มน้าวสำเร็จแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะ “เสียงหายใจของเพลงลูกโป่งนี่ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ เปิดมาประโยคแรกยังไม่ทันร้อง นักร้องก็สูดลมหายใจซะเฮือกใหญ่แล้ว ถ้าจะให้คนฟังจับไม่ได้ น่ากลัวว่าจะยาก”

“ฉันว่าได้ค่ะ”

เจียงขุยฟื้นคืนสภาพขึ้นมาแล้ว ถึงแม้สมองจะยังคงมึนงง แต่อย่างน้อยก็สนทนากับซาวด์เอนจิเนียร์ได้เป็นปกติแล้ว “พวกเราเก็บเสียงลมหายใจของเพลงนี้ไว้เถอะค่ะ คนจะได้ไม่พูดว่าผลงานสตูดิโอเราขาดความเรียล”

…………………………………………

ตกเป็นรองแล้ว

การโจมตีครั้งนี้ของเจียงขุยตอกหน้าของซุนเย่าหั่ว ถึงขั้นที่รู้สึกยำเกรงอยู่บ้าง

เจียงขุยเป็นคู่ปรับที่น่าเคารพ

และคำพูดต่อมาของหลินเยวียนก็ดันไปทำให้ซุนเย่าหั่วขุ่นเคืองขึ้นมา!

นั่นก็เพราะหลินเยวียนถึงกับเอ่ยปากถามเจียงขุยประโยคหนึ่งว่า “หลังจากนี้มีแผนจะปล่อยเพลงมั้ยครับ”

ตึกตัก!

ตึกตัก!

เจียงขุยหัวใจเต้นรัวขึ้นมาฉับพลัน เดิมทีเธอเพียงแค่อยากสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ต่อหลินเยวียน ไม่อยากแพ้ซุนเย่าหั่ว

แต่เธอก็ไม่คิดว่าตนจะประจบประแจงจนได้โอกาสร่วมงานจริงๆ ชั่วขณะนั้นเธอเข้าใจแล้วว่าทำไมซุนเย่าหั่วถึงเลียแข้งเลียขาสุดแรงเกิดแบบนั้น “หลังตรุษจีนจะออกเพลงค่ะ แต่ยังไม่เจอผลงานที่เหมาะสม…”

ซุนเย่าหั่วอิจฉาจนตาลุกเป็นไฟ

เปลวเพลิงแห่งความริษยากำลังลุกโหมพร้อมเผาไหม้!

หลินเยวียนพยักหน้า “งั้นค่าความจุปอดน่าจะพอได้ใช่มั้ยครับ”

เจียงขุยผงกศีรษะอย่างแรง “ก่อนหน้านี้ตอนเรียนขับร้องเคยฝึกขยายปอดมาโดยเฉพาะค่ะ!”

“ส่วนแบ่งล่ะครับ?”

นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่หลินเยวียนสนใจ

เจียงขุยนั้นไหวพริบดีมาก ตอบไปโดยแทบไม่ลังเล “ถ้าได้ร่วมงานกับอาจารย์หลินเยวียนอีกครั้งละก็ ฉันจะรับส่วนแบ่งตามที่อาจารย์เสนอ อาจารย์ให้เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ!”

“อืม…”

นับว่ายอดฝีมือในการต่อรองราคา

หลินเยวียนขมวดคิ้วน้อยๆ

อันที่จริงสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือคำพูดที่ว่า ‘ให้เท่าไหร่ก็ได้’ เพราะนั่นหมายความว่าปัญหาจะถูกโยนกลับมาอีก

ให้น้อยเกินไป ตนก็จะรู้สึกเกรงใจ

ถ้าให้มาก ตนก็จะรู้สึกปวดใจอีก

เจียงขุยกำลังรอคำพูดต่อไปของหลินเยวียน แต่กลับพบว่าหลินเยวียนไม่พูดต่อแล้ว หัวใจก็พลันระส่ำขึ้นมา

ฉันพูดอะไรผิดเหรอ

กลับเป็นซุนเย่าหั่วที่รีบร้อนขึ้นมา

แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งของเจียงขุย แต่เมื่อเห็นว่าเจียงขุยกำลังจะพลาดโอกาสหายากไป สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวต้องเข้าไปช่วย แสดงละครด้นสนเพื่อเตือนสติ “ถ้านายจะร่วมงานกันฉันละก็ ฉันจะไม่รับส่วนแบ่งเลย”

ครั้งก่อนกินข้าวกับหลินเยวียน ซุนเย่าหั่วพอจะจับจุดของหลินเยวียนได้แล้ว

เจียงขุยรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ใช่ ฉันไม่เอาส่วนแบ่งได้ค่ะ!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินเยวียนก็วางใจแล้ว

เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ได้คืบจะเอาศอก ไม่มีทางโลภมากถึงขนาดนั้นจริงๆ “งั้นพวกเราอิงตามเกณฑ์ส่วนแบ่งเดิมก็แล้วกัน ผมมีเพลงหนึ่งอยู่ เหมาะกับคุณมาก”

เพลงที่หลินเยวียนพูดถึงก็คือ ‘ลูกโป่ง’

เพลงนี้ต้องใช้ผู้หญิงซึ่งความจุปอดสูงมากมาร้อง ความจุปอดของเจียงขุยก็มากพอ นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

ส่วนกฎเดิม ก็คือนักร้องได้ส่วนแบ่ง 0.5 ส่วน

เจียงขุยมีหรือจะไม่ยินดี?

ความจริงแล้วเธอก็เหมือนกับซุนเย่าหั่ว ต่อให้ไม่ได้เงินก็รับ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ารัวด้วยกลัวว่าหลินเยวียนจะเปลี่ยนใจ “ได้ค่ะ ได้เลย!”

พูดจบ

เจียงขุยก็เหลือบมองซุนเย่าหั่วด้วยความรู้สึกขอบคุณ เธอไม่รู้เลยว่าที่แท้อาจารย์หลินเยวียนกำลังขบคิดปัญหาเรื่องส่วนแบ่ง

ได้ผลจริงด้วย!

ซุนเย่าหั่วก็เพียงจะลองเตือนสติเจียงขุยดูเท่านั้น นึกไม่ถึงว่ารุ่นน้องจะชอบวิธีนี้จริงๆ นั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนก็คล้ายกับจะมีความหวังเหมือนกัน!

……

วันต่อมา หลินเยวียนส่งต้นฉบับของเดือนหน้าเข้าอีเมลของหยางเฟิง ถึงยังไงระบบก็แบ่งเล่มมาให้แต่แรกแล้ว

ตอนนี้ก็เป็นช่วงปลายเดือนแล้ว

สถานศึกษาทั่วประเทศล้วนย่างเข้าสู่ช่วงปิดเทอมฤดูหนาว

นักศึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวต่างคนต่างเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านพรุ่งนี้

หลินเยวียนก็อยากกลับบ้าน

ดังนั้นหนึ่งวันก่อนปิดเทอมฤดูหนาว เขาจึงไปที่บริษัทเพื่อลาหยุดกับเหล่าโจว

เพราะว่าตามสัญญาแล้ว ยามที่เขาไม่มีเรียน ก็ต้องเข้าบริษัทมาทำงาน ถ้าไม่ทำงานจะถือว่าโดดงานและจะถูกหักเงินเดือน

เมื่อลาหยุดแล้วก็หมดปัญหา

เข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงที่ชั้นสิบ หลินเยวียนก็พบว่าในนั้นว่างเปล่า จึงไปถามอู๋หย่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานว่าเหล่าโจวอยู่ที่ไหน

อู๋หย่งกล่าว “ปกติแล้วหัวหน้าจะทำงานที่ออฟฟิศชั้นยี่สิบสอง นายจะทำอะไรล่ะ”

หลินเยวียนตอบ “ลาหยุดครับ”

อู๋หย่งส่ายหน้า “ฉันขอแนะนำให้นายเลิกคิดไปเถอะ ปกติแล้วลาหยุดน่ะไม่ยากหรอก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ก่อนช่วงหยุดประจำปี จะมีคนไปลาหยุดกับเหล่าโจวเยอะแยะเลย แต่กลับถูกเหล่าโจวบ่นยับ ยังไงปีใหม่ก็จะเริ่มแล้ว นักร้องหลายคนก็จะปล่อยเพลง เป็นช่วงที่แผนกประพันธ์เพลงกำลังงานยุ่งเลยล่ะ”

“ผมจะลองดู”

หลินเยวียนพูดจบก็ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานหัวหน้าที่ชั้น 22

“…”

อู๋หย่งเห็นว่าโน้มน้าวไม่ได้ผล ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รอให้หลินเยวียนถูกปฏิเสธกลับมาก็รู้เองว่าการลาหยุดก่อนช่วงวันหยุดประจำปีนั้นยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน

เข้าไปในชั้นยี่สิบสอง

ทันทีที่หลินเยวียนเดินไปถึงประตูห้องทำงานของเหล่าโจว ก็ได้ยินเหล่าโจวกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ลาหยุด? ไม่ได้! อย่าคิดว่านายเป็นนักแต่งเพลงระดับสูงแล้วฉันจะตามใจนายนะ! แผนกศิลปินมีนักร้องที่เตรียมปล่อยเพลงใหม่หลังตรุษจีนตั้งเท่าไหร่นายก็รู้ดี ในเวลาแบบนี้นายไม่ต้องคิดจะหาเวลาว่างเลย! ที่จริงจะลาหยุดมันก็ได้ แต่นักแต่งเพลงทุกคนในแผนกประพันธ์เพลงถ้าอยากลาหยุด ก็ต้องส่งเพลงดีๆ มาให้ฉันก่อน!”

“ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”

พี่ชายคนที่ถูกเหล่าโจวต่อว่าเดินออกมาจากห้องทำงานด้วยสภาพหดหู่

ในตอนนั้นเหล่าโจวสังเกตเห็นหลินเยวียนที่หน้าประตู ไม่อยากดูดุดันเกินไป จึงเค้นรอยยิ้มออกมา “หลินเยวียน นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “ลาหยุดครับ”

เหล่าโจว “…”

รอยยิ้มของเขาค่อยๆ เลือนหายไป

นายไม่เห็นเหรอว่าเจ้านั่นที่มาลาหยุดเมื่อกี้เพิ่งจะถูกฉันสาปส่งไป?

เขากระแอมครั้งหนึ่ง ไม่อยากดูน่ากลัว แต่น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้าง “ตอนนี้นายน่าจะปิดเทอมหน้าหนาวอยู่ใช่มั้ย ตามสัญญาแล้วปิดเทอมหน้าหนาวนายก็ยังต้องมาทำงาน”

“อื้ม”

หลินเยวียนหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเหล่าโจว “ถ้าส่งเพลงแล้วก็ลาหยุดได้ใช่มั้ยครับ”

เหล่าโจวแทบสะอึก “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่คุณภาพของเพลงที่นายส่งต้องผ่านก่อนถึงจะได้ หลังตรุษจีนพวกนักร้องก็จะมีออเดอร์มา นักร้องเบอร์ใหญ่บางคนถึงกับมีแผนปล่อยอัลบั้ม สำหรับแผนกประพันธ์เพลงของเราแล้วดีมานด์เพลงนั้นเยอะมาก…”

“เพลงนี้ได้มั้ยครับ”

หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์ออกมา ส่งเพลงลูกโป่งต่อหน้าเหล่าโจว

“เพลงใหม่?”

เหล่าโจวจ้องมองหลินเยวียน

หลินเยวียนพยักหน้า “เพลงใหม่ฮะ”

เหล่าโจวไม่ได้พูดอะไรมาก หยิบหูฟังขึ้นมาฟังทันที

หลังจากฟังจบ ต่างคนต่างมองหน้ากัน

เพลงใหม่ของหลินเยวียนคุณภาพไม่เลว ถึงแม้จะเทียบกับพวกปลายักษ์ไม่ได้ แต่ระดับของความติดหูก็ไม่มีปัญหา

ทว่าหลินเยวียนจะไม่ผลิตผลงานเร็วไปหน่อยเหรอเนี่ย

ก่อนหน้านี้ตนยังคิดเสียอีกว่าหลินเยวียนเค้นสมองจนหมดแล้ว ไม่คิดว่าจะเขียนเพลงใหม่ที่ฟังแล้วใช้ได้ออกมาอีก

หลินเยวียนถาม “ลาหยุดได้แล้วใช่มั้ยครับ”

เหล่าโจวพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเครื่องจักรกล “ดะ…ได้…เพลงนี้นายคิดว่าจะให้ใครร้อง”

หลินเยวียนคิดมาในใจแล้ว “เจียงขุย”

เจียงขุย?

เหล่าโจวครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย “เจียงขุยมีแผนจะออกเพลงใหม่ แล้วก็กำลังอยู่ระหว่างการเลือกเพลง เพลงลูกโป่งนี้เหมาะมาก เจียงขุยน่าจะไม่ปฏิเสธ”

“อื้ม”

หลินเยวียนพูด “งั้นผมไปได้หรือยังครับ”

เหล่าโจวจนปัญญากับหลินเยวียน ทำได้เพียงยิ้มขื่น “ได้ นายไปเถอะ ถึงยังไงนายก็ส่งงานก่อนสิ้นปีมาเรียบร้อยแล้ว”

เขาไม่เจอปัญหาของเพลงลูกโป่งเลย

หลินเยวียนพยักหน้า กลับไปยังชั้นสิบ อู๋หย่งเห็นว่าหลินเยวียนกลับมา จึงหยอกว่า “เป็นยังไง ฉันบอกแล้วใช่มั้ยล่ะ เวลาแบบนี้น่ะ หัวหน้าไม่มีทางให้หยุด”

“ลาได้แล้วครับ”

หลินเยวียนพูดพลางเก็บข้าวของของตัวเอง

อู๋หย่งอึ้งงันไปหลายวินาที จู่ๆ ก็ดีอกดีใจขึ้นมายกใหญ่ “ปีนี้หัวหน้าพูดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เหอะๆ งั้นฉันจะไปลาหยุดบ้าง!”

 “อื้ม”

หลินเยวียนกลับไปเก็บของที่โต๊ะ

เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว กำลังจะออกไป ก็เจอกับอู๋หย่งที่เพิ่งกลับมา หลินเยวียนเลยถามไปด้วยความเป็นห่วง “ลาได้แล้วใช่มั้ยครับ”

“…”

อู๋หย่งมองหลินเยวียนอย่างขุ่นเคือง “ฉันโดนหัวหน้าด่ามา ทำไมนายไม่บอกแต่แรกล่ะว่านายส่งเพลงใหม่ไปแลกวันหยุด”

“ใช่ครับ”

หลินเยวียนพูดอย่างเป็นปกติ “พี่ก็ส่งเพลงใหม่ไปแลกก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

อู๋หย่งรู้สึกเดือดดาล “ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะมีเพลงที่เอาไปแลกวันหยุดได้”

หลินเยวียนขบคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบ “ผมทำได้ พี่ก็ทำได้”

พูดไป หลินเยวียนก็สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กขึ้นหลัง เดินออกไปอย่างมีความสุข

อู๋หย่งยืนตะลึงงันมองไล่หลังหลินเยวียน หวนนึกถึงน้ำเสียงสบายๆ ของหลินเยวียน ในยามนั้นก็พลันนึกสงสัยในตัวเอง

เขียนเพลงใหม่ที่คุณภาพดีออกมามันง่ายขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?

…………………………………………..

 

หลินเยวียนเองก็รู้เรื่องที่ปรินซ์ออฟเทนนิสดังเป็นพลุแตกแล้ว เพราะช่วงนี้เจี่ยนอี้กับซย่าฝานก็มักพูดคุยกันถึงหนังสือเล่มนี้

โดยเฉพาะเจี่ยนอี้

เขาพูดคุยกับซย่าฝานเกี่ยวกับนิยาย และยังไม่ลืมที่จะกระทบกระเทียบหลินเยวียน “ในตอนนี้นายรู้ถึงความยากของซูเปอร์โนวาแล้วใช่มั้ย หลังจากนี้ก็ตั้งใจทำงานนะ ไม่ต้องคิดจะเขียนนิยายหาเงินอีก นอกจากว่านายจะเป็นแบบฉู่ขวง เขียนนิยายสนุกๆ เหมือนปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาแบบนี้”

คล้ายกับว่าเจี่ยนอี้กับซย่าฝานทึกทักไปแล้วว่าหลินเยวียนไม่ประสบความสำเร็จในซูเปอร์โนวา

ถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่เคยบอกว่า ‘ฉู่ขวง’ คนนั้นคือตนเอง

นอกจากเจี่ยนอี้กับซย่าฝานแล้ว บรรณาธิการหยางเฟิงก็จะรายงานผลงานของปรินซ์ออฟเทนนิสกับหลินเยวียนเป็นกิจวัตร ทั้งยังเคยคุยกับหลินเยวียนอย่างจริงจังแล้วว่าจะขยายโครงเรื่องของนิยายเรื่องนี้ได้ไหม

“ไม่ได้ครับ”

หลินเยวียนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

หยางเฟิงยังคงไม่ย่อท้อ ยังคงจ้อเกี่ยวกับข้อดีของการเพิ่มจำนวนตัวอักษรมากองหนึ่ง “ผลงานของปรินซ์ออฟเทนนิสดีมาก หนึ่งล้านตัวอักษรน้อยเกินไป ถ้าจบเร็วละก็น่าเสียดายไปหน่อย…”

“ทำไม่ได้ครับ”

หลินเยวียนปฏิเสธอีกรอบ

แน่นอนว่าเขารู้หลักการที่ว่าจำนวนตัวอักษรยิ่งมากก็ยิ่งได้เงินเยอะ และเห็นด้วยกับมุมมองหยางเฟิง แต่ปรินซ์ออฟเทนนิสที่ระบบให้มานั้นมีแค่หนึ่งล้านตัวอักษร

ถ้าจะใช้คำอธิบายของระบบก็คือ

‘หนึ่งล้านตัวอักษรกำลังพอดี เขียนต่อไปก็มีแต่น้ำแล้ว’

หยางเฟิงบังคับขู่เข็ญฉู่ขวงไม่ได้ ด้วยความโด่งดังของปรินซ์ออฟเทนนิส ฉู่ขวงก็ไม่ใช่นักเขียนนิยายหน้าใหม่ทั่วไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อฉู่ขวงปฏิเสธ หยางเฟิงทำได้แค่พรูลมหายใจยาว กล่าวว่า “งั้นก็ได้”

ในสายตาของหยางเฟิง ฉู่ขวงเอาแต่ใจมาก!

นิยายดังขนาดนี้ บอกว่าเขียนหนึ่งล้านตัวอักษรก็หนึ่งล้านตัวอักษร ไม่ยอมขยายเนื้อเรื่องด้วย ถึงแม้ตนจะวิเคราะห์ออกมาเสียละเอียดยิบย่อย เขาในฐานะหน้าใหม่ก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าการออกหนังสือเรื่องหนึ่งแล้วดังเปรี้ยงได้นั้นยากเย็นขนาดไหน

และในวิทยาลัยยามนี้

หลินเยวียนกำลังอ่านการแจ้งเตือนล่าสุดที่ระบบส่งมา ภารกิจค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมทะลุหมื่น ในที่สุดวันนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว

[สำเร็จที่ภารกิจ: พัฒนารอบด้าน]

[เนื้อหาภารกิจ: ค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมทะลุหมื่น]

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงสามใบ]

หลินเยวียนครุ่นคิดเอ่ยว่า “เปิดกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ”

ลองดูว่ามือขึ้นไหมก่อนแล้วกัน

กล่องสมบัติทองแดงใบแรกเปิดออก ระบบใช้ตัวอักษรแจ้งเตือนสีฟ้าอ่อน [ยินดีด้วยคุณได้รับบทเพลง ‘ลูกโป่ง’]

เพลงลูกโป่งของสวี่เจ๋อเพ่ย[1]?

สิ่งที่เปิดได้ไม่เรียกว่าดีและไม่เรียกว่าแย่ พูดง่ายๆ ก็คือโชคของเขาปานกลาง ดังนั้นหลินเยวียนจึงตัดสินใจว่าจะเก็บกล่องสมบัติทองแดงที่เหลืออีกสองใบไว้ในคลังไอเทมก่อน รอให้วันไหนรู้สึกว่ามือขึ้นก่อนแล้วค่อยเปิด

ตอนนี้เขาจะออกไปกินข้าวแล้ว

คนที่นัดเขาในวันนี้คือเจียงขุย

ก่อนหน้านี้เจียงขุยเดินสายโปรโมตมังกรมัจฉาเริงระบำที่ฉีโจวมาตลอด ช่วงนี้เพิ่งจะได้กลับมาฉินโจว

เป็นเพราะเพลงของเซี่ยนอวี๋ที่ทำให้เด็กใหม่ไร้ตัวตนอย่างเธอได้เดบิวต์เป็นนักร้องที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะทำหลังจากกลับมาก็คือเลี้ยงอาหารเซี่ยนอวี๋เพื่อขอบคุณอย่างเป็นทางการสักครั้ง

หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธเจียงขุย ก็เหมือนกับที่ไม่ปฏิเสธซุนเย่าหั่วนั่นละ

เขาชอบให้มีคนเลี้ยงข้าว

เพียงแต่ร้านอาหารที่นัด หลินเยวียนเพิ่งค้นพบว่าร้านนี้เป็นร้านเดียวกับที่เขามากินข้าวกับซุนเย่าหั่วครั้งก่อน

“อาจารย์เซี่ยนอวี๋”

เจียงขุยเป็นเด็กสาวหน้าตาสวยสะคราญ วันนี้ก่อนออกมายังตั้งใจแต่งหน้าแต่งตาเป็นพิเศษ เพียงแต่รูปร่างเล็กอยู่สักหน่อย เวลาพูดคุยกับคนที่สูงร้อยแปดสิบอย่างหลินเยวียนแล้วต้องแหงนหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ

หลินเยวียนตอบ “เรียกผมว่าหลินเยวียนก็ได้”

เจียงขุยยิ้มเอ่ย “งั้นฉันเรียกว่าอาจารย์หลินเยวียนแล้วกันค่ะ”

หลินเยวียนไม่ได้ท้วงติงอีก แต่กลับเลือกโต๊ะลงนั่ง ผลคือก้นยังนั่งไม่ทันร้อน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “รุ่นน้อง?”

หลินเยวียนหันหน้าไป ก็พบว่าผู้พูดก็คือซุนเย่าหั่ว ข้างกายของเขามีหญิงสาวแต่งหน้าจัดคนหนึ่งตามมา

“เธอกลับไปก่อน”

ซุนเย่าหั่วบอกกับหญิงสาว

หญิงสาวไม่สบอารมณ์ กระทืบเท้าด้วยสีหน้าบึ้งบูด น่าเสียดายที่ซุนเย่าหั่วไม่ได้ใส่ใจ

อีกฝ่ายทำได้เพียงเดินออกไป

ซุนเย่าหั่วหย่อนก้นลงนั่งด้านขวาของหลินเยวียน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น “ในเมื่อเจอกันแล้ว งั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง!”

“ซุนเย่าหั่ว วันนี้ฉันจะเลี้ยงข้าวอาจารย์หลินยวียน”

ก่อนหน้านี้เจียงขุยและซุนเย่าหั่วเป็นศิลปินหน้าใหม่ของสตาร์ไลท์ ต่างคนต่างรู้จักกัน ท่าทางปกติแล้วความสัมพันธ์จะไม่ได้แย่

แต่ในวันนี้

ทั้งสองคนพบหน้ากันที่ร้านอาหารแห่งนี้ แยกกันนั่งลงซ้ายขวาของหลินเยวียน สายตาที่ส่งหากันนั้นมีประกายไฟปะทุอยู่

“เจียงขุยเลี้ยงก็แล้วกัน”

หลินเยวียนยังไม่สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของทั้งสอง

เจียงขุยผุดรอยยิ้มออกมา กวาดสายตามองซุนเย่าหั่ว ก่อนจะสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ ปริมาณใกล้เคียงกับที่ซุนเย่าหั่วสั่งมาครั้งก่อน “อาจารย์หลินเยวียนอยากเพิ่มอะไรมั้ยคะ”

“ปลาชวนเจียง ขาหมูน้ำแดง แล้วก็เพิ่มข้าวอีกสองที่” ซุนเย่าหั่วยิ้มบางพลางเหลือบมองหลินเยวียน

“อื้ม”

หลินเยวียนพยักหน้า

ดูท่าซุนเย่าหั่วจะเข้าใจความชื่นชอบของอาจารย์หลินเยวียนดี เจียงขุยพลันเกิดความรู้สึกระแวง “เมื่อกี้นายกินแล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะมากับแฟนด้วย?”

“พวกเราเลิกกันแล้ว”

ซุนเย่าหั่วพูดด้วยท่าทางปกติ “เธอไม่ยอมให้ฉันกินข้าวกับรุ่นน้องเชียวนะ แฟนแบบนี้ไม่เลิกไหวเหรอ”

“…”

เจียงขุยแทบถูกลอบโจมตีเข้าอย่างแรง

ทำไมนายมันประจบเก่งขนาดนี้!?

ไม่ทันไรอาหารก็ถูกยกมาจัดวางจนเต็ม ทั้งสามคนกินด้วยกัน ถึงแม้ซุนเย่าหั่วเพิ่งจะมากับแฟนสาว…และกินอาหารกับเธอเรียบร้อยแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลต่อความอยากอาหารของเขาเลย

เมื่อกินอาหารเสร็จ

เจียงขุยก็รีบวิ่งไปจ่ายเงิน ด้วยกลัวว่าจะถูกซุนเย่าหั่วตัดหน้าซะก่อน

แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงอาหารมื้อเดียว แต่เจียงขุยก็ได้เห็นพลังการประจบประแจงของซุนเย่าหั่วแล้ว

ขณะที่อาจารย์หลินเยวียนกินข้าว เขาพูดแค่สามประโยค

ซุนเย่าหั่วตอบได้อีกยี่สิบประโยค แถมยังหัวเราะลั่นออกมาเป็นบางครั้งคราว ราวกับว่าสิ่งที่อาจารย์หลินเยวียนพูดนั้นตลกนักตลกหนา

เดิมที

ที่เจียงขุยเลี้ยงอาจารย์หลินเยวียน แน่นอนก็เพราะอยากแสดงความขอบคุณ และมีความคิดจะประจบอาจารย์หลินเยวียนด้วย

ใครบ้างไม่มีช่วงเวลาที่ต้องเลียแข้งเสียขา

แม้ว่าอัตราความเป็นไปได้จะค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ที่อาจารย์หลินเยวียนอารมณ์ดีแล้วให้เพลงใหม่ตนขึ้นมา ก็โชคครั้งใหญ่หล่นทับเลยไม่ใช่เหรอ

ผลคือเมื่อมาเจอซุนเย่าหั่ว เจียงขุยถึงตระหนักได้ว่าอะไรคือเลียแข้งเลียขาที่แท้จริง!

เมื่อกินข้าวเสร็จ

เดินออกจากร้านอาหาร

ซุนเย่าหั่วก็เสนอแนะขึ้นมา “พวกเราไปเดินเล่น ย่อยอาหารกันเถอะ”

หลินเยวียนไม่มีความเห็น

เจียงขุยก็ไม่มีทางออกความเห็น

เดินไปได้สิบห้านาที หลินเยวียนพูดขึ้น “ที่ไหนมีน้ำบ้างครับ”

ขวับ

ซุนเย่าหั่วและเจียงขุยมองไปยังหลินเยวียนพร้อมกัน “รุ่นน้อง/อาจารย์หลินเยวียน เป็นพวกชานมได้มั้ย”

“อื้ม”

หลินเยวียนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็หายวับไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็วปานสายลม

ผ่านไปห้านาที ซุนเย่าหั่วถือชานมแก้วหนึ่งกลับมา “รุ่นน้อง ชานมของนาย”

“ฮู่ว”

อาจเป็นเพราะเจียงขุยรูปร่างเล็ก ช่วงขาค่อนข้างสั้น จึงช้ากว่าซุนเย่าหั่วหนึ่งก้าว

“จะแข่งกับฉัน? เธอยังอ่อนหัดไปหน่อย”

ซุนเย่าหั่วเหลือบมองเธออย่างได้ใจ

ทว่าทันใดนั้นซุนเย่าหั่วก็ต้องตะลึงงัน อ้าปากกว้างค้างเติ่ง

นั่นก็เพราะในมือของเจียงขุย มีชานมที่หิ้วกลับมาถึงหกแก้วเต็มๆ กล่าวด้วยสีหน้าเอาใจใส่สุดๆ “อาจารย์หลินเยวียน ไม่รู้ว่าคุณชอบรสชาติแบบไหน ฉันก็เลยซื้อจากร้านชานมมาหลายรสชาติ”

หลินเยวียนเลือกรสเลมอน จากนั้นกล่าวว่า “เยอะเกินไปหรือเปล่า”

เจียงขุยยิ้มบาง “ไม่มากหรอกค่ะ”

ขณะพูดไป เจียงขุยก็แบ่งชานมที่เกินมาให้เด็กๆ ที่ผ่านไปมาบริเวณห้างสรรพสินค้า ก่อนจะชี้ไปทางหลินเยวียน “พี่ชายคนนี้เลี้ยงชานมพวกเธอน่ะ”

“ขอบคุณฮะ/ค่ะพี่!”

เด็กๆ ล้วนมีผู้ปกครองมาด้วย ผู้ปกครองเองก็ไม่ได้กังวลว่าชานมจะมีปัญหาอะไร ให้ลูกๆ กล่าวขอบคุณทันที

นี่ก็ประจบไม่ใช่เหรอ

ใครทำไม่ได้กัน

เจียงขุยหันไปเหลือบมองซุนเย่าหั่ว ส่งพลังพิฆาตใส่

………………………………………..


[1] สวี่เจ๋อเพ่ย(許哲珮)หรือเพกกี สวี่ (Peggy Hsu) นักร้องชาวไต้หวัน

วันต่อมา

ศูนย์กีฬากลางฉินโจว ด้านหน้าสนามการแข่งขันเทนนิสชิงชนะเลิศรายการหนึ่ง ฮั่นฉีซึ่งสวมชุดของนักกีฬาขอบตาหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด พลางหาววอดอยู่นาน

“แย่จัง”

ง่วงนิดหน่อยแฮะ

แม้ว่าเมื่อคืนฮั่นฉีจะปิดไฟนอนด้วยพลังความอดกลั้นอันมหาศาล แต่สิ่งที่ทำให้เขาเศร้าก็คือ หลังจากตนเองปิดไฟนอนแล้ว ในสมองก็ยังเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส ยิ่งขบคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าสะลึมสะลือไปนานแค่ไหนกว่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราได้สำเร็จ

“เตรียมพร้อมได้แล้ว”

เสียงของโค้ชดังขึ้น

หลังฮั่นฉีอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้วก็ลงสนาม

นี่เป็นการแข่งขันเทนนิสภายในฉินโจว ผลแพ้ชนะไม่ได้สำหลักสำคัญอะไรมากนัก แต่ฮั่นฉีไม่ค่อยอยากแพ้สักเท่าไหร่ เพราะวันนี้เพื่อนของเขาดูการแข่งขันอยู่ข้างสนามด้วย เขาไม่อยากทำขายหน้าต่อหน้าเพื่อน

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้ชมข้างสนาม

การแข่งขันเทนนิสในครั้งนี้ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

คู่แข่งของฮั่นฉีเป็นนักกีฬาอาวุโส ความสามารถไม่ธรรมดา แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นนักกีฬาอาวุโส ดังนั้นสภาพร่างกายของอีกฝ่ายจึงสู้คนหนุ่มอย่างฮั่นฉีไม่ได้ แรงในการหวดลูกเทนนิสจึงค่อยๆ ลดลง

หลังจากรวบรวมสมาธิแล้ว

คะแนนจึงไล่เบียดฮั่นฉีขึ้นมาเรื่อยๆ

ทั้งสองฝั่งจึงค่อยๆ เข้าสู่สภาวะกดดัน

ภายใต้ระดับความสามารถโดยรวมที่สูสีกัน การแข่งขันในช่วงหลังล้วนแต่ใช้ความความตั้งใจและสภาพจิตใจของนักกีฬา และนี่คือสิ่งที่แตกต่างกับคำบรรยายซึ่งเท่และตื่นเต้นเร้าใจในปรินซ์ออฟเทนนิส

ฉันบ้าไปแล้วแน่ๆ!

ทำไมนึกถึงนิยายอีกแล้ว!

ยังแข่งอยู่เลยนะ!

ฮั่นฉีข่มกลั้นความรู้สึกพิสดารในใจ ยังคงโรมรันพันตูกับคู่แข่ง ผลแพ้ชนะของทั้งสองฝั่งแสนอิหลักอิเหลื่อ ดังนั้นผู้ชมจึงดูแล้วได้อรรถรสมาก บรรดาผู้บรรยายก็ยิ่งคาดเดาทิศทางของการแข่งขันอย่างกระตือรือร้น

“ซับซ้อนเกินคาดเดาจริงๆ”

ผู้บรรยายกล่าวอย่างตื่นเต้น “ฟอร์มของฮั่นฉีตอนเริ่มเกมเหมือนจะไม่ดี แต่พอการแข่งขันดำเนินไป เขาก็ค่อยๆ หาจังหวะของตัวเองกลับมาได้ และนักกีฬาอาวุโสคู่แข่งของฮั่นฉี พวกเราจะได้เห็นว่าเขาเล่นเทนนิสด้วยประสบการณ์และไหวพริบอย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย…”

ลมหายใจหนักหน่วง

การแข่งขันดำเนินมาครึ่งชั่วโมง

ในการแข่งขันเกมที่หก และเป็นเกมตัดสินผลแพ้ชนะ ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน การแข่งขันจะเอียงไปทางฝั่งใดก็ขึ้นอยู่กับเกมนี้แล้ว เพราะฉะนั้นทั้งสองฝั่งจึงระมัดระวังมาก ไม่กล้าบุกอย่างมุทะลุ ความเสี่ยงในการบุกนั้นมีมากเกินไป

‘พลั่ก!’

ฮั่นฉีพลาดไปหนึ่งลูก

ความเสียเปรียบของเขาเพิ่มมากขึ้นในชั่วพริบตา

ภายใต้ความเหนื่อยล้าแสนสาหัส ใบหน้าของคู่แข่งประดับรอยยิ้มโดยไม่ซ่อนเร้น แนวโน้มของการแข่งขันในตอนสุดท้าย เป็นประจักษ์ขึ้นมาหลังจากที่ฮั่นฉีทำพลาดไปหนึ่งลูก

‘อยากแพ้เหรอ’

ชั่วขณะนั้นเองฮั่นฉีก็นึกถึงปรินซ์ออฟเทนนิสขึ้นมา ในนั้นบรรยายภาพการแข่งขันเอาไว้มากมาย หนึ่งในนั้นใช่ว่าจะไม่มีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับฮั่นฉี “ถ้าเป็นหลงหม่าจะทำยังไงนะ”

ฮั่นฉีรู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้ว

ในนิยายมีสถานการณ์การแข่งขันแบบอุดมคติเต็มไปหมด ท่าไม้ตายจำนวนมากดูดีแต่ใช้ไม่ได้ ทว่าที่บ้าไปกว่านั้นก็คือขณะที่เขากำลังจะเสิร์ฟลูกถัดไป อยู่ๆ ก็ตะโกนออกมาว่า

“ทวิสต์เสิร์ฟ!”

นี่ไม่ใช่วิธีเสิร์ฟลูกแบบหน้าตรงทั่วไป ฮั่นฉีเลือกเสิร์ฟลูกด้านข้างอย่างที่บรรยายในปรินซ์ออฟเทนนิส ความเร็วของแร็กเก็ตตัดผ่านพื้นผิวของลูกเทนนิส หวดลูกออกไปโดยส่งผ่านแรงจากการบิดของแขนด้านใน

คู่แข่งไม่ทันตั้งตัว

ทันทีที่ลูกเทนนิสตกลงบนพื้นและกระดอนออกนอกสนาม ลูกนี้ของฮั่นฉีนั้นได้แต้มครั้งใหญ่ ทั้งสนามก็ระเบิดขึ้นมาทันใด เสียงของผู้บรรยายเปี่ยมไปด้วยความตกใจและตื่นเต้น “ทวิสต์ได้สวย ACE!”

ในการแข่งขันเทนนิส

สิ่งที่เรียกว่าลูกเสิร์ฟACEคือในการแข่งขันระหว่างสองฝั่งที่เมื่อฝั่งหนึ่งเสิร์ฟลูก และลูกตกลงในเขตทำคะแนน ทว่าอีกฝ่ายกลับแตะไม่ถึงลูกบอล และทำให้เป็นลูกเสิร์ฟทำคะแนนโดยอัตโนมัติ ถ้าอีกฝ่ายสัมผัสบอล ก็จะเรียกเพียงว่าลูกเสิร์ฟทำคะแนน แต่จะไม่ใช่ลูกACE

“ชนะแล้ว!”

เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มขึ้นมาทั่วสารทิศ

ใบหน้าของฮั่นฉีกลับแดงก่ำ เขาถึงกับตะโกนออกมาเลย นี่มันเหมือนกับเด็กสองคนทะเลาะกัน จู่ๆ เด็กคนหนึ่งในนั้นก็ทำท่าทางสุดขายหน้าออกมา ตะโกนออกมาว่า ‘ปล่อยพลัง’ อย่างไรอย่างนั้น

ความจูนิเบียวระเบิดปรอท!

ยังดีที่รอบสนามไม่มีใครได้ยินที่เขาตะโกน ทุกคนมัวแต่ร้องดีใจกับลูกเสิร์ฟของตน แต่เหมือนกับว่ากรรมการจะได้ยิน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่มองตนด้วยสายตาประหลาดอย่างนั้นหรอก

บรรดาเพื่อนร่วมทีมต่างเข้ามาแสดงความยินดี

เมื่อกลับไปยังห้องพัก สายตาที่โค้ชมองไปยังฮั่นฉีทั้งตื่นตะลึงและประหลาดใจ “นายไปฝึกลูกทวิสต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ วิธีเสิร์ฟลูกประหลาดขนาดนั้น ฝั่งตรงข้ามเดาทิศทางของนายไม่ออกเลย”

“พูดไปโค้ชอาจไม่เชื่อ”

ฮั่นฉีสีหน้าแปลกพิลึก “เลียนแบบมาจากในนิยายครับ”

ทุกคนระเบิดหัวเราะ คิดว่าฮั่นฉีกำลังล้อเล่น

เมื่อมาถึงการให้สัมภาษณ์สื่อ นักข่าวถามฮั่นฉีถึงความคิดเห็นต่อลูกสุดท้าย ฮั่นฉีก็เอ่ยถึงหนังสือเรื่องนั้นต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง “ช่วงนี้ผมอ่านนิยายเกี่ยวกับเทนนิสเล่มหนึ่ง ชื่อเรื่องว่าปรินซ์ออฟเทนนิส หนังสือเขียนได้เป็นมืออาชีพมากครับ ในการแข่งขันอยู่ๆ ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจขึ้นมา แน่นอนว่าลูกนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโชคด้วย คู่แข่งขันของผมก็ควรได้รับการเคารพเหมือนกันครับ”

นักข่าว “…”

เพื่อนร่วมทีม “…”

นักข่าวกีฬาเหวอหวาไปตามกัน เพื่อนร่วมทีมยังนึกสงสัยเลยว่าฮั่นฉีได้รับค่าโฆษณาจากปรินซ์ออฟเทนนิส

แต่นักข่าวสายศิลปวัฒนธรรมไม่มีทางปล่อยวัตถุดิบที่ดีเช่นนี้หลุดมือไป

วันต่อมา หนึ่งในข่าวฮ็อตของหนังสือพิมพ์สายศิลปวัฒนธรรมก็คือ

‘โปรเทนนิสชื่อดังฮั่นฉีประกาศว่าตนเป็นแฟนปรินซ์ออฟเทนนิส ทั้งยังได้แรงบันดาลใจมากมายจากหนังสือเล่มนี้ด้วย’

ทันทีที่ข่าวออกไป ผู้อ่านปรินซ์ออฟเทนนิสจำนวนมากก็พากันตกใจ!

“จริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ที่แท้แม้แต่นักกีฬามืออาชีพยังบอกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสเขียนได้เฉพาะทางมาก ก่อนหน้านี้ฉันยังคิดว่าท่าไม้ตายเทนนิสแต่ละอย่างที่เขียนในหนังสือ ฉู่ขวงแต่งขึ้นมาเอง แต่นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว”

“ฉันชอบปรินซ์ออฟเทนนิสยิ่งกว่าเดิมแล้วเนี่ย”

“ที่เจ๋งสุดก็คือฮั่นฉีถึงขั้นฝึกท่าไม้ตายตามปรินซ์ออฟเทนนิสเลยไม่ใช่เหรอ”

“ฮ่าๆ ประโยคนี้ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ เลย”

“ไม่ได้ล้อเล่นทั้งหมดหรอก เมื่อวานที่ศูนย์กีฬากลางฉินโจวมีการแข่งขันเทนนิส ลูกจบเกมสุดท้ายของฮั่นฉีถอดแบบมาจากทวิสต์เสิร์ฟ ความแตกต่างเดียวอยู่ที่หลงหม่าถนัดซ้าย ฮั่นฉีใช้มือขวา!” มีคนที่ดูเกมการแข่งขันเมื่อวานแสดงความคิดเห็น

หลังจากนั้น

นักอ่านจำนวนมากที่พอจะรู้เรื่องเทนนิสก็ทยอยกันมาพิสูจน์ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับเทนนิสที่สอดแทรกในปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นเป็นมืออาชีพมาก

อันที่จริงเดิมทีก็มีคนเอ่ยถึงไว้บ้างแล้ว

เพียงแต่ก่อนหน้านี้คนที่ใส่ใจจุดนี้มีไม่มาก จนกระทั่งมีนักกีฬามืออาชีพออกมายืนยันเอง ทุกคนถึงได้สนใจเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง

ในโลกของนิยายนั้นไม่มีใครคาดคิดหรอก

นักกีฬาเทนนิสมืออาชีพของฉินโจวกับปรินซ์ออฟเทนนิสถึงขั้นที่เกิดความเชื่อมโยงซึ่งแทบทลายกำแพงระหว่างสองวงการ และสร้างความเชื่อมโยงที่ใครหลายคนใฝ่ฝันได้สำเร็จ!

ในวันนี้ ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสก็ยิ่งทะยานสูงขึ้นไปอีก!

……………………………………

‘รับทราบ’

‘รับทราบ’

‘รับทราบ’

‘คืนนี้จะไปอ่านค่ะ’

บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เฟลอริชในกลุ่มต่างตอบกลับไป

ส่วนความคิดว่า ‘บ.ก.บริหารไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม’ แน่นอนว่าพวกเขากล้าแค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น ไม่มีใครกล้าป่าวประกาศออกไป

หลังเลิกงาน

บรรดาบรรณาธิการของเฟลอริชก็มุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือด้วยความสับสน แต่กลับพบว่าบนป้ายหน้าประตูล้วนแต่เขียนข้อความประกาศเหมือนๆ กัน

เนื้อหาในป้ายคือ

‘ปรินซ์ออฟเทนนิสของร้านเราขายหมดแล้ว พรุ่งนี้เติมของเข้าสต็อก ขออภัยในความไม่สะดวก’

ขายหมดแล้ว?

ร้านหนังสือทำป้ายขึ้นมาโดยเฉพาะ?

ในตอนนี้ บรรณาธิการของเฟลอริชถึงลอบเอะใจว่าสถานการณ์นั้นแปลกชอบกล!

เป็นเพราะถ้าทำให้ร้านหนังสือทำป้ายมาแปะได้ เห็นได้ชัดว่านักอ่านที่ต้องการซื้อปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นมีมาก นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนังสือเรื่องดัง!

หมายความว่า…

หนังสือเรื่องนี้ดังแล้ว?

หนึ่งในบรรณาธิการของเฟลอริชมองไปยังเพื่อนร่วมงานด้วยความตกตะลึง “เธอเคยได้ยินนิยายแนวการแข่งขันกีฬาที่ดังมาก่อนหน้านี้บ้างมั้ย”

“ไม่เคยอะ”

เพื่อนครุ่นคิดอยู่นานทีเดียว ในที่สุดก็ส่ายหน้า จากนั้นก็พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์!”

ยอดขายในร้านหนังสือคือตัวชี้วัดกระแส

หนังสือเล่มไหนดัง หนังสือเล่มไหนไม่ได้เรื่อง ร้านหนังสือรู้ดีที่สุดเสมอ!

และด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของสำนักพิมพ์ใหญ่แต่ละแห่งกับร้านหนังสือ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะล่วงรู้ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิส

ดังนั้น อีกหลายวันต่อมา!

สายตาของทั้งวงการล้วนจับจ้องไปยังหนังสือเล่มนี้ รวมไปถึงตัวฉู่ขวงซึ่งเป็นนักเขียนด้วย!

‘นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย’

แม้แต่บรรณาธิการอาวุโสในวงการซึ่งผ่านโลกมามากก็ยังส่งเสียงด้วยความตกใจออกมาอย่างเซ็งแซ่ ‘นิยายแนวการแข่งขันกีฬาถึงกลับทำยอดขายได้มากขนาดนี้’

‘เหลือเชื่อ’

‘นักเขียนหน้าใหม่ชื่อฉู่ขวงคนนี้ที่เขียนปรินซ์ออฟเทนนิสพิสูจน์แล้วเรื่องหนึ่ง ขอแค่เขียนดี ถึงจะเป็นแนวการแข่งขันกีฬาก็จะได้ผลตอบรับที่ดี!’

‘เรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกได้เลยสินะ?’

‘แนวการแข่งขันกีฬาก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเขียน แต่ว่าไม่เคยมีคนเขียนแล้วดังมาก่อน จากเกณฑ์ในวงการแล้ว ใครทำให้นิยายแนวหนึ่งดังได้ คนนั้นก็เป็นผู้บุกเบิกของแนวนั้นเลย เพราะงั้นจะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอก’

‘ใช่แล้ว’

‘ต่อไปน่าจะมีนักเขียนนิยายเขียนแนวการแข่งขันกีฬาตามกระแสอีกมาก ต่อให้เป็นกลุ่มนี้ก็คงยอมรับฉู่ขวงใน ฐานะผู้บุกเบิกนิยายแนวการแข่งขันกีฬา’

‘…’

ไม่เพียงแวดวงบรรณาธิการ

แวดวงนักอ่านก็ถกเถียงเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน โพสต์จำนวนมากเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้สามารถพบเห็นได้ตามเว็บบอร์ดนิยาย

‘แนะนำปรินซ์ออฟเทนนิส!’

‘หนังสือเล่มนี้ผมก็อ่านแล้ว ดีจริงๆ นั่นแหละ’

‘อ่านนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนมาเยอะ ชอบแนวผจญภัยในต่างโลกมาก พอได้อ่านปรินซ์ออฟเทนนิส ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกิดความสนใจนิยายแนวนี้’

‘ผมคิดว่านิยายแนวผมมันเฉพาะกลุ่มมาก นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ชอบปรินซ์ออฟเทนนิสจะมากขนาดนี้!’

‘ฮ่าๆๆ ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานผมแนะนำปรินซ์ออฟเทนนิสกับพรรคพวก ตอนแรกพวกนั้นก็ไม่อยากอ่าน แนวเทนนิสอะไรไม่สนใจเลย จนผมต้องบังคับให้อ่านบทที่หนึ่ง แล้วหนังสือผมก็กลายเป็นของมันเฉยเลย…’

ตลาดหนังสือของฉินโจวก็ร้อนแรงโดยมาตลอด

ถ้าหากพูดถึงเรื่องยอดขายเพียงอย่างเดียว เรื่องที่ยอดขายสูงกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสมีอยู่บ้าง

นักเขียนนิยายเรื่องดังจำนวนมาก ยอดขายเพียงแค่เดือนเดียวก็น่ากลัวมากแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นปรินซ์ออฟเทนนิสก็น่ากลัวตรงที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นนิยายแนวการแข่งขันกีฬาเรื่องหนึ่ง หากใช้

สายตาทั่วไปในวงการมอง นับว่าเป็นแนวเฉพาะกลุ่มเสียยิ่งกว่าเฉพาะกลุ่มอีก แต่ดันได้รับความนิยมจากนักอ่านเหมือนแนวดังๆ แนวอื่น!

นี่เป็นลูกระเบิดของวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะโลกถูกระเบิดราบเป็นหน้ากลอง พลังการสนับสนุนและผลักดันนิยายแนวการแข่งขันแต่ละสำนักพิมพ์ก็ทบทวีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

……

ฮั่นฉีเป็นนักกีฬาเทนนิสคนหนึ่ง

เขาเป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพที่มีชื่อเสียงในฉินโจว

การซ้อมภายในจบลงแล้ว ฮั่นฉีกำลังเดินเล่นอยู่ข้างนอก อยู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า ‘ฉันเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเทนนิสสนุกขนาดนี้ พรุ่งนี้นายมีแข่งใช่มั้ย ฉันจะไปดูนายแข่ง อย่าลืมเก็บตั๋วไว้ให้ฉันด้วยนะ!’

‘ได้ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ นายก็พูดแบบนี้’

ฮั่นฉีสับสนมาก เพื่อนของเขาคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนใจเทนนิส

หลังจากที่คนเองได้เป็นนักกีฬามืออาชีพ ก็ลากอีกฝ่ายไปดูการแข่งขันเทนนิสสองครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับหาววอด

นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะออกตัวว่าจะดูการแข่งขันเทนนิสอาชีพ

‘ว่าแล้วเชียวว่านายไม่รู้เรื่องนี้!’

เพื่อนพูดว่า ‘ช่วงนี้ฉันอ่านนิยายเรื่องหนึ่งชื่อปรินซ์ออฟเทนนิส นิยายเรื่องนี้เขียนเกี่ยวกับเทนนิส โคตรสนุก ถ้านายว่างก็ไปอ่านได้!’

‘…’

ฮั่นฉีส่งจุดจุดจุดไป จากนั้นตอบ ‘นิยายเกี่ยวกับเทนนิสน่าจะเป็นคนนอกสายอาชีพเขียน นิยายเทนนิสที่

คนนอกสายอาชีพเขียนพรรค์นี้ก็น่าจะหลอกนักอ่านคนนอกสายอาชีพอย่างพวกนายได้’

‘ก็ยังดี’

เพื่อนตอบ ‘ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่าบทบรรยายเกี่ยวกับเทนนิสในเรื่องออกจะโปรอยู่นะ เหมือนกับที่นายบอกฉันเมื่อก่อนเลย’

ฮั่นฉีส่ายหน้า ‘แน่นอนอยู่แล้วล่ะ ความรู้เรื่องเทนนิสพื้นฐานเสิร์ชนิดเดียวก็เจอแล้ว ในเมื่อคนเขากล้าเขียนนิยายเกี่ยวกับเทนนิส ก็ต้องทำการบ้านมาบ้างแล้วล่ะมั้ง ไม่แน่ว่านักเขียนคนนี้อาจเป็นคนชอบตีเทนนิสก็ได้ ในฉินโจวมีคนตั้งเยอะแยะที่เล่นเทนนิสเป็นงานอดิเรก’

‘ช่างเขาเถอะ’

เพื่อนของเขาไม่คิดจะสนทนาแล้ว ‘ยังไงนายไปอ่านนิยายดูก็รู้ พรุ่งนี้เดี๋ยวทักไป‘

‘ก็ได้’

ฮั่นฉีหลุดหัวเราะ ตนเองเป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพแต่ทำให้เพื่อนรักสนใจเทนนิสไม่ได้ นิยายเรื่องหนึ่งกลับทำได้

ขณะนั้นฮั่นฉีเดินผ่านร้านหนังสือพอดี

ในใจฉุกคิดขึ้นได้ เขาเดินตรงเข้าไปซื้อปรินซ์ออฟเทนนิสที่เพื่อนพูดถึง

ในฐานะนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพ อันที่จริงเขาก็ดีใจที่ได้เห็นผู้คนยินดีอ่านนิยายซึ่งเขียนเกี่ยวกับเทนนิส ใครจะไม่อยากให้อาชีพของตนเองได้รับความนิยมมากขึ้นล่ะ

นักเขียนนิยายแบบนี้ต้องสนับสนุนสักหน่อย

เมื่อกลับถึงหอพัก ฮั่นฉีก็หยิบปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาพลิกอ่านอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“เอ๊ะ?”

อ่านไปได้สองนาที ฮั่นฉีก็ตระหนักได้ด้วยความประหลาดใจ ความรู้เกี่ยวกับเทนนิสในนิยายนั้นมืออาชีพมาก นักเขียนไม่ได้หลอกคนนอกสายอาชีพนี้

ทว่าความรู้เหล่านี้ค่อนข้างพื้นฐาน

ดังนั้นฮั่นฉีจึงลองพลิกดูด้านหลัง ก็พบว่าต่อให้ในนิยายจะเกี่ยวโยงถึงความรู้เรื่องเทนนิสในระดับสูงสักหน่อย เนื้อเรื่องก็บรรยายได้อย่างละเอียดรอบคอบมาก ไม่มีจุดที่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว!

“ดูท่านักเขียนจะรอบคอบมาก”

คนที่เล่นเทนนิสเป็นงานอดิเรกทั่วไปไม่มีทางมีความรู้เรื่องเทนนิสมากขนาดนี้!

เขาเริ่มสนใจใคร่รู้ขึ้นมาอีกหลายส่วน จึงเปิดบทที่หนึ่งอ่านอย่างเป็นทางการ เริ่มอ่านตั้งแต่ต้น

ตอนยังเป็นนักเรียน ฮั่นฉีก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการอ่านนิยาย

เพียงแต่หลังจากเรียนจบก็ยุ่งอยู่กับการเล่นเทนนิส เขาเลยไม่ได้อ่านนิยายสักเท่าไหร่ วันนี้ได้มาอ่านนิยายก็คิดเสียว่าเป็นการผ่อนคลายก่อนการแข่งขันก็แล้วกัน

พรึ่บ

หน้าหนังสือซึ่งส่งกลิ่นจางของหมึกพิมพ์พลิกไปทีละหน้าๆ ฮั่นฉียิ่งถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ ถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ …

ในตอนนั้น ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงของนาฬิกาปลุก ฮั่นฉีถึงได้สติกลับมา “เชี่ย กี่โมงแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ยังมีแข่งอีก!”

เศร้าจริงๆ ฉันละอยากจะร้องไห้!

ฮั่นฉีถูกปรินซ์ออฟเทนนิสดึงดูดเข้าเต็มเปา แทบอยากอ่านให้จบรวดเดียวให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ถ้าหากอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบ คืนนี้ก็อาจพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อฟอร์มในการแข่งขันได้ง่าย

“แข่งจบค่อยอ่าน!”

ฮั่นฉีกัดฟันกรอดด้วยความฝืนทน ปิดหนังลือลง ก่อนจะปิดไฟนอนด้วยพลังความอดกลั้นอันมหาศาล

……………………………………

สำหรับตลาดนิยายทั้งหมดแล้ว นิยายการแข่งขันกีฬานั้นเป็นประเภทนิยายที่ไม่ได้รับความนิยมเอาซะเลย

โดยเฉพาะในยุคที่นิยายจำพวกผจญภัยในต่างโลกนั้นได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง นิยายแนวนี้จึงขาดแคลนฐานคนอ่านยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นต่อให้คำวิจารณ์ของปรินซ์ออฟเทนนิสจะดีเลิศ เหล่าบรรณาธิการก็ไม่ได้คาดหวังกับยอดขายของนิยายเรื่องนี้ไว้สูงนัก ทว่าในตอนนี้เห็นทีคนจำนวนมากอาจคิดผิดแล้ว

“ทำไมไม่บอกพวกเราล่ะ”

ความรู้สึกของหัวหน้าบรรณาธิการในตอนนี้ประเดประดังกันไปหมด

หัวหน้าหญิงชะงักไป จากนั้นเธอก็มองทั้งสองด้วยความเห็นใจ “พวกคุณไม่รู้เชียวเหรอว่าฉันแจ้งบ.ก.บริหารไปตั้งแต่วันที่ปรินซ์ออฟเทนนิสขาดสต็อกแล้ว ดูท่าใต้เท้าบ.ก.บริหารท่านนี้คงไม่ได้บอกพวกคุณ”

หัวหน้าบรรณาธิการและรองบรรณาธิการหัวใจเย็นวาบ

พวกเขารู้นิสัยของบรรณาธิการบริหารดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับไม่แจ้งกองบรรณาธิการของพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามีแค่เหตุผลเดียว

บรรณาธิการบริหารไม่พอใจแล้ว

กองบรรณาธิการทั้งสี่กองของบริษัท แต่ละกองรับผิดชอบประเภทผลงานที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันแต่ละกองบรรณาธิการก็จะมีหัวหน้าบรรณาธิการและรองหัวหน้าบรรณาธิการประจำอยู่ พวกเขาทั้งสองนั้นรับผิดชอบนิยายแฟนตาซีเยาวชน

ทว่ากองบรรณาธิการทั้งหมดก็มีพี่ใหญ่ซึ่งเป็นบรรณาธิการบริหาร

หัวหน้าหญิงเห็นว่าทั้งสองน่าสงสารขนาดนี้ ก็โมโหไม่ออกแล้ว เพียงแค่พูดยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงกองบรรณาธิการ

ของพวกคุณรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เหมือนกัน เรื่องส่งสินค้าอยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของฉัน หรือว่าแผนกบรรณาธิการของพวกคุณเพิ่มล็อตสินค้าให้ฉันได้?”

นี่เป็นความจริง

กองบรรณาธิการรับผิดชอบการคัดเลือกและควบคุมปัญหาคุณภาพของนิยาย เรื่องการขายไม่ได้อยู่ในขอบเขตการรับผิดชอบของของพวกเขา

แต่ทว่าในสถานการณ์ปกติเรื่องพวกนี้ก็จะแจ้งกองบรรณาธิการด้วย

ครั้งนี้คงจะเป็นคำเตือนของบรรณาธิการบริหาร ฉะนั้นหัวหน้าบรรณาธิการกับรองบรรณาธิการถึงเพิ่งรับทราบสถานการณ์ในวันนี้

“ตอนนี้มีออเดอร์เท่าไหร่”

หัวหน้าบรรณาธิการข่มกลั้นความรู้สึกซับซ้อนในใจ

เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากด้านหลัง “ตอนนี้ออเดอร์ของร้านหนังสือใหญ่ในฉินโจวรวมแล้วสี่แสนเล่ม พรุ่งนี้ถึงจะส่งให้ร้านใหญ่แต่ละร้านได้ แต่ถ้าพิจารณาถึงความต้องการของตลาดหลังจากนี้ ผมเลยสั่งแผนกตีพิมพ์ให้เพิ่มเป็นห้าแสนเล่ม”

“บ.ก.บริหาร สวัสดีครับ/ค่ะ!”

ทั้งสามคนหันไปมองผู้ชายทางด้านหลัง คนผู้นี้ก็คือบรรณาธิการบริหารของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในบริษัท

“อืม”

บรรณาธิการบริหารพยักหน้า สายตาน่าเกรงขามส่อแววไม่พอใจ “การตัดสินใจตีพิมพ์ปรินซ์ออฟเทนนิสครั้งแรกออกมาแค่หนึ่งแสนเล่มเป็นเรื่องที่โง่มาก แต่เห็นแก่ที่กองบ.ก.ของพวกคุณไม่ได้คัดนิยายเล่มนี้ออก ผมจะละเว้นให้ครั้งหนึ่ง”

“ครับ!”

หัวหน้าและรองบรรณาธิการรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก

โชคดีที่พวกเขาใส่ปรินซ์ออฟเทนนิสเข้าไปในรายชื่อนิยายสำหรับตีพิมพ์ของซูเปอร์โนวาเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ตลาดนิยาย ถ้าพลาดของดีในครั้งนี้ไปละก็ บริษัทคงเสียหายหนักแน่

“แล้วก็”

บรรณาธิการบริหารขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ผมได้อ่านแผนงานดูแล้ว เดิมทีปรินซ์ออฟเทนนิสกำหนดไว้แค่หนึ่งล้านตัวอักษร ให้บ.ก.ที่รับผิดชอบฉู่ขวงคุยกับฉู่ขวงหน่อย ว่าทางบริษัทหวังว่าเขาจะขยายโครงเรื่อง พยายามเขียนให้เกินสามล้านตัวอักษร”

ผลงานของหนังสือไม่ดีอาจถูกตัดจบ

สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือ ถ้าผลลัพธ์ของหนังสือดีพอ สำนักพิมพ์ก็จะให้นักเขียนเพิ่มจำนวนตัวอักษรให้ได้มากที่สุด เพราะตัวอักษรยิ่งมากก็ยิ่งทำเงินได้มาก

“ได้ครับ!”

หัวหน้าบรรณาธิการพยักหน้าหงึกๆ

นักเขียนนิยายส่วนมากมักจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ นักเขียนเองก็ต้องกินข้าวเหมือนกัน ได้เงินเพิ่มใครจะไม่ยินดีล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นจะมีนักเขียนนิยายสักกี่คนที่จะกล้ารับรองว่านิยายเรื่องต่อไปของตนจะดังล่ะ

“อีกเรื่อง”

บรรณาธิการบริหารขบคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “ดูแลฉู่ขวงให้ดี อย่ามีข้อขัดแย้งกับเขาเด็ดขาด ถ้าฉู่ขวงถูกสำนักพิมพ์อื่นมาดึงตัวไปละก็ พวกคุณสองคนก็ต้องไสหัวออกไปเลย”

“ครับๆๆ!”

หัวหน้าบรรณาธิการพยักหน้ารัว

ต่อให้บรรณาธิการบริหารไม่เตือน กองบรรณาธิการก็ดูแลฉูขวงเยี่ยงเจ้านายใหญ่อยู่ดี

นั่นก็เพราะอิทธิพลจากความโด่งดังของนิยายแนวการแข่งขันกีฬาอย่างปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นเป็นลูกโซ่ เมื่อนิยายเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ย่อมเป็นประจักษ์ว่านิยายแนวการแข่งขันกีฬาก็ดังเป็นพลุแตกได้

นี่เป็นการเริ่มต้น!

หลังจากนี้ในตลาดจะปรากฏนิยายประเภทการแข่งขันกีฬาเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล และไม่แน่ว่าฉู่ขวงอาจกลายเป็นบานประตูสู่นิยายแนวการแข่งขันกีฬาในฉินโจวก็เป็นได้!

……

ซูเปอร์โนวาเป็นการประกวดนิยายขนาดใหญ่ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็จัดเป็นสำนักพิมพ์เก่าแก่อันดับต้นๆ ของฉินโจว ดังนั้นเพื่อนร่วมสายงานในวงการล้วนแต่จับตารอผลของการแข่งขันในครั้งนี้

‘ซูเปอร์โนวาครั้งนี้เหมือนจะไปไกลแล้ว’

‘นิยายห้าเล่มของซูเปอร์โนวา สี่เล่มคะแนนไม่ถึงห้า เล่มเดียวที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีชื่อว่าปรินซ์ออฟเทนนิส แต่แนวที่เลือกดันเฉพาะกลุ่มเกินไป ยอดขายคงไม่ดีเท่าไหร่หรอก’

‘คลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็มีวันนี้กับเขาเหมือนกันเหรอ’

‘ซูเปอร์โนวาจมหายไปในกองทราย เรื่องนี้มีผลกระทบกับชื่อเสียงของซูเปอร์โนวาไม่น้อยเลย ปีนี้โดนเข้าอย่างจัง ปีหน้าคนส่งต้นฉบับคงน้อยลงกว่าเดิม’

‘…’

วงการสำนักพิมพ์ล้วนถกเถียงกัน ไม่ว่าจะเป็นสายอาชีพไหนก็ล้วนมีศัตรูคู่แค้น ฉะนั้นคู่แข่งของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูต่างกำลังดีใจบนความทุกข์ของพวกเขาอยู่

สำนักพิมพ์เฟลอริช

ที่นี่เป็นสำนักพิมพ์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

บรรณาธิการบริหารของเฟลอริชเห็นผลงานของซูเปอร์โนวาของซิลเวอร์บลูไม่ดี ในใจก็พลอยตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังอุตส่าห์ต่อสายหาผู้ประสานงานของร้านหนังสือในเครือบางแห่ง “หนังสือของของซูเปอร์โนวาขายไม่ค่อยดีใช่มั้ย”

“ช่วงนี้ผมกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่พอดี”

ผู้ประสานงานร้านหนังสือในเครือข่ายซึ่งอยู่ปลายสายคล้ายกับกำลังหงุดหงิด

บรรณาธิการบริหารของเฟลอริชปลื้มอกปลื้มใจ ทว่าจะแสดงออกมาไม่ได้ จึงแสร้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจ “ตอนนี้สภาพแวดล้อมในตลาดไม่ดี คุณก็อย่ากังวลไปเลย”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว”

อีกฝ่ายอธิบายว่า “ยอดขายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสน่ะดีมาก ที่ผมกังวลก็คือหนังสือเรื่องนี้ของขาดสต็อก ลูกค้าหลายคนมาหาที่ร้าน แต่สินค้าของผมก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว”

บรรณาธิการบริหารของเฟลอริชตะลึงงัน “อะไรนะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ผมไม่เข้าใจเจตนาคุณหรอกนะ คงอยากเห็นเรื่องตลกของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูใช่มั้ยล่ะ สี่อันดับแรกในซูเปอร์โนวาผลงานไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสที่ได้อันดับห้าดังมาก ทำให้วันนี้ผมสั่งจองสินค้ากับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูทีเดียวแสนห้าเล่ม เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วางขายได้แล้ว!”

บรรณาธิการบริหารของเฟลอริช “…”

ปลายสายกล่าว “ตลาดที่มีช่องว่างอย่างนิยายแนวการแข่งขันกีฬาน่ะ ผมแนะนำว่าสำนักพิมพ์ของคุณเองก็ติดตามแนวนี้ให้มากหน่อย ตลาดของพวกคุณไม่ได้ชอบตามกระแสที่สุดหรอกเหรอ พอแนวโน้มของแนวผจญภัยในต่างโลกดี คนก็เฮละโลกันไปเขียนแนวผจญภัยในต่างโลก ตอนนี้แนวการแข่งขันกีฬาเองก็มีตลาดแล้ว ให้คนตามกระแสหน่อยแล้วกัน!”

ร้านหนังสือสนใจเพียงว่าหนังสือขายดีหรือเปล่า

เรื่องอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

บรรณาธิการบริหารของเฟลอริชตอบอย่างอึ้งงัน “ครับ…”

หลังจากวางสาย เขาก็เงียบงันอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็เปิดกลุ่มแช็ตใหญ่ของกองบรรณาธิการ ส่งข้อความไปว่า ‘บ.ก.ทุกคนในกองบ.ก.แฟนตาซีเยาวชน คืนนี้ต้องอ่านปรินซ์ออฟเทนนิสให้จบ’

‘หา?’

‘อะไรนะครับ’

‘อ่านปรินซ์ออฟเทนนิส?’

ในกลุ่มแช็ตใหญ่พลันคึกคักขึ้นมากะทันหัน

เมื่อเห็นว่าบรรณาธิการในสังกัดยังมีท่าทางสับสน บรรณาธิการบริหารไม่เคยต้องใช้พลังในการพิมพ์ข้อความมากขนาดนี้มาก่อน ‘ซิลเวอร์บลูเขาขุดนิยายอย่างปรินซ์ออฟเทนนิสขึ้นมาให้ขายดิบขายดีได้ ทำไมพวกคุณจะทำไม่ได้ ต่อไปแนะนำนิยายแนวการแข่งขันกีฬากับผมให้มากหน่อย!’

กลุ่มแช็ตใหญ่เงียบกันเป็นเป่าสาก

นิยายแนวการแข่งขันกีฬา ขายดิบขายดี?

บรรณาธิการบริหารแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด?

…………………………………………

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูย่อมไม่มีทางส่งคนมานั่งจับตามองผู้คนในร้านหนังสือเฉกเช่นเหอหมิงเซวียน ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวที่พอจะสะท้อนผลงานซึ่งตีพิมพ์จากซูเปอร์โนวาหลังจากวางแผงขายตามท้องหนังสือเป็นวงกว้างก็คือเสียงตอบรับจากผู้อ่าน

เริ่มต้นจากเพียงจุดเล็กๆ

ถึงอย่างไรการอ่านหนังสือจำเป็นต้องใช้เวลา

สำหรับสำนักพิมพ์แล้ว คำวิจารณ์แค่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีค่าให้อ้างถึงมากนัก ทว่าหลังจากที่นักอ่านกลุ่มแรกทยอยกันอ่านนิยายจบแล้ว เสียงตอบรับของผลงานทั้งห้าเรื่องจากซูเปอร์โนวาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในช่องคอมเมนต์ในเว็บไซต์ทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

สิ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่สำนักพิมพ์ก็คือ…

นิยายอันดับหนึ่งซึ่งบริษัทตั้งความหวังเอาไว้สูงลิบอย่างจอมมารทะลุมิติกลับไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีสักเท่าไหร่ จากคะแนนเต็มสิบ คะแนนนักอ่านส่วนมากกดให้แค่ไม่ถึงห้าดาว ราวกับว่าทุกคนไม่ชอบรูปแบบของนิยายเรื่องนี้

‘ใช้วิธีเปลี่ยนน้ำแกงแต่ไม่เปลี่ยนเครื่องสมุนไพร’

‘ตัวเอกทะลุมิติมาเป็นถึงจอมมารแล้ว แต่ดันให้ความรู้สึกกระจอกมาก ในเมื่อเขียนขึ้นมาจากมุมมองของจอมมาร งั้นก็ไม่ควรจะเขียนให้ตัวเอกกระจอกขนาดนั้น หรือว่าถ้าตัวเอกไม่กระจอก นักเขียนก็จะเขียนไม่ออกแล้ว’

‘อ่านจบก็รู้สึกเสียดายที่ซื้อหนังสือเล่มนี้เลย’

‘ตัดจบไปเลย ไม่สนุก’

นิยายของฉินโจวแบ่งเล่มตีพิมพ์ เพราะฉะนั้นยอดขายของเล่มแรกจึงสำคัญมาก นิยายที่ยอดขายไม่ดีก็จะถูกตัดจบได้ง่าย สำนักพิมพ์จะแจ้งนักเขียนเร่งเขียนให้จบ ทันทีที่ผลงานซึ่งแผนเดิมมีสิบเล่มขึ้นไปเจอกับการถูกตัดจบ สุดท้ายแล้วถูกนักเขียนบีบให้สั้นลงจนเหลือแค่สามถึงห้าเล่ม ถึงอย่างไรสำนักพิมพ์ก็อยากกันทรัพยากรไว้ให้กับผลงานที่มีศักยภาพมากกว่า

ผู้คนจำนวนมากต่อว่าต่อขาน

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกเสียงตอบรับจะแย่ไปซะหมด มีนักอ่านบางคนที่รู้สึกว่ามุมมองของจอมมารทะลุมิตินั้นแปลกใหม่มาก ‘ถึงแม้จะเป็นขวดใหม่ใส่เหล้าเก่า แต่อย่างน้อยตัวตนของตัวเอกนั้นต่างจากรูปแบบผจญภัยในต่างโลกแบบดั้งเดิม ไม่ต้องถึงขั้นตัดจบหรอก’

‘ไม่แน่ว่าตอนหลังๆ อาจปังก็ได้?’

เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตอนนี้ในตลาดมีนิยายซึ่งดังเป็นพลุแตกเรื่องหนึ่ง เมื่อเพิ่งวางขายเสียงตอบรับธรรมดามาก ยอดขายก็พอฝืนรับได้ ในตอนนั้นสำนักพิมพ์แจ้งกับนักเขียนว่าจะตัดจบ ใครจะรู้ล่ะว่าหลังจากวางขายไปสองเล่มก็กลับตาลปัตร เนื้อเรื่องของหนังสือขึ้นถึงจุดไคลแม็กซ์ ยอดขายพุ่งสูงขึ้นมา จนถึงกับต้องยกเลิกแผนการตัดจบไปเสียดื้อๆ หนังสือเรื่องนี้จนถึงปัจจุบันก็ยังทยอยออกเป็นซีรีส์ถึงเล่มที่ยี่สิบสองแล้ว

ทว่ากรณีแบบนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

นั่นเป็นเพราะถ้าหากเล่มแรกไม่สามารถดึงดูดผู้อ่านได้แล้วละก็ ยากที่เล่มต่อๆ ไปจะรั้งให้ผู้อ่านอยู่จนถึงจุดพีคได้ มีเพียงการเปิดเรื่องที่ดึงดูดผู้อ่านได้ นิยายถึงจะสามารถตีพิมพ์ออกมาได้เรื่อยๆ อย่างมั่นคง

ไม่ใช่แค่อันดับหนึ่งที่เสียงตอบรับไม่ดีนัก

ผลงานอันดับที่หนึ่งถึงสี่ของซูเปอร์โนวา ผลตอบรับก็ธรรมดามาก มีเพียงคะแนนของอันดับสองซึ่งแตะถึงห้าคะแนน แต่ว่าห้าคะแนนในตลาดนิยายก็นับได้แค่ว่าผ่านเกณฑ์ ไม่ได้เรียกว่าดีเด่อะไร

“ปีนี้ลำบากแล้ว”

ในการประชุมของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง บรรณาธิการซึ่งอ่านรีวิวของนิยายเหล่านี้ได้แต่ทอดถอนใจ “ฉันคิดว่ายอดขายของจอมมารทะลุมิติจะพุ่งซะอีก แต่เพราะนักอ่านอ่านนิยายแนวผจญภัยในต่างโลกมากขึ้นเรื่อยๆ มาตรฐานของทุกคนก็สูงตามไปด้วย”

“พูดได้ถูกต้อง”

“ไม่ใช่ว่าซูเปอร์โนวาในครั้งนี้สู้ครั้งก่อนๆ ไม่ได้หรอก แต่เป็นเพราะรสนิยมของนักอ่านสูงขึ้นเรื่อยๆ มิน่าล่ะ

หัวหน้าบ.ก.ถึงได้สนับสนุนให้แนวใหม่ๆ ติดอันดับ แนวเดิมนักอ่านอ่านกันจนเอียนแล้ว นิยายจะต้องนำเสนอความตื่นเต้นรูปแบบใหม่บ้าง”

“…”

ในช่วงแรกๆ ละครโทรทัศน์พล็อตหนักสมองอย่างรถชน มะเร็ง หรือแท้งลูกเทือกนี้ปรากฏบ่อยครั้งในโทรทัศน์

บรรดาผู้ชมไม่ได้ดูเอาสนุกเหมือนเดิมแล้ว แต่ในปัจจุบันถ้าหากมีเนื้อเรื่องประเภทนี้ขึ้นมาอีก ผู้ชมก็คงชี้หน้าด่ากราดผู้กำกับไปแล้ว

ในวงการนิยายก็เช่นเดียวกัน

เมื่อหลายปีก่อน นิยายแนวผจญภัยในต่างโลกไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็โด่งดังได้ ตัวอย่างเช่นนิยายเรื่องพกโทรศัพท์ข้ามมิติ เล่าถึงตัวเอกไปยังต่างโลกแล้วยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ พล็อตไม่เป็นโล้เป็นพายตลอดทั้งเรื่อง หากใช้สายตาในตอนนี้มองเรื่องนั้นคงรู้สึกสาหัสสากรรจ์จนทนดูไม่ได้ แต่ในตอนนั้นนักอ่านก็ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้

“แต่ก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด”

หยางเฟิงจงใจปลอบทุกคน “นิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสถึงจะได้เป็นอันดับสุดท้ายในซูเปอร์โนวา แต่เสียงตอบรับก็ดีมากเลยนะครับ ตอนนี้ได้คะแนนสูงถึง 8.5 คะแนนแล้ว เป็นคะแนนที่สูงมาก”

หยางเฟิงพูดได้ถูกต้องแล้ว

แม้ว่าชื่อเสียงของสี่เล่มแรกจะไม่เป็นดังใจหวัง แต่ปรินซ์ออฟเทนนิสได้คะแนนที่สูงมาก คำวิจารณ์จากนักอ่านในช่องคอมเมนต์นั้นมีค่อนไปทางชื่นชมเป็นหลัก

‘เล่มนี้สนุกที่สุด!’

‘นึกไม่ถึงเลยว่านิยายแนวแข่งขันกีฬาอย่างแข่งเทนนิสจะเขียนให้ตื่นเต้นได้ขนาดนี้ ฉันหยิบจากร้านหนังสือมาอ่านเล่นๆ คิดไม่ถึงว่าหนังสือเล่มนี้หยิบมาแล้วจะวางไม่ลง ขายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสสุดใจ’

‘เป็นความสดชื่นแปลกใหม่ของซูเปอร์โนวา!’

‘อ่านแนวผจญภัยในต่างโลกจนเบื่อ ได้เปลี่ยนอรรถรสบ้างก็ดีเกินคาดแฮะ ฉันแนะนำเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสกับเพื่อนไปตั้งหลายคน แต่บางคนก็ไม่สนใจ พวกเขาก็เหมือนฉันก่อนหน้านี้แหละ ไม่เข้าใจเสน่ห์ของนิยายแนวการแข่งขัน’

‘…’

กองบรรณาธิการย่อมรู้ว่าคะแนนของปรินซ์ออฟเทนนิสสูงมาก สามารถพูดได้ว่าเรตติงดีก็เหมือนสายน้ำรินไหลไม่หยุดยั้ง ทว่าสำหรับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้ว คำวิจารณ์ของนิยายเรื่องนี้นับเป็นเพียงรางวัลปลอบใจ เพราะแนวของนิยายเรื่องนี้ไม่เป็นที่นิยม ยอดขายแทบไม่มีทางพุ่งได้เลย

“ไม่มีประโยชน์”

“แนวนิยายเฉพาะกลุ่มเกินไป”

“ชมว่าดีไม่ได้แปลว่าจะซื้อนี่”

เห็นได้ชัดว่าเหล่าบรรณาธิการไม่ได้ตื่นเต้นเลย ทุกสำนักพิมพ์ล้วนมีนิยายที่ได้คำสรรเสริญแต่ไม่ได้ยอดขาย สำหรับนิยายเหล่านี้ สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่มักจะมีท่าทีสนับสนุน ต่อให้ยอดขายไม่ดีก็ยังจะให้ทรัพยากรในการตีพิมพ์ ก็เหมือนกับหนังอาร์ตบางเรื่องที่บริษัทต้องคอยอวดอ้างสรรพคุณ แต่เงินที่บริษัทได้รับจริงๆ ยังต้องพึ่งยอดขายจากนิยาย

“อย่าเพิ่งท้อสิ”

บรรณาธิการบางคนมีท่าทีไม่พอใจ “ดูท่าทางของพวกเธอสิ ยอดขายยังไม่ออกมาเลย คำวิจารณ์ไม่ใช่ทุกอย่าง มีนิยายบางเรื่องที่ผลตอบรับไม่ดีแต่ยอดขายกลับดีมาก”

“ก็จริง”

“ยังมีโอกาส!”

“ก็แค่เสียงตอบรับ”

ในดวงตาของเหล่าบรรณาธิการยังคงมีไฟแห่งความหวัง ผลตอบรับไม่ใช่ทุกอย่าง ในตลาดมีนิยายบางเรื่องที่ได้รับคำชมดีแต่ยอดขายไม่ดี และมีหนังสือบางเล่มที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าคำวิจารณ์ย่ำแย่มาก แต่ยอดขายกลับสูงลิบ สมัยนี้นักอ่านจำนวนมากก็เย่อหยิ่งปากไม่ได้ตรงกับใจ ในสายตาของทุกคนปรินซ์ออฟเทนนิสจัดอยู่ในประเภทแรก แล้วเล่มอื่นๆ ในซูเปอร์โนวาก็อาจจะอยู่ในประเภทหลัง!

คนกลุ่มนี้หลอกง่ายจริงๆ เลย

รองบรรณาธิการลอบเบ้ปาก

ผลงานที่ได้รับคำชมแต่ยอดซื้อไม่สูงนั้นมีน้อยมาก ทว่าผลงานที่คำวิจารณ์เละเทะแต่ยอดขายดีนั้นก็มีไม่มาก ในเกณฑ์ทั่วไปของตลาดหนังสือ โดยส่วนมากทั้งคำวิจารณ์และยอดขายจะแปรผันตรงกัน…

“แยกย้ายเถอะ”

หัวหน้าบรรณาธิการกล่าวพลางโบกมือ

หลังจากที่ผู้คนแยกย้ายกันไป หัวหน้าบรรณาธิการก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที ท่าทีเช่นนี้ยังเทียบไม่ได้กับบรรดาบรรณาธิการเมื่อครู่ “ดูท่าซูเปอร์โนวาในครั้งนี้จะหมดรูปแล้ว นอกจากว่าจะมีปาฏิหาริย์”

“ปาฏิหาริย์?”

รองบรรณาธิการซึ่งยังไม่ได้ออกไปยิ้มขื่นเอ่ย “พวกเราไปดูที่แผนกสถิติสักรอบกันดีกว่า ยอดขายสัปดาห์แรกของซูเปอร์โนวาทางนั้นคงออกมาแล้ว พวกเราไปดูหน่อยว่าปาฏิหาริย์อยู่ที่ไหน”

หัวหน้าบรรณาธิการ “…”

ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปยังแผนกที่เกี่ยวข้อง หัวหน้าและรองบรรณาธิการมองไปยังหญิงสาวหัวหน้าแผนกสถิติพร้อมกัน “ยอดขายอาทิตย์แรกของซูเปอร์โนวา ตอนนี้น่าจะออกมาแล้วใช่มั้ย”

“ออกมาแล้ว?”

หัวหน้าหญิงมีสีหน้าเย็นชาอยู่สักหน่อย ราวกับว่าหัวเสียกับเจ้าสองคนนี้มาก ตอบประโยคเดียวก็หันกลับไปทำ

งานต่อ “ตารางสถิติอยู่บนโต๊ะ ไปดูเอง มีอะไรไม่เข้าใจค่อยมาถามฉัน”

“พวกเราไปล่วงเกินอะไรเธอล่ะเนี่ย”

หัวหน้าและรองบรรณาธิการมองหน้ากัน จากนั้นก็หยิบตารางสถิติขึ้นมาดู ทันทีที่มองดู ความหวังสุดท้ายของ

พวกเขาก็พังทลายลง นั่นก็เพราะจอมมารทะลุมิติซึ่งมียอดขายสูงที่สุดทำได้แค่หนึ่งแสนแปดหมื่นเล่ม

นี่มันซูเปอร์โนวาเชียวนะ!

ที่ผ่านมาหากเป็นผลงานจากซูเปอร์โนวาอวอร์ด ยอดขายในสัปดาห์แรกไม่เกินสามแสนเล่มก็แทบไม่มีหน้าออกจากบ้านไปทักทายคนแล้ว ปีนี้เรื่องที่ยอดขายสูงสุดยังไม่ถึงสองแสนเล่มด้วยซ้ำ

แต่อย่างน้อยก็มีจุดที่ดีอยู่บ้าง

นั่นก็คือห้าอันดับแรกของของซูเปอร์โนวา ยอดขายก็สอดคล้องกับแต่ละอันดับอย่างสมบูรณ์แบบ หัวหน้าบรรณาธิการยกข้อดีขึ้นมา “อย่างน้อยพวกเราก็คาดการณ์ยอดขายแต่ละอันดับไว้ไม่ผิด ตัวเลขยอดขายไม่ดีคิดยังไงก็เป็นความผิดของคนอ่าน”

“ใช่แล้ว!”

รองบรรณาธิการพยักหน้าตาม

หัวหน้าหญิงซึ่งออกไปเพิ่งกลับมา ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองก็เดือดดาลขึ้นมาทันที จึงเริ่มระเบิดอารมณ์ “พวกคุณสองคนคาดการณ์ไว้ไม่ผิดงั้นเหรอ โทรศัพท์ฉันสายแทบไหม้แล้วรู้บ้างมั้ย! ร้านหนังสือทั่วทั้งฉินโจวโทรมาเร่งให้ฉันส่งของ ตอนนี้ฉันต้องคอยรับสายทั้งวั้น ฝั่งนั้นโทรติดปุ๊บก็พูดแต่ปรินซ์ออฟเทนนิสปรินซ์ออฟเทนนิส! เร่งจนสมองฉันแทบระเบิดแล้วโว้ย! พวกคุณรู้หรือยังว่าตอนนี้ซัปพลายของสินค้ามันวุ่นวายขนาดไหน ฉันหัวเสียยิ่งกว่าคนเป็นวัยทองแล้วพวกคุณรู้มั้ยหา! พวกคุณรู้มั้ยว่าหลายวันมานี้ฉันแทบไม่ได้หลับสนิทอย่างคนอื่นเขาเลย!?”

หัวหน้าหญิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!

ปืนใหญ่แห่งคำบริภาษระดมซัดเข้าใส่ จนน้ำลายแตกฟองแทบเปียกเต็มหน้าหัวหน้าและรองบรรณาธิการ ทั้งสองตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจ

“เรื่องนั้น…”

ทั้งสองอ่านตารางสถิติอย่างระมัดระวัง อ่านถี่ถ้วนจนมั่นใจแล้วจึงกล่าว “ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นอันดับสุดท้าย สินค้าจะไปขาดได้ยังไง เจ๊ด่ากราดอย่างกับกินปืนเข้าไป เรื่องนี้มันต้องมีตรงไหนผิดพลาดล่ะมั้ง”

“ผิดพลาด?”

หัวหน้าหญิงมองทั้งสองด้วยสายตาราวกับมองตัวตลกผู้โง่เขลา “ปรินซ์ออฟเทนนิสมีในสต็อกแค่หนึ่งแสนเล่ม แทบจะไม่พอให้เอาไปแหย่ซอกฟันของร้านใหญ่ๆ ด้วยซ้ำ ซูเปอร์โนวาวางแผงออกไปสามวันก็ขายหมดแล้ว คุณจะให้ไปเพิ่มยอดขายได้ยังไง”

หัวหน้าและรองบรรณาธิการยืนตะลึงงัน

ทั้งสองมัวแต่สนใจอันดับยอดขายของซูเปอร์โนวา จนลืมไปเรื่องที่ปรินซ์ออฟเทนนิสตีพิมพ์ครั้งแรกแค่หนึ่งแสนเล่ม

จนกระทั่งถูกหัวหน้าหญิงด่าไปยกหนึ่งถึงนึกออก

ในยามนี้ต่างคนต่างมองตากัน ในที่สุดก็ตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปาฏิหาริย์ที่พวกเขาโหยหาคล้ายกับจะปรากฏขึ้นแล้ว!

“ทั้งสองท่าน”

หัวหน้าหญิงผุดรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว น้ำเสียงอ่อนโยนพิลึก “โปรดบอกดิฉันมาว่าไอ้งั่งคนไหนมันตัดสินใจให้ปรินซ์ออฟเทนนิสตีพิมพ์ครั้งแรกแค่หนึ่งแสนเล่ม”

“เขา!”

หัวหน้าบรรณาธิการและรองบรรณาธิการต่างคนต่างชี้อีกฝ่าย

………………………………………………..

สารบัญ
ขณะที่เหอหมิงเซวียนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นั้น
ผู้ชายซึ่งแต่งตัวเป็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็พากันเข้ามาในร้านหนังสือ ทันทีที่เข้ามา ก็ถามว่า “เถ้าแก่ หนังสือของซูเปอร์โนวามีมั้ยครับ”
“ยินดีต้อนรับ”
เถ้าแก่ยิ้ม ตอบไปว่า “ซูเปอร์โนวารอบนี้มีอยู่แล้ว เพิ่งมาเมื่อเช้า แถวแรกทางขวานั่น มีทั้งห้าเล่ม”
“ครับ”
ทั้งห้าคนวิ่งตรงไปยังหนังสือของซูเปอร์โนวา หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ฉันขออ่านจอมมารทะลุมิติก่อน อันดับหนึ่งในซูเปอร์โนวาปีนี้เลยนะ!”
“ฉันอ่านอันดับสอง”
“งั้นฉันอ่านที่สามก็แล้วกัน”
เด็กผู้ชายกลุ่มนี้ตั้งใจเลือกหนังสือคนละเล่มกัน นับว่าตกลงกันได้แล้ว เพราะเมื่อทำแบบนี้ ทุกคนอ่านเจอผลงานที่ดีก็จะแนะนำกันและกัน
มีเพียงเด็กชายคนสุดท้ายที่ไม่ได้พูดอะไร
เขาสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง สวมแว่นตา ดูแล้วเป็นการแต่งตัวสไตล์นักเรียนดีเด่น เขาหาที่นั่งลงในร้านเพื่อรอเพื่อนซึ่งกำลังเตรียมจะซื้อหนังสือเล่มใหม่
“หวาจื่อ”
มีเพื่อนคนหนึ่งชักชวน “นายอย่ามัวแต่สนใจเรียนหนังสือทั้งวันสิ ครูยังบอกเลยว่าต้องเรียนกับพักผ่อนให้สมดุลกัน หานิยายมาอ่านสักเล่มสิ”
“พวกนายอ่านไปเถอะ”
ผู้ชายที่ชื่อว่าหวาจื่อโบกมือ “ฉันไม่สนใจนิยาย”
“เหมือนว่านายคงไม่เคยอ่านนิยายสินะ”
เพื่อนอีกคนหนึ่งเอ่ยโน้มน้าว “ไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ชอบ”
“ก็ได้”
หวาจื่อเองก็ไม่อยากทำตัวนอกคอก จึงหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสขึ้นมา นั่งลงอ่านหนังสือตรงที่นั่งด้านขวาของเหอหมิงเซวียน
ผ่านไปสิบนาที
เด็กผู้ชายซึ่งอ่านจอมมารทะลุมิติก็วางหนังสือลง ขมวดคิ้วพูดว่า “รู้สึกว่านิยายเล่มนี้ธรรมดามากเลย ก็เห็นอยู่ว่าตัวเอกเป็นจอมมาร แต่กลับไม่ดุดันสักนิด นิสัยเดิมก่อนทะลุมิติมาแก้ไม่ได้สินะ”
“เล่มนี้พอใช้ได้”
ผู้ชายคนที่พูดนั้นกำลังอ่านนิยายซึ่งได้อันดับสองในซูเปอร์โนวา หนังสือชื่อ ‘ฉันกลายเป็นสัตว์อสูรขององค์หญิง’ “แค่นิสัยของตัวเอกฉันไม่ชอบ รู้สึกว่าป้วนเปี้ยนอยู่กับผู้หญิงทั้งวัน”
“ซูเปอร์โนวาครั้งนี้ไม่โอเค”
เพื่อนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันวางหนังสือในมือลง ได้ข้อสรุปตรงกัน ท่าทางแลดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “หวาจื่อ ไปกันเถอะ”
หวาจื่อไม่ตอบ
เพื่อนๆ จึงตะโกนว่า “หวาจื่อ ไปกัน”
หวาจื่อก็ยังไม่ตอบ
เพื่อนๆ รู้สึกประหลาดใจ ต่างคนต่างมองหวาจื่อ แต่กลับพบว่าหวาจื่อกำลังกอดปรินซ์ออฟเทนนิสอ่านอย่างใจจดใจจ่อ จนทุกคนตะโกนเรียกก็ยังไม่ได้ยิน
ทันใดนั้นเพื่อนๆ ก็นึกสนุกขึ้นมา
หนึ่งในนั้นรำพันว่า “หวาจื่อนี่มันอ่อนหัดจริงๆ เหมือนฉันตอนอ่านนิยายครั้งแรกเลย แค่หนังสือเล่มเดียวอ่านแล้วอินขนาดนี้ ตอนนี้อ่านหนังสือมาหลายเล่ม ก็เลยเรื่องมากขึ้นทุกวัน!”
“เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่สนใจนิยาย”
“นิยายที่หวาจื่ออ่านก็เหมือนจะเป็นผลงานในซูเปอร์โนวาครั้งนี้นะ แต่ว่าเป็นอันดับสุดท้ายของซูเปอร์โนวา เขียนเกี่ยวกับการแข่งขันเทนนิสที่เป็นแนวเฉพาะกลุ่ม ไม่ค่อยเหมาะกับคนอ่านที่เล่นเทนนิสไม่เป็นอย่างพวกเราเท่าไหร่”
“หา?”
เมื่อได้ยินเพื่อนพูดถึงตนเอง หวาจื่อถึงได้สติกลับมาราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน เอ่ยอย่างอิดออดว่า “ฉันยังอยากอ่านต่ออะ นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยนะ!”
“นายซื้อกลับบ้านไปเลยก็ได้นี่”
มีคนเสนอแนะขึ้นมาอย่างหยอกล้อ จากนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมา พูดจากใจจริงว่า “ล้อเล่นน่า ไม่รีบๆ ถ้างั้นพวกเราเอาก็ลองดูหน่อยมั้ยว่าเทสต์ของเด็กเรียนอย่างหวาจื่อเป็นยังไง”
“ได้”
พวกเขาวางหนังสือในมือลง ก่อนจะคว้าปรินซ์ออฟเทนนิสขึ้นมาอ่าน ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถึงประเภทของหนังสือเล่มนี้จะไม่ตรงกับรสนิยมของพวกเขาก็เถอะ
“อื้ม!”
หวาจื่อดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็อ่านปรินซ์ออฟเทนนิสต่อไปอย่างไม่รีรอ เขารู้สึกว่าตนได้เปิดประตูบานกว้างสู่โลกใบใหม่!
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง
จู่ๆ ผู้ชายหนึ่งในนั้นก็โพล่งขึ้นมา “แม่เจ้า นิยายเรื่องนี้ที่หวาจื่ออ่านมันสนุกจริงๆ นั่นแหละ ต่างกับที่ฉันจินตนาการไว้ลิบลับ!”
“ใช่ๆๆ!”
ประโยคนี้กระตุ้นความเห็นพ้องต้องกันของคนอื่นๆ “ฉันอยากจะบอกว่า เห็นชัดๆ ว่าฉันไม่รู้เรื่องเทนนิสเลยก็ยังอ่านสนุก หลงหม่าตัวเอกโคตรจะเท่เลย!”
“ฉันชอบโจวจู้[1]”
“หลงหม่าถนัดซ้ายด้วยแหละ!”
“ตอนสเน็กช็อตอย่างโหดเลย!”
ผู้ชายกลุ่มนี้กระซิบกระซาบกัน เป็นเพราะเสียงดังเกินไป พานให้ผู้คนโดยรอบส่งสายตาโกรธเคืองมาให้ “เบาเสียงหน่อยได้มั้ยคะ”
“ขอโทษครับ”
พวกเขาจึงรีบเงียบเสียง จากนั้นก็ลากหวาจื่อออกไปอย่างหดหู่ ต่างคนต่างซื้อปรินซ์ออฟเทนนิสแล้วก็เดินออก
จากร้านไป
……
ในตอนนั้นเหอหมิงเซวียนได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ที่ผู้ชายกลุ่มนั้นไม่สนใจจนท้ายที่สุดแล้วก็ซื้อปรินซ์ออฟเทนนิสไปกับตาตนเอง
แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดอะไร
ทว่าสุดท้ายเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นก็คุยกันอย่างออกรสออกชาติ แถมตอนที่ซื้อปรินซ์ออฟเทนนิสติดมือกลับไป เขาก็ยังจับจ้องไม่วางตา!
“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ”
เหอหมิงเซวียนหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสออกมาอย่างอดไม่ได้ ยามนี้ในใจของเขามีคำถามอยู่เต็มไปหมด บางทีในหนังสืออาจมีคำตอบก็ได้
เขายังคงนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านหนังสือ แสงแดดส่องสะท้อนลงมาบนหนังสือ มองดูแล้วก็เป็นนิยายเล่มหนึ่ง เพียงแต่เหอหมิงเซวียนไม่รู้เลยว่าตัวเขานั่งนิ่งอ่านหนังสืออยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ราวกับถูกแช่แข็ง นอกจากพลิกหน้ากระดาษที่แทบจะทำลงไปเพราะสัญชาตญาณแล้ว เขาแทบไม่ได้ขยับแม้แต่ครึ่งก้าว
“ฮัดชิ่ว!”
มีคนจามในร้านหนังสือ
เหอหมิงเซวียนจึงตกใจจนสะดุ้งโหยงราวกับตื่นจากความฝัน จึงพบว่าตนเองนั่งจนก้นชาไปหมดแล้ว ทว่าชั่วขณะนั้นดวงตาของเขาเป็นประกาย ทั้งร่างสั่นสะท้านเบาๆ “ที่แท้นิยายแนวแข่งขันกีฬาก็เขียนกันแบบนี้เอง!”
ความคลางแคลงใจของเขาพลันคลี่คลาย
ประหนึ่งเขาตื่นรู้ก็มิปาน
ในจินตนาการแรกเริ่มของเหอหมิงเซวียน นิยายแนวการแข่งขันกีฬาซึ่งไม่เป็นที่นิยมอย่างปรินซ์ออฟเทนนิส น่าจะขาดอารมณ์ร่วมและชวนให้สับสนสำหรับนักอ่านที่เล่นเทนนิสไม่เป็น จนกระทั่งเขาเปิดอ่าน จึงได้พบว่าตนเองนั้นคิดผิดมหันต์!
เขาไม่รู้เรื่องเทนนิสแม้แต่นิดเดียว
แต่นี่คือนิยายที่ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเทนนิสก็สนุกได้
เรื่องราวไม่ว่าจะเป็นจังหวะของเนื้อเรื่องหรือตัวละครก็เหมาะสมกับนักอ่านที่ชื่นชอบแนวแฟนตาซีเยาวชนได้ ถึงขั้นที่แม้แต่เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเทนนิสที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องก็ไม่น่าเบื่อเลย กลับทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่าตนได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นแล้ว
‘สเน็กช็อต!’
‘โค่นหมีสีน้ำตาล!’
‘ทวิสต์เสิร์ฟ!’
เมื่อท่าไม้ตายอันแพรวพราวเหล่านี้ปรากฏขึ้นในหนังสือ กอปรกับบทบรรยายอันสมจริงจนทำให้คุณลุงคนหนึ่งอย่างเหอหมิงเซวียนรู้สึกเลือดลมโหมคลั่งขึ้นมา
คำอธิบายเกี่ยวกับสมาชิกในทีมโรงเรียนชิงชุนนั้นดูราวกับทะลุออกมาจากกระดาษ และมาอยู่ตรงหน้าของเขา
เขาถึงกับดีใจไปกับชัยชนะของทีมโรงเรียนชิงชุน กระวนกระวายกับอุปสรรคของทุกคน และใคร่ครวญถึงการดำเนินเรื่อง…
“พระเจ้าช่วย!”
ความสงสัยทั้งหมดล้วนคลี่คลายอย่างง่ายดาย ทำไมหลังจากที่ทุกคนอ่านนิยายเรื่องนี้แล้วถึงเลือกที่จะซื้อกลับไปน่ะหรือ
ก็เพราะว่านิยายเรื่องนี้มันสนุกน่ะสิ!
เหอหมิงเซวียนจ้องมองชื่อฉู่ขวงด้านหลังคำว่าผู้เขียน ในใจก็พลันเต้นโครม ‘หนังสือเล่มนี้ต้องบุกเบิกการเติบโตของนิยายแนวแข่งขันกีฬาในฉินโจวอย่างแน่นอน’
ฉู่ขวงน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาเชื่อสนิทใจแล้วว่าตนพ่ายแพ้
ทุกคนประเมินฉู่ขวงต่ำเกินไป รวมไปถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลู พวกเขาถึงกับจัดปรินซ์ออฟเทนนิสไว้แค่อันดับห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ด แถมยังพูดเสียดิบดีว่าทำเพื่อให้ประเภทนิยายในตลาดเกิดความหลากหลาย?
นี่แหละที่เรียกว่ามีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่รู้ นิยายระดับนี้มีไว้ให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูของพวกแกใช้เพิ่มความหลากหลายในตลาดเหรอฟระ
รอดูก่อนเถอะทุกคน
อีกไม่นาน ตลาดนิยายก็จะแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าใครคือซูเปอร์โนวาตัวจริงของปีนี้!
………………………………………………….

[1] โจวจู้ คือฟูจิ ชูสุเกะจากเรื่อง Prince of Tennis เจ้าชายลูกสักหลาด

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูประกาศห้าอันดับที่ได้รางวัลซูเปอร์โนวาอวอร์ดครั้งนี้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือน ฝั่งหลินเยวียนก็มีหยางเฟิงมาแจ้งข้อมูลแล้ว และได้เห็นชื่อ ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ ในรายชื่อผู้รับรางวัลคนสุดท้าย

“นิยายจะตีพิมพ์พรุ่งนี้แล้ว”

หยางเฟิงเตือนหลินเยวียนไว้ล่วงหน้า “แต่นายไม่ต้องสนใจยอดขายมากหรอกนะ นิยายแนวเฉพาะกลุ่มอย่างการแข่งขันกีฬา ยอดขายไม่ได้เป็นตัวชี้วัดผลงานแค่อย่างเดียว เอาเป็นว่าต้องขอแสดงความยินดีกับนายที่ได้เป็นนักเขียนนิยายอย่างเป็นทางการแล้ว”

หลินเยวียนตอบ “ขอบคุณครับ”

หยางเฟิงหัวเราะ “งั้นฉันวางสายก่อนละ บริษัทยังมีประชุมเรื่องวางขายอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้นิยายจะวางขายอย่างเป็นทางการแล้ว ทางเราจะส่งให้นายฟรีสองสามเล่ม อีกอย่างนายจะไปเดินดูที่ร้านขายหนังสือก็ได้ พรุ่งนี้ก็จะวางขายในร้านหนังสือทั่วทั้งฉินโจวแล้ว”

“ครับ บ๊ายบายครับ”

หลังจากวางสายแล้ว หยางเฟิงก็เก็บโทรศัพท์ เดินเข้าห้องประชุม ยามนี้เหล่าบรรณาธิการต่างกระซิบกระซาบถกเถียงกันเรื่องผลรางวัลซูเปอร์โนวา “ไม่รู้ว่ายอดขายของซูเปอร์โนวาปีนี้จะเป็นยังไง ฉันถูกใจเรื่องจอมมารทะลุมิติที่อยู่อันดับหนึ่ง ตัวเอกทะลุมิติไปต่างโลกกลายเป็นจอมมารที่ผู้คนหวาดกลัว ทิศทางของพล็อตค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ อย่างน้อยก็ดึงดูดผู้อ่านได้มากหน่อย”

“ฉันกลับชอบอันดับสอง”

“ต้าหลงนักเขียนของอันดับสองเก๋าเกม หมอนี่น่ะเป็นนักเขียนมาตั้งนานแล้ว ก็แค่เปลี่ยนชื่อมาเป็นหน้าใหม่ก็แค่นั้น แต่ว่านิยายที่เขาเขียนครั้งนี้ก็สนุกมาก ตัวเอกถูกเจ้าหญิงเรียกตัวมายังต่างโลกเลยนะ”

“…”

การถกเถียงกันเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

มีคนชอบอันดับที่หนึ่ง มีคนชอบอันดับที่สอง และยังมีคนรู้สึกว่าอันดับสามอันดับสี่ไม่เลวเลย มีเพียงอันดับห้าที่มีคนพูดถึงกันน้อยที่สุด เพราะบรรณาธิการในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูล้วนรู้ดีว่าอันดับที่ห้าเป็นนิยายที่หัวหน้าบรรณาธิการฝืนใจใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความหลากหลายของตลาดนิยาย

จุดนี้ทุกคนเข้าใจได้

การผูกขาดประเภทนิยายในท้องตลาดก็สูงมากจริงๆ นั่นละ และมันก็ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาวงการนิยาย ฉะนั้นตั้งแต่ในปีนี้ แต่ละสำนักพิมพ์ใหญ่รวมถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ล้วนแต่ทดลองผลักดันนิยายแนวใหม่สู่ตลาด เพื่อให้แตะถึงเป้าหมายในการดึงดูดทิศทางความหลากหลายของตลาด

หลังจากประกาศผลรางวัลซูเปอร์โนวาออกไป บนเว็บไซต์ทางการจะมีแบบสำรวจการแนะนำผลงานซึ่งได้รางวัลและคะแนนความคาดหวังของผู้อ่านด้วย นักอ่านเจ้าประจำซึ่งได้รับเชิญมาพิเศษล้วนกรอกแบบสอบถาม ผลคือคะแนนความคาดหวังของผู้อ่านสามอันดับแรกในซูเปอร์โนวานั้นสูงที่สุด!

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

เป็นเพราะสามอันดับแรกล้วนเป็นแนวผจญภัยในต่างโลก

ปรินซ์ออฟเทนนิสซึ่งอยู่ลำดับที่ห้านั้นมีคะแนนความคาดหวังต่ำที่สุด ผู้อ่านอาจไม่สนใจเทนนิสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้ในข้อความแนะนำของเว็บไซต์ทางการจะเน้นย้ำตลอดว่านี่เป็นนิยายแนวกีฬาซึ่งคนที่เล่นเทนนิสไม่เป็นก็อ่านเข้าใจ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลสำรวจในครั้งนี้ได้

ถึงขั้นที่ยังมีคนประท้วงในเว็บไซต์ทางการ

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังจากประกาศผล ก็มักจะมีนักเขียนพูดว่าตนเองยอดเยี่ยมทว่าไม่ผ่านการคัดเลือกรู้สึกว่าการตัดสินรางวัลในครั้งนี้ไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะในปีนี้ ปรินซ์ออฟเทนนิสไปยียวนกวนโทสะของเหล่าผู้ตกรอบหลายคนเข้า

‘ติดอันดับได้ไง’

‘แต่ไหนแต่ไรมาฉินโจวไม่ยักเคยมีแนวแข่งขันกีฬาพุ่งติดอันดับมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิยายเกี่ยวกับเทนนิส คลังหนังสือซิลเวอร์บลูยัดผลงานแบบนี้เข้ามาอยู่ในอันดับห้าเพื่อให้เพิ่มแนวนิยาย แต่จริงๆ แล้วน่าผิดหวัง’

สี่อันดับแรกเป็นแนวซึ่งได้รับความนิยม

อันดับที่ห้าจึงตกเป็นเป้าโจมตีไปโดยปริยาย

ทว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการประท้วงเหล่านี้ สำหรับกองบรรณาธิการแล้ว ปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นเป็นนิยายเฉพาะกลุ่มไปหน่อยก็จริง แต่คุณภาพของนิยายนั้นไม่ได้แย่จนเหลือรับอย่างที่คนอื่นตัดสิน

‘น่าเสียดายแทนเหอหมิงเซวียน’

บรรณาธิการคนหนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้นพลางส่ายหน้า

เหอหมิงเซวียนเป็นนักเขียนที่เดบิวต์แล้วคนหนึ่ง ครั้งนี้เขาส่งผลงานในนามหน้าใหม่ ผลงานได้รับการประเมินในระดับที่ไม่เลว มีบรรณาธิการหลายคนหลังจากได้อ่านผลงานของเขาแล้ว ก็เสนอให้ผลงานของเหอหมิงเซวียนเป็นผู้ชนะลำดับที่ห้าในการประกวดซูเปอร์โนวา

ทว่าน่าเสียดายที่เขาดันมาเจอกับปรินซ์ออฟเทนนิส

เหตุผลของหัวหน้าบรรณาธิการก็โน้มน้าวใจทุกคนได้ ‘หนึ่งก็คือตลาดต้องเกิดความหลากหลาย สองคือถึงยังไงเหอหมิงเซวียนก็เป็นนักเขียนมืออาชีพ แม้ว่าทุกปีจะมีนักเขียนมืออาชีพเปลี่ยนชื่อมาก็เถอะ แต่ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีเท่าไหร่ พวกเราควรจะให้โอกาสนักเขียนหน้าใหม่มากกว่า’

เหอหมิงเซวียนก็เป็นอันตกรอบไปด้วยประการฉะนี้

บรรณาธิการที่สนิทชิดเชื้อกับเหอหมิงเซวียนก็อุตส่าห์ไปปลอบเขาเพราะเรื่องนี้ “ถ้าไม่ใช่เพื่อให้แนวนิยายในตลาดมันหลากหลาย ครั้งนี้คุณน่าจะเป็นอันดับห้า เพราะงั้นครั้งนี้ตกรอบไปไม่ใช่เพราะความสามารถไม่พอ แต่เป็นเพราะ คุณโชคไม่ค่อยดีต่างหาก”

……

ถึงแม้เหอหมิงเซวียนจะได้ชื่อว่าเป็นอันดับที่หก แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านปรินซ์ออฟเทนนิสของนักเขียนที่ตกรอบเหล่านั้น เพราะในปีที่เขาได้เดบิวต์ ก็มีคนประท้วงผลงานของเขาเทือกนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเขาจึงเข้าใจว่าการถูกคนตกรอบต่อต้านนั้นรู้สึกอย่างไร เขาไม่มีทางกลายเป็นคนประเภทที่เขาเคยเกลียดเป็นอันขาด

บรรณาธิการพูดไว้ไม่ผิด

เขาเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้ตนโชคไม่ค่อยดี อย่างไรก็เจอเข้ากับสถานการณ์พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่หน้าใหม่แต่อย่างใด เปลี่ยนชื่อเข้าไปแย่งโอกาสนักเขียนหน้าใหม่เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องสักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วหลีกทางให้นักเขียนหน้าใหม่ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

‘บางทีฉันอาจไม่เหมาะกับการเขียนหนังสือ’

เหอหมิงเซวียนสงสัยในตัวเอง เมื่อห้าปีก่อนเขาได้เปิดตัวในฐานะนักเขียนนิยาย ยอดขายนิยายในฤดูกาลนั้นถึงขั้นเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าหลังจากหนังสือเรื่องนั้นจบลง หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนออกมาก็ล้วนแต่ไม่เป็นโล้เป็นพาย จนทุกวันนี้เหลือแค่ไม่กี่สำนักพิมพ์ที่ยังยินดีตีพิมพ์ผลงานของเขาอยู่

นั่นทำให้เหอหมิงเซวียนช้ำใจมาก

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ เขาคงไม่บากหน้าไปเข้าร่วมการแข่งขันของนักเขียนหน้าใหม่อย่างซูเปอร์โนวาหรอก สำหรับนักเขียนทุกคนแล้ว การไปแย่งชิงโอกาสกับนักเขียนหน้าใหม่นั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาล้มเหลว

คืนนั้นเหอหมิงเซวียนข่มตาหลับไม่ลง

เช้าตรู่วันที่สอง เหอหมิงเซวียนเดินเข้าร้านหนังสือที่ใกล้บ้านที่สุดด้วยสภาพมึนๆ งงๆ มองไปยังหน้าชั้นหนังสือแรกในร้านหนังสือตามสัญชาตญาณ

เมื่อก่อนชั้นหนังสือนี้ก็เคยมีผลงานของเขาจัดวางจนเต็ม

ทว่าวันนี้ หนังสือที่จัดวางไว้ล้วนเป็นผลงานห้าอันดับแรกของซูเปอร์โนวา

อันดับที่หกของเขาทำผลงานไม่สำเร็จ

คนอ่านหนังสือในร้านมีเยอะมาก ส่วนมากล้วนหยิบมาพลิกอ่าน หามุมเงียบแล้วอ่านหนึ่งหมื่นตัวอักษรแรกก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนชอบเรื่องนี้ ผู้อ่านถึงจะควักเงินออกมาจ่าย

เมื่อมองดูภาพนี้

เหอหมิงเซวียนก็หวนนึกถึงเรื่องโง่เขลาที่เคยทำเมื่อก่อน

ในตอนนั้นนิยายของเขาเพิ่งตีพิมพ์ เขาไปนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านขายหนังสือตลอดทั้งวัน ไม่ได้ทำอย่างอื่น เพียงแค่คอยสังเกตผู้คนซึ่งเข้ามาซื้อหนังสือ

ทุกครั้งที่มีคนมาซื้อหนังสือของเหอหมิงเซวียน เขาก็จะแอบรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่คนเดียว

วันนี้

เข้ามาในร้านหนังสือ

เหอหมิงเซวียนกวาดตาสังเกตตามสัญชาตญาณ

เป็นไปดังคาด เล่มที่ทุกคนหยิบเป็นอันดับแรกล้วนเป็นหนังสือแนะนำของร้าน และเป็นผลงานชนะสามอันดับแรกของซูเปอร์โนวา

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหอหมิงเซวียนก็คือวันนี้อัตราการซื้อของทุกคนนั้นไม่สูง คนจำนวนมากหยิบหนังสือมาอ่านครู่หนึ่งก็เก็บกลับไปที่เดิม ราวกับว่าผลงานของซูเปอร์โนวาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา

ทว่ามีเล่มหนึ่งซึ่งอัตราการซื้อนั้นเหนือความคาดหมายของเหอหมิงเซวียน

หนังสือเล่มนั้นก็คือปรินซ์ออฟเทนนิส นิยายที่เบียดให้เหอหมิงเซียนตกไปอยู่ลำดับที่หก

อันที่จริงคนที่หยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปเปิดอ่านนั้นมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อย เมื่อเทียบกับลำดับที่สี่แล้ว ผู้ที่สนใจนิยายเล่มนั้นมีน้อยจนน่าสงสารเลยทีเดียว

แต่ว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดกับภาพความน่าสงสารนี้คือ

นักอ่านซึ่งหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปลองอ่าน ท้ายที่สุดแล้วจะซื้อหนังสือกลับไป!

ด้วยเหตุนี้เหอหมิงเซวียนจึงตั้งใจนับดูสักหน่อย

ตั้งแต่เข้ามาในร้านหนังสือ นักอ่านที่ยินดีหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปเปิดอ่านมีทั้งหมดแค่สิบแปดคนถ้วน

กระนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ

คนที่เมื่ออ่านปรินซ์ออฟเทนนิสเสร็จแล้วยอมซื้อกลับบ้าน กลับมีถึงสิบห้าคน!

“นี่มัน…”

…………………………………….

ช่วงสายของวันถัดมา

หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย บอกกล่าวความคิดของตนว่าจะออกไปเช่าห้องข้างนอก

พี่จ้าวเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนก็มาก ฉะนั้นหลังจากที่หลินเยวียนเกิดความคิดจะออกไปเช่าห้องข้างนอก คนแรกที่อยากไหว้วานก็คือจ้าวเจวี๋ย

ถ้าลำพังตนเองหาละก็ น่ากลัวว่าจะต้องวุ่นวายอยู่นานโขทีเดียว

“เช่าบ้าน?”

จ้าวเจวี๋ย “เธออยากได้ห้องแบบไหนไหม”

หลินเยวียนตอบ “ค่าเช่าถูกหน่อยครับ”

จ้าวเจวี๋ยเงียบไปสองวินาที “นอกจากค่าเช่าถูกล่ะ”

หลินเยวียนลองพูดเสริม “ของดีราคาเป็นมิตรครับ”

จ้าวเจวี๋ย “…”

หรือว่าฉันอ่านหนังสือน้อย?

นั่นก็หมายความว่าราคาถูกเหมือนกันไม่ใช่หรอกเหรอ?

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “งั้นเธอก็มาหาถูกคนแล้ว ฉันมีห้องชุดหนึ่งอยู่ใกล้วิทยาลัยพวกเธอ เดี๋ยวฉันจะให้คนเอากุญแจมาให้ ค่าน้ำค่าไฟเธอจ่ายเองก็พอ ค่าเช่าฟรี ราคาถูกพอแล้วใช่มั้ย”

“ไม่ได้หรอกครับ”

หลินเยวียนบอก “ต้องจ่ายค่าเช่าด้วย”

จ้าวเจวี๋ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ห้องปล่อยว่างไปก็เปล่าประโยชน์ ฉันไม่ได้อยากให้ใครเช่าอยู่แล้ว ถึงยังไงก็ได้ค่าเช่าไม่เท่าไหร่ ไม่สู้ให้เธออยู่ดีกว่าเหรอ เธออย่ามองฉันเป็นคนอื่นคนไกลสิ ไม่งั้นฉันจะโกรธนะ”

“ครับ”

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะตอบตกลง “งั้นต่อไปพี่อยากได้เพลงก็อย่าลืมมาหาผมนะ”

พี่จ้าวสัพยอก “ทำไม เธอยังมีมวลผกายามคิมหันต์ออกมาได้อีกเหรอ”

หลินเยวียนจมอยู่ในภวังค์

กุหลาบแดงจัดว่าเป็นมวลผกายามคิมหันต์ได้มั้ยนะ

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะร่า “เอาละ ไม่แกล้งเธอแล้ว ฉันไปทำงานก่อน ตอนเย็นเธอเอากุญแจไปเปิดห้องดู ด้านในมีข้าวของเครื่องใช้ครบ รับประกันว่าเธอย้ายเข้าคืนนี้ได้เลย แล้วเดี๋ยวฉันจะหาคนทำความสะอาดให้”

ทำความสะอาด?

หลินเยวียนรีบบอกไปว่า “ผมเก็บกวาดเองได้ครับ”

จ้าวเจวี๋ยไม่ได้ต่อปากต่อคำ “ตามนั้น ฉันวางสายก่อนนะ”

“อื้อ”

เมื่อจบบทสนทนากับหลินเยวียน

จ้าวเจวี๋ยก็ต่อสายโทรศัพท์อีกครั้ง

น้ำเสียงของเธอกลับมาแข็งกร้าวดังเดิม “ขอโทษลูกค้าไป บอกว่าห้องสวนอู๋ถงของฉันไม่คิดจะปล่อยเช่าแล้ว”

“อะไรนะ”

อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ร้อนรนขึ้นมา “พี่ พี่ไม่พอใจราคาเหรอ คนเขาดูห้องแล้วก็ตกลงยินดีจ่ายค่าเช่าหนึ่งหมื่นห้าทันทีเลย ราคานี้ต่อให้เป็นสวนอู๋ถงก็ไม่ใช่ถูกเลยนะ…เอางี้ พี่ไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ฉันจะไปคุยกับลูกค้า พวกเราขึ้นค่าเช่าอีกสักหมื่นก็ได้!”

“ไม่ต้อง”

จ้าวเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ “จะเท่าไหร่ก็ไม่ปล่อยเช่าแล้ว ฉันจะให้ลูกฉันอยู่แล้ว เดี๋ยวต่อไปเขาซื้อห้องของตัวเองได้แล้วเธอค่อยช่วยฉันปล่อยเช่าก็แล้วกัน”

“…งั้นก็ได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น ปลายสายก็จนคำพูด คนเขาจะเก็บห้องไว้ให้ลูกอยู่ จะไปพูดอะไรได้ล่ะ

หลินเยวียนย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้

หลังจากคุยโทรศัพท์กับพี่จ้าวเสร็จ เขาไปหาซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ และบอกเพื่อนสนิททั้งสองเกี่ยวกับเรื่องที่จะออกไปอยู่ข้างนอก

“ออกไปอยู่ข้างนอก?”

ซย่าฝานพูดด้วยความเป็นห่วง “นายออกไปอยู่คนเดียวจะได้เหรอ”

เจี่ยนอี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น “ไม่งั้นฉันไปคุยกับที่บ้าน แล้วออกไปอยู่เป็นเพื่อนนายดีมั้ย?”

หลินเยวียนร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วรอบตัวไม่มีคนคอยดูแลจะเป็นอันตรายมาก

หลินเยวียนพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นเด็กอ่อนซะหน่อย”

จากที่ระบบบอก อย่างน้อยก่อนที่อายุจะถึงยี่สิบเจ็ดปี หลินเยวียนก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะตาย

“งั้นก็ได้”

ทั้งสองคนใคร่ครวญอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เย็นนี้พวกเราไปช่วยนายทำความสะอาด ถ้านายออกไปอยู่ข้างนอก ก็ต้องติดต่อพวกเราให้มากหน่อย”

หลินเยวียนพยักหน้า

ช่วงบ่าย ผู้ช่วยของจ้าวเจวี๋ยก็นำกุญแจสามดอกมาให้หลินเยวียน พร้อมทั้งพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจ “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ พี่จ้าวบอกว่าถ้าคุณจะทำความสะอาด ให้ฉันไปช่วยคุณได้”

หลินเยวียนตอบ “ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องหรอก”

อีกฝ่ายพยักหน้า “งั้นฉันกลับบริษัทก่อนนะคะ ที่อยู่คือสวนอู๋ถงบล็อก 52 ห้อง 804 คุณจดไว้หน่อย”

“ครับ”

หลินเยวียนจดที่อยู่ และในเย็นวันนั้นก็พาเจี่ยนอี้และซย่าฝานเข้าไปในเขตที่ชื่อว่าสวนอู๋ถง

“ว้าว!”

ทันทีที่เจี่ยนอี้เข้าไปในเขตนั้น ก็ตกตะลึงในทันใด “นายถึงกับเช่าบ้านในสวนอู๋ถงเลยเหรอ นี่เป็นเขตที่ดีที่สุดที่ใกล้วิทยาลัยพวกเราเลยนะ วิวทะเลสาบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้ยินว่าค่าเช่าที่นี่เดือนหนึ่งอย่างต่ำหนึ่งหมื่นหยวน หลินเยวียนเงินเดือนของนายคงเช่าไม่ไหวล่ะมั้ง”

ค่าเช่าแพงขนาดนั้นเลย?

หลินเยวียนตกใจอยู่บ้าง จากนั้นก็บอกไปตามตรงว่า “นี่เป็นห้องของหัวหน้าที่บริษัท ให้ฉันอยู่ฟรี ไม่เก็บค่าเช่า”

เจี่ยนอี้จ้องหลินเยวียนเขม็ง “ผู้ชายผู้หญิง?”

หลินเยวียนตอบ “ผู้หญิง”

“ฉันว่าแล้วเชียว!”

เจี่ยนอี้พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว “ถูกหัวหน้าเลี้ยงจริงๆ ด้วย! หลินเยวียน ทำไมนายเป็นแบบนี้เนี่ย ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ มีแฟนสาวรวยขนาดนี้ทำไมไม่แนะนำให้ฉันรู้จักบ้าง”

“แฟนสาวรวยๆ น่ะคงไม่มี แต่หัวหน้าผู้ชายที่มีรสนิยมแตกต่างน่ะมีเยอะแยะไป” ซย่าฝานซึ่งอยู่ด้านข้างหัวเราะร่วน

“ผู้ชาย?”

เจี่ยนอี้พลันรู้สึกเย็นวาบ “งั้นต้องเพิ่มเงินแล้ว!”

หลินเยวียน “…”

ซย่าฝาน “…”

ระหว่างที่คุยเล่นกันอยู่ ทั้งสามก็เข้ามายังบล็อก 52 ห้อง 804

วินาทีที่เปิดประตู ซย่าฝานก็ตะลึงงันในทันใด มองดูการประดับตกแต่งในห้องก็พลันนึกคลางแคลงใจขึ้นมา “หลินเยวียน หัวหน้าของนาย…ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงกับนายจริงๆ ใช่มั้ย”

นี่คือห้องชุดสามห้องนอนหนึ่งห้องครัว

พื้นที่น่าจะมากกว่า 140 ตารางเมตร

ห้องอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของเขตนี้ มองจากหน้าต่างข้างระเบียงจะเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบด้านนอก

การประดับประดาค่อนไปทางทันสมัยและเรียบง่าย แลดูเรียบง่าย กระนั้นวัสดุที่ใช้แต่ละอย่างก็มองออกว่าไม่ใช่ถูกๆ คงจะใช้เงินซื้อไปไม่น้อย มิหนำซ้ำห้องนี้น่าจะไม่เคยมีคนเข้าอยู่ โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกว่าใหม่มาก

“อาจเป็นเพราะฉันช่วยงานเขาน่ะ”

หลินเยวียนอธิบาย ในตอนนั้นในใจก็รู้สึกกระอักกระอ่วน

“สมแล้วที่พวกเราเอ็นดูนายที่สุด”

เจียนอี้และซย่าฝานพยักหน้า ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง นับว่าพวกเขาเชื่อคำพูดของหลินเยวียน

ที่บอกว่า ‘ถูกเจ้านายเลี้ยง’ ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น

แม้ว่าหลินเยวียนจะชื่นชอบเงิน แต่ก็รู้ขีดจำกัด

อีกทั้งนิสัยของหลินเยวียนก็ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดี ฉะนั้นชีวิตเขาจึงมีชะตาต่อคนที่มาดีเสมอ

นี่อาจเกี่ยวกับที่หลินเยวียนมีหน้าตาหล่อเหลามาตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อเห็นหน้าเขาแล้วคนก็ย่อมรู้สึกเป็นมิตรขึ้นมาอีกหลายส่วน

บนโลกนี้มีคนที่ลำพังแค่หน้าตาก็ทำให้คนชื่นชอบได้แล้ว บวกกับที่หลินเยวียนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาตลอด จึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษเสมอมา ถึงแม้ระดับของการดูแลในครั้งนี้จะใหญ่โตเกินไปสักหน่อยก็เถอะ

“ฉันตัดสินใจแล้ว!”

เจี่ยนอี้เดินเตร่รอบห้องอย่างสำราญใจ จากนั้นก็ชี้ไปยังห้องนอนข้างห้องหนึ่ง “ต่อจากนี้ห้องนอนห้องนี้เป็นของฉัน ฉันจะมาขอพักฟรีบ้างเป็นครั้งคราว”

“งั้นฉันอยู่อีกห้อง”

ซย่าฝานชี้ไปยังห้องที่สาม

ห้องนอนหลักใหญ่ที่สุด แต่ห้องนอนข้างอีกสองห้องก็กว้างขวางเช่นกัน

หลินเยวียนโทรศัพท์บอกกล่าวกับจ้าวเจวี๋ย หลังจากได้รับคำยินยอมแล้ว ก็พยักหน้าเอ่ย “งั้นก็กุญแจคนละดอก”

หลินเยวียนมีกุญแจทั้งหมดสามดอก แบ่งได้ลงตัวพอดี

ทั้งสองไม่ได้เกรงใจ ต่างคนต่างรับกุญแจมาทันที

สามคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี เรื่องพวกนี้ไม่ได้มองกันเป็นคนอื่นไกล

“งั้นพวกเราเริ่มทำความสะอาดกันเถอะ”

เจี่ยนอี้เห็นห้องนี้ก็รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา

ทว่าข้อเสียของห้องชุดขนาดใหญ่ก็คือจะค่อนข้างเปลืองแรงตอนทำความสะอาด ต่อให้สามคนแบ่งงานกันทำ ก็ยังวุ่นวายอยู่สองชั่วโมงกว่ากว่าจะเก็บกวาดเสร็จ

“เย็นนี้ไม่กลับแล้ว นอนที่นี่แหละ”

ทั้งสามคนเหงื่อโซมกาย ไม่มีกะจิตกะใจจะกลับวิทยาลัย ถึงอย่างไรในตู้ของแต่ละห้องก็มีผ้าห่มผืนใหม่ นอนมันซะที่นี่ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา

……………………………………………….

ค่ำวันนั้นหยางเฟิงติดต่อหลินเยวียนไปตามช่องทางการติดต่อที่ให้ไว้ “สวัสดีครับ คุณคือฉู่ขวงใช่มั้ยครับ ผมชื่อหยางเฟิง เป็นบรรณาธิการตรวจต้นฉบับซูเปอร์โนวาอวอร์ดของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู”

“สวัสดีครับ ใช่ครับ”

หลินเยวียนรับสายขณะที่อยู่ในหอพัก

หยางเฟิงยิ้มเอ่ย “ยินดีด้วยนะครับ คณะกรรมการตรวจต้นฉบับของซูเปอร์โนวาได้ตัดสินใจเลือกให้นิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของคุณอยู่ในลำดับที่ห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ดในครั้งนี้ หรือจะเรียกได้ว่านิยายของคุณได้รับโอกาสตีพิมพ์แล้ว สัญญาโดยละเอียดจะส่งให้คุณทางอีเมล เดี๋ยวแอดคอนแท็กก่อนได้มั้ยครับ”

หลินเยวียนตอบด้วยความดีใจ “ได้ครับ”

ถึงแม้ว่าระบบจะคุยโวซะใหญ่โต แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจว่านิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสนี้จะผ่านเข้ารอบการประกวดของนักเขียนหน้าใหม่แต่อย่างใด โทรศัพท์สายนี้ทำให้เขาวางใจลงได้บ้าง ดูแล้วระบบก็พอจะเชื่อถือได้ทีเดียว

หลังจากวางสาย

ทั้งสองก็เพิ่มรายชื่อติดต่อกัน

หยางเฟิงส่งสัญญามาให้อย่างรวดเร็ว เนื้อหาในสัญญาระบุไว้ว่าจำนวนการตีพิมพ์รูปเล่มของปรินซ์ออฟเทนนิสในระยะแรกคือหนึ่งแสนเล่ม ราคายี่สิบหยวนต่อหนึ่งเล่ม ภาษีลิขสิทธิ์ร้อยละห้า เป็นราคาที่ค่อนข้างมาตรฐานสำหรับหน้าใหม่

เรื่องนี้ต้องอธิบายก่อนว่า

สิ่งที่เรียกว่าภาษีลิขสิทธิ์ไม่ใช่ภาษีปกติตามที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องลิขสิทธิ์ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทที่ตีพิมพ์ เป็นผลประโยชน์ทางการเงินที่ผู้ผลิตทรัพย์สินทางปัญญาหรือลิขสิทธิ์เรียกเก็บจากผู้อื่นซึ่งใช้ทรัพย์สินทางปัญญานั้น

หลินเยวียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกโกงแต่อย่างใด

ถ้าหากเป็นตลาดนิยายซึ่งเป็นรูปเล่มในโลกเดิม นักเขียนหน้าใหม่ซึ่งออกหนังสือครั้งแรกมักจะถูกฝั่งผู้ตีพิมพ์ซื้อขาดลิขสิทธิ์ หลังจากนั้นหากตีพิมพ์เพิ่มก็จะไม่มีส่วนแบ่ง เมื่อนักเขียนรวบรวมทุนเองได้ถึงระดับหนึ่งจึงจะดีขึ้นมาสักหน่อย นอกเสียจากว่านักเขียนหน้าใหม่คนไหนมีลู่ทางปล่อยผลงานกับสำนักพิมพ์ ก็จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อมองจากมุมนี้แล้ว บลูสตาร์นับว่าค่อนข้างใจกว้างแล้ว

อ่านสัญญาจบ

หลินเยวียนก็เซ็นสัญญา

และเขาก็ยังส่งต้นฉบับของปรินซ์ออฟเทนนิสอีกหนึ่งแสนตัวอักษรให้อีกฝ่าย สำนักพิมพ์ต้องการเวลาอีกประมาณหนึ่งในการพิสูจน์อักษรและปรับแก้ ตัวอย่างเช่นประโยคที่ไม่เหมาะสม หรือว่าพวกคำผิด

เรื่องนี้หลินเยวียนเข้าใจดี

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ทีทางได้โอกาสทำงานนี้ เพราะระบบตรวจสอบคำผิดได้แม่นยำที่สุด และสิ่งที่ค่อนข้าง

เป็นอัตวิสัยอย่างการวางคำหรือรูปประโยคอาจมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย

เมื่อได้รับต้นฉบับ

หยางเฟิงไม่ได้แปลกใจ

ในเมื่อส่งต้นฉบับมาแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะผ่าน เนื้อเรื่องในเล่มแรกเขียนเสร็จล่วงหน้านั้นเป็นเรื่อง

ปกติมาก ทว่าขณะที่เขาคิดว่าจะพูดคุยกับฉู่ขวงต่อสักสองสามประโยค ก็พบว่าอีกฝ่ายได้ออฟไลน์ไปแล้ว!

หยางเฟิง “…”

ในสายอาชีพนี้ โดยทั่วไปนักเขียนหน้าใหม่มักจะประจบประแจงบรรณาธิการ ต่อให้เป็นนักเขียนนิยายซึ่งไม่ได้

โด่งดังมาก ก็จะวางท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อให้ได้รับการดูแลจากบรรณาธิการเป็นพิเศษ เมื่อต้องเจอกับการเร่งต้นฉบับของบรรณาธิการ พวกเขาส่วนมากก็ทำได้แค่รู้สึกสั่นสะท้าน ขังตนเองอยู่ในห้องแคบๆ มืดๆ ปั่นต้นฉบับออกมาด้วยตัวอันสั่นเทา

ทว่าฉู่ขวงนั้นต่างออกไป

เขาพูดคุยเรื่องสัญญากับตน แล้วก็ออฟไลน์ไปเลย นั่นทำให้หยางเฟิงงงงัน เขาไม่ได้หวังให้ฉู่ขวงคนนี้มาประจบสอพลอตนเอง ถึงขั้นที่รู้สึกต่อต้านปรากฏการณ์ที่นักเขียนต้องประจบบรรณาธิการด้วยซ้ำไป

แต่ปัญหาก็คือ

ตนยังอยากสนทนากับฉู่ขวงสักหน่อยน่ะสิ ถึงอย่างไรเขาก็ชื่นชมฉู่ขวงมาก เพราะฉะนั้นเดิมทีแล้วเขาเลยคิดว่าจะพูดคุยเรื่องตลาดและทิศทางของการผลิตผลงานในอนาคตสักหน่อย และถือโอกาสให้คำชี้แนะของมืออาชีพไปในตัว…

ในตอนนี้เผชิญหน้ากับภาพโปรไฟล์สีดำแล้ว

เขาทำได้เพียงเก็บงำคำพูดกลับไป

เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยังเป็นนักเรียนคนหนึ่ง คงไม่มีประสบการณ์ในการเข้าสังคม หยางเฟิงก็ไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกขบขัน ถ้ายังอยากเติบโตในสายอาชีพนี้ละก็ ต่อไปเด็กคนนี้ก็ต้องรู้จักความน่ากลัวของเหล่าบรรณาธิการไว้ด้วย

……

หลินเยวียนไม่ได้อยากเมินเฉยหยางเฟิง แต่ว่าตอนนี้เขากำลังจะหลับแล้ว ถึงแม้ระบบจะเพิ่มอายุขัยให้ แต่กลับไม่ได้ทำให้สภาพร่างกายของหลินเยวียนดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นร่างกายของหลินเยวียนในตอนนี้ก็ยังคงอ่อนแอ ผลของการนอนไม่ตรงเวลาจะร้ายแรงมาก

หลินเยวียนเป็นคนป่วย

บางทีโรครักษาไม่หายของเขาอาจได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนป่วยอย่างหลินเยวียนจะแข็งแรงกำยำ เขายังคงเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะเมื่อเทียบกับคนธรรมดา ฉะนั้นแล้ววิธีการของระบบจึงสอดคล้องกับการรักษามาก

อันที่จริงจุดนี้เรียกได้ว่าน่ารำคาญเหลือเกิน

หลินเยวียนใคร่ครวญว่าควรออกกำลังกายดีไหม

ทว่าร่างกายอย่างเขาต่อให้ออกกำลังกาย ก็ย่อมต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรซะพื้นฐานของเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่อยากให้ฝึกจนบาดเจ็บโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ติ๊งต่อง!”

ระบบคล้ายกับว่าจะรับรู้ถึงความหงุดหงิดใจของหลินเยวียน อยู่ๆ ก็ถึงกับโยนภารกิจมา “สัมผัสได้ถึงความปรารถนาเรื่องสุขภาพที่โฮสต์มี จึงมอบภารกิจพิเศษให้ ถ้าหากโฮสต์ทำภารกิจพิเศษนี้สำเร็จ ระบบจะรับประกันสุขภาพของโฮสต์จนถึงอายุสามสิบปีโดยไม่เจ็บไม่ป่วย”

[ชื่อภารกิจ: ร่างกายต่างหากที่เป็นต้นทุนของการปฏิวัติ]

[เนื้อหาภารกิจ: ชื่อเสียงด้านวรรณกรรมและดนตรีทะลุหนึ่งล้านทั้งสองหมวด]

[รางวัลภารกิจ: โฮสต์จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีชีวิตอยู่อย่างร่างกายแข็งแรงจนถึงอายุสามสิบ]

[หมายเหตุภารกิจ: มาตรฐานของสิ่งที่เรียกว่าร่างกายแข็งแรง หมายถึงโฮสต์มีร่างกายที่ระบบปรับแต่งอย่างละเอียดรอบคอบ สุขภาพดีกว่าคนทั่วไปมาก นอกจากนั้นแล้ว ภารกิจนี้จะมีผลถึงเมื่อโฮสต์มีอายุยี่สิบเจ็ดปี แล้วจะหมดอายุการใช้งาน]

ดูท่าระยะเวลาในการทำภารกิจนี้จะนานมากทีเดียว

ส่วนเหตุผลที่ภารกิจมีผลถึงอายุยี่สิบเจ็ด ก็เพราะขีดจำกัดอายุขัยของหลินเยวียนอยู่ที่อายุยี่สิบเจ็ด ถ้าเขาอายุถึงยี่สิบเจ็ดปีแล้วยังทำภารกิจไม่สำเร็จ หลินเยวียนก็คงต้องบอกลาโลกแล้ว

“รับภารกิจ”

สำหรับภารกิจนั้น แต่ไหนแต่ไรมาหลินเยวียนไม่เคยปฏิเสธ

อย่างไรซะต่อให้ทำภารกิจล้มเหลวก็ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร

เพียงแต่หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าจะมีภารกิจพิเศษพรรค์นี้ด้วย ร่างกายแข็งแรง อยู่อย่างไม่เจ็บไม่ป่วยจนถึงอายุสามสิบ ถ้าทำภารกิจสำเร็จ ก็เท่ากับว่าหลินเยวียนได้ซื้อประกันของระบบให้กับตนเองไว้แล้ว

ฟังดูดีอยู่หรอกนะ

แต่จะว่าไปแล้ว

ค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมกับดนตรี แต่ละหมวดทะลุหนึ่งล้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จากความเร็วในการเพิ่มขึ้นของชื่อเสียงหมวดดนตรีของหลินเยวียนแล้วสามารถบอกเป็นนัยได้ว่า ‘ฉันทำภารกิจมาลำบากมาก นายจะต้องเอาชนะปีศาจแห่งความเจ็บป่วยให้ได้’

ระบบ “…”

ระบบ “ขอแค่โฮสต์สามารถทำภารกิจทั้งชุดที่ระบบมอบหมายให้สำเร็จ ระบบก็จะเอาชนะปีศาจแห่งความเจ็บป่วยของโฮสต์ได้”

ซื่อสัตย์จริงใจอยู่นะ

หลินเยวียนพยักหน้า นอนละนะ

เมื่อรูมเมตในหอเห็นว่าหลินเยวียนเข้านอนแล้ว ก็ไปปิดไฟโดยอัตโนมัติ คุยโทรศัพท์ก็ออกไปคุยเบาๆ ที่ระเบียงทางเดินนอกห้อง ใช้คอมพิวเตอร์ก็ใส่หูฟังของตนเงียบๆ เพื่อไม่ให้เสียงเหล่านี้ไปรบกวนหลินเยวียน

หลินเยวียนเข้านอนตอนสามทุ่มทุกวัน

ช่วงสามทุ่มห้องอื่นๆ อาจจะยังคึกคักอยู่ แต่ห้องที่หลินเยวียนอยู่นั้นไม่มีใครส่งเสียงดังหลังสามทุ่มเลย เพราะรูมเมตเองก็รู้ว่าสุขภาพของหลินเยวียนนั้นไม่ดีนัก จึงโอนอ่อนผ่อนตามหลินเยวียนมาตลอด

“เห็นทีคงต้องออกไปอยู่ข้างนอก”

เพื่อนร่วมห้องโอนอ่อนผ่อนตามหลินเยวียน หลินเยวียนไม่มีทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เขาไม่ได้คิดว่าตนอ่อนแอแล้วตนต้องถูกเสมอ

ตอนนี้มีเงินแล้ว เขาจะขบคิดเรื่องออกไปเช่าบ้านข้างนอก

รูมเมตจะได้ใช้ชีวิตแบบนักเรียนมหาวิทยาลัยทั่วไปกันสักที เปิดปาร์ตี้ในหอกลางดึกอะไรเทือกนั้น

……………………………………….

ถึงแม้จะมีแค่เขาและหลินเยวียนที่กินข้าวกันอยู่สองคน ทว่าซุนเย่าหั่วก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ แม้แต่หลินเยวียนก็ทนดูต่อไม่ไหวแล้ว

“ไม่ต้องสั่งแล้วครับ กินไม่หมด”

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “รุ่นน้องไม่ต้องเกรงใจเลย ดื่มเหล้ามั้ย”

หลินเยวียนส่ายหน้า

ซุนเย่าหั่วพูด “งั้นพวกเราก็ไม่ดื่ม”

หลินเยวียนพยักหน้า “พนักงาน ขอเป็นข้าวสองที่ครับ”

ซุนเย่าหั่วโบกมือ เอ่ยว่า “ช่วงนี้ฉันลดน้ำหนัก ไม่กินข้าวน่ะ”

หลินเยวียนเหลือบมองด้วยสายตาชอบกล “ผมสั่งให้ตัวเอง”

ซุนเย่าหั่ว “…”

เมื่อข้าวมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ หลินเยวียนก็ลงมือกินทันที เขาจะไม่ทำให้อาหารมื้อใหญ่นี้เสียของ

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “นักโภชนาการบอกว่าคนที่กินข้าวให้น้อยลงจะไม่แก่ง่าย รุ่นน้องนายกินผักให้เยอะๆ นะ”

หลินเยวียนมองซุนเย่าหั่วอย่างจริงจัง “ผมมีเพื่อนคนนึงไม่ได้กินข้าวสิบวัน ตอนหลังเขาอายุสิบแปดไปตลอดกาล”

ซุนเย่าหั่ว “…”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “มุกนี้ไม่ตลกเหรอครับ”

เขาคิดว่าตนเองมีอารมณ์ขันซะอีก

ซุนเย่าหั่วอึ้งงันไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ตลกจริงๆ ตลกมากเลย ฉันขำแทบตายแน่ะ ฮ่าๆๆๆ!”

อนาถตัวเองจริงๆ

บริกรมองซุนเย่าหั่วด้วยสายตาประหลาด จากนั้นก็เข้าใจนัยยะของรอยยิ้มฝืนบนใบหน้าของซุนเย่าหั่ว

“แค่ก”

หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง

ซุนเย่าหั่วก็ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ

อันที่จริงเมื่อกี้เขาคิดว่าจะปลอบหลินเยวียนอย่างไรดี

เพราะเขาฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าหลินเยวียนกำลังเล่ามุกตลก เห็นสีหน้าจริงจังของหลินเยวียน เขายังคิดไปว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนที่ไม่ได้กินข้าวนานจนเป็นอะไรไปจริงๆ

……

“คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์[1]”

หลินเยวียนใช้เวลาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยถามว่า “อันนี้ตลกมั้ยครับ”

ซุนเย่าหั่วเงยหน้าด้วยความสับสน จากนั้นก็ตบเข่าฉาดอย่างขบขัน “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

จริงสิ

หลินเยวียนฉุกคิดขึ้นได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีสามก๊ก ย่อมไม่มีเรื่องราวคลาสสิกอย่างคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์

งั้นตกลงว่าซุนเย่าหั่วขำอะไรกัน

หลินเยวียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

ดูท่ารุ่นพี่จะเส้นตื้นอยู่นะ

ดังนั้นทั้งสองจึงเกิดความเห็นพ้องต้องกันโดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว

กินไปครึ่งหนึ่ง ซุนเย่าหั่วถึงเริ่มเอ่ยปากสร้างบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันฟังสองเพลงที่นายเพิ่งปล่อยออกมาแล้ว ชอบมากเลยละ!”

แม้ว่าจะทำไปเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่คำพูดนี้ซุนเย่าหั่วพูดมาจากใจจริง

ก่อนหน้านี้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ดังแล้ว ขณะที่บริษัทถกเถียงกันเรื่องของเซี่ยนอวี๋ ก็มีคนบอกว่าเซี่ยนอวี๋อาจโชคดีถึงเขียนเพลงนี้ออกมาได้

เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้มากเข้า ซุนเย่าหั่วก็คิดมาตลอดว่าหลินเยวียนเป็นแบบนั้น

แต่เขากลับไม่คิดว่าหลังจากนั้นหลินเยวียนจะเขียนเพลงออกมาอีกสองเพลง หนำซ้ำยังฮ็อตฮิตสุดๆ รุ่นน้องคนนี้เป็นอัจฉริยะดีๆ นี่เอง ก่อนหน้านี้ตนได้พบกับอีกฝ่ายนับเป็นโชคครั้งใหญ่จริงๆ!

หลินเยวียนตอบอย่างมีมารยาท “ขอบคุณฮะ”

ซุนเย่าหั่วหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง “ไม่แน่ว่าต่อไป อาจมีแต่นักร้องเบอร์ต้นๆ ของบริษัทที่จะร่วมงานกับรุ่นน้องได้ ตอนนี้คนที่ร่วมงานกับรุ่นน้องก็ต้องระดับจ้าวอิ๋งเก้อเป็นอย่างน้อยแล้ว” หลินเยวียนส่ายหน้า “แพงเกินไป”

ซุนเย่าหั่วชะงัก “อะไรแพงเกินไปเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าส่วนแบ่งของนักร้องเบอร์ต้นๆ น่ะสูงมาก”

ซุนเย่าหั่วนึกดีใจขึ้นมา นึกแค่ว่าหลินเยวียนเล่นมุกอีกแล้ว “หรือว่ารุ่นน้องอยากร่วมงานกับเด็กใหม่ไปตลอด? งั้นเด็กใหม่ในบริษัทก็โชคดีมากเลยละ ถ้าอยากร่วมงานกับนาย ไม่ได้ส่วนแบ่งฉันก็ยินดีนะ ฉันเย่าหั่ว ไม่เอาส่วนแบ่ง!”

อยากดัง[2] ไม่เอาส่วนแบ่ง?

นี่เป็นการฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน

ดวงตาของหลินเยวียนเป็นประกายวาบ “จริงเหรอครับ”

ซุนเย่าหั่วเริ่มยอมรับในอารมณ์ขันของหลินเยวียนบ้างแล้ว “จริงแท้แน่นอน นายอย่ามาล้อฉันเล่นนะ ระดับอย่างนายไม่มีทางมองฉันแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นายช่วยฉันให้ได้เดบิวต์ฉันก็ซาบซึ้งมากแล้ว ตอนนี้อานิสงส์ที่ได้จากนายก็ไม่เลวเลย ถึงจะไม่ได้ดังเป็นพลุแตก แต่ก็ได้ไปออกรายการบ้างเป็นครั้งคราว”

“รุ่นพี่”

หลินเยวียนมองประเมินซุนเย่าหั่วอีกครั้ง “ช่วงเสียงของพี่มีสามอ็อกเทฟใช่มั้ยครับ”

“หา?”

ซุนเย่าหั่วกล่าว “ช่วงที่ฉันร้องได้สบายหน่อยก็ระหว่างD2ถึงA4 ช่วงประสานเสียงจริงก็C2ถึงC5 ฟอลเซ็ตโทสูงสุดตอนนี้A5”

หลินเยวียนคล้ายกับใช้ความคิด “งั้นก็พอแล้วละครับ”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป “อะไรพอแล้วเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ กินข้าวเถอะ” หลินเยวียนบอก

ยังไม่ถึงเวลา เขาต้องรอสักพักแล้วค่อยออกเพลงใหม่

แต่ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะกลายเป็นผู้ช่วยของเพลงกุหลาบแดงได้ เนื้อเสียงและช่วงเสียงของเขาแตะถึงระดับที่หลินเยวียนต้องการ อารมณ์ในการร้องเพลงก็ใช้ได้เลย

แน่นอนว่า ปัจจัยในการตัดสินใจไม่ใช่เรื่องพวกนี้

……

หลายวันให้หลัง ณ คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

หัวหน้าบรรณาธิการมองหยางเฟิง “ฉันอ่านปรินซ์ออฟเทนนิสที่นายส่งมาแล้ว พูดตามตรงนะ เขียนได้ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ตัวละคร หรือสไตล์การเขียนก็มีชั้นเชิงมาก มีชั้นเชิงจนแทบไม่เหมือนหน้าใหม่ ปัญหาเดียวก็คือแนวนี้กลุ่มผู้อ่านแคบเกินไป!”

“แต่ก็ดีที่ความแปลกใหม่”

หยางเฟิงพยายามโต้แย้ง “จากพล็อตเรื่องหนึ่งแสนตัวอักษร บวกกับโครงเรื่องที่นักเขียนส่งมา ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ บางทีนักอ่านอาจอยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ถึงยังไงตอนนี้ในตลาดก็ผูกขาดแนวเดียวมากเกินไป ยากที่นักอ่านจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย”

“เหล่าเสิ่น คุณคิดว่าไง”

หัวหน้าบรรณาธิการหันไปถามรองบรรณาธิการทางขวา

รองบรรณาธิการเงียบงันไปสักพัก “เป็นเพราะแนวนี้ขายออกยาก ผมเลยไม่ค่อยไว้ใจปรินซ์ออฟเทนนิสเหมือนคุณนั่นละ แต่ถ้ามองจากตัวเนื้อเรื่องแล้ว ผมว่าจะทิ้งไปก็น่าเสียดาย หรือว่าพวกเราจะลองประนีประนอมดู?”

“คุณหมายความว่า?”

“รอให้ตรวจต้นฉบับทั้งหมดเสร็จ พวกเราลองใส่มันไว้อันดับห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ดก็แล้วกัน อีกอย่างการตีพิมพ์ก็กันไว้สักหน่อย ตีพิมพ์ก่อนหนึ่งแสนเล่ม สี่อันดับแรกทำตามเกณฑ์เดิม วางขายก่อนห้าแสนเล่ม”

ซูเปอร์โนวาอวอร์ดจะคัดเลือกเพียงห้าเล่มเท่านั้น

โดยปกติแล้วทั้งห้าเรื่องจะลงทุนตีพิมพ์ครั้งแรกเริ่มที่ห้าแสนเล่ม แต่ปรินซ์ออฟเทนนิสคลับคล้ายคลับคลาว่าจะไม่มีอนาคตเท่าไรนัก ฉะนั้นรองบรรณาธิการจึงอยากจำกัดการตีพิมพ์สักหน่อย ลองตีพิมพ์มาหนึ่งแสนเล่มเพื่อหยั่งเชิงเสียงตอบรับของตลาดก่อน

“ฉันเห็นด้วย”

หัวหน้าบรรณาธิการใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “พวกเราใช้นิยายเรื่องนี้สำรวจตลาดก่อนแล้วกัน เพราะฉันเองก็อยากทำให้ตลาดนิยายมีแนวหลากหลายกว่านี้ ถึงยังไงเรื่องการผูกขาดประเภทนิยายนี้วงการสำนักพิมพ์ก็ต้องแบกรับร่วมกัน ทำให้ช่วงนี้สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่เจ้าอื่นๆ ในฉินโจวเปิดตัวนิยายแนวใหม่ออกมา ถึงการลองตลาดของนิยายแนวใหม่พวกนี้ส่วนมากจะล้มเหลวก็เถอะ เชื่อว่าหยางเฟิงนายก็คงคิดแบบนี้ล่ะมั้ง”

หยางเฟิงพยักหน้า

เขายอมรับว่ายอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสอาจสู้สี่เรื่องแรกในซูเปอร์โนวาอวอร์ดไม่ได้ แต่ตลาดก็ต้องมีนิยายประเภทใหม่ๆ ปรากฏขึ้นบ้าง แต่การปรากฏขึ้นของนิยายประเภทใหม่ก็จำต้องมีสำนักพิมพ์เป็นผู้ชี้นำ มีเพียงสัญญาณในยามที่ตลาดเปิดกว้างว่า ‘สำนักพิมพ์ยินดีรับนิยายแนวใหม่’ นักเขียนหน้าใหม่ถึงจะไม่ทุ่มเทเขียนออกมาแต่แนวผจญภัยในต่างโลก

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว

ฉู่ขวงได้เงินปันผลไปเต็มๆ

เพราะหากพิจารณาถึงยอดขายเพียงอย่างเดียว ด้วยตลาดเฉพาะกลุ่มของปรินซ์ออฟเทนนิส คงไม่มีทางคว้าโอกาสตีพิมพ์มาได้ ดังนั้นที่ได้ตีพิมพ์หนึ่งแสนเล่มในช่วงแรกจึงเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวสำหรับนิยายเรื่องนี้แล้ว

“งั้นก็ดี”

หัวหน้าบรรณาธิการพูดอย่างเฉียบขาดว่า “หยางเฟิง คุณไปติดต่อฉู่ขวงก่อน ให้ทางเขาส่งต้นฉบับมาอีกประมาณหนึ่งแสนตัวอักษร ปลายเดือนมกราประกาศห้าอันดับแรกของซูเปอร์โนวาอวอร์ด เดือนกุมภาตีพิมพ์นิยายอย่างเป็นทางการ”

“รับทราบครับ”

หยางเฟิงพยักหย้า

………………………………………..


[1] คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (食食物者为俊杰) เป็นมุกที่เล่นคำกับคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (识时务者为俊杰)

[2] อยากดัง หรือ 要火 ในภาษาจีนออกเสียงว่า ‘เย่าหั่ว’ ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าเย่าหั่ว(耀火) ในชื่อของซุนเย่าหั่ว

‘เปิดเรื่องด้วยวิธีการบรรยายทางอ้อมเพื่อทำให้ผู้อ่านรู้สึกคาดหวังกับพลังที่แท้จริงของตัวเอก จากนั้นขณะที่ผู้อ่านกำลังเฝ้ารอก็ใช้การแข่งขันเทนนิสที่ดุเดือดสะใจมาแสดงความสามารถที่แท้จริงของตัวเอกให้เห็นกับตา ในการแข่งขัน ตัวเอกถูกคู่แข่งแก้แค้น แต่ก็ยังเลือกใช้เทนนิสมาตอกหน้ากลับไป พล็อตนี้เขียนบรรยายลักษณะนิสัยของตัวละครไว้ในระดับหนึ่ง…’

หยางเฟิงสรุปเนื้อเรื่องนิยาย

หลังจากสรุปเรื่องเรียบร้อย เขาก็อ่านเนื้อเรื่องที่เหลือรอบหนึ่ง

เมื่ออ่านต้นฉบับความยาวหนึ่งแสนตัวอักษรจบ หยางเฟิงค้นพบอย่างประหลาดใจว่า นิยายเรื่องนี้เป็นอองซอมเบิลแคสต์[1]!

คนในทีมโรงเรียนชิงชุนต่างคนต่างบุคลิก ต่างคนต่างมีความสามารถ และเส้นเรื่องหลักก็เน้นไปที่การใช้การแข่งขันกีฬามาบรรยายการเติบโตของคนกลุ่มนี้

ในนวนิยายประเภทแฟนตาซีเยาวชน ไม่ได้มีเพียงธีมประเภทบุกฮาเร็ม และพิชิตต่างโลกเทือกนั้น

ยังมีอีกธีมหนึ่งที่เรียกว่าไล่ตามความฝันด้วย!

เพียงแต่ว่า ในตอนนี้คนที่เขียนนิยายประเภทนี้มีไม่มาก

และนิยายที่ชื่อว่าปรินซ์ออฟเทนนิสเรื่องนี้ก็เล่าถึงเรื่องของคนหนุ่มสาวซึ่งไล่ตามความฝัน และบากบั่นเพื่อให้ได้เป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพ

หยางเฟิงชอบมาก!

ทว่าหลังจากนั้น หยางเฟิงก็ลังเลอยู่บ้าง

ถึงแม้ปรินซ์ออฟเทนนิสจะตรงจริตของหยางเฟิง และก็แปลกใหม่มากพอ แต่ธีมและแนวทางที่เรื่องนี้เลือกใช้นั้นออกจะเฉพาะกลุ่มจริงๆ นั่นละ มิหนำซ้ำความชอบของบรรณาธิการแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางทีเรื่องที่หยางเฟิงคิดว่ายอดเยี่ยมอาจนับว่าธรรมดาในสายตาบรรณาธิการคนอื่นก็ได้

จะดันดีไหมนะ

สับสนอยู่ราวหนึ่งนาที หยางเฟิงก็ตัดสินใจยืนหยัดในความคิดของตนเอง

แนะนำ!

หลังจากที่บรรณาธิการตรวจต้นฉบับเสร็จ ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะแนะนำผลงานที่ถูกใจได้

ผลงานซึ่งบรรณาธิการแนะนำ ก็จะถูกหัวหน้าและรองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ตรวจสอบ

ถ้าหากหัวหน้าและรองบรรณาธิการรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ใช้ได้ ก็หมายความว่านิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์แล้ว

จะว่าไปแล้ว

ถ้าหากไม่ผ่านด่านหัวหน้าบรรณาธิการ ก็หมายความว่าผลงานของหยางเฟิงนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า มีเพียงการแนะนำผลงานได้สำเร็จจึงจะนับว่ามีผลงานในฐานะบรรณาธิการ

แน่นอนละ

ต่อให้ตั้งใจจะแนะนำ แต่หยางเฟิงก็ต้องตรวจต้นฉบับที่มีอยู่ในมือทั้งหมดให้เสร็จก่อนถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ยุติธรรมกับผู้ส่งต้นฉบับคนอื่นๆ ถึงอย่างนั้นหยางเฟิงก็มีลางสังหรณ์

ในบรรดาต้นฉบับที่เหลืออยู่ คงจะไม่มีผลงานอื่นที่ทำให้เขาพอใจได้ดีไปกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสแล้ว

เมื่อนึกถึงตรงนี้ หยางเฟิงจึงพลิกดูข้อมูลของผู้ส่งต้นฉบับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

จังหวะของนิยายเรื่องนี้มีชั้นเชิง ไม่รู้ว่าเป็นนักเขียนชื่อดังคนไหนอยากแก้มือแล้วปลอมตัวเข้ามาส่งต้นฉบับหรือเปล่า

นี่ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน

ในวงการอาจมีนักเขียนซึ่งเดบิวต์แล้วแต่ไม่รุ่งดังใจหวัง เปลี่ยนนามปากกาเข้ามาเข้าร่วมการประกวดของนักเขียนหน้าใหม่อย่างซูเปอร์โนวา

กระนั้นแล้วคนเหล่านี้ส่วนมากก็ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนได้

เพราะพวกเขาล้วนแต่มีบรรณาธิการที่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่อซูเปอร์โนวาเปิดฉากขึ้น พวกเขาก็จะส่งต้นฉบับไปให้บรรณาธิการที่คุ้นเคยโดยตรง

อย่างไรเสียการที่นักเขียนหน้าเก่าเข้าร่วมการแข่งขันก็เป็นเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเงียบๆ ในวงการ

เมื่อพิจารณาจากที่นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ถูกเจาะจงส่งมาหาตนหรือบรรณาธิการคนอื่น ความเป็นไปได้ที่ปรินซ์ออฟเทนนิสจะเป็นผลงานสร้างสรรค์ของนักเขียนเก่าปลอมตัวมาก็มีไม่สูงนัก

เป็นดังคาด

ข้อมูลของผู้ส่งต้นฉบับนั้นเป็นประจักษ์ว่านี่เป็นผลงานของหน้าใหม่ หนำซ้ำนามปากกาของหน้าใหม่คนนี้ก็ไม่คุ้นตาเอาซะเลย

‘ฉู่ขวง[2]’

นามปากกาของนักเขียนนิยายมักจะพิลึกกึกกือ ฉะนั้นในสายตาของหยางเฟิง นามปากกาฉู่ขวงนับว่าปกติพอสมควร

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างตกใจก็คือข้อมูลบ่งบอกชัดแล้วว่าฉู่ขวงคนนี้ถึงกับเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เด็กมหา’ลัยสมัยนี้รู้เรื่องของเทนนิสขนาดนี้เชียวเหรอ

……

ก็เหมือนกับเซี่ยนอวี๋ใน ‘แทนที่จะรอปลา มิสู้กลับบ้านไปถักแห’

หลินเยวียนเลือกใช้ชื่อนี้ในฐานะนักเขียน อันที่จริงก็เป็นสองคำที่มาจากประโยคในกลอนของหลี่ไป๋[3] ‘อันตัวข้ามีนิสัยเหมือนคนวิปลาสแคว้นฉู่ ขับร้องเพลงเสนาะเย้ยเยาะข่งชิว[4]”

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็ตรงที่บนโลกนี้ไม่มีหลี่ไป๋ ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าใจความหมายโดยนัยของฉู่ขวง

หลังจากที่เลือกใช้นามปากกานี้แล้ว อันที่จริงหลินเยวียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอผลการตัดสินของต้นฉบับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนิยายเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับรางวัลจากกล่องสมบัติสามใบของเขา!

เขาเองก็เคยวิเคราะห์

นิยายเรื่องนี้สอดคล้องกับพล็อตเรื่องของอนิเมะมากทีเดียว ทั้งยังมีการปะติดปะต่อเสริมเรื่องเข้าไปอีกมากด้วย

หากจะกล่าวถึงอนิเมะต้นฉบับ อันที่จริงช่วงแรกยังใช้ได้ ลูกเล่นของเทนนิสโดยพื้นฐานแล้วสามารถทำได้ในความเป็นจริง

ยกตัวอย่างเช่นทวิสต์เสิร์ฟซึ่งหลงหม่าใช้ตอนเปิดเรื่อง ไหนจะสเน็กช็อต ดังก์สแมช นางแอ่นหวนกลับอะไรเทือกนั้น นักกีฬามืออาชีพฝีมือดีบางคนใช้เทคนิคนี้เล่นได้

แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมไม่เท่และอลังการงานสร้างเหมือนในอนิเมะ และการใช้งานจริงก็ธรรมดาเท่านั้นเอง

อย่างไรเสียนักเขียนต้นฉบับก็มีพื้นฐานเรื่องเทนนิส รู้เรื่องกีฬาอย่างเทนนิสมากกว่าคนทั่วไป

น่าเสียดาย

เพราะเมื่อถึงช่วงกลางและช่วงท้าย เพื่อที่จะวาดต่อ นักเขียนจึงทำให้ลายเส้นของอนิเมะเหลือเชื่อขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นคำแดกดันจากผู้คนว่า ‘เทนนิสที่ฆ่าคนตายได้’

เกรงว่าต่อให้ตัวท็อปอย่างนาดาลหรือเฟเดอเรอร์เข้ามาในโลกของเจ้าชายลูกสักหลาดก็ไม่มีทางรับมือไหว

ระบบก็เข้าใจจุดนี้ดี

เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินสู่เส้นทางแฟนตาซี ปรินซ์ออฟเทนนิสมีแค่หนึ่งล้านตัวอักษรก็รีบเหยียบเบรกจบเรื่องแล้ว อีกทั้งท่าไม้ตายในนิยายหนึ่งล้านตัวอักษรก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อย่างน้อยก็ยังเป็นท่าที่คนเล่นได้จริงตามทฤษฎี

ส่วนเรื่องจริยธรรม ของระบบนั้นดีกว่าต้นฉบับอยู่บ้าง

สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้นก็ยังมีเรื่อง ‘กัปตันซึบาสะ[5]’ ซึ่งเป็นแนวการแข่งขันกีฬาเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าเรื่องยิ่งดำเนินต่อไปก็ยิ่งเกินจริง แต่ในช่วงต้นพวกท่ายิงประตูของโอโซระ ซึบาสะก็มาจากนักเกิลบอลของคริสเตียโน โรนัลโดในโลกความจริง

หลินเยวียนส่ายหน้า

ตัดสินใจรอผลด้วยความอดทน

วันนี้ต้องออกไปข้างนอก เพราะรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะเลี้ยงข้าวเขา

สำหรับหลินเยวียนแล้ว เมื่อมีคนเลี้ยงข้าวแล้ว ถ้าจะปฏิเสธก็เป็นเรื่องที่โง่เขลามาก นอกเสียจากว่าจะเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ

หลินเยวียนไม่ได้เกลียดซุนเย่าหั่ว

เดิมทีซุนเย่าหั่วเชิญหลินเยวียนด้วยท่าทีลองหยั่งเชิง เขาไม่คิดว่าหลินเยวียนจะตอบรับด้วยความเริงร่า ตกใจและดีใจขึ้นมาทันที!

รุ่นน้องหลินเยวียนเข้าถึงง่ายจริงๆ เลยนะ!

คนเขาสุดยอดขนาดนี้ ไม่มีทางโลภกับอาหารของเขาแค่มื้อเดียว ที่ตอบรับก็ให้เกียรติเขาเต็มที่แล้ว ดังนั้นซุนเย่าหั่วจึงให้ความสำคัญกับอาหารมื้อนี้มาก

ร้านที่กินอาหารตั้งอยู่นอกเขตวิทยาลัย

ซุนเย่าหั่วตั้งใจขับรถคันใหม่มารับหลินเยวียนโดยเฉพาะ

รถคันใหม่นี้ ซุนเย่าหั่วซื้อจากเงินส่วนแบ่งจากเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์และเงินจากโฆษณา

ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปอัดเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ เป็นเพราะรอเรียกรถจนเสียเวลา และยังรถติดอยู่บนถนนอีก จนเกือบพลาดโอกาสเดบิวต์ไป อดีตย้ำเตือนความเจ็บปวด ถึงได้ควักเงินซื้อรถอย่างเต็มอกเต็มใจ

ส่วนเหตุผลที่เชิญหลินเยวียนมากินข้าว…

ก็เพราะวันนี้ซุนเย่าหั่วเพิ่งได้ฟังเพื่อนร่วมงานบอกว่าครั้งก่อนหลินเยวียนไปหาเขาที่แผนกศิลปิน

ในตอนนั้นซุนเย่าหั่วอยู่ข้างนอกพอดี ทำให้คลาดกัน

เรื่องนี้กวนใจซุนเย่าหั่วอยู่นานทีเดียว

เขากังวลว่าหลินเยวียนจะโกรธเขาเพราะเรื่องนี้ ช่วงนี้จึงขบคิดแต่ว่าจะชดใช้ความผิดต่อหลินเยวียนอย่างไรดี

แน่นอนละ

ซุนเย่าหั่วเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อหลินเยวียนอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว จะพาเขาติดปีกขึ้นชาร์ตอีกสักครั้ง ทว่านี่ก็เป็นเพียงความฝันอันแสนหวานเท่านั้น

เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นจริง

เซี่ยนอวี๋โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ คนที่จะทำงานด้วยหลังจากนี้ก็จะยิ่งเป็นเบอร์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ช่วยงานอย่างตนนั้นคงไม่ได้มีความหมายในใจของรุ่นน้องเลย

……………………………………


[1] อองซอมเบิลแคสต์ (ensemble cast) ใช้เรียกการแสดง ละคร หรือภาพยนตร์ซึ่งมีตัวละครเป็นหมู่คณะ และตัวละครแต่ละคนได้รับบทและความสำคัญใกล้เคียงกัน

[2] ฉู่ขวง หมายถึงคนวิปลาสแคว้นฉู่

[3] หลี่ไป๋ กวีผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เซียนกวี’

[4] ข่งชิว หมายถึงขงจื่อ ปราชญ์และนักปรัชญาสมัยวสันตสารท

[5] กัปตันซึบาสะ เจ้าหนูสิงห์นักเตะ (Captain Tsubasa) โดยทาคาฮาชิ โยอิจิ เป็นมังงะและอนิเมะเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอล

เขียนเกี่ยวกับเทนนิส?

การแข่งขันกีฬา?

หยางเฟิงสาบานได้ว่าตนไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่ชื่อเสียงอะไร แต่เมื่อเห็นนิยายซึ่งเขียนเกี่ยวกับการแข่งขันเทนนิสตรงหน้าแล้ว เขาก็แทบขมวดคิ้วเป็นปมโดยไม่รู้ตัว

แปลกใหม่น่ะไม่ผิด

แต่นี่มันแปลกใหม่ไปแล้วล่ะมั้ง?

นิยายแนวการแข่งขันกีฬา ถ้าเขียนเกี่ยวกับฟุตบอล บาสเกตบอล หรือปิงปองก็ยังพอว่า อย่างน้อยกีฬาจำพวกนี้คนก็พอจะเคยสัมผัสมาบ้างไม่มากก็น้อย อีกทั้งคนที่ชื่นชอบก็ยังมีมาก แต่ทำไมดันมาเลือกกีฬาที่ธรณีประตูค่อนข้างสูง ไม่ได้รับความนิยมอย่างเทนนิสกันล่ะเนี่ย

แปลกใหม่ก็แปลกใหม่

กลุ่มเป้าหมายก็เล็กนิดเดียว

ทว่าในฐานะคนทำอาชีพบรรณาธิการแล้ว แม้ว่าหยางเฟิงจะมีความคิดอยู่เต็มไปหมด แต่ก็คงไม่ถึงกับปัดตกไม่ให้ผุดให้เกิดในทีเดียว ถ้าหากนักเขียนมีศักยภาพ เขาก็ยินดีที่จะทำความรู้จัก

นี่เป็นเรื่องปกติของวงการนิยาย

เมื่อได้พบกับนักเขียนที่ค่อนข้างมีศักยภาพ ต่อให้ต้นฉบับของอีกฝ่ายไม่ผ่าน บรรณาธิการก็จะลองฟูมฟักพวกเขาสักตั้ง ถึงขั้นที่มีนักเขียนจำนวนมากซึ่งประสบความสำเร็จจากการอุ้มชูของบรรณาธิการ แน่นอนว่าระหว่างกระบวนการนี้  พวกเขาจะต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธจากบรรณาธิการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เปิดหน้าแรกในคอมพิวเตอร์

หยางเฟิงก็เริ่มตรวจสอบต้นฉบับอย่างเป็นทางการ

ถ้าหากยังไม่พูดถึงเนื้อเรื่อง เขามีความรู้สึกเชิงบวกกับนักเขียนซึ่งกล้าเขียนแนวเทนนิสคนนี้มากทีเดียว จิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนต่อตลาดพรรค์นี้หยางเฟิงชื่นชมมากด้วยซ้ำ ถ้านักเขียนส่วนใหญ่มีทัศนคติแบบนี้ ตลาดนิยายคงไม่เต็มไปด้วยนิยายแนวเดียวกันมากมายอย่างทุกวันนี้

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น

บนรถรางมุ่งหน้าสู่โรงเรียนชิงชุน เด็กหนุ่มในทีมโรงเรียนคนหนึ่งกำลังสอนเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ของตนด้วยท่าทางวางก้าม เอ่ยอธิบายว่าควรจับไม้เทนนิสอย่างไรพลางเหวี่ยงไม้ไม่หยุด จนท้ายที่สุดกลับไม่ทันระวังฟาดไปโดนใบหน้าของเด็กหญิงคนหนึ่งเข้า

‘ขอโทษครับ’

เด็กหนุ่มเหลือบมองเด็กหญิง ก่อนจะหันไปสอนเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ต่อ ทว่าขณะที่เขากำลังเหวี่ยงไม้เทนนิสอย่างออกรสออกชาติ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมา ‘นายนี่หนวกหูจริงๆ’

ผู้พูดคือวัยรุ่นคนหนึ่ง

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง วัยรุ่นคนนั้นก็สะพายกระเป๋าเทนนิส พร้อมทั้งพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะขึ้นรถไปว่า ‘จับจากด้านบนของไม้ตอนวางราบถึงจะเป็นการจับแบบเวสเทิร์นกริปที่ถูกต้อง จับไม้แนวตั้งในท่าทางเหมือนการจับมือ นั่นคือวิธีการจับไม้แบบอีสเทิร์นกริปดั้งเดิม’

‘นาย…’

ถึงกับถูกวัยรุ่นคนหนึ่งสอน ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ออกจะบึ้งบูดไปเล็กน้อย ถลึงตาใส่วัยรุ่นซึ่งแก้สิ่งที่ตนพูดผิดเมื่อครู่ แต่เมื่อเขากำลังจะอ้าปากพูด เด็กวัยรุ่นคนนั้นก็ขึ้นรถจากไปเสียแล้ว

“พระเอก?”

หยางเฟิงพยักหน้า

ฉากเปิดเรื่องดูทรงแล้วใช้ได้ ต่อให้เขาเล่นเทนนิสไม่เป็น ก็ยังอ่านความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทนนิสเข้าใจ อีกทั้งพระเอกดูคล้ายกับสอนเด็กหนุ่ม แท้จริงแล้วกำลังระบายความโมโหแทนเด็กหญิงที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่

ฉากเปลี่ยนไป

ผู้ชายหลายคนกำลังล้อมรอบรายชื่อ และถกเถียงกันอยู่ หนึ่งในนั้นพูดว่า ‘ปีนี้ชมรมเทนนิสของโรงเรียนมีเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนเข้ามาด้วย แล้วก็ยังไม่ต้องเป็นตัวสำรองด้วย เป็นตัวจริงที่ลงสนามได้เลย’

‘ไม่มั้ง?’

‘เป็นไปได้ยังไงกัน’

‘ลงทะเบียนพลาดล่ะมั้ง’

เพื่อนร่วมทีมต่างคลางแคลงใจ ‘เด็กปีหนึ่งเพิ่งจะเรียนจบมัธยมต้น จะไปมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าชมรมเทนนิสของโรงเรียนได้ยังไง แถมยังเป็นตัวจริงของชมรมอีก รู้อยู่แล้วว่าชมรมเทนนิสโรงเรียนเรามีไว้สำหรับนักกีฬามืออาชีพ!’

ในรายชื่อ

นักเรียนปีหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวจริงของชมรมเทนนิสมีชื่อว่าหลงหม่า ปีนี้อายุสิบหก

อายุน้อยว่าอายุเฉลี่ยของทั้งชมรมเทนนิส เพราะนักกีฬาตัวจริงของชมรมเทนนิสซึ่งอายุน้อยที่สุดนั้นอยู่ปีสองเป็นอย่างน้อย

ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น

หลงหม่าก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสะพายแร็กเก็ตเทนนิสไว้ด้านหลัง

ผู้ชายหลายคนซึ่งได้พบบนรถรางก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวเช่นกัน มิหนำซ้ำยังดึงดูดความสนใจของบรรดานักเรียนภายในชั่วพริบตา เดิมทีวันนี้พวกเขามาที่โรงเรียนนี้ก็เพื่อแข่งแมตช์ท้าชิง แต่เมื่อเด็กหนุ่มซึ่งเป็นหัวหน้าเห็นหลงหม่าเข้า ก็พลันเดือดดาลขึ้นมา ใช้ไม้เทนนิสชี้หน้าหลงหม่าพลางแค่นหัวเราะเย็นเยียบ ‘นายรู้มั้ยว่าเมื่อกี้นายสอนหัวหน้านักกีฬาเสาหลักตัวจริงของทีมเทนนิสวิทยาลัยแลนดอนตีเทนนิส’

หลงหม่ามองเขาอย่างเยือกเย็น

สายตานี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด เขาจึงเหวี่ยงไม้เทนนิสเข้าใส่ศีรษะของหลงหม่า แน่นอนว่าเขาเพียงขู่หลงหม่า ไม่ได้คิดจะลงไม้ลงมือจริงๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนโดยรอบตกใจก็คือ หลงหม่าไม่ได้เบี่ยงหลบแม้แต่น้อย ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าไม้เทนนิสไม่มีทางฟาดลงมาที่ตนจริง

‘ไปเถอะ ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำอีก’

เพื่อนของเด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะ พลางเอ่ยโน้มน้าว

เด็กหนุ่มแค่นเสียงขึ้นจมูก กำลังจะเดินออกไป หลงหม่ากลับใช้ไม้เทนนิสตีไปยังขวดเครื่องดื่มที่เด็กหนุ่มเพิ่งดื่มหมด จนกระเด็นไปลงในถังขยะอย่างแม่นยำ ก่อนจะมองอีกฝ่ายแล้วถามว่า ‘จับแร็กเก็ตเป็นหรือยัง หรือจะให้ผมสอนวิธีตีเทนนิสให้’

ฝูงชนโดยรอบตะลึงงันไปตามกัน

เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งมีคุณสมบัติได้มาท้าชิงกับโรงเรียนชิงชุน เห็นได้ชัดว่าความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ทว่าวัยรุ่นหน้าละอ่อนพรรค์นี้ถึงกับพูดแบบนี้ออกมา ย่อมทำให้คนอึ้งกันไปไม่น้อย

‘เขาบ้าไปแล้วเหรอ’

สายตาต่างจับจ้องไปยังหลงหม่า

และหยางเฟิงซึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนหน้ากระดาษด้วยความสนใจ แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่าเทนนิสเป็นตลาดเล็ก แต่เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้เขาไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังไม่รู้สึกว่าเรื่องราวนั้นกำกวมเข้าใจยาก แต่กลับเกิดความรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวัง

เด็กหนุ่มประกาศสงครามแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่ทำให้บรรดานักเรียนในโรงเรียนชิงชุนนับไม่ถ้วนซึ่งมามุงดูตะลึงลานก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เด็กวัยรุ่นท่าทางไร้เดียงสาคนนี้ได้ใช้ความสามารถที่ต่างชั้นกันเชือดเด็กหนุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นนักกีฬาเสาหลักจากทีมโรงเรียนสักแห่ง!

เด็กหนุ่มโกรธขึ้นมาแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เห็นหลงหม่าอยู่ในสายตา ทว่าเมื่อเสียคะแนนติดต่อกันเรื่อยๆ เรียกได้ว่าถูกหักหน้าจนแหลกละเอียด จึงใช้ไม้ตายเด็ดของตน ไม้ตายเด็ดนี้เตรียมพร้อมมาเพื่อแข่งกับชมรมเทนนิสของโรงเรียนชิงชุน แต่กลับถูกวัยรุ่นคนนี้บีบคั้นเสียได้

เขาทำเอาคืนได้สำเร็จไปหนึ่งเกม

ในตอนนั้นโค้ชของสโมสรเยาวชนก็ปรากฏตัวขึ้น แถมมองปราดเดียวก็เห็นหลงหม่าซึ่งอยู่ในสนามเทนนิส รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ‘เขามาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก’

‘คุณย่ารู้จักเขาเหรอคะ?’

เด็กหญิงซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเด็กหนุ่มทำให้บาดเจ็บโดยไม่ทันระวังบนรถรางก็อยู่ด้วย และเธอก็คือหลานสาวของโค้ชคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นโค้ชก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่ชมการแข่งขันครั้งนี้อย่างใจเย็น

พลั่ก พลั่ก พลั่ก

หลงหม่าถูกตีตื้นขึ้นมาอีกหลายคะแนน

ทั้งสองเริ่มมีรับมีโต้

หยางเฟิงขมวดคิ้ว เปิดเรื่องมาก็บรรยายถึงพรสวรรค์ของหลงหม่า แต่จากระดับความสามารถของหลงหม่าในตอนนี้ ก็ยังไม่ถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องเลย นิยายแนวเทนนิสนี่เขียนไม่ง่ายจริงๆ

เขาส่ายหน้าอ่านต่อไป

ทว่าหลังจากนั้น เนื้อเรื่องอันแสนดุเดือดซึ่งเรียกอะดรีนาลีนของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เพราะภายใต้ความตกตะลึงของทุกคน หลงหม่าก็สลับไม้เทนนิสจากมือขวาไปยังมือซ้าย!

‘เขาถนัดซ้าย’

โค้ชเทนนิสหัวเราะราวกับสุนัขจิ้งจอก

หยางเฟิงไม่คาดคิดว่าหลงหม่าจะถนัดซ้าย นี่ก็เหมือนคนที่ปกติใช้มือขวาฝืนใช้มือซ้ายจับตะเกียบกินข้าว ทั้งสองอย่างนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่หลงหม่าใช้แค่มือขวาก็กดดันอีกฝ่ายที่ความสามารถไม่ธรรมดาได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นมือซ้ายที่ถนัดจะแตะถึงระดับไหนกัน

เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากเหมือนกัน

พล็อตเรื่องไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้หลงหม่าทำได้แค่กดดันอีกฝ่ายล่ะก็ หากเปลี่ยนเป็นหลงหม่าซึ่งใช้มือซ้ายตีเทนนิส ก็ย่อมเป็นการแกล้งสัพยอกคู่ต่อสู้แล้ว ฉะนั้นอย่าว่าแต่สองฝ่ายประลองฝีมือแบบมีรับมีโต้แล้ว อีกฝ่ายถึงขั้นที่แทบจะรับลูกเสิร์ฟของหลงหม่าไม่ได้ด้วยซ้ำ

คะแนนกลับมาเชือดเฉือนกันอีกครั้ง

ท่ามกลางเสียงลมหายใจเย็นเฉียบรอบกาย โค้ชทีมโรงเรียนชิงชุนหรี่ตาลงเอ่ย ‘ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปีก็แข่งในรายการเยาวชนไปทั่วทั้งฉินโจว กวาดรางวัลเทนนิสชายเดี่ยวทั้งหมด อัจฉริยะที่ชนะขาดลอยมาสิบแปดรายการติด เป็นนักเรียนโควตาเทนนิสที่ผอ.ออกหน้าเชิญเข้ามาด้วยตัวเอง หลงหม่า อายุสิบหก!’

‘หลงหม่า!’

‘อายุสิบหก!’

ผู้คนโดยรอบได้สติกลับมา

จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดังเอะอะโวยวาย วัยรุ่นคนนี้ก็คือหลงหม่าที่เพิ่งเข้าเรียนก็ได้เป็นตัวจริงในทีมเสาหลักของชมรมเทนนิส ผลงานของเขาโดดเด่นรุ่งโรจน์ถึงขั้นนี้เชียว

“น่าสนใจ”

สายตาของหยางเฟิงเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

เขาถูกเรื่องราวดึงดูดไปแล้ว ถึงกับที่บริษัทแจ้งเวลาเลิกงานแล้วเขาก็ไม่สนใจ จดจ่ออ่านต่อไป

การแข่งขันนั้นยังไม่สิ้นสุด

ข้อด้อยของหลงหม่าก็คือปีนี้เพิ่งอายุสิบหก รูปร่างยังห่างไกลกับเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มปรับกลยุทธ์ ยืนตระหง่านอยู่หน้าตาข่ายหมายใช้ข้อได้เปรียบจากส่วนสูง น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ไม่ได้มากมาย หลงหม่ายังคงสำแดงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้

‘ฮ่าๆ’

ผู้คนโดยรอบหัวเราะเยาะ

เด็กหนุ่มอับอายจนกลายเป็นความโกรธ จนเค้นพลังออกมาสุดแรงเกิด เหวี่ยงไม้เทนนิสใส่หลงหม่า เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ใบหน้าของหลงหม่าถูกไม้เทนนิสอีกฝ่ายกระแทกเข้าเต็มรัก หน้าผากมีเลือดไหล

หยางเฟิงรู้สึกโมโหเกินทน

ฝูงคนต่างก็เอ่ยตำหนิ

เด็กหนุ่มกลับหัวเราะลั่น บอกว่าตนไม่ทันระวังจับไม้ไม่แน่นพอ แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลงหม่าหมดหนทางแข่งต่อนั้นเอง หลงหม่ากลับเพียงเช็ดรอยเลือด ‘เห็นทีนายก็ยังจับแร็กเก็ตด้วยวิธีที่ถูกไม่เป็น’

‘แก!’

การแข่งขันดำเนินต่อไป

นี่นับว่าเป็นการตอบโต้ของหลงหม่า ทุกลูกของเขาล้วนรวดเร็วและปราดเปรียว ทั้งยังใช้เทคนิคสูงมาก ถึงขั้นตี

เข้าใส่หน้าอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง เจ็บปวดจนอีกฝ่ายร้องโอดโอย จนทำให้หยางเฟิงต้องตบเข่าฉาด รู้สึกสะใจสุดๆ

สะใจ สะใจจริงๆ ว้อย!

นายนั่นแหละไม่มีน้ำใจนักกีฬา!

จังหวะการตอกหน้าคนเฮงซวยแบบนี้ได้ใจนักอ่านวัยรุ่นจำนวนมาก และขณะที่หลงหม่าโต้กลับแต่ละครั้ง เขาก็พูดคะแนนออกมาอย่างไม่สนใจใยดี ‘สิบห้าต่อศูนย์ สามสิบต่อศูนย์ สี่สิบต่อศูนย์’

‘นี่มันอะไรกันเนี่ย’

เพื่อนร่วมทีมของเด็กหนุ่มล้วนตกตะลึง

โค้ชโรงเรียนชิงชุนกล่าวเสียงเรียบ ‘ทวิสต์เสิร์ฟ ใช้พื้นยางถูกับลูกเทนนิสเพื่อให้เกิดทวิสต์ตกลงบนพื้นสนาม เพราะขณะที่ลูกบอลทวิสต์อย่างรวดเร็วและแตะโดนไม้ จะไม่เกิดแรงเป็นเส้นตรงวงโคจรปกติ นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายที่หลงหม่าใช้จัดการกับทีมเยาวชนทั่วทั้งฉินโจว ด้วยระดับของเขา ยังรับลูกแบบนี้ไม่ได้หรอก’

เด็กหนุ่มถูกโต้กลับจนกลัว

ลูกสุดท้าย เขาถึงขั้นยอมจำนนเลิกต่อต้าน ทว่าความจริงแล้วในลูกสุดท้ายหลงหม่าเพียงแค่ตีเบาๆ ฉะนั้นหลัง

จากลูกเทนนิสกระดอนไปชั่วพริบตา ก็ไปหล่นอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม พลอยให้ฉากนี้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน

ตอนที่หนึ่งจบลง

หยางเฟิงสูดหายใจเข้าลึก

เขาไม่คิดมาก่อนว่าตนซึ่งเห็นชัดๆ ว่าเล่นเทนนิสไม่เป็นเลย จะเข้าถึงอรรถรสของนิยายการแข่งขันเทนนิสได้ขนาดนี้

…………………………………………..

ไม่กี่วันต่อมา

ในชาร์ตเพลงใหม่รายการนี้ สถิติของอันดับหนึ่งอย่างเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ และทิ้งช่วงห่างจากอันดับที่สองในระดับหนึ่งแล้ว

และในตอนนี้

ในแต่ละแพลตฟอร์มฟังเพลง ช่องคอมเมนต์ของติดไฟง่ายระเบิดง่าย ก็ร้อนแรงเป็นพิเศษ

จำนวนคอมเมนต์เกี่ยวกับเพลงนี้ล้นหลาม

‘ฉันคิดว่าเพลงนี้น่าจะชื่อว่าสรุปแล้วมึงจะเอายังไงกับกู’

‘ฉันว่าเพลงนี้ยังตั้งชื่ออื่นได้อีก มะเร็งชายแท้[1]ไปตายซะ ความย้อนแย้งของมะเร็งชายแท้ หรือไม่ก็คุณพี่คิดว่าดิฉันเป็นใครค้าา…’

‘พื้นบ้าน? ร็อก? วิธีการร้องเป็นเอกลักษณ์มาก!’

‘ฉันฟังแล้วชอบเลย! ดาวน์โหลดเก็บไปเลยค่า!’

‘ผ่านมาดูพอดี นี่เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังต่อเพศหญิง ฉันละโมโหจริงๆ บนโลกนี้เนี่ยนะ เมื่อไหร่ผู้หญิงอย่างเราจะได้มีสิทธิ์มีเสียงของตัวเองสักที’

‘ไม่นะ เดี๋ยวนี้แค่ฟังเพลงก็เป็นเฟมินิสต์ได้แล้วเหรอ’

‘เพลงนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า ผู้ชายรักผู้หญิง ขณะเดียวกันก็ทำร้ายจิตใจผู้หญิงไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่ขณะเดียวกันก็ยังอยากให้เธออยู่ข้างกาย อยากให้เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยากให้มีชีวิตที่ดี สรุปง่ายๆ คือเป็นผู้ชายเฮงซวย!’

‘ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเสียงจากใจของผู้ชายอย่างพวกผม ผู้ชายทุกคนก็มีอุดมคติเลิศหรูของตัวเองกันทั้งนั้น อยากได้ผู้หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องน่าทะนุถนอม เก่งทั้งหน้าที่การงานและงานบ้านงานเรือน น่ารักน่าเอ็นดู เป็นคู่ครองที่เพียบพร้อม’

‘คอมเมนต์บนเป็นมะเร็งชายแท้แหละดูออก ฝันกลางวันเอาก็แล้วกันนะ’

‘วันนี้ไปคาราโอเกะมา เดินผ่านห้องไหนก็ร้องแต่เพลงนี้’

‘…’

ในวงการอวยยศพ่อเพลง ผู้ฟังส่วนใหญ่กลับถกเถียงกันเรื่องเนื้อเพลง คนมากมายรู้สึกว่าเนื้อเพลงนี้บรรยายถึงปรากฏการณ์บางอย่างในชีวิตจริง

กระนั้นแล้วสองกลุ่มนี้จะมาตีกันไม่ได้

เซี่ยนอวี๋ทำทั้งเนื้อร้องและทำนอง ไม่เว้นพื้นที่ให้สาธารณะชนเถียงกันเรื่องเนื้อร้องและทำนอง

นอกจากนั้นแล้ว

ยังมีคนตัดฉากบางส่วนในภาพยนตร์ ใช้เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายมาเป็นเพลงประกอบ และถึงขั้นที่ได้ผลลัพธ์ไม่เลวเลยทีเดียว

ดังนั้นจึงมีคนอัป(หมายถึงผู้ที่อัปโหลดไฟล์วิดีโอหรือไฟล์เสียงในเว็บไซต์จำพวกแพล็ตฟอร์มวิดีโอหรือเว็บบอร์ด)จำนวนมากที่ทำตาม

มีวิดีโอหนึ่งในนั้น ใช้ภาพของนางเอกคลาสสิกจากภาพยนตร์และซีรีส์หลายคนตัดรวมกัน ขณะที่ฉากคลาสสิกของเหล่านางเอกเปิดผ่าน เพลงก็จะเล่นประกอบแต่ละท่อน ไม่ทันไรก็เรียกเสียงตอบรับได้ไม่น้อย

‘ตัดต่อปังมาก!’

‘ฉันนึกว่าอยู่บนสวรรค์!’

‘BGMเพลงนี้ลงตัวมาก!’

‘อ๊าาาาก คุกเข่าขอชื่อเพลงครับ!’

‘คอมเมนต์บนยืนขึ้นเถอะ เพลงชื่อติดไฟง่ายระเบิดง่าย’

‘ตอนแรกฉันก็เฉยๆ กับติดไฟง่ายระเบิดง่าย แต่ดูคลิปตัดนี้แล้ว อยู่ๆ ก็เก็ตเพลงนี้ขึ้นมาเลย แอบโหลดมาเก็บไว้

ละ’

‘เพลงประกอบดีมาก!’

‘นี่เป็นวิธีเปิดเพลงที่ถูกต้องจริงๆ สินะ’

‘ทุกคนต่างรู้ว่า ทันทีที่ติดไฟง่ายระเบิดง่ายดังขึ้น ก็จะมีแอนตี้แฟนของนางเอกพวกนี้โผล่มา’

‘…’

เมื่อวิดีโอเหล่านี้ปล่อยออกไป ก็ยิ่งทำให้เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากกว่าเดิม

มีหลายครั้งที่เมื่อใช้เพลงเป็นแบ็กกราวด์มิวสิก ก็จะทำให้คลิปวิดีโอธรรมดามีพลังชีวิตที่แตกต่างขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกับแบ็กกราวด์มิวสิกของภาพยนตร์และซีรีส์ที่ผู้ชมล้วนรู้ว่าช่วงไคลแม็กซ์กำลังจะมาถึงนั่นละ

สองเพลงก่อนหน้านี้ของหลินเยวียนไม่ได้ด้อยไปกว่าติดไฟง่ายระเบิดง่าย

แต่เห็นได้ชัดว่าหากพูดถึงยอดดาวน์โหลดของเพลง ติดไฟง่ายระเบิดง่ายนั้นโดดเด่นที่สุด

……

และขณะที่เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

ในบริษัทคลังหนังสือซิลเวอร์บลูของฉินโจว เหล่าบรรณาธิการก็กลับไม่มีเวลาว่างมาเพลิดเพลินกับการฟังเพลงและดูวิดีโอ

พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการตรวจต้นฉบับนิยายในซูเปอร์โนวาอวอร์ดในปีนี้อยู่

บางทีอาจเป็นเพราะอาชีพนักเขียนนิยายได้รับความนิยมจากผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นฉบับที่ได้รับในซูเปอร์โนวาอวอร์ดปีนี้จึงมากกว่าปีที่แล้ว

ดังนั้นตั้งแต่หลายวันก่อน เหล่าบรรณาธิการก็ตรวจต้นฉบับกันไม่ได้หยุด

เพื่อที่จะรีบตรวจต้นฉบับให้เสร็จก่อนเส้นตาย บนโต๊ะของบรรณาธิการแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยเครื่องดื่มชูกำลัง รวมไปถึงกาแฟที่กินไม่ได้หยุดหย่อน

หยางเฟิงก็เป็นหนึ่งในบรรณาธิการตรวจต้นฉบับของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ตรวจต้นฉบับมาหลายวัน หยางเฟิงอ่านนิยายมานับไม่ถ้วน จนในตอนนี้เวียนหัวไปหมดแล้ว

ทั้งกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังใกล้จะดื้อยาแล้ว

เพื่อที่จะประคองสมาธิให้คงอยู่ เขาจำต้องไปสูบบุรี่ที่ห้องน้ำสักหน่อย

บรรณาธิการที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหยางเฟิงนั้นมีอีกหลายคน ดังนั้นท่ามกลางม่านควันในห้องปลดทุกข์ บรรณาธิการหลายคนซึ่งกำลังสูบบุหรี่ก็ถกเถียงกันเรื่องเนื้อหาที่ต้องตรวจกันในช่วงหลายวันมานี้

“พวกนายได้ต้นฉบับแนะนำหรือยัง”

“ของฉันยังเลย แต่ว่ามีอยู่สองสามเรื่องที่ไม่เลว อ่านต้นฉบับทั้งหมดที่มีอยู่ในมือก่อนสักรอบ แล้วค่อยมาตรวจให้ละเอียด ผลงานที่ฉันถูกใจจะได้ไม่ถูกคัดออกระหว่างที่ตรวจทวนต้นฉบับ”

“ซูเปอร์โนวาแต่ละปีก็เป็นการเดิมพันทั้งนั้น”

เหล่าบรรณาธิการตรวจสอบต้นฉบับในมือจนหมด ต่างก็มีนิยายแนะนำอยู่จำนวนหนึ่ง หากท้ายที่สุดผลงานที่บรรณาธิการคนไหนแนะนำถูกหัวหน้าบรรณาธิการเลือกไป หลังจากนั้นก็จะนับว่าเป็นผลงานแล้ว ดังนั้นบรรณาธิการก็ล้วนจริงจังและรอบคอบกับผลงานแนะนำของตนเองมาก

ในตอนนั้นเอง

บรรณาธิการคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “แนวหลักของต้นฉบับปีนี้เป็นพวกผจญภัยในต่างโลก เพราะคนเขียนแนวนี้เยอะมาก จะหาเรื่องที่ดีที่สุดในนั้นก็เลยไม่ง่ายเอาซะเลย”

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันกับประโยคนี้

คนเขียนแนวผจญภัยในต่างโลกมากเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อผู้คนจำนวนมากเขียนแนวเดียวกัน หากจะให้เลือกเรื่องที่ดีที่สุดมานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

“ถึงยังไงก็เป็นแนวที่คนชอบกันนี่นา”

“น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มักจะตามสไตล์ที่เป็นกระแสตลาด มีอยู่ไม่กี่คนที่เขียนด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”

“แต่ว่าแนวนี้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่านี่”

“ใช่ แนวที่ขายดีคนเขียนก็เยอะเป็นธรรมดา อย่างฉันน่ะ ขนาดอ่านแนวผจญภัยในต่างโลกมาตั้งเยอะก็ยังรู้สึกสนุกไม่เบื่อเลย”

“…”

หยางเฟิงไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนา

สูบบุหรี่เสร็จ ก็กลับที่ไปทำงานต่อ

ในกองบรรณาธิการ บรรณาธิการส่วนใหญ่ล้วนถูกใจแนวนิยายซึ่งเป็นที่นิยมอย่างผจญภัยในต่างโลก โดยทั่วไปแล้วมาตรฐานการคัดเลือกหนังสือก็มักจะค่อนไปทางแนวนี้ ทว่าหยางเฟิงกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป

แน่นอนว่าเขาเองก็ชื่นชอบแนวผจญภัยในต่างโลก

แต่เพราะนิยายซึ่งเขียนด้วยแนวผจญภัยในต่างโลกนั้นดาษดื่นเกินไป พลอยให้เกิดเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ของนิยายแนวนี้ที่มากเกินไป ดังนั้นหลายวันมานี้ที่หยางเฟิงตรวจต้นฉบับก็ได้อ่านเรื่องราวแนวนี้จนเอียนแล้ว

ในตอนนี้เขาอยากหาผลงานที่แตกต่างออกไปสักเรื่อง

น่าเสียดายว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย มีบางแนวที่เป็นที่นิยมขึ้นมาได้ ก็เพราะผู้อ่านชื่นชอบ

นี่คือตัวเลือกของตลาด!

ต่อให้เป็นบรรณาธิการ เพื่อที่จะทำผลงานและเพื่อยอดขายของสำนักพิมพ์ ก็จำเป็นต้องแนะนำแนวซึ่งได้รับความนิยมเหล่านี้เป็นหลัก

ยิ่งไปกว่านั้นนักเขียนหน้าใหม่ซึ่งส่งต้นฉบับมาก็ไม่ได้โง่เขลา

ต้นฉบับแนวไหนที่ผ่านง่ายก็เขียนแนวนั้น นี่เป็นหลักการอันแสนเรียบง่าย อย่างไรเสียผู้ที่ยังยืนหยัดในสไตล์ของตน ไม่ได้ตามกระแสตลาดนั้นมีเท่าหยิบมือ

ฉะนั้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตรวจผลงานแล้วนับไม่ถ้วน หยางเฟิงก็ยังหาเรื่องที่พอใจไม่ได้เลย

ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครเขียนแนวแปลกใหม่ ท่ามกลางต้นฉบับกองพะเนิน แนวที่แปลกใหม่ก็พอจะมีอยู่บ้าง แต่ปัญหาอยู่ที่นิยายแนวเหล่านี้มักจะขาดความเป็นเรื่องราวและอรรถรสความสนุกที่นิยายพึงมี

แบบนั้นหยางเฟิงยอมคัดออกไปดีกว่า

เขาจะไม่ลดมาตรฐานในการตรวจต้นฉบับของตนเพียงเพื่อเสาะแสวงหาความแปลกใหม่ และไม่มีทางผลักไสไล่ส่งนิยายกระแสหลักออกไปจากขอบเขตการพิจารณา

ท้ายที่สุดแล้ว ความสนุกตื่นเต้นของเรื่องราวจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ใช้เวลาสิบห้านาที

ก็อ่านต้นฉบับจบหนึ่งเรื่อง

หยางเฟิงนวดขมับอันอ่อนล้า จากนั้นก็กัดฟัน ใส่น้ำมันหอมระเหยไปสักหน่อย

นี่เป็นหนึ่งในไม้ตายเด็ดที่บรรดาพนักงานเงินเดือนใช้รับมือกับความเหนื่อยล้า

อันที่จริงก็ยังมีท่าไม้ตายขั้นสุดยอดอีก แล้วก็เกี่ยวข้องกับน้ำมันหอมระเหย ทว่าคนทั่วไปมักไม่กล้าทดลอง เพราะผู้ที่เคยทดลองได้ตายทางสังคมไปแล้ว

สรุปแล้ว ใช้น้ำมันหอมระเหยนวดศีรษะสักหน่อย หยางเฟิงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมามากทีเดียว

ถือโอกาสที่กำลังคึกคักได้ที่

หยางเฟิงเปิดต้นฉบับใหม่ขึ้นมา

ชื่อหนังสือในครั้งนี้ทำให้หยางเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’

เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ

ผู้ส่งต้นฉบับยังใส่อีกชื่อไว้ด้านหลังว่า ‘เจ้าชายลูกสักหลาด’

………………………………………..


[1] มะเร็งชายแท้ เป็นคำแสลงที่ใช้เรียกกลุ่มผู้ชายซึ่งมีโลกทัศน์แคบ และเหยียดเพศ แฝงการเสียดสีค่านิยมชายเป็นใหญ่

รายรับเดือนที่แล้วของหลินเยวียนรวมทั้งสิ้นราวเจ็ดแสนหยวน

เดิมทีก็ควรได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงอย่างไรนอกจากค่าคอมมิชชันแล้ว ตอนนี้หลินเยวียนก็มีสองเพลงที่ต้องได้รับส่วนแบ่งรวมกัน

หลังจากปล่อยเพลงออกไปได้สองเดือน แม้ว่าจะไม่มีโบนัสจากชาร์ตดาวรุ่ง รายได้ที่เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นำพามาให้เขาก็ยังไม่น้อย

ตอนนี้ยอดดาวน์โหลดของเพลงนี้แตะถึงเจ็ดแสนเป็นที่เรียบร้อย จะทะลุหนึ่งล้านในเวลาไม่กี่เดือนย่อมไม่ใช่ปัญหา

และยังมีเพลงปลายักษ์ ที่เพิ่งปล่อยออกไปเมื่อกลางเดือนอีก

แต่ยิ่งได้เงินมากก็ยิ่งถูกหักภาษีมาก ภาษีไม่กี่หมื่นหยวนกับภาษีที่ต้องจ่ายจากรายรับไม่กี่แสนหยวนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

ยังดีที่เงินเจ็ดแสนนั้นมากพอที่จะคลี่คลายความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้

เวลาสามทุ่มครึ่ง

หลินเยวียนโทรหาพี่สาว

พี่สาวของหลินเยวียนชื่อว่าหลินเซวียน เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ตอนนี้ยังเป็นเด็กฝึกงานของบริษัท ดังนั้นโดยทั่วไปเวลาเลิกงานจึงค่อนข้างดึก

“ฮัลโหล เสี่ยวเยวียน”

เมื่อต่อสายติด เสียงของหลินเซวียนพี่สาวทั้งแหบพร่าทั้งอ่อนล้า “พี่เพิ่งเลิกงานแล้วกลับถึงบ้านน่ะ”

หลินเยวียนพูดว่า “งั้นพี่ไปกินข้าวก่อนก็ได้”

หลินเซวียนหัวเราะ “กำลังต้มน้ำอยู่ เดี๋ยวกินบะหมี่ก็ได้แล้ว ไม่กี่วันก่อนแม่บอกพี่ว่าเธอมีเซอร์ไพรส์จะบอกพี่เหรอ”

ดูท่าแม่จะยังไม่ได้พูดอะไร

หลินเยวียนเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “พี่รู้จักเซี่ยนอวี๋มั้ย”

“เซี่ยนอวี๋?”

หลินเซวียนชะงักไปชั่วขณะ “รู้จัก พี่ฟังเพลงบ่อย เขาเขียนเพลงดีมาก ทำไม เธอรู้จักเขาเหรอ”

หลินเยวียนพูด “ผมคือเซี่ยนอวี๋”

หลินเซวียนพึมพำโดยไม่รู้ตัว “เธอคืออะไรอวี๋นะ”

“เซี่ยนอวี๋”

“เซี่ยนอะไรนะ”

“เซี่ยนอวี๋”

“ดะเดี๋ยว…เดี๋ยวๆ…พี่ขอตั้งสติก่อน” หลินเซวียนเป็นวัยรุ่น ความสามารถในการยอมรับนั้นดีกว่าแม่เล็กน้อย แต่อยู่ๆ ได้ยินข้อมูลเช่นนี้ก็ชะงักกันไปเหมือนกัน

ผ่านไปนานโขกว่าหลินเซวียนจะตั้งสติได้ “เซี่ยน…อวี๋?”

หลินเยวียนตอบ “อืม”

“เซี่ยนอวี๋!”

“อืมๆ ”

“เซี่ยนอวี๋!?”

น้ำเสียงของพี่สาวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนนิ่งๆ อย่างหลินเยวียนฟังแล้วก็แทบพลอยตกใจไปด้วย “ใช่ เซี่ยนอวี๋คือผม ผมก็คือเซี่ยนอวี๋…แต่ว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือผมจะซื้อโทรศัพท์ให้พี่”

“เธอใจร้ายจริงๆ เลย!”

หลินเซวียนโมโหขึ้นมาทันที “ซื้อแค่โทรศัพท์? เมื่อก่อนพี่ดีกับเธอขนาดไหน เมื่อก่อนไม่ต้องพูดถึง ทั้งเสื้อผ้ารองเท้าตอนเธอเข้าเรียน ก็เป็นพี่ที่ใช้เงินค่าฝึกงานทั้งเดือนจ่ายไปจนหมด!”

หลินเยวียนหลุดหัวเราะ “พี่จะเอาเท่าไหร่ล่ะ”

ความสัมพันธ์ของเขากับพี่สาวและน้องสาวแน่นแฟ้นมาก ไม่เคยรู้สึกห่างเหินกัน ถึงขั้นที่เขาเองก็ยังชอบวิธีการพูดคุยกันแบบนี้

“ต้องอย่างนี้สิ”

พี่สาวพูดอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ นักแต่งเพลงรายได้ดี แถมเพลงของเธอก็ดังขนาดนั้น แค่ซื้อโทรศัพท์ไม่พอหรอก ต้องแถมเงินอีกสักห้าพันหยวนถึงจะได้ พี่ต้องจ่ายค่าเช่าห้องอีก เอางี้ เหมารวมเลย หมื่นหยวนก็แล้วกัน!”

หลินเยวียนตอบ “โอนให้พี่แล้ว”

หลินเซวียนยิ้มเอ่ย “โอเค พี่ดูก่อนนะ…”

ปลายสายพลันเงียบเสียงไป

ผ่านไปพักใหญ่ หลินเซวียนจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงวิตก “เธอไม่ได้พิมพ์เลขศูนย์เกินมาตัวนึงเหรอ?”

หลินเยวียนหัวเราะ “ผมไม่ได้พิมพ์ผิด แสนนึง ให้พี่หมดเลย”

หลินเซวียนพูดเสียงขรึม “หลินเยวียน! พี่รู้ว่าเธอใจดีกับพี่ แต่เธอก็ต้องเข้าใจด้วยว่าได้เงินมาก้อนใหญ่ก็ต้องเอาไปให้แม่ แม่ไปยืมเงินญาติกับเพื่อนๆ มาไม่น้อยเพื่อรักษาเธอ เงินพวกนี้ต้องคืน พี่เก็บไว้แค่ไม่กี่พันก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวจะโอนให้แม่หมดเลย จะเอาไปใช้ทำอะไรให้แม่ตัดสินใจ เธอไม่มีความเห็นใช่มั้ย แต่ถึงมีก็ไม่มีประโยชน์หรอก พี่พูดคำไหนคำนั้น”

“คืออย่างนี้…”

หลินเยวียนทำได้เพียงเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟังรอบหนึ่ง

หลินเซวียนเดิมทีตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นปลื้มใจ ถึงขั้นที่กระโดดโลดเต้นอยู่กับที่ “เธอโอนไปเมื่อเดือนที่แล้ว? เดือนนี้ยังได้เงินมาเยอะขนาดนี้อีก? น้องรัก พี่ไม่อยากทำงานแล้ว ให้ตายเถอะ พี่ไม่อยากพยายามแล้ว!”

หลินเยวียน “…”

เห็นทีความสามารถในการยอมรับของพี่คงจะสู้แม่ไม่ได้

หลังจากที่ลิ้นพันอยู่นาน ในที่สุดหลินเซวียนก็ใจเย็นลง “งั้นก็ว่าตามความคิดเธอก็แล้วกัน ใช้หนี้ของที่บ้านก่อน ส่วนเงินนี่ เธอก็อย่าหวังว่าจะได้คืนนะ หนึ่งแสนหยวนนี้ของพี่!”

“ใช่ๆ ของพี่”

หลินเยวียนบอก “ไม่อยากพยายามก็ไม่ต้องพยายามแล้ว กลับไปเรียนเถอะ พี่ไม่ได้เรียนปริญญาโทก็เพื่อผม กลับไปเรียนตอนนี้ยังทัน”

“ไม่อะ”

หลินเซวียนปฏิเสธ “เธอเป็นน้องพี่หรือเปล่าเนี่ย ไม่เข้าใจพี่เลยสักนิด คิดว่าพี่ชอบเรียนหนังสือขนาดนั้นเลยหรือไง ตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่พี่เกลียดที่สุดก็คือการเรียน! แม่นั่นแหละที่บอกตลอดว่าการศึกษาสูง ถึงจะหางานดีๆ ได้ พี่แค่คิดว่าถ้าหางานดีๆ ได้ ก็จะได้เงินมารักษาเธอ เพราะงั้นเลยบังคับให้ตัวเองเรียนๆๆ มาตลอด…เรียนจนสมองระเบิดแล้วเนี่ย! ตอนนี้เธอหาเงินได้เก่งขนาดนี้ พี่จะเรียนไปทำไมล่ะ หลังจากนี้แค่ทำงานอย่างสบายใจก็พอ อีกอย่างพี่ก็ชอบงานนี้มากด้วย ถ้าเกิดต่อไปเธอเขียนเพลงไม่ออกแล้ว อย่างน้อยพี่ก็ยังมีหลักประกัน ไม่ถึงกับต้องปล่อยให้พวกเธอไปนอนข้างถนน”

“ก็ได้”

หลินเยวียนพูด “ให้พี่ตัดสินใจเองแล้วกัน”

หลินเซวียนพูดว่า “พี่ชอบอ่านนิยายตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ยังเป็นแค่บ.ก.ฝึกงานในสำนักพิมพ์ ได้เจอนักเขียนดังๆ ตั้งหลายคนแน่ะ ทำงานมาไม่กี่เดือน ผลงานก็ธรรมดา แต่ได้ลายเซ็นนักเขียนมาเป็นตั้งเลย”

“พี่เป็นบ.ก.เหรอ”

“ใช่ ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกเธอนี่ ดูท่าแล้วเธอจะจำไม่ได้…บอกอีกสักรอบแล้วกัน พี่ทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์หลิงชวน ยังอยู่ในขั้นแรกเข้า ผ่านไปอีกสักพักก็น่าจะผ่านโปรได้เป็นพนักงานประจำ!”

“โอเค งั้นต่อไปพี่ก็กินข้าวเย็นดีกว่านี้หน่อยนะ”

หลินเยวียนกำลังใคร่ครวญว่าต่อไปก็จะไปแต่งหนังสือนิยายที่บริษัทของพี่สาวได้

ซูเปอร์โนวาเป็นกิจกรรมที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจัดขึ้น ไม่ใช่บริษัทที่พี่สาวทำงานอยู่ ฉะนั้นจะยังไปตอนนี้ไม่ได้

“แน่นอนอยู่แล้วละ!”

หลินเซวียนเอ่ยอย่างได้ใจ “มีเงินแสนหยวนแล้วจะไม่ให้กินเยอะขึ้นได้เหรอ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่จะเติมไส้กรอกแฮมอีกสองแท่งลงไปในบะหมี่!

หลินเยวียน “…”

พี่สาวเป็นคนแบบนี้ สมแล้วที่แซ่หลิน

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักก่อนจะวางสาย

หลินเยวียนดูเงินในบัญชี ยังมีเงินเหลืออีกประมาณหกแสน เขาโอนเงินให้แม่ห้าแสนห้าหมื่นหยวนทันทีโดยแทบจะไม่ต้องคิด แล้วจึงส่งข้อความไปว่า

‘จ่ายหนี้ได้แล้ว’

ครอบครัวมีหนี้สินทั้งหมดห้าแสนกว่าหยวน ครั้งเดียวก็สามารถจ่ายหนี้ได้หมดแล้ว

แม่โทรกลับมาทันทีที่แตะมือถือ เธอกล่าวด้วยความตื่นอกตกใจ “เดือนนี้ลูกได้เงินมากขนาดนี้เลย?”

“โชคดีน่ะครับ รับงานหนึ่งมาพอดี”

หลินเยวียนจึงอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด

แม่วางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงกลับมา “สัญญาณไม่ค่อยดี เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปจ่ายหนี้นะ”

หลินเยวียนส่งอีโมจิหน้ายิ้มกลับไป

เขารู้เหตุผลที่แม่วางสาย ร้อยทั้งร้อยก็เพราะแม่อยากร้องไห้ และไม่อยากให้ลูกได้ยิน จึงเลือกปลีกตัวออกมาก่อน แต่เขาก็แค่ไม่ได้พูดออกไปให้แม่ฟังเท่านั้นเอง

เมื่อสะสางเรื่องนี้แล้ว

เขาก็นอนแผ่อยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย เหม่อมองท้องฟ้าประกายแสงดาว ในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นสงบนิ่ง เป็นความรู้สึกมั่นคงที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เขานึกถึงวันที่ทะลุมิติเข้ามา เขาก็นอนมองท้องฟ้าเช่นนี้เหมือนกัน

แต่ว่าในตอนนั้นมีทั้งเรื่องความเป็นความตาย มีทั้งความกดดันจากปัญหาของครอบครัว ไร้ซึ่งความรู้สึกสบายใจและอิ่มเอมแม้แต่ชั่วขณะเดียว

การได้มีชีวิตอยู่นี่ดีจริงๆ

……………………………………………..

เรื่องที่เพลงใหม่ของหลินเยวียนคว้าแชมป์ในเดือนนี้ไม่เพียงดึงดูดความสนใจจากผู้คนภายนอก

ในแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ ก็ยังมีเสียงตอบรับท่วมท้นเช่นเดียวกัน

ไม่ใช่เพราะความโดดเด่นของผลงาน

ผลงานของหลินเยวียนดีมากก็จริง แต่บรรดามือทองในแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบล้วนแต่เคยคว้าอันดับหนึ่งในชาร์ตนี้มาแล้วทั้งนั้น

ถึงขั้นที่มีคนที่ไม่ใช่มือทองก็เคยได้รางวัลนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ควรค่าแก่การคุยโวสักเท่าไหร่

สิ่งที่ควรค่าแก่การคุยโวจริงๆ ก็คือ!

หลินเยวียนรบสามครั้งชนะสามครั้ง!

มือทองมากมายต้องใช้เวลาปีครึ่งกว่าจะเขียนเพลงดีๆ เพลงหนึ่งออกมาได้ และคุณภาพก็ยากที่จะเลี่ยงความผันผวน หลินเยวียนกลับปล่อยเพลงดีออกมาสามเพลงติดต่อกันภายในสามเดือน อีกทั้งผลสัมฤทธิ์ของทุกเพลงก็สูงมากซะด้วย

นี่เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการสำหรับนักแต่งเพลง

ตัวอย่างเช่นอู๋หย่ง เขาทำงานมาได้ราวๆ สิบปี เคยคว้าอันดับหนึ่งได้เพียงครั้งเดียว อีกทั้งในรายการนั้นก็ไม่มี

นักร้องแถวหน้าลงสนาม

เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ อู๋หย่งจึงรู้สึกหดหู่ เขาตระหนักได้ว่ารางวัลที่หลินเยวียนได้ตั้งแต่เข้าทำงานตลอดสามเดือน เทียบได้กับน้ำพักน้ำแรงของเขาประมาณยี่สิบสามสิบปีเชียวนะ

……

เหล่าโจวติดตามอันดับของเพลงปลายักษ์ในเดือนธันวาคมมาตลอด

ตัวหลินเยวียนไม่รู้ว่าในวันสุดท้ายของเดือนธันวาคม แท้จริงแล้วเพลงปลายักษ์ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สิบของรายการ

ลงสนามช่วงกลางเดือน แต่ยังเบียดขึ้นถึงอันดับสิบในกลุ่มแห่งความตายแบบนี้ได้!

ผลงานของปลายักษ์ต้องเรียกว่าน่าประหลาดใจ!

ทว่าเหล่าโจวยังไม่ทันได้สติจากเพลงก่อนหน้านี้ เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายของหลินเยวียนก็ทะยานขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งของเดือนนี้แล้ว

มิหนำซ้ำยังใช้วิธีกำจัดนักร้องแถวหน้าถึงสองคน

กลยุทธ์ออกจะโหดเหี้ยมไปหน่อย

เป็นเพราะฉันยังใส่ใจเขาไม่มากพอเหรอ? ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าโจวรู้สึกว่าตนเองตามจังหวะของหลินเยวียนไม่ทันแม้แต่นิดเดียว

ต้องเข้าไปสนใจการเติบโตของเด็กใหม่ให้มากหน่อยแล้ว!

ดังนั้น เขาจึงไปปรากฏตัวที่แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบอย่างเงียบเชียบ

ทันทีที่เข้าไป เหล่าโจวก็เห็นแต่ไกลว่าหลินเยวียนกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างขะมักเขม้น

‘อย่างที่คิด ไม่มีใครประสบความสำเร็จเพราะโชคหรอก’

เหล่าโจวหยุดทักทายผู้คนโดยรอบ ก่อนจะเดินตรงไปหาหลินเยวียนอย่างผ่อนคลาย

ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้หลินเยวียน เหล่าโจวถึงพบว่าหลินเยวียนไม่ได้กำลังขะมักเขม้น เจ้าเด็กนี่กำลังนั่งอ่านนิยายอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

“…”

รอบข้างมีสายตาหลายคู่จับจ้อง เหล่าโจวจะลำเอียงเกินไปก็ไม่เหมาะ เขาอดกระแอมเตือนออกมาไม่ได้ “หลินเยวียน ยังอยู่ในเวลางาน นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

“หาแรงบันดาลใจครับ”

หลินเยวียนเอ่ยตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด

เหล่าโจว “…”

เอาแล้ว! เขาเริ่มแล้ว!

ในแผนกประพันธ์เพลงมีวิถีปฏิบัติอันเป็นที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าจะเล่นเกมในเวลางานแล้วถูกหัวหน้าจับได้ หรือดูหนังในเวลางานแล้วถูกหัวหน้าเห็นเข้า หรือแม้แต่ใจลอยจนของถูกขโมยไป นักแต่งเพลงพวกนี้ก็มักจะสรรหาคำอธิบายมาว่า

‘หาแรงบันดาลใจ’

ก็เหมือนกับบรรดาพ่อเพลงที่ปกติแล้วไม่เข้ามาทำงาน โดยให้เหตุผลว่า ‘ออกไปเก็บข้อมูล’ อยู่ร่ำไป

หาแรงบันดาลใจ เป็นวิธีหนึ่งเดียวที่แผนกประพันธ์เพลงใช้ต่อกรกับหัวหน้า

ฉะนั้นเหล่าโจวจึงมักรู้สึกว่านักประพันธ์เพลงพวกนี้ชอบกดไอคิวของเขาให้ต่ำลงถึงพื้นแล้วขยี้ซ้ำ

ถ้าบอกว่าดูหนังเพื่อหาแรงบันดาลใจก็ว่าไปอย่าง

ตีป้อม Summoner’s Rift นี่นับว่าเป็นการหาแรงบันดาลใจด้วยหรือเปล่านะ

การยิงกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านในเกมก็นับเป็นการหาแรงบันดาลใจเหมือนกันเหรอ

แล้วก็ยังมีที่เหลือรับมากที่สุด คุยกับแฟนว่าคืนนี้จะไปโรงแรมนี่ก็จัดว่าเป็นการหาแรงบันดาลใจเหรอ

เอาละ

ตอนนี้อ่านนิยายในเวลางานก็นับเป็นการหาแรงบันดาลใจเหมือนกัน

หลินเยวียนเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็ติดนิสัยจนเคยตัวซะแล้ว

จะนั่งคิดนอนคิด ยังไงก็เป็นความผิดของพวกเพื่อนร่วมงาน!

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพวกนี้ทำพฤติกรรมแบบนี้อยู่เป็นนิตย์ หลินเยวียนจะเรียนรู้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง

เพราะฉะนั้นแล้วเหล่าโจวเลยถลึงตาใส่ผู้คนรอบข้าง

เพื่อนร่วมงานโดยรอบมีสีหน้าไร้เดียงสาขึ้นมาทันที

เห็นชัดๆ ว่าหลินเยวียนเรียนรู้ด้วยตนเอง! ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนะ! ตั้งแต่เข้ามาทำงาน ก็ไม่ได้มีใครเคยทำแบบนี้ต่อหน้าเขานี่นา!

อีกอย่าง

ต่อให้พวกเขาจะใช้วิธีนี้ โดยมากก็จะละอายใจ จะมีสักกี่คนที่ทำอย่างเปิดเผยแบบหลินเยวียน

แต่ทุกคนก็ไม่กล้าแข็งข้อกับเหล่าโจว ทำได้แค่แบกความเจ็บช้ำน้ำใจเอาไว้

เหล่าโจวมองไปยังหลินเยวียน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “แล้วนายหาแรงบันดาลใจเจอหรือยัง”

ตอนนี้เขาเอ็นดูหลินเวียนเสียยิ่งกว่าลูกตัวเอง ทำใจดุด่าไม่ลง นอกจากนั้นแล้ว ที่หลินเยวียนอ่านนิยาย ไม่แน่ว่าอาจกำลังหาแรงบันดาลใจอยู่จริงๆ ก็ได้

หลินเยวียนส่ายหน้า

เขาเหลืออยู่แค่เพลงเดียวแล้ว

และไม่คิดจะปล่อยออกไปตอนนี้

วันนี้เข้างาน เพื่อนร่วมงานล้วนแต่พูดถึงเรื่องที่ตนรบสามครั้งชนะรวดสามครั้ง นั่นทำให้เห็นว่าช่วงนี้ผลงานของเขาโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ต้องทำให้ทุกคนใจเย็นลงสักหน่อยถึงจะได้

“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป”

เหล่าโจวคาดไว้แล้วว่าหลินเยวียนไม่มีเพลงใหม่

ปล่อยรวดเดียวออกมาตั้งสามเพลงแล้ว ต่อให้เป็นพ่อเพลงก็คงเค้นสมองจนไม่รู้จะเค้นออกมาอย่างไรแล้ว นับประสาอะไรกับเด็กใหม่อย่างหลินเยวียน

……

หลังจากที่เหล่าโจวออกไป หลินเยวียนก็ยังคงอยู่ในหน้าเว็บไซต์นิยายต่อไป

อันที่จริงหลินเยวียนไม่ได้อ่านนิยาย เขาเพียงแต่ส่งต้นฉบับให้ซูเปอร์โนวาก็เท่านั้น ช่วงสายวันนี้ ซูเปอร์โนวาได้เปิดช่องทางส่งต้นฉบับนิยายอย่างเป็นทางการแล้ว

เวลางานน่ะเหรอ

ว่างจะตายไป

ไม่สู้พัฒนาอาชีพเสริมจะดีกว่า

ตามขั้นตอนแล้ว หลินเยวียนก็แค่ส่งนิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสที่ระบบทำมาสำเร็จ เข้าไปในอีเมลทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ก็เท่ากับส่งต้นฉบับเสร็จแล้ว

อยู่ๆ หลินเยวียนก็เกิดความสงสัยขึ้นมา “ระบบ ความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับเทนนิสในปรินซ์ออฟเทนนิส เป็นเรื่องหลอกลวงคนอ่านหมดเลยมั้ย”

“ไม่ใช่”

ระบบตอบคำถามในสมองของหลินเยวียน  “ความรู้ในอนิเมะต้นฉบับเรื่องเจ้าชายลูกสักหลาดเว่อร์ไปหน่อยก็จริง และเพื่อทำให้ฉากดูเท่ ช่วงท้ายจึงหลุดไปจากความจริงมาก ถึงยังไงนักเขียนก็ไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพทีมชาติ แต่ระบบรอบคอบมาก ดังนั้นนิยายที่ดัดแปลงจึงเข้มงวดมาก ความรู้เรื่องเทนนิสที่อธิบายในนิยายล้วนเป็นข้อมูลเฉพาะทาง ถึงแม้ว่าจะดูมีลูกเล่นล้ำเกินจริงไปสักหน่อย แต่นั่นก็เป็นท่าที่ตามทฤษฎีแล้วนักกีฬามืออาชีพสามารถทำได้”

“เข้าใจแล้ว”

หลักๆ แล้วหลินเยวียนกลัวว่าฉากซึ่งบรรยายในเรื่องจะปลอมเกินไปจนถูกคนที่ตีเทนนิสเป็นสงสัยเอาได้ และนั่นจะส่งผลต่อการสะสมค่าความโด่งดังของเขา เมื่อระบบยืนยันเป็นมั่นเหมาะแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหานี้อีก

ในตอนนั้นเอง

อยู่ๆ ระบบก็พูดขึ้นว่า “เตือนโฮสต์ด้วยความปรารถนาดี ประเดี๋ยวนิยายจะเข้าไปอยู่ในสมองของโฮสต์ โฮสต์ต้องเขียนออกมาเอง ทำสำเร็จโดยไม่ลงแรงไม่ใช่นิสัยที่ดี”

“ฉันพิมพ์ช้า”

“ระบบจะเพิ่มความเร็วมือให้โฮสต์”

หลินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ ยังไงเขาก็เป็นนักเขียนนิยายด้วย จะใช้แค่ไอเดียมาเขียนอย่างเดียวไม่ได้อยู่แล้ว

แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องสละเวลาทำงานของตนเองแล้ว

อย่าได้ถามว่าทำไมเขียนนิยายในเวลางาน ถ้าถามก็ตอบไปว่าหาแรงบันดาลใจ

ขณะนั้น

เวลางานในช่วงเช้าก็จบลง หลินเยวียนตรงเข้าไปกินข้าวในโรงอาหาร

วันนี้บริษัทจ่ายเงินเดือน ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องค่าอาหารแล้ว

และเขาก็คิดว่าคืนนี้จะติดต่อพี่สาวไป

หลินเยวียนยังไม่ลืมเรื่องที่รับปากไว้ ว่าจะต้องซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้พี่สาว และจะได้โอนเงินไปให้พี่สาวอีกสักหน่อยด้วย

เงินที่เหลือก็จะเก็บไว้เองเล็กน้อย แล้วค่อยโอนให้ที่บ้านก็แล้วกัน

ครอบครัวเขายังมีหนี้สินอีกไม่น้อยที่ต้องจ่าย

เดือนนี้ หลินเยวียนทำเงินได้มากทีเดียว รวมไปถึงค่าคอมมิชชันจากออเดอร์ปลายักษ์ก็เข้าบัญชีมาแล้ว รายรับเดือนนี้อู้ฟู่กว่าเดือนที่แล้วซะอีก

………………………………………….

ปล่อยเพลงดีๆ ออกมาสามเพลงติดต่อกัน

เด็กใหม่สมัยนี้ผลิตผลงานเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ

มีคนถึงกับเริ่มสงสัยแล้วว่าเซี่ยนอวี๋เป็นพ่อเพลงคนไหนเปลี่ยนนามปากกามาแกล้งเพื่อนร่วมสายงานเล่นๆ

ถึงอย่างไรในวงการก็ไม่เคยห้ามเรื่องพวกให้นักประพันธ์เพลงใช้นามปากกาอื่นอะไรเทือกนี้

นอกจากนั้นแล้ว ด้วยนิสัยแปลกๆ ของพ่อเพลงแต่ละคน เรื่องทำนองนี้ก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

คำตอบของภายในสตาร์ไลท์ในวันที่สองก็คือ

เซี่ยนอวี๋ไม่ใช่พ่อเพลงปลอมตัวมาแต่อย่างใด เขาเป็นเด็กใหม่จริงๆ

ในบริษัท ผู้ที่เคยเจอหลินเยวียนก็ล้วนยืนยันคำพูดนี้ ทั้งยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ‘เซี่ยนอวี๋เป็นผู้ชาย อายุไม่นับว่ามาก ปีนี้เพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน…’

‘แสดงว่ามีเพลงเก็บไว้เยอะ’

‘จะว่าไปก็ถูก ไม่จำเป็นต้องผลิตผลงานมามาก เพียงแต่ก่อนที่เซี่ยนอวี๋เข้าในสายงานอย่างเป็นทางการ ได้สะสมเพลงดีๆ พวกนี้ไว้ ตอนนี้ปล่อยเพลงออกมาติดๆ กัน เลยทำให้ทุกคนมีภาพจำที่ดีมากกับเขา’

‘แต่นั่นก็ทำให้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเขา’

ถ้าหากนี่เป็นการเล่นพิเรนทร์ของพ่อเพลง งั้นก็เหลือคำอธิบายเพียงอย่างเดียว

นักข่าวพยายามจะขอสัมภาษณ์เซี่ยนอวี๋ อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเด็กใหม่ แต่ก็ถูกสตาร์ไลท์ปฏิเสธ และเหตุผลที่ปฏิเสธก็คือ

‘เซี่ยนอวี๋ไม่ชอบถูกรบกวน’

นี่ไม่ใช่เจตนาของสตาร์ไลท์ หากแต่เป็นความต้องการของหลินเยวียน ด้วยเหตุนี้เหล่าโจวก็ยังอุตส่าห์ไปถามความเห็นของหลินเยวียน

ไม่มีใครแปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว

เพราะในวงการนั้นมีพ่อเพลงที่นิสัยเหมือนหลินเยวียนเยอะแยะไป

แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยให้สัมภาษณ์ แทบปฏิเสธการออกงานทุกประเภท นอกเสียจากว่าจะแจกลายเซ็นหลังผลงานของตน

อย่าว่าแต่หลินเยวียนเลย

แม้แต่บุคคลระดับพ่อเพลงบางคน ก็ยังลึกลับถึงขั้นที่เห็นแต่ชื่อ ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาก็มี

เฉกเช่นประโยคดังของโลกการประพันธ์เพลงได้กล่าวไว้ ‘ยิ่งเราอยู่ห่างจากผู้ฟังมากเท่าไหร่ พื้นที่สำหรับจินตนาการในผลงานของเราก็จะมากขึ้นเท่านั้น’

ใครเป็นผู้ที่พูดประโยคนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด

ทว่าประโยคนี้ก็เป็นเสียงสะท้อนจากใจของนักแต่งเพลงหลายคน

แต่ละคนก็มีนิสัยต่างกัน

บางคนอยากให้ทั้งโลกรู้จักตนเอง

กระนั้นคนที่เลือกอยู่หลังฉาก ส่วนมากไม่ได้สนใจการออกหน้าในที่สาธารณะ

ในยุทธภพซึ่งไร้ร่องรอยของปรมาจารย์ ทว่าทั่วทั้งใต้หล้าก็กลับมีตำนานของปรมาจารย์แพร่สะพัด นี่ไม่ได้นับว่าเป็นฝีมืออย่างหนึ่งหรอกหรือ?

…….

ต่อมาอีกหลายวัน เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายนั้นเกรียงไกรเหลือเกิน ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุด ระยะห่างจากนักร้องสองคนก่อนหน้าหดลงมาเรื่อยๆ

และเมื่อเวลาเดินทางมาถึงวันที่เจ็ด

ณ ซาไห่คัลเจอร์ เจิ้งเลี่ยงนักร้องแถวหน้ากำลังอยู่ในห้องพักผ่อน เอ่ยเร่งเร้าผู้ช่วย “รีบโทรไปหาแผนกประชาสัมพันธ์เร็ว ฉันอยากให้โปรโมตมากกว่านี้ อันดับหนึ่งอยู่ห่างจากพวกเราไม่มากแล้ว!”

“ได้!”

ผู้ช่วยเองก็ตื่นเต้นมาก รู้สึกว่าแสงแห่งชัยชนะได้ปรากฏขึ้นแล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะออกไปข้างนอก อยู่ๆ ก็กลับถูกผู้จัดการขวางไว้ “ไม่ต้องแล้ว”

เจิ้งเลี่ยงขมวดคิ้ว “ทำไมไม่ต้องแล้วล่ะ”

ผู้จัดการตอบ “อันดับมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว”

เจิ้งเลี่ยงพลันดีใจ “อันดับหนึ่งแล้วเหรอ ดีจังเลย แต่ก็ยังไม่มั่นคงพอ ต้องโปรโมตให้มากกว่านี้ สถานการณ์ยัง

น่าเป็นห่วงมาก”

“ไม่ใช่”

ผู้จัดการถอนหายใจอีกครั้ง “นายได้ที่สามแล้ว”

เจิ้งเลี่ยงสงสัยว่าตนหูฝาดไป “ผมไม่ได้อยู่ที่สองเหรอ”

ผู้จัดการส่ายหน้า “หลุดอันดับแล้ว”

เจิ้งเลี่ยงเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจ ราวกับยอมรับในโชคชะตา

“ถูกไล่ตามมาทันแล้ว”

ผู้จัดการมองพลางเอ่ยถามเขาว่า “นายไม่ได้คาดการณ์ไว้แล้วเหรอ?”

เจิ้งเลี่ยงพยักหน้า “แต่ผมก็ไม่คิดว่าอาทิตย์แรกก็ถูกไล่ขึ้นมาแล้ว เดิมทีคิดว่าจะใช้โอกาสที่ติดไฟง่ายระเบิดง่ายยังไม่ไต่ขึ้นมา นั่งบนอันดับหนึ่งสักหน่อย”

ใช่แล้ว

เจิ้งเลี่ยงกระจ่างดีว่าติดไฟง่ายระเบิดง่ายจะต้องเป็นเพลงที่ชนะในเดือนนี้ เขาเพียงอยากขึ้นเป็นที่หนึ่งชั่วคราวก็เท่านั้น

‘เจียมเนื้อเจียมตัวไปหน่อยล่ะมั้ง’

เขาคิดอย่างจนปัญญา

ผู้จัดการเอ่ยปลอบ “ถึงยังไงพรุ่งนี้อันดับหนึ่งก็จะเปลี่ยนแล้ว ไม่ได้อันดับหนึ่ง ได้อันดับสองสามจะไปต่างอะไร”

“นั่นน่ะสิ”

เจิ้งเลี่ยงยิ้ม “ตอนนี้ บนโลกนี้คงจะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ได้ดีกว่าผมแล้ว”

……

ความจริงแล้ว ไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้หรอก

เพราะคืนนั้นตอนสองทุ่ม อันดับหนึ่งก็เปลี่ยนแล้ว

ทุกคนที่เปิดดูชาร์ตเพลงใหม่ก็ล้วนเห็นว่าอันดับหนึ่งบนชาร์ตได้กลายเป็น ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ แล้ว

เนื้อร้อง/ทำนอง: เซี่ยนอวี๋

ยอดดาวน์โหลด 335,100

ต้องบอกว่ายอดดาวน์โหลดนี้สูงกว่าตัวเลขของสิบอันดับแรกในสัปดาห์แรกของชาร์ตดาวรุ่งมากโข

แต่นี่ก็คือพลังของนักร้องที่มีชื่อเสียงแล้ว

ต่อให้เป็นชื่อเสียงของจ้าวอิ๋งเก้อก็ใช่ว่าศิลปินหน้าใหม่จะเทียบได้ ถึงยังไงคนเขาก็เป็นผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’

ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยนอวี๋ก็ไม่ใช่เด็กใหม่เอี่ยมอ่องอีกต่อไป เขามีผลงานชิ้นโบว์แดงถึงสองเพลงภายใต้ชื่อนี้

ทว่ากลับไร้ซึ่งความประหลาดใจที่ควรเกิดขึ้นในวงการ

แม้ว่าผลงานของ ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ในวันแรกจะเป็นนิมิตหมายของตอนจบก็ตามแต่

‘พลิกกระดาน’

‘โต้กลับ’

‘ม้ามืด’

‘สลับขั้ว’

ในสมองของผู้คนนับไม่ถ้วนปรากฏคำศัพท์ที่คล้ายคลึงกัน

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการปิดล้อมของอิ๋นกวงและซาไห่ กลับกลายทำให้นักร้องแถวหน้าทั้งสองกลายเป็นแท่นหินให้จ้าวอิ๋งเก้อเหยียบ

ในวันนี้

พาดหัวข่าวของสื่อในฉินโจวก็เปลี่ยนไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ‘เพลงแรกของจ้าวอิ๋งเก้อหลังเดบิวต์ เบียดแซงนักร้องแถวหน้าสองคน!’

เดิมทีเป็นการวัดพลังกันระหว่างนักร้องแนวหน้าสองคน

ในตอนนี้เจิ้งเลี่ยงและเฉินจื้ออวี่กลายเป็นตัวประกอบเสียอย่างนั้น

อิ๋นกวงและซาไห่รวมพลังกัน แต่ไม่เหมือนกับการโจมตีจ้าวอิ๋งเก้อเอาเสียเลย เหมือนตั้งใจแอสซิสต์สองครั้งให้เธอทำคะแนนซะมากกว่า

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะจนตัวโยน

ก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าอิ๋นกวงและซาไห่จะร่วมมือกันโจมตีสตาร์ไลท์ เธอแทบจะคิดว่าจ้าวอิ๋งเก้อหมดหวังแล้ว

ใครจะรู้ว่าเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายถึงกับกลบข้อด้อยของชื่อเสียงนักร้อง พาจ้าวอิ๋งเก้อทะยานขึ้นบัลลังก์แชมป์อย่างราบรื่น

คำวิจารณ์ของคนในวงการเหล่านั้นไม่ผิด

นี่เป็นกรณีศึกษาที่พ่อเพลงพาเพลงโด่งดังอย่างหนึ่ง

จ้าวเจวี๋ยเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เพลงเพิ่งจะไต่ขึ้นอันดับหนึ่ง เธอก็โทรศัพท์หาคู่แข่งอย่างสีเหม่ยของอิ๋นกวงทันที ประโยคแรกที่เอ่ยปากพูดก็คือ “ฉันต้องขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของอิ๋นกวงด้วยนะ”

“เหอะๆ”

สามบริษัทบันเทิงใหญ่เป็นคู่แข่งกันมาชั่วนาตาปี ไหนเลยสีเหม่ยจะฟังคำกระแนะกระแหนของจ้าวเจวี๋ยไม่ออก

อย่างไรซะทุกคนก็ไม่ได้ฉีกหน้ากันเป็นครั้งแรก

สีเหม่ยโต้กลับในทันใด ด้วยคำกระแนะกระแหนเหมือนกัน “เซี่ยนอวี๋ดึงจ้าวอิ๋งเก้อขึ้นไปถึงระดับสูงที่ไม่เหมาะกับตัวเอง”

“ไม่ต้องลำบากคุณมาช่วยออกความเห็นหรอก”

ในสายงานนี้ นักร้องที่ดังได้ร้อยละแปดสิบก็เพราะมีพ่อเพลงดันขึ้นไป

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะตัดบทอย่างได้ใจ

จากนั้นก็โทรไปหาอริเก่าแก่อีกคนอย่างซาไห่

น้ำเสียงของหัวหน้าผู้จัดการคนนั้นของซาไห่ก็ยิ่งเชือดเฉือน พ่นคำแดกดันออกมาโดยตรง “ยิ่งยืนสูง ตกลงมาก็ยิ่งสาหัส”

“งั้นก็ต้องปีนให้สูงกว่านี้สิคะ”

จ้าวเจวี๋ยเอ่ยพลางหัวเราะร่า การตอบโต้ระดับนี้รบกวนจิตใจเธอไม่ได้เลย แต่ความหดหู่ก่อนหน้านี้กลับผุดขึ้นมาในใจ

เมื่อเห็นว่าเพลงของตนขึ้นแตะอันดับหนึ่ง ความรู้สึกของจ้าวอิ๋งเก้อก็ราวกับกำลังอยู่บนรถไฟเหาะก็ไม่ปาน

ก่อนหน้านี้เธอก็เหมือนกับจ้าวเจวี๋ย คิดว่าเดือนมกราคมมีนักร้องแถวหน้าสองคนลงสนาม ตนหมดหวังจะชิงมงกุฎแล้ว

แต่ในยามที่เธอสิ้นหวังที่สุด เซี่ยนอวี๋สำแดงปาฏิหาริย์ของพ่อเพลง เพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก็กลายเป็นเพลงอันดับหนึ่งของเดือนมกราคมแล้ว!

ความคิดที่สองก็คือ

เมื่อเผชิญหน้ากับเพลงที่ยอดเยี่ยม แผนสมรู้ร่วมคิดทั้งปวงล้วนเปล่าประโยชน์ เพลงดีหนึ่งเพลงจะทำลายทุกเล่ห์กล!

ก็เหมือนกับเพลงชื่อนี้

ทั้งติดไฟ…ทั้งระเบิด!

……………………………………….

“อะไรวะเนี่ย”

ผู้จัดการสีหน้างงงัน แต่ไม่ทันไรก็ฉีกยิ้มกว้าง “ที่ฉันมาเพราะอยากแสดงความยินดีกับนาย ‘โชติช่วง’ เพลงใหม่

ของนายเป็นเพลงอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงใหม่ ฤดูกาลนี้นายนำลิ่วไปครองแชมป์แล้ว!”

“ครองแชมป์?”

เฉินจื้ออวี่เหลือบมองผู้จัดการ “ผมเพิ่งจะนึกได้วันนี้ว่าชื่อเพลงนี้มันไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ คุณรู้จักมั้ยล่ะความโชติช่วงชั่วครั้งชั่วคราวคืออะไร”

“โอ๊ยๆๆ!”

ผู้จัดการพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่มีอะไรทำก็ไม่ต้องแช่งตัวเอง เพลงใหม่ปล่อยตอนเจ็ดโมงเช้า ตอนนี้ก็เก้าโมง สองชั่วโมง โชติช่วงไต่ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพลงที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราในฤดูกาลนี้ แม้แต่ซาไห่ก็ถูกเราเบียดหล่นไปแล้ว ตอนนี้เพลง ‘คาราเมล’ ของเจิ้งเลี่ยงอยู่อันดับสอง ตัวเลขน้อยกว่าเราแค่นิดเดียว ตราบใดที่ยังชิงความได้เปรียบและกดเจิ้งเลี่ยงเอาไว้ได้ แชมป์ของฤดูกาลนี้ก็มั่นคงแล้ว!”

“คุณนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ” เฉินเจิ้นอวี่ใบหน้าเศร้าหมอง

เมื่อเห็นท่าทางของเฉินจื้ออวี่ ผู้จัดการก็ยิ่งขุ่นเคือง “เฉินจื้ออวี่ตกลงนายเป็นอะไร ขึ้นอันดับหนึ่งแล้วยังไม่พอใจ

อีกเหรอ นี่จะบ่นว่าบริษัทส่งนายไปข่มเด็กใหม่หรือยังไง ฉันยอมรับว่าเรื่องที่บริษัททำน่ะไม่ถูกต้อง แต่ทางหัวหน้าก็รับปากแล้วไงว่าจะจัดคอนเสิร์ตเพิ่มให้นาย นายก็ฮึกเหิมหน่อยสิ”

“ข่มเด็กใหม่?”

เฉินจื้ออวี่หัวเราะเหอะๆ “ใครข่มใครก็ยังไม่แน่หรอก ถ้าบริษัทขโมยไก่ไม่ได้ แถมเสียข้าวสารไปอีกกำมือ ก็อย่า

มาโทษผมก็แล้วกัน”

“ล้อเล่นอะไรอีกล่ะ”

จู่ๆ ผู้จัดการก็หัวเราะออกมา “นายคงไม่ได้กลัวจ้าวอิ๋งเก้อหรอกใช่มั้ย สมแล้วที่เป็นนักร้องเก่า เก่งอย่างที่คิด ที่จริงฉันก็กังวลอยู่บ้างว่าพวกเราจะไม่ไหว เพราะงั้นก่อนจะมาที่นี่ฉันเลยอุตส่าห์ไปดูอันดับของเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายมาโดยเฉพาะ อันดับสิบพอดิบพอดี ยังห่างจากนายในตอนนี้อีกไม่รู้กี่โยชน์ ไม่เชื่อก็ลองดู”

ผู้จัดการพูดพลางใช้โทรศัพท์เปิดชาร์ตเพลงใหม่

เขาเหลือบมองชาร์ต แล้วก็พลันชะงักไป “เอ๊ะ? ทำไมที่เจ็ดแล้ว ฉันเพิ่งเห็นอยู่ที่สิบเมื่อกี้ ชาร์ตติดบัคเหรอ”

“อือฮึ”

เฉินจื้ออวี่ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย ท่าทางลึกล้ำเกินคาดเดาคล้ายกับกำลังเพลิดเพลินท่ามกลางความทุกข์ “แนะนำให้อีกเดี๋ยวคุณลองรีเฟรชเรื่อยๆ มีเซอร์ไพรส์แน่”

“อีกเดี๋ยว?”

ผู้จัดการคล้ายกับฉุกคิดขึ้นได้ จึงกดรีเฟรช จากนั้นก็ต้องตะลึงงัน ถลึงตาจ้องมอง

“บ้าน่ะ ที่หกแล้ว?”

เขาหันหน้าไปมองเฉินจื้ออวี่ทันที

ต่อให้เป็นคนโง่ เขาก็ต้องพอบอกได้ว่าสถานการณ์ชักจะไม่ชอบมาพากลสักเท่าไหร่แล้ว

เฉินจื้ออวี่ยักไหล่ “ดูท่าแล้วอิ๋นกวงของพวกเรากับซาไห่จะได้เป็นตัวประกอบอย่างสมบูรณ์แบบซะแล้วสิ คุณรอก่อนเถอะ พาดหัวข่าวพรุ่งนี้จะเขียนว่าจ้าวอิ๋งเก้อผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’ เหยียบไหล่นักร้องแถวหน้าไต่ขึ้นอันดับ”

“คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

ผู้จัดการนิ่งค้างไปในฉับพลัน

เขาไม่กล้าเดินไปไหน ทำได้แค่อยู่กับเฉินจื้ออวี่อย่างนั้น

สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบไปครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ผู้จัดการจะเปิดชาร์ตเพลงใหม่อีกครั้ง

“อันดับที่เท่าไหร่แล้ว”

เฉินจื้ออวี่เอ่ยถามอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

มุมปากของผู้จัดการกระตุกวูบ “เป็นไปได้ยังไง…ไม่มั้ง…ครึ่งชั่วโมง…ก็พุ่งขึ้นอันดับสามแล้ว?”

อันดับสามแล้ว?

เฉินจื้ออวี่แดกดันออกมาสามคำ “ฆ่ายับเลย”

ผู้จัดการเองก็มีท่าทีเห็นด้วย “จ้าวอิ๋งเก้อโหดจริงๆ”

เฉินจื้ออวี่ส่ายหน้า “จ้าวอิ๋งเก้อไม่มีทางมีแฟนคลับมากเท่าผม ที่เธอพุ่งขึ้นไปบนชาร์ตเพลงใหม่ได้ เป็นเพราะคุณภาพของเพลงช่วยเสริมที่ชื่อเสียงไม่มากพอ ฉะนั้นคนที่โหดจริงๆ ก็คือเซี่ยนอวี๋ พ่อเพลงที่อยู่เบื้องหลัง!”

ผู้จัดการถาม “งั้นพวกเรายังจะรักษาที่หนึ่งไว้ได้มั้ย”

เฉินจื้ออวี่สูดลมหายใจเข้าลึก “เรื่องนั้นต้องรอดูว่าเซี่ยนอวี๋โหดได้ถึงระดับไหน”

ผู้จัดการจึงผ่อนลมหายใจ “นายหมายความว่าพวกเรายังมีความหวังใช่มั้ย”

เฉินจื้ออวี่ส่ายหน้า “คุณอย่าเข้าใจผิด ถูกแซงหน้าเป็นเรื่องของเวลา ความหมายของผมก็คือ ไม่รู้ว่าเซี่ยนอวี๋จะโหดถึงระดับที่ต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะปีนขึ้นไปนั่งบัลลังก์แชมป์ต่างหาก”

……

คนในวงการมากมายล้วนติดตามชาร์ตเพลงใหม่ฤดูกาลนี้

และด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจำนวนมากล้วนเป็นพยานในการสังหารหมู่ของติดไฟง่ายระเบิดง่าย ตั้งแต่ประเดิมลงสนามในวันแรกของฤดูกาลการแข่งขัน!

ชาร์ตเพลงใหม่พลิกโผเละตุ้มเป๊ะ

คนที่อยู่ในอันดับหกบนชาร์ตเพลงใหม่พยายามฝืนเค้นรอยยิ้ม พูดกับเพื่อนของตนเองว่า “เห็นหรือยังล่ะ เมื่อกี้เหมือนจะมีเพลงนึงพุ่งพรวดข้ามหัวฉันไปเลยเนี่ย”

เพื่อน “…”

นี่ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนที่คอยเห็นว่าตนเองถูกติดไฟง่ายระเบิดง่ายเหยียบข้ามหัวไป ก็รู้สึกคล้ายคลึงกัน

หลังจากนั้น

ในใจของบรรดานักร้องบนชาร์ตก็เกิดความคิดว่า ‘หรือว่าจ้าวอิ๋งเก้อจะเก็บสองคนข้างบนเรียบ’

ไม่หรอกมั้ง?

ไม่หรอก…มั้ง?

จากความรู้สึกตั้งมั่นจนกลายเป็นไม่เชื่อมั่น เห็นจะใช้เวลาแค่สิบกว่าวินาที

เพราะคนที่รู้เรื่องราวในอาชีพนี้จริงๆ จะมองออกว่า ม้ามืดอย่าง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ นี้กำลังจะตอบโต้!

ในวงการเองก็ตกตะลึงกันยกใหญ่

คนมากมายรู้สึกเหลือเชื่อ

ก่อนหน้านี้ ทุกคนล้วนคิดว่าชะตาของสตาร์ไลท์ในฤดูกาลนี้ถึงฆาตแล้ว สื่อก็ยิ่งไม่ได้ให้ความสนใจสตาร์ไลท์เลย นักร้องแถวหน้าทั้งสองคนร่วมมือกันปิดล้อม ไหนเลยที่นักร้องระดับจ้าวอิ๋งเก้อจะตีฝ่าวงล้อมออกไปได้?

ทว่าผลลัพธ์นั้นคล้ายกับว่าจะต่างไปจากที่ทุกคนคาดการณ์

วันแรกจ้าวอิ๋งเก้อก็ขึ้นไปติดสามอันดับแรกอย่างง่ายดาย!

พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน

จ้าวอิ๋งเก้อได้ที่สามนั้นเป็นเรื่องปกติมาก ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ชนะของ ‘สะพรั่ง’ ชื่อเสียงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักร้องธรรมดา

แต่ได้อันดับสามมาตั้งแต่วันแรก แถมยังได้มาอย่างสมเหตุสมผล รวดเร็วปานสายฟ้าขนาดนี้ออกจะเกินจริงไปหน่อย

ด้วยอะไรล่ะ?

จ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้ดังถึงขั้นนั้นไม่ใช่เหรอ

ว่ากันตามหลัก เธอก็ได้ผ่านสมรภูมิอันโหดเหี้ยมมาแล้วครั้งหนึ่งกว่าจะได้อันดับที่สาม ถึงอย่างไรบทในสมองของคนในสายอาชีพก็เขียนไว้แบบนี้

แต่ทำไมถึงรวดเร็วได้ขนาดนี้?

ต้องดูจากผลงานในวันแรกของติดไฟง่ายระเบิดง่าย คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าจ้าวอิ๋งเก้อก็เป็นนักร้องแถวหน้าเหมือนกัน

แน่นอนว่าจ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้เป็นนักร้องแถวหน้า

เหตุผลที่แท้จริงย่อมวิเคราะห์ได้ไม่ยาก

โปรดิวเซอร์เพลงผู้ทรงภูมิในวงการคนหนึ่งได้ฟังติดไฟง่ายระเบิดง่ายแล้วก็หัวเราะระคนทอดถอนใจ กล่าวออกมาหนึ่งประโยคว่า “เป็นเคสพ่อเพลงพาดังเคสหนึ่งซึ่งเก็บไว้เป็นบทเรียนได้เลยจริงๆ นี่คือเหตุผลที่สถานะของนักประพันธ์เพลงได้รับการยกย่องในวงการ”

ถูกต้องแล้ว

พ่อเพลงพาดัง

เป็นพ่อเพลงที่ใช้กำลังของตน เติมเต็มให้กับนักร้องที่ชื่อเสียงไม่มากพอ ถึงทำให้จ้าวอิ๋งเก้อซึ่งชื่อเสียงยังห่างไกลจากนักร้องแถวหน้าอีกมากโข ได้มาต่อกรกับพละกำลังของนักร้องแถวหน้า

อันที่จริงไม่ต้องให้ใครมาเตือน

ผู้คนในวงการต่างก็กระจ่างในจุดนี้ดี

พ่อเพลงที่แข็งแกร่งก็ล้วนมีความสามารถนี้

ทว่ายามที่ผู้คนมองไปยังรายชื่อเบื้องหลังของเพลงด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยมนั้นเอง กลับอดอุทานออกมาพร้อมกันไม่ได้ เพราะความถี่ที่ชื่อนี้ปรากฏในช่วงนี้ออกจะบ่อยครั้งเกินไปหน่อย

“เซี่ยนอวี๋อีกแล้ว!”

ทำไมต้องใช้คำว่า ‘อีกแล้ว’ น่ะเหรอ

ก็เพราะคนส่วนมากนึกไม่ถึงว่าพ่อเพลงที่บิดชะตาฟ้าดิน และพาจ้าวอิ๋งเก้อทะยานขึ้นไปงัดข้อกับนักร้องแถวหน้าทั้งสองคน จะเป็นนักแต่งเพลงหน้าใหม่ท่านหนึ่ง

ปล่อยเพลงดีๆ ออกมาสามเพลงติดต่อกัน

เซี่ยนอวี๋คนนี้ เป็นเด็กใหม่จริงหรือ

…………………………………………..

ไม่มีเรื่องใหม่ใต้แสงตะวัน

เรื่องที่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับซาไห่ล้อมโจมตีสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ ย่อมปิดบังจากหูตาในวงการไม่พ้น

ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ใช่ก้นคิดก็ยังรู้ว่าต้องเป็นเพราะจ้าวอิ๋งเก้อแน่นอน!

ก่อนหน้านี้ทั้งสามบริษัทใหญ่พยายามแย่งชิงจ้าวอิ๋งเก้อ ต่างคนต่างทุ่มสุดกำลัง สุดท้ายจ้าวอิ๋งเก้อก็เลือกสตาร์ไลท์ อิ๋นกวงกับซาไห่จะกล้ำกลืนความขมขื่นนี้ไหวได้อย่างไร

แล้วเป็นยังไง การโต้กลับก็เริ่มต้นขึ้นน่ะสิ

ในสายอาชีพนี้ คนมากมายล้วนจมูกดี

ในวงการ แค่มีลมโชยยอดหญ้าไหว พวกเขาก็ได้กลิ่นดินปืนที่เจือปนมาในนั้นแล้ว

จะว่าไปแล้ว

การรับชมสามบริษัทบันเทิงใหญ่ของฉินโจวหยุมหัวกันคล้ายกับว่าได้กลายเป็นรายการโทรทัศน์ประจำของผู้คน

ในวงการจำนวนมากเสียแล้ว

ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างสามบริษัทใหญ่สงบเงียบ ทุกคนกลับจะคิดว่าไม่ปกติ

เดือนพฤศจิกายนเรื่องชาร์ตดาวรุ่ง

เดือนธันวาคมเรื่องจ้าวอิ๋งเก้อ

สามบริษัทใช้ความจริงเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีทางทำให้ผู้ชมต้องผิดหวัง

สร้างเรื่อง สร้างเรื่อง และสร้างเรื่อง!

ส่วนการรวมพลังของอิ๋นกวงและซาไห่ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ระหว่างสามบริษัทใหญ่มีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้

บ่อยไป

บางครั้งอิ๋นกวงก็ร่วมมือกับซาไห่

บางครั้งซาไห่ก็ร่วมมือกับสตาร์ไลท์

ถึงอย่างไรบริษัทใหญ่ทั้งสาม เมื่อใดที่มีใครได้เปรียบกว่า ก็จะจุดชนวนการรวมพลังปิดล้อมโจมตีของอีกสองฝั่ง

หมายจะลากลงจากหลังม้าให้จงได้

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ชมในวงการซึ่งนั่งแทะเมล็ดแตงโมรอต่างพูดกันว่า

‘ครั้งนี้อิ๋นกวงกับซาไห่ร่วมมือกัน ตีจุดอ่อนของสตาร์ไลท์’

‘ฉวยจังหวะได้พอดี’

‘จ้าวอิ๋งเก้อขึ้นหลังสือแล้วลงยาก เปลี่ยนตารางไม่ได้แล้ว ถ้าดึงดันจะเปลี่ยนก็ต้องลากยาวไปเดือนมีนา’

‘เดือนมีนาคมก็ช้าเกินไปแล้งว’

‘จริง กระแสของจ้าวอิ๋งเก้อผู้ชนะรายการสะพรั่งคนนี้ไม่ถึงสามเดือนหรอก เธอทำได้แค่ดับเครื่องชนอย่างเดียว’

‘จ้าวอิ๋งเก้อโชคร้ายแฮะ’

‘ปล่อยนักร้องแถวหน้าออกมาสองคน ครั้งนี้อิ๋นกวงกับซาไห่ไว้หน้าจ้าวอิ๋งเก้อมากอยู่นะ’

‘…’

สื่อเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ข่าวหลายสำนักรายงานเรื่องนี้ในทันที จุดสนใจในเนื้อหาข่าวล้วนอยู่ที่ ‘เดือนมกราคม อิ๋นกวงและซาไห่ ใครจะคว้ามงกุฎของเพลงอันดับหนึ่งไปครอง’

สำหรับในวงการ สตาร์ไลท์ได้กลายเป็นตัวหมากที่ไร้ค่าไปแล้ว

แทบจะไม่มีใครคิดว่าจ้าวอิ๋งเก้อจะพลิกเกมได้จริง อิทธิพลของนักร้องแถวหน้าบวกกับนักแต่งเพลงมือทองนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

และในตอนนี้

ภายในอิ๋นกวง

เฉินจื้ออวี่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง บ่นกับผู้จัดการ “ผมวางแผนว่าจะปล่อยเพลงใหม่เดือนมีนา อยู่ๆ บริษัทก็เปลี่ยนเป็นเดือนหน้าเพื่อข่มนักร้องหน้าใหม่ พวกเขาถามผมหรือยังว่าผมยินดีมั้ย”

เฉินจื้ออวี่

เขาก็คือนักร้องแถวหน้าคนนั้นที่อิ๋นกวงส่งไปโจมตีจ้าวอิ๋งเก้อ

ผู้จัดการเอ่ยโน้มน้าว “เสียงเบาสู้เสียงดังไม่ได้หรอก นี่เป็นการตัดสินใจของบริษัท พวกเราปฏิเสธไม่ได้ แต่ราชินีสีบอกแล้วว่าจะไม่ทำให้นายเสียเปรียบ ปีหน้าจะจัดคอนเสิร์ตที่โรงละครกลางฉินโจวให้นายเป็นการชดเชย”

“ผมเข้าใจเหตุผล แต่ผมก็แค่ไม่ชอบใจ”

เฉินจื้ออวี่แค่นเสียง เอ่ยว่า “ถึงยังไงจ้าวอิ๋งเก้อก็เป็นผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’ ผมไปข่มเธอแบบนี้ ขายหน้าจริงๆ แฟนคลับเธอคงเกลียดผมแย่”

ผู้จัดการแดกดัน “แฟนคลับเท่าหยิบมือนั่นจะไปเทียบกับนายได้ยังไง”

เฉินจื้ออวี่เบ้ปาก “เว้นครั้งนี้ให้ครั้งหนึ่งแล้วกัน อีกอย่างให้บริษัทโปรโมตให้ดีๆ เจิ้งเลี่ยงของซาไห่ก็จะปล่อยเพลงเดือนมกราเหมือนกัน ผมไม่อยากแพ้เขา”

ผู้จัดการรีบตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

เนื่องจากอิ๋นกวงและซาไห่เริ่มส่งนักร้องแถวหน้าแล้ว การแข่งขันหาเพลงที่ชนะในเดือนหน้าก็สามารถป่าวประกาศออกไปได้ว่าไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกับสตาร์ไลท์แล้ว

เรื่องนี้

นอกจากตัวจ้าวอิ๋งเก้อเอง แฟนคลับของเธอก็น่าจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เดือดดาลที่สุด

คนที่สนับสนุนจ้าวอิ๋งเก้อมีไม่น้อย หลังจากที่ได้เห็นการรายงานข่าว ต่างก็โกรธแค้นซาไห่และอิ๋นกวงว่าถึงกับร่วมมือกันข่มเด็กใหม่ วิธีการก็ไม่ได้เข้าท่าสง่างามเอาซะเลย แต่ว่าซาไห่และอิ๋นกวงก็ไม่เคยประสบพบเจอกับคำวิจารณ์จากสังคมแต่อย่างใด น้ำลายแตกฝอยของแฟนคลับของจ้าวอิ๋งเก้อก็ไม่พอให้พวกเขาอาบ พูดออกไปกับโลกภายนอก ก็จะถูกอธิบายอย่างไม่ใส่ใจว่าเป็นแค่ ‘ความบังเอิญ’ แล้วก็จบไป

……

ระหว่างการถกเถียงอยู่นั้น เวลาก็ค่อยๆ ล่วงเลยไป ในความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน เดือนมกราคมก็มาถึงในที่สุด นั่นหมายความว่าการช่วงชิงการเป็นเพลงอันดับหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ต้นเดือน

นักร้องแถวหน้าของซาไห่กับอิ๋นกวงก็ปล่อยเพลงพร้อมกัน

เพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ซึ่งขับร้องโดยจ้าวอิ๋งเก้อก็ออกตรงตามเวลา

ช่วงสาย

เฉินจื้ออวี่ซึ่งอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ทันทีที่เปิดเแอปพลิเคชันฟังเพลงซึ่งตนใช้เป็นประจำ ก็ค้นหาเพลงใหม่ของเจิ้งเลี่ยง คู่แข่งคนนั้นจากซาไห่

สำหรับเฉินจื้ออวี่แล้ว ขอเพียงเอาชนะเจิ้งเลี่ยงจากซาไห่ได้ เพลงอันดับหนึ่งของเดือนมกราคมก็จะเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว

เพลงใหม่ของเจิ้งเลี่ยงชื่อ ‘คาราเมล’

ก็เห็นโฆษณาในหน้าแรกของแอปพลิเคชัน เหมือนกับเพลงของเขา

เฉินจื้ออวี่สวมหูฟัง เล่นเพลงนั้นของเจิ้งเลี่ยง ความรู้สึกของเขาก็พลันกระอักกระอ่วนขึ้นมา

เขารู้สึกว่าเพลงของอีกฝ่ายไม่เลวเลย

ภายใต้สถานการณ์ที่ความนิยมของตนกับเจิ้งเลี่ยงใกล้เคียงกัน อันที่จริงปัจจัยในการตัดสินผลแพ้ชนะของศึกครั้งนี้ ก็คือรสนิยมของผู้ฟังรวมไปถึงระดับของการโปรโมตเพลง

ทันใดนั้นเฉินจื้ออวี่ก็เห็น ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ขึ้นแนะนำในหน้าแรก ก็รู้สึกได้ใจขึ้นมา “ถึงกับเอามาไว้หน้าแรก ดูท่าทางสตาร์ไลท์จะยังไม่ยอมแพ้ ถึงกับปันเงินมาโปรโมตซะเด่นเชียว”

เขาถือโอกาสที่ยังไม่ได้ถอดหูฟัง

ท่อนบรรเลงเริ่มนั้นเป็นเสียงประสานของไวโอลิน ซึ่งสร้างบรรยากาศของความว่างเปล่าและโดดเดี่ยว ตามมาด้วยเสียงขับร้องซึ่งเปลี่ยนคีย์ไป นำพาความรู้สึกเกียจคร้านและอับจนหนทาง!!!

‘ให้ฉันคลุ้มคลั่ง อยากให้ฉันไม่อยู่ลำพังไม่ต้องเดียวดาย

อยากให้เย่อหยิ่ง แล้วก็อยากให้ฉันติดดินและอยู่ง่าย

อยากให้สดใส แล้วก็อยากให้ฉันเจ้าชู้แต่ไม่หวั่นไหว

หยอกฉันว่าเจ้าน้ำตา แต่กลับบอกว่าฉันเย็นชา

……”

ความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ตกประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าผ่อนคลายก่อนหน้านี้ค่อยๆ หายไป

ทำไมถึงรู้สึกแปลกชอบกล

ในตอนนั้นเสียงในหูฟังยังคงดังต่อเนื่อง ประหนึ่งว่ายังคงมีเสียงเปลี่ยนคีย์ดังแว่วมาแต่ไกล แล้วค่อยๆ ดังกระหึ่มขึ้นพร้อมกับเสียงบรรเลงของเครื่องดนตรี

‘ให้ฉันวาดฝัน แล้วก็ปลุกฉันให้พลันตื่นมา

ผล็อยหลับพร้อมกัน แล้วก็หายไปอย่างไร้เยื่อใย

ชอบฉันใสซื่อ แล้วก็ชอบที่ฉันเปลือยเปล่าเร่าร้อน

มองฉันร้องเล่นเองและมองดูฉันเจ็บแทบขาดใจ…’

……”

ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มรุนแรงขึ้น

เฉินจื้ออวี่จ้องมองและฟังเพลงนี้ด้วยความตะลึงงัน ร่างกายเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนี้การเปลี่ยนคีย์ในหูฟังก็ค่อยๆ หายไป เสียงใสกังวานทว่าแหบพร่าก็พลันทิ่มแทงเข้าสู่จิตใจ

‘ให้ฉันล่องลอย อยากให้ฉันสวยและไม่ต้องทำอะไร

เห็นว่าฉันบ้า แล้วก็เห็นฉันรอบรู้งามสง่า

ให้สะดุดตา แล้วก็อยากให้ฉันนั้นเลือดเย็น

ขอให้ฉันมีความสุข แล้วแช่งให้ทุกข์ไม่เลิกรา

คอยยั่วยวนฉัน แต่กลับมืดมนในแววตา

เรียกร้องรักแท้ ปรารถนาความเสน่หา

หนีไปกับฉัน สัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน

ชมว่าฉันนั้นเขินอาย แต่ไม่วายชอบเงื่อนงำ…’

เฉินจื้ออวี่คล้ายว่าจะตกใจ ร่างสั่นสะท้าน กำหมัดแน่น ก่อนจะคลายกำปั้น แล้วกำเค้นหมัดแน่นอีก

นั่งไม่ติดขึ้นมาทันที

ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง เสียงร้อง และการเรียบเรียงเพลงล้วนสมบูรณ์แบบ ไวโอลินเสียงประสาน เสียงเดี่ยวเปียโน ความชอกช้ำอันงดงาม สไตล์เพลงนี้ให้น่าประหลาดใจจนแทบล้มทั้งยืน!

“จบเห่แล้ว”

สมองของเฉินจื้ออวี่กระตุกวูบราวกับขาดอากาศหายใจไปแสนนาน พานให้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ได้

สิบวินาทีสุดท้ายของเพลง

เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับถูกปลดปล่อยแล้ว ‘ให้ฉันหว่านเสน่ห์ แล้วก็ให้ฉันเย้ายวนใจ เป็นผู้ใหญ่เหมือนฉัน แล้วก็ไร้เหตุผลเหมือนฉัน อยากให้ฉันสวย ปล่อยให้ฉันลุ่มหลง โทษว่าฉันไม่คิดมาก โทษว่าฉันเอาแต่เสียน้ำตา’

บทเพลงจบลงแล้ว

เฉินจื้ออวี่นิ่งค้างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

ในตอนนั้นผู้จัดการเข้ามาในห้องพอดี เมื่อเห็นท่าทางเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างของเฉินจื้ออวี่ จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “นายเป็นอะไรน่ะ”

“…”

เฉินจื้ออวี่คล้ายกับไม่ได้ยิน ส่งเสียงหัวเราะเหมือนคนเสียสติ มองไปยังเพลงนั้นของซาไห่ ราวกับบังเกิดความรู้สึกพิสดารประเดประดังขึ้นมาอย่างลึกลับ ทันใดนั้นก็แสยะยิ้มเอ่ยว่า

“ตายเรียบแน่!!”

…………………………………….

“หลินเยวียน”

ได้พบหลินเยวียนอีกครั้ง จ้าวเจวี๋ยก็พูดอย่างเป็นมิตร “จ้าวอิ๋งเก้อเซ็นสัญญากับฉันแล้ว เธอชอบ ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ มาก”

“ดีแล้วครับ”

หลินเยวียนช่วยเหลือจ้าวเจวี๋ยอย่างใจกว้าง

จ้าวเจวี๋ยพูดว่า “ฉันจะพาเธอไปเซ็นสัญญาก่อน ตามกฎเดิม บริษัทเก็บแปดส่วน ที่เหลืออีกสองส่วน เธอกับจ้าวอิ๋งเก้อแบ่งคนละครึ่ง”

“ได้ครับ”

จ้าวอิ๋งเก้อไม่ใช่ผู้ช่วยงานธรรมดา

ดังนั้นหลินเยวียนจึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าจะถูกหักส่วนแบ่งเพิ่ม และไม่ได้ออกความเห็นแต่อย่างใด คนละครึ่งก็คนละครึ่ง

ถึงหลินเยวียนจะปวดใจอยู่บ้างก็เถอะ

แต่ไม่ว่าอู๋หย่งจะสาธยายไปเท่าไหร่ ใจของหลินเยวียนก็ยังคงอยู่กับผู้ช่วยงาน เพราะในความคิดของหลินเยวียน ผู้ช่วยงานนั้นมีราคาถูกและคุ้มค่า

“เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยตบบ่าของหลินเยวียน “น้ำใจครั้งใหญ่นี้ เอาไว้ฉันจะตอบแทนเธอ ในสตาร์ไลท์ ฉันยังมั่นใจที่จะพูดประโยคนี้”

หลินเยวียนพูด “พี่เลี้ยงข้าวผมแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยหลุดหัวเราะ “อาหารง่ายๆ มื้อเดียวก็แลกกับ ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ได้แล้ว งั้นฉันเลี้ยงข้าวเธออีกสักสามสี่มื้อไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเหรอ นี่ไม่ใช่เรื่องของอาหารมื้อเดียว จะให้ฉันเอาเปรียบเด็กน้อยอย่างเธอไม่ได้หรอก หลังจากนี้เธอต้องการอะไรมาหาฉันได้เลย”

ก่อนหน้านี้จ้าวเจวี๋ยพูดประโยคนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง

แต่พูดครั้งที่สอง ความหมายกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ทว่าหลินเยวียนไม่ได้คิดมาก เพียงแค่พยักหน้า “ไปเซ็นสัญญาเถอะครับ”

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้า

ผ่านไปห้านาที หลินเยวียนก็ตามจ้าวเจวี๋ยไปยังแผนกศิลปิน และได้พบกับจ้าวอิ๋งเก้อ

“สวัสดีค่ะ อาจารย์เซี่ยนอวี๋”

ขณะที่จ้าวอิ๋งเก้อยิ้มบางเอ่ยทักทายหลินเยวียน ในใจก็ตกตะลึงในความอ่อนเยาว์ของหลินเยวียน เดิมทีเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะอายุสามสิบขึ้นไปซะอีก

“สวัสดีครับ”

หลินเยวียนจับมือกับอีกฝ่ายตามกาลเทศะ

ที่จริงแล้วจ้าวอิ๋งเก้ออยากพูดคุยกับหลินเยวียนสักสองสามประโยค แต่หลินเยวียนดูคล้ายกับไม่อยากเสวนา

เธอลองหาหัวข้อสนทนาอยู่หลายครั้ง หลินเยวียนเพียงตอบตามมารยาท จ้าวอิ๋งเก้อจึงทำได้เพียงเงียบปาก เธอเองก็ทะนงตนเหมือนกัน

ทั้งสองเซ็นสัญญาเสร็จ

จ้าวอิ๋งเก้อเอ่ย “อาจารย์เซี่ยนอวี๋มีอะไรจะเสริมมั้ยคะ”

หลินเยวียนครุ่นคิด ตอบว่า “เวอร์ชันที่ปล่อยออกไปไม่ต้องแก้ เวอร์ชันอื่นๆ หลังจากนั้นแก้ได้ตามสบายครับ”

จ้าวอิ๋งเก้อพูดว่า “ทำนอง เรียบเรียง เนื้อร้อง ฉันไม่ได้คิดจะแก้อยู่แล้วค่ะ”

“อื้ม”

หลินเยวียนลุกขึ้นกล่าวลา

ครั้นหลินเยวียนออกไป จ้าวอิ๋งเก้อถึงพึมพำว่า “อาจารย์แผนกประพันธ์เพลงบริษัทเราเย็นชาแบบนี้ทุกคนเลย

เหรอคะ”

“ใช่”

จ้าวเจวี๋ยพูดอย่างไม่ได้รู้สึกแปลกใจ “คนแผนกประพันธ์เพลงส่วนใหญ่เย็นชา นิสัยแบบเซี่ยนอวี๋นี่ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยก็มีมารยาทมาก”

“โอเคค่ะ”

จ้าวอิ๋งเก้อถามด้วยความคาดหวัง “ตอนนี้เซ็นสัญญาทั้งหมดแล้ว วันที่หนึ่งเดือนหน้าพวกเราก็ปล่อยเพลงได้แล้วใช่มั้ยคะ”

“แน่นอน”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “ฉันบอกแล้วว่าบริษัทเราเน้นผลสัมฤทธิ์สูง ตั้งแต่วินาทีที่เธอเซ็นสัญญากับบริษัท แผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทก็เริ่มโปรโมตเพลงใหม่ให้เธอแล้ว ตอนนี้แฟนคลับของเธอรู้เรื่องที่เธอจะปล่อยเพลงใหม่เดือนหน้ากันแล้ว”

จ้าวอิ๋งเก้อเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ‘สะพรั่ง’

รายการนี้ได้จบลงไปแล้ว ความร้อนแรงของผู้ชนะอย่างจ้าวอิ๋งเก้อก็ยังคงอยู่ ฉะนั้นบริษัทจึงอยากตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน หยิบยืมกระแสจาก ‘สะพรั่ง’ มาปล่อยเพลงได้พอดิบพอดี

ถ้าหากรั้งรอเวลานานเกินไป

ความร้อนแรงของผู้ชนะก็จะหายไปได้

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ โทรศัพท์ของจ้าวเจวี๋ยก็ดังขึ้น

เธอรับโทรศัพท์ได้ไม่ทันไร สีหน้าก็ดำทะมึน น้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นมา “เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับซาไห่ร่วมมือกัน?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง จ้าวเจวี๋ยก็วางสาย

จ้าวอิ๋งเก้อนึกสงสัย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ”

จ้าวเจวี๋ยหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “วันที่หนึ่งเดือนหน้าซาไห่กับเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงจะมีนักร้องแถวหน้าสองคนปล่อยเพลง เดิมทีนักร้องสองคนนี้จะปล่อยเพลงเดือนมีนาปีหน้า อยู่ๆ ก็มาเปลี่ยนตาราง เห็นได้ชัดว่าจะให้ชนกับเธอ”

“งั้นพวกเราต้องเปลี่ยนตาราง?” จ้าวอิ๋งเก้อขมวดคิ้ว

แม้เธอจะมั่นใจกับเพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ มาก

อะไรคือนักน้องแถวหน้าน่ะเหรอ

สิ่งที่เรียกว่านักร้องแถวหน้าก็คือ ต่อให้เพลงใหม่ของพวกเขาไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีแฟนคลับมากมายยอมจ่ายเงินให้

ก็เหมือนกับเฉียนซิงอวี่ในชาร์ตดาวรุ่งนั่นละ

ถึงแม้ทุกคนจะรู้อยู่เต็มอกว่าเพลงของเฉียนซิงอวี่ไม่ได้เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชาร์ตดาวรุ่ง แต่ด้วยความร้อนแรงของเฉียนซิงอวี่ ก็น่าจะทำให้เพลงของเขามีกระแสเพิ่มขึ้นมหาศาล

“ไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ”

จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า “สถานการณ์โดยทั่วไปแน่นอนว่าพวกเราเปลี่ยนตารางได้ ทำให้สองบริษัทนั้นคว้าน้ำเหลว จากนั้นก็ค่อยไปสู้ในเดือนหน้า แต่ที่แย่ก็คือเธอประวิงเวลาไปกว่านี้ไม่ได้! เพราะกระแสของเธอมาจากการชนะการประกวด ‘สะพรั่ง’ ถ้าเลื่อนไปอีกหนึ่งเดือน กระแสของเธอก็จะลดลงหนึ่งในสาม”

จ้าวอิ๋งเก้อกัดฟันกรอด “หนึ่งในสามฉันยังรับไหวค่ะ”

สองบริษัทร่วมมือกันขวางทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังแก้แค้นที่จ้าวอิ๋งเก้อไม่เลือกพวกเขา

เรื่องนี้ถึงจะไม่น่าฟังแต่ก็เป็นความจริง ถ้าก่อนหน้านี้จ้าวอิ๋งเก้อเลือกเซ็นสัญญากับซาไห่ บริษัทที่วันนี้จะร่วมมือกับเซวี่ยนล่านอิ๋งกวงก็คงเป็นสตาร์ไลท์

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ทำให้เธอโมโห แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่หนึ่งเดือน”

สายตาของจ้าวเจวี๋ยฉายแววเย็นเยียบ “ถ้าในเดือนมกราเธอไม่ปล่อยเพลง เดือนกุมภาก็ปล่อยไม่ได้แล้ว ทำได้แค่รอเดือนมีนา เพราะเดือนกุมภาเป็นเทศกาลตรุษจีนของบลูสตาร์”

“ตรุษจีน…”

จ้าวอิ๋งเก้อหน้าถอดสีทันใด

ตนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!

เดือนธันวาคมของทุกปี ชาร์ตเพลงใหม่จะฟาดฟันกันอย่างดุเดือด และในเดือนที่มีเทศกาลตรุษจีนถึงแม้จะไม่ได้สู้กันรุนแรงเท่าเดือนธันวาคม แต่เพราะชาวบลูสตาร์มีความรู้สึกลึกล้ำต่อเทศกาลตรุษจีน จึงมีตัวท็อปในวงการไม่น้อยที่เลือกปล่อยเพลงในเดือนนี้เหมือนกัน!

ฉะนั้นแล้ว ถ้าจะเลือกเดือนกุมภาพันธ์ เลือกเดือนมกราคมดีกว่า

ส่วนถ้าจะเลื่อนไปปล่อยเพลงเดือนมีนาคม นั่นยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่

เดือนมีนาคมนั้นห่างจากวันที่ ‘สะพรั่ง’ จบหลายเดือน กระแสความนิยมของผู้ชนะอย่างจ้าวอิ๋งเก้อเกรงว่าจะหายไปมากแล้ว

“งั้นก็ทำได้แค่สู้แล้ว?”

จ้าวอิ๋งเก้อประหม่าอยู่บ้าง

เธอมั่นใจใน ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’

แต่สถานการณ์ของชาร์ตเพลงใหม่นั้นซับซ้อนเกินไป

ยกตัวอย่างจากชาร์ตเพลงใหม่เดือนธันวาคม เพราะในเดือนธันวาคมนั้นมีคนเก่งๆ ลงสนามมาก ดังนั้นแม้แต่เพลงอย่าง ‘ปลายักษ์’ ก็ไม่มีทางเบียดขึ้นไปถึงอันดับหนึ่ง

แน่นอน

เรื่องนี้เกี่ยวกับที่ ‘ปลายักษ์’ ลงสนามในช่วงกลางเดือนด้วย

แต่เรื่องนี้เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่าปัจจัยที่ตัดสินอันดับของเพลงนั้นไม่ได้อยู่แค่ที่คุณภาพ แต่ยังอยู่ที่ชื่อเสียงของคนร้องและคนแต่งเพลงด้วย

เซี่ยนอวี๋เริ่มมีชื่อเสียงมาบ้างแล้ว

แต่หากเทียบกับนักแต่งเพลงมือทองก็ยังห่างไกลอยู่ดี

ตนเองก็พอมีชื่อเสียงเล็กน้อย เป็นผู้ชนะใน ‘สะพรั่ง’ ก็พอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง

ทว่าเมื่อเทียบฐานแฟนคลับของนักร้องแถวหน้า ก็ยังแตกต่างกันไม่น้อย

“ไม่มีทางถอยแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยหรี่ตา “พวกเขากล้าส่งนักร้องแถวหน้าสองคนมาโจมตีเธอ ก็เพราะแน่ใจว่าพวกเราไม่มีทางถอยแล้ว ทำได้แค่กัดฟันสู้”

การโจมตีแบบนี้เห็นได้น้อยมาก

ถ้าไม่บากบั่นสู้ต่อ ก็คงต้องถูกผู้โจมตีบีบให้เปลี่ยนตาราง

แต่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับซาไห่ฉลาดก็ตรงที่พวกเขามองสถานการณ์ของจ้าวอิ๋งเก้อออก และคว้าโอกาสพิเศษนี้ ทำให้จ้าวอิ๋งเก้อหมดโอกาสเปลี่ยนตาราง!

ถ้าไม่ได้มาก็ทำลายทิ้งซะ

นี่เป็นการต่อสู้ของสามความยิ่งใหญ่ในฉินโจว

ถ้าหากพวกเขาขัดขวางเพลงแรกของจ้าวอิ๋งเก้อได้สำเร็จ ผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’ อย่างจ้าวอิ๋งเก้อก็ไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไรอีกต่อไป

จ้าวอิ๋งเก้อก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้

เพราะฉะนั้นเธอจึงประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง

…………………………………..

ถ้าไม่รู้ก็ต้องถาม

หลินเยวียนรีบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับซูเปอร์โนวาทันที

เมื่ออ่านจบหลินเยวียนถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าซูเปอร์โนวาก็คือรางวัลสำหรับนักเขียนนิยายหน้าใหม่ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักพิมพ์ใหญ่ของฉินโจวจัดขึ้น

งานนี้จัดขึ้นปีละครั้ง

เป็นเพราะผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายของการแข่งขันในครั้งนี้จำกัดอยู่ที่อายุสามสิบปีลงไป ประเภทของนิยายที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจะถูกคลังหนังสือซิลเวอร์ปฏิเสธ

วัยรุ่นเป็นกำลังหลักของการบริโภคความบันเทิง

นิยายแฟนตาซีสำหรับเยาวชนเป็นแนวที่ได้รับความนิยมที่สุดในฉินโจว!

สำหรับวัยรุ่นที่รักการอ่านนิยายไม่น้อย นิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนนั้นมีสถานะสูงมาก!

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ

นิยายแฟนตาซีเยาวชนเหมาะกับการนำไปดัดแปลงเป็นอนิเมชันหรือเกม และทำมูลค่าได้สูงมาก

ฉะนั้นแล้วเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวนักอ่านวัยรุ่นเหล่านี้ อันที่จริงสำนักพิมพ์จำนวนมากก็จัดการประกวดนักเขียนหน้าใหม่ที่คล้ายกันเช่นนี้

ซูเปอร์โนวาของซิลเวอร์บลูเป็นหนึ่งในการแข่งขันของหน้าใหม่ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ขอเพียงเข้าไปเป็นห้าอันดับแรกในซูเปอร์โนวาอวอร์ดได้ นิยายก็จะได้รับโอกาสตีพิมพ์ กลายเป็นนักเขียนนิยายสมชื่อ

แน่นอนว่า

นี่ไม่ได้หมายความว่าฉินโจวมีเพียงนิยายแฟนตาซีเยาวชนเพียงแนวเดียว

บนบลูสตาร์ซึ่งศิลปะวัฒนธรรมเฟื่องฟูเป็นพิเศษ นิยายทุกแนวล้วนแต่มีพื้นที่ในตลาดที่ใหญ่ แต่ว่านิยายแนวอื่น

จะมีช่องทางอื่นในการส่งผลงาน

ผลงานเหล่านี้และนิยายแฟนตาซีเยาวชนนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ก็เหมือนกับหนังวรรณกรรมและหนังโฆษณา แม้ว่าทุกคนล้วนเป็นคนทำหนัง แต่แวดวงของแต่ละคนนั้นไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันลึกซึ้งนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก็ไม่ง่ายเลย

หลินเยวียนค้นหานิยายแนวแฟนตาซีซึ่งได้รับความนิยมในตลาดตอนนี้

เขาอยากรู้ว่าในตอนนี้สไตล์ไหนเป็นที่นิยมในฉินโจว

อย่างไรเสีย ต่อให้เป็นคำว่านิยายแฟนตาซีเยาวชน ก็ยังสามารถแบ่งประเภทย่อยไปได้อีกมาก

ผลคือเขาพบว่า

นิยายแฟนตาซีเยาวชนของฉินโจว ส่วนมากมักเกี่ยวกับการผจญภัยในต่างโลกเป็นหลัก

ตัวละครในนิยายเหล่านี้มักจะเป็นนักเรียนสุดแสนจะธรรมดา เปิดเรื่องด้วยพวกเขาทะลุมิติไปอีกโลกหนึ่ง และได้รับสูตรโกง

จากนั้นเรื่องราวก็จะเล่าถึงตัวละครหลักที่ใช้สูตรโกงต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ทำความรู้จักกับหญิงสาวไปพลาง จีบหญิงสาวเหล่านี้อย่างไม่ลดละ สุดท้ายแล้วก็เอาชนะราชาปีศาจ ตั้งฮาเร็มขนาดใหญ่ของตนเอง

แล้วก็ยังมีเรื่องราวที่ใจความสำคัญของเรื่องอยู่ในระดับที่ดุเดือดเลือดพล่านทีเดียว

นอกจากนั้นก็ยังมีบ้างที่ไม่ทะลุมิติไปต่างโลก เรื่องราวของพวกเขามีเซตติ้งอยู่ที่เมืองหลวง ตัวเอกมีพลังพิเศษอะไรทำนองนั้น ถึงอย่างไรก็ให้ความรู้สึกของการฉายภาพซ้ำได้ชัดเจนกว่า

จะอธิบายยังไงดีนะ

ก็คล้ายกับนิยายออนไลน์ในโลกเดิม และก็คล้ายกับไลท์โนเวลที่ได้รับความนิยมในแดนอาทิตย์อุทัยของโลกเดิม

สองอย่างนี้รวมกันก็กลายเป็นลักษณะโดยทั่วไปของนิยายแฟนตาซีเยาวชนเหล่านี้ซึ่งเป็นที่นิยมในฉินโจว

หลินเยวียนยังลองค้นหาดูว่าในนิยายแฟนตาซีเยาวชนนั้นมีแยกเป็นแนวแข่งขันกีฬาบ้างไหม

แต่เขากลับพบว่านิยายแนวนี้มีน้อยมาก!

บางครั้งก็มีนิยายที่เน้นการแข่งขันกีฬา ทว่าเรตติ้งก็เรียกได้ว่าปางตาย

นิยายแฟนตาซีเยาวชนแนวการแข่งขันแทบจะเป็นศูนย์!

ในตอนนี้หลินเยวียนก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมระบบถึงให้เรื่อง ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ กับเขา

เขาจะต้องเติมเต็มความขาดแคลนของแนวนิยายในตลาดด้วยตนเอง

สำหรับตลาดนิยายของฉินโจว นิยายแนว ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ จัดว่าแปลกใหม่ แต่เมื่อแปลกใหม่ ก็หมายความว่าแนวทางการสร้างสรรค์ของนิยายก็จะไม่เป็นที่นิยมตามไปด้วย

หลินเยวียนนึกกังวลขึ้นมาทันที

ถึงแม้ ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ จะนับเป็นนิยายแฟนตาซีเยาวชนถูกต้องแล้ว แต่แนวที่ไม่ได้รับความนิยมแบบนี้จะสามารถทำให้เขาทำภารกิจค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมทะลุหมื่นได้จริงหรือ

……

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของ ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ จะเป็นอย่างไร หลินเยวียนทำได้เพียงรอเงียบๆ จนกว่าซูเปอร์โนวาเปิดรับสมัคร

ปลายเดือน

เขามาที่บริษัทอีกครั้ง

เพิ่งจะก้าวเข้ามาในแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ เพื่อนร่วมงานต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ ‘ปลายักษ์’ เห็นได้ชัดว่าทุกคนได้ฟังเพลงกันแล้ว

อู๋หย่งก็ยกนิ้วโป้งให้เช่นกัน

“ก่อนหน้านี้ฉันยังบอกว่าเพลงซาวด์แทร็กที่สั่งทำพิเศษแบบ ‘ปลายักษ์’ นี้ดังยาก นึกไม่ถึงว่าไม่ทันไรนายก็ตบหน้าฉันแล้ว”

“ผมเปล่านะ”

หลินเยวียนปฏิเสธทันควัน

อู๋หย่งยืนเงียบอยู่กับที่ชั่วขณะหนึ่งถึงจะเข้าใจกระบวนการคิดของหลินเยวียน ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกไปสักพัก “ฉันไม่ได้พูดถึงตบหน้าแบบนั้น”

อู๋หย่งไม่ได้คิดมากเรื่องนี้

เขานั่งลงข้างหลินเยวียน พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจแทน “ที่จริง ‘ปลายักษ์’ ปล่อยออกมาผิดเดือน ไม่งั้นด้วยคุณภาพของเพลงนี้ ต้องไปได้ไกลอีกแน่”

หลินเยวียนชะงัก “ปล่อยผิดเดือน?”

อู๋หย่งนิ่งไป “นายคงไม่รู้สินะ?”

ปฏิกิริยาของหลินเยวียนเป็นประจักษ์ ว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จริงๆ

อู๋หย่งทำได้เพียงอธิบายว่า “ฉินโจวของเรามีการอัปเดตชาร์ตเพลงใหม่ทุกเดือนไม่ใช่เหรอ ส่วนใหญ่นักร้องที่มีแผนว่าจะปล่อยเพลงใหม่ก็จะปล่อยเพลงในวันที่หนึ่งของเดือน เพื่อไต่ขึ้นชาร์ต และได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้นด้วย”

หลินเยวียนพยักหน้า

นักร้องจะเลือกปล่อยเพลงในวันที่หนึ่ง เขาพอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ขบคิดหาเหตุผลเลย

ที่แท้ก็เพื่อขึ้นชาร์ต?

อู๋หย่งถอนใจ “เดิมที ‘ปลายักษ์’ ก็มีหวังว่าจะได้ขึ้นชาร์ตเพลงใหม่ ถึงแม้ตอนที่เพลงนี้ปล่อยออกไปจะเป็นช่วงกลางเดือนวันที่ยี่สิบสองแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังต้านทานคุณภาพของเพลงนี้ไม่ได้”

หลินเยวียนเอ่ย “แต่ว่า?”

ระดับความร้อนแรงของเพลงจะมากน้อย ก็เกี่ยวโยงถึงค่าความโด่งดังของเขา ฉะนั้นแล้วเขาเลยใส่ใจเรื่องนี้พอดู

“แต่ว่า!”

อู๋หย่งแบมือยักไหล่ “‘ปลายักษ์’ ดันมาปล่อยเดือนธันวาน่ะสิ เดือนธันวาน่ะเดือดอย่างกับนรก! เดือนนี้ทุกปีก็จะมีราชาราชินีเพลงปล่อยเพลงมาส่งท้ายปี เพราะงั้นชาร์ตเพลงใหม่เลยฟาดฟันกันดุเดือดมาก แถมเพลงนี้ของนายรอมาจนกลางเดือนถึงจะปล่อย ช่วงเวลาสั้นๆ แทบไต่ขึ้นไปไม่ได้ ตอนนี้เลยอยู่แค่ที่สามสิบ”

หลินเยวียนคล้ายกับกำลังใช้ความคิด “ชาร์ตเพลงใหม่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

อู๋หย่งยิ้มขื่น “นายนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ ฉันจะสอนให้ นายเสิร์ชหาฉินโจวมิวสิก ในนี้จะมีรายชื่ออันดับอย่างเป็นทางการ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ชาร์ตแรกในนี้ก็คือชาร์ตเพลงใหม่ เมื่อก่อนชาร์ตดาวรุ่งในก็ดูในนี้เหมือนกัน”

“ครับ”

หลินเยวียนทำตาม เข้าไปในหน้าเว็บไซต์ฉินโจวมิวสิกได้สำเร็จ อันดับที่สามสิบเป็นเพลงของเขาจริงด้วย

“เป็นไง”

อู๋หย่งพูด “สิบอันดับแรกในชาร์ต ถ้าไม่ใช่เพลงใหม่ของนักร้องแถวหน้า ก็จะเป็นเพลงของคนระดับราชาราชินีเพลงทั้งนั้น”

“ผมจะลองฟังดูครับ”

หลินเยวียนนึกสงสัย กดฟังสองสามเพลงแรก เมื่อฟังจบแล้ว ในใจก็ได้ข้อสรุปขึ้นมา

เมื่อว่ากันอย่างยุติธรรม

คุณภาพของสามเพลงแรกนั้นเทียบเคียงได้กับระดับของ ‘ปลายักษ์’ วงการเพลงในฉินโจวนั้นมีแต่ผู้มีพรสวรรค์ถือกำเนิดมาเรื่อยๆ กอปรกับที่นักแต่งเพลงของเพลงเหล่านี้ล้วนอยู่ระดับมือทอง นักร้องก็อยู่ระดับสุดยอดของวงการ ที่อันดับสูงก็คู่ควรแล้ว

แต่ทว่า…

หลังจากอันดับสามลงไป เมื่อเทียบกับ ‘ปลายักษ์’ แล้ว คุณภาพของเพลงยังด้อยกว่าพอสมควร

“เข้าใจหรือยัง”

อู๋หย่งพูด “ยังไม่ต้องพูดถึงท็อปสาม ด้วยคุณภาพของ ‘ปลายักษ์’ ก็มีความหวังที่จะเข้าสิบอันดับแรก แค่เดือนธันวาคมคนโหดๆ เยอะเกินไป นายเองก็ดันมาปล่อยเพลงช่วงกลางเดือนอีก อันดับเลยไม่พุ่ง”

หลินเยวียนพยักหน้า

อู๋หย่งกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่ว่านายไม่ต้องหัวเสียไป ‘ปลายักษ์’ เป็นเพลงสั่งทำไม่ใช่เหรอ ก็ต้องอิงตามเวลาที่หนังเรื่องนั้นของฉีโจวเข้าโรง อีกอย่างจะตัดสินอันดับเพลงเพลงหนึ่งไม่ใช่จากคุณภาพเพลงแค่อย่างเดียว ชื่อเสียงของนักแต่งเพลงกับนักร้องก็สำคัญ ชื่อเสียงของนายเทียบกับนักแต่งเพลงมือทองไม่ได้อยู่แล้ว แถมเจียงขุยก็ยังเป็นหน้าใหม่ ขึ้นไปติดสิบอันดับแรกไม่ได้ก็พอเข้าใจได้ นอกซะจากว่าคุณภาพเพลงของนายจะดีมากพอจนกลบความเป็นรองนี้ได้ ไม่งั้นนายคิดว่านักแต่งเพลงมือทองพวกนี้จะชอบร่วมงานกับนักร้องแถวหน้าไปทำไม เขาเรียกว่าคนแข็งแกร่งรวมพลังกัน เป็นผู้ช่วยงานถึงจะถูก แต่ก็ไม่ดังไง!”

หลินเยวียนตอบ “อื้ม”

แต่ฉันก็ยังจะเลือกผู้ช่วยงานอยู่ดี

อู่หย่งยังคงไม่หยุดปาก “ดังนั้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปีก็จะเป็นฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เป็นการปกป้องศิลปินหน้าใหม่อย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แล้วให้เด็กใหม่ไปสู้กับคนเก่าคนแก่ที่มีชื่อเสียงในวงการพวกนั้น ถึงมีพรสวรรค์ก็เสียเปรียบ นอกจากว่าคุณภาพของเพลงจะดีพอจนกลบข้อด้อยได้ แต่ก็คงยากมากๆ”

ในตอนนั้นเอง

ก็มีเพื่อนร่วมงานตะโกนมาจากด้านนอกว่า “เซี่ยนอวี๋ มานี่หน่อย พี่จ้าวมาหา”

……………………………………………..

แม้แต่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ยังถกเถียงกันเรื่อง ‘ปลายักษ์’ บริษัทบันเทิงขนาดใหญ่ในฉินโจวไม่มีทางไม่ติดตาม สื่อบันเทิงทั้งเล็กใหญ่ก็เริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับเพลงนี้เช่นกัน

“ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังมากในช่วงนี้”

ในรายการบันเทิง ใบหน้าของพิธีกรประดับรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ในตอนนี้ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศทะลุแปดร้อยล้านไปแล้ว และสิ่งที่มาพร้อมกับความโด่งดัง ก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งดังไปทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต”

“ผมจะยังไม่พูดชื่อเพลง”

“หลายคนคงจำความยิ่งใหญ่ของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนกันได้สินะครับ เด็กใหม่ฟาดฟันในชาร์ตดาวรุ่งกันอย่างดุเดือด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพลงชื่อ ‘ชีวิตดังมวลผกายามคิมหันต์’ ที่คว้าอันดับหนึ่งไปครอง เพลงนี้ถึงกับเอาชนะเฉียนซิงอวี่ซึ่งได้รับความนิยมมากในตอนนั้น และผู้สร้างสรรค์เพลงนี้ขึ้นมาก็คือผู้ที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ เซี่ยนอวี๋!”

“ใช่แล้วครับ หลายคนคงจะเดากันออกแล้ว”

“เพลงซาวด์แทร็กที่ชื่อว่า ‘ปลายักษ์’ นี้ก็เป็นผลงานจากมือของนักแต่งเพลงหน้าใหม่ท่านนี้ หลายคนฟังปลายักษ์จบก็ถูกเพลงนี้ตกเข้าแล้ว เพราะเหตุการณ์แบบนี้ทำให้พวกเรายากที่จะมองข้ามผู้สร้างสรรค์ผลงานอย่างเซี่ยนอวี๋ท่านนี้”

“ทุกคนต้องสงสัยกันแน่เลย”

“ในเวลาสั้นๆ แค่สองเดือน ถึงกับปล่อยเพลงดีขนาดนี้ออกมาสองเพลงรวด นักแต่งเพลงหน้าใหม่จากสตาร์ไลท์ท่านนี้เก่งไม่เบาเลยใช่มั้ยครับ ต่อให้เป็นในฉินโจวของเรา เด็กใหม่ที่มีพรสวรรค์แบบนี้ก็หาได้ยากมาก…”

พรึ่บ

ในเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงซึ่งเป็นหนึ่งในสามบริษัทบันเทิงใหญ่ของฉินโจว สีเหม่ยหัวหน้าผู้จัดการหยิบรีโมตขึ้นมาปิดโทรทัศน์ติดผนัง

ในตอนนี้เอง

ผู้ช่วยของเธอก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ตะโกนลั่นว่า “เกิดเรื่องแล้ว พี่คะ เกิดเรื่องแล้ว! แย่แล้ว!”

“ฟ้าถล่มหรือไง”

สไตล์การทำงานที่ดุดันคล้ายว่าจะเป็นเป็นเอกลักษณ์ร่วมกันของหัวหน้าผู้จัดการของทั้งสามบริษัทบันเทิงใหญ่ในฉินโจว สีเหม่ยก็เป็นคนแบบนี้ ถึงขั้นที่เธอเย็นชากว่าจ้าวเจวี๋ยเสียด้วยซ้ำ “หายใจก่อนแล้วค่อยพูด”

“ค่ะ!”

ผู้ช่วยสงบสติอารมณ์ เมื่อกลับมาผ่อนคลายลงแล้ว จึงกระซิบว่า “สตาร์ไลท์เพิ่งประกาศอย่างเป็นทางการว่าจ้าวอิ๋งเก้อเซ็นสัญญากับพวกเขาแล้ว!”

“อะไรนะ!”

สีเหม่ยสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันที หรี่ตาลงพูดว่า “ที่เลือกสตาร์ไลท์ เธอรู้รายละเอียดมั้ยว่าเพราะอะไร”

“มีข้อมูลมานิดหน่อยค่ะ”

ผู้ช่วยคนนี้พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนในของสตาร์ไลท์ เขาหลุดพูดมาว่าน่าจะเป็นเพราะ

เซี่ยนอวี๋ แต่ว่าเหตุผลโดยละเอียดฉันยังไม่แน่ใจค่ะ”

“เซี่ยนอวี๋อีกแล้วเหรอ”

แววตาของสีเหม่ยเป็นประกายวาบ

แย่งอันดับหนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งไป เซียนอวี๋ก็ไม่ได้ดึงความสนใจของเธอไว้ได้ ถึงอย่างไรใครๆ ก็มีช่วงที่แรง

บันดาลใจลุกโชนกันทั้งนั้น ในสายงานนี้ก็มีถมไป

ในช่วงนี้

เพลงซาวด์แทร็ก ‘ปลายักษ์’ โด่งดังขึ้นมา เซี่ยนอวี๋ถึงทำให้สีเหม่ยสนใจขึ้นมาได้ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นเพียงเด็กใหม่ที่

พรสวรรค์ไม่เลวก็แค่นั้น

แต่เธอนึกไม่ถึงว่า

จ้าวอิ๋งเก้อที่เธออยากไปคว้าตัวมานั้นจะถึงกับเข้าสตาร์ไลท์เพราะเซี่ยนอวี๋ นั่นทำให้สีเหม่ยต้องจับตามองแล้ว “เห็นทีจ้าวเจวี๋ยคงไปขุดเจอต้นกล้าพันธุ์ดีเข้าแล้วสิ แต่เรื่องของจ้าวอิ๋งเก้อก็ไม่ควรจบแบบนี้ ติดต่อซาไห่ไป”

ผู้ช่วยคิดว่าตนเองฟังผิดไป “ซาไห่?”

สามบริษัททั้งเซวี่ยนล่านอิ๋งกวง สตาร์ไลท์ แล้วก็ซาไห่นั้นไม่ได้ญาติดีต่อกันแต่อย่างใด

สีเหม่ยหัวเราะ “ช่วงนี้สตาร์ไลท์ได้เปรียบไปไม่น้อย คงจะทำให้ซาไห่โกรธมากเหมือนกัน ครั้งนี้พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน จะร่วมมือกับซาไห่สักครั้งก็ได้”

……

การถกเถียงเรื่อง ‘ปลายักษ์’ หลินเยวียนก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพราะในกลุ่มแช็ตที่เขาอยู่ก็มักจะมีคนแชร์เพลงเข้ามา ถึงขั้นมีคนคาดเดาว่าเพลงนี้มีโอกาสอยู่ในข้อสอบหรือเปล่า โชคดีที่อาจารย์ใจดีอยู่บ้าง ไม่ได้ทำลายความชอบที่ทุกคนมีต่อเพลงนี้ซ้ำสอง

คนพูดคุยมากก็หมายความว่าเพลงดัง

หลินเยวียนเริ่มคาดหวังขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้ เพลง ‘ปลายักษ์’ ทำค่าความโด่งดังให้เขาเท่าไหร่แล้ว

เขาเอ่ยเรียกระบบ เบื้องหน้าก็ปรากฏแถบตัวอักษรขึ้นมา

[อายุ: 19]

[อายุขัย: 27]

[จิตรกรรม: 45]

[วรรณกรรม: 105]

[ดนตรี: 26494]

เป็นเพราะคะแนนวรรณกรรมและจิตรกรรมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นระบบจึงขี้เกียจแสดงค่าความโด่งดังโดยภาพรวมแล้ว

ค่าความโด่งดังประเภทดนตรียังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพอกับที่หลินเยวียนจินตนาการไว้ ในตอนนี้ใกล้แตะถึงสามหมื่นแล้ว

“แต่ก็ยังห่างไกลกับค่าความโด่งดังหนึ่งล้านมาก”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว มองเข้าไปในกล่องเก็บไอเทม ยังเหลือกล่องสมบัติทองแดงอีกสองกล่อง

เพลงที่มีอยู่ในมือได้ใช้ไปหมดแล้ว หลินเยวียนจำเป็นต้องเสริมการเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป เขาจึงพูดว่า “เปิดกล่องสมบัติอีกสองกล่อง”

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ได้เพลง ‘กุหลาบแดง ’ ]

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ได้นิยายชนิดพิเศษ ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส ’]

กล่องสมบัติสองใบเปิดออก

กล่องสมบัติใบแรกเป็นบทเพลงซึ่งไม่อยู่เหนือความคาดหมาย

แต่กล่องสมบัติใบที่สองกลับเป็นของที่พิสดาร

หลินเยวียนถาม “‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ คือนิยายอะไรเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นเคยได้ยิน”

ระบบอธิบายว่า

“นี่คือนิยายความยาวหนึ่งล้านตัวอักษรซึ่งดัดแปลงจากอนิเมะคลาสสิกเรื่อง ‘เจ้าชายลูกสักหลาด’ โดยอ้างอิง

จากฉากในโรงเรียนมัธยมปลายบนบลูสตาร์ เล่าถึงเรื่องราวของนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งที่คลั่งไคล้ในเทนนิสและไล่ตามความฝันในการเล่นเทนนิส มีทั้งความเยาว์วัยและสับสน ทั้งความเลือดร้อนและซาบซึ้ง ขณะเดียวกันนิยายเรื่องนี้ก็ยังเป็นแนวการแข่งขันกีฬาที่หาได้ยากของบลูสตาร์ในตอนนี้ เป็นการหวนคืนแก่นแท้ของอนิเมะอย่างสมบูรณ์แบบ โฮสต์สามารถใช้การอ่านด้วยความเร็วแสงตรวจสอบก่อนได้”

ดัดแปลงอนิเมะเป็นนิยายเหรอ

เรื่องราวภูมิหลังก็กลายเป็นบลูสตาร์

โดยทั่วไปแล้วจะดัดแปลงนิยายมาเป็นอนิเมะไม่ใช่เหรอ?

ระบบนี้ถึงกับทำกลับกัน ผสานเข้ากับฉากของบลูสตาร์ ทำให้อนิเมะเรื่องดังในโลกเดิมกลายเป็นนิยายหนึ่งล้านตัวอักษร…

“อ่าน”

หลินเยวียนกระซิบออกมาในใจ

ตามการแนะนำของระบบ เนื้อเรื่องพวกนี้กับเนื้อเรื่องของอนิเมะ ‘เจ้าชายลูกสักหลาด’ จะเหมือนกันถึงแปดสิบ

เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าเก็บแก่นสำคัญของเรื่องไว้ทั้งหมด ขณะเดียวกันสไตล์การเขียนก็ยังเข้ากับความคุ้นเคยของนักอ่านในบลูสตาร์ อีกทั้งพล็อตและจังหวะของเรื่องก็ค่อนข้างกระชับ เข้ากับมาตรฐานในการตีพิมพ์เป็นเล่ม

ล้วนเป็นการอวดเบ่งของระบบ

ที่แท้นี่ก็คือความหมายโดยนัยของนิยายชนิดพิเศษ?

อืม พิเศษจริงๆ นั่นละ เพราะอนิเมะเรื่อง ‘เจ้าชายลูกสักหลาด’ ก็ดัดแปลงมาจากมังงะ ไม่ได้มีฉบับนิยายแต่อย่างใด แต่กลับมีผู้คนในโลกเดิมให้ความสนใจไม่น้อย

‘ติ๊งต่อง’

เสียงของระบบดังขึ้น “ยินดีกับโฮสต์ที่ได้รับภารกิจใหม่ หวังว่าโฮสต์จะประสบความสำเร็จในด้านวรรณกรรมภายในปีนี้”

[ชื่อภารกิจ: พัฒนารอบด้าน]

[เนื้อหาภารกิจ: การประกวดซูเปอร์โนวากำลังใกล้เข้ามา ขอให้โฮสต์เผยแพร่นิยายเรื่อง ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ ในงานซูเปอร์โนวาให้สำเร็จ รวมไปถึงทำเป้าหมายค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมให้ทะลุหมื่น]

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติสามใบ]

หลินเยวียนตื่นตัวขึ้นมาทันที ในที่สุดก็มีภารกิจใหม่มาแล้ว และในครั้งนี้ก็มีรางวัลภารกิจเป็นกล่องสมบัติสามใบ!!!!

“รับภารกิจ”

หลินเยวียนตอบรับอย่างไม่ลังเล

ดูท่าแล้วค่าความโด่งดังที่นิยายให้มาน่าจัดอยู่ในประเภทวรรณกรรม

ได้เปิดประเดิมประเภทวรรณกรรมสำหรับหลินเยวียนนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี มีช่องทางเพิ่มความโด่งดังมากขึ้นอีก  เขาจะได้จัดการชีวิตของตนเองเร็วขึ้นสักหน่อย

ใช่แล้ว

‘ซูเปอร์โนวา’ ที่ระบบพูดถึง หลินเยวียนรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คล้ายกับว่าจะได้ยินซย่าฝานกับเจี่ยนอี้พูดถึง

……………………………………………….

สัปดาห์ต่อมา

ข้อมูลบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นจนน่าดีใจ

และ ‘ปลายักษ์’ ในฐานะเพลงซาวด์แทร็กของภาพยนตร์ ความร้อนแรงก็คุกรุ่นขึ้นไม่หยุด มีผู้คนชื่นชอบมากขึ้นเรื่อยๆ

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะที่เป็นสถาบันที่เกี่ยวข้อง ย่อมติดตามเพลงนี้ก่อนใครเพื่อน

ในเว็บบอร์ดของวิทยาลัยรวมไปถึงกลุ่มแช็ตทั้งเล็กใหญ่ ก็ถกเถียงเกี่ยวกับเพลงนี้ไม่น้อยเลย

โดยเฉพาะนักศึกษาสาขาการขับร้องในวิทยาลัยซึ่งครั้งนี้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ “เห็นหรือยังว่าการขับร้องที่ยอดเยี่ยมมีความสำคัญต่อบทเพลงแค่ไหน ชัดแล้วนะ!”

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันศิลปะ

บรรยากาศแวดล้อมด้านในค่อนข้างเฉพาะทาง ฉะนั้นแล้วความสำคัญของการประพันธ์เพลงจะเหนือกว่าการขับร้องเสมอ ก่อนหน้านี้ที่ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ดังขึ้นมา ก็มีนักศึกษาส่วนใหญ่คอยส่งเสียงสนับสนุน

‘พ่อเพลงพาปัง!’

‘พ่อเพลงเป็นเดอะแบก!’

‘เอาหมามาอัดเสียงก็ยังปัง!’

ไม่ต้องไว้หน้ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วของเราเลยหรือไง!

แม้ว่านักศึกษาสาขาการขับร้องอ่านโพสต์เหล่านี้แล้วจะโมโหจนตัวสั่น เหงื่อกาฬโซมกายในวันที่อากาศร้อน แต่มือเท้ากลับเย็นเฉียบ

พวกสาขาการประพันธ์เพลงนั่นอวดเก่งเกินไปแล้ว

เมื่อไหร่สาขาการขับร้องของพวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากบ้าง

นึกไม่ถึงว่า โอกาสโต้กลับจะมาถึงเร็วขนาดนี้!

ผลงานของเซี่ยนอวี๋เหมือนกัน แต่ ‘ปลายักษ์’ ในครั้งนี้ไม่ใช่ว่าใครจะร้องก็ได้ เสียงของเจียงขุยเติมเต็มเพลงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และเพราะเหตุนี้ สาขาการขับร้องวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็พลันลิงโลดขึ้นมาทันที!

สาขาการประพันธ์เพลงได้ใจจนเคยชิน

จะปล่อยให้สาขาการขับร้องวางก้ามได้อย่างไร

ไม่นานก็มีโพสต์อีกโขยงหนึ่งออกมาตอบโต้สาขาการขับร้อง

‘พวกเธอรู้จักหรือเปล่าว่าอะไรคือการสั่งผลิตอย่างเป็นทางการ’

‘พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าท่อนฮุกเพลงนี้สุดยอดขนาดไหน’

‘พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าการทำทำนองเพลงให้สอดคล้องกับพล็อตหนังมันยากขนาดไหน’

‘พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าสำหรับพ่อเพลงแล้ว ซาวด์แทร็กจัดอยู่ในประเภทเพลงสั่งทำพิเศษ สไตล์ถูกจำกัดเต็มที่ ก็เหมือนใส่ตรวนข้อเท้าเต้นรำอะแหละ แต่พ่อเพลงก็เขียนเพลงแบบนี้ออกมาได้ทั้งที่มีกรอบจำกัด เห็นชัดๆ ว่าฝีมือเพอร์เฟ็กต์มาก’

‘…’

ทั้งยังมีนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลง ทุ่มเทความรู้มหาวิทยาลัยของตน วิเคราะห์เจาะลึกถึงระดับเทคนิคว่าสรุปแล้วเพลง ‘ปลายักษ์’ นั้นสุดยอดมากขนาดไหน

‘ท่อนเวิร์สของเพลงปลายักษ์ใช้การบรรเลงต่อเนื่องเป็นหลัก แซมด้วยการบรรเลงไม่ต่อเนื่อง ในนั้นใช้การบรรเลงต่อเนื่องยาว ทำให้เกิดแรงกระชาก เมื่อความกว้างของการบรรเลงต่อเนื่องแตะถึงอ็อกเทฟหนึ่งแล้ว ส่วนของเวิร์สนั้นเป็นบันไดเสียงเพนทาโทนิกตามแบบฉบับดีๆ นั่นละ กระชับแต่ไม่ง่าย สุดยอดไปเลย!’

สาขาการขับร้องค่อยๆ ล่าถอยไป

การถกเถียงของสาขาการประพันธ์เพลงทวีคูณความร้อนแรง

‘สิ่งที่ฉันประทับใจที่สุดก็คือนี่ กลวิธีในการเปลี่ยนเมโลดีที่เพลงนี้ใช้หลากหลายมาก หนึ่งในนั้นรวมไปถึงการซ้ำ

แบบเข้มงวดและการซ้ำแบบเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงวิธีการยืด สลับ หรือซีเควนซ์ด้วย’

‘ใช่แล้ว’

‘พาร์ทไคลแม็กซ์ของเพลงนี้ มีสัดส่วนของสตักกาโตอย่าง มี-ซอล-โด-ที-มี มี-เร-โด-ลา-โด เร-มี-ลา นอกจากนั้น

แล้วสตักกาโตในเพลงนี้ส่วนใหญ่ยังมีพรีพาราทอรีบีตที่ย้อนกลับด้วย’

‘การขับร้องล้วนเป็นสกอร์เพลงสำเร็จ แต่ของแบบนี้พ่อเพลงจะต้องใช้เซลล์สมองสักเท่าไหร่กันเชียว’

‘วลีดนตรีที่ 4 10 แล้วก็ 16 ของเพลงนี้ใช้เมโลดีเดียวกัน ท่อนคอรัสก็ใช้วิธีการซ้ำแบบเข้มงวด ฟังแล้วถึงได้รู้สึก

ว่าไพเราะขนาดนี้ และพอมาถึงท่อนเอื้อน เพลงนี้ก็เกินพรรณนาไปแล้ว’

‘…’

สาขาการขับร้องแพ้ราบคาบ

ยังดีที่สาขาการประพันธ์เพลงทำไปก็เพียงเพื่อรักษาความสูงส่งของพ่อเพลง

หลังจากการวิเคราะห์ไปยกหนึ่ง

พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่การขับร้องเพิ่มคะแนนให้ ‘แน่นอนว่าเจียงขุยร้องได้ดีมาก เทียบกับเกมก็แล้วกัน ถ้า

ครั้งก่อนรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วชนะ งั้นในครั้งนี้เจียงขุยก็คือคนเปิดเกมบุก เธอเปิดเกมบุกได้ดี แต่ชัยชนะของทั้งทีมก็มาจากการระเบิดไฟต์ของพ่อเพลง’

‘ถ้าถามฉัน ที่เพลงนี้ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งก็มาจากเนื้อเพลงด้วย’

สาขาการประพันธ์เพลงและสาขาการขับร้องวิทยาลัยศิลปะฉินโจว แถมยังมีสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเขียนบทเพลงก็นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของมาตุภูมิแห่งดนตรีอย่างฉินโจวด้วย

ตอนนี้สาขาการประพันธ์เพลงและสาขาการขับร้องรัวหมัดใส่กันขนาดนี้แล้ว

นักศึกษาสาขาการประพันธ์เนื้อร้องจะอยู่เฉยได้อย่างไร ‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน กลัวยิ่งกว่าว่าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ พวกเธอไม่รู้สึกเหรอว่าประโยคนี้เศร้ามาก แค่ประโยคสั้นๆ ก็บรรยายความหมายอันละเอียดอ่อนระหว่างมังกรเผือกกับเด็กหญิงแล้ว แล้วก็ยังเขียนถึงความคาดหวังที่พ่อแม่จำนวนมากมีต่อลูก พวกเธอลองคิดดูว่ามีพ่อแม่มากมายขนาดไหนที่อยากให้ลูกได้ติดปีกโบยบิน แต่ก็ไม่อยากพรากจากลูกของตัวเอง?’

‘เหมือนบทกลอนเลย!’

มีนักศึกษาสาขาการประพันธ์เนื้อเพลงมาเสริมว่า ‘สิ่งที่เพลงซาวด์แทร็กต้องการก็คือภาพจากเนื้อเพลง เนื้อเพลงนี้แสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ สมบูรณ์และขณะเดียวกันก็ยังเก็บรายละเอียด การเปลี่ยนผ่านจากฉากที่อลังการไปสู่ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยสุนทรีย์ดั้งเดิมของบลูสตาร์ของเรา’

สาขาที่เกี่ยวกับดนตรีคึกคักกันขนาดนี้ 

แม้แต่สาขาการเรียบเรียงเพลงก็ยังอดเข้ามาแจมไม่ได้ ‘เนื้อเพลง ทำนอง และการขับร้องดีมาก แต่พวกเธอมองข้ามความสำคัญของการเรียบเรียงเพลงที่มีต่อเพลงนี้ ดนตรีกับกลองของเพลงนี้เข้ากัน และไม่ได้แย่งความเหนือจริงของเสียงร้อง ถึงขั้นที่แม้แต่เสียงลมแทรกของนักร้องก็ยังเข้ากับเครื่องดนตรี เรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติมาก’

สาขาการเรียบเรียงเพลงมีคำพูดประโยคหนึ่ง

การเรียบเรียงเพลงก็เหมือนการแต่งหน้า ประทินโฉมให้เพลงสวยพริ้งเพรา ผู้เรียบเรียงเพลงที่เก่งก็เหมือนกับช่างแต่งหน้าฝีมือดี ทำให้คนที่เดิมทีไม่สวยกลับสวยสะคราญขึ้นมา

แต่…

ไม่ว่าจะเป็นบนโลกหรือว่าบลูสตาร์ สถานะของผู้เรียบเรียงเพลงก็ยังเป็นรองนักประพันธ์เพลงกับการขับร้อง เคยมีคนถามจงซิงหมิงปรมาจารย์ด้านการเรียบเรียงเพลง ว่าเมื่อไหร่ถึงจะโด่งดังขึ้นมาได้ คำตอบของจงซิงหมิงคือ ‘ขึ้นอยู่กับความพยายามของตนเอง’

นัยยะของคำพูดนั้นแสนเจ็บปวด

ทว่าอภิปรายกันไปเสียยกหนึ่ง ก็มีนักศึกษาจากคณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีซึ่งกำลังมุงดูความคึกคักพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ ‘แต่พวกเธอเถียงกันมาครึ่งค่อนวัน นอกจากขับร้องแล้ว ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง รวมไปถึงเรียบเรียงเพลงก็เป็นเซี่ยนอวี๋ทำคนเดียวนะ’

คณะดนตรีทั้งคณะ ‘…’

เพราะฉะนั้นการอภิปรายของทุกคนก็แตกกระเจิงในชั่วพริบตา จุดโฟกัสของทุกคนย้ายไปอยู่ที่ตัวเซี่ยนอวี๋ ‘พ่อเพลงที่โผล่ขึ้นมาใหม่นี่น่าสนใจจริงๆ ทำเนื้อร้องทำนองคนเดียวไม่พอ ยังปล่อยออกมาสองเพลง แถมเรียบเรียงก็ยังไม่ปล่อยให้คนอื่นทำเลย’

‘เรียกว่าเป็นจังหวะของมือทองสินะ?’

‘อีกไม่กี่ปีเซี่ยนอวี๋ได้เป็นมือทองแน่!’

‘เรื่องนี้ยังจะต้องพยากรณ์กันอีกเหรอ’

นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงรำพึงรำพัน ‘ครั้งก่อนสอบเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์เสร็จ ฉันนี่สาปส่งเซี่ยนอวี๋เลย แต่พอเพลงใหม่ของเขาออกมา ฉันก็กลับมาอวยเขาอีกรอบ’

‘+1 คอมเมนต์บน’

‘ฉันไม่เหมือนพวกเธอ ครั้งก่อนเห็นพวกเธออวยเซี่ยนอวี๋กัน ฉันกลับกังวลว่าเขาจะเป็นแค่ดอกถานฮวาชั่วข้ามคืน ถึงยังไงใครๆ ก็มีช่วงเวลาที่แรงบันดาลใจระเบิด แต่เพลงปลายักษ์ที่ออกมาใหม่ทำให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่าระดับของเขาสุดยอดจริงๆ’

‘ใครใช้ให้ฉินโจวเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรีล่ะ’

‘วงการเพลงในฉินโจวนี่เต็มไปด้วยคนเก่งจริงๆ!’

ดังนั้น ความรู้สึกเหนือกว่าก็ได้ทบทวีขึ้นจากระดับสาขาการประพันธ์เพลง ไปถึงระดับฉินโจว ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหน ก็พลอยรู้สึกว่าตนสุดยอดตามไปด้วย

………………………………………..

 

มีคนดีใจก็ต้องมีคนทุกข์ใจ

ขณะที่เหล่าโจวกำลังยินดีปรีดาอยู่นั้น จ้าวเจวี๋ยกลับวิตกกังวล เธออยู่ในห้องทำงานโดยลำพัง เดินไปมาอย่างไม่เป็นสุข

สัปดาห์ที่แล้ว

เธอส่งเพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ให้จ้าวอิ๋งเก้อ

เดิมทีคิดว่าทันทีที่ส่งเพลงไป คนแซ่จ้าวเหมือนกันอย่างจ้าวอิ๋งเก้อจะเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์เดี๋ยวนั้น

ทว่าผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว ทางฝั่งจ้าวอิ๋งเก้อก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

นั่นทำให้จ้าวเจวี๋ยยิ่งกังวล

ไม่เป็นแบบนั้นหรอกมั้ง ถึงจะไม่ใช่มืออาชีพในวงการ จ้าวเจวี๋ยก็ฟังออกว่า ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ เป็นเพลงที่ดีเพลงหนึ่ง

ตอนที่เธอฟังครั้งแรก โสตประสาทก็ถูกพันธนาการไว้จนแน่น หลังจากนั้นก็ฟังอีกหลายครั้ง อารมณ์ของเพลงนี้ยิ่งสลักลึกในความทรงจำ

ฉะนั้นจ้าวเจวี๋ยจึงคิดว่า…

ด้วยคุณภาพของเพลงนี้ ก็น่าจะเพียงพอให้จ้าวอิ๋งเก้อประทับใจได้!

กระนั้นแล้ว การที่ทางจ้าวอิ๋งเก้อยังไม่ตอบกลับมาสักที พานให้จ้าวเจวี๋ยเริ่มพิจารณาถึงผลได้ผลเสียแล้ว

หรือว่า จ้าวอิ๋งเก้อจะเซ็นสัญญากับบริษัทอื่นไปแล้ว?

ขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของจ้าวเจวี๋ยก็ดังขึ้น เป็นสายของจ้าวอิ๋งเก้อที่เธอกำลังนึกถึงโทรมาพอดี

โทรมาปฏิเสธฉันเหรอ

จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว กดรับโทรศัพท์

ปลายสายโทรศัพท์ เสียงของจ้าวอิ๋งเก้อดังขึ้น น้ำเสียงแน่วแน่ “ฉันตกลงเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์ ขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้คุณรอนาน”

จ้าวเจวี๋ยชะงักไป

ไม่ได้ปฏิเสธหรอกเหรอ

ไม่นานเธอก็ตั้งสติได้ รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นทีในการประชันของสามบริษัทใหญ่ เป็นสตาร์ไลท์ที่คว้าชัยชนะไปอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ”

น้ำเสียงของเธอผ่อนคลายลง “ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนถึงจะตัดสินใจ พวกเรารอได้ แล้วคุณคิดว่าจะเซ็นสัญญาเมื่อไหร่ดี”

“ฉันว่างตลอดค่ะ”

จ้าวอิ๋งเก้อเอ่ยอย่างจริงจัง “ว่ากันตามสัญญาฉบับนั้นที่คุณเสนอมา แต่ว่าเพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ จะต้องเป็นเพลงแรกของฉันที่ปล่อยออกไป หวังว่าบริษัทจะช่วยฉันโปรโมตอย่างเต็มที่”

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “พวกเราเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ ถ้าคุณว่างก็เข้าบริษัทมาเซ็นสัญญาได้ช่วงบ่ายค่ะ”

จ้าวเจวี๋ยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

“ไม่มีปัญหาค่ะ”

จ้าวอิ๋งเก้อตอบตกลงทันที ขบคิดชั่วครูก่อนจะเสริมว่า “เพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ฉันฟังครั้งแรกก็ชอบเลย เพลงนี้เหมาะกับฉันมาก…”

“ได้!”

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เพลงจริงๆ ด้วย ฉันก็ว่า เพลงคุณภาพสูงของหลินเยวียนอย่าง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกัน!

“งั้นคุณก็เตรียมตัวออกเดินทางเถอะ”

ในตอนนั้นจ้าวเจวี๋ยก็อารมณ์ดีขึ้นมา ความกระฉับกระเฉงเฉียบขาดกลับมาอีกครั้ง “ฉันจะให้คนไปรับคุณข้างล่าง สัญญาจะร่างเสร็จก่อนที่คุณจะมาถึง

ปลายสายตอบ “ไม่มีปัญหา”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ จ้าวเจวี๋ยก็เบาใจลงในที่สุด

เธอนั่งลงบนเก้าอี้ หมายจะพักผ่อนสักหน่อย ผลคือยังไม่ทันนั่งจนเก้าอี้อุ่น ด้านนอกก็มีคนเคาะประตู

“เข้ามา”

“พี่จ้าว”

คนที่เข้ามาก็คือผู้จัดการชายในสังกัดของจ้าวเจวี๋ย

แต่ในยามนี้สีหน้าของผู้จัดการคนนี้แลดูตื่นเต้น “ทางฉีโจวโทรมา บอกว่าจะเชิญเจียงขุยไปร้องเพลงโปรโมตหนังเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’!”

“เจียงขุย?”

จ้าวเจวี๋ยชะงักไป

 ผู้จัดการคนนี้อธิบายว่า “เป็นเด็กใหม่ในความดูแลของผมครับ ก่อนหน้านี้เธอถูกอาจารย์เซี่ยนอวี๋เลือกมาให้ร้อง

ซาวด์แทร็กที่เซี่ยนอวี๋แต่งขึ้นมาให้หนังเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ของฉีโจวโดยเฉพาะ วันนี้เพลงนี้ปล่อยออกไปออนไลน์ เสียงตอบรับในอินเทอร์เน็ตไม่เลวเลย ทางฉีโจวเลยให้เธอไปช้วยร้องเพลงโปรโมตหนังในฐานะนักร้อง”

หลินเยวียนอีกแล้ว!

จ้าวเจวี๋ยถึงนึกขึ้นมาได้ ว่าก่อนหน้านี้หลินเยวียนเคยขอเด็กใหม่ บอกว่าจะอัดเพลง ก่อนหน้านี้เหล่าโจวก็บอกว่าหลินเยวียนทำออเดอร์ของฉีโจวสำเร็จ ท่าทางจะเป็นซาวด์แทร็กเพลงนี้

“เพลงชื่ออะไรเหรอ”

จ้าวเจวี๋ยเปิดโปรแกรมเล่นเพลง

อีกฝ่ายตอบว่า “ชื่อ ‘ปลายักษ์’ ครับ”

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้า พิมพ์ลงไปว่า ‘ชื่อปลายักษ์’ สามคำ ฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างแปลกพิกล จึงรีบแก้คำเป็น ‘ปลายักษ์’ ก็หาเพลงเจอแล้ว

จากนั้นเธอจึงสวมหูฟัง ฟังเพลงนี้รอบหนึ่ง

เมื่อฟังจบ ก็เงียบงันไปนานพอดู

ผู้จัดการเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ไหว “พี่จ้าว”

จ้าวเจวี๋ยได้สติกลับมา ยิ้มขื่นพูดว่า “ก่อนหน้านี้หลินเยวียนบอกจะอัดเพลง ฉันก็ยังไม่วางใจ เลยให้ข้อมูลของเด็กใหม่ไปกองหนึ่ง ตอนนี้คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเขาจะถึงกับอัดเพลงที่ดีอย่าง ‘ปลายักษ์’ ได้’”

“เรื่องนี้ไม่มีคาดถึงหรอกครับ”

ผู้จัดการยิ้มเป็นเชิงว่าเข้าใจ จากนั้นก็พูดว่า “นอกจากทางฉีโจวแล้ว เมื่อกี้ยังมีแบรนด์ของบริษัทที่ร่วมงานระยะยาวกับบริษัทพวกเราอีกหลายที่ บอกว่าอยากเชิญเจียงขุยไปร่วมกิจกรรมของพวกเขา แถมบอกว่าอยากให้เธอร้องเพลง ‘ปลายักษ์’ ผมเลยจะมาขอคำแนะนำจากพี่สักหน่อยครับว่าจะทำยังไงดี”

“หมายความว่า…”

จ้าวเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น “เจียงขุยดังแล้ว?”

ผู้จัดการพยักหน้า พูดอย่างตื่นเต้นระคนทอดถอนใจ “ตั้งแต่ที่มีคำเชิญจากหลายแบรนด์เยอะแยะขนาดนี้ เจียงขุยดังแล้วจริงๆ ครับ ไม่อย่างนั้นใครจะไปจำชื่อเด็กใหม่ตัวเล็กๆ อย่างเธอได้ เธอได้อานิสงส์จากอาจารย์เซี่ยนอวี๋พอดี ผลลัพธ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าซุนเย่าหั่วที่เดบิวต์ในฐานะอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงใหม่เลย”

จ้าวเจวี๋ยเป็นหัวหน้าผู้จัดการ

หัวหน้าผู้จัดการคอยควบคุมดูแลงานผู้จัดการของบริษัท ปกติแล้วไม่มีศิลปินภายใต้ความดูแล หากได้จ้าวเจวี๋ยดูแลด้วยตนเองก็จะต้องเป็นตัวท็อป หรือไม่ก็เด็กใหม่ที่จ้าวเจวี๋ยถูกอกถูกใจ

และภายใต้การดูแลของจ้าวเจวี๋ย ก็มีผู้จัดการตัวเล็กๆ อีกหลายคน

ผู้จัดการตัวเล็กๆ เหล่านี้ โดยทั่วไปจะดูแลเด็กใหม่ จุดเริ่มต้นของเด็กใหม่นั้นลำบากยากเย็น ดังนั้นชีวิตของผู้จัดการตัวเล็กๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้ง่าย

เพราะฉะนั้น

ผู้จัดการตัวเล็กๆ แต่ละคนก็ล้วนเฝ้าคอยให้เด็กใหม่ที่ดูแลนั้นโด่งดัง เพราะเมื่อเด็กใหม่ที่ตนดูแลโด่งดังแล้ว ผู้จัดการถึงจะได้เงินตามไปด้วย

“ดี!”

จ้าวเจวี๋ยลุกพรวดขึ้นมา

วันนี้เป็นวันมงคลคู่!

เริ่มจากจ้าวอิ๋งเก้อเซ็นสัญญากับบริษัท ตามมาด้วยเด็กใหม่ตัวเล็กๆ ในสังกัดของเธอโด่งดังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถึง

กับข้ามขั้นฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ แล้วโด่งดังได้ด้วยวิธีนี้เชียว

อีกทั้ง

เรื่องดีทั้งสองเรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะหลินเยวียน!

เด็กคนนี้ เป็นดาวนำโชคของเธอจริงๆ!

“ให้แผนกประชาสัมพันธ์จัดการเดี๋ยวนี้เลย”

มีเด็กใหม่ดังแล้ว บริษัทก็ต้องดันสักตั้ง ถ้าโอกาสแบบนี้ยังคว้าไว้ไม่ได้ สตาร์ไลท์คงไม่ได้เป็นหนึ่งในสามบริษัทใหญ่ของบลูสตาร์แล้ว

ทำเป็นอ้างว่า ‘ขอคำแนะนำ’ ไปอย่างนั้นแหละ

ที่ผู้จัดการคนตรงหน้านี้มาหาตน จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คงจะอยากให้เจียงขุยได้รับการสนับสนุนในด้านนี้จากบริษัท แต่ว่าจ้าวเจวี๋ยก็จะไม่พูดออกไป ทุกคนล้วนแต่ทำเพื่อศิลปินของตัวเองทั้ง ทำเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้

“เข้าใจแล้ว”

เมื่อเป้าหมายบรรลุผล รอยยิ้มของผู้จัดการก็สดใสขึ้นมา “ขอบคุณครับพี่จ้าว!”

“อีกอย่าง…”

จ้าวเจวี๋ยพูด “เจียงขุยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับตารางงานของฉีโจวก่อน ‘ปลายักษ์’ เป็นผลงานที่ฉีโจวจ่ายเงินสั่งทำ พวกเราต้องบริการถึงที่สุด ไม่งั้นอาจมีผลกระทบถึงชื่อเสียงของบริษัท ฉันยังว่าต่อไปจะมีออเดอร์จากทางฉีโจวมาอีก”

“ไม่มีปัญหาครับ!”

ผู้จัดการรับปากเป็นมั่นเหมาะ

ทันใดนั้นจ้าวเจวี๋ยพูดขึ้นมาอย่างรำคาญใจ “ที่จริงตอนนี้ฉันเริ่มเสียดายที่ปล่อยหลินเยวียนไปแล้ว! ให้เขาอยู่ที่แผนกศิลปินก็ได้ แผนกเราออกจะใหญ่จะดูแลเขาไม่ได้เชียวเหรอ ไม่เห็นต้องให้เจ้าแก่โจวรุ่ยหมิงนั่นเอาเปรียบเขาเลย!”

ผู้จัดการ “…”

เรื่องระหว่างหัวหน้า เขาไม่ควรแทรกแซง

แต่จ้าวเจวี๋ยก็แดกดันเพียงประโยคสองประโยค ถ้าเธอเก็บนักแต่งเพลงที่มีศักยภาพสูงมากขนาดนี้ไว้ที่แผนกศิลปินไม่ยอมปล่อยไป น่ากลัวว่าเหล่าโจวคงรีบไปฟ้องบอสแน่นอน

“เซี่ยนอวี๋…”

ผู้จัดการคนนี้หัวใจกระตุกวูบ ลอบขบคิด

คนนี้ดูเหมือนจะเป็นขาใหญ่คนใหม่ในแผนกประพันธ์เพลงสินะ…เริ่มจากทำให้ซุนเย่าหั่วไต่ขึ้นหัวตารางในชาร์ตเพลงใหม่…จากนั้นก็ทำให้เจียงขุยซึ่งอยู่ในสังกัดของตนโด่งดัง…เข้ามาทำงานได้แค่สองเดือนเอง…ก็ปั้นเด็กใหม่ให้ดังได้สองคนแล้ว…

…………………………………..

 

ฉีโจว

‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ฉายจบได้ไม่นาน ทีมผู้ผลิตก็รีบเปิดคำวิจารณ์ในเว็บไซต์ภาพยนตร์ฉีโจว หนึ่งในนั้นยังรวมไปถึงเจิ้งลี่ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

‘ดูแล้วต่อมน้ำตาระเบิดเลย!’

‘ฉันบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าวันนี้ลิสต์หนังเศร้าได้สมาชิกใหม่ตัวโหดเพิ่มแล้ว’

‘หวังว่าทางผู้ผลิตจะปล่อยภาพชัดๆ ของมังกรเผือกแปลงเป็นปลายักษ์บินอยู่กลางท้องฟ้าสักหน่อย ฉันอยากใช้เป็นภาพวอลเปเปอร์’

‘เพลงปิดท้ายสะเทือนใจสุดๆ’

‘ดูในเอนด์เครดิต เพลงปิดท้ายที่ชื่อว่าปลายักษ์เป็นซาวด์แทร็กที่ดีที่สุดในปีนี้เลย หนึ่งเดียวไม่มีสอง’

‘ดูจบแล้วรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เศร้ามาก จากนั้นก็ได้ยินเพื่อนพูดว่าหนังทั้งเรื่องคือเอ็มวีของเพลงปิดท้าย เท่านั้นละผมหัวเราะออกมาเลย’

‘หนังดีมาก แต่เนื้อเพลงของเพลงตอนจบปังสุด’

“…”

คะแนนเต็มสิบ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ได้ไป 8.5 คะแนน บรรดาทีมผู้ผลิตดีอกดีใจขึ้นมาทันที “หนังของเรามีแวว

ว่าจะดัง!”

นี่เป็นคะแนนที่สูงมาก!

สูงกว่าที่ทีมผู้ผลิตคาดการณ์ไว้ไกลโข

ถึงอย่างไร ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ การโปรโมตและจัดโปรแกรมหนังจัดว่าอยู่ระดับ

กลาง ในผลงานประเภทนี้จะดังได้ต้องใช้คำวิจารณ์หนังไม่ใช่หรือ

ขณะที่กำลังตื่นเต้นดีใจ ทุกคนย่อมสังเกตเห็นคำวิจารณ์เกี่ยวกับเพลง ‘ปลายักษ์’

โปรดิวเซอร์ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ถึงกับมีกลุ่มหนึ่งบอกว่าหนังเรื่องนี้ของเราเป็นเอ็มวีของเพลง ‘ปลายักษ์’”

“ฉันกลับคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผลอยู่นะ”

คนหนึ่งในทีมผู้ผลิตซึ่งอยู่ด้านข้างตอบด้วยสีหน้าแปลกพิกล

“ตอนนี้พวกคุณเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมเพลงประกอบถึงสำคัญ” เจิ้งลี่อารมณ์ดีไม่น้อย ไม่ได้รู้สึกว่าคำวิจารณ์

นี้ล่วงเกินตนแต่อย่างไร ฉะนั้นเธอจึงคิดว่าคนส่วนใหญ่สัพยอกหยอกล้ออยู่ก็แค่นั้น

หากมองจากอีกมุมหนึ่ง ก็คือผู้คนกำลังชมอยู่ว่าเพลงปิดเพลงนี้ของเธอเหมาะสมมาก

เธอเองก็ยอมรับว่าเพลง ‘ปลายักษ์’ ในตอนสุดท้ายนั้นเพิ่มคะแนนให้ภาพยนตร์เรื่องนี้

ไม่ว่าจะเป็นความหมาย เสียงร้อง หรือว่าเนื้อเพลงซึ่งสอดประสานกับเนื้อเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ล้วนทำให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์ของภาพยนตร์ได้ดีที่สุด

ก่อนหน้านี้

เจิ้งลี่ก็กุมขมับขบคิดอยู่ว่าจะใส่เพลงปิดในภาพยนตร์อย่างไรดี โทนของทั้งเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ค่อนไป

ทางเจ็บปวด ขณะที่เรื่องราวกำลังจะจบลง ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ก็สะสมไว้มากพอดู เธอจะต้องทำให้อารมณ์ของผู้ชมระเบิดออก

เห็นได้ชัดว่าท้ายที่สุดแล้ว ‘ปลายักษ์’ ก็กลายเป็นชนวนจุดระเบิดอารมณ์

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเจิ้งลี่ก็ดังขึ้น เป็นสายจากทางผู้ลงทุน

“หนังทำได้ไม่เลวเลย!”

น้ำเสียงของฝั่งผู้ลงทุนฟังดูตื่นเต้นอยู่บ้าง “บริษัทตัดสินใจเพิ่มการโปรโมต ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ฉันส่งคนไปติดต่อบริษัทโรงหนังแล้วว่าให้เพิ่มรอบฉาย อีกอย่างก็คือคุณต้องโทรไปหาทางฉินโจว บอกว่าเพลงปิดเพลงนั้น…”

เจิ้งลี่พูดว่า “ปลายักษ์”

ตัวแทนผู้ลงทุนเอ่ย “ใช่ๆๆ ‘ปลายักษ์’ นั่นแหละ คุณเชิญคนร้องเพลงนี้มาที่ฉีโจว ตอนโปรโมทก็ให้เขาร้องเพลงนี้

ผลลัพธ์ต้องดีแน่!”

“ได้ค่ะ”

เจิ้งลี่เปลี่ยนเรื่องทันที “ก่อนหน้านี้พวกคุณไม่คัดค้านที่ฉันจ่ายเงินห้าล้านซื้อเพลง ยังบอกอีกว่าเพลงประกอบ

ไม่สำคัญ ต้องทุ่มค่าใช้จ่ายไปที่งานภาพ เป็นฉันที่ขอร้องอยู่นานกว่าพวกคุณจะยอมให้ฉันจ่ายเงินห้าล้านสั่งทำเพลงนี้มา”

เจิ้งลี่มีมาตรฐานเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์สูงมาก

แรกเริ่มเดิมทีฝั่งผู้ลงทุนรู้สึกว่าการที่เจิ้งลี่จะใช้เงินห้าล้านทำเพลงที่เข้ากับเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นั้นสิ้น

เปลืองเกินไป สุดท้ายกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเป็นเจิ้งลี่ที่ฉลาดใช้เงิน

“สุดท้ายแล้วก็ตกลงตามที่คุณพูดไม่ใช่หรือไง”

ฝั่งผู้ลงทุนกล่าวแดกดัน “เอางี้ งานเรื่องต่อไปของคุณฉันรับรองได้ว่าทุนเพิ่มขึ้น รวมไปถึงทุนของเพลงประกอบด้วย ฉันก็จะเติมให้พอ! เรื่องทำหนังคุณมืออาชีพกว่าฉันอยู่แล้ว บางครั้งพวกฉันก็ไม่เข้าใจ คุณก็คุยกับพวกเราให้มากหน่อย ปัญหาย่อมมีทางแก้ไม่ใช่เหรอ”

ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ใช้ผลงานเป็นตัวตัดสิน

ก่อนหน้านี้ที่อนาคตของ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ยากเกินเกินคาดเดา ท่าทีของฝั่งผู้ลงทุนนับว่าเข้มงวดมาก ทุกวันนี้คนให้เงินก็เป็นหัวหน้าใหญ่ทั้งนั้น

ทว่ามองจากแนวโน้มในตอนนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ของเจิ้งลี่ต้องโด่งดังอย่างแน่นอน ฝั่งผู้ลงทุนล้วนแต่ลดทิฐิลงมาชั่วคราวเพื่อพะเน้าพะนอ

เจิ้งลี่ ผู้กำกับซึ่งทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัท ถึงขั้นที่ออกตัวเสนอการลงทุนในภาพยนตร์เรื่องใหม่ นั่นหมายความว่าสถานะของเจิ้งลี่ในสายงานผู้กำกับได้ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว

“ตามนั้นแหละ!”

เจิ้งลี่พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม

ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าจะร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ทำเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องถัดไป ถึงขั้นที่จะให้เซี่ยนอวี๋อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดเลยก็ยังได้ ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ไม่เชื่อมือใคร แต่เชื่อมั่นในฝีมือของเซี่ยนอวี๋

……

ที่ฉินโจว ปฏิกิริยาตอบสนองของสตาร์ไลท์ก็เร็วมากเช่นกัน แทบจะทันทีที่รอบพรีเมียร์ของหนังเรื่องนี้จบลง เพลง ‘ปลายักษ์’ ก็ปรากฏบนหน้าแรกของทุกแอปพลิเคชันฟังเพลงใหญ่ นั่นทำให้ผู้คนมากมายที่ดูหนังจบแล้วสนใจเพลงปิดมาหาเพลงได้อย่างง่ายดาย

และในห้องทำงานของหัวหน้าในสตาร์ไลท์

เหล่าโจวนั่งเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เช้า เพื่อคำวิจารณ์และฟีดแบ็กของ ‘ปลายักษ์’ ด้วยประสบการณ์หลายปีของเขา เพลงนี้มีความเป็นไปได้ที่จะดังเป็นพลุแตก เพราะตำแหน่งในหน้าแนะนำเพลงนั้นเขาเป็นคนบอกให้แผนกทรัพยากรจัดการเอง

ความจริงก็เป็นเช่นนี้            

เพิ่งจะปล่อยไปได้เพียงห้านาที ยอดดาวน์โหลดของ ‘ปลายักษ์’ ทะลุสามหมื่นอย่างรวดเร็ว ช่องคอมเมนต์ของ

เพลงก็คึกคักเป็นพิเศษ

‘ฟังปลายักษ์จบแล้วต้องมาเช็กอิน!’

‘+1 คอมเมนต์บน!’

‘ที่แท้เพลงนี้ก็ชื่อปลายักษ์ ชอบมากก!’

‘ยังรออะไรอีกล่ะ ลองฟังดาวน์โหลดแล้วก็เก็บลงเพลย์ลิสต์ไปรวดเดียวเลย’

‘ฟังแล้วร้องไห้เลย’

‘ใครๆ ก็รู้ว่าเพลงนี้มีเอ็มวียาวสองชั่วโมง’

‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน กลัวยิ่งกว่าว่า เธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ ดูพร้อมกับหนัง เนื้อเพลงท่อนนี้บีบหัวใจมาก’

‘…’

ไม่เพียงแฟนหนัง ยังมีบางส่วนที่ผ่านมาเห็นเพลงนี้ ทั้งยังรู้จักภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ จากเพลงนี้ด้วย

‘เป็นถึงOST.ของหนัง ทำเอาฉันอยากดู ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ไปด้วยเลย’

‘ฟังเพลงจบแล้วก็ซื้อตั๋วหนังสองใบเลย วันหยุดนี้จะไปดูกับแฟน ตอนนี้เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ขาดอย่างเดียวคือแฟน’

‘ฉันจะพานางฟ้าคนนั้นไปดูด้วย! ดูหนังจบก็สารภาพรัก! ความสุขชั่วชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับหนังเรื่องนี้กับเพลงนี้แล้วนะ!’

ยังมีคนที่สังเกตเห็นว่าทั้งช่องเนื้อร้อง ทำนอง และเรียบเรียงล้วนเป็นชื่อ ‘เซี่ยนอวี๋‘

คนร้องที่ชื่อเจียงขุยเป็นเด็กใหม่ ทุกคนยังไม่คุ้น

แต่เซี่ยนอวี๋กลับนับไม่ได้ว่าเป็นเด็กใหม่ซะทีเดียว ผู้คนไม่น้อยที่พอจะจดจำชื่อนี้ได้ ‘เซี่ยนอวี๋นี่ไม่ใช่คนที่แต่งเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์เหรอ’

‘เซี่ยนอวี๋? อันดับหนึ่งในชาร์ตดาวรุ่ง?’

‘ใช่ๆๆ ฉันก็สังเกตเห็นชื่อเขาเหมือนกัน’

‘เซี่ยนอวี๋คนนี้เก่งอยู่นะ เดือนที่แล้วยอดดาวน์โหลดในชาร์ตดาวรุ่งเป็นอันดับหนึ่ง เดือนนี้ยังมีปลายักษ์มาอีกเพลง แถมทั้งสองเพลงยังตรงเทสต์ฉันมากด้วย!’

‘…’

เมื่ออ่านคอมเมนต์แล้ว เหล่าโจวก็ยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง

ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ดูหนัง แต่กลับบอกได้จากคำวิจารณ์ของแฟนเพลงว่าคุณภาพของหนังเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นั้นไม่เลวเลย ทำให้เพลงได้รับการโปรโมตมากขึ้นด้วย

“ว้าว”

เหล่าโจวคิดอย่างปลื้มใจ ‘การเติบโตของหลินเยวียนเร็วจนน่ากลัว ปีนี้เขาเพิ่งอยู่ปีสอง ถ้าเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่

ปีแผนกประพันธ์เพลงของบริษัทอาจได้นักแต่งเพลงมือทองมาอีกคนก็ได้!‘

ในสายอาชีพนี้

เด็กใหม่มากมายอยากเป็นนักแต่งเพลงมือทอง โดยทั่วไปต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี แต่ศักยภาพของหลินเยวียนสูงเหลือเกิน บางทีเขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้เวลาขัดเกลาถึงสิบปีก็เป็นนักแต่งเพลงมือทองของบริษัทได้แล้ว

และนั่นถึงจะเป็นสิ่งที่เหล่าโจวรอคอยมากที่สุด!

……………………………………………

“ใส่แมสก์ให้เรียบร้อย”

โจวเสี่ยวลี่เตือนจ้าวอิ๋งเก้อด้วยนำเสียงหยอกล้อ 

ในฐานะที่เป็นรายการประกวดซึ่งทรงอิทธิพลที่สุดในฉินโจว จำนวนผู้ติดตาม ‘สะพรั่ง’ นั้นล้นหลาม จ้าวอิ๋งเก้อซึ่งเป็นผู้ชนะของรายการในปีนี้ก็มีชื่อเสียงมาก ในโรงภาพยนตร์ก็ง่ายที่แฟนคลับจะจำได้

วันนี้เป็นวันอังคาร

เป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ เข้าฉาย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงทุนระดับกลาง ไม่อาจนับเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ทว่าผู้ที่ชื่นชอบแนวนี้กลับมีไม่น้อย โรง

ภาพยนตร์ที่จ้าวอิ๋งเก้อเข้ามาก็มีคนนั่งอยู่หนาตาทีเดียว

หลังจากนั่งลงแล้ว

ภาพยนตร์จะเริ่มฉายในไม่ช้า

จ้าวอิ๋งเก้อและโจวเสี่ยวลี่กินป๊อปคอร์นไปพลาง ดูหนังไปพลาง รู้สึกผ่อนคลายลงมาก

แสงจากจอสว่างขึ้น

ปฐมบทของเรื่องราวนั้นเกี่ยวกับเด็กหญิงคนหนึ่งและพ่อแม่ของเธอออกเดินทางท่องเที่ยว ผ่านอุโมงค์ลึกลับสายหนึ่ง และหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซี

โลกแห่งนี้ทั้งงดงามและอันตราย

ทั้งภูติผีปีศาจ เรื่องราวอัศจรรย์ อบอวลกลิ่นอายของความเป็นแฟนตาซี ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ

เมื่อมาถึงที่นี่

เป็นเพราะพ่อแม่ของเด็กหญิงเกิดความละโมบ ละเมิดกฎของโลกแห่งนี้ จึงถูกหญิงชราผู้มีเวทมนตร์จับไป ทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยเผชิญกับโลกที่อันตรายแห่งนี้

ภยันตรายเกิดขึ้นกับเธอหลายต่อหลายครั้ง

แต่ขณะที่เธอกำลังจะถูกภูตงูที่ภายนอกดูงดงามทว่าหมายเอาชีวิตของเธอเขมือบนั้นเอง มังกรเผือกซึ่งแปลงกายเป็นมนุษย์ก็เข้ามาช่วยชีวิตเธอไว้

เพียงแต่เด็กหญิงไม่คาดคิดว่า

มังกรเผือกตัวนี้จะเป็นลูกสมุนของหญิงชรา

ในตอนแรกเด็กหญิงก็หวาดกลัวมังกรเผือก ถึงขั้นต่อต้าน เพราะหญิงชราเป็นเจ้านายของมังกรเผือก ทั้งยังจับพ่อแม่ของเธอไปอีก ทว่าเมื่อได้รู้จักกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของมังกรเผือก

ทั้งสองค่อยๆ กลายเป็นเพื่อนสนิทที่พูดคุยกันทุกเรื่อง ทั้งยังผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย

แต่ว่าเด็กหญิงก็มีเรื่องในใจมาโดยตลอด

เธอไม่เคยยอมแพ้ที่จะช่วยชีวิตพ่อแม่ของตน

เมื่อรับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่จะช่วยพ่อแม่ มังกรเผือกตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขาทรยศต่อหญิงชรา และช่วยเหลือพ่อแม่ของเด็กหญิง

แต่ทว่า

ชั่วขณะที่ช่วยพ่อแม่ของเด็กหญิงมาได้นั้น ตัวของเขาเองกลับถูกคำสาปจากหญิงชรา

ที่แท้

เขาก็ถูกหญิงชราควบคุมไว้แล้ว

มังกรเผือกห้ามทรยศต่อเจ้านายเป็นอันขาด ทันทีที่ทรยศ คำสาปก็จะออกฤทธิ์ จนเขาสูญเสียทั้งร่างมังกรและร่างคน หนำซ้ำยังต้องจมอยู่ใต้ท้องทะเล ไม่อาจขึ้นมาบนฝั่งได้อีกไปชั่วชีวิต

เขากลายเป็นปลาอีกครั้ง

เป็นปลาที่มีร่างกายใหญ่โตโอฬาร

เขาฝืนทนต่อความทรมานจากคำสาป เหาะทะยานสู่ท้องนภาด้วยพลังปาฏิหาริย์ ใช้ร่างกายอันใหญ่โตนำทางแก่เด็กหญิง นำพาเธอและพ่อแม่ออกจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่กำลังจะออกจากประตู

พวกเขาก็ข้ามผ่านผืนทะเลแห่งหนึ่ง

มังกรเผือกซึ่งกลายเป็นปลายักษ์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องโหยหวนก่อนจะร่วงลงสู่ท้องทะเล พรากจากกับเด็กหญิงในที่สุด

ห้วงมหรรณพอันพิศวงแห่งนี้มีพลังวิเศษ ทำให้คนสามารถคนระลึกถึงอดีตได้

ดังนั้น ในภาพยนตร์จึงใช้วิธีเล่าเรื่องย้อนความหลัง มาบรรยายต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด

แท้จริงแล้ว เมื่อเด็กหญิงยังเล็ก เธอเคยรวบรวมเงินครึ่งเดือน เตรียมไว้สำหรับซื้อขนมที่ชอบ

ทว่าระหว่างทางเดินผ่านทะเล เด็กหญิงในตอนนั้นก็เห็นชาวประมงกำลังขายปลาตัวหนึ่งซึ่งสวยงามมาก เธอรู้สึกสงสารปลาตัวนั้น จึงจ่ายเงินซื้อปลาตัวนั้นมาแล้วปล่อยมันไป

ปลาตัวนั้น ก็คือมังกรเผือก

หลังจากนั้นก็เป็นความทรงจำของมังกรเผือก

ยามที่เขายังเป็นปลาตัวหนึ่ง ก็เพียรพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ข้ามผ่านประตูมังกร ได้ครอบครองร่างมังกรและตบะอันแข็งแกร่ง ทั้งยังมีร่างมนุษย์ที่เขาใฝ่ฝัน

ที่เขาพยายามมากถึงเพียงนั้นก็เพราะ…

เขาอยากตามหาเด็กหญิงตัวน้อย และตอบแทนเธอ

กระนั้นแล้ว เขาก็นึกไม่ถึงว่าทันทีที่กลายร่างเป็นมังกร จะถูกหญิงชราผู้ชั่วร้ายจับตัวไป และถูกบังคับให้ยอมกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของผู้ชม

ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ชมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ กลับเป็นบทเพลงที่ดังขึ้นมาขณะที่ความทรงจำปรากฏขึ้นในผืนน้ำ ‘เกลียวคลื่นสงัดพัดกลืนม่านราตรี ถั่งโถมมุมหนึ่งสุดเส้นขอบฟ้า ปลายักษ์แหวกว่ายวนผ่านห้วงนิทรา จ้องมองมายามเธอหลับตาลง…’

เสียงเปียโนบรรเลง

เสียงเพลงร่ำร้อง

ทั้งโรงหนังเงียบสงัด

เสียงคล้ายระลอกคลื่นดังขึ้นข้างหู ข้าวโพดคั่วซึ่งกำลังจะเข้าปากจ้าวอิ๋งเก้อชะงักค้าง ราวกับถูกบางอย่างเข้าจู่โจมในชั่วพริบตา ใจลอยอยู่เช่นนั้น

‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล

กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน

กลัวยิ่งกว่าว่าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์

ทุกหยาดน้ำตา

หลั่งรินไปสู่เธอ

หวนกลับคืนก้นบึ้งของแผ่นฟ้า…’

ปลายักษ์และเด็กหญิงไม่อยากพรากจากกัน เสียงเพลงและเรื่องราวสอดประสาน จากนั้นก็เป็นเสียงเอื้อนไพเราะเกินพรรณนาโอบล้อมโสตประสาท ราวกับเป็นโลกลึกลับจากในภาพยนตร์ ชวนให้ผู้คนชาวาบไปทั้งตัวในฉับพลัน

“ฮึก”

ผู้ชมบางคนเริ่มสะอื้นเสียงเบา โจวเสี่ยวลี่ซึ่งอยู่ข้างซ้ายจ้าวอิ๋งเก้อหยิบกระดาษทิชชู่ออกมา ทว่าชั่วพริบตาเดียวก็ใช้ไปแล้วครึ่งห่อ ร้องไห้จนตาแดงก่ำ

ทั้งโรงหนังปกคลุมไปด้วยความเงียบ

บทเพลงซึ่งบรรเลงในช่วงสุดท้าย รวมกับภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นระเบิดน้ำตาลูกใหญ่ อีกทั้งทำนองเพลงและส่วนเสียงเอื้อนได้จุดระเบิดน้ำตาโดยสมบูรณ์ ทั้งโรงภาพยนตร์ไร้วี่แววผู้รอดชีวิต

มิตรภาพ?

ความรัก?

ในหนังไม่ได้อธิบายจุดนี้ ทว่ายามที่ปลายักษ์หวนคืนสู่ท้องทะเล แสงอาทิตย์อัสดงเผยให้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป เด็กหญิงหยดน้ำตาหลั่งริน ยังคงโบกมือบอกลาสุดแรง

ไกลออกไปสุดของฟ้า

ปลายักษ์ดำลงสู่ก้นทะเล

ภาพยนตร์ได้จบลง และก็เป็นท่อนจบของบทเพลง ในเนื้อเพลงประโยคสุดท้ายซึ่งร้องด้วยเสียงไวเบรโต เปรียบประดุจใบมีดคม กรีดแทงหัวใจของผู้คนนับไม่ถ้วน ‘ทุกหยาดน้ำตา…หลั่งรินไปสู่เธอ…หวนกลับคืน…ครั้งแรกที่พานพบ…’

……

เมื่อเอนด์เครดิตของภาพยนตร์ปรากฏขึ้น ทั้งโรงยังไม่มีใครลุกออกไป บรรยากาศขมขื่นบางเบา ตามมาด้วยบทสนทนาถกเถียงกันมากมาย เพียงแต่ว่าเสียงของบทสนทนาส่วนใหญ่ฟังดูทุ้มหนัก คล้ายกับเสียงอู้อี้หลังร้องไห้

“ฉันกลั้นน้ำตามาตั้งชั้วโมงกว่า แต่มาแพ้เพราะเพลงเนี่ยแหละ”

“แต่ละคำของเนื้อเพลงอย่างกับมีดทิ่มมาที่หัวใจฉัน ประโยคสุดท้ายกระแทกใจจนฉันตายไปเลย”

“ฉันว่าฉันไม่กล้าดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกแล้ว ยกเว้นดูคลิปตัดของเพลงช่วงสุดท้าย”

“ใครแต่งเพลงนี้เนี่ย จ่ายค่าเสียน้ำตามาให้ฉันเลยนะ!”

“ตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าหนังทั้งเรื่องจะเป็นเอ็มวีของเพลงนี้”

“ฉันอินโนเซนต์มาก คิดว่านี่เป็นหนังฮีลใจ ไม่คิดว่าจะเป็นหนังที่บีบหัวใจสุดๆ เพลงตอนสุดท้ายนี่มันฆ่ากันชัดๆ”

“…”

มีผู้หญิงขอบตาแดงก่ำคนหนึ่งหยอกล้อผู้ชายด้านข้าง “ที่รัก เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่เคยดูหนังแล้วร้องไห้ เธอไม่

ได้บอกเองเหรอว่าเกลียดเรื่องสะเทือนอารมณ์ที่สุด สิ่งที่เรียกว่าสะเทือนอารมณ์ก็คือเทคนิคที่มืออาชีพอย่างผู้กำกับทำมาเรียกน้ำตาผู้ชมไงล่ะ ร้องไห้เป็นหมีเลยเนี่ย”

“ตอนดูหนังผมไม่ได้ร้องไห้จริงๆ…จนมาฟังเพลงนี้เนี่ยแหละ”

นี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่ง

“กระดาษทิชชู่หมดแล้ว เธอยังมีมั้ย” โจวเสี่ยวลี่เช็ดจมูก ใช้แขนสะกิดมือของจ้าวอิ๋งเก้อ

“…”

จ้าวอิ๋งเก้อดูราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังส่วนสุดท้ายของเอนด์เครดิตในภาพยนตร์

“เธอดูอะไรอยู่น่ะ หนังจบแล้ว”

เมื่อไม่ได้กระดาษทิชชู่ โจวเสี่ยวลี่จึงทำได้เพียงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา

จ้าวอิ๋งเก้อยังคงไม่ตอบ จนกระทั่งเธอเห็นเอนด์เครดิตส่วนสุดท้าย นี่คือข้อมูลที่เธอมองหาตั้งแต่หนังจบลง

[เพลงประกอบ/ซาวด์แทร็ก/ดนตรีประกอบ/เพลงปิด: เซี่ยนอวี๋]

[เนื้อเพลง/ทำนอง/เรียบเรียง: เซี่ยนอวี๋]

[ขับร้อง: เจียงขุย]

[Special Thanks: เซี่ยนอวี๋] 

“ปลายักษ์…” เธอพึมพำสองคำนี้ จากนั้นก็คล้ายกับว่าจะหวนคิดถึงบางอย่างออก ใบหน้าพลันแดงระเรื่อ “เซี่ยน

อวี๋ เซี่ยนอวี๋”

โจวเสี่ยวลี่ซึ่งเพิ่งจะหยุดร้องไห้ก็เอ่ยถามด้วยเสียงอู้อี้อย่างสงสัยใคร่รู้ “เซี่ยนอวี๋อะไร เธอบ่นอะไรน่ะ”

“เซี่ยนอวี๋ไง!”

น้ำเสียงของจ้าวอิ๋งเก้อสั่นเครือ “เซี่ยนอวี๋เป็นคนทำเพลงประกอบเรื่องนี้ เพลงที่สตาร์ไลท์ส่งมาครั้งก่อน เซี่ยนอวี๋ก็เป็นคนเขียนไม่ใช่เหรอ”

โจวเสี่ยวลี่ประหนึ่งตื่นจากความฝัน “เหมือนจะใช่…”

จ้าวอิ๋งเก้อผุดลุกขึ้นทันที “พวกเรากลับไปฟังเพลงกัน!”

…………………………………….

 

ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวเจวี๋ยใช้เวลาไปนานแค่ไหนว่าจะเข้าใจความหมายของคำพูดที่หลินเยวียนทิ้งไว้ก่อนออกไป ชั่วขณะนั้นทั้งน่าขันทั้งซาบซึ้งใจ

ที่น่าขันก็คือ…

หลินเยวียนฟังเข้าใจจริงๆ เหรอว่าเธอต้องการเพลงระดับไหนกันแน่

ซาบซึ้งใจก็ตรงที่…

หลินเยวียนไม่อยากเห็นเธอกระวนกระวายใจขนาดนี้ ฉะนั้นจึงอยากช่วยเธอสักตั้ง

คร่ำหวอดในวงการมานานหลายปี ทำให้จ้าวเจวี๋ยได้เห็นนิสัยใจคอของคนมามาก จึงรู้ว่าสิ่งใดที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงหรือไม่ นักแต่งเพลงล้วนมองว่าเพลงของตนเองมีค่าปานลูกในไส้ กลัวว่าชิ้นงานของตนจะถูกคนอื่นมองไม่เห็นค่า

ไหนเลยจะมีคนยกผลงานระดับนี้ให้เป็นของขวัญตอบแทนสำหรับอาหารมื้อง่ายๆ

หลินเยวียนกล้าพูดแบบนี้ แต่จ้าวเจวี๋ยกลับไม่สามารถฟังออกมาเป็นอย่างนั้น

ในตอนนี้จะเป็นหรือไม่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็ไม่สำคัญแล้ว

ถึงเพลงนี้ของหลินเยวียนจะไม่ช่วยเธอแล้วอย่างไร?

ลำพังแค่น้ำใจของหลินเยวียน แค่เขาปกป้องเธอแบบนี้ ก็มีค่ามากพอให้เธอเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีแล้ว

รอยยิ้มพลันอบอุ่นขึ้นมา

จ้าวเจวี๋ยเปิดอีเมล สวมหูฟัง เพื่อฟังบทเพลงที่มีชื่อว่า ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’

“ฮ่าๆ”

บทเพลงเปิดด้วยเสียงสังเคราะห์คุ้นหู ทำให้จ้าวเจวี๋ยหัวเราะออกมา

ครั้งก่อนหลินเยวียนส่งเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ให้ ก็ใช้เสียงสังเคราะห์ที่มีเอกลักษณ์แบบนี้เหมือนกัน

เพลงยาวสามนาทียี่สิบวินาทีบรรเลงจบลงอย่างรวดเร็ว

ทว่าทันทีที่ฟังจบ สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เธอเปิดเพลงนี้อีกครั้งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ยังคงเป็นสามนาทียี่สิบวินาทีดังเดิม แต่ในครั้งนี้ เวลาคล้ายกับว่าจะช้าลงกว่าเดิม

เมื่อฟังเพลงจบ จ้าวเจวี๋ยก็ลุกขึ้นยืน แทบอยากวิ่งตามหลินเยวียนที่วิ่งออกไป

แต่ฝีเท้าพลันชะงัก จู่ๆ เธอก็หยุดลง ก้มหน้ามองอาหารกลางวันที่หลินเยวียนกินไปได้ครึ่งเดียว พึมพำว่า “เธอเรียกมันว่าของขวัญขอบคุณสำหรับมื้ออาหารเหรอ…”

“นี่ เสี่ยวจ้าว คิดอะไรอยู่ ใจลอยเลย”

เหล่าโจวก็มาที่โรงอาหาร มองปราดเดียวก็เห็นจ้าวเจวี๋ยซึ่งสวมหูฟัง สีหน้าแลดูซับซ้อน

“อ๋า”

ทันใดนั้นเหล่าโจวก็นึกบางอย่างออก “ยังเครียดเรื่องจะเซ็นสัญญากับผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’ ยังไงอยู่ใช่มั้ย ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอหาเพลงมาลองดู แผนกประพันธ์เพลงคนเก่งเต็มไปหมด ต้องมีวิธีบ้างแหละ”

“ฉันว่า ไม่ต้องแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยเอียงคอถอดหูฟังออก

เหล่าโจวชะงักไป “ทำไมล่ะ” 

จ้าวเจวี๋ยยิ้มบาง “ไว้เดี๋ยวนายก็รู้แล้ว”

เหล่าโจวหลุดหัวเราะ “ยังจะปิดบังฉันอีก เอาเถอะ จะบอกข่าวดีกับเธอเรื่องหนึ่ง! หลินเยวียนนี่มันอัจฉริยะจริงๆ! เขาเพิ่งเข้ามาในแผนกประพันธ์เพลงได้ไม่เท่าไหร่ก็ทำออเดอร์ห้าล้านหยวนสำเร็จ! เจ้าเด็กคนนี้ ขนาดนักแต่งเพลงมือทองสิบกว่าคนยังรับมือออเดอร์นี้ไม่ได้ เขาออกโรงทีเดียวเรียบร้อย! แถมเพลงนั้นที่เขาเขียนยังคุณภาพสุดยอดไปเลย มองจากประสบการณ์หลายปีของฉันนะ โอกาสที่เพลงนี้จะดังมีสูงมาก! นี่เป็นต้นอ่อนชั้นดีที่ที่เธอส่งมาให้ฉัน พี่โจวติดหนี้น้ำใจเธอแล้ว!”

จ้าวเจวี๋ยอ้าปากค้าง

ในสมองของเธอตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว ‘ตอนนั้นฉันเซ็นสัญญากับเทพเซียนหรือยังไงเนี่ย’

……

ช่วงบ่ายสาม

ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในฉินโจว

จ้าวอิ๋งเก้อผู้ชนะรายกาย ‘สะพรั่ง’ ในปีนี้สีหน้าบูดบึ้ง “สามบริษัทบันเทิงใหญ่พวกนี้ส่งเพลงมาตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่มีที่ฉันถูกใจสักเพลงเลยล่ะ”

“เธอบอกว่า ‘ขุนเขากับทะเล’ ไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอ”

โจวเสี่ยวลี่ลูกพี่ลูกน้องของจ้าวอิ๋งเก้อเอ่ยปาก บริษัทที่ติดต่อจ้าวอิ๋งเก๋อมาหลังจากที่เธอชนะ ‘สะพรั่ง’ นั้นมากมายเหลือเกิน ฉะนั้นโจวเสี่ยวลี่จึงเข้ามาเป็นผู้จัดการของจ้าวอิ๋งเก้อชั่วคราว คอยจัดการติดต่อประสานงานกับข้างนอก ช่วงที่ไม่มีกิจกรรมอะไร ปกติแล้วโจวเสี่ยวลี่ก็จะช่วยคุยโทรศัพท์ก็เท่านั้น

จ้าวอิ๋งเก๋อส่ายหน้า “‘ขุนเขากับทะเล’ ไม่เลวก็จริง แต่ก็แค่ไม่เลว เพลงนี้ยังไม่ถึงขั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องร้องให้ได้ ฉันอยากได้ผลงานที่อยู่ในระดับงานชิ้นโบว์แดง เพราะฉันหวังว่าเพลงแรกที่ฉันปล่อยอย่างเป็นทางการจะกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของฉัน หลังจากนี้เมื่อพูดถึงเพลงนี้ทุกคนก็จะนึกเชื่อมโยงได้ทันทีว่าเพลงนี้จ้าวอิ๋งเก้อเป็นคนร้อง!”

โจวเสี่ยวลี่กระซิบว่า “มาตรฐานของเธอออกจะสูงอยู่นะ…”

จ้าวอิ๋งเก้อถอนหายใจ “เพราะเธอไม่เข้าใจวงการนี้ต่างหาก ที่จริงมาตรฐานด้านเพลงของฉันไม่ได้แย่อะไรนะ แต่เป้าหมายของฉันคือกลายเป็นราชินีวงการเพลงในอนาคต ถ้าไม่มีเพลงดีๆ ช่วย เสียงดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ อย่ามองว่าแต่ละบริษัทต่างอยากเซ็นสัญญากับฉันแบบน้ำใสใจจริง หลังจากเซ็นสัญญาแล้วพวกเขาคงไม่สนใจฉันมากขนาดนี้หรอก ยังไงตอนนี้ฉันก็กินผลประโยชน์ของการเป็นผู้ชนะรายการ ‘สะพรั่ง’ อยู่ พอเข้าไปในบริษัทแล้ว บริษัทไหนบ้างจะไม่มีราชาราชินีเพลงเป็นโขยงล่ะ

มันก็ประมาณนี้ล่ะ”

โจวเสี่ยวลี่โน้มน้าว “แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกินจนอิ่มในคราวเดียวนี่นา ยังไงซะเพลงดีๆ ก็ต้องรอสักหน่อย ราชาราชินีเพลงก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน มีที่ไหนกันเธอให้คนเขาเขียนเพลงแล้วเขาจะเขียนออกมาได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นนะ เพลงที่สามบริษัทใหญ่ช่วงนี้ส่งมาให้เธอก็เป็นผลงานของนักประพันธ์เพลงระดับสูงที่มีชื่อเสียงในวงการทั้งนั้น แค่การให้ความสำคัญเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่บริษัทพวกนี้มีแล้วล่ะมั้ง ถ้าถามฉันก็เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงก็แล้วกัน ถึงยังไงเธอก็บอกว่า ‘ขุนเขาและทะเล’ ใช้ได้อยู่นี่”

“เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

จ้าวอิ๋งเก้อไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่

ในตอนนี้ โทรศัพท์ของโจวเสี่ยวลี่ก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมาดู ใบหน้าผุดรอยยิ้มขึ้นมา “นี่มันก็นานแล้วนะ สามบริษัทก็ส่งเพลงใหม่มาอีกหลายเพลง”

จ้าวอิ๋งเก้อเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงจะสนใจ “เพลงของใครล่ะ”

โจวเสี่ยวลี่เหลือบมอง พูดว่า “คนแต่งเพลงของเซวี่ยนล่านอิ๋งกวงชื่อหยางส่าน คนแต่งเพลงของซาไห่ชื่อเจี่ยงอี๋

คนแต่งเพลงของสตาร์ไลท์ชื่อเซี่ยนอวี๋”

หยางส่าน?

เจี่ยงอี๋?

เซี่ยนอวี๋?

จ้าวอิ๋งเก้อเลิกคิ้ว ในห้วงสำนึกปรากฏข้อมูลของคนเหล่านี้ “หยางส่านกับเจี่ยงอี๋เป็นนักแต่งเพลงมือทองในวงการ ส่วนเซี่ยนอวี๋เป็นนักแต่งเพลงที่เพิ่งเปิดตัว เดือนที่แล้วเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ที่ได้อันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงใหม่ก็เป็นเพลงแรกของเขา แต่ว่าเพลงนั้นไม่ถูกจริตฉันเท่าไหร่ นึกไม่ถึงว่าสตาร์ไลท์จะถึงกับเอาเด็กใหม่มาหลอกฉัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าคุณภาพของเพลงจะเป็นยังไง เพลงที่ส่งมาก็มาจากมือทองของแต่ละบริษัททั้งนั้น…”

“เด็กใหม่?”

โจวเสี่ยวลี่พูดด้วยความกังวล “ดูท่าสามบริษัทใหญ่นี้จะหมดความอดทนกับเธอแล้ว สตาร์ไลท์ส่งมาแม้แต่เพลงของเด็กใหม่ หรือว่าพวกเรารีบเลือกสักบริษัท ฟังเพลงพวกนี้ดูก่อน”

“ช่างมันเถอะ”

หลายวันมานี้จ้าวอิ๋งเก้อถูกความผิดหวังโจมตีอยู่ตลอด “รอรวบรวมเพลงได้มากกว่านี้แล้วค่อยฟังแล้วกัน คิดซะว่าเป็นการทดสอบรอบสุดท้าย พอถึงตอนนั้นไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ฉันก็จะเลือกเซ็นสัญญากับสักบริษัทในนั้น ประวิงเวลาไปก็ไม่ใช่เรื่อง”

“ก็ได้”

โจวเสี่ยวลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันจะเลี้ยงหนังเธอเอง วันอังคารหน้ามีอนิเมชันชื่อ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ จะเข้าฉาย เธอชอบดูอนิเมชันไม่ใช่เหรอ ซื้อตั๋วตอนนี้เลือกที่นั่งดีๆ ได้ด้วยนะ”

“เธอซื้อเลย”

จ้าวอิ๋งเก้อก็อยากดูหนังให้สมองโล่งอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้ฟังแต่เพลงที่บริษัทส่งมาติดๆ กัน ฟังจนสมองแทบระเบิดอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้จริงๆ เธอก็ทำได้แค่เลือกเพลง ‘ขุนเขากับทะเล’ ของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงแล้ว

……………………………………………

หนึ่งวันให้หลัง หลินเยวียนกลับมาที่บริษัทอีกครั้ง เสียงของคนในแผนกที่ทักทายหลินเยวียนนั้นมีมากขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

หลินเยวียนตอบกลับ จากนั้นก็เข้าไปถามคำถามอู๋หย่ง “ชั้นสิบมีนักแต่งเพลงมือทองทั้งหมดสิบสี่คนเหรอครับ”

“ใช่แล้ว”

อู๋หย่งตอบอย่างยิ้มแย้ม “นักแต่งเพลงมือทองล้วนเป็นยอดฝีมือตัวจริงด้านการแต่งเพลง เหล่าเจิ้งรุ่นพี่วิทยาลัยนายก็เป็นหนึ่งในนั้น คนที่ครั้งก่อนนั่งข้างนายตอนประชุมน่ะ”

“นักแต่งเพลงมือทองจะเงินเดือนสูงเหรอครับ”

นี่คือประเด็นสำคัญที่หลินเยวียนอยากถาม

อู๋หย่งพยักหน้า “เงินเดือนของนักแต่งเพลงมือทองก็ต้องมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว พวกเขาได้เงินเดือนพื้นฐานเดือนละสามหมื่นหยวน แต่ว่านักแต่งเพลงมือทองเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับเงินเดือนเท่านี้ก็แค่นั้น”

หลินเยวียนพูด “ต้องชอบใจสิครับ”

อู๋หย่งหลุดหัวเราะ “งั้นนายก็พยายามเป็นนักแต่งเพลงมือทองให้ได้ แต่ข้อได้เปรียบที่สุดของนักแต่งเพลงมือทองไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ความโหดที่แท้จริงของนักแต่งเพลงมือทองอยู่ที่พวกเขามีคุณสมบัติที่จะต่อรองกับบริษัท สามารถแบ่งรายได้จากผลงานเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่า”

ส่วนแบ่งรายได้ที่สูงกว่า?

หลินเยวียนถาม “แล้วเกณฑ์ของนักแต่งเพลงมือทองอยู่ตรงไหนเหรอครับ”

“เฮ้อ มือทองเป็นคำที่พวกเราเรียกกันเอง ถึงจะเบียวไปหน่อย แต่เรียกแบบนี้ก็เท่ดีออก ก็เหมือนกับพ่อเพลงนั่นแหละ อันที่จริงนักแต่งเพลงมือทองของบริษัทก็มีชื่อตำแหน่งเฉพาะอยู่นะ เรียกว่านักประพันธ์เพลงระดับสูง ระดับสูงกว่าพวกเรา ส่วนของพวกเราเรียกรวมๆ ว่านักประพันธ์เพลง และเกณฑ์ทั่วไปของบริษัทสำหรับนักประพันธ์เพลงระดับสูงคือมีผลงานชิ้นโบว์แดงซึ่งได้ยอดดาวน์โหลดทะลุหนึ่งล้านมากกว่าห้าเพลง”

หลินเยวียนพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ

อู๋หย่งตบไหล่หลินเยวียน “ฉันเพิ่งดูยอดดาวน์โหลด ‘ชีวิตดั่งมวลผากยามคิมหันต์’ วันนี้ใกล้จะถึงหกแสนแล้ว ในอนาคตจะแตะหนึ่งล้านย่อมไม่ใช่ปัญหา ไม่รู้ว่าเพลงที่ฉีโจวออเดอร์มาจะมีโอกาสทะลุล้านมั้ย…เรื่องพวกนี้พูดยาก เพราะสไตล์ของเพลงที่สั่งทำมาประกอบหนัง โดยทั่วไปแล้วจะถูกภาพยนตร์ต้นฉบับจำกัดไว้ ง่ายต่อการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่ยอดดาวน์โหลดของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะยังไงก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะงั้นนายก็ไม่ต้องตั้งความหวังมากเกินไป แต่ส่วนแบ่งของออเดอร์นี้ไม่เลวเลยนะ ครั้งนี้นายรับทรัพย์เต็มๆ!”

“อื้ม”

หลินเยวียนคล้ายกับกำลังใช้ความคิด

อู๋หย่งทอดถอนใจ “นายเองก็ไม่ต้องคิดเผื่อไปไกล ยังไงซะนายเพิ่งเข้ามาในบริษัทก็มีผลงานชิ้นโบว์แดงไปตั้งสองรอบติดๆ หลังจากนี้ยังมีโอกาสได้เป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงอีกมาก เมื่อถึงตอนนั้นนายก็จะได้เป็นนักแต่งเพลงมือทองคนที่สิบห้าของชั้นสิบ”

“อื้ม”

หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเองจะต้องเร่งความเร็วในการปล่อยเพลง มีเพียงการเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูง ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่ามือทองนั้น จึงจะสามารถหาเงินได้มากกว่านี้

เมื่อคิดได้เช่นนี้

หลินเยวียนก็ซักถามอู๋หย่ง “แล้วออเดอร์ของชั้นสิบ ทุกคนสามารถรับงานได้ เหมือนกับครั้งนี้มั้ยครับ”

“ไม่”

อู๋หย่งกล่าว “หัวหน้าเป็นคนแบ่งออเดอร์ แต่ปกติแล้วนักแต่งเพลงมือทองจะได้ก่อน แล้วก็เรียงตามลำดับ

ไม่ได้ให้นักแต่งเพลงมือทองคนเดิมรับงาน ทำแบบนี้ทุกคนจะได้มีโอกาส มีแค่กรณีที่นักแต่งเพลงมือทองคนนั้นทำไม่ได้ ออเดอร์นั้นก็จะส่งต่อให้มือทองคนลำดับถัดไป ออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นี่งานหินพอตัว ทำให้มือทองสิบสี่คนของเราโดนปัดตกกันหมด เพราะงั้นเหล่าโจวเลยให้ทั้งแผนกลองดู สถานการณ์แบบนี้มีน้อยมาก ปกติแล้วส่งผ่านมือทองไม่เกินห้าคนโดยเฉลี่ยก็ทำออเดอร์ได้แล้ว ยังไงซะความสามารถในการทำงานของพวกมือทองในบริษัทก็สูงอยู่แล้ว”

“พ่อเพลงล่ะครับ?”

“ยังไม่ต้องพูดถึงพ่อเพลงชั้นอื่น พ่อเพลงของชั้นสิบเรามีคนเดียว นายไม่เคยเจอ เพราะพ่อเพลงปีหนึ่งจะเห็นเข้าบริษัทไม่กี่ครั้ง แต่พวกเขาก็มีงานไม่ขาดมือ ถ้าทางผู้ที่ต้องการเพลงเสนอราคาไม่ถึงสิบล้าน พวกเขาก็ไม่สนใจ”

“อ้อ”

หลินเยวียนเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทมากขึ้นอีกสักหน่อย

เขาเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตำแหน่ง มีอีกหลายเรื่องที่ต้องให้คนอื่นชี้แนะ และนั่นคือเหตุผลที่หัวหน้าให้อู๋หย่งมาดูแลหลินเยวียน

……

ช่วงเที่ยงวัน

คนแผนกประพันธ์เพลงล้วนทยอยกันไปกินข้าวที่โรงอาหาร

หลินเยวียนซึ่งถูกกาแฟถลุงเงินไปกำลังครุ่นคิด ตัดสินใจว่าจะหาคนไปเกาะกินข้าวฟรีด้วย และเขาก็

ล็อกเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว

ซุนเย่าหั่ว!

ซุนเย่าหั่วชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากชาร์ตดาวรุ่ง จึงรู้สึกขอบคุณหลินเยวียนมาก บอกหลินเยวียนว่าจะเลี้ยงข้าวอยู่หลายครั้ง แต่หลินเยวียนไม่มีเวลาเลย

วันนี้ถือโอกาสได้ทวงมื้ออาหารนี้สักที

ทว่าเมื่อหลินเยวียนมาถึงแผนกศิลปินชั้นแปดถึงได้รู้ว่าวันนี้ซุนเย่าหั่วแจ้งว่าไม่เข้าบริษัท

ขณะที่กำลังจะกลับออกมา เสียงอันคุ้นเคยก็เรียกให้เขาหยุดลง “หลินเยวียน”

“พี่จ้าว?”

หลินเยวียนหันไปมอง เป็นจ้าวเจวี๋ยจริงๆ

จ้าวเจวี๋ยสีหน้ายิ้มแย้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอ มาหาคนที่นี่เหรอ”

หลินเยวียนพยักหน้า “ครับ ซุนเย่าหั่วไม่อยู่”

จ้าวเจวี๋ยพูด “เขามีงาน ไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย ถ้าไม่ติดธุระก็ไปกินข้าวกับฉันสิ จะพาเธอลงไปชิมอาหารของโรงอาหารบุคลากรระดับสูง”

หลินเยวียนกังวลขึ้นมา “โรงอาหารของบุคลากระดับสูงแพงมากใช่มั้ยครับ”

จ้าวเจวี๋ยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ไปกินข้าวกับจ้าวเจวี๋ย จะให้เธอออกเงินได้ยังไงล่ะ ไปกัน ฉันเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณครับพี่จ้าว!”

หลินเยวียนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง

โรงอาหารของบุคลากรระดับสูงต่างจากของพนักงาน ที่นี่กินอาหารกันเงียบกว่ามาก อีกทั้งคนก็น้อยกว่า หลายโต๊ะรอบตัวหลินเยวียนล้วนว่างเปล่า นอกจากนั้นแล้วอาหารส่วนมากจะทำแยกกัน โดยทั่วไปจะเป็นอาหารที่บุคลากรระดับสูงสั่งไว้ล่วงหน้า ตอนเที่ยงพ่อครัวแม่ครัวทำเสร็จแล้วจึงมากิน

“ฉันมากินคนเดียวมักจะกินไม่หมดน่ะ”

จ้าวเจวี๋ยชี้ไปยังอาหารสี่อย่างบนโต๊ะ “เธอมาช่วยฉันกินพอดี ถ้าไม่พอฉันจะให้พวกเขาทำให้”

“พอครับ”

หลินเยวียนไม่ใช่คนโลภมาก

กินอาหารอย่างแรกเข้าไป เขาก็รู้แล้วว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นโรงอาหารของบุคลากรระดับสูง

นั่นเพราะรสชาติของอาหารที่นี่ดีกว่าในโรงอาหารของพนักงานมาก แทบจะไม่ต่างกับภัตตาคารที่มีไอศกรีมกินได้ไม่อั้นซึ่งไปกินวันนั้น โรงอาหารพนักงานที่เดิมทีนับว่าอร่อยมากสำหรับหลินเยวียนก็เกิดข้อเปรียบเทียบขึ้นมาทันที

จ้าวเจวี๋ยกินช้ามาก

บางครั้งเธอก็รับโทรศัพท์ ท่าทางดูงานยุ่งมาก แถมน้ำเสียงที่ใช้พูดโทรศัพท์ส่วนมากหนักแน่นเด็ดขาด แฝงความแข็งกร้าว

“แบรนด์เครื่องประดับนั้นเปลี่ยนศิลปินของเราเหรอ ไม่ใช่ปัญหาจากศิลปินเราใช่มั้ย ได้ ไม่ต้องไปต่อรองแล้ว ประกาศออกไปเลยว่าหลังจากนี้ไม่ให้ศิลปินของสตาร์ไลท์รับงานพรีเซนเตอร์ของแบรนด์นี้อีก”

“ทางผู้จัดกิจกรรมของมิวซ์แอปพาเรลฟ้องร้องศิลปินของสตาร์ไลท์ที่มาสาย? ก่อนหน้านี้ฉันสอนว่ายังไง คิดว่าตัวเองดังแล้ว? ไม่ต้องอ้างเหตุผลว่ารถติด ควรปรับเท่าไหร่ก็ปรับไปเลย คิดจะมาอวดเก่งกับฉันหรือไง”

“หลี่หลี่ถูกแอบถ่ายภาพหลุด? ติดต่อฝ่ายประสานงาน แล้วก็ไปตามหานักข่าวที่ถ่ายภาพมาด้วย ฉันจะให้หัวหน้าเขาจัดการ”

“…”

หลังจากรับโทรศัพท์หลายสาย เธอจึงยิ้มเชิงขอโทษกับหลินเยวียน “เสียงดังรบกวนเธอเลยสินะ”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนไม่ได้กินข้าวเช้า จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย ขณะที่จ้าวเจวี๋ยคุยโทรศัพท์ เขาก็กินข้าวหมดเกลี้ยงแล้ว

“เธอนี่นะ”

จ้าวเจวี๋ยมองหลินเยวียนด้วยความขบขัน ยื่นมือออกมาเช็ดเม็ดข้าวที่มุมปากของเขา “ครั้งก่อนแม่เธอโทรศัพท์มาหาฉัน ถามเรื่องเธอ นึกไม่ถึงว่าเธอจะโกหกกับเขาเป็นด้วย เงินที่เธอได้ไม่ถึงหนึ่งแสนล่ะมั้ง เงินเดือนก็ไม่ถึงสองหมื่น”

หลินเยวียนพูด “รบกวนพี่จ้าวแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า พอจะเดาเหตุผลได้ ฉะนั้นจึงไม่ได้ตำหนิเจตนาของหลินเยวียน

ในตอนนั้นเอง

โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่โทรศัพท์สายนี้คล้ายว่าจะเป็นสายสำคัญ เพราะหลินเยวียนเห็นว่าสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเปลี่ยนไป ถึงขั้นลุกขึ้นยืน

ไม่เพียงเท่านี้

น้ำเสียงที่เธอพูดโทรศัพท์ในครั้งนี้ปราศจากความแข็งกร้าวเฉกเช่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย กลับยังออกจะประดักประเดิดอยู่สักหน่อย “ค่ะๆๆ…ฉันได้คุยแล้ว…เด็กคนนี้ถือตัวอยู่สักหน่อย…รับมือยาก…ทราบแล้วค่ะ…บอส…คุณอย่าปล่อยให้คนพวกนั้นบังคับให้ฉันต้องประกาศกร้าวแบบนั้นอีกนะคะ…จิตใจฉันรับไม่ไหวแล้ว…”

หลินเยวียนนิ่งอึ้งไป

ที่แท้ก็เป็นบอสของบริษัท เรื่องนี้ก็เข้าใจง่ายแล้ว ใครจะกล้าไม่เห็นหัวหน้าอยู่ในสายตากันล่ะ

หลังวางสายไป

จ้าวเจวี๋ยก็คล้ายว่าไม่มีกะจิตกะใจจะกินอาหารต่อแล้ว ผ่านไปนานโขกลับคีบอาหารเพียงสองคำด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอครับ” หลินเยวียนถามด้วยความเป็นห่วง

จ้าวเจวี๋ยยิ้มขื่น “บอกเธอไปจะมีประโยชน์อะไร เธอกินข้าวไปเถอะ”

หลินเยวียนกินน้ำซุปหนึ่งคำ ก่อนจะเช็ดปาก “ผมกินเสร็จแล้ว พี่เล่ามาได้ครับ”

“…”

จ้าวเจวี๋ยวางโทรศัพท์ลง “‘สะพรั่ง’ เธอรู้จักใช่มั้ย”

หลินเยวียนพยักหน้า

นี่คือรายการประกวดซึ่งจัดปีละครั้ง ความฝันของซย่าฝานคือการได้เป็นนักร้องหญิงที่โด่ดเด่นคนหนึ่ง แต่เธอเข้าร่วมรายการและตกรอบมาสองปีติดต่อกัน นับว่าเป็นรายการที่ธรณีประตูสูงยากที่จะก้าวข้ามพอสมควร

“งั้นเธอก็คงจะติดตามรายการมาบ้าง”

จ้าวเจวี๋ยพูดด้วยความปวดหัว “‘สะพรั่ง’ ปีนี้มีผู้ชนะขั้นเทพชื่อจ้าวอิ๋งเก้อ หน้าตาสะสวย พรสวรรค์ด้านการร้องเพลงเทียบกับเธอเมื่อก่อนได้เลย ที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้สังกัดบริษัท เพราะงั้นตอนนี้บริษัททั้งเล็กทั้งใหญ่ในฉินโจวต่างก็อยากเซ็นสัญญาด้วย แต่น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นหยิ่งมาก เรียกได้ว่าถ้าใครอยากเซ็นสัญญากับเธอ จะต้องเสนอเพลงที่จะใช้เป็นผลงานเด่นได้ ฉันเลยไปไหว้วานเหล่าโจว ให้มือทองสักเจ็ดแปดคนแต่งเพลงให้ แต่เธอก็ไม่ถูกใจเลย”

หลินเยวียนวิจารณ์ว่า “มาตรฐานสูงมาก”

เวลางานช่วงสายนั้น เดิมทีหลินเยวียนนึกสงสัยในผลงานของมือทอง จึงฟังผลงานโดดเด่นของพวกเขาอยู่หลายเพลง

ต้องบอกว่า

มาตรฐานของนักแต่งเพลงมือทองสูงจริงๆ ผลงานโดดเด่นแต่ละเพลง เรียกได้เลยว่าคลาสสิก

ขณะเดียวกันหลินเยวียนก็เชื่อมั่นว่าผลงานเด่นของนักแต่งเพลงมือทองเหล่านี้ ต่อให้อยู่ในโลกเดิม ก็จะดังซะยิ่งกว่าดัง

นั่นทำให้หลินเยวียนรับรู้ในความสามารถของเหล่านักแต่งเพลงของบลูสตาร์ได้อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม

“แต่เธอก็ไม่ได้ต่อต้านสตาร์ไลท์”

น้ำเสียงของจ้าวเจวี๋ยผ่อนลงบ้างแล้ว ราวกับว่าหลินเยวียนกลายเป็นคู่สนทนาที่ไม่เลวเลย

“ยังดี เพลงที่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับซาไห่เสนอมาในตอนนี้เธอยังไม่ประทับใจ เพราะฉะนั้นจนถึงตอนนี้ ทั้งสามบริษัทกำลังแข่งกันอยู่ เพราะเธอไม่สนใจบริษัทอื่นนอกจากสามบริษัทใหญ่”

เล่าถึงตรงนี้

จ้าวเจวี๋ยก็ส่ายหน้า “ที่จริงก็ไม่ใช่เพราะเธอดูถูกเพลงของนักแต่งเพลงมือทอง ประเด็นคือกำลังของนักแต่งเพลงมือทองก็มีจำกัด ส่วนมากร่วมงานกับนักร้องในระยะยาว บางครั้งก็รับงานจากข้างนอก เพราะงั้นเพลงที่แต่งออกมาชั่วคราวนั้น คุณภาพก็จะด้อยกว่า…”

มีโทรศัพท์ดังขึ้นอีกสาย

จ้าวเจวี๋ยไม่อยากรับ จึงตัดสายทิ้ง และระบายกับหลินเยวียนต่อ “เธอเป็นนักแต่งเพลงก็น่าจะรู้ ต่อให้ทุ่มสุดตัว ก็ไม่มีนักแต่งเพลงมือทองคนไหนรับรองได้ว่าผลงานทุกชิ้นของตนจะโดดเด่น ผลงานชิ้นโบว์แดงน่ะนะ มักจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่สูงของคนคนนั้น ใครจะกล้าบอกว่าผลงานทุกชิ้นของตัวเองจะแตะถึงระดับสูงสุดกันล่ะ

ใช่แล้ว ทุกคนบอกว่านักแต่งเพลงมือทองเก่งกันมากๆ ถ้าลงมือเองแล้ว งานก็ต้องไม่ธรรมดา

แต่คำพูดนี้ก็ต้องแยกกัน…เก่งก็คือเก่ง ถึงยังไงนักแต่งเพลงมือทองของสตาร์ไลท์เราอย่างน้อยต้องมีผลงานคลาสสิกห้าเพลงขึ้นไป แต่ถ้าลองเฉลี่ยดูแล้วจะพบว่า…อายุของนักแต่งเพลงมือทองส่วนมากจะประมาณสามสิบ อายุสามสิบเรียกว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ที่ยังอายุน้อยอยู่เลยนะ!

หรือจะพูดได้ว่า นอกจากอัจฉริยะที่มีจำนวนน้อยมากแล้ว พวกเขาส่วนมากต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี ถึงจะเขียนผลงานที่เรียกว่าผลงานชิ้นโบว์แดงพวกนี้ออกมาได้”

“สิบปีเลย! แค่งานชิ้นโบว์แดงไม่กี่ชิ้นน่ะเหรอครับ!”

“จำนวนชิ้นงานที่ออกมาเทียบได้กับคลอดเด็กคนหนึ่งเลยใช่มั้ยล่ะ อุ้มท้องเก้าเดือน นักแต่งเพลงมือทองเก้าเดือนยังคลอดชิ้นงานไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะงั้นจ้าวอิ๋งเก้ออยากได้งานชิ้นโบว์แดง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกนักแต่งเพลงมือทองคนหนึ่งมาให้เธอ แล้วงานก็เสร็จเรียบร้อย ข้อเรียกร้องนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่ที่จริงแล้วลำบากมาก”

หลินเยวียนตะลึกงันไป

จ้าวเจวี๋ยให้มุมมองใหม่กับเขา

เขามองเพียงแค่ความแข็งแกร่งของนักแต่งเพลงมือทอง แต่กลับไม่เห็นว่าทุกคนล้วนทุ่มเททั้งเวลาและกำลังเขียนเพลงระดับผลงานชิ้นโบว์แดงออกมา ก็เหมือนกับตนที่บากบั่นทำภารกิจของระบบเพื่อให้ได้มาซึ่งกล่องสมบัติ

“เฮ้อ”

จ้าวเจวี๋ยผุดรอยยิ้มขึ้นมา “มาระบายกับเธอซะนานเลย เธอคงฟังจนรำคาญแล้ว ขอบคุณนะที่ฟังฉันพูดไร้สาระตั้งเยอะแยะ กินอิ่มแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ ฉันจะไปลองขอเพลงจากเหล่าโจวมาอีกสักหน่อย ถึงยังไงอีกสองบริษัทก็มาแย่งจ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้สักพัก ค่อยๆ คิดหาวิธีดีกว่า”

หลินเยวียนพูดว่า “ถ้ามีเพลงแล้วเธอจะเซ็นสัญญาใช่มั้ยครับ”

จ้าวเจวี๋ยแทบหยุดหายใจเพราะน้ำเสียงสบายๆ ของหลินเยวียน “ใช่ มีเพลงก็ได้แล้ว แต่ต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง คำว่าผลงานชิ้นโบว์แดงเธอคงเข้าใจใช่ไหม ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเธอ ทำไม เธอจะให้มวลผกายามคิมหันต์ผลิดอกออกมาอีกเหรอ”

หลินเยวียนพูดอย่างเสียดาย “‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เธอต้องเคยฟังแล้วแน่ๆ เลย”

จ้าวเจวี๋ย “…”

เด็กน้อยเอ๊ย จะจริงจังเหรอเนี่ย

หลินเยวียนเองก็รู้สึกหงุดหงิดใจ “‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ได้มั้ยครับ”

จ้าวเจวี๋ยชะงักงัน “อะไรระเบิดนะ”

หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดอีเมล ก่อนจะบอกว่า “ผมส่งให้พี่แล้ว”

จ้าวเจวี๋ยงุนงง “เธอส่งอะไรให้ฉัน”

หลินเยวียนลุกขึ้นพูดว่า “คิดซะว่าเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ก็แล้วกันครับ”

……………………………………

วันรุ่งขึ้น

เวลาแปดโมงเช้า

หลินเยวียนเพิ่งมาถึงบริษัทก็ถูกเหล่าโจวเรียกเข้าห้องทำงาน “ออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ตกลงเรียบร้อยแล้ว ทางนั้นตัดสินใจเลือกงานของนายไปใช้ อีกอย่างหนังของพวกเขาเข้าโรงฉายสัปดาห์หน้าแล้วนะ”

“สัปดาห์หน้า?”

เร็วไปหรือเปล่า

เหล่าโจวอธิบายว่า “เดิมทีก็ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก แต่ตลาดภาพยนตร์ของทางฉีโจวแข่งขันสูงมาก น่าจะทำไปเพื่อเลี่ยงหนังเรื่องดัง เลยรีบปรับตารางฉายล่ะมั้ง แต่ว่ากันตามเจตนาของทางนั้น ขั้นโพสต์โปรดักชันจริงๆ ก็ทำเสร็จแล้ว เรื่องโปรโมตก็ไม่ได้หยุดเลย ทั้งโปรเจกต์ก็ขาดแค่เพลงประกอบเนี่ยแหละ ตอนนี้เพลงเข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเขารีบปล่อยออกฉายถือว่าปกติมาก”

“อ้อ”

“รอรอบพรีเมียร์ฉายจบ บริษัทก็จะจัดการปล่อยเพลง ‘ปลายักษ์‘ อย่างเป็นทางการ พอถึงตอนนั้นฉันจะแจ้งกับแผนกทรัพยากรว่าให้ดันนายให้มากหน่อย ไม่ว่าหนังจะเป็นยังไง ฉันคิดว่าเพลงนี้จะต้องดัง”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนเดินออกจากห้องทำงาน

ผ่านไปยี่สิบนาที เหล่าโจวก็เดินออกมาจากห้องทำงาน ตบลงบนโต๊ะอย่างแรง เรียกความสนใจจากสมาชิกในแผนกได้สำเร็จ

มีคนถามว่า “หัวหน้า มีเรื่องอะไรเหรอ”

ใบหน้าของเหล่าโจวประทับรอยยิ้มบาง “ออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ทางฉีโจวได้เซ็นสัญญากับพวกเราสำเร็จแล้ว ฉะนั้นพวกนายไม่จำเป็นต้องพยายามเขียนเพลงแล้ว”

“สัญญาสำเร็จแล้ว?”

ทุกคนต่างคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นประเด็นสนทนาของแผนกก็เริ่มต้นขึ้น

“ใครน่ะ”

“โหดขนาดนั้นเลย?”

“ถึงกับจัดการออเดอร์ที่นักแต่งเพลงมือทองยังทำไม่ได้ในเวลาสิบกว่าวัน?”

“อีกอย่าง ระยะเวลาที่ใช้ก็เร็วไปหน่อยมั้ยนั่น เพิ่งผ่านไปเท่าไหร่เอง”

“เป็นเทพคนไหนของแผนกประพันธ์เพลงเราเนี่ย”

“คงไม่ได้ให้พ่อเพลงออกโรงหรอกใช่มั้ย”

“…”

ยังมีคนกระทบกระเทียบหลินเยวียน “เซี่ยนอวี๋ เงินห้าล้านของนายปลิวไปแล้ว เห็นทีนายกับ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ คงจะไม่มีชะตาต่อกัน”

“ฮ่าๆ”

อู๋หย่งก็ตบไหล่หลินเยวียน ใบหน้าแกมหยอกล้อ “พยายามต่อไปนะ”

ทุกคนพลันหัวเราะครืน

ทันใดนั้นทุกคนก็มองไปทางเหล่าโจว หวังว่าจะได้คำตอบจากปากของเหล่าโจว “สรุปแล้วใครในแผนกประพันธ์เพลงของเราที่สุดยอดขนาดนั้น หัวหน้าอย่าอุบไว้คนเดียวสิครับ”

“เป็น…”

เหล่าโจวหยุดไปชั่วครู่ แบบนี้ถึงจะบ่มให้บรรยากาศตื่นเต้นยิ่งขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีเสียงดัง

มาจากด้านนอก

“ใครสั่งกาแฟน่ะ”

หลินเยวียนยกมือขึ้น “ผม”

เขาสั่งไปตั้งแต่เดินออกมาจากห้องทำงานของเหล่าโจว

พนักงานเดลิเวอรีหลายคนมาพร้อมกัน ในมือของทุกคนล้วนถือกาแฟเต็มไม้เต็มมือ

หนึ่งในนั้นพูดกับหลินเยวียนว่า “ทั้งหมดแปดสิบหกแก้วครับ คุณลองนับดูก่อน”

แปดสิบหกแก้ว

นี่คือจำนวนคนในแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบของวันนี้

หลินเยวียนพยักหน้า “ขอบคุณครับ”

เมื่อเห็นว่ามีกาแฟมากมายเช่นนี้ อู๋หย่งก็พูดขึ้นด้วยความตกใจ “หลินเยวียน นายสั่งกาแฟมาทำไมเยอะแยะขนาดนี้ นายเป็นเจ้าของร้านกาแฟเหรอ”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนตอบอย่างรวบรัด “ซื้อมาเลี้ยงทุกคน”

อู๋หย่งดีใจขึ้นมาทันใด หัวเราะลั่นเอ่ยว่า “สรุปว่ามีเรื่องอะไรกัน จู่ๆ ถึงได้ใจป้ำ เลี้ยงกาแฟพวกเราขนาด…นี้”

คล้ายกับว่าเขานึกอะไรได้

เสียงหัวเราะของอู๋หย่งเงียบลงฉับพลัน

เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเองก็นึกขึ้นมาได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าก่อนหน้านี้มีคนหยอกล้อหลินเยวียนว่าถ้าได้ออเดอร์ของฉีโจวให้เลี้ยงกาแฟทุกคน หรือว่า…

“ก่อนหน้านี้รับปากไว้แล้ว”

หลินเยวียนได้คลายข้อสงสัยของทุกคน เรื่องที่เคยรับปากไว้ก็ต้องทำให้ได้ นี่เป็นหลักการของหลินเยวียน แม้ว่ากาแฟพวกนี้จะแพงมากก็ตาม

เอ๊ะ?

เอ๊ะ?

สมาชิกแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบมองกันไปมาเธอมองฉันมองเธอ ห้องประชุมอันโอ่โถงเงียบกริบขึ้นมาในทันใด

“กินสิ รออะไร”

เหล่าโจวพูด “อึ้งกันอยู่ล่ะสิ”

ถึงแม้ว่าบรรยากาศที่บ่มมาจะถูกพนักงานเดลิเวอรีทำลายไปแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายกลับว่าจะน่าสนุกเป็นพิเศษ

“เชี่ย!”

หลังจากความเงียบสงัดสุดขีดผ่านพ้นไป เสียงเอะอะโหวกเหวกสุดขีดก็มาเยือน หลินเยวียนกลายเป็นจุดสนใจ ทั้งแผนกประพันธ์เพลงเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก

“เป็นหลินเยวียนจริงๆ?”

“เครื่องคิดเลขของนายปลุกเสกหรือเปล่าเนี่ย”

“นี่มันเด็กใหม่ที่ไหนกัน นี่มันเทพเซียนแล้ว!”

“หลินเยวียน…ไม่สิ อาจารย์เซี่ยนอวี๋ โปรดรับการคำนับจากข้าด้วย!”

“ก่อนหน้านี้ใครบอกฟระว่าหลินเยวียนเด๋อๆ ด๋าๆ! แสดงตัวออกมา นี่มันเทพคนใหม่ของแผนกประพันธ์เพลงชัดๆ”

“อย่ามาเนียน เหล่าหวัง แกนั่นแหละที่พูด”

“ฉันเปล่า…แกนี่…อยู่ๆ มาใส่ความกันได้ยังไง…พวกแกนั่นแหละที่เด๋อๆ ด๋าๆ พวกแกนั่นแหละที่เด๋อ!”

“เซี่ยนอวี๋ เทพตลอดกาล!”

สายตาที่ทุกคนมองหลินเยวียนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีใครมองหลินเยวียนเป็นเด็กใหม่ที่มีแค่โชคดีอีกต่อไป

เด็กใหม่คนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

แน่นอนว่าทุกคนลืมแจกจ่ายกาแฟไปเสียสนิท

หลินเยวียนปวดใจ กาแฟพวกนี้ขูดรีดเงินในบัญชีของเขาไป ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปเขาจะอยู่อย่างไรเป็นปัญหา

ใหญ่แล้ว แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญก็คือหลินเยวียนลืมวางแผนไปล่วงหน้า และลืมว่าในเดือนนี้จำเป็นต้องใช้จ่ายเท่าไรกันแน่ หลังจากนี้เขาต้องจำไว้เป็นบทเรียน

……

ภารกิจออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ของฉีโจว นับว่าเป็นกระดูกชิ้นโตสำหรับแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ

ถ้าหากออเดอร์นี้ไม่สำเร็จจะเป็นยังไงน่ะเหรอ

ชัดเจนอยู่แล้ว

แม้ว่าเหล่าโจวจะไม่ถึงขั้นหาบริษัทอื่นมาทำ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องให้คนจากชั้นอื่นมาเข้าร่วมทำออเดอร์นี้        

ถึงอย่างไรเหล่าโจวก็ไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าของชั้นสิบ แต่เป็นหัวหน้าของแผนกประพันธ์เพลงทั้งหมด สิ่งที่เขาต้องพิจารณาก็คือแผนกประพันธ์เพลงทั้งแผนก

ทั้งชั้นสิบนี้ ไม่มีใครอยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

แม้ว่าแผนกประพันธ์เพลงของบริษัทจะเป็นหนึ่งหน่วยงาน เหล่าโจวก็เป็นผู้นำของทุกคน ทว่าระหว่างแต่ละชั้นก็มีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกันอยู่

‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ของฉีโจวนับว่าเป็นออเดอร์ของชั้นสิบ ถ้าส่งให้ชั้นอื่นทำ จะไม่ได้หมายความว่าชั้นสิบไร้ความสามารถหรอกเหรอ

เมื่อถึงตอนนั้น แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบก็จะไม่กล้าเงยหน้ามองสมาชิกแผนกประพันธ์เพลงชั้นอื่นอีกต่อไป

มองจากมุมมองนี้ หลินเยวียนก็คือฮีโร่ของชั้นสิบ

และด้วยเหตุนี้เอง

ช่วงเย็นหลังเลิกงาน

เจิ้งหานรุ่นพี่ในแผนกซึ่งมาจากวิทยาลัยเดียวกับหลินเยวียน ทั้งตอนประชุมยังมีท่าทีเป็นมิตรกับหลินเยวียน ได้เลี้ยงข้าวหลินเยวียน จากนั้นก็ยังขับรถไปส่งหลินเยวียนกลับวิทยาลัยด้วย

“ขอบคุณนะ”

หลินเยวียนกำลังจะลงจากรถ อยู่ๆ เจิ้งหานก็พูดขึ้น

หลินเยวียนชะงักไป

เจิ้งหานหัวเราะร่วน “ตอนประชุมครั้งก่อน ฉันบอกนายว่าชั้นสิบของเรามีเพลงของนักแต่งเพลงมือทองสิบกว่าคนถูกตีกลับ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้บอกนาย”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ฉันเป็นคนที่สิบสี่ที่ถูกตีงานกลับ”

“ผมแย่งออเดอร์ของพี่”

“ถ้าเป็นออเดอร์ที่ฉันทำได้แล้วนายมาเอาไป นั่นเรียกว่าแย่ง ฉันทำไม่ได้แล้วนายรับงานไปทำ นั่นหมายความว่าความสามารถของฉันไม่พอ แต่ฉันก็ไม่อยากให้งานของชั้นสิบถูกชั้นอื่นรับไปทำ เพราะงั้นฉันต้องขอบคุณนายแทนทุกคนในชั้นสิบด้วย”

หลินเยวียนตอบไปตามความจริง “ผมทำเพื่อตัวผมเอง”

ใบหน้าของเจิ้งหานยังคงประดับรอยยิ้ม “ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น แต่ถ้างานนี้ทำไม่ได้ ต่อไปจำนวนออเดอร์ที่แบ่งมาให้ชั้นสิบก็จะน้อยลง ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตของทุกคนก็จะตกที่นั่งลำบาก”

“อ้อ”

ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ชั้นสิบไม่ยอมปล่อยออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ง่ายๆ ทุกคนไม่เพียงทำเพื่อหน้าตาและศักดิ์ศรีของชั้นสิบ แต่ก็ยังทำเพื่อผลประโยชน์ทางรูปธรรมด้วย

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ

ออเดอร์ของแต่ละชั้นยิ่งมากเท่าไหร่ โอกาสของนักประพันธ์เพลงของชั้นนั้นก็ยิ่งมาก ถ้าหากออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ตกไปอยู่กับชั้นอื่น เช่นนั้นโอกาสที่หลินเยวียนจะได้ออเดอร์นี้ก็มีน้อยแสนน้อย นอกเสียจากว่าชั้นอื่นจะรับมือไม่ไหว

แต่ว่า คนมีความสามารถในแผนกประพันธ์เพลงมีตั้งเยอะแยะ

แต่ละชั้นได้รับออเดอร์มา โดยทั่วไปก็จะรับไว้ มีออเดอร์น้อยมากที่คนทั้งชั้นจะรับมือไม่ได้

เจิ้งหานพูด “นี่คือเหตุผลที่หลายๆ ชั้นจะมีพ่อเพลงประจำอยู่ บางชั้นแม้จะไม่มีพ่อเพลงประจำ แต่พวกเขาก็มีจำนวนนักแต่งเพลงมือทองอยู่มากกว่า…ฉะนั้นเมื่อมองจากศักยภาพโดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละชั้นก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่”

หลินเยวียนพยักหน้า

เห็นทีการแข่งขันในบริษัทจะสูงมาก

เจิ้งหานคล้ายกับว่าจะอ่านความคิดของหลินเยวียนออก จึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าบริษัทเราการแข่งขันสูง แต่เป็นเพราะอุตสาหกรรมนี้การแข่งขันสูง คนทำเพลงในฉินโจวมีมากเกินไป หวังว่าวันหนึ่งนายจะกลายเป็นนักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบเรา”

“อื้ม”

หลินเยวียนพยักหน้าอีกครั้ง

…………………………………………

ทุกคนต่างก็มีสี่บุคลิกที่แตกต่างกัน

บุคลิกบ้าๆ บอๆ ต่อหน้าเพื่อน บุคลิกสมบูรณ์แบบในสายตาของคนรัก ยามอยู่ลำพังก็อ่อนแอ แล้วก็ยังมีบุคลิกนิ่งเงียบต่อหน้าผู้คน

จะต้องเสแสร้งสักหน่อย

ทว่าท่าทางที่หลินเยวียนคุยโทรศัพท์กับแม่นั้นต่างออกไปจากยามปกติที่เขามักจะนิ่งเงียบสงบปากสงบคำ หลินเยวียนนึกว่าเขาจงใจเลียนแบบเจ้าของร่างเดิม แต่มาคิดดูให้ดีก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด เพราะความรู้สึกเหล่านี้ออกมาจากใจ

หลินเยวียนลังเลอยู่สักพัก

แต่เขาตัดสินใจว่าจะติดต่อพี่สาวไปเดือนหน้า เดือนนี้เขาไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้พี่สาว มิหนำซ้ำสนทนากับคนในครอบครัวจำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญ หลินเยวียนต้องเตรียมสภาพจิตใจก่อนถึงจะกล้าโทรหาแม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่เจ้าของร่างตัวจริง

หลังจากนี้จะทำยังไงดี

หลินเยวียนเลือกที่จะเลี้ยงอาหารซย่าฝานและเจี่ยนอี้ในฐานะเพื่อนตาย คอยดูแลหลินเยวียนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด หลินเยวียนได้เงินมา ย่อมอยากเลี้ยงอาหารดีๆ สองคนนี้สักมื้อ เขาจึงจองภัตตาคารซึ่งค่อนข้างหรูใกล้วิทยาลัยเป็นการเฉพาะ ราคาเฉลี่ยต่อคนตกประมาณเกือบสองร้อยหยวน

ช่วงบ่าย ทั้งสามคนมาถึงภัตตาคาร

ก่อนจะเข้าไปในภัตตาคาร เจี่ยนอี้และซย่าฝานดึงรั้งหลินเยวียนสุดชีวิต ด้วยกลัวว่าที่นี่จะแพงเกินไป ทำให้เขาถังแตกได้ น่าเสียดายที่คำโน้มน้าวไม่เป็นผลสำเร็จ เหตุผลของหลินเยวียนคือเขามีตำแหน่งเป็นตัวเป็นตนในบริษัทแล้ว ได้เงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นหยวน

“อ๋อ”

เจี่ยนอี้ถึงกระจ่างขึ้นมา เอ่ยหยอกล้อหลินเยวียนในทันทีว่า “ถึงว่าเดือนนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์เล่นหายไปเลย ที่แท้ก็ไปทำงานที่สตาร์ไลท์ คงไม่ได้ถูกพวกผู้บริหารระดับสูงเลี้ยงจนอิ่มใช่มั้ย ถึงกับให้เงินเดือนนักศึกษาสูงขนาดนี้”   

“หลินเยวียนเก่งมากเลย”

ซย่าฝานโต้แย้งเจี่ยนอี้ ต่อให้ร้องเพลงไม่ได้ แต่เรื่องเสียงเพลงหลินเยวียนก็มีความรู้แน่นทีเดียว ทว่าเธอก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง เพียงแค่เดาว่าสตูดิโอหรือแผนกอะไรทำนองนี้เหมาะกับความสามารถของหลินเยวียน 

หลินเยวียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

 ในตอนนั้นอยู่ๆ เจี่ยนอี้ก็สะกิดแขนของหลินเยวียน มองไปยังหญิงสาวซึ่งเพิ่งจะนั่งลง “เฮ้ย นั่นมันกู้ซีนางฟ้าเปียโนของวิทยาลัยเราไม่ใช่เหรอ”

หลินเยวียนมองตามสายตาของเจี่ยนอี้ไป พบว่าเด็กสาวคนที่เจี่ยนอี้พูดถึงก็คือคนที่วิจารณ์เขาว่า ‘สกิลเปียโนอ่อนหัด’

“สนใจเหรอ”

ซย่าฝานกล่าวกลั้วหัวเราะ “คนเขาเป็นถึงนักเปียโนที่อายุน้อยที่สุดซึ่งเคยแสดงในโถงทองคำ ในวงการขนานนามว่าต่อไปจะต้องได้เป็นนักเปียโนระดับอัจฉริยะ แถวผู้ชายที่ตามจีบยาวจากปากประตูโรงเรียนจนถึงภัตตาคารนี้ นายยังไม่เข้าเกณฑ์”

เจี่ยนอี้ไม่รู้ไม่ชี้ “ประตูโรงเรียนห่างจากภัตตาคารนี้แค่ 3.45 กิโล”

ซย่าฝานกลอกตา “เถียงเก่ง”

เจี่ยนอี้ตอบ “ไม่ใช่เธอที่ด้อยค่าฉันก่อนเหรอ”

“ฉันจะไปตักไอศกรีม”

หลินเยวียนลุกขึ้น ปลีกตัวออกจากสนามรบชั่วคราว

แม้ว่าภัตตาคารแห่งนี้จะค่อนข้างแพง แต่ไอศกรีมที่นี่กินได้ตามสบาย รสชาติก็ไม่เลว ก่อนหน้านี้เขากินไปแล้วนิดหน่อย รู้สึกชอบรสชาติมาก

เมื่อมาถึงหน้าตู้ไอศกรีม

หลินเยวียนก็พบว่าไอศกรีมในตู้กำลังจะหมดแล้ว

เขาหยิบช้อนกำลังจะตัก แต่ฝั่งตรงข้ามกลับยื่นช้อนออกมาชนเข้ากับช้อนของหลินเยวียนพอดี

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมา

หลินเยวียนมองหน้าอีกฝ่าย นึกได้ว่าเจี่ยนอี้เพิ่งเอ่ยถึงชื่อของอีกฝ่าย “กู้ซี?”

“นายเองเหรอ”

กู้ซีจำหมอนี่ที่ครั้งก่อนถือวิสาสะมาใช้เปียโนของตนได้ เลิกคิ้วพลางพูดแดกดัน “ไม่เสแสร้งแล้วเหรอ ไหนครั้งก่อนบอกว่าไม่รู้จักฉัน?”

หลินเยวียนไม่สนใจเธอ เตรียมตัวตักไอศกรีม

กู้ซีขวางช้อนของเขาไว้ “ฉันมาก่อน”

หลินเยวียนตอบ “แต่เธอไม่ได้ตัก”

กู้ซีเริ่มโมโหแล้ว “ฉันกำลังจะตัก”

หลินเยวียนครุ่นคิด “งั้นคนละครึ่ง”

กู้ซีจ้องมองหลินเยวียนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ผุดยิ้มเล็กน้อย “ให้นายก็ได้”

“ขอบคุณ”

หลินเยวียนไม่ได้เกรงใจ ตักไอศกรีมทั้งหมดแล้วเดินไป

กู้ซีสีหน้างงงัน มองหลินเยวียนซึ่งตักไอศกรีมไปทั้งหมด

ที่ตนพูดว่า ‘ให้นายก็ได้’ เพราะเป็นกลยุทธ์ถอยเพื่อบุกอย่างหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าผู้หญิงยอมอ่อนข้อให้ คนทั่วไปก็จะตอบว่า ‘ไม่เป็นไร เธอกินเถอะ’

แต่หลินเยวียนกลับไม่ได้วางไพ่เหมือนปกติ

เมื่อกลับมาถึงที่นั่ง เจี่ยนอี้กับซย่าฝานเลิกตีกันแล้ว ทั้งสองคนกำลังมองหลินเยวียนด้วยความประหลาดใจ

หลินเยวียนถาม “มีอะไร”

เจี่ยนอี้ยกนิ้วโป้งให้ “เนียนสุดยอด!”

ซย่าฝานก็พยักหน้าตามไปด้วย “สหาย นายเรียกร้องความสนใจจากเธอได้สำเร็จ”

“ใช่”

เจี่ยนอี้ทำหน้าตามีเลศนัย “ตั้งแต่ตักไอศกรีมกลับมา เธอมองนายหลายรอบแล้ว”

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเจ้าสองคนนี้

…..

กู้ซีเดินกลับมายังที่นั่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

เพื่อนถามว่า “ไอศกรีมล่ะ”

กู้ซีมองหลินเยวียน ตอบว่า “ถูกผู้ชายไร้มารยาทแย่งไปแล้ว”

เพื่อนมองไปทางหลินเยวียน “คนที่ใส่เสื้อสีขาวอะนะ? หล่อมากเลย เธอรู้จักเหรอ”

กู้ซีหรี่ตาลง แววตาระคนความอาฆาตแค้น “หมอนั่นสวมเขาฉัน”

เพื่อนตกใจจนเกือบพ่นเครื่องดื่มออกมา

กู้ซีรู้ว่าเพื่อนเข้าใจผิดแล้ว จึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “เขาใช้เสี่ยวหลี”

เสี่ยวหลีเป็นชื่อที่กู้ซีตั้งให้เปียโน

นั่นคือเปียโนที่เป็นของกู้ซี แต่กลับถูกหลินเยวียนใช้ไปแล้ว จึงทำให้กู้ซีรู้สึกเดือดดาลเหมือนถูกสวมเขา

เพื่อนหลุดหัวเราะออกมาทันที “แล้วดูศัพท์ที่เธอพูดเข้าสิ”

“เอาเถอะๆ รีบกินก่อน ตอนบ่ายยังมีสัมภาษณ์อีก”

กู้ซีเบ้ปากพูด

……

ช่วงบ่าย 

นักข่าวกลุ่มหนึ่งเข้าไปในวิทยาลัย คนที่พวกเขาจะต้องสัมภาษณ์วันนี้คือนักศึกษาปีสองคนหนึ่ง

กู้ซี

ฉินโจวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของดนตรี

หลายปีที่ผ่านมา มีอัจฉริยะด้านดนตรีถือกำเนิดขึ้นมากมาย หนึ่งในคนที่เจิดจรัสที่สุดในก็นั้นคือเด็กสาวที่ชื่อว่ากู้ซี!

และประวัติชีวิตอันเป็นตำนานที่สุดของเธอก็คือในตอนที่เธออายุสิบห้าปีได้เข้าไปแสดงเปียโนเพลง ‘ใจปรารถนา’ ในห้องโถงทองคำ เพียงครั้งเดียวก็สะเทือนทั้งวงการ!

แม้แต่อบิเกลผู้ประพันธ์เพลง ‘ใจปรารถนา’ เองก็ยังกล่าวชมเชยในความสามารถของกู้ซี   

ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเปียโนระดับสูงคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ฝีมือเปียโนของกู้ซีนั้นห่างจากระดับปรมาจารย์เพียงเส้นบางกั้น

ในฉินโจว

เวทีดนตรีที่สูงที่สุดไม่ได้มีเพียงเวทีเดียว

แต่ห้องโถงทองคำนั้นเป็นหนึ่งในเวทีระดับยักษ์ใหญ่ในใจของผู้คนนับไม่ถ้วน

อายุสิบห้าก็ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีระดับนี้ก็นับได้ว่าเป็นตำนาน แถมยังได้รับการยอมรับจากผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง!

ฉะนั้นฉายา ‘นางฟ้าเปียโน’ ที่กู้ซีได้มานั้นไม่ได้เกินจริง

เพียงแต่โดยปกติแล้วกู้ซีจะไม่ให้สัมภาษณ์ วันนี้โรงเรียนโน้มน้าวให้กู้ซีให้สัมภาษณ์สักครั้ง เพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

สถานที่สัมภาษณ์นั้นไม่ไกลจากห้องเปียโน

นั่นเพราะประเดี๋ยวจะได้ถ่ายภาพกู้ซีกับเปียโนของเธอได้สะดวก

“ได้ยินว่าปีหน้าคุณจะได้รับคำเชิญจากห้องโถงทองคำเป็นครั้งที่สอง คุณมีอะไรอยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”

นักข่าวจ้องมองนักเปียโนมากพรสวรรค์ซึ่งหาโอกาสสัมภาษณ์ได้ยากเหลือเกิน

“ขอบคุณห้องโถงทองคำมากค่ะสำหรับการยอมรับ”

กู้ซีตอบไปตามสคริปต์สัมภาษณ์

นักข่าวถามต่อ “ครั้งก่อนคุณเล่นเพลง ‘ใจปรารถนา’ แล้วครั้งหน้าคุณเตรียมไว้หรือยังคะว่าจะเล่นเพลงอะไร”

“ปีนี้ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”

คำพูดนี้เป็นความจริง กู้ซียังไม่ได้คิดเลย

นักข่าวยิ้มเอ่ย “ในวงการมีนักประพันธ์มากมายที่กล่าวชมเชยคุณ ในใจมีนักประพันธ์ท่านไหนที่คุณอยากเชิญมาไหมคะ”

“มีเยอะเลยค่ะ แต่ยังไม่สะดวกเปิดเผย”

เหล่าพ่อเพลงนั้นมีมาตรฐานสูงมาก แต่ละคนยากที่จะเดาใจ ชมตนหนึ่งประโยคก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว

ก่อนที่ตนจะกลายเป็นนักเปียโนชื่อดัง ไม่มีใครสนใจตนเลยจริงๆ ต่อให้ตนจะได้ชื่อว่าเป็น ‘นางฟ้าเปียโน’ ก็ตาม

นี่คือเรื่องจริง

เหล่าพ่อเพลงระดับสุดยอด แม้แต่เหล่านักเปียโนชื่อดังก็ต้องพยายาม!

เป็นเพราะปรมาจารย์ที่ช่ำชองด้านการเล่นดนตรีนั้นมีจำนวนมากกว่าพ่อเพลงระดับสูงมาก

สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยระบบในวงการ

ความเป็นเลิศในการสร้างสรรค์ผลงานของเหล่าพ่อเพลงนั้น มีความพยายามเพียงครึ่งเดียว ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งล้วนมาจากพรสวรรค์ที่ผู้คนต้องอิจฉาจนน้ำลายไหล

ทว่านักเปียโนนั้นต่างออกไป

พรสวรรค์สำคัญต่อนักเปียโนที่มีชื่อเสียงก็จริง แต่การฝึกฝนอยู่เป็นนิจ ถึงจะทำให้นักเปียโนนั้นคล่องแคล่วได้

ในเส้นทางสายนี้

หากได้ขึ้นเวทีระดับห้องโถงทองคำแล้วไม่ฝึกฝนจนชำนาญมือไปเรื่อยๆ ต่อให้ความสามารถไต่ถึงระดับปรมาจารย์นักเปียโนแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างคนที่เคยทำผิดพลาด

ถึงอย่างไร

คนที่ได้เข้าร่วมงานดนตรีห้องโถงทองคำนั้นโสตประสาตย่อมต้องดีมาก เล่นผิดพลาดไปเสียงเดียวก็ถูกจับได้แล้ว

แต่ว่าเรื่องใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป

มีขาใหญ่บางจำพวกที่นั่งลงเล่นเปียโนเมื่อไรก็ได้ และเล่นออกมาได้น่าทึ่ง ทว่ากู้ซีก็ยังห่างไกลกับระดับนี้อยู่มากทีเดียว

“งั้นบอกได้ไหมคะว่าช่วงนี้คุณฟังผลงานของอาจารย์ท่านไหนบ่อย”

นักข่าวถามซักไซ้

กู้ซีกำลังจะตอบคำถามตามบท ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคยอยู่บ้างลอยเข้ามาในโสตประสาท

เป็นบทเพลงนั้นที่ได้ยินครั้งก่อน!

คนคนนั้นปรากฏตัวที่ห้องเปียโนแล้ว!

ด้วยความตื่นเต้นดีใจ กู้ซีก็ไม่สนใจการสัมภาษณ์ของนักข่าวอีกต่อไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อึ้งงันอยู่นั้น เธอสาวเท้าวิ่งไปยังห้องเปียโนด้วยสีหน้าเปี่ยมความตื่นเต้น

“ในที่สุดวันที่ฉันรอก็มาถึง!”

เมื่อเดือนที่แล้วได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก โสตประสาทของกู้ซีก็ถูกครอบงำเสียแล้ว

เธอไม่รู้ว่าเพลงที่คนนั้นเล่นเป็นเพลงที่เขาแต่งเองหรือเปล่า วันนั้นหลังจากลับถึงบ้าน กู้ซีก็ลองค้นหาดูเพลงใหม่

ของพ่อเพลงทุกคนทั่วทั้งโลก ผลคือหาเพลงที่ใกล้เคียงกันไม่ได้สักเพลงเดียว

และผลลัพธ์นี้ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของกู้ซี

พ่อเพลงบนบลูสตาร์ออกผลงานใหม่อะไร กู้ซีก็จะไปฟัง ไปเรียนรู้ในทันที

แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีครั้งไหนที่พ่อเพลงออกผลงานใหม่มาแล้วกู้ซีไม่เคยฟัง

ฉะนั้นแล้ว เมื่อมั่นใจว่าเพลงที่ตนได้ยินนั้นเป็นเพลงออริจินัลซึ่งยังไม่เคยถูกเผยแพร่มาก่อน กู้ซีจึงเริ่มจับตามองแล้ว

เพราะเธอเชื่อว่าผู้ที่เล่นเพลงนี้ในตอนนั้น ต้องเป็นคนระดับพ่อเพลงแน่

ใช่แล้ว

หลังจากวันนั้น กู้ซีจะมาเฝ้าอยู่ที่ห้องเปียโนทุกวัน เพราะหวังว่าจะได้พบกับผู้บรรเลงเพลงนั้นอีกสักครั้ง

แต่น่าเสียดายที่รออยู่ตั้งหลายวัน กู้ซีก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนคนนั้น

ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ พ่อเพลงลึกลับคนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

ในตอนนี้ เธอไหนเลยจะมีเวลามานั่งคุยกับนักข่าว

“เล่นเสร็จแล้ว? ทำไมถึงเร็วขนาดนั้น”

ยังไม่ทันได้ลงไปห้องเปียโนชั้นล่าง เพลงแปลกใหม่นั้นก็บรรเลงจบแล้ว กู้ซีไม่เพียงร้อนรน สับเท้าวิ่งสุดแรงเกิด

พลังทั้งตัวล้วนใช้ไปหมดเกลี้ยง

‘เปรี้ยง’

เธอชนเข้ากับคนคนหนึ่ง

หลินเยวียนลูบหน้าอกซึ่งโดนชนจนเจ็บ มองไปยังกู้ซีก็พลันรู้สึกจนปัญญา ก็แค่ไอศกรีมนิดเดียวไม่ใช่เหรอ ถึงขั้น

ต้องแก้แค้นเลย?

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ…”

กู้ซีรีบขอโทษขอโพย แต่เมื่อเห็นหน้าหลินเยวียนก็อึ้งไป ส่วนฝีเท้าก็ชะงักไปชั่วขณะ

หมอนี่อีกแล้วเหรอ

หลังจากถลึงตาใส่หลินเยวียนครั้งหนึ่ง กู้ซีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งตรงไปยังห้องเปียโน เมื่อเทียบกับหมอนั่นแล้ว

พ่อเพลงคนนั้นสำคัญกว่าไม่รู้กี่เท่า!

หลินเยวียนขมวดคิ้ว

ทำผิดแล้วคิดหนีเหรอ?

ตอนเที่ยงเจอกู้ซี เขาเลยนึกถึงเปียโน แล้วก็คันไม้คันมือขึ้นมา ช่วงบ่ายเลยตั้งใจมาเล่นเปียโนซะหน่อย ไม่คิดว่าจะถูกกู้ซีล้างแค้นซะอย่างนั้น

แต่ว่าเห็นแก่ไอศกรีม เขาจึงไม่ได้พูดอะไร แล้วหันหลังเดินจากไป

ส่วนกู้ซีก็พุ่งไปยังห้องเปียโนอย่างเร็วรี่ราวติดปีกบิน

พรึ่บๆๆ!

ประตูบานแล้วบานเล่าถูกเธอเปิดออก

ทว่า ในห้องเปียโนมีคนเยอะเหลือเกิน เธอหาพ่อเพลงที่ตนกำลังหาอยู่ไม่เจอ แม้ว่าจะถามทีละคน ก็ยังไม่ได้

ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ คนพวกนี้ไม่ได้รับรู้เลยว่ามีพ่อเพลงคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้พวกเขา แต่กลับมีคนไม่น้อยที่กระเหี้ยนกระหือรือเข้ามาสนทนากับเธอ

“โอ๊ย!”

เธอเกาศีรษะตนเองอย่างแรงจนผมเผ้ายุ่งเหยิง สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง “ต้องโทษหมอนั่นที่เข้ามาขวางทาง!”

โอกาสที่พ่อเพลงจะมาที่ห้องเปียโนนั้นมีน้อยเหลือเกิน!

ตนอยากรอ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน!

ถ้าหากไม่ใช่เพราะหมอนั่นมาขวางทาง ไม่แน่ว่าตนอาจได้เจอพ่อเพลงก็ได้!

ในตอนนั้น อาจารย์ในวิทยาลัยและบรรดานักข่าวต่างก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา “มีเรื่องอะไรเหรอกู้ซี ทำไมต้องรีบวิ่งออกมาล่ะ”

กู้ซีสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันใด

เรื่องตัวตนของพ่อเพลง คนธรรมดาอย่างพวกคุณควรรู้ด้วยเหรอ

คำพูดที่ว่าคนใกล้ชิดที่สุดได้ผลประโยชน์ก่อนน่ะ เคยได้ยินไหม

เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้

นี่เป็นพ่อเพลงของฉัน ของฉัน!

ใครก็ห้ามมาแย่งกับฉัน!

กู้ซีข่มกลั้นความหงุดหงิดไว้ในใจ พูดอย่างใจเย็นว่า “ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อกี้เพิ่งนึกออกว่าทำของหล่นไว้ที่ห้องเปียโน เลยมาเก็บ”

“อ้อ”

นักข่าวตบอกเบาๆ “แล้วพวกเราไปดูเปียโนของคุณได้ไหม ได้ยินว่าคุณใช้เปียโนตัวนี้เพียงตัวเดียวมาตลอด

…”

“ถ่ายรูปได้นะคะ แต่ห้ามแตะ”

กู้ซีกำชับประโยคนี้เป็นพิเศษ

…………………………………

‘บัตรธนาคารเลขลงท้ายด้วย 9527 ได้รับเงินโอน จำนวนเงิน 74,087 หยวน ยอดเงินในบัญชี 74,783 หยวน’

วันที่ 5 ธันวาคม

หลินเยวียนได้รับข้อความแบบนี้

ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังได้รับข้อความจากแผนกการเงิน ‘รายได้ประจำเดือนจากส่วนแบ่งยอดดาวน์โหลดผลงาน ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ของคุณได้โอนเข้าบัญชีแล้ว หลังจากนี้ในวันที่ห้าของทุกเดือน ส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลงรวมไปถึงเงินเดือนพื้นฐานจะโอนไปยังบัญชีธนาคารของคุณตรงเวลาทุกเดือน หากมีข้อสงสัยกรุณาตรวจสอบได้ที่แผนกการเงิน’

ในที่สุดก็ได้เงินแล้ว

หลินเยวียนรู้สึกดีใจอยู่บ้าง

เดือนธันวาคมเคลื่อนคล้อยมาถึง หมายความว่าฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ของปีนี้ได้จบลงแล้ว

ต้องขอบคุณการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงกลางเดือนของบริษัท สุดท้ายแล้วยอดดาวน์โหลดของ ‘ชีวิตดั่งมวลบุปผายามคิมหันต์’ ก็ทะลุเกินห้าแสน ผลงานครั้งนี้เหนือกว่าผลงานของอันดับหนึ่งในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ที่ผ่านมา และก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผลงานชิ้นนี้ของหลินเยวียนนั้นยอดเยี่ยม

หลังจากหักภาษีมูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นหยวนไปแล้ว เงินที่เหลือซึ่งแบ่งมาถึงมือหลินเยวียนคิดเป็นหกหมื่นกว่าหยวน

รวมกับเงินเดือนขั้นพื้นฐานของหลินเยวียนอีกหนึ่งหมื่นหยวน ทำให้สุดท้ายแล้วบัญชีของเขาได้รับเงินเจ็ดหมื่นกว่าหยวน

แม้ว่าหากคำนวณอย่างเคร่งครัดแล้ว ระยะเวลาหลินเยวียนเข้าทำงานนั้นยังไม่ครบหนึ่งเดือน

นี่คงจะเป็นโบนัสที่บริษัทมอบให้กับเด็กใหม่สินะ

ถ้าอยู่ในโลกเดิม เพลงที่เด็กใหม่เขียนคงไม่มีมูลค่าสูงถึงขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องรายได้จากเพลงของหลินเยวียน

ในวันข้างหน้า

ตราบใดที่ยังมีคนดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เรื่อยๆ หลินเยวียนก็จะมีรายได้จากส่วนแบ่ง

ยอดดาวน์โหลดเพลงเข้ามาเรื่อยๆ

มิน่าล่ะวงการนักประพันธ์เพลงถึงได้มีคำพูดว่า ‘เพลงดีเพลงเดียวกินได้ชั่วชีวิต’

ต่อให้หลังจากนี้หลินเยวียนเขียนผลงานดีๆ ออกมาไม่ได้อีก ลำพังแค่ส่วนแบ่งที่ได้จาก ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ในอนาคต ก็หมดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในปัจจัยสี่แล้ว

แน่นอนว่ายังคงเป็นดังเช่นคำพูดนั้น

หลังจากนี้ยอดดาวน์โหลดของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นผลงานใด ความเป็นที่นิยมก็จะมีกระบวนการตั้งแต่ระยะแรกจนถึงจุดอิ่มตัว ฉะนั้นส่วนแบ่งที่ได้รับจากเพลงนี้ก็ย่อมต้องค่อยๆ ลดลงด้วย

ดังนั้นต้องปล่อยเพลงใหม่น่ะถูกแล้ว

ได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงิน

หลินเยวียนตั้งหน้าตั้งตาคอยส่วนแบ่งรายได้ที่ ‘ปลายักษ์’ จะนำมาให้ตนอย่างอดไม่ได้

เพลงนี้ลำพังส่วนแบ่งจากห้าล้านหยวนที่บริษัทกำหนดก็ปาไปหกแสนกว่าหยวนแล้ว บวกกับส่วนแบ่งกับยอดดาวน์โหลดอีก ต้องดูดีมากทีเดียว

หลังจากนี้

ก็ได้ทำสิ่งที่ตนอยากทำมาตลอดหลังทะลุมิติมาแล้ว

หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย ไหว้วานเธอเรื่องหนึ่ง

จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองระลึกถึงท่าทางยามที่เจ้าของร่างสนทนากับแม่ เมื่อแน่ใจว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต่อสายโทรศัพท์หามารดาซึ่งเป็นครูสอนดนตรีอยู่ที่บ้านเกิด

ไม่นานก็ต่อสายติด

ปลายสายเป็นเสียงซึ่งระคนความเหนื่อยล้า “เสี่ยวเยวียน ค่าขนมไม่พอเหรอลูก เดี๋ยวแม่โอนไปให้”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนรีบพูด “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่”

หลินเยวียนยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากปลายสาย “เฉินจิ่น ชั้นสินค้าฝั่งตะวันออกว่างแล้ว เธอเอาออเดอร์ไปหยิบของจากโกดังมาเติมหน่อย…”

โทรศัพท์ตัดสายในทันใด

แต่หลินเยวียนก็พอจะนึกภาพแม่ตัดสายทิ้งอย่างรีบร้อนได้

ผ่านไปห้านาที แม่จึงโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง พร้อมกระซิบว่า “เมื่อกี้สัญญาณไม่ดี”

“แม่”

หัวใจของหลินเยวียนพลันเจ็บปวด “ไม่ต้องโกหกหรอกครับ แม่ต้องไปทำงานพิเศษอีกแล้วแน่”

“ประเด็นคือวันนี้ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร”

แม่รู้สึกผิดขึ้นมา “ลูกก็รู้ว่าแม่เป็นครูสอนดนตรี วันนี้คาบเรียนถูกครูคณิตแย่งไปอีกแล้ว ทำได้แค่ออกมาหาอะไรทำ ยังไงก็อยู่ว่างๆ”

หลินเยวียนไม่พอใจ “ครูคณิตมาแย่งคาบเรียนแม่อีกแล้วเหรอ!”

แม่กล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่าเอ็ดไป ครูวรรณคดีก็ชอบแย่งคาบเรียนแม่”

หลินเยวียนจนปัญญา “แล้วร่างกายแม่ไหวหรือเปล่า ลืมเรื่องที่ครั้งก่อนทำงานพิเศษสามงาน เหนื่อยจนต้องไป

ให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลไปแล้วเหรอครับ”

“แม่ก็แค่มาช่วยงานที่ซูเปอร์มาร์เก็ต…จริงสิ เมื่อกี้ลูกบอกว่ามีข่าวดีอะไรเหรอ”

แม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

หลินเยวียนไม่ได้เปิดโปง เพียงพูดว่า “ผมย้ายไปที่สาขาประพันธ์เพลงแล้ว ก็เลยได้เรียนเขียนเพลง แล้วเมื่อเดือนที่แล้วเพลงนี้ก็ดังมาก ผมเลยได้เงินมาหนึ่งแสนหยวนน่ะครับ”

“หนึ่งแสน? เขียนเพลง?”

แม่ไม่เพียงไม่ดีใจ แต่สติเตลิดไปเรียบร้อย “ลูกอย่าล้อแม่เล่นนะ! บอกมา ลูกไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า เสี่ยวเยวียน มีเรื่องอะไรไม่ต้องกลัว บอกแม่มา…ลูกคงไม่ได้ขายอวัยวะหรอกใช่มั้ย!?”

เสียงของแม่อู้อี้ราวกับจะร้องไห้          

หลินเยวียนกลับร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เลยเถิดกันไปใหญ่แล้วครับแม่ ผมเขียนเพลงแล้วได้เงินจริงๆ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แม่รู้จักมั้ยครับ”

“คุ้นหูอยู่อยู่บ้างนะ…ที่ห้องทำงานเหมือนว่าจะมีคนเปิดอยู่…เป็นเพลงที่ลูกเขียนเหรอ”

“ผมเขียนครับ”

“ตั้งแต่เด็กจนโตลูกไม่พูดโกหก เป็นเพลงของลูกจริงๆ เหรอ”

“เป็นเพลงที่ผมเขียนจริงๆ ครับ คนแต่งเพลงที่ชื่อเซี่ยนอวี๋ก็คือผมเอง คนที่ร้องเพลงก็คือรุ่นพี่ผม”

“ลูก…ลูก…”

“ถ้าแม่ไม่เชื่อเดี๋ยวให้หัวหน้าบริษัทผมคุยกับแม่ก็ได้นะ เรื่องที่ผมเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์ตอนปีหนึ่งแม่ก็รู้ใช่มั้ยครับ แม่เก็บเบอร์โทรศัพท์ของพี่จ้าวผู้จัดการของผมไว้ เธอคงไม่ถึงกับโกหกแม่หรอกใช่มั้ยครับ”

“แม่เชื่อแล้ว…เชื่อแล้ว…แล้วเงินหนึ่งแสนหยวน…”

“หนึ่งแสนหยวนนี้ ผมต้องเก็บไว้สำรองสักสองสามหมื่น ที่เหลือจะโอนให้แม่ หลังจากนี้แม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ผมมีเงินแล้ว ไม่ต้องให้แม่แบกภาระเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว”

“โอนให้แม่ โอนให้แม่”

น้ำเสียงที่แม่พูดนั้นสั่นเครืออยู่บ้าง “แม่จะเก็บไว้ให้ลูก ถ้าอาการของลูกกำเริบขึ้นมาอีก พวกเราจะได้มีเงินรักษา ไม่ต้องไปรบกวนญาติๆ แล้ว”

“ไม่ใช่ครับ”

หลินเยวียนบอก “ผมหวังว่าแม่จะจ่ายหนี้ของบ้านเราให้หมด หลายปีมานี้ใช้เงินรักษาผมไปมาก แม่ยืมเงินไปเท่าไหร่ไม่เคยบอกพวกเราเลย”

“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ…แม่จะเอาไปคืน ขอแค่แม่ยังไม่ตาย เงินพวกนี้แม่จะเอาไปจ่ายคืนไม่ให้ขาดสักนิดเดียว ดอกเบี้ยแม่ก็จะจ่ายด้วย!”

“ตามนั้นครับ”

ลำคอของหลินเยวียนตีบตันเล็กน้อย “แม่ หลังจากนี้ก็จะได้เงินจากเพลงนี้อีก อีกเรื่องคือตอนนี้ผมย้ายไปอยู่แผนกประพันธ์เพลงของบริษัทแล้ว เงินเดือนขั้นต่ำทุกเดือนออกจะ เฮ้อ ออกจะมากอยู่สักหน่อย ตั้งสองหมื่นหยวน เพราะงั้นหลังจากนี้เงินที่ผมหาได้จะพอให้รักษาโรคของผม แม่บอกผมได้มั้ยว่าสรุปแล้วที่บ้านติดหนี้เท่าไหร่”

“แสนกว่าหยวน”

แม่แสร้งทำเสียงเรียบเฉย

หลินเยวียนพูดว่า “ผมจริงจังนะ”

แม่เปลี่ยนคำพูดเป็น “สองแสนกว่ามั้ง”

หลินเยวียนครุ่นคิด “แม่สอนพวกเราสามคนตั้งแต่เด็กว่าไม่ให้โกหก”

ปลายสายเงียบไป

ผ่านไปหลายวินาที เสียงของแม่จากปลายสายจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟังดูหนักใจอยู่บ้าง “รวมกับดอกเบี้ย ทั้งหมดแล้วก็ห้าแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยสามสิบหกหยวน”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ปีนี้ผมจะใช้หนี้ให้หมด! แม่ไม่ต้องทำงานพิเศษแล้ว เชื่อผมนะ! ใช้หนี้ก่อน! ยังไม่ต้องใช้หนี้ให้หมด แม่เก็บไว้ใช้สักสองหมื่น เดี๋ยวอีกสักระยะผมจะโอนให้แม่ ช่วงนี้ผมเขียนเพลงมาอีก น่าจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย”

“เฮ้อ”

แม่พูดอย่างขุ่นเคือง “เด็กคนนี้ ยังจะภูมิใจอีก โชคดีมีเป็นครั้งคราว ดังเพลงนึงก็ดีขนาดไหนแล้ว ลูกเรียนเขียนเพลง คิดจะให้ดังทุกเพลงเลยหรือไง”

“ผมมั่นใจ”

“โอเคๆๆ ลูกมั่นใจ ว่าแต่เงินนี้น่ะ แม่จะแบ่งให้พี่นิดนึงนะ แล้วก็จะบอกข่าวดีเธอด้วย ตอนนี้พี่เขาเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน หางานก็ยาก โทรศัพท์ใช้มาห้าปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนสักที” แม่คล้ายกับว่ากำลังขอความเห็นจากหลินเยวียน

“ผมจัดการเอง”

หลินเยวียนยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวผมบอกพี่เองครับ แล้วจะเปลี่ยนโทรศัพท์ให้พี่ด้วย หลายปีมานี้พี่ดูแลผม ให้โอกาส

ผมได้ตอบแทนบ้าง”

“ที่ลูกพูดก็มีเหตุผล”

แม่รู้สึกผิดต่อพี่สาวและน้องสาวของหลินเยวียน บุตรสาวทั้งสองต้องเสียสละไปมากเพื่อหลินเยวียน “งั้นลูกก็อย่าลืมนะ”

“ครับ”

สนทนากันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงเต็มๆ หลินเยียนก็กำชับแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ต้องทำงานพิเศษอีก จึงค่อยวางโทรศัพท์อย่างอ้อยอิ่ง

หลังจากวางสาย

หลินเยวียนก็เปิดแอปพลิเคชันโอนเงินให้แม่เจ็ดหมื่นสามพันหยวน

แม่กดรับเงินอย่างว่องไว ทั้งยังส่งข้อความเสียงมาอีกว่า “เงินที่เหลือลูกก็ใช้ประหยัดๆ หน่อยนะ สองสามหมื่นหยวนอย่าใช้สุรุ่ยสุร่าย”

“รู้แล้วครับ”

 หลินเยวียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

ที่บอกว่ายังทำเงินได้หนึ่งแสนแน่นอนก็เพื่อให้แม่สบายใจ และบอกว่าเงินเดือนสองหมื่นหยวนก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

อันที่จริงเขาเหลือเงินแค่หมื่นกว่าหยวน

แต่หมื่นกว่าหยวนก็เพียงพอให้เขาอยู่ไปจนถึงเดือนหน้าแล้ว

……

เมื่อได้รับเงิน เฉินจิ่นแม่ของหลินเยวียนก็ยังไม่วางใจ

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เคยยอมแพ้ต่อการรักษาพยาบาลลูกชาย คุณค่าของเงินหนึ่งแสนหยวนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน!

เธอลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงโทรศัพท์ไปหาจ้าวเจวี๋ย เพื่อสอบถามเรื่องของหลินเยวียน

เมื่อยืนยันสถานการณ์แล้ว เธอจึงวางใจขึ้นมา

เธอยืนใจลอยอยู่ที่โกดังเก็บของ หยดน้ำตาเอ่อท้นออกมา พานให้พนักงานด้านข้างคนหนึ่งตกใจจนแทบกระโดด “เธอเป็นอะไรน่ะ”

เฉินจิ่นปากน้ำตา “ฉันดีใจ”

พนักงานหัวเราะ “ต้องเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดไหนถึงทำให้เธอดีใจจนร้องไห้”

“เธอฟังเพลงหรือเปล่า”

“อะไรเหรอ”

“เธอไปฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เพราะมากเลยละ!”

“ฮะ?”

พนักงานตอบไปด้วยความสับสน “อ้อ…ได้…ได้เลย…”

……………………………..

เมื่อกินจนอิ่มแล้ว

หลินเยวียนก็พลันอิ่มอกอิ่มใจ

ขณะที่เตรียมตัวกลับไปทำงานที่แผนก เหล่าโจวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พูดขึ้นมาว่า “จะบอกข่าวดีให้นายเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าจะส่งเพลงของนายไปที่ฉีโจว!”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

เดิมทีเหล่าโจวคิดว่าหลินเยวียนจะตื่นเต้น

แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือสีหน้าของหลินเยวียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย น้ำเสียงยังคงนิ่งราบเรียบดังที่ผ่านมา

ในตอนนี้ เหล่าโจวก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของจ้าวเจวี๋ยก่อนหน้านี้

เขายังดึงดันอยู่เล็กน้อย “เอ่อ…นายไม่มีอะไรจะพูดเลยเหรอ”

“มีครับ”

หลินเยวียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ตอนเรียบเรียงเพลงปลายักษ์ ส่วนที่เป็นเปียโนผมเป็นคนเล่นเอง เลยหวังว่าบริษัทจะคำนวณเงินในส่วนนี้เข้าไปด้วยครับ”

ฮะ?

แค่นี้เหรอ?

เหล่าโจวชะงักไปหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แล้วจึงส่งเพลง ‘ปลายักษ์’ ซึ่งผ่านการตรวจสอบของบริษัทไปให้ฉีโจวช่วงบ่ายในวันเดียวกัน

……

ฉีโจว

ในห้องทำงานแผนกโพสต์โปรดักชั่นของภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ เจิ้งลี่ผู้กำกับกำลังนั่งเคาะโต๊ะ “หนังของพวกเราจะฉายแล้ว เรื่องเพลงประกอบ สรุปแล้วต้องรอนานแค่ไหนถึงจะใช้ได้”

“ผู้กำกับเจิ้ง”

โปรดิวเซอร์ส่ายหน้าบอกว่า “เรื่องนี้โทษผมก็ไม่ได้นะ ก่อนหน้านี้ทางสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ของฉินโจวก็ส่งเพลงOST.มาให้เรื่อยๆ ตั้งสิบสี่เพลง เป็นผลงานของนักแต่งเพลงมือทองทั้งนั้น แต่คุณก็ไม่ชอบเลยสักเพลง”

“ไม่ใช่”

เจิ้งลี่พูดอย่างขุ่นเคือง “เรื่องราวของ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ เป็นยังไงพวกคุณก็น่าจะรู้ดี ความจริงก็คือเพลงประกอบที่พวกเขาส่งมามันไม่เข้ากับเนื้อเรื่องไง หรือว่าพวกคุณคิดว่าสิ่งที่ฉันต้องการมันเข้มงวดเกินไป?”

ทุกคนกระแอม หลุบสายตาลง

โทสะของเจิ้งลี่ลุกโชนในทันใด กลายเป็นว่าแต่ละคนต่างก็คิดว่าสิ่งที่ฉันต้องการนั้นมากเกินไป!

เธอเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “ได้ ในเมื่อคิดกันแบบนี้ งั้นฉันก็จะไม่ขัด ถึงยังไงทุกคนก็เป็นผู้ผลิตหลักของหนัง ตั้งแต่นี้ไป จะเลือกเพลงไหนทุกคนก็ไปตัดสินใจกันเอง ลำบากโปรดิวเซอร์แล้ว ในตอนนี้มีเพลงมาวางอยู่ตรงหน้าสิบสี่เพลง ถ้าพวกคุณคิดว่าในนี้มีสักหนึ่งเพลงที่จะใช้เป็นOST.ของพวกเราได้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด”

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นมั้ง”

โปรดิวเซอร์หัวเราะแดกดัน “เพลงOST.สำคัญกับผลงานเรามาก เอาที่ผู้กำกับตัดสินใจก็แล้วกัน ผมจะไปเร่ง…เอ๊ะ?”

โปรดิวเซอร์ชะงักไป

เจิ้งลี่ถามว่า “มีอะไร”

โปรดิวเซอร์มองอีเมลในโทรศัพท์มือถือ ยิ้มขื่นพลางเอ่ย “ไม่ต้องเร่งแล้วละ พวกเขาส่งมาอีกเพลงแล้ว รบกวนผู้กำกับกลับไปฟัง”

“กลับไป?”

 เจิ้งลี่แค่นหัวเราะเย็น “ไม่ต้องกลับไปแล้ว! ถือโอกาสที่ผู้ผลิตหลักอยู่กันที่นี่ รีบเปิดเพลงเดี๋ยวนี้เลย ฉันเองก็อยากเห็นว่าพวกคุณฟังแล้วจะพอใจมั้ย! พวกคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการน่ะ มันไม่ได้มากเกินไป!”

โปรดิวเซอร์กระซิบบอกว่า “คงไม่เหมาะล่ะมั้ง?”

เจิ้งลี่ตวาดลั่น “มีตรงไหนไม่เหมาะ”

โปรดิวเซอร์จนปัญญา ทำได้เพียงเปิดโปรเจกเตอร์ จากนั้นก็เปิดลำโพงอีกหลายตัวในห้องประชุม กดเล่นเพลงที่

เพิ่งได้รับมา

เปิดโปรเจกเตอร์ก็เพื่อให้อ่านเนื้อเพลง

จะถูกใจเนื้อเพลงหรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สำหรับเรื่องของที่มาคู่กันอย่างเนื้อเพลง บริการของสตาร์ไลท์นับว่าทำได้เข้าที

เสียงเพลงดังขึ้น

ท่วงทำนองไพเราะรื่นหู เสียงกังวานเหนือจริงดังขึ้น

‘เกลียวคลื่นสงัดพัดกลืนม่านราตรี

ถั่งโถมมุมหนึ่งสุดเส้นขอบฟ้า

ปลายักษ์แหวกว่ายวนผ่านห้วงนิทรา

จ้องมองมายามเธอหลับตาลง…’

ระหว่างที่เพลงบรรเลง สายตาพิลึกของผู้คนล้วนมองมายังเจิ้งลี่

เจิ้งลี่ขยับตัวอย่างกระอักกระอ่วน ขณะตั้งอกตั้งใจฟังเพลง หัวใจก็ยังคงตุ๊มๆ ต่อมๆ

เพลงนี้ คล้ายกับว่าจะไม่เหมือนกับเพลงที่ส่งมาก่อนหน้า?

บังเอิญขนาดนั้นเชียวเหรอ

‘มองแผ่นฟ้าผืนทะเลบรรจบ

สดับเสียงลมปลิวสายฝนพรำ

จับมือกันปัดเป่าไอหมอกลวงตา

ครีบปลากว้างใหญ่เหลือเกิน

ฉันจึงปล่อยเชือกแห่งกาลเวลา…’

เพลงยังคงขับร้องต่อไป ครั้นผ่านท่อนเวิร์สเข้าสู่คอรัส ทุกคนก็ลืมมองผู้กำกับไปเสียสนิท

ผู้กำกับเจิ้งลี่คนนี้ยิ่งไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่ตนเสียหน้าแต่อย่างใด เธอทั้งคาดหวังและตกประหม่ากับท่อนคอรัสหลังจากนี้

‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล

กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน

กลัวยิ่งกว่าว่าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์

ทุกหยาดน้ำตาหลั่งรินไปสู่เธอ

หวนกลับคืนก้นบึ้งของแผ่นฟ้า…’

ยามที่ปลายักษ์ข้ามประตูมังกร เขาตัวสีขาวบริสุทธิ์ แต่กลับหาเด็กหญิงตัวน้อยไม่พบ

‘ถ้าเธอไม่ได้ข้ามประตูมังกรนั่น ก็จะอยู่กับฉันตลอดไปได้’

‘แต่ว่า ถ้าไม่พยายามข้ามประตูมังกรให้ได้ แล้วฉันจะปกป้องเธอได้อย่างไรล่ะ’

‘ที่แท้การได้พานพบกันอีกครั้ง ก็คือการเริ่มต้นของจุดจบ’

ขณะที่เพลงกำลังเล่นอยู่นั้น ในห้วงสำนึกของเจิ้งลี่ก็ปรากฏเนื้อเรื่องของ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ภาพฉากของภาพยนตร์ที่เธอกำกับเองก็ลอยขึ้นมาต่อหน้าอย่างเลือนราง

ดวงตาทั้งคู่ของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

ในตอนนั้นเสียงเปียโนหยุดลงชั่วขณะ เสียงหวีดดังขึ้นมาทันใด!

ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับลืมหายใจในชั่วพริบตา

ระหว่างนั้น

พวกเขาก็คล้ายกับว่ากำลังอยู่ท่ามกลางห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ สัมผัสได้ถึงสีครามของผืนฟ้ากว้าง สัมผัสได้ถึงแรงปะทะของคลื่นทะเล…

เมื่อเพลงจบลง

ทุกคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่จิตใจกลับล่องลอยออกไปไกล        

ผ่านไปเนิ่นนาน

โปรดิวซ์เซอร์ถึงพึมพำขึ้นว่า “เพราะงั้น…ถึงได้มีแค่ฉินโจว…ที่เป็นมาตุภูมิแห่งดนตรีของบลูสตาร์…เพลงนี้น่าทึ่งจริงๆ…”

“เพลงนี้ชื่อว่าอะไร”

ทุกคนได้สติกลับมา ต่างคนต่างพูด

โปรดิวเซอร์ตอบว่า “เพลงชื่อว่า ‘ปลายักษ์’”

ขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอิบอยู่นั้น ก็มีคนนึกสงสัยขึ้นมา “ปลา? หรือจะแก้ชื่อเพลงสักหน่อยมั้ย หนังของพวกเราถึงจะชื่อว่า ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ แต่ที่จริงเป็นเรื่องที่พูดถึงเด็กผู้หญิงกับมังกรเผือก…”

“ไม่ต้องแก้”

 ทุกคนมองเธอ “…”

เจิ้งลี่กัดฟันกรอด “พวกคุณไม่ต้องมองฉันแบบนั้น! ไม่ใช่ฉันเรียกร้องมากเกินไป! สิบสี่เพลงก่อนหน้านี้ใช้ไม่ได้จริงๆ!”

ทุกคนหัวเราะครืน

ทว่าพวกเขาก็เชื่อคำพูดนี้ของเธอ ต่อให้อีกสิบสี่เพลงจะดีกว่านี้ แต่ก็คงไม่ดีไปกว่า ‘ปลายักษ์’ แล้ว เพียงแต่ได้เห็นท่าทางยอมจำนนของผู้กำกับแล้วสนุกดีจริงๆ

“งั้นเพลงนี้ก็โอเค?”

โปรดิวเซอร์มีสีหน้าหยอกล้อ

เจิ้งลี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเพลงนี้ไม่โอเคละก็ คุณจะหาเพลงที่ดีกว่านี้ให้ฉันได้เหรอ หรือว่าคุณยังมีเงินจ่ายพ่อเพลงหรือไง อีกอย่าง ต่อให้มีพ่อเพลงออกโรงเอง ก็ไม่มีทางเกินระดับของเพลงนี้ เพราะนักแต่งเพลงท่านนี้…”

“เซี่ยนอวี๋”

โปรดิวเซอร์อ่านชื่อนักแต่งเพลง

เจิ้งลี่พยักหน้า “อาจารย์นักแต่งเพลงชื่อเซี่ยนอวี๋ท่านนี้เป็นเพื่อนรู้ใจหนังเรื่องนี้ของเรา เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันอยากสื่ออารมณ์แบบไหน!”

นี่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่บริษัทซื้อมาในราคาห้าล้าน

ตามหลักของวงการ ทีมผู้สร้าง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชื่อเพลง เนื้อเพลง ทำนอง รวมไปถึงการเรียบเรียงผลงานที่ซื้อมาได้ ถึงขั้นที่มีสิทธิ์เปลี่ยนคนร้องหรืออัดเพลงใหม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิทธิ์ที่ทีมผู้สร้างพึงมี ต่อให้เป็นสตาร์ไลท์ก็ออกความเห็นไม่ได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแนะนำเล็กน้อยเท่านั้น

แต่สำหรับเจิ้งลี่แล้ว…

นี่คือ ‘ปลายักษ์’ ที่ดีที่สุด!

ดีจนถึงขั้นที่เจิ้งลี่ไม่คิดอยากปรับเปลี่ยนอะไรในเพลงนี้เลย รวมไปถึงนักร้องด้วย การเรียบเรียง เนื้อเพลง แล้วก็ชื่อเพลง ‘ปลายักษ์’ ซึ่งเมื่อครู่มีคนแนะนำให้แก้!

‘หรือเป็นเพราะความประทับใจแรกนั้นดีเกินไป?’

เจิ้งลี่ครุ่นคิดเงียบๆ ตอนฟังเพลงเธอขนลุกไปทั้งตัวจนตอนนี้ยังขนลุกไม่หายเลย

แต่ว่าเหตุผลคืออะไรไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

ในความคิดของเธอ OST.เพลง ‘ปลายักษ์’ นี้สมบูรณ์แบบสุดๆ เป็นความลงตัวที่สวรรค์ประทานมาเพื่อภาพยนตร์ที่กำลังจะลงจอเรื่องนี้ของเธอเลย

วงการเพลงของฉินโจว

เป็นพยัคฆ์หมอบมังกรเร้นจริงๆ!

เซี่ยนอวี๋ เธอจำชื่อไว้แล้ว

……………………………………….

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวัน วิชาเรียนของหลินเยวียนก็แน่นเอี้ยด เขาไม่มีเวลาไปห้องซ้อมเปียโนอีก

ต่อให้มีเวลาว่างบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็จะใช้เวลาไปกับเจี่ยนอี้และซย่าฝาน

ปลายเดือนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

หลินเยวียนกลับไปบริษัทอีกครั้ง

เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่แผนกประพันธ์เพลง แต่กลับอัดเพลงอยู่ในสตูดิโอครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็อัดเพลง ‘ปลายักษ์’ ออกมาเป็นที่เรียบร้อย

ครั้งนี้

เขายังคงควบรวมทั้งแต่งเนื้อเพลง แต่งทำนอง และเรียบเรียงเพลง

มิหนำซ้ำในส่วนของเปียโนในการเรียบเรียงเพลง ก็เป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง

แม้เขาจะถูกผู้หญิงคนหนึ่งในวิทยาลัยวิจารณ์ว่า ‘สกิลเปียโนอ่อนหัด’ แต่เป็นเพราะระดับของนักเปียโนท่านนั้นที่บริษัทจัดหามานั้นใกล้เคียงกับระดับของหลินเยวียน หลินเยวียนจึงลงมือเองซะเลย จะได้เทียบเคียงอารมณ์เพลงได้ด้วย

เมื่ออัดเพลงเสร็จ  

               เขาก็ส่งผลงานไปยังอีเมลภายในบริษัทของหัวหน้าเหล่าโจว แถมยังจงใจเขียนหมายเหตุไปว่า 

‘OST. [1]’

สิ่งที่เรียกว่า OST. ก็คือเพลงที่สะท้อนมุมมองหรืออารมณ์ของงานต้นฉบับ ผลงานอย่าง ‘ปลายักษ์’ ที่ทั้งเนื้อเพลงและสไตล์ค่อนข้างเข้าได้กับบรรยากาศของอนิเมชั่น จัดได้ว่าเป็น OST. ที่ค่อนข้างคลาสสิกเพลงหนึ่ง

ส่งเพลงเสร็จ

หลินเยวียนเห็นว่างานช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไปกินข้าวในโรงอาหารของบริษัท เมื่อเทียบกับในวิทยาลัยแล้ว โรงอาหารของบริษัทนั้นราคาถูกและอร่อยกว่าซะอีก

ขณะเดียวกัน

ในห้องทำงานของหัวหน้าแผนก

เหล่าโจวเองก็กำลังจะไปกินข้าวที่โรงอาหารเหมือนกัน แต่ก็ได้รับอีเมลจากหลินเยวียนกะทันหัน ทำให้เขาชะงักกลางคัน

“หลินเยวียนส่ง OST.มา?”

หลินเยวียนเป็นคนแรกในชั้นสิบที่ส่งงานมา!

ทว่าเหล่าโจวในฐานะหัวหน้าแผนก เขาไม่เพียงไม่ได้รู้สึกดีใจกับเรื่องนี้ แต่หัวคิ้วกลับขมวดมุ่นขึ้นมา

แรกเริ่มเดิมทีเขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา เพราะออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นี้ถึงคราวล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงขั้นว่าอยากจะต่อว่าหลินเยวียนเดี๋ยวนั้น

แต่เมื่อคิดว่าถึงอย่างไรหลินเยวียนก็เป็นเด็กใหม่ที่ตนพาเข้ามาในแผนกประพันธ์เพลงด้วยตนเอง ความสามารถในการรับคำตำหนิสู้คนอายุมากไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงอดกลั้นเอาไว้ดีกว่า

เพียงแต่ในใจของเหล่าโจวก็ยังอดรู้สึกหมดหวังไม่ได้

เพราะวันนี้ห่างจากวันที่เขามอบหมายภารกิจแต่งเพลงประกอบเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ให้กับคนทั้งชั้นสิบเพียงแค่สองสัปดาห์ คิดคำนวณเบ็ดเสร็จก็เป็นเวลาแค่สิบกว่าวันเท่านั้นเอง!

สำหรับนักประพันธ์เพลงคนหนึ่งแล้ว…

เวลาน้อยขนาดนี้ จะเขียนเพลงดีๆ ที่ไหนออกมาได้

นี่คือข้อเสียของการเป็นคนดังตั้งแต่เด็ก

วันรุ่นไฟแรงไงล่ะ!

หลินเยวียนก็ไม่อาจรอดพ้นปัญหานี้

ความสำเร็จในชาร์ตดาวรุ่งทำให้เด็กวัยรุ่นคนนี้เกิดความหยิ่งผยอง

เพียงแต่เหล่าโจวนึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะถึงกับทะนงตนจนกล้าส่งเพลงที่ใช้เวลาแค่สองสัปดาห์มา

“เดี๋ยวต้องเรียกเขามาคุยสักหน่อย”

เหล่าโจวถอนหายใจ ความเศร้าหมองสุมอยู่ในอก

ความโดดเด่นของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ทำให้เหล่าโจวมองหลินเยวียนในแง่ดี เขาไม่สามารถทนดูต้นอ่อนชั้นดีซึ่งในอนาคตอาจเติบโตไปเป็นนักประพันธ์เพลงมือทองของบริษัทต้องเติบโตอย่างเบี้ยวๆ บูดๆ

วันนี้ละ!

ตอนเข้างานช่วงบ่าย จะต้องหาวิธีที่ไม่รุนแรงไปอบรมหลินเยวียนสักรอบ!

ในตอนนี้

เหล่าโจวถึงกับไม่อยากกดเปิดเพลงชื่อ ‘ปลายักษ์’ ที่หลินเยวียนส่งมาเลย ถึงมันจะอยู่ในความรับผิดชอบของเขาในฐานะหัวหน้าก็เถอะ

ทว่ามีเพียงการฟังเพลงให้จบ ถึงจะชี้ข้อบกพร่องของหลินเยวียนได้

ฉะนั้นแล้ว เพื่อที่จะสรรหาเรื่องมาพูดในช่วงบ่าย เหล่าโจวจึงใส่รหัสชั่วคราวสำหรับเข้าระบบภายในบริษัท กดเปิดเพลงของหลินเยวียน

แม้ว่าเขาจะขี้เกียจใส่หูฟังก็ตามแต่

……

เสียงจากลำโพง เป็นเสียงสามพยางค์ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะของเปียโนดังขึ้น บรรเลงท่วงทำนองในท่อนแรก

จากนั้นท่อนเวิร์สก็เข้ามา

ฟังเนื้อเพลงไปได้เพียงสองประโยค เหล่าโจวก็ส่งเสียงแผ่วเบาด้วยความประหลาดใจ หัวคิ้วที่ขมวดแน่นก็พลันคลายลงไปมาก

ดูเหมือนว่า…

จะใช้ได้อยู่นะ?

ท่อนเวิร์สค่อยๆ จบลง ตั้งแต่คอรัสเริ่มต้น หัวใจของเหล่าโจวก็พลันเต้นระรัวขึ้น แววตาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ร่างกายของเขาขยับขึ้นหน้าเล็กน้อย ราวกับเพื่อให้เข้าใกล้เสียงดนตรีมากยิ่งขึ้น

และเมื่อถึงท่อนประสานเสียงของเนื้อเพลงช่วงสุดท้าย ปากของเหล่าโจวก็เผยอค้างอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว

มิหนำซ้ำยังหุบไม่ลงไปจนจบเพลง

“เพลงนี้…”

เหล่าโจวสูดลมหายใจเข้าลึก

เขาหยิบหูฟังสั่งทำสุดรักสุดหวงออกมาจากลิ้นชัก ใส่ลงให้กระชับ จากนั้นก็กดเล่นเพลง ‘ปลายักษ์’ อีกครั้ง

ทำนองเพลงเดียวกัน

แต่ในครั้งนี้ ระบบเสียงเซอร์ราวด์ของหูฟังก็ยกระดับคุณภาพเสียงของเพลง ทำให้เหล่าโจวแยกแยะทุกรายละเอียดของเพลงนี้ออก เข้าถึงอารมณ์ของดนตรีได้มากขึ้นอีกหลายส่วน!

ฉะนั้น เมื่อถึงช่วงท่อนประสานเสียงของเพลง

ทั้งร่างของเขาก็ขนลุกเกรียวขึ้นมา!

เหล่าโจวกลืนน้ำลาย

ฝืนออกแรงกดเล่นเพลงเป็นครั้งที่สาม

อันที่จริงไม่ว่าจะฟังเพลงกี่รอบ ทำนองก็ล้วนเป็นทำนองเดิม มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนครั้งที่เพิ่มขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็คือคนที่ฟังเพลงต่างหาก

“เหอะๆๆๆๆๆๆๆ…”

เหล่าโจวหลุดหัวเราะลั่น ร่างกายโยกเบาๆ ไปตามทำนองจบของเพลงรอบที่สาม

เก้าอี้ซึ่งเขานั่งอยู่ก็ขยับไปตามการเคลื่อนไหวร่างกายของเขา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคลอไปกับเสียงหัวเราะของเขาไม่หยุุด

หัวเราะยังไม่ทันไร จู่ๆ เขาก็ตบหน้าผากตนเอง

หลังจากดาวน์โหลดเพลงอย่างระมัดระวัง ทั้งยังใส่รหัสและปิดผนึกต้นฉบับแล้ว เหล่าโจวก็ผุดกายลุกพรวดขึ้น

ใบหน้าถึงกับแดงระเรื่อขึ้นมา

……

หลินเยวียนชอบกินขาหมูน้ำแดงในโรงอาหารบริษัทเป็นที่สุด

ขาหมูน้ำแดงของโรงอาหารของบริษัทไม่หวานเลี่ยนเท่าไรนัก ไม่เหมือนกับขาหมูน้ำแดงที่เมื่อก่อนกินบ่อยๆ เนื้อก็ตุ๋นจนเปื่อย ต่อให้เป็นหนังด้านนอกก็ทำได้ถึงขั้นละลายทันทีที่เข้าปาก ทำให้เขากินได้อย่างเพลิดเพลิน

ด้านหลัง

ห่างออกไปหนึ่งโต๊ะ มีคนจากแผนกประพันธ์เพลงนั่งอยู่สามสี่คน กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่

“นั่นเซี่ยนอวี๋ไง”

“ดูหล่อแล้วก็ยังอายุน้อยอยู่เลย”

“เซี่ยนอวี๋เนี่ยนะ เหอะๆ หล่อแล้วก็อายุน้อยก็จริง แต่ดูนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ ถึงกับเสียมารยาทกับพี่จิงเชียวนะ”

“ใช่ เด็กคนนี้ดูไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย”

“เชอะ ดังตอนอายุน้อยถึงได้อวดเก่งไงล่ะ อยู่ในสายอาชีพนี้มาตั้งกี่ปี เด็กใหม่ประเภทนี้พวกเราเห็นมาน้อยซะที่ไหนล่ะ”

“เขียนเพลงดีๆ มาได้เพลงเดียวก็คิดว่าตัวเองเป็นพ่อเพลงแล้วหรือไง”

“ก็แค่เพลงดีที่เขียนได้เพราะมีแรงบันดาลใจ อาชีพนี้จะสอนเขาเองแหละว่าต่อไปให้รู้สถานะของตัวเองบ้าง”

ระหว่างที่ซุบซิบนินทาผู้อื่นอยู่นั้น

บทสนทนาของพวกเขาก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

อยู่ๆ ผู้ชายหนึ่งในนั้นก็รู้สึกเย็นวาบจากด้านหลัง ทันทีที่หันไปก็เห็นใบหน้าดำทะมึนราวกับก้นหม้อ พานพากันตะลึงลาน

“หะ…หัวหน้า…”

“หัวหน้ามาโรงอาหารเองเลยเหรอคะ”

“หัวหน้าอยากกินอะไรครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้!”

เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าโจว นักแต่งเพลงเหล่านี้ก็สั่นสะท้าน

รอบกายเหล่าโจวแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์สุดๆ “พวกเธอกินข้าวอิ่มเกินไปหรือไง”

“หัวหน้า…พวกเรา…”

เหล่าโจวพูดอย่างเย็นชา “อ้อ ดูท่าจะกินอิ่มกันเกินไปจริงๆ ด้วย งั้นก็ไปออกกำลังกายหน่อยก็แล้วกัน วันนี้คุณป้าแม่บ้านที่ชั้นสิบสองลาหยุดพอดี พวกเธอไปทำความสะอาดชั้นสิบสองก็แล้วกัน โดยเฉพาะห้องน้ำ”

“ค่ะ/ครับ…”

พวกเขาคอตกออกไปอย่างสลดหดหู่ ก่อนเดินออกไปยังกล่าวคำขอโทษ “ขอโทษนะคะ/ครับหัวหน้า ต่อไปพวกเราจะไม่นินทาเพื่อนร่วมงานลับหลังอีกแล้ว”

“ไม่ใช่”

เหล่าโจวเอ่ยท้วง “พวกเธอนินทาคนอื่นก็เรื่องของพวกเธอ ฉันเองก็นินทาคนอื่นลับหลังออกจะบ่อย แต่ห้ามนินทาเขา!”

“หา?”

สีหน้าของพวกเขามึนงง เดินออกไปด้วยความสับสน

ขณะที่กำลังจะเดินออกจากโรงอาหาร จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็หันหลังไป ก็เห็นว่าสีหน้าของเหล่าโจวเปลี่ยนไป ยิ้มร่าเดินไปหาหลินเยวียน

“อะไรวะเนี่ย”

นักประพันธ์เพลงกลุ่มนี้มองหน้ากัน ต่างคนต่างมีสีหน้าราวกับเห็นผี

……

หลินเยวียนกำลังกินขาหมูน้ำแดง จู่ๆ เห็นว่ามีคนคีบผักให้ตนเอง “เป็นวัยรุ่นอย่าเลือกกิน ต้องกินผักเยอะๆ”

“ครับ”

หลินเยวียนตอบรับ แต่ปากยังกินขาหมูอยู่

เหล่าโจวไม่ได้โกรธเคือง ยังคงมีท่าทางเป็นมิตร “อยู่แผนกประพันธ์เพลงมาเป็นยังไง ปรับตัวได้หรือยัง มีอะไรที่ไม่คุ้นเคยก็บอกฉันได้”

“ดีมากครับ”

หลินเยวียนพูดความจริง เขาไม่ได้คลุกคลีกับคนในชั้นอื่นๆ เท่าไร แต่เพื่อนร่วมงานแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบดีกับหลินเยวียนมาก

“งั้นก็ดีแล้ว”

เหล่าโจวกินข้าวอย่างไม่รีบร้อน ยิ้มกรุ้มกริ่มเอ่ย “สิ่งที่เสี่ยวจ้าวให้นายได้ก่อนหน้านี้ ฉันโจวรุ่ยหมิงก็ให้นายได้ ให้ได้มากกว่าด้วยซ้ำ! เพราะงั้นนายต้องการอะไรบอกฉันได้เลยนะ!”

“งั้นผมไม่กินผักกวางตุ้งได้มั้ย”

หลินเยวียนมองผักกวางตุ้งในจานด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง

เหล่าโจวแทบสำลัก แต่ก็หลุดหัวเราะออกมาทันใด “แน่นอนอยู่แล้ว วัยรุ่นกำลังโต ต้องกินเนื้อเยอะๆ สิ!”

“อื้ม”

“นายอยู่ที่วิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง”

“ที่วิทยาลัยก็ดีครับ”

“อย่างนั้นเหรอ ที่จริงฉันรู้ว่านักศึกษาที่วิทยาลัยนายขยันกันมาก ถ้าเรื่องเรียนไม่เข้าใจตรงไหนก็มาบอกฉันได้”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนกินข้าวต่อ

เหล่าโจวมองหลินเยวียนพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาชื่นชมเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่แล้ว!

เด็กปีสองไม่ใช่เหรอ! เป็นวัยรุ่นไฟแรง! ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ! ถึงได้มีท่าทีไม่เห็นหัวหน้าอยู่ในสายตาแบบนี้!

ถ้าไม่ไฟแรง จะเรียกว่าวัยรุ่นเหรอ!

……………………………….

[1] OST ย่อมาจาก original soundtrack

ฉินโจวเข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์เพลงมาก หลินเยวียนสำรองเพลงไว้กับบริษัทก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรอีก

วันต่อมา หลินเยวียนกลับมาใช้ชีวิตในรั้ววิทยาลัยดังเดิม

ทว่าช่วงเช้าวันนี้สาขาการประพันธ์เพลงมีเรียนเพียงวิชาเดียว เลิกเรียนแล้วก็ยังเช้าอยู่ เพื่อนในคลาสก็ล้วนทยอยกันกลับหอไปเล่นเกม

หลินเยวียนยังไม่คิดจะกลับ

เมื่อไม่มีแรงกดดันจากการสอบ ถึงแม้เขาจะยังตั้งใจเรียนดังเคย แต่ในช่วงเวลาว่างจากการเรียนเขาก็ผ่อนคลายลงแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยเวลาอันมีค่าทิ้งไปในหอพัก 

แล้วช่วงเวลาว่างควรทำอะไรดีล่ะ

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะส่งข้อความถามเจี่ยนอี้และซย่าฝานว่าพวกเขามีเวลาออกมาไหม ผลก็คือถูกปฏิเสธ

ทั้งสองยังมีเรียน

แม้ว่าจะเรียนวิทยาลัยเดียวกัน หลินเยวียน เจี่ยนอี้ และซย่าฝานตัวติดกันเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะทั้งสามนั้นเรียนคนละสาขากัน เวลาส่วนมากจึงมักไม่เจอหน้ากัน

หลินเยวียนก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด

เพราะว่าเขานึกเรื่องที่จะไปทำออกแล้ว

นั่นก็คือไปเล่นเปียโนที่ห้องเปียโน

ระบบให้ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญเป็นรางวัลกับหลินเยวียน เขายังไม่ได้ลองเลย

พอดีกับที่เพลง ‘ปลายักษ์’ ใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลักในการเรียบเรียง ฉะนั้นหลินเยวียนจึงอยากลองฝีมือเปียโนในตอนนี้ของตนเองสักหน่อย ถ้าเข้าที เขาคิดถึงขั้นว่าจะเรียบเรียงเพลงส่วนที่เป็นเปียโนด้วยตนเอง

……

สิบนาทีให้หลัง

หลินเยวียนก็มาถึงห้องเปียโน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะผู้เป็นเลิศด้านดนตรี ดังนั้นจึงมีห้องเปียโนสาธารณะมากมายซึ่งเปิดให้นักศึกษาใช้ในระยะยาว ถึงขั้นที่แต่ละห้องจะมีเปียโนซึ่งยี่ห้อแตกต่างกัน มีทั้งอัปไรต์เปียโนและแกรนด์เปียโนพร้อมสรรพ เพื่อให้นักศึกษาได้เลือกใช้กันตามสบาย

และนี่นับว่าสะดวกสบายมากสำหรับหลินเยวียน

เพราะในเวลานี้นักศึกษาส่วนใหญ่กำลังมีเรียน ห้องเปียโนจึงว่างอยู่ไม่น้อย เขาจึงมีตัวเลือกถมเถไป

เดินไปตามระเบียงทางเดินยาวหน้าห้องเปียโน

หลินเยวียนพบเป้าหมายที่ตนต้องการที่ห้องเปียโนสุดทางเดิน

นี่เป็นอัปไรต์เปียโนคลาสสิกตัวหนึ่ง คีย์บอร์ดเปียโนทำจากวัสดุคุณภาพดีราคาแพง กระเบื้องเคลือบสวยโดดเด่น โครงสร้างประณีตโฉบเฉี่ยว เห็นได้ชัดว่าเหนือระดับกว่าเปียโนในห้องอื่นๆ!

ที่นี่แหละ

หลินเยวียนเข้าไปในห้อง นั่งลงหน้าเปียโน ลงมือบรรเลงบทเพลงคลาสสิกในความทรงจำของเจ้าของร่าง ‘ใจปรารถนา’

ที่เล่นเพลงนี้ได้ จุดสำคัญก็เพราะเขาหวนคิดถึงมัน

นี่เป็นเพลงเปียโนเพลงแรกที่แม่สอนเขาเล่น เขาเคยถูกโน้ตเพลงทรมานจนแทบเป็นบ้า

ทว่าวันนี้ที่กลับมาเล่นอีกครั้ง หลินเยวียนรู้สึกคุ้นเคยทีเดียว

น่าจะเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่าง

แต่ก็เป็นความรู้สึกของหลินเยวียนในตอนนี้ด้วย

และนอกเหนือจากความคุ้นเคย ความรู้สึกที่หลินเยวียนสัมผัสได้มากที่สุดก็คือ เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!

ทุกครั้งที่กดลงบนคีย์บอร์ดเปียโนในตอนนี้ เขารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นตามจังหวะเพลงหรือเทคนิคต่างๆ ก็ล้วนออกมาจากใจของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

ในความทรงจำ

ปัญหาในการบรรเลงเพลงมากมายที่เจ้าของร่างไม่เข้าใจ ก็ล้วนกระจ่างอย่างง่ายดาย ต้องเข้าใจว่าเมื่อก่อนหลินเยวียนรู้สึกว่าการเล่นเพลงนี้ตามโน้ตเพลงนั้นแสนยากเย็น

แต่ในตอนนี้

เขาไม่เพียงเล่นทั้งเพลงนี้ได้อย่างแคล่วคล่อง ถึงกับพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงเพลงได้เล็กน้อยด้วย

นอกจากนั้นก็ยังรวมไปถึงรายละเอียดในการใช้คันเหยียบด้วย ทั้งความตื้นลึกของคันเหยียบ การประยุกต์ใช้ทำนอง รวมไปถึงคุณภาพเสียงซึ่งพัฒนาขึ้นหลังจากเก็บรายละเอียดเหล่านี้แล้ว เขาล้วนสังเกตเห็น

ทั้งยังมีจุดที่ยากในการใช้เทคนิคคั่นคู่เสียงในเพลง ในตอนนี้เขาสามารถขยับนิ้วได้คล่องแคล่ว บรรเลงออกมา

ได้ดังใจต้องการ

เมื่อบรรเลงทั้งเพลงออกไป หลินเยวียนก็แทบตกหลุมรักความรู้สึกยามเล่นเปียโนทันที

ผ่านไปห้านาที

ในที่สุดเพลง ‘ใจปรารถนา’ ก็ดำเนินมาถึงท่อนจบ ระดับความสามารถในการเล่นเปียโนที่รุดหน้าดังติดปีกบินทำให้หลินเยวียนมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม!

เขาตัดสินใจลองเล่นเพลง ‘วิวาห์ในฝัน’

ทว่าชั่วขณะที่หลินเยวียนกำลังจะกดเล่นโน้ตเพลงแรก ก็กลับมีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นขัดจังหวะ “ใครให้นายเข้ามา”

หลินเยวียนเงยหน้าขึ้น

ผู้หญิงผมยาวสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู แสงแดดอาบลงบนแผ่นหลังของเธอ ขับให้เห็นรูปร่างสูงสะโอดสะอง แต่กลับกลบกลิ่นอายเย็นเฉียบของเธอไม่ได้ ดวงตาสวยแต่เยียบเย็นกำลังจ้องตาหลินเยวียน

“ที่นี่ไม่ใช่เขตสาธารณะเหรอครับ”

หลินเยวียนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ออกจะดูลึกลับอยู่สักหน่อย

หญิงสาวผุดรอยยิ้มเย็น “นายไม่รู้จักฉัน?”

หลินเยวียนเริ่มสับสน “พวกเราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”

หญิงสาวถลึงตาใส่หลินเยวียน ก่อนที่สีหน้าจะค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ “เปียโนหลังนี้เป็นของฉัน ส่วนห้องเปียโนนี้ วิทยาลัยอนุญาตให้ฉันใช้ได้คนเดียว ดังนั้นอย่ามาใช้สกิลเปียโนอ่อนหัดของนายทรมานเปียโนของฉันอีก”

หลินเยวียนทำได้แค่หยัดกายลุกขึ้น พูดว่า “ผมลุกให้คุณแล้ว”

หญิงสาวแก้คำอย่างจริงจัง “ไม่ใช้ลุกให้ แต่คืนให้ เพราะว่าเดิมทีนี่ก็เป็นเปียโนของฉัน”

“อืม คืนให้คุณ”

หลินเยวียนเดินไปทางประตู ขณะที่สวนกับหญิงสาว จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นว่า “คนที่อยากเรียกร้องความสนใจจากฉันน่ะมีเยอะแยะ แต่นายเลือกใช้วิธีที่น่าเกลียดที่สุด แถมวิธีแกล้งโง่พรรค์นี้ทำให้ฉันหงุดหงิดจริงๆ”

“อะไรนะ”

หลินเยวียนงงไปหมดแล้ว

เด็กสาวหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋า ก้มหน้าลงเช็ดคีย์บอร์ดเปียโนที่หลินเยวียนเพิ่งใช้เมื่อครู่นี้อย่าง

เอาจริงเอาจัง พลางใช้น้ำเสียงเย็นชาแดกดันมาว่า “เพลง ‘ใจปรารถนา’ ของอบิเกลเป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครเล่นเพลงนี้แล้วฉันจะชอบไปทั้งหมด ฝีมือนายดีกว่าแฟนคลับคนอื่นๆ แต่ก็ยังแตะไม่ถึงระดับที่จะทำให้ฉันประทับใจ อีกอย่าง ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ โยนทิ้งถังขยะข้างล่างไปแล้ว”

“โอ้”

หลินเยวียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจอะไรผิด แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ และไม่คิดจะอธิบายด้วย แต่ก็จะโดนต่อว่าให้เสียหายก็คงไม่ได้ เขาจึงแค่เอ่ยเตือนไปหนึ่งประโยค

“ก่อนเล่นเปียโนผมล้างมือแล้ว”

คนที่รักเปียโนบางคนใส่ใจความสะอาดเป็นพิเศษ กลัวว่าคีย์บอร์ดเปียโนจะเปื้อนรอยนิ้วชัดเกินไป หลินเยวียนคิดว่าที่นี่ก็เป็นห้องเปียโนส่วนรวม จึงพึงระลึกจิตสาธารณะ ล้างมือด้วยสบู่ก่อนจะเล่นเปียโน

เด็กสาวไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าก้มตาเช็ดต่อไป

ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวเปียโนที่หลินเยวียนไม่ได้แตะก็ไม่เว้น

หลินเยวียนทำได้เพียงเปลี่ยนห้อง

เขานั่งหน้าเปียโนในห้องใหม่

ขณะที่กำลังจะลงมือเล่น จู่ๆ ก็นึกถึงคำวิจารณ์ที่หญิงสาวคนเมื่อกี้พูดว่าสกิลเปียโนของตนอ่อนหัด เขาจึงถามระบบซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานานอย่างอดไม่ได้ “ระดับของฉันอ่อนหัดจริงๆ เหรอ”

“ไม่เลย”

“งั้นก็ดี”

หลินเยวียนผ่อนลมหายใจ และได้ยินระบบตอบว่า “สำหรับคนที่มีความสามารถระดับที่สูงกว่าแล้ว คนที่ระดับต่ำกว่าพวกเขาก็จัดอยู่ในระดับอ่อนหัดทั้งนั้น”

“…”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าระดับความสามารถของเด็กสาวคนเมื่อครู่จะถึงกับดีกว่าตน เพราะว่าตนอยู่ระดับเชี่ยวชาญที่ระบบมอบให้เชียวนะ

เธอคนนั้นน่าจะจัดอยู่ในระดับมีพรสวรรค์ทางเปียโนทำนองนั้นสินะ

เขาไม่ได้คิดมาก และเริ่มบรรเลงเพลง ‘วิวาห์ในฝัน’ ที่ตนได้มาจากกล่องสมบัติเงิน

……

เช็ดเปียโนเสร็จซะที

กู้ซีนั่งลงหน้าเปียโนด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยว

เปียโนหลังนี้เป็นของขวัญที่คุณพ่อให้ มันอยู่เคียงข้างกู้ซีมาตั้งแต่เจ็ดขวบ

หลังจากเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว เธอก็ถึงขั้นขอร้องกับทางวิทยาลัยว่าให้ตนนำเปียโนที่ผูกพันมากหลังนี้เข้ามาไว้ในวิทยาลัย

เรียกได้ว่า นับตั้งแต่วินาทีที่เปียโนหลังนี้กลายเป็นสมบัติของกู้ซี ก็ไม่มีใครได้แตะต้องมันอีกเลย

และเป็นเพราะเมื่อคืนตนฝึกซ้อมเปียโนจนดึกไปหน่อย ตอนกลับไปเลยลืมล็อกประตู วันนี้ถึงกับมีคนแปลกหน้าเข้ามาใช้เปียโนหลังนี้

นั่นทำให้กู้ซีไม่สบายใจเอาซะเลย ก็เหมือนกับแปรงสีฟันของตนถูกคนแปลกหน้าหยิบไปใช้             

และทำให้วันนี้กู้ซีไม่มีอารมณ์จะเล่นเปียโนแล้ว

ในขณะที่เธอกำลังหงุดหงิดอยู่นั้น หูก็พลันได้ยินเสียงเปียโนอันไม่คุ้นเคย เสียงนี้ถึงกับทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของกู้ซีบรรเทาลงได้

คีย์ G ไมเนอร์ทั่วไป 

กู้ซีเงี่ยหูฟังอย่างเงียบเชียบ

เพลงนี้กู้ซีเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เธอไม่รู้ว่าเป็นผลงานใหม่ของศิลปินท่านไหน รู้สึกเพียงว่าแต่ละท่วงทำนองทำให้รู้สึกดื่มด่ำในห้วงมหรรณพของเสียงเพลงอย่างอดใจไม่อยู่

บ้างก็อบอุ่นดุจสายลม

บ้างก็อ่อนโยนดุจสายรุ้ง

ครั้นบรรยากาศโรแมนติกเริ่มโหมโรง เสียงเปียโนหวานหยดเยิ้มก็ปานประหนึ่งน้ำผึ้งหลอมละลายในหัวใจ กู้ซีแทบรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในโบสถ์แต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น…

ไม่สิ

ไม่ใช่อย่างนั้น

บทเพลงนี้ไม่ได้ให้เพียงความรู้สึกหอมหวานโรแมนติก ในท่วงทำนองคล้ายกับระคนไปด้วยความรักอันสิ้นหวังเสียมากกว่า ชายหนุ่มผู้โหยหาความรักทำได้เพียงพเนจรในห้วงความฝัน ปรารถนาจะครอบครองแต่ก็กลัวว่าจะสูญเสียไปเฉกเช่นการตื่นจากฝัน จนกระทั่งได้เห็นผู้หญิงที่เขารักสวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์เต้นรำอยู่ท่ามกลางงานวิวาห์ที่ไม่มีอยู่จริง

นักดนตรีตีความความรู้สึก

ทำนองเปียโนเร่งบ้างผ่อนบ้าง

เสียงเปียโนสูงบ้างต่ำบ้าง

เมื่อบทเพลงนี้จบลง กู้ซีงงงันไปชั่วขณะ ถึงกับรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นจากความฝัน เธอจ้องมองเปียโนเบื้องหน้าอย่างสับสน ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นสาวเท้าวิ่งออกไป!

“ใครน่ะ”

เธอพยายามวิ่งตามหาต้นเสียงไปทั่วทุกห้องเปียโน แต่อย่างไรก็หาผู้บรรเลงบทเพลงเมื่อครู่ไม่เจอ แต่กลับต้องเจอกับสายตาประหลาดใจหรือสงสัยอีกหลายคู่

“ใครน่ะ!”

แววตาของเธอสว่างวาบ

เธออยากรู้เหลือเกินว่าใครบรรเลงบทเพลงไม่คุ้นหูนั้นเมื่อกี้ เธออยากรู้เหลือเกินว่าเพลงนั้นชื่ออะไร!

ในตอนนั้นเอง

ผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างด้วยสีหน้าประหม่า “คนสวย ถ้าไม่ชอบดอกกุหลาบ โยนทิ้งไปแล้วก็ไม่เป็นไร แต่บอกผมได้มั้ยว่าชอบดอกไม้อะไร ครั้งหน้าผมจะ…”

“ดอกกุหลาบ?”

ยามที่กู้ซีกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังที่หาผู้บรรเลงเพลงนั้นไม่พบ จิตใจของเธอกำลังปั่นป่วน จู่ๆ ก็ถูกคนขัดจังหวะ จนเธอขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “สรุปแล้วดอกไม้ก่อนหน้านี้ นายเป็นคนส่งมา?”

ชายหนุ่มตอบกระตุกกระตัก “ผะ…ผมเองครับ”

กู้ซีอ้าปากค้าง ในสมองนึกถึงใบหน้าเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้ สีหน้าก็ยิ่งเย็นชา “ฉันแพ้เกสรดอกไม้”

อากาศหนาวเหน็บขึ้นมาทันตา

ชายหนุ่มพลันล่าถอยไป

…………………………………

ตอนเย็นหลังเลิกงาน

ในที่สุดหลินเยวียนก็ฟังเสียงของทั้ง 106 คนจบ

ฟังเสียงของทั้ง 106 คนจบ หลินเยวียนถึงได้ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าทำไมฉินโจวถึงได้ชื่อว่าเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรี

แต่ละคนร้องเพลงเก่งมาก!

เห็นๆ อยู่ว่ารายชื่อที่จ้าวเจวี๋ยส่งมาทั้ง 106 คนนั้นล้วนเป็นนักร้องหน้าใหม่ ค่อนหนึ่งของทั้งหมดถึงขั้นยังไม่ได้เดบิวต์ แต่หากพูดถึงความสามารถในสายอาชีพ คุณภาพโดยเฉลี่ยนั้นเหนือชั้นกว่าบนโลกไปมากทีเดียว

และหลังจากที่ได้ฟังเสียงของคนเหล่านี้วนไปรอบหนึ่งแล้ว หลินเยวียนก็หาผู้ช่วยงานที่จะมาลองร้องเพลง ‘ปลายักษ์’ สามคนได้สำเร็จ

นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลย       

เย็นวันนั้น หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย และบอกรายชื่อแคนดิเดตในรอบแรกของตนไป

“หวังผิง เจียงขุย เว่ยเสี่ยวซิน…”

เมื่อได้ยินหลินเยวียนอ่านสามชื่อซึ่งไม่ค่อยคุ้นเคยออกมา จ้าวเจวี๋ยพูดว่า “คนที่เธอเลือกเหมือนว่าจะเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้เดบิวต์?”

“อื้ม”

เด็กคนนี้ น่าสงสัยจริงๆ

คงจะไม่ใช่เพราะจะได้แบ่งเงินให้เด็กใหม่น้อยๆ หรอกใช่ไหม

จ้าวเจวี๋ยข่มความคลางแคลงใจ พูดออกไปว่า “พรุ่งนี้ฉันจะแจ้งสามคนนี้ว่าให้ไปรอเธอที่สตูดิโอ เธอลองทดสอบดู ถ้ายืนยันตัวแล้วก็เริ่มอัดเสียง แต่ว่าเรื่องตรวจสอบของบริษัทต้องพึ่งตัวเธอเอง ถ้าไม่ผ่านการตรวจสอบ เธออัดเพลงไปก็เสียเปล่า”

“ครับ”

แล้วบทสนทนาของทั้งสองจบลง

วันที่สอง ณ สตูดิโอชั้นเก้าของบริษัท

เด็กใหม่ทั้งสามคน หวังผิง เจียงขุย และเว่ยเสี่ยวซินนั่งตัวตรงแหน็วอยู่ที่เก้าอี้หน้าประตู ใบหน้าเครียดขึง ราวกับคนสมัครงานกำลังรอสัมภาษณ์อย่างไรอย่างนั้น

‘อึกๆๆๆๆๆๆ’

เพื่อที่จะรักษาให้เสียงอยู่ในสภาพที่ดี เจียงขุยจึงดื่มน้ำหมดไปหนึ่งขวดใหญ่เต็มๆ

ทว่าดื่มน้ำไปก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความประหม่าของเธอได้เลย

เมื่อเย็นวาน ผู้จัดการก็แจ้งเธอว่าวันนี้ต้องมาออดิชันที่บริษัทอย่างกะทันหัน เพราะเซี่ยนอวี๋อาจเลือกเธอเป็นคนร้องเพลงใหม่

เมื่อรู้ข่าวนี้ เจียงขุยก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน

เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะเข้าบริษัทได้ไม่ถึงหนึ่งปี จู่ๆ โอกาสเดบิวต์ของตนก็มาถึงแล้ว       

รู้สึกราวกับถูกล็อตเตอรี่ และก็ราวกับว่าสวรรค์ส่งกล่องของขวัญลงมาให้

ยิ่งไปกว่านั้น นักแต่งเพลงก็คือเซี่ยนอวี๋เชียวนะ!

เดือนพฤศจิกายนยังไม่สิ้นสุดลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ที่เซี่ยนอวี๋แต่งนั้นค้างเติ่งอยู่อันดับที่หนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งจนถึงวันนี้ ยอดดาวน์โหลดก็ทิ้งช่วงห่างอันดับสองไปถึงสามหมื่นแล้ว!

ฝีมือของเซี่ยนอวี๋เป็นที่ประจักษ์แล้ว

ตอนนี้ผลงานเดบิวต์ของเธอมีหวังจะได้ร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ เจียงขุยจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ

เธอในฐานะเด็กใหม่ ยังไม่เข้าใจว่าไม่ใช่ว่าทุกเพลงของนักประพันธ์เพลงจะแตะถึงมาตรฐานเดียวกัน และไม่รู้จักด่านหินสำคัญของการปล่อยเพลงที่เรียกว่าการตรวจสอบเพลง

เธอรู้เพียงว่า นี่เป็นโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ตนจะต้องคว้ามาให้ได้!

ไม่ใช่แค่เจียงขุย

หวังผิงกับเว่ยเสี่ยวซินซึ่งยังอยู่ในระดับเด็กใหม่เช่นเดียวกับเจียงขุย ในตอนนี้ก็มีสภาพจิตใจคล้ายคลึงกัน

หลินเยวียนขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นเก้า เจ้าหน้าที่สตูดิโอรู้จักเขา รีบเข้ามาต้อนรับทันทีด้วยใบหน้าท่าทางยิ้มแย้ม “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ มาแล้วเหรอคะ/ครับ”

“เซี่ยนอวี๋?”

ทั้งสามคนมองมายังหลินเยวียน นึกไม่ถึงว่าเซี่ยนอวี๋จะอายุน้อยขนาดนี้ นักประพันธ์เพลงส่วนใหญ่ที่มีผลงานระดับนี้ อายุอานามมักจะเกินสามสิบกันทั้งนั้น

อายุต่ำกว่าสามสิบก็ใช่ว่าจะไม่มี แค่หาได้น้อยเหลือเกิน

“ลำบากแล้วครับ”

หลินเยวียนพยักหน้าให้พนักงาน ก่อนจะพูดว่า “คนไหนคือหวังผิงเหรอครับ เชิญเข้าไปข้างใน พวกเราจะทดสอบเสียงกัน”

“ผมครับ!”

หวังผิงผุดตัวลุกพรวดขึ้นทันที             

เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในทั้งสามคน

หลินเยวียนพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องควบคุมเสียงของสตูดิโอพร้อมกับเจ้าหน้าที่ นั่งลงบนเก้าอี้หน้าแผงควบคุมเสียงอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะสวมหูฟัง

“สวัสดีอาจารย์เซี่ยนอวี๋”

หวังผิงเข้าไปในห้องอัดเสียง สูดหายใจเข้าลึก กล่าวแนะนำตัวว่า “ช่วงเสียงของผมคือเคาน์เตอร์เทเนอร์ D1 ถึง D3 ครับ”

“อืม”

หลินเยวียนพูดว่า “ด้านหน้าของคุณมีโน้ตเพลงกับเนื้อเพลง ให้คุณสามนาที ลองร้องสองประโยคในท่อนคอรัสก่อน ผมอยากได้ความรู้สึกเหนือจริงที่ใสแล้วก็ชัด”

“ครับ”

หวังผิงเตรียมตัวสามนาที จากนั้นก็เริ่มลองร้องสองประโยคแรก “เกลียวคลื่นสงัดพัดกลืนม่านราตรี ถั่งโถมมุมหนึ่งสุดเส้นขอบฟ้า…”

ร้องจบสองประโยค

หลินเยวียนก็บอกว่า “ท่อนเวิร์สไม่ต้องร้องต่อแล้วครับ ร้องท่อนคอรัสต่ออีกสองประโยค ก็คือตรงท่อน ‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน กลัวยิ่งกว่าว่าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์’”

เขาร้องด้วยตนเองรอบหนึ่ง

ถึงหมอจะบอกว่าคอของเขาร้องเพลงไม่ได้แล้ว แต่หลินเยวียนเทียบคีย์ทั่วไปสักสองประโยคย่อมไม่ใช่ปัญหา

ที่บอกว่าร้องเพลงไม่ได้ แค่หมายถึงเขาไม่สามารถฝึกร้องเพลงได้ทุกวันเหมือนนักร้องอาชีพ และไม่สามารถสำแดงเสียงสูงที่ตนเคยเชี่ยวชาญได้ก็เท่านั้น เพราะคอของเขาแบกรับพลังเสียงสูงระดับนั้นไม่ไหว

“ได้ครับ อาจารย์เซี่ยนอวี๋”

หวังผิงทำตามสิ่งที่หลินเยวียนต้องการอีกครั้ง

ถึงอย่างไรในรายชื่อคนที่หลินเยวียนเรียกมาออดิชัน เสียงของหวังผิงนั้นไพเราะมาก ทั้งเวิร์สและคอรัสเขาล้วนควบคุมได้ยอดเยี่ยม

หลินเยวียนพยักหน้า “หลังจากนั้นก็ลองท่อนเอื้อน แล้วก็เป็นช่วงเสียงสูงตอนใกล้จบเพลง”

ในเพลง ‘ปลายักษ์’ มีท่อนเสียงขึ้นจมูกที่ไพเราะมาก ผู้คนเรียกเสียงขึ้นจมูกเช่นนี้ว่า ‘เสียงปลาโลมา[1]’ แต่ศัพท์เฉพาะทางนั้นไม่มีบัญญัติคำว่า ‘ปลาโลมา’

สิ่งที่เรียกว่า ‘เสียงปลาโลมา’ นั้น ศัพท์เฉพาะทางเรียกว่า ‘เสียงหวีด’

เสียงประเภทนี้เป็นวิธีการเปล่งเสียงสูงซึ่งพ่นลมหายใจผ่านช่องเล็กระหว่างเส้นเสียงกับคอ เป็นวิธีการร้องเสียงสูงประเภทหนึ่งซึ่งใช้ใส่ลูกเล่นในบทเพลง

และเป็นขอบเขตของความถี่ที่สูงที่สุดซึ่งมนุษย์สามารถเปล่งได้ในตอนนี้

นอกจากวิธีการร้อง ‘เสียงกระดูกโคนลิ้น’ แล้ว ก็ยังไม่มีวิธีร้องอื่นที่สูงไปกว่าเสียงหวีด ฉะนั้นท่อนนี้จึงยากกว่าท่อนอื่นๆ ด้านหน้า

“อ่าอาอ๊า~อาอ่า~อ่าอ๊าอา~อ่าอา”

การร้องของหวังผิงทำให้รู้สึกปวดใจอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่เสียงปลาโลมา เรียกว่าเป็นปลาโลมาจะเหมาะกว่า

หลินเยวียนเรียกให้หยุดทันที “เสียงของคุณเกร็งเกินไป ต้องผ่อนอีกหน่อยครับ แล้วก็เทคนิคฟอลเซ็ตโททั้งหมด คุณใช้ฟอลเซ็ตโทร้องท่อนนี้หน่อยได้มั้ยครับ”

“ไม่ได้ครับ…”

หวังผิงส่ายหน้าอย่างหดหู่ ช่องเสียงของเขาแคบไปเล็กน้อย คุมเสียงหวีดออกจะฝืนเกินไป

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนบอก “คุณเรียกเว่ยเสี่ยวซินเข้ามาเถอะ”

“ได้ครับ ขอบคุณครับอาจารย์เซี่ยนอวี๋”

หวังผิงก้มหน้าเดินจากไป

ไม่นานเว่ยเสี่ยวซินก็เข้ามาในห้องอัด

หลังจากแนะนำตัวสั้นๆ ขั้นตอนการออดิชันก็เริ่มต้นขึ้นทันที

จากมาตรฐานการทำผลงานในครั้งนี้ เว่ยเสี่ยวซินดีกว่าหวังผิงอย่างไม่ต้องสงสัย รวมไปถึงเสียงหวีดซึ่งเว่ยเสี่ยวซินก็ทำได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง

ทว่าหลังจากฟังการออดิชันจบ หลินเยวียนก็ยังขมวดคิ้วอยู่บ้าง

ระดับของเว่ยเสี่ยวซิน เรียกได้เพียงว่าพอถูๆ ไถๆ ให้ผ่านเกณฑ์ไปได้เท่านั้น

ร้องเสียงหวีดได้ กับร้องเสียงหวีดได้เพราะนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

คนที่ร้องเสียงหวีดได้มีตั้งเยอะแยะ ทำไมวีตัส[2]ถึงได้รับคำชมล้นหลามจากทั้งมืออาชีพและผู้ฟังทั่วทั้งโลกล่ะ

หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือคุณภาพเสียงหวีดของวีตัสนั้นไพเราะมาก

คุณภาพของเสียงนั้นเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้หลังจากนั้น คุณภาพเสียงของเว่ยเสี่ยวซินไม่มีปัญหา ทว่าส่วนของเสียงหวีดนั้น คุณภาพเสียงของเธอยังไม่ถึงขั้นที่หลินเยวียนต้องการ

ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสายงานเฉพาะทางอาจฟังไม่ออก

แต่โสตประสาทของหลินเยวียนกลับรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างเสียงนี้กับต้นฉบับทันทีที่ได้ฟัง เขาทำได้เพียงลอบถอนใจกับตัวเอง บอกว่า “รบกวนแล้วครับ ให้อีกคนเข้ามาเถอะ”

อันที่จริง เสียงแบบเว่ยเสี่ยวซินก็สามารถปรับแก้ได้ในขั้นตอนหลัง

เธอได้แตะถึงมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่หลินเยวียนมีต่อผู้ช่วยงานแล้ว

แต่หลินเยวียนก็ยังเลือกคนโดยยึดหลักการว่าถ้าไม่อยากสร้างความลำบากให้ซาวด์เอนจิเนียร์ ก็อย่าหางานให้ซาวด์เอนจิเนียร์เพิ่มมากขึ้น

“ขอบคุณค่ะอาจารย์”

เว่ยเสี่ยวซินก็เดินจากไปอย่างผิดหวัง

หลังจากนั้นก็เป็นเด็กผู้หญิงชื่อว่าเจียงขุย

เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ทันทีที่เข้ามาก็ลนลานรีบปรับระดับความสูงของไมโครโฟน ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหน้าที่พากันขบขัน

“สวัสดีค่ะอาจารย์”

เด็กสาวเอ่ยอย่างตกประหม่า “ฉันชื่อเจียงขุย ช่วงเสียงอยู่ที่ G2 ถึง C6 ค่ะ…”

“เสียงผู้หญิง C สูง?”

เจ้าหน้าที่บันทึกเสียงคนหนึ่งเลิกคิ้ว

เจ้าหน้าที่ด้านข้างอีกคนหนึ่งส่งเสียง พูดว่า “ช่วงเสียงกว้างพอ ร้องเสียงหวีดไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณภาพเสียงจะแตะถึงระดับที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋ต้องการหรือเปล่า”

“เริ่มเลยครับ”

หลินเยวียนขอให้เธอทำเหมือนกับสองคนก่อนหน้าอีกครั้ง

“ได้ค่ะ”

เด็กสาวตัวเล็กกระแอมเล็กน้อย แล้วเริ่มร้องเพลง

ด้านหน้าไม่มีปัญหาเฉกเช่นสองคนก่อนหน้า ถึงขั้นที่ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเสียงของเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ไม่เพียงใสและกังวาน ขณะเดียวกันก็ยังเจือด้วยเนื้อเสียงของนักร้องชายเล็กน้อย นี่เป็นคุณสมบัติของเสียงซึ่งมีมาแต่กำเนิด

“ดีมาก”

หลินเยวียนกล่าวชมเชย “ลองร้องท่อนเอื้อนหน่อยครับ ย้ำนะครับว่าผมต้องการเสียงหวีด ไม่ใช่เทคนิคเฮดวอยซ์”

พูดจบ หลินเยวียนก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

ถ้าหากเด็กสาวคนนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ เขาก็ทำได้แค่ต้องให้เว่ยเสี่ยวซินแต่งเสียงแล้ว หรืออาจต้องไปหาคนจากบรรดานักร้องซึ่งได้เดบิวต์และพิสูจน์ฝีมือมาแล้ว 

อย่างนั้นส่วนแบ่งก็จะหายไปอีกเท่าไหร่กันนะ

จริงๆ แล้วการแต่งเสียงคงจะคุ้มราคากว่าล่ะมั้ง?

ระหว่างที่หลินเยวียนกำลังขมวดคิ้วจมอยู่ในห้วงความคิด เด็กสาวก็เริ่มร้องท่อนเอื้อนแล้ว เสียงหวีดใสเสนาะหูดังขึ้นในโสตประสาท

แววตาของหลินเยวียนค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา

เขารู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินกับนักร้องที่เดบิวต์แล้ว

ผู้ช่วยงานคนที่สาม ผ่านเกณฑ์!

เจ้าหน้าที่อัดเสียงทั้งสองคนสบตา และพยักหน้าพร้อมกัน

ว่ากันตามภาพรวมของเสียงแล้ว เด็กสาวตัวเล็กคนนี้ดีที่สุด สองคนก่อนหน้านี้ดูด้อยกว่าเมื่อเทียบกับเธอ

หลินเยวียนพูดว่า “คุณชื่อเจียง…”

เด็กสาวรีบตอบว่า “เจียงขุย ฉันชื่อเจียงขุยค่ะ”

หลินเยวียนพยักหน้า ตัดสินใจเด็ดขาด “ดี เจียงขุย เดี๋ยวผมจะเอาโน้ตเพลงทั้งหมดให้คุณ หวังว่าคุณจะจำเพลงนี้ให้ขึ้นใจโดยเร็วที่สุด วันเสาร์หน้าเริ่มอัดเสียงอย่างเป็นทางการนะครับ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะอาจารย์”

เจียงขุยลอบชูสองนิ้วไว้ด้านหลัง ความตื่นเต้นดีใจบนใบหน้ายากที่จะเก็บซ่อน “ฉันจะพยายามค่ะ!”

……………………………………….

 

[1] เสียงปลาโลมา หมายถึงเสียงจากการหวีดร้อง (whistle register)

[2] วีตัส นักร้องชาวรัสเซีย โดดเด่นด้านการร้องระดับเฮดวอยซ์

เชี่ย เด็กคนนี้!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเสนอตัวรับภารกิจของหลินเยวียน สายตาของเหล่าโจวและคนอื่นๆ ก็แปลกประหลาดไม่ต่างกัน ปากของเขาเผยอออก ชั่วขณะนั้นก็ลืมไปสนิทว่าจะพูดว่าอย่างไร ทั้งตัวมีสมองเพียงส่วนเดียวที่ทำงานตามสัญชาตญาณ

เขาเพิ่งจะคำนวณเงินใช่ไหมนั่น

เขาแค่คิดจะให้ส่วนแบ่งนักร้อง 0.5 ส่วน?

นักร้องดังย่อมไม่ได้แบ่งอัตราส่วนเท่านี้แน่ 0.5 ส่วนในสองส่วนนี้เป็นราคาตามแบบฉบับของผู้ช่วยงาน โดยทั่วไปมีแค่นักร้องไม่ดังหรือไม่ก็เด็กใหม่เท่านั้นแหละที่จะยินดีร้องเพลงที่ส่วนแบ่งน้อยนิดขนาดนี้…

ไม่สิ ไม่สิ!

ฉันกำลังคิดอะไรอยู่วะเนี่ย

เหล่าโจวพยายามควบคุมความคิดฟุ้งซ่าน และมุมปากของตนซึ่งกระตุกน้อยๆ

เขากระแอมครั้งหนึ่ง ขบคิดหาคำพูด “คือว่า คนหนุ่มไฟแรงเป็นเรื่องที่ดี แต่ออเดอร์นี้ของพวกเราไม่ใช่สิ่งที่เด็กใหม่ทั่วไปจะรับมือได้ หลินเยวียนแน่นอนว่านายเองก็ไม่ใช่เด็กใหม่ธรรมดา แต่พวกเราก็ยังต้องระดมความคิดกันก่อน เอางี้ ในหนึ่งเดือนนี้ นายส่งเดโมมาให้ฉันก่อน คนอื่นๆ ในชั้นสิบก็เหมือนกัน ทุกคนจำเป็นต้องส่งเดโมให้ฉันคนละหนึ่งเพลง”

จะทำลายความกระตือรือร้นของหลินเยวียนไม่ได้

ในสถานการณ์ที่ทุกคนพากันเงียบเป็นเป่าสาก หลินเยวียนยังสามารถออกตัวรับภารกิจซึ่งระดับความยากสูงของแผนกประพันธ์เพลงได้ นี่เป็นสิ่งที่สมควรได้รับกำลังใจ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเหล่าโจวก็กล่าวถ้อยคำติเตียนไม่ออก

ส่วนบทสนทนาของหลินเยวียนในกลุ่มแช็ตใหญ่ เหล่าโจวต้องเห็นอยู่แล้ว แต่จะให้ตำหนิหลินเยวียนเพราะเรื่องนี้ก็คงไม่ได้

นั่นเพราะเหล่าโจวคุ้นเคยกับเหล่าพ่อเพลงในบริษัทดี

คนระดับพ่อเพลงทุกคนต่างก็มีนิสัยแปลกพิลึกกันทั้งนั้น

อย่างเช่นเจิ้งจิงคนนี้ เห็นชัดๆ ว่าเป็นนักแต่งเพลงฝีมือระดับพ่อเพลง แต่ปกติแล้วไม่ได้แต่งเพลงสักเท่าไหร่หรอก กลับชื่นชอบการวาดภาพเป็นชีวิตจิตใจ แถมยังจ่ายเงินจัดนิทรรศการภาพวาดของตนเองอีกด้วย

ราวกับว่าการแต่งเป็นเป็นแค่งานเสริมของเธอ

แม้หลินเยวียนจะไม่ใช่พ่อเพลง แต่จากบุคลิกและนิสัยที่แสดงออกมาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับบรรดาพ่อเพลง

ฉะนั้นเหล่าโจวจึงไม่ได้แปลกใจสักเท่าไร

เพียงแต่ว่าที่เด็กใหม่ซึ่งไม่วางไพ่ตามปกติ หนำซ้ำนิสัยยังคล้ายคลึงกับเหล่าพ่อเพลงนั้นกระตือรือร้นถึงขนาดนี้เป็นเพราะตื่นเต้นกับผลงานของเขา หรือเป็นเพราะตื่นตัวกับเงินห้าล้านกัน

ทำไมคิดแล้วมันก็ยิ่งตงิดใจ

แน่นอนละ แม้ว่าการประพันธ์เพลงจะเป็นศิลปะ แต่สุดท้ายแล้วคนส่วนมากก็ทำงานไปเพื่อเงิน จุดนี้ย่อมเข้าใจได้

แต่ทว่า

เรื่องที่หลินเยวียนหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณส่วนแบ่งกลางห้องประชุมนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแผนกประพันธ์เพลงในสตาร์ไลท์

ไม่ใช่แค่เหล่าโจว

ในตอนนั้นคนทั้งห้องประชุมต่างมีคำพูดอยู่เต็มสมองไปหมด แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มค่อนแคะจากตรงไหน

โดยเฉพาะอู๋หย่งและเจิ้งหานซึ่งนั่งขนาบซ้ายขวาของหลินเยวียน สีหน้ายิ่งสับสนเข้าไปใหญ่

เมื่อนึกถึงวิธีการพูดของหลินเยวียนกับเจิ้งจิงในกลุ่มแช็ตใหญ่วันนี้ ในที่สุดทุกคนก็ได้ข้อสรุป

เซี่ยนอวี๋เป็นอัจฉริยะวัยละอ่อน?

เป็นคนเด๋อๆ ด๋าๆ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเยวียนก็ดูเหมือนจะกลายเป็นคนน่ารักขึ้นมา?

อย่างน้อยเขาก็จริงใจ

พอทุกคนนึกถึงตรงนี้ ก็ค่อยๆ หัวเราะออกมา บรรยากาศของห้องประชุมจึงผ่อนคลายลงเรื่อยๆ ถึงขั้นมีคนหยอกเอินกับหลินเยวียน “ได้โบนัสแล้วอย่าลืมเลี้ยงกาแฟทุกคนด้วยนะ!”

“ครับ”

หลินเยวียนลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบรับ

เสียงหัวเราะครืนของทุกคนก็พลันครึกครื้นกว่าเดิม

ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน กลับกัน เสียงหัวเราะของทุกคนแฝงไปด้วยความเป็นมิตร โดยเฉพาะสมาชิกผู้หญิงซึ่งสีหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู

ใครให้หลินเยวียนเป็นแค่นักศึกษาปีสองกันล่ะ

แถมยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งซะด้วย

แต่ว่า เล่นก็ส่วนเล่น หยอกล้อก็ส่วนหยอกล้อ

ไม่มีใครคิดว่าหลินเยวียนจะได้ออเดอร์นี้จริงๆ หรอก

นักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบยังไม่ได้งานนี้ หลินเยวียนเป็นเด็กใหม่ที่เรียนวิชาพื้นฐานปีสองจะได้งานเหรอ

อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย

ในห้องประชุมแห่งนี้ ไม่มีใครปฏิเสธว่าผู้ประพันธ์เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นั้นยอดเยี่ยม

ทว่านักแต่งเพลงมือทองสิบกว่าคนซึ่งถูกตีเพลงกลับมานั้น แต่ละคนไม่ได้มีเพลงดีๆ ภายใต้ชื่อของตนแค่เพลงเดียว

นอกจากนั้น ในรายชื่อเพลงโดดเด่นของพวกเขาแล้ว หากสุ่มเลือกมาสักหนึ่งเพลง ผลงานก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เลย!

ไม่อย่างนั้นจะคู่ควรกับการเป็นมือทองของบริษัทเหรอ?

……

หลินเยวียนไม่รู้ความคิดของอื่นๆ ตอนนี้ในสมองของเขามีแต่เงินห้าล้าน ถึงแม้ว่าเงินห้าล้านเขาจะได้ส่วนแบ่งแค่ 1.5 ส่วนเท่านั้น

หลังจากเลิกประชุม

หลินเยวียนไม่ได้ออกจากห้องประชุมทันที แต่กลับเอ่ยถามเหล่าโจวซึ่งกำลังเก็บของอยู่ว่า “หัวหน้า ผมจะหานักร้องได้ที่ไหนเหรอครับ”

“นักร้อง?”

เหล่าโจวขมวดคิ้วตอบ “นายไม่ได้จะรับออเดอร์นี้ของฉีโจวหรอกเหรอ งั้นภารกิจสำคัญตอนนี้ของนายก็คือเขียนเพลง เขียนเพลงดีๆ ออกมา แล้วค่อยไปหานักร้อง ถ้าเพลงที่เขียนออกมาไม่เข้าที นายหานักร้องไปตอนนี้จะไปมีความหมายอะไร”

เหล่าโจวไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องที่หลินเยวียนจะเขียนเพลงดีๆ ออกมา            

แต่สำหรับขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงานพื้นฐาน เขาหวังว่าหลินเยวียนจะเข้าใจ

อย่างไรเสียเขาก็คาดหวังกับหลินเยวียน เพราะว่าหลินเยวียนเขียนเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาได้ ดูจากพรสวรรค์แล้วนับว่ายังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมากโข ไม่อย่างนั้นเขาจะประจบขอคนจากจ้าวเจวี๋ยมาทำไม

“งั้นถ้าเขียนเสร็จแล้ว ผมจะหานักร้องได้ยังไงครับ”

หลินเยวียนทำได้เพียงถอยมาก่อน จะให้เขาบอกไปว่าผมเขียนเพลงเสร็จแล้วก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าสงสัยไปสักหน่อย

เหล่าโจวเงียบไป “จะหานักร้องมาร่วมงานปกติแล้วต้องไปแจ้งกับทางแผนกศิลปิน กรอกแบบฟอร์มก็ได้แล้ว ถ้าจะหานักร้องเบอร์ใหญ่ของบริษัท นายก็ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าสักระยะ จากนั้นฉันก็จะไปแจ้งกับทางนั้นเอง…”

หลินเยวียนพยักหน้า

เหล่าโจวคล้ายกับว่าจะฉุกคิดบางอย่างออก ตบหน้าผากตนเองพลางพูดว่า “เกือบลืมว่านายสนิทกับจ้าวเจวี๋ย

เดี๋ยวเรื่องออเดอร์ ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ถ้านายอยากปล่อยเพลงจริงๆ ไปบอกจ้าวเจวี๋ยก็ได้แล้ว เธอเป็นคนดูแลนักร้องทั้งหมดของบริษัทน่ะ แน่นอนว่าเพลงของนายจะต้องผ่านการตรวจสอบของบริษัทว่าคุ้มค่าที่จะปล่อยไปซะก่อน!”           

“อ้อ”

หลินเยวียนพยักหน้าหงึกๆ

เขาออกมาจากห้องประชุม กลับไปยังที่นั่งของตน ก่อนจะโทรศัพท์ไปหาจ้าวเจวี๋ย สอบถามเรื่องหานักร้อง

“หานักร้อง?”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “นึกไม่ถึงว่าเธอจะผลิตผลงานเก่งขนาดนี้ ไม่ทันไรก็มีผลงานใหม่แล้ว? ได้ บอกมา เธอหานักร้องแบบไหนอยู่”

“ผมจะหา…”

จ้าวเจวี๋ยตัดบทหลินเยวียน “ช่างเถอะ ฉันจะส่งข้อมูลกับไฟล์เสียงของนักร้องหน้าใหม่ในบริษัทที่ช่วงนี้ไม่มีงาน ไปในอีเมลเธอก็แล้วกัน จากความเข้าใจเรื่องเสียงของเธอ ก็น่าจะหานักร้องที่ตัวเองต้องการได้ ถ้าหาได้แล้ว เรื่องที่เหลือฉันจัดการเอง ส่วนเรื่องนักร้องแถวหน้า…”

“นักร้องแถวหน้าทำไมเหรอครับ”

“นักร้องแถวหน้ามีข้อเรียกร้องเรื่องเพลงสูงมาก”

“สูงขนาดไหนครับ”

“พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน นอกเสียจากว่าเพลงที่เธอเขียนออกมาแตะถึงระดับเดียวกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ พวกเขาก็มักจะไม่รับพิจารณา โดยทั่วไปแล้วนักร้องแถวหน้าจะมาเอาเพลงจากนักแต่งเพลงมือทองของบริษัท ยังไงก็เป็นถึงนักร้องแถวหน้าใช่มั้ยล่ะ ส่วนแบ่งก็จะไม่ใช่อัตราส่วนเดียวกับนักร้องแถวสองลงไป”

แววตาของหลินเยวียนระแวงขึ้นมา “ส่วนแบ่ง?”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มตอบ “เธอคงไม่ได้คิดว่านักร้องทุกคนจะได้ส่วนแบ่ง 0.5 ในสองส่วนหรอกใช่มั้ย นี่มันราคาของนักร้องตัวเล็กๆ นักร้องที่ค่าตัวแพงๆ ส่วนแบ่งก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แทบจะเท่ากับคนแต่งเพลงเลย แล้วส่วนแบ่งของนักร้องตัวท็อปถึงขั้น 1.5 ในสองส่วน อีก 0.5 ที่เหลือถึงจะเป็นของนักแต่งเพลง”

“ผมอยากได้ผู้ช่วยงานครับ!”

ความคิดของหลินเยวียนพลันกระจ่างในทันใด

จ้าวเจวี๋ยหลุดหัวเราะลั่น “ตอนนี้เธอถูกพวกแผนกประพันธ์เพลงพาเสียคนแล้วเนี่ย ไม่รู้ว่าใครไปเรียกนักร้องแถวสองลงไปของแผนกศิลปินเราว่าเป็นผู้ช่วยงาน เห็นภาพชัดดีจริงๆ แต่ฉันต้องเตือนเธอไว้ก่อนนะว่าเพลงพวกนี้ นักร้องเบอร์เล็กอาจคุมไม่อยู่ ต่อไปถ้าเธอไปได้ไกลแล้ว อย่าเลือกที่จะไม่ร่วมงานกับนักร้องเบอร์ต้นๆ เพียงเพราะเรื่องของส่วนแบ่ง”

“ครับ”

หลินเยวียนพูด “ขอบคุณครับพี่จ้าว”

จ้าวเจวี๋ยตอบ “ไม่ต้องขอบคุณ วางละ”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที หลินเยวียนก็ได้รับไฟล์เสียงมากมายในอีเมล เป็นข้อมูลและเสียงของนักร้องทั้งหมด 106 คนพอดิบพอดี

เริ่มงานได้

หลินเยวียนสวมหูฟัง ไล่ฟังไฟล์เสียงของนักร้องทั้ง 106 คนนี้

เพลง ‘ปลายักษ์’ ที่หลินเยวียนจะปล่อยในครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเลือกใครก็ได้มาแล้วจะร้องเพราะ

ไม่เหมือนกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

อย่างน้อยก็อาจไม่ใช่กับซุนเย่าหั่ว

อย่างไรซะ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นโจวเซิน[1]ได้

หลินเยวียนไม่มั่นใจว่าเขาจะหานักร้องที่มีเสียงแบบนี้ได้ทันที เขาจึงจำเป็นต้องหาตัวเลือกไว้ล่วงหน้า

ถ้าหากไม่ได้จริงๆ เขาก็มีแผนสำรอง

นั่นก็คือหานักร้องผู้หญิงสักคนซึ่งมีโทนเสียงใกล้เคียงกับต้นฉบับ และเพิ่มเทคนิคเข้าไปเสริมเล็กน้อย

นี่มันซาวด์เอนจิเนียร์ค่าตัวหลักล้านชัดๆ ดูเอาไว้ซะ

………………………………………           

[1] โจวเซิน นักร้องต้นฉบับของเพลง ‘ปลายักษ์’ จุดเด่นคือเป็นนักร้องชายที่มีเสียงสูง

ทั้งกลุ่มแทบถูกหลินเยวียนกับเจิ้งจิงทำเอาตกใจไปตามๆ กัน

อย่างไรหลังจากที่บทสนทนาของหลินเยวียนกับเจิ้งจิงจบลง ในกลุ่มก็ล้วนเงียบสงัดไปถึงสองชั่วโมงเต็มๆ

ไม่ใช่แค่ในกลุ่ม

ต่อให้เป็นในแผนก ก็ยังมีคนลอบเหลือบมองหลินเยวียนเป็นครั้งคราวด้วยแววตาพิลึกชอบกล

เห็นได้ชัดว่ามีบางคนเป็นสมาชิกในกลุ่มใหญ่ของนักประพันธ์เพลงสตาร์ไลท์ ต่างก็เห็นข้อความที่หลินเยวียนเขียนในกลุ่ม

“นายล่วงเกินคนไปเยอะมากโดยไม่รู้ตัว”

อู๋หย่งเอ่ยเตือนสติหลินเยวียนด้วยความหวังดีอย่างอดไม่ได้

ถึงแม้ในความคิดของเขา วิธีการพูดของหลินเยวียนในกลุ่มออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายพิมพ์ข้อความอย่างขะมักเขม้น เขาไม่คิดว่าหลินเยวียนจะตั้งใจพูดเอาใจคนอื่นแต่อย่างใด

“ทำไมล่ะครับ”

หลินเยวียนไม่ค่อยเข้าใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อข้องใจของหลินเยวียน อู๋หย่งถึงกับไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงยิ้มขื่นพลางตอบว่า “หลายคนน่าจะไม่ชอบวิธีที่นายพูดกับพี่จิงล่ะมั้ง”

“เพราะอะไรครับ”

หลินเยวียนก็ยังไม่เข้าใจ

อู๋หย่งทำได้เพียงยักไหล่อย่างจนปัญญา “ฉันได้บอกได้แค่ว่าเป็นเพราะนายไม่ค่อยเหมือนคนอื่น”

“อ้อ”      

ครั้งนี้หลินเยวียนไม่ได้ซักไซ้ ถึงแม้เขาจะยังคิดไม่ออกว่าทำไมการไม่เหมือนคนอื่นถึงไปล่วงเกินคนอื่นได้

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างน้อยพวกเราในแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ ทุกคนก็ยังเป็นมิตรกับนาย”

อู๋หย่งกลัวว่าหลินเยวียนจะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงเอ่ยปลอบ “อีกอย่างทุกคนก็ทำงานศิลปะกันทั้งนั้น ไม่ได้มีลับลมคมในอะไร ไม่มีใครแอบขัดแข้งขัดขาใครเพราะไม่ถูกใจหรอก นายก็พยายามเข้า อยู่แค่ปีสองยังเขียนเพลงอย่าง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ได้ เห็นชัดๆ ว่ามีศักยภาพสูงมาก! รอให้หลังจากนี้นายเขียนเพลงดีๆ ออกมาอีก ทุกคนก็จะเข้าใจนาย ในบลูสตาร์น่ะ ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็วัดกันที่ผลงานทั้งนั้น”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของหลินเยวียนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อู๋หย่งจึงค่อยเบาใจลงได้บ้าง

กระนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบใจหลินเยวียนไป แต่ในใจของเขาก็กระจ่างดีว่าบทเพลงระดับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไม่ได้เขียนออกมาง่ายๆ

ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่เกิดแรงบันดาลใจแว้บขึ้นมา

ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาถึงเมื่อไรกว่าหลินเยวียนจะเขียนเพลงระดับนี้ออกมาได้อีกครั้ง

ถึงขั้นว่าชั่วชีวิตนี้หลินเยวียนอาจเขียนเพลงที่ดีกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไม่ออกแล้วก็ได้ และเพลงนี้ก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกเพียงชิ้นเดียวของหลินเยวียน   

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น แสดงว่าอันดับที่หนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งก็เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตการเป็นนักประพันธ์เพลงของหลินเยวียนแล้ว

และในตอนนั้นเอง

จู่ๆ เหล่าโจวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก สีหน้าแลดูย่ำแย่ น้ำเสียงแฝงความเดือดดาล “พวกนายทุกคนวางมือจากงานเดี๋ยวนี้ เข้าห้องประชุมเร็ว เปิดประชุม!”

พูดจบ เหล่าโจวก็เดินนำเข้าไปยังห้องประชุมด้านข้าง เสียงปิดประตูดังปังตามให้หลัง

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“ใครไปทำให้หัวหน้าโมโห”

“คงไม่ใช่เพราะคำพูดของหลินเยวียนในกลุ่ม…”

“ไม่รูู้สิ แต่ยังไงน้อยครั้งมากที่ฉันเห็นหัวหน้าอารมณ์เสียขนาดนี้”

“ถึงข้อความของหลินเยวียนในกลุ่มจะไม่เหมาะสม แต่ก็คงไม่ถึงขั้นนี้ล่ะมั้ง? เขาเพิ่งจะเป็นนักศึกษาปีสอง ยังอ่อนต่อโลกไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“จะว่าไปก็จริง”

“เลิกคิดแล้วเข้าไปประชุมเถอะ”

เสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นดังขึ้น คนในแผนกประพันธ์เพลงต่างทยอยลุกขึ้น เดินตามเหล่าโจวเข้าห้องประชุมไป

หลินเยวียนก็ตามเข้าไปในห้องประชุมด้วย

อย่างไรก็ดี มีคนกังวลว่าความเดือดดาลของเหล่าโจวมีผลโดยตรงมาจากคำพูดของหลินเยวียนในกลุ่มใหญ่ ทุกคนจึงไม่อยากนั่งขนาบข้างหลินเยวียน เพื่อหลบเลี่ยงการติดร่างแหไปด้วย

อู๋หย่งลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะนั่งลงข้างซ้ายของหลินเยวียน

หลังจากนั้น ผู้ชายไว้ผมยาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามานั่งทางด้านขวาของหลินเยวียน แถมยังออกตัวยื่นมือมาหาหลินเยวียน “ฉันชื่อเจิ้งหาน บัณฑิตรุ่นที่ 20 สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว”

“รุ่นพี่สวัสดีครับ”

หลินเยวียนจับมือกับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ถึงเขาจะพูดน้อย แต่ก็พอจะรู้กาลเทศะอยู่บ้าง

“คนมากันครบแล้วใช่มั้ย”

เหล่าโจวเอ่ยเสียงทุ้ม “ที่เรียกพวกนายมาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งจะพูด เพลงประกอบ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ถูกตีกลับมา”

“อะไรนะ”

ทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ

ดูท่าแล้วความเดือดดาลของเหล่าโจว จะไม่เกี่ยวข้องกับหลินเยวียน

“บอกมาว่าควรทำยังไงดี”

สายตาคมกริบของเหล่าโจวกวาดไปทั้งห้องประชุม “นี่เป็นออเดอร์ของชั้นสิบ อย่าบังคับให้ฉันต้องส่งออเดอร์นี้ให้ชั้นอื่นเลย”

ไม่มีใครกล้าสบสายตาเหล่าโจวตรงๆ

แต่เหล่าโจวถามมา ทุกคนจะแกล้งตายก็ไม่ได้ แต่ละคนทำได้เพียงหลบหลีกสายตาของเหล่าโจว ต่างคนต่างพูดความเห็นของตนออกมา

“หัวหน้า ข้อเรียกร้องของทาง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ มากเกินไปหรือเปล่า พวกเขาเองก็ไม่ได้ลงทุนมากมายอะไร เป็นแค่ภาพยนตร์อนิเมชันลงทุนระดับกลาง”

“นี่เป็นครั้งที่สิบสี่แล้วที่พวกเขาตีกลับผลงานของพวกเราล่ะมั้ง”

“ยากขนาดนี้ หรือว่าอยากให้พ่อเพลงของชั้นสิบออกโรงด้วยตัวเอง”

“ปัญหาก็คือ พ่อเพลงของชั้นสิบเราไม่สนใจออเดอร์นี้อยู่แล้วละ”

“ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้คนจากชั้นอื่นเข้าร่วม หรือไม่ก็ให้ที่อื่นไปทำก็แล้วกัน ทั้งซาไห่ ทั้งเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง คนเก่งๆ ของวงการเพลงในฉินโจวมีตั้งเยอะแยะ”

“บริษัทจะไปยอมได้ยังไง ถ้าซาไห่หรือเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงทำออกมาได้ นั่นจะไม่ได้หมายความว่าสตาร์ไลท์ของพวกเราไร้ความสามารถหรอกเหรอ งั้นไม่สู้ให้คนจากชั้นอื่นมาเข้าร่วมไม่ดีกว่าเหรอ”

“…”

หลินเยวียนแววตาสับสน

เขาไม่รู้ว่าทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร

อู๋หย่งเป็นคนที่เหล่าโจวส่งมาดูหลินเยวียน จึงเอ่ยปากอธิบายว่า “คืออย่างงี้ หนังอนิเมชันฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘มังกร

มัจฉาเริงระบำ’ งานโพสต์โปรดักชันใกล้จะเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังขาดซาวด์แทร็กหลัก พวกเขาเลยไหว้วานให้สตาร์ไลท์ทำซาวด์แทร็กนี้ แล้วงานนี้ก็เลยมาตกอยู่ที่ชั้นสิบของพวกเรา พวกเราก็ทำให้พวกเขาไปแล้วสิบสี่เพลง แต่ถูกตีกลับมาหมดเลย!”

“ประเด็นอยู่ที่…”

เจิ้งหานซึ่งอยู่ด้านขวาพูดต่อ “สิบสี่เพลงนี้ที่ถูกตีกลับมาล้วนมาจากนักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบ ถึงแม้ศักยภาพของคนเหล่านี้จะแตะไม่ถึงระดับพ่อเพลง แต่คุณภาพก็ไม่ได้แย่เลย ปกติแล้วนักร้องเบอร์ใหญ่จะเรียกนักแต่งเพลงมือทองเหล่านี้ไปร่วมงานด้วยซ้ำ”

หลินเยวียนเข้าใจแล้ว

แต่หลินเยวียนเลือกที่จะเงียบไว้ก่อน คนชั้นสิบตั้งมากมายยังรับมือกับลูกค้าไม่ไหว เขาก็ไม่คิดว่าตนออกหน้าไปแล้วจะรับมือไหวเหมือนกัน

เขามีเพลงอยู่ในมือ

ทว่าโปรเจกต์ซาวด์แทร็กซึ่งจำเพาะเจาะจงประเภทนี้ จำเป็นต้องให้ความหมายของเพลงและบรรยากาศของภาพยนตร์เข้ากันด้วย ถ้าหากคนเขาทำภาพยนตร์รักหวานซึ้งเป็นอ้อยเชื่อม แต่คุณกลับทำเพลงแร็ปหรือเพลงร็อกให้เขาไป เพลงของคุณก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี

“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”

เหล่าโจวกดขมับด้วยความปวดหัว “ม้าตายแล้วยังต้องมาพยายามรักษาเหมือนม้าเป็นอีก เพลงซาวด์แทร็กของ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ พวกนายก็ลองดูแล้วกัน ให้เวลาหนึ่งเดือน ฉันจะส่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้พวกนายก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีแรงบันดาลใจขึ้นมาก็ได้ หรือว่าถ้าไม่ได้ ก็ทำตามกฎของบริษัท ออเดอร์นี้ก็ทำได้แค่ส่งให้ชั้นอื่น”

แรงบันดาลใจเป็นสิ่งพิศวง

ไม่ใช่ว่าเพลงที่พ่อเพลงทำออกมาจำเป็นจะต้องดีที่สุด

บางครั้งภารกิจที่พ่อเพลงทำไม่ได้ แต่นักแต่งเพลงบางคนที่ผลงานไม่โดดเด่นเท่าพ่อเพลงก็อาจนึกครึ้มมีแรงบันดาลใจขึ้นมา จนทำเพลงที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้

เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในวงการประพันธ์เพลง

ก็เหมือนกับหลินเยวียนซึ่งปีนี้เพิ่งจะอยู่ปีสองก็เขียนเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาได้

ตัวเขามีพรสวรรค์ในการประพันธ์เพลงนั้นเป็นด้านหนึ่ง ยังมีอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้มากว่าหลินเยวียนเกิดแรงบันดาลใจดีๆ ขึ้นมา และใช้แรงบันดาลใจนี้ได้อย่างเหมาะสม จึงเขียนเพลงนี้ออกมาได้

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมอู๋หย่งถึงคิดว่าหลังจากนี้หลินเยวียนอาจเขียนเพลงระดับเดียวกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาไม่ได้อีกแล้ว

เป็นเพราะของอย่างแรงบันดาลใจนี่นะ เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ล้วนๆ!

ในตอนนี้เหล่าโจวใช้กลวิธีหว่านแหแจกภารกิจ และอันที่จริงก็ไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้ว นักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบก็ออกโรงกันไปหมดแล้ว จะให้ไปหาพ่อเพลงมาแสดงฝีมือก็คงไม่ดีล่ะมั้ง

ไม่ใช่ว่าไม่ได้

แต่ก็ต้องเพิ่มเงิน!  

หลักๆ ก็เป็นเพราะงบประมาณของภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นั้นมีจำกัด อย่างไรราคาที่ทางฉีโจวเสนอมาก็ไม่คุ้มที่จะให้พ่อเพลงออกโรงเอง

ไม่นาน

ทุกคนก็ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่ง บนกระดาษพิมพ์สิ่งที่เพลงซาวด์แทร็กเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ต้องการ

หลินเยวียนก็ได้รับเช่นกัน

เป็นเพราะเนื้อเรื่องนั้นเป็นความลับ ฉะนั้น ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ จึงมีเพียงเค้าโครงของเรื่องราวคร่าวๆ

นี่เป็นเรื่องราวซึ่งเปี่ยมไปด้วยความแฟนตาซี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งช่วยชีวิตปลาตัวหนึ่งไว้เมื่อหลายปีก่อน ผ่านไปหลายปี วันหนึ่งเด็กหญิงและครอบครัวก็พลาดพลั้งตกอยู่ในอันตราย และปลาตัวนั้นก็ข้ามประตูมังกรมา กลายเป็นมังกรเผือกซึ่งมีพลังแข็งแกร่ง และได้พบกับเด็กหญิงอีกครั้ง…

สิ่งที่ซาวด์แทร็กต้องการมีสามข้อ

ต้องมีความเหนือจริง มีความหมายสร้างสรรค์ และมีสุนทรีย์

เพียงแต่เมื่อได้รับข้อเรียกร้องของเพลง ทั้งห้องประชุมก็พลันโอดครวญขึ้นมา

“สิ่งที่ลูกค้าอยากได้จำเป็นต้องกำกวมขนาดนี้มั้ย ความเหนือจริง มีความหมายสร้างสรรค์ มีสุนทรีย์ กว้างเกิน

ไปมั้ง”

“ฉันจับประเด็นอะไรไม่ได้เลย”

“อีกอย่างเวลาก็น้อยเกินไป แค่เดือนเดียว เดือนเดียวนี่ ถ้าคิดตามความเร็วที่ฉันแต่งเพลง ต้องไม่ทันแน่”

“เนื้อเรื่องแนวแฟนตาซี สไตล์ดนตรีก็ต้องโลดโผนนิดนึง?”

“แถมเป็นปลา แล้วก็เป็นมังกรอีก ต้องให้ความรู้สึกเหมือนทะยานขึ้นฟ้า ปรับใช้เสียงเครื่องเป่าลมไม้ลิ้นคู่จะ

เหมาะมาก”

“ฉันคิดว่าต้องเศร้าสักหน่อย เจ็บปวดนิดหนึ่ง? ใส่เสียงขลุ่ยลงไปด้วย?”

“ต้องใช้ความรู้สึกที่เว่อร์มาก ยากเกินไป ฉันทำไม่ได้”

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ! จุดสำคัญคือเพลงก่อนๆ ที่โดนตีกลับมา พวกเราก็ฟังกันหมดแล้ว! เพลงพวกนั้นมีความรู้สึกมากแล้ว! แต่ทางฉีโจวก็ยังตีกลับมา นั่นหมายความว่าพวกเรายังทำได้ไม่ถึงอารมณ์ที่พวกเขาต้องการ”

“…”

สำหรับนักประพันธ์เพลงแล้ว ความเหนือจริงนั้นง่าย ความหมายสร้างสรรค์นั้นง่าย และสุนทรีย์ก็ง่าย

การจับจุดเด่นทั้งสามนี้ไม่ได้ยาก

แต่จะให้ทำนองเพลงดีได้ถึงขั้นจับใจคนกลับไม่ง่าย

ก็เหมือนกับอีกฝ่ายต้องการเพลงที่ทั้งร้อนแรงและฮึกเหิมในเพลงเดียวกัน

ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้สามารถเขียนเพลงที่ร้อนแรงและฮึกเหิมได้ แต่นั่นเป็นเพียงแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน ในบรรดาเพลงที่ร้อนแรงและฮึกเหิมหนึ่งพันเพลง อาจมีเพียงหนึ่งถึงสองเพลงที่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

หลินเยวียนกลับใจกระตุกวาบ

นอกจากเพลงเปียโนแล้ว ตอนนี้เขายังมีเพลงอยู่ในมืออีกสองเพลง

เพลงหนึ่งชื่อ ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ เพลงนี้ไม่ได้แน่นอน ความหมายไม่เข้ากัน

แต่ ‘ปลายักษ์’ อีกเพลงหนึ่งของตนเป็นยังไงนะ

สไตล์เพลงนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีความหมายนี้สินะ

หรือว่าระบบคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว?

ระหว่างที่ใคร่ครวญอยู่นั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็ได้ยินอู๋หย่งกำลังบ่น “ลูกค้าทางฉีโจวเอาใจยากจริงเชียว! ออเดอร์แค่ห้าล้าน จะให้พ่อเพลงของชั้นสิบเราลงมือเองเลยหรือไง สู้ราคาพ่อเพลงไม่ไหวก็ไม่ต้องเรียกร้องเยอะขนาดนั้น”

หลินเยวียนรีบถามว่า “เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะครับ”

อู๋หย่งชะงักไป “สู้ราคาพ่อเพลงไม่ไหวก็ไม่ต้องเรียกร้องเยอะขนาดนั้น”

“ประโยคก่อนหน้า!”

“จะให้พ่อเพลงของชั้นสิบเราลงมือเองเลยหรือไง”

“ประโยคก่อนหน้าอีกครับ!”

“ออเดอร์แค่ห้าล้าน…”

ประโยคนี้แหละ เมื่อยืนยันข้อมูลที่ตนต้องการแล้ว หลินเยวียนก็พยักหน้ารัว ก่อนจะรีบหยิบเครื่องคิดเลขด้านข้างมากด

“รีเซ็ต!”

ลำโพงของเครื่องคิดเลขเสียงดังมาก ไม่ทันไรก็ไปขัดจังหวะเสียงโอดครวญของผู้คนในห้องประชุม ทุกคนพร้อมใจกันหันไปทางหลินเยวียน รวมไปถึงหัวหน้าเหล่าโจว

หลินเยวียนกลับไม่ได้ใส่ใจสายตาโดยรอบ

นิ้วมือของเขาขยับอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับเสียงของเครื่องคิดเลขดังปกคลุมไปทั่ว

‘5,000,000 คูณด้วย 0.2 คูณด้วย 2 หารด้วย 3 เท่ากับ 666666.666666667’

ทั้งห้องประชุมไร้สุ้มเสียง

มีเพียงเสียงตัวเลขจากเครื่องคิดเลข

ทุกคนย่อมรู้ดีว่าหลินเยวียนกำลังคำนวณอะไร

เป็นเพราะว่ารู้ จึงได้เงียบกริบกันถ้วนหน้า สายตาของทุกคนล้วนแปลกประหลาด

แบ่งเป็นหกแสนหกหมื่นกว่า?

ยามที่การคำนวณสิ้นสุดสง หลินเยวียนก็ปิดเครื่องคิดเลขอย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้นมามองหัวหน้าเหล่าโจว พูดทีละคำว่า

“ผมรับออเดอร์นี้เองครับ”

……………………………………………………..

ศักยภาพของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นี้สูงกว่าที่คนในวงการจำนวนมากคิดไว้

วันเวลาหลังจากนี้ ยอดดาวน์โหลดของเพลงนี้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซาไห่คัลเจอร์ไร้ซึ่งความหวังที่จะโต้กลับแล้ว

สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ล็อกมงกุฎโดยสมบูรณ์

แต่ก็เป็นเพราะชาร์ตดาวรุ่งไร้ซึ่งข้อกังขา การถกเถียงกันเรื่องเซี่ยนอวี๋ภายในสตาร์ไลท์จึงเป็นอันค่อยๆ เบาลง

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

ช่วงนี้สิ่งที่เขาชื่นชอบในทุกๆ วัน ก็คือดูความโด่งดังของตนเอง

ขณะที่ยอดดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สูงขึ้น ความโด่งดังของเขาในตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น  15000 แล้ว!

กระนั้นก็ยังห่างไกลกับค่าความโด่งดังหนึ่งล้านที่ระบบต้องการอีกมากโข

หลินเยวียนรู้ว่า ค่าความโด่งดังซึ่ง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ช่วยให้ชื่อเขามีชื่อเสียงนั้นท้ายที่สุดแล้วก็จะอิ่มตัว เขาจำเป็นต้องหาโอกาสปล่อยผลงานใหม่ ถึงจะกวาดชื่อเสียงได้เรื่อยๆ

……

วันที่ยี่สิบเอ็ด

วันหยุดเสาร์อาทิตย์วนมาอีกรอบ

เมื่อหลินเยวียนมาทำงานที่แผนกประพันธ์เพลงอีกครั้ง เพื่อนร่วมงานในแผนกก็พอจะพยายามปรับท่าทีให้ปกติกับหลินเยวียนได้แล้ว

เหล่าโจวหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงยังส่งเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ไปดูแลหลินเยวียน

ที่บอกว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นผู้ใหญ่ น่าจะเป็นเพราะเส้นผมของเพื่อนร่วมงานคนนี้มีไม่มาก ดูแล้วพึ่งพาได้ คล้ายกับคนเก่าคนแก่ในวงการ

เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ใหญ่คนนี้ชื่อว่าอู๋หย่ง

ภายใต้ชื่ออู๋หย่งก็มีผลงานดีๆ อยู่จำนวนหนึ่ง แม้ว่าผลลำเร็จของผลงานเด่นจะเทียบไม่ได้กับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แต่ก็ทำรายได้มากพอดู มิหนำซ้ำระดับยังแตะถึงมาตรฐานของบริษัทด้วย

ความจริงแล้ว

ทั้งแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของนักประพันธ์เพลงล้วนเป็นแบบเดียวกับอู๋หย่ง

“หลินเยวียน”

หลังจากที่อู๋หย่งถูกเหล่าโจวส่งมาช่วยหลินเยวียน เขาเอ่ยทักทายว่า “ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น มีตรงไหนไม่เข้าใจไปถามได้เลย นายเรียกฉันว่าเหล่าอู๋หรือว่าพี่หย่งก็ได้”

“พี่หย่ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

แน่นอนหลินเยวียนฟังออกว่าตอนที่อู๋หย่งพูดคำว่า ‘พี่หย่ง’ น้ำเสียงของเขาเค้นให้หนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นเขาจึงเติมเต็มความปรารถนาของอู๋หย่งซะเลย

ในที่ทำงานบนบลูสตาร์ก็ยังเคร่งครัดเรื่องลำดับอาวุโสอยู่เหมือนกัน

และแน่นอนว่าถ้าความสามารถของรุ่นพี่และรุ่นน้องห่างไกลกันมาก ต่อให้ไม่มีมารยาทก็อาจถูกติฉินนินทาได้ จุดนี้ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน

“พูดดี พูดดี”

เมื่อได้ยินคำทักทายของหลินเยวียน ท่าทีของอู๋หย่งก็ต้อนรับขับสู้กว่าเดิมมาก

ด้วยกระแสความโด่งดังของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ วันนี้หลินเยวียนซึ่งเพิ่งจะขึ้นปีสองก็นับได้ว่าเป็นนักแต่งเพลงชื่อดังวัยละอ่อน ทว่าคนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยมักจะเป็นโรค ‘ทะนงตนเกินเหตุ’

อู๋หย่งกังวลว่าหลินเยวียนก็จะเป็นเช่นนั้น

แต่ตอนนี้ดูแล้ว หลินเยวียนไม่ได้เย่อหยิ่ง เพียงแต่พูดน้อย เงียบเหมือนลูกน้ำเต้าที่ยังไม่แตกออก บุคลิกค่อนไปทางคนโลกส่วนตัวสูง

“จริงสิ นายยังไม่ได้เข้ากลุ่มแช็ตสินะ”

อู๋หย่งยิ้มเอ่ย “ขอเบอร์โทรศัพท์นายหน่อย ฉันจะแอดนาย แล้วก็ลากเข้ากลุ่ม นักแต่งเพลงของสตาร์ไลท์ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มนี้ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเข้ามาไม่ได้ แล้วบรรยากาศในกลุ่มเราก็ดีมากด้วย ทุกคนว่างๆ ก็จะมาคุยกัน บางครั้งก็จะมีพ่อเพลงมาตอบบ้าง ถ้าได้คำแนะนำจากพ่อเพลงสักหน่อยก็ดีใจแทบแย่แล้ว”

พ่อเพลงเป็นคำศัพท์ที่กว้างมาก

สำหรับซุนเย่าหั่วแล้ว หลินเยวียนก็คือพ่อเพลง

เมื่อพบบทเพลงที่ยอดเยี่ยมสักเพลง ผู้คนก็มักชอบเรียกผู้ประพันธ์เพลงว่า ‘พ่อเพลง’ แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นคำยกย่องอย่างหนึ่ง

เมื่อกวาดมองไปทั้งแวดวงนักประพันธ์เพลงแล้ว

ความสำเร็จของหลินเยวียนนั้นยังแตะไม่ถึงระดับ ‘พ่อเพลง’ พ่อเพลงที่แท้จริงก็คือตัวท็อปสุดโหดที่ทำให้ทั้งวงการต้องซูฮกยกย่องนั่นแหละ!

และตัวท็อประดับนี้ แม้แต่ในสตาร์ไลท์ก็ยังมีจำนวนเพียงตัวเลขหลักเดียว

……

อู๋หย่งแอดหมายเลขติดต่อของหลินเยวียน จากนั้นก็ลากหลินเยวียนเข้ากลุ่มใหญ่ของนักประพันธ์เพลงซึ่งใช้ชื่อว่า ‘สตาร์ไลท์’

ระบบแจ้งเตือนว่า ‘หลินเยวียนเข้ากลุ่มแช็ต’

จำนวนคนในกลุ่มนี้มากกว่าที่หลินเยวียนคาดคิดไว้มากเหลือเกิน บวกหลินเยวียนเข้าไปอีกก็มีถึง 953 คน!

อู๋หย่งคล้ายกับจะมองออกถึงความสงสัยของหลินเยวียน

เขายิ้มพลางพูดว่า “เกือบพันคนนี้เป็นนักแต่งเพลงของสตาร์ไลท์ทั้งหมด เพราะตึกสตาร์ไลท์มีห้าสิบชั้น ตั้งแต่ชั้นที่สิบถึงยี่สิบล้วนเป็นอาณาเขตของแผนกประพันธ์เพลงของพวกเรา ที่นายเห็นตอนนี้แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เดี๋ยวว่างๆ จะพาไปเดิน”

“อื้ม”

หลินเยวียนคิดแล้วก็เข้าใจ เป็นตนที่เผอเรอไปเอง ใช้ประสบการณ์จากบนโลกมาตัดสิน

ที่นี่ไม่ใช่โลก

ฉินโจวเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรีจากทั้งแปดเขตใหญ่ของบลูสตาร์ สตาร์ไลท์ก็เป็นหนึ่งในสามบริษัทบันเทิงใหญ่ ในมาตุภูมิแห่งดนตรี แผนกประพันธ์เพลงมีนักประพันธ์เพลงไม่ถึงหนึ่งพันคนสิถึงจะน่าแปลก อีกทั้งประพันธ์เพลงไม่ใช่แค่เขียนเพลง ความหมายที่แท้จริงของการประพันธ์เพลงนั้นแบ่งออกได้ตั้งหลากหลายประเภท

“เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครพููดอะไรเลยล่ะ”

อู๋หย่งพบว่าหลังจากที่หลินเยวียนเข้าไปในกลุ่มใหญ่ ก็มีเพียงไม่กี่คนในนั้นที่ส่งมาว่า ‘ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่’

นั่นทำให้เขารู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง

เมื่อกี้เพิ่งจะพูดไปว่าบรรยากาศในกลุ่มแช็ตดี แต่กลายเป็นว่าเด็กใหม่เข้าไป คนที่มาทักทายมีอยู่ไม่กี่คน

ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง อู๋หย่งก็พูดว่า “นายลองเปลี่ยนหมายเหตุ[1]ดู เปลี่ยนเป็นเซี่ยนอวี๋”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นจึงทำตาม

ผลคือทันทีที่เปลี่ยนหมายเหตุ ในกลุ่มก็คึกคักขึ้นมาทันที ราวกับว่าความเงียบเชียบเยือกเย็นเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง

‘เซี่ยนอวี๋ตัวจริงเลยเหรอ’

‘เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นั่น?’

‘ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ ยินดีต้อนรับ!’

‘โอ้โห! ยินดีต้อนรับเซี่ยนอวี๋เข้ากลุ่ม!’

‘ว้าว เซียนอวี๋หรอกเหรอ ยินดีต้อนรับ!’

‘ยินดีต้อนรับๆ ขอต้อนรับด้วยความยินดี!’

เพื่อแสดงความเป็นมิตร ถึงขั้นมีคนส่งซองแดงเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับเซี่ยนอวี๋’ ตัวโตให้ ในนั้นมีเงินถึงสองร้อยหยวน!

‘ไอ้พวกหลายมาตรฐานเอ๊ย’ 

อู๋หย่งก่นด่าในใจ กระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ฉันพูดไว้ไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ บรรยากาศในกลุ่มนี้…ไม่เลวจริงๆ ”

หลินเยวียนพยักหน้า

ในตอนนั้นเอง ในกลุ่มก็มีคนหนึ่งชื่อว่า [เจิ้งจิง] อยู่ๆ ก็แท็กชื่อหลินเยวียนมา ‘เซี่ยนอวี๋ ฉันฟัง ‘ชีวิตดั่งมวลผกา

ยามคิมหันต์’ แล้ว ไม่เลวเลย’

‘พ่อเพลงพ่อเพลง!!’

‘ว้าว สวัสดีครับพี่จิง!’

‘เสี่ยวหลี่จื่อยินดีต้อนรับพี่จิง!!’

‘วันนี้ได้เห็นพ่อเพลงมาเอง ฮือๆๆๆ โชคดีจริงๆ พี่จิงผู้เกรียงไกร!’

‘อยู่แถวหน้าคำนับพี่จิง!’

‘พี่จิงมาเองเลยเรอะ!’

‘ฉันมารับพลังเซียนของพี่จิง!’

เจิ้งจิงคนนี้ปรากฏตัว บรรยากาศของกลุ่มก็ไม่สามารถใช้คำว่าคึกคักมาบรรยายได้แล้ว แต่ต้องใช้คำว่าแตกตื่นเลยต่างหาก!

“เชี่ย!”

แม้แต่อู๋หย่งเองก็ยากจะข่มกลั้นคำอุทาน ตื่นเต้นจนมือสั่นเทิ้ม ‘สวัสดีครับพี่จิง พ่อเพลงอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี

หมื่นๆ ปี!’

หลินเยวียนหัวใจกระตุกวูบ

ในความทรงจำของเจ้าของร่างก็มีบุคคนที่ชื่อเจิ้งจิงคนนี้ด้วย นี่คือพ่อเพลงจริงๆ ในสตาร์ไลท์หรือแม้แต่ฉินโจวก็ยังจัดเป็นนักประพันธ์เพลงอันดับต้นๆ

ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ชายถึงจะเรียกว่าพ่อเพลง

นักประพันธ์เพลงผู้หญิงฝีมือขั้นเทพก็ถูกผู้คนขนานนามว่าพ่อเพลง

น่าจะเป็นเพราะคำว่า ‘แม่เพลง’ ฟังดูไม่รื่นหูเท่าที่ควร?

และเพลงที่เจิ้งจิงเขียน มีหลายเพลงที่เจ้าของร่างร้องได้   

ดังนั้นหลินเยวียนจึงถามอู๋หย่งว่า “เจิ้งจิงเป็นคนแต่งเพลง ‘ชาด’ ใช่มั้ยครับ”

“ใช่แล้ว คนนี้แหละ!”

อู๋หย่งทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ “‘ชาด’ เป็นแค่หนึ่งในเพลงดังของเธอล่ะ ยังมี ‘คราม’ กับ ‘ขาว’! ห้าปีก่อนเพลงชุดสามสีทำให้นักร้องระดับเทพสวรรค์คนหนึ่งถือกำเนิดเลย ก่อนที่จะร้องเพลงของพี่จิง นักร้องคนนี้เกือบจะตกงานต้องไปร้องในบาร์ เพราะงั้นในวงการของพวกเรา พี่จิงนับว่าเป็นนักแต่งเพลงระดับตำนาน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอเข้ามาตอบในกลุ่ม นายถึงกับได้คำชมจากเธอเชียวนะ ในกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าอิจฉาจนร้องไห้กันไปกี่คนแล้ว!”

“ที่แท้ก็เป็นคนนี้”

หลินเยวียนพยักหน้า และแท็กเจิ้งจิงไป ตอบว่า ‘ขอบคุณครับ ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย’

“…”

ทั้งกลุ่มแช็ตเงียบกริบในทันใด

ความตื่นเต้นของอู๋หย่งพลันนิ่งค้างบนใบหน้า สีหน้าออกจะถึงขั้นบูดเบี้ยวอยู่สักหน่อย สายตาเขาเหม่อมองหลินเยวียน

ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย?

นี่คือ…คำชมใช่ไหม?

นี่คือคำชม…ใช่ไหม?

นี่มันเจิ้งจิงเชียวนะ!

พ่อเพลงตัวจริงเสียงจริงเลยนะ!

พ่อเพลงในวงการกล่าวชมนายขนาดนี้ นายยังพูดออกไปว่า ‘ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย’ ออกมาอย่างหน้าตาเฉย?

พ่อเพลงยิ่งใหญ่ที่สุด!

ตอนนี้นายควรจะเคารพยำเกรงต่อพี่จิงอย่างจริงใจแบบพวกเราไม่ใช่เรอะ!

แต่นี่นายกลับพูดว่าอะไร

นี่มันใช่สิ่งที่ควรจะพูดมั้ย?

อู๋หย่งเงียบกริบ ทว่าในใจกลับคำรามร้อง เขาสาบานต่อสวรรค์ได้เลยว่าคนในกลุ่มคนอื่นๆ ก็คิดเหมือนเขา!

เป็นความผิดฉันเองที่ก่อนหน้านี้คิดว่าหลินเยวียนไม่ได้เป็นอัจฉริยะวัยละอ่อนที่เย่อหยิ่งเกินเหตุ!

มีตรงไหนที่ไม่เย่อหยิ่งเนี่ย

นี่มันเย่อหยิ่งจองหองสุดๆ เย่อหยิ่งจนถึงระดับที่ ‘เอิบอาบสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน[2]’ แทบจะกลับคืนสู่สามัญ!

แต่ว่า

ถึงแม้ในกลุ่มจะเงียบไป แต่เจิ้งจิงกลับไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งยังแท็กหลินเยวียนมาอีกครั้งว่า ‘รอเพลงใหม่ของเธออยู่นะ’

หลินเยวียนตอบ ‘อื้ม’

ชั่วขณะนั้น ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบสงัด

อู๋หย่งถึงกับไม่รู้ว่าควรนิยามหลินเยวียนตรงหน้าว่าอย่างไรแล้ว

จะบอกว่าเขาไม่มีมารยาทเหรอ สีหน้าของเขาตอนพิมพ์ตอบออกจะจริงจัง ให้ความรู้สึกเคารพผู้อาวุโสอยู่นะ

เรื่องนี้จะเสแสร้งกันไม่ได้หรอก แม้จะมีหน้าจอกั้นอยู่ มีแค่เขาซึ่งอยู่ด้านข้างที่เห็น

จะบอกว่าเขามีมารยาท…

ดูคำพูดพวกนี้ที่เขาพิมพ์ออกมาสิ นี่มันคำศัพท์พรรค์ไหนกัน!?

นายรู้หรือเปล่าว่านายกำลังพูดอยู่กับใคร

เขากุมขมับ แทบอยากจะทึ้งเส้นผมที่เหลืออยู่ไม่มากให้หลุดออกมา

ขณะที่อู๋หย่งกำลังปวดใจ ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน

บทสนทนาที่หลินเยวียนและเจิ้งจิงพูดคุยกันคล้ายกับจะเป็นวิธีการสื่อสารของคนระดับพ่อเพลง

น้ำเสียงของหลินเยวียนราบเรียบเกินไป ราบเรียบจนคล้ายกับว่าเขาเป็นพ่อเพลงที่เทียบเท่ากับเจิ้งจิงได้อย่างไรอย่างนั้น!

แต่ปัญหาคือ…

เทียบกับเจิ้งจิง นายจะไปอยู่ตรงไหน

และสิ่งที่ยิ่งทำให้คนมึนตึ้บไปตามๆ กันก็คือ เจิ้งจิงถึงกับไม่โกรธเคือง

ราวกับว่าในสายตาของเธอแล้ว วิธีการพูดของหลินเยวียน…ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน?

……………………………………..

[1] หมายเหตุ ในกลุ่มของแอปพลิเคชันวีแช็ตจะสามารถแก้ไขชื่อของตนเองในช่อง ‘หมายเหตุ’ ได้ ว่าต้องการใช้ชื่อหรือนามแฝงว่าอะไรในกลุ่ม

[2] เอิบอาบสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน มาจากบทกลอน ‘รับฝนพรำค่ำวสันต์’ ของตู้ฝู กล่าวถึงค่ำคืนที่ฝนตกลงมาอย่างเงียบเชียบ ทำให้ผืนแผ่นดินชุ่มฉ่ำ

อันที่จริง สำหรับหลินเยวียน การทำงานในแผนกประพันธ์เพลงเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานที่อ่านหลังสือเตรียมสอบเท่านั้น และคนในแผนกก็ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เขาอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างเปิดเผยในที่ทำงานเช่นนี้

ถึงอย่างไรก็จัดว่าเนื้อหาเกี่ยวกับงาน

นักประพันธ์เพลงต้องเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองไม่ใช่เหรอ

แม้ว่าความรู้ที่หลินเยวียนเพิ่มพูนอยู่นั้นจะเป็นพื้นฐานไปสักหน่อยก็เถอะ

หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์สิ้นสุดลง หลินเยวียนก็กลับไปที่วิทยาลัย อีกทั้งกลางเดือนพฤศจิกายนก็เป็นช่วงเวลาต้อนรับการสอบของสาขาอย่างเป็นทางการ

ในห้องสอบ

ขณะกำลังแจกข้อสอบ สายตาของผู้คุมสอบก็คมกริบราวกระบี่ “ห้องเรียนมีกล้องวงจรปิด สายตาของฉันดีกว่ากล้องวงจรปิดอีก พวกเธอน่าจะรู้ผลลัพธ์ของการโกงข้อสอบดี”

“…”

ทั้งห้องสอบเงียบกริบ

หลินเยวียนกลับไม่ได้ใส่ใจคำขู่และคำคุยโวชมเชยตนเองของผู้คุมสอบ ยังไงซะเขาอ่านทบทวนมาอย่างเต็มที่ เมื่อกวาดตามองกระดาษข้อสอบที่ได้รับในทันที ก็รู้สึกว่าตนเองมั่นใจเต็มเปี่ยม

เป็นเพราะคำถามข้อใหญ่ข้อสุดท้ายนั้นถามเกี่ยวกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ อย่างที่อาจารย์ในสาขาคาดการณ์ไว้จริงๆ

ขนาดนี้แล้วจะทำไม่ได้ได้ยังไง!?

หลินเยวียนดีใจมาก จรดปากกาเขียนอย่างคล่องแคล่ว

มีเวลาทำข้อสอบหนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาไปแค่สี่สิบนาที เขาก็ทำข้อสอบทั้งชุดเสร็จแล้ว รวมไปถึง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ และใช้เวลาอีกสิบนาทีในการตรวจทาน เมื่อหลินเยวียนรู้สึกว่าใช้ได้แล้ว จึงลุกขึ้นยืนส่งข้อสอบ

ชั่วขณะที่เดินออกจากห้องสอบ

อาบแสงตะวันยามบ่าย หลินเยวียนก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยกล่องสมบัติแล้ว

ขณะที่หลินเยวียนกำลังตื่นเต้นกับกล่องสมบัติอีกใบ วันนี้เหล่าหลิวผู้จัดการของเฉียนซิงอวี่กลับหงุดหงิดทีเดียว

นั่นเพราะชาร์ตดาวรุ่งวันนี้ ยอดดาวน์โหลดของสองอันดับแรกนั้นเบียดกันเข้ามาแล้ว!

อันดับที่หนึ่ง ‘คือความรัก’ ยอดดาวน์โหลด 225,000

อันดับที่สอง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ยอดดาวน์โหลด 214,000

ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์อยู่ๆ ก็ทุ่มเงินโปรโมต ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายก็คือการลากอันดับที่หนึ่งลงจากหลังม้า

ตอนนั้นเหล่าหลิวก็ฉุกใจระแวงอยู่บ้าง จึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งกับเฉียนซิงอวี่ทันที ให้รีบเพิ่มการโปรโมต

เฉียนซิงอวี่กลับไม่คิดเช่นนั้น

สองเพลงนี้ห่างไกลกันมาก ถึงแม้สถิติของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าเล็กน้อย แต่เฉียนซิงอวี่ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่กรณีพิเศษ ในใจก็ยังไม่ได้มองว่าตนเองเป็นเด็กใหม่

กระทั่งวันนี้

เมื่อถลึงตาจ้องมองสถิติของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ซึ่งพุ่งทะยานสูงขึ้นไม่หยุด ระยะห่างของเพลงทั้งสองหดลงมาเหลือระดับนี้ ต่อให้เป็นคนที่มั่นอกมั่นใจตนเองอย่างเฉียนซิงอวี่ก็ต้องมีใจหวิวกันบ้าง “ทำไมไล่ตามมาเร็วขนาดนี้”

“เพลงนี้ไม่ธรรมดา”

เหล่าหลิวกัดฟันเอ่ย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราจะประกาศกิจกรรมไลฟ์สดไม่ใช่เหรอ ตอนเธอไลฟ์ก็เรียกแฟนคลับมา ด้วยกระแสของเธอก็น่าจะกลับมาทิ้งห่างได้อีกครั้ง”

“ครับๆ”

เฉียนซิงอวี่ในวันนี้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ต่างกับเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ไม่ใส่ใจ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง

เฉียนซิงอวี่ก็เริ่มไลฟ์สด

กิจกรรมไลฟ์สดครั้งนี้สิ้นเปลืองเงินมาก บริษัททุ่มกำลังทรัพย์ไปมากมหาศาลเพื่อจัดขึ้นมา จำนวนผู้เข้าร่วมมี

มากพอตัว ไม่ใช่เพียงแค่แฟนคลับ แต่ยังมีผู้คนที่ผ่านไปมาบนแพลตฟอร์มไลฟ์สด สามารถใช้เป็นแพลตฟอร์มโปรโมตที่ดีมากทีเดียว

กล่าวทักทายผู้ชมเสร็จ

เฉียนซิงอวี่ก็เปิดโหมดโปรโมตอย่างตื่นเต้น “เพลงแรกของผม ‘คือความรัก’ ทุกคนฟังหรือยังครับ เพลงนี้อยู่ในอันดับที่หนึ่งของชาร์ตดาวรุ่งนะครับ! เพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้ฟัง อย่าลืมไปฟังกันนะครับ ดวงดาว[1]ที่ฟังกันแล้วก็อย่าลืมไปกดดาวน์โหลดเพื่อสนับสนุนซิงอวี่กันนะครับ”

‘สนับสนุนสิ!’

‘ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว!’

‘ซิงอวี่สู้ๆ นะ! ดวงดาวจะคอยสนับสนุนซิงอวี่เอง!’

“…”

เมื่อเห็นคอมเมนต์กระสุนส่งกันมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เฉียนซิงอวี่ก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วล่ะมั้ง

ไม่ จะวางใจไม่ได้

เพลงนั้นของสตาร์ไลท์ไม่ธรรมดาทีเดียว เฉียนซิงอวี่ตัดสินใจคว้าให้มั่น ฉะนั้นในอีกหลายสิบนาทีต่อจากนั้น เขานอกจากจะทำตามกิจกรรม มีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับและผู้ชมแล้ว ก็คือโฟกัสไปที่การโปรโมตเพลง

แต่ทว่า

ขณะที่การไลฟ์สดเหลือเวลาอีกห้านาทีก่อนจะจบลง จู่ๆ เฉียนซิงอวี่ก็เห็นข้อความหนึ่งเขียนว่า ‘เฉียนซิงอวี่ตุ้บแล้ว’

แอนตี้แฟนจากไหนเนี่ย

ทำไมอยู่ๆ ถึงมาใส่ความให้คนเขาเสียหาย

เฉียนซิงอวี่นึกโมโหอยู่ในใจ

ไม่นานแอนตี้แฟนคนนี้ก็ถูกผู้ดูแลห้องไลฟ์สตรีมแบนไป

ทว่าผ่านไปไม่กี่วินาที ก็มีข้อความกระสุนใหม่โผล่มาอีก มิหนำซ้ำยังมีจำนวนมาก ต่อให้ผู้ดูแลห้องอยากแบนก็แบนไม่ไหวแล้ว

‘เฉียนซิงอวี่ตุ้บแล้ว’

‘หัวตารางชาร์ตดาวรุ่งเปลี่ยนแล้ว’

‘เฉี่ยนซิงอวี่ที่สองแล้ว’

‘โอ้วว ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ โหดมาก’

‘พังแล้ว พังแล้วจ้า’

‘คาดไม่ถึงกันละสิ?’

‘ที่หนึ่งของเธอถูกที่สองพลิกนำแล้ว’

‘…’

เมื่อถึงตอนนี้เฉียนซิงอวี่ถึงได้สติกลับมา ที่แท้คนพวกนี้ก็ไม่ได้แช่งเขา ในข้อความเห็นได้ชัดว่ากำลังพูดถึงเรื่องในชาร์ตดาวรุ่ง

ตุ้บแล้ว?

ฉันกลายเป็นที่สอง?

เขานิ่งค้างอยู่หน้ากล้องทันใด

เหล่าหลิวผู้จัดการรู้ว่า หากยังไลฟ์สดต่อไปจะกลายเป็นหายนะแน่ จึงปราดเข้าไปหน้ากล้อง ยิ้มบางเอ่ย “สวัสดีครับทุกคน ไลฟ์ของซิงอวี่จบลงแล้วครับ!”

เขาพูดพลางให้คนปิดไลฟ์สตรีม

“ฟู่”

เหล่าหลิวทาบอก หันไปมองเฉียนซิงอวี่ แต่กลับพบว่าเฉียนซิงอวี่กำลังเปิดชาร์ตดาวรุ่งในโทรศัพท์ และเห็นข้อมูลใหม่แล้ว

อันดับที่หนึ่ง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ยอดดาวน์โหลด 233,000

อันดับที่สอง ‘คือความรัก’ ยอดดาวน์โหลด 231,100

ตำแหน่งของอันดับหนึ่งหล่นตุ้บไปแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเป็นขณะที่เฉียนซิงอวี่กำลังไลฟ์สด

‘พังระหว่างไลฟ์สด’

คำนี้ผุดขึ้นมาในห้วงสำนึกของเหล่าหลิว

เรื่องนี้สำหรับศิลปินแล้วนับว่าชวนให้ปวดใจมากจริงๆ

เขาอ้าปากพะงาบ นึกอยากเอ่ยปลอบใจเฉียนซิงอวี่ซึ่งยังอายุน้อย แต่กลับเห็นว่าสายตาขุ่นมัวของเฉียนซิงอวี่กำลังจับจ้องมายังตน ถามว่า

“เหล่าหลิว คุณว่าผมยังมีโอกาสอีกมั้ย”

ไม่รู้ว่าทำไม เหล่าหลิวถึงรู้สึกว่าอากาศเย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฝืนพูดออกไปว่า “บริษัทไม่น่าจะทุ่มเงินกับเด็กใหม่มากนัก เรื่องนี้จะโทษเธอไม่ได้ ยังไงสิ่งที่ทำได้พวกเราก็ทำไปหมดแล้ว”

……

วินาทีที่สตาร์ไลท์พลิกเอาชนะซาไห่ ทันทีที่ผู้คนในวงการได้รับข่าวนี้ก็พลันถกเถียงกันเซ็งแซ่

“พลิกขึ้นมาแล้ว?”

“โหดสุดๆ ไปเลย!”

“สตาร์ไลท์สุดยอดเลย”

“ปีนี้สตาร์ไลท์น่าจะเป็นเป็นตัวเลือกแรกของบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยท็อปๆ”

“ขนาดนี้แล้ว มีเหรอจะไม่ได้?”

“…”

ขณะที่เฉียนซิงอวี่ปีนขึ้นสู่ชาร์ตดาวรุ่งเป็นวันแรก ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าพี่ใหญ่ตัวจริงจะเร้นกายอยู่ในอันดับที่สามซึ่งไม่เตะตานัก

และในแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์

สายตาของทุกคนล้วนมองไปยังตำแหน่งที่นั่งอันว่างเปล่าริมหน้าต่างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เบื้องหน้าของเขาคล้ายกับจะมีภาพอันเลือนรางของ ‘เซี่ยนอวี๋’ ซึ่งกำลังพึมพำท่องตำราเรียนพื้นฐานปีสอง

……

วันต่อมา ระหว่างทางที่หลินเยวียนกำลังเดินไปยังห้องเรียนเพื่อไปดูคะแนนสอบ จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากจ้าวเจวี๋ย “ยินดีด้วย ได้ที่หนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งแล้ว!”

“ผมรู้แล้วครับ”

ตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งหอพักและชั้นเรียนมีแต่คนพูดถึงเรื่องที่เพลงของรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วชิงอันดับหนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งไม่หยุด ต่อให้หลินเยวียนไม่อยากรับรู้ก็คงยาก

“ไม่เลว พยายามต่อไป”

แม้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเยวียนจะเรียบเฉย แต่จ้าวเจวี๋ยมีประสบการณ์จากครั้งก่อนๆ ครั้งนี้จึงเคยชินแล้ว ดังนั้นเธอจึงแค่ให้กำลังใจหลินเยวียนสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป จากนั้นตนเองก็กระโดดโลดเต้นอยู่ในห้องทำงานรอบหนึ่ง

เมื่อถึงห้องเรียน

ทันทีทีกระดาษข้อสอบและผลคะแนนถูกแจกมา ในสมองหลินเยวียนก็มีเสียงจากระบบดังขึ้น “ผลคะแนนติดหนึ่งในยี่สิบห้าอันดับแรกของเซค ยินดีกับโฮสต์ที่ทำภารกิจระบบสำเร็จ!”

จากนั้น เบื้องหน้าหลินเยวียนก็ปรากฏแถบอักษร

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ]

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลินเยวียนก็มีกล่องสมบัติทองแดงซึ่งยังไม่ได้เปิดอยู่สองใบ เขาตัดสินใจเก็บไว้ก่อน ก็เหมือนกับการสะสมเงิน สนุกจะตายไป

เมื่อดูใบคะแนน

ครั้งนี้หลินเยวียนนับว่าทำภารกิจเกินกว่าสำเร็จซะอีก ผลคะแนนของเขาถึงกับเข้าไปอยู่ในอันดับที่ 13 ของเซค!

“เป็นเพราะคำถามเหมาะกับฉันแท้ๆ” หลินเยวียนลอบพึมพำ

ถึงกับสอบเรื่อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แจกคะแนนให้หลินเยวียนชัดๆ

แต่เมื่อหลินเยวียนเห็นกระดาษข้อสอบของตนเอง กลับตะลึงงันไป

ข้อสอบส่วนสุดท้าย วิเคราะห์เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ คะแนนเต็ม 20 คะแนน เขากลับได้แค่แปดคะแนน!

ที่คะแนนสอบของเขาสูงก็เพราะคะแนนในข้ออื่นๆ ของเขาสูงมากพอ

ในห้วงสำนึกของเขามีเพลงพื้นหลังดังขึ้นมา

เด็กๆ เอ๋ย…พวกเธอมีคำถามมากมายใช่ไหม…[2]

หลินเยวียนมองไปยังกระดาษข้อสอบของเพื่อนร่วมชั้นข้างๆ อย่างอดไม่ได้ พบว่าคนรอบตัวส่วนมากทำคะแนน

ในข้อ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ได้มากกว่าสิบคะแนนกันทั้งนั้น นับว่าตนได้คะแนนน้อยที่สุด

หลินเยวียนมองกระดาษข้อสอบของคนอื่น

คนอื่นก็มองกระดาษข้อสอบของหลินเยวียน

ประเด็นก็คือเป็นเพราะปกติแล้วคะแนนของหลินเยวียนไม่ได้โดดเด่น แค่การสอบครั้งนี้กลับติดอันดับที่ 13 ของเซค ทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง 

“หลินเยวียน สุดยอดไปเลย”

“ช่วงนี้นายอ่านหนังสือตลอด ผลคะแนนน่าตกใจ ได้ที่สิบสามเชียวนะ”

“เอ๊ะ?”

“คำถามด้านหน้าตอบถูกเยอะมาก แต่คำถามเรื่อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ข้อสุดท้าย คะแนนของนายน้อยจริงๆ นั่นแหละ ไม่งั้นครั้งนี้นายติดที่หนึ่งในสิบแน่”

“น่าเสียดายแฮะ”

“ดูท่านายน่าจะไม่ได้เตรียมข้อนี้มา อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นไปได้มากว่าจะออก ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’”

“นายไม่เข้าใจเพลงนี้เหรอ”

เพื่อนร่วมชั้นเรียนต่างพากันส่ายหน้า รู้สึกว่าเสียคะแนนข้อนี้น่าเสียดาย แถมยังมีคนแนะนำให้หลินเยวียนไปฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่คนแต่งเนื้อร้องและทำนองต้องการจะสื่อ…

รอยยิ้มของหลินเยวียนนิ่งค้างในทันใด

เขานิ่งค้าง จ้องมองกากบาทสีแดงยักษ์ใหญ่ในข้อสอบเกี่ยวกับเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ตกอยู่ในภวังค์

ครั้งที่แม้แต่ระบบเองก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ถึงกับเอ่ยปลอบหลินเยวียนหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ “ข้อสอบข้อนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู่ซู่ก็ไม่เข้าใจเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’”

หลินเยวียน “แล้วใครเข้าใจล่ะ”

ระบบ “อาจารย์คนที่ออกข้อสอบไง”

…………………………………….

[1] ดวงดาว เป็นชื่อแฟนคลับของเฉียนซิงอวี่ ถอดความหมายมาจากต้นฉบับว่า ‘ซิงซิง’ จากชื่อของเฉียนซิงอวี่

[2] เด็กๆ เอ๋ย พวกเธอมีคำถามมากมายใช่ไหม มาจากเพลง ‘ฟังคำสอนแม่ (《聽媽媽的話》)’ โดยโจวเจี๋ยหลุน (เจย์ โชว)

วันที่ 7 พฤศจิกายน

จ้าวเจวี๋ยถือโอกาสใช้เวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของวิทยาลัย ขับรถไปรับหลินเยวียนที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจว และตรงไปยังสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์เพื่อทำเรื่องย้ายเขาไปยังแผนกประพันธ์เพลง

หลินเยวียนสะพายกระเป๋าใส่หนังสือเรียน

ครั้งนี้เขานั่งข้างคนขับ

ระหว่างทาง หลินเยวียนฟังเพลง บังเอิญในรถกำลังเล่นเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ พอดิบพอดี ทั้งยังเปิดโหมดเล่นวนซ้ำเพลงเดียวซะด้วย

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทุกครั้งที่อยู่ในรถ จ้าวเจวี๋ยก็จะฟังเพลงนี้ อีกทั้งยังฟังไม่รู้จักเบื่ออย่างน่าประหลาด บางครั้งอารมณ์ดีหน่อยก็ร้องตามเพลงสองสามประโยค

สำหรับชีวิตนี้ของจ้าวเจวี๋ย เพลงนี้เรียกได้ว่ามีความหมายพิเศษมากทีเดียว

“จริงสิ”

ขณะกำลังใกล้จะถึงบริษัท จู่ๆ จ้าวเจวี๋ยก็พูดกับหลินเยวียนว่า “ถึง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะอยู่อันดับสอง แต่ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วยอดดาวน์โหลดรวมสูงกว่าอันดับหนึ่ง หลังจากประชุมไปตอนเช้าวันนี้ บริษัทตัดสินใจอย่างเป็นทางการว่าจะชิงอันดับหนึ่งบนชาร์ตดาวรุ่งกับซาไห่!”

“อันดับสองแล้วเหรอครับ”

หลินเยวียนรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น

จ้าวเจวี๋ยกลับสะอึก จนคำพูดทันที

เธอล่ะอยากจะดึงหูหลินเยวียนมาแล้วเน้นย้ำสักประโยคว่า ‘ขอร้องล่ะ เธอช่วยสนใจผลคะแนนของเพลงตัวเองหน่อยได้มั้ย’

สุดท้ายจ้าวเจวี๋ยก็ฝืนใจทำไม่ลง

เธอเพียงแต่บอกหลินเยวียนล่วงหน้าไว้ก่อน “แต่ว่าสถานการณ์ของอันดับหนึ่งจะพิเศษหน่อย ฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จ”

หลินเยวียนพยักหน้า

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ที่จริงแล้วสตาร์ไลท์ไม่ได้มีแผนจะให้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไปชิงอันดับหนึ่ง ถึงอย่างไรที่หนึ่งก็แข็งแกร่งน่าดู จะชิงอันดับต้องเดิมพันสูงมาก

แต่ว่า…

เพลงนี้ของหลินเยวียนก็มีศักยภาพที่จะแข่งขันได้จริงๆ นั่นละ ยอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นสูงกว่าอันดับหนึ่งมาตลอด

กอปรกับจ้าวเจวี๋ยได้ไปหาบุคลากรระดับสูงซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจท่านหนึ่ง ใช้วาทศิลป์อย่างเต็มที่ ใส่ลูกล่อลูกชนไปหนึ่งประโยค

‘พวกเราขวางซาไห่ได้ค่ะ!’

นี่คือจุดที่จ้าวเจวี๋ยวางแผนไว้แล้ว

เธอจะบอกว่าตนอยากเพิ่มทรัพยากรในการผลักดัน ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เพื่อแย่งชิงอันดับที่หนึ่งในชาร์ตดาวรุ่ง ไม่แน่ว่าเหล่าบุคลากรขั้นสูงผู้มีอำนาจจะยินยอม

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพลงใหม่นักร้องใหม่ ถ้าทุ่มเงินโปรโมตมากเกินไปย่อมไม่คุ้มค่า

แต่หากทำแล้วสามารถขวางซาไห่ได้?

ผู้บริหารระดับสูงลังเลกันอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

ก็แค่จ่ายเงินมากอีกหน่อยไม่ใช่หรือไง ได้ทุบคู่แข่งสักหน่อยดีจะตายไป

ใครใช้ให้สามบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ในฉินโจวไม่ลงรอยกันล่ะ ซาไห่กับสตาร์ไลท์ก็ยิ่งเป็นคู่กัดกันเลย

รายละเอียดของต้นเหตุก็ย้อนไปตามสืบไม่ได้แล้ว

เอาเป็นว่าคนที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกันทั้งโลกก็เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น

สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่การตัดสินใจนี้ออกมา ทั้งอินเทอร์เน็ตก็เต็มไปด้วยการโปรโมตเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เพื่อให้กระแสของเพลงกระเพื่อมไปอีก

……

เมื่อถึงประตูบริษัท จ้าวเจวี๋ยก็ส่งกุญแจรถให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งเดินมาหา แล้วจึงพาหลินเยวียนตรงไปยังแผนกประพันธ์เพลง

“สวัสดีค่ะพี่จ้าว”

“สวัสดีครับพี่จ้าว”

เดินเข้าไปในบริษัท พนักงานที่เอ่ยทักทายจ้าวเจวี๋ยระหว่างทางนั้นมากกว่าที่หลินเยวียนเห็นตอนมาบริษัทเป็นครั้งแรกสักหน่อย หนำซ้ำท่าทีของผู้คนก็ดูกระตือรือร้นกว่าอีก

มีคนมองมาทางหลินเยวียนด้วย

แต่ว่าหลินเยวียนอายุยังน้อย ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตา คนน้อยนักที่จะเชื่อมโยงชายหนุ่มท่าทางเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยเข้ากับตัวละครหลักซึ่งช่วงนี้เป็นที่กล่าวขวัญในบริษัทอย่าง ‘เซี่ยนอวี๋’

กดปุ่มลิฟต์ไปที่ชั้น 10

ไม่นานก็ถึงแผนกประพันธ์เพลงแล้ว

หลินเยวียนยืนอยู่หน้าประตู มองประเมินบรรยากาศภายในของแผนกประพันธ์เพลง

แผนกนี้ใหญ่กว่าที่หลินเยวียนจินตนาการไว้อยู่บ้าง สภาพแวดล้อมภายในโอ่โถงประณีต ตกแต่งได้บรรยากาศของศิลปินทีเดียว

ช่องว่างระหว่างโต๊ะทำงานด้านในนั้นห่างกันมาก ทั้งยังวางชั้นหนังสือกั้นระหว่างกัน เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว บนชั้นหนังสือมีตำราเกี่ยวกับดนตรีอยู่มากมาย            

บรรยากาศการทำงานแบบนี้ ทำให้หลินเยวียนนึกเชื่อมโยงไปถึงห้องสมุดวิทยาลัย ดูผ่อนคลายจริงๆ

“พี่จ้าว”

เหล่าโจวผู้รับผิดชอบแผนกประพันธ์เพลงมารอจ้าวเจวี๋ยตั้งแต่แรกด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ทว่าเมื่อเห็นจ้าวเจวี๋ยปรากฏตัวพร้อมหลินเยวียน รอยยิ้มของเขาก็หุบลงทันใด เอ่ยถามว่า

“เซี่ยนอวี๋ล่ะ?”

ในตอนนั้นบรรดาสมาชิกของแผนกประพันธ์เพลงต่างก็พลันวางมือจากงาน ชะเง้อมองไปทางปากประตูด้วยความสงสัย

เมื่อเช้าในแผนกจัดประชุม ทุกคนได้รับการแจ้งแล้วว่าเซี่ยนอวี๋ผู้แต่งเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะมารายงานตัวที่แผนกประพันธ์เพลงในวันนี้ ตอนนี้จึงสงสัยกันว่าเซี่ยนอวี๋หน้าตาเป็นอย่างไร

“ก็อยู่นี่แล้วไม่ใช่หรือไง”

จ้าวเจวี๋ยแนะนำหลินเยวียนด้วยท่าทางสง่างาม

เหล่าโจวชะงักไปเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเห็นหลินเยวียนซึ่งตามจ้าวเจวี๋ยมาอยู่แล้ว ทว่ามองจากรูปลักษณ์ของหลินเยวียน เขายังคิดว่านี่เป็นศิลปินใหม่สักคนที่จ้าวเจวี๋ยพามา นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มท่าทางเหมือนนักศึกษาคนนี้จะเป็นเซี่ยนอวี๋ในตำนาน

จ้าวเจวี๋ยยิ้มร่าอย่างมีความสุข

เธอเข้าใจความประหลาดใจของเหล่าโจว

ก่อนหน้านี้หลังจากเธอเซ็นสัญญาหลินเยวียนแล้ว ก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม นั่นเป็นเพราะหลินเยวียนไม่เพียงมีพลังเสียงขั้นเทพ แต่ยังมีใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้อดชื่นชมไม่ได้ คุณสมบัติเช่นนี้ก็คือปัจจัยที่จะทำให้เขาโด่งดัง

และด้วยเหตุผลนี้เอง

ก่อนหน้านี้แม้แต่จ้าวเจวี๋ยก็ไม่คิดว่าหลินเยวียนจะเป็นอัจฉริยะด้านการประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถึงขั้นที่เขียนเพลงอย่าง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ได้ หากไม่ใช่เพราะเสียงของเขาพังไปแล้ว เขาจะต้องเป็นลูกที่พระเจ้ารักมากแค่ไหนกัน

และในตอนนี้

ไม่เพียงเหล่าโจวที่ประหลาดใจ บรรดาสมาชิกแผนกประพันธ์เพลงต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า หันไปมองหน้ากัน

ผู้ชายที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนไอดอลคนนี้ก็คือเซี่ยนอวี๋?

“ฮ่าๆ!”

จู่ๆ รอยยิ้มของเหล่าโจวก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง สาวเท้าเข้าไปหาหลินเยวียนอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับยื่นมือออกมา “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ!”

เซี่ยนอวี๋ยังเด็กมาก?

สำหรับเหล่าโจวแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่ไม่เลวร้าย ตรงกันข้าม นี่เป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน เพราะอายุยิ่งน้อย ก็ยิ่งหมายความว่าเซี่ยนอวี๋ยิ่งปราดเปรื่อง!

เขาแค่ให้พื้นที่ในการเติบโตแก่หลินเยวียน!

รอหลังจากนี้หลินเยวียนประสบการณ์สุกงอม บางทีอาจเขียนเพลงที่ดีกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาก็ได้ เพราะฉะนั้นหลังจากที่เหล่าโจวประหลาดใจกับความเยาว์วัยของหลินเยวียน อารมณ์ของเขาก็ดีกว่าเดิมเสียอีก!

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนจับมือกับเขา

จ้าวเจวี๋ยยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเสริมขึ้น “เหล่าโจว ชื่อจริงของเด็กคนนี้คือหลินเยวียน ตอนนี้ยังเป็นนักศึกษาปีสอง สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ปกติตอนที่มีเรียนจะมาทำงานไม่ได้ เรื่องนี้ฉันต้องบอกนายไว้ก่อน อีกอย่างเรื่องค่าแรง ฉันหวังว่าหลินเยวียนจะได้เหมือนคนอื่นๆ ในแผนกประพันธ์เพลง”

“ไม่มีปัญหา”

เหล่าโจวตอบทันควัน “ใช่ว่าแผนกประพันธ์เพลงของพวกเราจะไม่เคยเซ็นสัญญากับนักศึกษามาก่อน อีกอย่างทั้งบริษัทก็รู้ว่าแผนกประพันธ์เป็นแผนกที่ยุ่งเหยิงที่สุดแล้ว นักแต่งเพลงตัวท็อปปีหนึ่งเข้าบริษัทไม่ถึงห้าครั้ง ฉันจะไปทำยังไงได้วะ จะไม่ให้พะเน้าพะนอเหรอ”

จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว “อย่าพูดคำหยาบต่อหน้าเด็ก”

เหล่าโจวหุบยิ้มลงทันใด ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ ในใจกลับลอบตื่นเต้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้าวเจวี๋ยปกป้องคนในบริษัทมากขนาดนี้ ดูท่าแล้วเด็กคนนี้คงจะเป็นลูกรักของจ้าวเจวี๋ย

แต่ว่า…

เข้ามาในแผนกประพันธ์เพลงแล้ว ถ้าเจ้าเด็กนี่ยังเขียนเพลงได้ระดับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ อีก งั้นเขาก็จะกลายเป็นลูกรักของเหล่าโจวคนนี้เหมือนกัน

อย่าดูถูกเหล่าโจวเชียวนะ

ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่แผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ เหล่าโจวจัดว่ามีหน้ามีตามากทีเดียว ถึงอย่างไรพ่อเพลงมือฉมังที่สุดเหล่านั้นก็ทำงานอยู่กับแผนกนี้

เพียงแต่ปกติแล้วพ่อเพลงระดับเทพเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาทำงานในบริษัทก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตามแต่ ขอเพียงพ่อเพลงเหล่านี้เขียนเพลงที่ทำรายได้ให้บริษัทมากพอ ต่อให้เป็นบอสของบริษัท ก็ไม่มีทางออกความเห็นอะไรต่อเรื่องที่พวกเขาไม่เข้ามาทำงาน

“ก็ได้”

จ้าวเจวี๋ยตบไหล่ของหลินเยวียน กำชับว่า “หลังจากนี้เธอก็เป็นคนของแผนกประพันธ์เพลงแล้ว มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้ จำเป็นต้องหารถมาบริษัทก็โทรหาฉัน ถ้าฉันมีเวลาว่างก็จะไปรับเธอ ถ้าฉันไม่ว่างก็จะหาคนไปรับเธอ…”

“นี่เธอเอาเด็กมาฝากเลี้ยงหรือไง”

เหล่าโจวยิ้มเอ่ย “เอาล่ะ น้องจ้าว คนเขาก็อยู่กับพี่โจวแล้ว เธอกลับไปทำงานให้สบายใจเถอะ!”

จ้าวเจวี๋ย “…”

นายเรียกตัวเองว่า ‘พี่โจว’ ยังเข้าใจได้ ยังไงนายก็อายุมากกว่าฉัน

แต่เพิ่งจะพาคนมาส่งให้ จากที่เป็น ‘พี่จ้าว’ ฉันกลายเป็น ‘น้องจ้าว’ แล้ว?

นายนี่จริงๆ เลยนะ

จ้าวเจวี๋ยหันหลัง โบกมือ เดินตรงไปยังลิฟต์

หลินเยวียนก็โบกมือให้จ้าวเจวี๋ย แม้ว่าจ้าวเจวี๋ยหันหลังไปแล้วและมองไม่เห็นก็ตาม

จากนั้น เหล่าโจวก็พาหลินเยวียนไปเซ็นสัญญา

ข้อความในสัญญานั้นมีเยอะเหลือเกิน หลินเยวียนเลือกอ่านจุดสำคัญ

อย่างเช่นเงินเดือนพื้นฐานของแผนกประพันธ์เพลงคือเดือนละหนึ่งหมื่นหยวน ถ้าหากมีผลงาน ส่วนแบ่งจะคำนวณต่างหาก และแม้ว่านักประพันธ์เพลงจะมีลิขสิทธิ์ในผลงาน แต่บริษัทก็มีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ผลงานก่อน เป็นต้น…

พื้นฐานล้วนเป็นไปตามสัญญาของระบบในวงการ ในเรื่องนี้สตาร์ไลท์นับว่ามีชื่อเสียงไม่เลวเลย

ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง อ่านข้อมูลและเซ็นสัญญาเสร็จ หลินเยวียนก็กลายเป็นสมาชิกของแผนกประพันธ์เพลงในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์อย่างเป็นทางการแล้ว

“นี่เป็นที่นั่งของนาย”

เหล่าโจวเลือกที่นั่งริมหน้าต่างให้หลินเยวียน

นี่คือที่นั่งตำแหน่งที่ดีที่สุดในปัจจุบันของบริษัท หันหน้าไปก็จะเห็นบรรยากาศของด้านนอก

เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนได้นั่งตรงนั้น สมาชิกแผนกประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ก็พลันขุ่นเคืองขึ้นมา

“นั่นที่นั่งของอาจารย์หยางนะ”

“ช่างเถอะน่า ยังไงพ่อเพลงเอาแต่ใจของแผนกพวกนั้นก็ไม่มาทำงานที่บริษัทอยู่แล้ว ที่มันว่าง แต่ที่นั่งว่างมาตั้งกี่ปีพวกเราก็ไม่ได้โอกาสนั่งแค่นั้นเอง”

“…”

ต่อจากนั้น หลินเยวียนก็เปิดกระเป๋าหนังสือซึ่งแบกมาถึงบริษัท หยิบหนังสือหลายเล่มออกมาจากกระเป๋า

ถึงอย่างไรเขาก็ใกล้จะสอบแล้ว

บรรดาบัณฑิตปริญญาโทซึ่งเรียนจบมาหลายปีแล้วในแผนกประพันธ์เพลงต่างลอบมองหลินเยวียน กลับพบว่าหลินเยวียนหยิบตำราออกมา ยังคิดเสียอีกว่าตนตาฝาด ถึงขนาดมีคนขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำไป

เพราะหนังสือสามเล่มที่หลินเยวียนหยิบออกมาได้แก่ ‘รวมพื้นฐานการประพันธ์เพลง’ ‘ทฤษฎีการประพันธ์เพลงและความรู้ภาคปฏิบัติ’ และ ‘อธิบายคอร์ดอย่างง่าย’

“นั่นมัน…”

“เหมือนจะเป็น…”

“วิชาเรียนปีสองใช่มั้ย…”

หลินเยวียนไม่รู้ว่าคนด้านหลังกำลังมองตนอยู่ เขากำลังตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเนื้อหาที่อาจออกสอบ ปากขยับขมุบขมิบ

“เสียงใดในคอร์ดเป็นเสียงสูงสุด คอร์ดนี้อยู่ตำแหน่งใดบ้าง”

“ตำแหน่งทำนองทั้งสามประเภทของสเกลเมเจอร์และไมเนอร์ ได้แก่ตำแหน่งทำนองของรูท โน้ตตำแหน่งที่สาม โน้ตตำแหน่งที่ห้า”

“ในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นคอร์ดที่เรียงแบบชิดแนวหรือแบบขยายแนว ก็ห้ามปรากฏวอยซ์ครอสซิง และสิ่งที่เรียกว่าวอยซ์ครอสซิงก็คือเสียงเทเนอร์สูงกว่าอัลโต เบสสูงกว่าเทเนอร์ หรือโซปราโนต่ำกว่าอัลโต”

“…”

นี่คือเซี่ยนอวี๋ที่เขียนเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จริงเหรอเนี่ย?

เมื่อเผชิญหน้ากับสไตล์ที่ออกจะพิลึกอยู่สักหน่อย บรรยากาศในแผนกประพันธ์เพลงก็แปลกไปทันที

จากนั้นจู่ๆ ทุกคนก็เกิดความรู้สึกย้อนแย้งของความ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ และ ‘ภูมิอกภูมิใจ’ แล่นปลาบเข้ามาในจิตใจ

……………………………………………….

คนจำนวนมากไม่คิดว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถึงกับโต้กลับเซวี่ยนหลานอิ๋นกวงได้ภายในวันเดียว!

ขณะที่ทุกคนล้วนมุ่งความสนใจไปยังสถานการณ์นี้ ในวงการก็ร้อนแรงขึ้นมาในชั่วพริบตา

“สตาร์ไลท์ได้ที่สองแล้ว!?”

“ตกต่ำไปหลายปี กลับมาผงาดแล้ว สถานการณ์แบบสตาร์ไลท์คือสิ่งที่เรียกกันว่ากระดอนขึ้นมาหลังจากถึงจุด

ต่ำสุดใช่มั้ยนะ”

“ทุกคนอย่าลืมว่าอันดับหนึ่งถือว่าเป็นเงื่อนไขพิเศษ ถ้าปัดเศษแล้วก็เท่ากับว่าปีนี้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ มงลงนะ!”

“ปัดเศษก็ได้เหรอ?”

“ไม่ต้องปัดเศษ ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่ทุกคนอาจไม่ทันสังเกต ถึงอันดับหนึ่งจะยังนำห่างอยู่ แต่ถ้าดูจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ก็ดูเหมือนว่าเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะสูงกว่าอยู่พอตัวเลยนะ และนั่นหมายความว่าอะไรทุกคนคงเข้าใจดี”

อัจฉริยะด้านข้อมูลของบริษัทหนึ่งมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

“คุณหมายถึง?”

“สรุปว่าทุกคนเตรียมเก้าอี้กับเมล็ดแตงโมไว้ก็แล้วกัน ปลายเดือนนี้อาจมีโอกาสได้เห็นมหาสงครามของเทพเซียน สนุกแน่นอน ตอนแรกคิดว่าปีนี้ซาไห่จะล็อกที่หนึ่งสบายๆ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลยซะอีก”

“…”

ขณะเดียวกัน

เจิงอี้นักร้องและหลี่ยางนักแต่งเพลงของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงซึ่งเดิมทีอยู่ในอันดับที่สองกำลังกินข้าวอยู่ข้างนอก

ราคาอาหารมื้อนี้พอให้พวกเขารูดบัตรเครดิตไปสองพันหยวน

ปูยักษ์สีแดงขนาดใหญ่จังก้าอยู่บนโต๊ะ สำแดงความน่าเกรงขามครั้นยังมีชีวิตอยู่ และยังคล้ายกับเติมชื่อให้กับอาหารมื้อนี้ว่า

งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ

ทว่ากินไปได้เพียงครึ่งเดียว เจิงอี้ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากบริษัทว่า ‘ราศีเมษ’ ถูกอันดับที่สามระเบิดแล้ว

ในตอนนั้น

ปูยักษ์ในชามก็พลันไม่หอมอร่อยขึ้นมาทันใด     

เจิงอี้มองหลี่ยางด้วยความตกตะลึง ราวกับกำลังถามว่า ‘แล้วที่สองของผมล่ะ? เพิ่งขึ้นไปอยู่ที่สอง ตอนนี้หายไปไหนแล้วล่ะ’

“…”

หลี่ยางผู้แต่งเพลงไม่พูดจา เพียงแต่หยิบโทรศัพท์และหูฟังขึ้นมาฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สักรอบ

เอาเถอะ

หลี่ยางยอมรับว่าตนทะนงตนไปสักหน่อย ตอนที่ผลชาร์ตดาวรุ่งออกมา เขาในฐานะที่ได้อันดับสอง จึงฟังแค่เพลงของอันดับที่หนึ่ง ไม่ได้คิดจะสนใจฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ซึ่งอยู่อันดับสามเลย

ใครจะไปสนใจคนที่ด้อยกว่าตนเองกันล่ะ

ทว่าหลังจากฟังเพลงจบ ขณะที่หลี่ยางกำลังกดดาวน์โหลดเพลงด้วยความรู้สึกซับซ้อน สายตาก็มองไปยังเพลงซึ่งอยู่ในอันดับหนึ่งของชาร์ตดาวรุ่ง จู่ๆ สีหน้าก็ดุดันขึ้นมา “ตายแน่!”

……

แต่ในหอพักของสตาร์ไลท์

ซุนเย่าหั่วซึ่งจับตามองการจัดอันดับมาตลอดทั้งวันเช่นเดียวกัน ก็ย่อมสังเกตเห็นว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ พุ่งขึ้นไปเป็นอันดับสอง

เขาลุกพรวดขึ้นมา “เฮ้ย! ฉันดังแล้ว!”

มิน่าล่ะในวงการมักจะลือกันเรื่องพ่อเพลงตัวท็อป ถึงขั้นที่มีนักร้องซึ่งเดบิวต์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า

‘ฉันยอมเป็นหมาให้พ่อเพลงเลย’

ที่แท้ก็ได้พ่อเพลงขั้นเทพ แบบนี้เอาสุนัขมาร้องเพลงในห้องอัดก็ยังดังจริงๆ นั่นแหละ!

เห็นชัดๆ ว่าตนซึ่งใฝ่ฝันอยากเดบิวต์เพียงถูกผู้จัดการลากมาอัดเสียงอย่างมึนๆ งงๆ แล้วก็ร้องเพลงตามที่คนอื่นบอกอย่างมึนๆ งงๆ อยู่ๆ ก็ทะยานขึ้นอันดับสองในชาร์ตดาวรุ่ง กลายเป็นหนึ่งในนักร้องที่เจิดจรัสที่สุดในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่!        

ด้านล่างนี้คือคำถามอัตนัย:

ซุนเยาหั่วกำลังครุ่นคิด ว่าถ้าหากไม่สนใจธรรมเนียม ครั้งหน้าเมื่อพบกับรุ่นน้องหลิน ตนควรทักทายว่าอย่างไร

……

ในขณะเดียวกันนั้นเอง

วิทยาลัยศิลปะฉินโจว

หลินเยวียนผู้ซึ่งไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวใดๆ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ในตอนนั้นข้างหูก็มีเสียงใสรื่นหูแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้น

[ยินดีกับโฮสต์ที่ค่าความโด่งดังรวมทะลุหมื่น!]

[รางวัลค่าความโด่งดังทะลุหมื่น: อายุขัยห้าปี!]

[รางวัลค่าความโด่งดังทะลุหมื่น: กล่องสมบัติทองแดงสามใบ!]

[รางวัลค่าความโด่งดังทะลุหมื่น: กล่องสมบัติเงินหนึ่งใบ!]

ค่าความโด่งดังทะลุหมื่นแล้วเหรอ?

หลินเยวียนเงยหน้ามองตัวอักษรเรืองแสงสี่บรรทัด ในใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเห็นข้อมูลปัจจุบันของตน

[อายุ: 19]

[อายุขัย: 27]

[จิตรกรรม: 45]

[วรรณกรรม: 105]

[ดนตรี: 12580]

[ภาพรวม: 12730]

ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมและวรรณกรรมสองอย่างนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ค่าความโด่งดังด้านดนตรีเพิ่มขึ้นพรวดพราด สูงทะลุหลักหมื่นไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากเพลง ‘ชีวิตดั่ง

มวลผกายามคิมหันต์’

สิ่งสำคัญที่สุดคือ

อายุขัยเพิ่มขึ้นอีกห้าปี

ตอนนี้อายุขัยของหลินเยวียนแตะถึงยี่สิบเจ็ดแล้ว แม้ว่าในตอนนี้อายุขัยจะเพิ่มมาแค่ห้าปี แต่ก็พอทำให้หลินเยวียนปลีกตัวออกมาจากเงื้อมมือของความตายได้ชั่วคราว

หลินเยวียนถามในใจ “ระบบ ครั้งต่อไปอายุขัยจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่”

ระบบตอบ “ร่างกายของโฮสต์ป่วยรักษาไม่หาย ว่ากันตามทฤษฎีแล้วก็คือไม่สามารถรักษาได้ ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาโฮสต์ ระบบจึงใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงสุดในจักรวาลมาปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายของโฮสต์ ฉะนั้นค่าความโด่งดังที่ต้องการจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ครั้งต่อไปหากโฮสต์ต้องการรับการรักษาของระบบ เพื่อเพิ่มอายุขัยของตนเอง ค่าความโด่งดังที่ต้องใช้เท่ากับ…”

หลินเยวียนถามว่า “หนึ่งแสน?”

ระบบตอบ “ไม่ใช่ หนึ่งล้านต่างหาก”

หลินเยวียนสีหน้าครึ้มลงทันที ฟังจากคำพูดพล่ามกองโตของระบบก็รู้แล้วว่าเงื่อนไขของค่าความโด่งดังในการเพิ่มอายุขัยจะต้องสูง แต่เขาไม่คิดว่าจะสูงขนาดนี้

ยากจริงๆ

แสนเดียวยังทำไม่ได้เลย!

ยังจะกล้าเรียกตั้งหนึ่งล้าน!

หลินเยวียนรู้สึกโมโหอยู่บ้าง “หรือว่าฉันจะต้องปล่องเพลงระดับเดียวกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สักร้อยเพลง?”

“ไม่ต้องกังวลไป”

ระบบเอ่ยอธิบาย “ในตอนนี้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ให้ค่าความโด่งดังแก่โฮสต์เกินหลักหมื่น แต่นั่นก็ไม่ได้

หมายความว่าเพลงนี้ให้ได้แค่ความโด่งดังพวกนี้ หลังจากนี้ขอเพียงยังมีผู้ฟังใหม่ชื่นชอบ ชื่อเสียงของโฮสต์ก็จะเพิ่มขึ้นไม่หยุด ตามหลักแล้วชื่อเสียงของโฮสต์จะสูงขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งล้านดูเหมือนจะมาก แต่อันที่จริงใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา”

หลินเยวียนออกแรงกะพริบตา

ระบบเกือบจะค้างอยู่รอมร่อ “…”

ในใจของหลินเยวียนหัวเราะ ‘เหอะๆ’ แต่เขาก็ยอมรับความจริงแทบทั้งหมด เขาแอบมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ขอเพียงหลังจากนี้ผลงานของตนมากขึ้น ชื่อเสียงเรียงนามของเซี่ยนอวี๋เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่หยุดหย่อน ชื่อเสียงของตนก็ต้องมีมากขึ้นไปด้วยสินะ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยความพยายามปล่อยผลงานอย่างไม่ย่อท้อเพื่อแลกมาซึ่งชื่อเสียงถึงจะใช้ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้

หลินเยวียนมองไปยังกล่องสมบัติสี่ใบในคลังเก็บของด้วยความคาดหวัง ไม่รู้ว่าเปิดออกมาจะมีของดีอะไร

เขาไร้ซึ่งความลังเล

หลินเยวียนเปิดกล่องสมบัติทองแดงสองใบก่อน ส่วนกล่องสมบัติทองแดงใบที่สามนั้น เขาตัดสินใจว่าจะเหลือ

ไว้ให้ตนเองสงสัยเล่น

[เปิดกล่องสมบัติทองแดง: ได้รับเพลง ‘ปลายักษ์[1]’]

[เปิดกล่องสมบัติทองแดง: ได้รับเพลง ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย[2]’]

ดูท่าระบบก็คงรู้ว่าในฉินโจวซึ่งเป็น ‘มาตุภูมิแห่งดนตรี’ นี้ รางวัลที่เกี่ยวข้องกับดนตรีนั้นมีค่าสูงสุด สิ่งที่เปิดมาเจอในกล่องสมบัติจึงเกี่ยวโยงกับดนตรีทั้งหมด

“กล่องสมบัติเงินก็เปิดเลยแล้วกัน” หลินเยวียนบอก

ต่อจากนั้น หลินเยวียนก็สัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีแสงสว่างเจิดจ้า      

[เปิดกล่องสมบัติทองแดง: ได้รับเพลงเปียโน ‘วิวาห์ในฝัน ’]

กล่องสมบัติเงินเปิดมาพร้อมกับสเปเชียลเอฟเฟกต์กระจอกๆ?

แต่ว่ารางวัลนี้ก็ไม่เลวจริงๆ ถึงกับเป็น ‘วิวาห์ในฝัน[3]’!

มูลค่าของเพลงเปียโนสูงกว่าทำนองเพลงมาก ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในผลงานชั้นยอดของปอล เดอ เซนเนอวีลย์ซึ่งประพันธ์ให้ริชาร์ด เคลย์แดร์ม็อง ในโลกไม่มีใครไม่เคยได้ยินเพลงคลาสสิกนี้หรอก!

มิน่าล่ะถึงเอามาไว้ในกล่องสมบัติเงิน

ถ้าหากมีโอกาสปล่อยเพลงเปียโนซึ่งได้รับคำชื่นชมกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี้ไป ก็น่าจะเพิ่มความโด่งดังให้ตนเองได้

ไม่น้อยเลยใช่ไหมนะ

หลินเยวียนครุ่นคิดด้วยความคาดหวัง

แต่ก็ห้ามปล่อยออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า

ก็เหมือนกับความสำเร็จของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ที่ต้องหยิบยืมทรัพยากรและแพลตฟอร์มของส

ตาร์ไลท์ ถ้าหากไม่มีแพลตฟอร์มหรือโอกาสที่ดี ก็จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของค่าความโด่งดังที่ได้รับไปด้วย

เมื่อคิดถึงตรงนี้

หลินเยวียนก็นึกสงสัยขึ้นมา “ถ้าฉันปล่อยผลงานโดยที่ไม่เปิดเผยตัวตนจริงๆ ค่าความโด่งดังของฉัน

จะถูกหักมั้ย”

“ไม่”

ระบบเองก็ดูเหมือนขี้เกียจจะพิมพ์ จึงใช้เสียงจักรกลอันไร้อารมณ์ความรู้สึกตอบเข้ามาในสมองของหลินเยวียน “อย่างเช่นชื่อเซี่ยนอวี๋ ตัวตนของเขาก็ระบุถึงโฮสต์ ฉะนั้นโฮสต์จะอยู่เบื้องหน้าหรือหลบอยู่เบื้องหลังก็เหมือนกัน”

“เข้าใจแล้ว”

ก็เหมือนกับการบรรยายว่า ‘เพื่อนสนิทที่สุดของเจี่ยนอี้กับซย่าฝาน’ ที่หมายถึงตนเองนั่นล่ะ ขอแค่คนที่สื่อในตอนสุดท้ายไม่มีปัญหาก็ใช้ได้แล้ว

ทำไมฟังแล้วรู้สึกเหมือนตำนานคธูลู[4]อยู่นะ

หลินเยวียนถามอีกว่า “ปัจจัยโดยละเอียดในการสร้างความโด่งดังดังคืออะไร”

ระบบตอบ “สิ่งที่เรียกว่าความโด่งดังนั้นมาจากการที่ผู้คนยอมรับในผลงาน เพราะผู้คนชื่นชอบ ‘ชีวิตดั่งมวลผกา

ยามคิมหันต์’ จากใจ ดังนั้นความชื่นชอบนี้จะกลายเป็นค่าความโด่งดัง แต่จะกลายเป็นค่าความโด่งดังเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับความชื่นชอบที่ผู้คนมีต่อผลงานของคุณ”

“อ้อ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ผลประโยชน์จากความโด่งดัง จึงจำเรื่องนี้ได้ขึ้นมาอีกสักหน่อย เมื่อเทียบกับภารกิจที่ลงแรงแสนยากเย็นแล้ว เป็นรางวัลจากความโด่งดังที่หอมหวานกว่ามาก

แน่นอนล่ะ

ต่อให้แมลงวันจะเล็ก แต่ก็ยังเป็นเนื้อ

หลินเยวียนไม่มีทางรังเกียจหากรางวัลมีแค่กล่องสมบัติทองแดงใบเดียว ส่วนภารกิจเกี่ยวกับการสอบนั้น หลินเยวียนก็จะพยายามอย่างเต็มที่จนสำเร็จ

ในตอนนั้นเอง

โทรศัพท์ของหลินเยวียนก็ดังขึ้น

เขาเปิดดู ก็พบว่าเป็นการแท็กทั้งกลุ่มในกลุ่มแช็ตชั้นเรียน

ผู้ที่แท็กทุกคนก็คืออาจารย์หวงซึ่งรับผิดชอบวิชาเรียนของสาขา ‘นักศึกษาทุกคน ประกาศใหม่ล่าสุดจากคณะ สาขาของพวกเราจะจัดการสอบในวันที่ 15 พฤศจิกายน! การบ้านเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ในดนตรีของสัปดาห์หน้าจะเพิ่มอีกหัวข้อหนึ่ง! พวกเธอได้ฟัง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แล้วใช่มั้ย ขอให้ทุกคนเตรียมตัวล่วงหน้า หาเหตุผลที่เพลงใหม่เพลงนี้ประสบความสำเร็จ จากมุมมองของการประพันธ์เพลง เน้นจุดสำคัญ! อาจารย์เก็งข้อสอบไว้ รู้สึกได้ว่าข้อสอบของสาขาในครั้งนี้จะต้องออกแน่!’

ในกลุ่มโอดครวญขึ้นมาทันใด

“ไม่เอานะ…”

“อาจารย์…”

“เป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุดช่วงนี้เลย…”

“คือจากทำนองเพลงที่ฟังแล้วชอบก็กลายเป็นเพลงที่ฟังจนเอียน?”

“ทุกคน ฉันประกาศไว้ล่วงหน้าเลยนะ ว่าฉันไม่ชอบ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แล้ว”

คนที่ชอบเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ มีมากทีเดียว

แต่หลี่ว์ซวิ่นกล่าวไว้ว่า

สำหรับนักศึกษาสาขาดนตรี วิธีทำลายเพลงเพลงหนึ่งก็คือการทำให้เพลงนั้นเป็นการบ้าน

หลินเยวียนกลับดีใจมาก

ถึงยังไงเพื่อนๆ ในคลาสก็ได้มอบชื่อเสียงให้เขามาแล้ว ระบบหักคะแนนไม่ได้อยู่แล้วละ

ส่วนหลังจากนี้พวกเขาจะยังชอบหรือไม่ชอบ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็ไม่เกี่ยวกับหลินเยวียน

หลังจากนี้ตนเองยังมีอีกหลายเพลง

อีกอย่างถ้าออกสอบเรื่องนี้ หลินเยวียนก็มั่นใจมาก เพราะว่าในขณะที่ระบบมอบเพลงให้ ก็ยังมอบสิ่งที่คล้ายกับ

ข้อมูลอ้างอิงมาให้ด้วย

‘การบ้านทำเพลงอะไรเหรอ’

เพียงไม่กี่นาทีข้อความในกลุ่มก็ 99+ แล้ว

มีนักศึกษาบางคนที่มาช้า โทรศัพท์ค้าง แต่กลับขี้เกียจย้อนอ่าน จึงพิมพ์ถามในกลุ่ม

‘’ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ถ้าถามอีกจะกัดลิ้นตายแล้วนะ!’

 คำตอบนี้มาจากหัวหน้าชั้น ขนาดมีหน้าจอกั้นอยู่ยังรู้สึกถึงความอาฆาตแค้น หนำซ้ำยังเสริมมาอีกประโยคหนึ่งว่า ‘ฉันเกลียดเซี่ยนอวี๋!’

‘+1!’

‘+2!’

‘+3!’

กองทัพของชั้นเรียนผนึกกำลังกันเป็นหนึ่ง

หลินเยวียนพิมพ์จุดๆๆ เพื่อทำลายกระบวนทัพ รู้สึกว่าคนพวกนี้ดุดันจริงๆ จากนั้นเขาก็ค่อยโล่งใจ

ทุกคนเกลียดเซี่ยนอวี๋

แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?

………………………………………………

[1] ปลายักษ์ (《大鱼》) ขับร้องโดยโจวเซิน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง ‘ปลายักษ์กับบีโกเนีย’

[2] ติดไฟง่ายระเบิดง่าย (《易燃易爆炸》) ขับร้องโดยเฉินลี่

[3] วิวาห์ในฝัน (Mariage d’Amour) เพลงเดี่ยวเปียโน ประพันธ์โดยปอล เดอ เซนเนอวีลย์ นักดนตรีชาวฝรั่งเศส

[4] ตำนานคธูลู เป็นจักรวาลซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในนิยายของเอช. พี. เลิฟคราฟต์

บริษัทติดอันดับสามในชาร์ตดาวรุ่ง

ชั่วขณะที่ชาร์ตดาวรุ่งเริ่มต้นขึ้น ข่าวนี้ก็เผยแพร่ไปทั่วทั้งสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ ทุกคนในบริษัทล้วนแตกตื่นตกใจขึ้นมาทันที

“เชี่ย ในที่สุดก็มีคนมากอบกู้สถานการณ์แล้วเว้ย”

“ปีนี้ก็คงไม่หักเงินแผนกดนตรีของพวกเราอีกแล้วใช่ไหม”

“เฮ้อ แผนกภาพยนตร์และโทรทัศน์ของพวกเราได้ภารกิจว่าทุกคนในแผนกต้องโหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ คนละครั้ง ปีนี้กว่าจะได้ที่สามมาแทบแย่ เบื้องบนคงพยายามคุมอันดับไว้อยู่”

“ก็ต้องแหงอยู่แล้วปะ”

“สตาร์ไลท์ก็เป็นบริษัทบันเทิงสามอันดับแรกของฉินโจว ผลงานในชาร์ตดาวรุ่งห่วย ก็มีผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ต้องเข้าใจว่านักศึกษาจบใหม่ในแต่ละรุ่นตั้งเยอะแยะที่เลือกบริษัทจากกระแสพวกนี้”

บริษัทบันเทิงในฉินโจวมีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

สามบริษัทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น ‘สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์’ ‘ซาไห่คัลเจอร์’ แล้วก็ ‘เซวี่ยนล่านอิ๋นกวง’

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เมื่อก่อน เด็กใหม่ที่สามบริษัทนี้ส่งไปล้วนแต่ได้ครองอันดับต้นๆ ในชาร์ตดาวรุ่ง

แต่ไม่กี่ปีมานี้ ซาไห่และเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงนั้นมั่นคงเหมือนที่ผ่านมา ทว่าผลงานสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์กลับไม่เข้าท่าอยู่ร่ำไป ถึงขั้นที่คนข้างนอกต่างเริ่มตั้งคำถามกับอิทธิพลของสตาร์ไลท์ในอุตสาหกรรมดนตรีแล้ว

ผลกระทบนี้ร้ายแรงมาก!

ฉะนั้นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทถึงได้กดดันจ้าวเจวี๋ยซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ในสถานการณ์ปกติ ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ก็ไม่มีค่าถึงขั้นทำให้บอสของบริษัทหัวฟัดหัวเหวี่ยงหรอก

และจากการพูดคุยกันของพนักงานในบริษัท

ชื่อของเซี่ยนอวี๋ก็ย่อมถูกเผยแพร่ออกไปเป็นธรรมดา

เมื่อเทียบกันแล้ว บทสนทนาที่เกี่ยวกับซุนเย่าหั่วกลับมีน้อยมาก

ต้องบอกก่อนว่า นี่เป็นยุคที่คนทั่วไปต่างให้ความสนใจกับคนแต่งเพลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพแวดล้อมตามแบบฉบับของบริษัทบันเทิงอย่างนี้

สถานะของผู้ประพันธ์เพลงนั้นห่างไกลกับนักร้องหลายโยชน์

ไม่อย่างนั้นในวงการเพลงจะมีคำว่า ‘พ่อเพลง’ ไปทำไม

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนล้วนกระจ่างดี

คือการที่เพลงเพลงหนึ่งประสบความสำเร็จ โด่งดังเป็นพลุแตก มักจะเป็นเพราะทำนองที่ผู้ประพันธ์เพลงเขียนขึ้นนั้นกินใจคนฟัง

หรือจะพูดได้ว่า

เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ที่เซี่ยนอวี๋แต่งขึ้นนั้นไม่เลือกคนร้อง

ต่อให้บริษัทไม่เลือกซุนเย่าหั่ว แต่เปลี่ยนให้คนอื่นมาร้องเพลงนี้ ทุกคนที่มีคุณภาพเสียงดีย่อมแจ้งเกิดโด่งดังได้ด้วยการผลักดันของทรัพยากรบริษัท

นี่คือเหตุผลที่หลังจากเพลงนี้โด่งดัง ทุกคนก็ให้ความสำคัญกับการแต่งเพลง

แน่นอนว่า

นักร้องซึ่งมีเสียงระดับเทพเหล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นักร้องจำพวกนี้ในอุตสาหกรรมดนตรีนับว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เสียงร้องระดับฟ้าประทาน ร้องเพลงอะไรก็ไพเราะเสนาะหูไปซะหมด ถึงขั้นเรียกว่านักฆ่าระดับพระกาฬ สถานะของพวกเขาสูงจนเทียบได้กับพ่อเพลงผู้ยิ่งใหญ่แล้ว

เมื่อนักร้องพลังเสียงระดับซาตานรวมพลังกับพ่อเพลงขั้นเทพ ก็มักจะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างขาดใครไปไม่ได้

ถึงอย่างไรเพลงเหล่านี้ก็ใช่ว่าใครจะร้องได้

ก็เหมือนกับการที่เราไม่สามารถสุ่มเลือกนักร้องเข้ามาในห้องอัดแล้วสั่งให้ร้องโอเปรานั่นละ

และแน่นอน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าระดับความยากของเพลงยิ่งมาก จะยิ่งเป็นเพลงที่ดี เพลงบางเพลงใครๆ ก็ร้องได้ แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธความยอดเยี่ยมของเพลงเหล่านั้น

……

และในโลกภายนอกตอนนี้

บรรยากาศของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งฉินโจว ตามการเปิดอันดับของชาร์ตดาวรุ่ง

ในที่สุดความสนใจของแต่ละบริษัทใหญ่ก็เบนจากซาไห่คัลเจอร์ซึ่งครองอันดับหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ไปยังหนึ่งในสามบริษัทบันเทิงขนาดใหญ่อย่างสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

“โอ้โห ปีนี้เด็กใหม่สตาร์ไลท์กลับมาอยู่ท็อปสามแล้ว”

“ยังไงก็เป็นสามบริษัทใหญ่เก่าแก่ สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์จะแย่ทุกปีก็คงไม่ได้ปะ”

“จะบอกว่าสามบริษัทใหญ่ไม่เปิดทางให้คนอื่นทำมาหากินบ้างก็คงได้แหละ ที่หนึ่งซาไห่ไม่หลุดโผอยู่แล้ว ที่สองเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงผลงานคงเส้นคงวา ที่สามสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็กลับมาเจิดจรัสอีกแล้ว พวกเขากินเนื้อ บริษัทเล็กๆ อย่างพวกเราคงทำได้แค่รอกินน้ำแกงอยู่ด้านหลัง”

“…”

นอกจากบริษัทในอุตสาหกรรมดนตรีแล้ว เหล่านักวิจารณ์เองก็ให้ความสนใจชาร์ตดาวรุ่งเช่นเดียวกัน ในบรรดาเพลงเหล่านั้น เพลงสามอันดับแรกจะได้รับความสนใจจากผู้คนมากกว่า

ในเวยปั๋ว

บรรดานักวิจารณ์ส่งเสียงเซ็งแซ่ แนะนำบทเพลงในดวงใจของตนจากชาร์ตดาวรุ่ง

ผลคือเพลงที่นักวิจารณ์ส่วนมากเลือกมาแนะนำอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายก็คือเพลงในอันดับที่สาม ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’!

จังหวะแบบนี้ทำให้ชาวเน็ตที่ผ่านมาเห็นจำนวนมากเกิดความสนอกสนใจ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ขึ้นมา ในช่องคอมเมนต์ข้างใต้โพสต์แนะนำเพลงจึงคึกคักขึ้นตามไปด้วย

“ชื่อเพลงเพราะมากเลย”

“ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์ ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู ยังไม่ทันได้ฟังเพลง แค่อ่านข้อความแนะนำก็รู้แล้วว่าเพลงนี้ดีที่สุด”

“ฉันติดตามนักวิจารณ์สิบคน แนะนำเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไปแล้วเจ็ดคน ฉันต้องไปฟังดูบ้างแล้ว”

“ฟังแล้ว ไม่เลวเลย ช่วยดาวน์โหลดสนับสนุนเขาแล้วด้วย”

“ฉันก็ฟังแล้ว ส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงนี้ธรรมดาอะ”

“ขึ้นอยู่กับเทสต์ของคนจริงๆ นั่นละ แต่ฉันฟัง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ครั้งแรกแล้วขนลุกเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟังเพลงที่ไม่มีไฮโน้ตแล้วขนลุก”

“ว้าว เพลงนี้มันมีของอยู่นะ”

“ขอบคุณนักวิจารณ์ที่แนะนำ เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ดีสุดที่ฉันได้จากฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ ไม่ต้องพูดเยอะซื้อเก็บเข้าเพลย์ลิสต์ไปเลยจ้า”

“…”

นี่นับเป็นธรรมเนียมของฉินโจว

ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ทุกปี นักวิจารณ์แทบทุกคนจะเฮละโลกันมาปั่นกระแสของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่กันยกใหญ่

หรือไม่ก็แนะนำเพลงที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ก็รับสินบนจากบริษัทบันเทิงมานิดหน่อย และโพสต์สิ่งที่บริษัทเขียนเตรียมไว้ให้แล้ว

จำนวนคนจำพวกแรกมีมาก

จำนวนคนจำพวกหลังมีน้อย

เป็นเพราะในฉินโจว ดนตรีจัดว่าเป็นศาสตร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาจนนักวิจารณ์จะมาหลอกได้

เรื่องนี้เกี่ยวข้องโยงกับเอกลักษณ์ของฉินโจว

บลูสตาร์มีทั้งหมดแปดเขตใหญ่ ได้แก่ฉิน ฉี ฉู่ เยี่ยน ฮั่น จ้าว เว่ย และบวกกับจงโจวซึ่งเป็น ‘เมืองหลวง’ ของบลูสตาร์

แต่ละเขตมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน

บนบลูสตาร์ ฉินโจวได้รับการยอมรับโดยถ้วนหน้าว่าเป็น ‘มาตุภูมิแห่งดนตรี’!

ที่นี่ผลิตศิลปินด้านดนตรีมากมาย

ฉีโจวซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของฉินโจวถูกขนานนามว่า ‘ตำหนักภาพยนตร์’

อย่างไรก็ดี ข้อมูลทางการเป็นประจักษ์ว่าเพลงประกอบภาพยนตร์ของฉีโจวส่วนใหญ่นั้นมีพ่อเพลงจากฉินโจวช่วยทำขึ้น

ในขณะเดียวกัน

ร้อยละแปดสิบของเหล่านักประพันธ์เพลงที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการเพลงบนบลูสตาร์ล้วนมีพื้นเพมาจากฉินโจว!

แบ่งแยกกันไปตามสไตล์ดนตรี

ทั้งยังมีเปียโน…ไวโอลิน…ซิมโฟนี…

สารพัดสารพัน

ศาสตร์ด้านดนตรีทั้งหมดล้วนมีพื้นที่ทางธุรกิจกว้างขวางในฉินโจว

เช่นนี้จะเห็นได้ว่าความชื่นชอบที่คนฉินโจวมีต่อดนตรีนั้นไม่ใช่เล่นๆ และนี่ก็คือเหตุผลที่ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงกลายเป็นสิ่งที่ถูกรักษาและสืบทอดมาในฉินโจว

ด้วยอิทธิพลจากเสียงดนตรีตั้งแต่เยาว์วัย

คนฉินโจวจึงชอบยกย่องตนเองว่ามี ‘รสนิยมดีด้านดนตรีที่ดี’

ถ้าหากคนฉินโจวเอ่ยถึงเรื่องดนตรีต่อหน้าคนจากเจ็ดเขตอื่น ความรู้สึกเหนือกว่าจะเรียกได้ว่าพุ่งปรี๊ดเลยละ

……

จ้าวเจวี๋ยโทรศัพท์หาหลินเยวียน

ทันทีที่โทรศัพท์ต่อสายติด หัวหน้าผู้จัดการคนนี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงระคนความตื่นเต้น “หลินเยวียน เดี๋ยวเธอจะได้ย้ายไปอยู่แผนกประพันธ์เพลงแล้ว อีกอย่าง ยินดีด้วย เธอได้อันดับสามในชาร์ตดาวรุ่ง!”

“ผมได้ที่สามเหรอครับ”

หลินเยวียนซึ่งอยู่ปลายสายครุ่นคิด ก่อนจะถามอย่างจริงจังว่า “อันดับนี้ ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่คงนับว่าไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ”

“…”

คำถามนี้ทำเอาจ้าวเจวี๋ยมึนตึ้บไปเลย

ผ่านไปพักใหญ่กว่าเธอจะได้สติกลับมา จากนั้นก็เข้าใจความหมายแฝงของหลินเยวียน จึงพูดด้วยความประหลาดใจว่า “วันนี้เธอไม่ได้ตามชาร์ตดาวรุ่งเลยเหรอ”

“เพื่อนในคลาสผมเหมือนจะตามอยู่นะครับ” หลินเยวียนตอบ

จ้าวเจวี๋ยพลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คำพูดของหลินเยวียนแทงใจดำเหลือเกิน เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มกระอักเลือดจากตรงไหนดี

เธอทำได้แค่ฝืนพูดต่อ “ใช่แล้ว อันดับสามเป็นอันดับที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ว่าวันนี้เพิ่งเป็นวันที่หนึ่ง หลังจากนี้ฉันจะช่วยเธอรักษาอันดับต่อไป”

“ขอบคุณครับพี่จ้าว”

หลินเยวียนเคารพนับถือจ้าวเจวี๋ยมาก

ทว่าจ้าวเจวี๋ยกลับหมดคำพูดกับหลินเยวียน ความนิ่งสงบของเด็กคนนี้กับความตื่นเต้นของเธอกลายเป็นความ

ตรงข้ามสุดขั้วขึ้นมาทันที

เหมือนฉันไม่เคยเห็นโลกมาก่อนอย่างนั้นละ?

เธอทำได้แค่กัดฟันจบบทสนทนา “งั้นถ้าว่าง เธอเข้ามาที่บริษัทหน่อยนะ จะได้เดินเรื่องสักหน่อย อีกอย่างรายได้ของเพลงจะโอนให้เธอตอนปลายเดือน ฉันวางสายก่อนละ”

“ได้ครับ”

เมื่อพูดถึงรายได้ เสียงของหลินเยวียนก็ฟังดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย จุดนี้ทำให้จ้าวเจวี๋ยรู้สึกขึ้นมาว่า ‘ที่แท้ฉันก็พอจะเคยเห็นโลกอยู่นะ’

“เด็กคนนี้…”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มพลางส่ายหน้า วางสายโทรศัพท์ สายตาเบนกลับไปยังคอมพิวเตอร์

นี่คือหน้าเว็บของชาร์ตดาวรุ่ง

ตั้งแต่กินอาหารกลางวันเสร็จ จ้าวเจวี๋ยก็จับจ้องที่หน้าจอคอมมาตลอด ไม่กล้าลุกไปไหน

เธอกลัวว่าตนแค่กะพริบตา ก็จะรักษาอันดับที่สามไว้ไม่ได้

แต่ดูไปดูมา จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกแปลกชอบกล

ไม่ใช่เพราะอันดับที่สี่ไล่ตามขึ้นมาแล้ว

ยอดดาวน์โหลดของอันดับที่สี่เพิ่งจะได้ไม่ถึง 30,000

เมื่อเทียบกันแล้ว ยอดดาวน์โหลดของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ตั้งแต่กลางวันจนถึงตอนนี้ พุ่งขึ้นมาถึง 50,000 แล้ว!

ทว่าสิ่งที่แปลกนั้นอยู่ตรงนี้

ดูเหมือนว่ายอดดาวน์โหลดของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะเพิ่มขึ้นเร็วอยู่นะ?

อันดับที่สองคือเพลงของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง

‘ราศีเมษ’ นักร้องเจิงอี้ ทำนองโดยหลี่ยาง ยอดดาวน์โหลด 53,000

ตอนเริ่มเปิดโพล ยอดดาวน์โหลดของ ‘ราศีเมษ’ คือ 43,000 จนถึงตอนนี้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งหมื่น

แต่ตอนที่เพิ่งเปิดอันดับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ มียอดดาวน์โหลดเพียง 33,000 ผลคือจนตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเกือบสองหมื่น!

นั่นหมายความว่าอะไร

สตาร์ไลท์คงจะไม่ได้ไล่ตามมาระเบิดเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงหรอกใช่ไหม?

ชั่วขณะที่ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในสมองของจ้าวเจวี๋ย ก็คล้ายกับว่างอกรากออกมา เจริญเติบโตอย่างไม่บันยะบันยังจนหัวใจขอเธอเต้นระส่ำ

รีเฟรช!

รีเฟรช!

รีเฟรช!

จ้าวเจวี๋ยเคลื่อนเมาส์ เริ่มรีเฟรชหน้าเว็บ ก่อนจะพบว่าข้อมูลของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เข้าใกล้ลำดับที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นไปอีก…

เวลาหกโมงเย็น

เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน

ไม่รู้ว่าจ้าวเจวี๋ยกดรีเฟรชอันดับไปกี่ครั้ง แต่ในครั้งนี้ เธอเห็นเต็มสองตาว่าอันดับที่สองของชาร์ตดาวรุ่งได้กลายเป็น ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แล้ว!

ยอดดาวน์โหลด: 59,800!

อันดับที่สามคือเพลง ‘ราศีเมษ’ ของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง ยอดดาวน์โหลดหยุดอยู่ที่ 59,100 ครั้ง ถูกเบียดหล่นจากอันดับที่สอง!

ในตอนนั้น

จ้าวเจวี๋ยแทบหลุดปากหัวเราะออกมา

ยามที่ตนเองต้องการรักษาอันดับที่สามไว้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ถึงกับถล่มเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงอย่างไร้สุ้ม

เสียง กลายเป็นอันดับที่สองในชาร์ตดาวรุ่ง!

แต่อันดับหนึ่งก็ยังพิเศษเกินไป

ถ้าหากไปอยู่ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ของปีก่อนๆ ผลคะแนนของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็เท่ากับกวาดเรียบทั้งชาร์ตดาวรุ่ง ตรงดิ่งขึ้นไปรับมงได้เลย!

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

จ้าวเจวี๋ยรับโทรศัพท์ เอ่ยถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายโทรมาเพราะอะไร “เหล่าโจว มีอะไร”

เสียงในโทรศัพท์ตอบว่า “เธอเปิดประตูหน่อย”

จ้าวเจวี๋ยชะงักไป ก่อนจะเปิดประตู

หน้าประตู ผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมรอยยิ้มตื่นเต้น “พี่จ้าววว ที่สอง…ไม่สิ ฉันหมายถึง…พวกเราสองคนไม่ได้

สังสรรค์กันมานานแล้วน้า เย็นนี้อยากกินอะไรสั่งได้เลย ฉันเลี้ยงเอง! อีกอย่าง…เซี่ยนอวี๋จะมารายงานตัวที่แผนกประพันธ์เพลงเมื่อไหร่ล่ะ แผนกประพันธ์เพลงของพวกเราน่ะ กำลังขาดคนเยอะเลย”

“อ้อ”

จ้าวเจวี๋ยเห็นท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบสอพลอแบบนี้ ก็พลันรู้สึกได้ทันทีว่าเขานี่แหละที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน

……………………………………….

กลุ่มแช็ตของชั้นเรียนเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อเทียบกับกลุ่มของชั้นเรียนเล็กๆ ตอนนี้เว็บบอร์ดในวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั้นร้อนแรงกว่ามาก

‘ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ทุกคนรีบไปช่วยเชียร์ซุนเย่าหั่วเร็ว เพลงชื่อว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ด้านล่างเป็นลิงค์เพลงในแต่ละแอปฟังเพลงใหญ่ๆ’

‘เพลงนี้เพราะกว่าที่คิดแฮะ’

‘คนที่เรียนเรียบเรียงเพลงก็มาเชียร์รุ่นพี่ด้วย อยากจะบอกว่ารุ่นพี่โชคดีมาก สกิลการเรียบเรียงเพลงแอบล้ำอยู่นะ’

‘เรียบเรียงกับทำนองเป็นคนที่ชื่อ ‘เซี่ยนอวี๋’ เหมือนกัน นี่สิฟระถึงจะเรียกว่าพ่อเพลงสมคำคุย’

‘สาขาการเรียบเรียงเพลงดาวน์โหลดเพลงเพื่อช่วยซัปพอร์ตรุ่นพี่ซุนเย่าหั่ว ป.ล.ไม่ใช่ว่าสาขาการเรียบเรียบเพลงอวยตัวเองหรอกนะ แต่เพลงนี้พ่อเพลงพาปังเลยค่า’

‘รอเปิดอันดับตอนเที่ยงพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ จะติดอันดับที่เท่าไหร่’

‘วางใจเถอะ คุณภาพแบบนี้ ติดอันดับอยู่แล้ว’

‘เซี่ยนอวี๋นี่เป็นเทพเจ้ามาจากไหนนะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลย’

‘บริษัท: เพลงนี้ต้องการอะไรเป็นพิเศษไหม พ่อเพลง: มีปากร้องก็พอแล้ว’

‘นักศึกษาสาขาการขับร้องเหมือนกันขอบอกเลยว่าไม่รังเกียจเลยถ้าให้ไปเป็นผู้ช่วย ฉันอยากทำงานกับพ่อเพลงสุดๆ’

‘พวกนกฮูกกลางคืน ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนกันอีก?’

‘ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ฉันจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ จวบจนวันตาย คืนนี้เป็นอย่างไร ทุกค่ำคืนล้วนเป็นเช่นนั้น’

‘ทุกค่ำคืนบ้านแกสิ ไม่นอนเดี๋ยวก็ได้ไหลตายกันพอดี’

“…”

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีก็เหมือนปาร์ตี้เลี้ยงฉลองสำหรับเหล่านักศึกษา

ถ้าหากทุกตำแหน่งในการเฉลิมฉลองครั้งนี้เป็นรุ่นพี่จากวิทยาลัยของพวกเขา นั่นก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบเข้าไปอีก

ด้วยเหตุนี้ นักศึกษามากมายถึงขั้นที่ยังไม่ทันได้ฟังเพลงก็พุ่งเข้าไปดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ โดยไม่ต้องยั้งคิด เพราะว่าซุนเย่าหั่วเป็นบัณฑิตที่จบจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

……

เจ็ดโมงครึ่งของวันรุ่งขึ้น

หลังจากหลินเยวียนตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ก็กินอาหารเช้าในโรงอาหารแล้ว จากนั้นก็มาถึงห้องเรียนอย่างไม่รีบร้อน

คลาสแรกยังไม่เริ่ม

หลินเยวียนกลับเริ่มอ่านหนังสือแล้ว

แต่ทว่าบรรยากาศของเช้าวันนี้คล้ายว่าจะไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เพื่อนนักศึกษาโดยรอบไม่ได้ต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์เงียบๆ เฉกเช่นที่ผ่านมา แต่กลับสนทนาบางเรื่องกันไม่หยุด

หลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

เพราะนั่นมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือของหลินเยวียน

แน่นอนว่าเนื้อหาที่เพื่อนนักศึกษาถกเถียงกันอยู่นั้นก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของหลินเยวียนอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อบทสนทนาของแต่ละคนนั้นออกรสออกชาติมากขึ้น

“ฟัง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ หรือยัง”

คนที่ถามคำถามนี้นั่งอยู่แถวหลังหลินเยวียนนี้เอง

“ต้องฟังแล้วสิ เมื่อคืนฉันอดตาหลับขับตานอนจนตีสองก็เพื่อฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เนี่ยแหละ ฟังจบแล้วยังต้องดาวน์โหลดมาเก็บไว้ ตอนนี้ในเว็บบอร์ดวิทยาลัยเพลงนี้ดังมากเลยละ” เด็กสาวคนหนี่งกำลังกลัดกลุ้มกับขอบตาอันดำคล้ำของตน

“ไม่เลวเลยจริงๆ มาตรฐานการแต่งเพลงสูงมาก สมแล้วที่คนข้างนอกเขาเรียกงานสายของพวกเราว่า ‘พ่อเพลง’”

ผู้ชายใส่แว่นแลดูภูมิอกภูมิใจ

“ตื่นๆๆ ไม่ใช่ว่าทุกเพลงจะคู่ควรกับคำยกย่องอย่าง ‘พ่อเพลง’ ซะหน่อย ตัวอย่างเช่นมาตรฐานอย่างนายเนี่ย ถึงส่งไปให้นักร้องหน้าใหม่ คนเขาก็คงไม่อยากรับ”

“สไตล์เพลงนี้ไม่ใช่แนวฉันเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าแต่งเพลงนี้ได้สุดยอดจริงๆ”

“เหลวไหลน่ะ สายEDMอย่างนายจะไปชอบบัลลาดได้ยังไง”

“…”

 ที่แท้ก็คุยกันเรื่อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

ดูจากบทสนทนาของทุกคน ผลตอบรับของเพลงนี้ท่าทางไม่เลวเลย?

หัวคิ้วของหลินเยวียนค่อยๆ คลายปม ให้อภัยคนรอบตัวที่รบกวนการอ่านหนังสือของเขาในทันที

ผู้หญิงคนเมื่อกี้บอกว่าเธอดาวน์โหลดเพลงแล้ว หนึ่งเพลงราคาหนึ่งหยวน บริษัทรับไปแปดเหมา คนช่วยงานรับไปห้าเฟิน สุดท้ายตนได้ส่วนแบ่งหนึ่งเหมาห้าเฟิน

ทันใดนั้นหลินเยวียนก็พลันรู้สึกว่าถึงแม้ผู้หญิงคนที่มอบเงินหนึ่งเหมาห้าเฟินให้เขาจะนอนดึกจนขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า แต่เธอก็ยังมีสายตาที่เฉียบแหลม

……

ในฐานะวันแรกของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ วันที่ 1 พฤศจิกายนจึงจัดเป็นวันที่พิเศษมากวันหนึ่ง

ในวันนี้

ก่อนที่จะได้เห็นชาร์ตเพลงใหม่ซึ่งจะเปิดโผอย่างเป็นทางการในเวลา 12 นาฬิกา บริษัทบันเทิงทั้งหมดในฉินโจวซึ่งเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ผ่อนคลายกันเลย

ต่อให้ชาร์ตเพลงใหม่เปิดอันดับแล้ว

ถ้าหากผลงานของเด็กใหม่ที่บริษัทส่งไปนั้นแตะไม่ถึงระดับที่บริษัทบันเทิงแต่ละแห่งคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ก็เกรงว่าบรรยากาศของความกดดันก็จะปกคลุมไปเรื่อยๆ เช่นนี้ตลอดทั้งเดือน

จนกระทั่งฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่สิ้นสุด

บรรยากาศอึดอัดและหงุดหงิดงุ่นง่านพรรค์นี้ ในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์คล้ายกับจะย่ำแย่กว่าหลายส่วน ถึงขนาดที่ตั้งแต่เริ่มเข้างานตอนเช้าตรู่วันนี้ เสียงเอ่ยทักทายกันของพนักงานแต่ละแผนกคล้ายกับจะเบาลงกว่าปกติมาก

โดยเฉพาะแผนกซึ่งเกี่ยวข้องกับดนตรี!

ที่สำคัญคืออันดับของเด็กใหม่ของบริษัทในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ไม่เป็นดังที่คาดหวังสักเท่าไร เหล่าผู้บริหารระดับสูงจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

บอสใหญ่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่หลายครั้ง       

ด้วยเหตุผลนี้ ยังลดโบนัสประจำไตรมาสของแผนกที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อที่จะให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้นอีกสักหน่อย ทั้งบริษัทล้วนหวังจริงๆ ว่าบริษัทจะกลับมาผงาดอีกครั้ง

นอกจากนั้นในบริษัทยังลือกันว่า

หัวหน้าผู้จัดการจ้าวเจวี๋ยประกาศกร้าวต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงว่าในปีนี้บริษัทจะต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกของชาร์ตเพลงใหม่ ถ้าหากทำไม่ได้จะยอมลดตำแหน่งลงไปเอง

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก

หากพูดออกไปแล้วทำไม่ได้ จ้าวเจวี๋ยจะต้องถูกเบื้องบนจัดการลดตำแหน่ง และนั่นนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลากรครั้งใหญ่ของสตาร์ไลท์

ถึงอย่างไรอำนาจของจ้าวเจวี๋ยก็มีมากทีเดียว

และในฐานะที่เป็นตัวเอกของข่าวลือ จ้าวเจวี๋ยก็ล็อกกลอนห้องทำงานของตนตั้งแต่เริ่มงานตอนเช้า นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้

เธอตกอยู่ในสภาวะปลีกตัว ไม่กล้าดูโทรศัพท์ ไม่กล้าดูคอมพิวเตอร์ เพราะเธอไม่เชื่อมั่นในเด็กใหม่ปีนี้เอาซะเลย

“ติ๊งๆๆๆ…”

ในที่สุดเวลา 12 นาฬิกาก็มาถึง

เสียงนาฬิกาปลุกของวันนี้ดูเหมือนว่าจะดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ ดึงจ้าวเจวี๋ยจากสภาวะปลีกตัวบางอย่างกลับมา

“ตัดสินโทษประหารเลยแล้วกัน”

จ้าวเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงเปิดคอมพิวเตอร์

ไม่ใช่แค่จ้าวเจวี๋ย

ในตอนนี้ ทั้งสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ หรือทั้งอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับดนตรีล้วนพุ่งเป้าไปยังการจัดอันดับอย่างเป็นทางการที่เพิ่งอัปเดตใหม่

ชาร์ตเพลงใหม่

ทว่าทันทีที่เห็นชื่ออันดับที่หนึ่งในชาร์ตเพลงใหม่ ทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ความรู้สึกก็คล้ายคลึงกันอย่างแปลกประหลาด

อันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงใหม่

‘คือความรัก’ นักร้องเฉียนซิงอวี่ ทำนองหลี่หราน บริษัทซาไห่คัลเจอร์

ยอดดาวน์โหลด: 88,500

สำหรับอันดับที่หนึ่งของชาร์ตเพลงใหม่ในปีก่อนๆ บริษัทใหญ่ต่างแข่งขันฟาดฟันจนตายกันไปข้าง ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร

ทว่าปีนี้กลับต่างออกไป

‘เด็กใหม่’ อย่างเฉียนซิงอวี่นั้นพิเศษกว่าคนอื่น

ถึงกับเดบิวต์และดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์เรื่องแรกในชีวิต ก่อนหน้าฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เพียงแค่หนึ่งเดือนพอดิบพอดี ตกแฟนคลับได้มหาศาล

‘เด็กใหม่’ แบบนี้ใครจะไปแข่งด้วยไหว?

เรื่องนี้ทุกคนทำได้แค่ทอดถอนใจ “มีนักฆ่าระดับพระกาฬอย่างเฉียนซิงอวี่ ปีนี้ซาไห่คัลเจอร์คงมงลงอยู่อันดับหนึ่งไปถึงสิ้นเดือนแน่”

จ้าวเจวี๋ยก็ทอดถอนใจเช่นกัน

ทั้งยังอิจฉาและริษยา

จากนั้นเธอก็ตัดสินใจ ว่าจะดูผลคะแนนจากล่างขึ้นบน

ถึงอย่างไรชาร์ตเพลงใหม่ก็แสดงผลแค่หนึ่งร้อยอันดับแรก ดูจนจบหนึ่งร้อยชื่อก็ใช้เวลาไม่มาก

ส่วนเรื่องที่เด็กใหม่ไม่ติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกน่ะเหรอ?

ล้อเล่นอะไรกัน อย่างไรซะสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็เป็นหนึ่งในบริษัทบันเทิงระดับต้นๆ ของฉินโจว ได้เปรียบด้านทรัพยากรที่พรั่งพร้อมก่อนใคร ภายใต้ขอบเขตของทรัพยากรเช่นนี้ของสตาร์ไลท์ ถ้าหากมีเด็กใหม่ที่บริษัทดันไม่เข้าหนึ่งร้อยอันดับแรก เช่นนั้นเด็กใหม่ซึ่งมีมาตรฐานระดับนี้ก็จำเป็นต้องเป็นอันกลับบ้านไป

ด้วยสายตาของของจ้าวเจวี๋ย เหตุการณ์เช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น

อันดับที่ 73 จ้าวเจวี๋ยก็เห็นชื่อของเด็กใหม่ในสังกัดบริษัทเป็นชื่อแรก และนั่นทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย

อันดับที่ 55 จ้าวเจวี๋ยเห็นชื่อที่สอง หัวคิ้วของเธอขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม

ครั้นดูมาถึงอันดับที่ 12 จ้าวเจวี๋ยเห็นชื่อในสังกัดของบริษัทไปแล้วแปดชื่อ

อันดับที่ 11 ไม่ใช่ชื่อของคนจากบริษัท

ฉะนั้นก็เหลือเพียงสองชื่อแล้ว

นั่นหมายความว่า ในปีนี้สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์มีสองคนที่ติดสิบอันดับแรก?

จ้าวเจวี๋ยกัดริมฝีปาก เริ่มดูรายชื่อสิบอันดับแรก ผลคือเธอดูมาถึงลำดับที่เก้า ก็เห็นชื่อเด็กใหม่คนที่เก้าของบริษัทซะแล้ว

ตอนนี้เหลือแค่คนเดียวแล้ว

อันดับที่แปด…อันดับที่เจ็ด…อันดับที่หก…อันดับที่ห้า…

ในที่สุด

จ้าวเจวี๋ยก็หาชื่อของคนที่สิบเจอแล้ว

สามอันดับแรกของชาร์ตเพลงใหม่

‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นักร้องซุนเย่าหั่ว ทำนองเซี่ยนอวี๋ บริษัทสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

ยอดดาวน์โหลด: 33,000

ดวงตาของจ้าวเจวี๋ยเบิกกว้างทันใด จับจ้องไปยังอันดับที่สามของชาร์ตเพลงใหม่เขม็ง ลมหายใจถี่กระชั้น ชั่วขณะนี้เธอสัมผัสได้ถึงความสุขประหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ

สามอันดับแรก!

สามอันดับแรกจริงๆ!

ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้จัดการ แน่นอนจ้าวเจวี๋ยรู้ว่าเซี่ยนอวี๋คือนามแฝงของหลินเยวียน เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วคนที่ช่วยเธอขึ้นมาจากขอบหน้าผา จะถึงกับเป็นหลินเยวียนที่เกือบทำตนเองตกหน้าผา

โชคชะตานี่อัศจรรย์จริงๆ

จ้าวเจวี๋ยไม่สนใจอันดับของคนอื่นๆ อีกต่อไป รอยยิ้มของจ้าวเจวี๋ยฉายแววมั่นใจขึ้นมา “ครั้งนี้ใครก็อย่ามาคิดจะไล่ฉันลงซะให้ยาก ขอแค่หลินเยวียนค้างอยู่อันดับสาม ฉันก็จะไม่ต้องลดตำแหน่ง!”

ผลที่ตามมาของการถูกลดตำแหน่งนั้นหนักหนาสาหัส

วิลล่าหลังเดี่ยวของครอบครัวยังผ่อนไม่หมดเลยนะ

เธอลุกพรวดขึ้นยืน รีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “รีบติดต่อคนที่รับผิดชอบเรื่องแอปเพลงเดี๋ยวนี้ ฉันอยากให้พวกเขาดันเพลงขึ้นหน้าแรก สตาร์ไลท์จะทำอันดับให้ได้สูงสุด!”

“ได้ครับ/ค่ะ…ยินดีด้วยพี่จ้าว”

ปลายสายโทรศัพท์ก็คล้ายกับจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวเจวี๋ยหัวเราะ “ขอบคุณ แผนกทรัพยากรของพวกเธอต้องพยายามช่วยให้มากอีก ยังไงซะนี่ก็เป็นแค่อันดับวันแรก”

อันดับวันแรกไม่ได้เป็นตัวแทนของอันดับวันสุดท้าย

ยังเหลือการแข่งขันอีกยี่สิบเก้าวันเต็มๆ

แต่ว่าถ้าหากบริษัทใหญ่อย่างสตาร์ไลท์จดจ่ออย่างกับการรักษาตำแหน่งละก็ วันแรกติดสามอันดับแรก โดยทั่วไปมักจะไม่มีทางล้มเหลวไม่เป็นท่า ถ้าเกิดไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีกลศึก ‘เก้ารวมหนึ่ง’ เอาไว้กันพลาดอยู่

อะไรคือเก้ารวมหนึ่งน่ะเหรอ?

ก็คือการเสียสละทรัพยากรของนักร้องทั้งเก้าคนอย่างเหมาะสม ทุ่มเทให้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ได้แสงสว่างมากขึ้นไปอีก นี่เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทขนาดเล็กจำนวนมากหยิบมาใช้ในสถานการณ์ที่เพลงที่ปล่อยออกมาได้ผลลัพธ์สูง

โดยทั่วไปแล้ว สตาร์ไลท์ไม่ต้องใช้กลยุทธ์วิธีการจำพวกนี้ อย่างไรเสียสตาร์ไลท์ก็ไม่ใช่บริษัทขนาดเล็ก

โทรศัพท์สายแรกจบลง จ้าวเจวี๋ยคล้ายกับจะนึกบางอย่างออก จึงกดต่อสายอีกครั้ง “เหล่าโจว แผนกประพันธ์เพลงของพวกนายยังขาดคนมั้ย”

“อย่าเอ็ดไป เสี่ยวจ้าว”

ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายแข็งกระด้าง “บริษัทบังคับให้ฉันหาคนแต่งเพลงให้เด็กใหม่อีกโขยงหนึ่งเพื่อชาร์ตเพลงใหม่โดยเฉพาะ เรื่องแบบนี้น่ะ ใช้กลยุทธ์ฝูงชนมันช่วยได้ที่ไหนกัน เพราะงั้นเธออย่าทำให้ฉันลำบากใจเลยนะ แผนกฉันคนแน่นแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยยิ้มบาง “เซี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้เหรอ?”

ท่าทีของปลายสายกลับลำร้อยแปดสิบองศาในชั่วพริบตา “พี่จ้าว เซี่ยนอวี๋อยู่ไหนเหรอ ฉันไปเซ็นสัญญากับเขาเองเลยก็ได้ แผนกประพันธ์เพลงของพวกเราช่วงนี้ขาดคนจริงๆ!”

…………………………………………

หลินเยวียนไม่รู้ถึงความหนักใจของจ้าวเจวี๋ย

หลังจากอัดเสียงเสร็จ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เท่าไหร่นัก เพราะเขาต้องจดจ่ออยู่กับอีกภารกิจของระบบ

[ติดยี่สิบห้าอันดับแรกของเซคในการสอบครั้งถัดไปในวิชาของสาขา]

นี่เป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเรียน คะแนนสอบสำคัญมาก ดังนั้นตั้งแต่วิชาแรกของวันที่สองเริ่มต้นขึ้น หลินเยวียนก็เปิดใช้งาน ‘โหมดเด็กเรียน’ อย่างเป็นทางการ

การเรียนทำให้ฉันมีความสุข

โดยทั่วไป การสอบของสาขาจะใช้รูปแบบข้อสอบเขียนทั้งหมด ความรู้ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้องท่องจำ  ดังนั้นหลินเยวียนนอกจากจะตั้งใจจดเลกเชอร์ในชั้นเรียนแล้ว ในช่วงเวลาพักหลังเลิกเรียน เขาก็ยังง่วนอยู่กับหนังสือเรียนของตน

ทฤษฎีการประพันธ์บทเพลงนั้นมีตั้งเยอะแยะ

อ่านทวนไปมาอยู่หลายครั้ง ในสมองของหลินเยวียนก็คล้ายกับจะเต็มไปด้วยความรู้เฉพาะทางอย่างพวก ‘การสอดทำนองและฟิวก์’ ‘คำอธิบายว่าด้วยเสียงประสาน’ ‘เทคนิคการประพันธ์ดนตรีสมัยใหม่’ รวมไปถึง ‘ทางดนตรีออร์เคสตรา’

แต่ว่าอย่าเพิ่งพูดไป

ใช้ชีวิตแบบนี้ติดต่อกันหลายวัน หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกห่อเหี่ยวเลย แต่กลับรู้สึกว่าตนเองใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน

ตกเย็น

เรียนจนเหนื่อยเหลือทน เขาจึงเรียกซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ไปเดินเล่นที่สนามกีฬา ตากลมยามเย็นพลางพูดคุยกัน รู้สึกผ่อนคลายดีจริงๆ

ขณะกำลังเดินอยู่ในสนาม

จู่ๆ โทรศัพท์หลินเยวียนก็สั่น

เขาหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความข้อความหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า ‘‘ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่’ จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ สตาร์ไลท์ร่วมเดินไปพร้อมคุณ!’

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่?

หลินเยวียนตกใจ “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนตุลาเหรอ? พรุ่งนี้ก็พฤศจิกาแล้ว?”

เอาเถอะ

เพื่อให้ภารกิจระบบสำเร็จ จะได้เปิดกล่องสมบัติทองแดงได้อีกใบ พักนี้เขาเรียนหนักเกินไป ถึงกับลืมเรื่องฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ไปสนิท

“พูดให้ชัดก็คือ”

เจี่ยนอี้พูด “หลังจากเที่ยงคืนนี้ผ่านไป ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงที่มีเพียงปีละหนึ่งครั้งก็จะเริ่มต้น ขึ้นแล้ว!”

อาจเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับสาขาเฉพาะทางของตน

ซย่าฝานจึงพูดเสริมจุดสำคัญอย่างตื่นเต้น “ช่วงนี้คนในคณะดนตรีพูดถึงเรื่องนี้กันตลอด โดยเฉพาะสาขาการขับร้อง แม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็พูดเรื่องนี้ในคลาส เพราะปีนี้รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจากสาขาการขับร้องของพวกเราจะได้เดบิวต์ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แล้ว ซุนเย่าหั่วยังติดต่อมาถึงคณะด้วยตนเอง หวังว่าพอถึงตอนนั้นรุ่นน้องในคณะจะโหวตให้เขาติดอันดับ…รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วนี่นายน่าจะคุ้นอยู่บ้างใช่ไหม เมื่อก่อนตอนที่นายยังไม่ได้ย้ายสาขา พวกเรายังเคยร่วมงานกันด้วย”

หลินเยวียนเผยสีหน้าประหลาด “ก็คุ้นอยู่นะ”

เพื่อที่จะทำเพลงอย่างเงียบเชียบไม่ประเจิดประเจ้อ หลินเยวียนขอร้องซุนเย่าหั่วว่าอย่าบอกคนอื่นว่าที่จริงแล้วตนเป็นคนแต่งเนื้อร้องและทำนอง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

ตอนนี้ดูแล้ว ซุนเย่าหั่วก็ไม่ได้แฉตนจริงๆ

หืม?

เจี่ยนอี้หันไปเหลือบมองหลินเยวียน รู้สึกว่าสีหน้าของหลินเยวียนแปลกชอบกล

จากนั้นเขาจึงสบตากับซย่าฝาน ต่างคนต่างก็พอจะกระจ่างขึ้นมา

ทั้งสองจำได้ว่าก่อนหน้านี้หลินเยวียนเคยใช้วิธี ‘เพื่อนสมมติ’ ถามพวกเขาว่าจะปล่อยเพลงใหม่อย่างไร ซย่าฝานยังแนะนำว่าให้เขาไปหาผู้จัดการของบริษัท เพื่อสมัครฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ของปีนี้…

ตอนนี้เห็นทีหลินเยวียนคงผิดหวังซะแล้ว

จะว่าไปก็ไม่แปลก การเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่นั้นมีมาตรฐานสูงขนาดไหน แม้ว่าหลินเยวียนจะมีพรสวรรค์ด้านการขับร้องเต็มเปี่ยม ทว่าคอของเขาอยู่ในสภาพใช้งานไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ในด้านการประพันธ์เพลง เขาก็ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรอยู่ดี

นอกจากนั้นแล้ว ถ้าหากมีความมั่นใจในตัวเอง เขาคงไม่ใช้ ‘เพื่อนสมมติ’ หรอก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองจึงตัดสินใจตรงกันว่าคืนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้จะดีกว่า เพื่อไม่ให้หลินเยวียนเสียใจ

หลินเยวียนไม่รู้ความคิดของเพื่อนสนิททั้งสอง

ในตอนนั้นเขาโชคดีอยู่บ้างที่เพื่อนสนิททั้งสองไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ ถึงอย่างไรเขาก็ทำใจโกหกคนสนิทไม่ลง

ทั้งสามต่างคนต่างกลับหอพักของตนไปพร้อมกับความคิดที่ไปคนละทิศละทาง

……

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เริ่มต้นขึ้นในเวลาเที่ยงคืนของวันที่หนึ่งเดือนพฤศจิกายน คนที่อดหลับอดนอนเพื่อการนี้มีนับไม่ถ้วน ทว่าช่วงนี้หลินเยวียนจิตใจจดจ่ออยู่กับการเรียนจนเหนื่อยล้า มิหนำซ้ำยังเป็นเพราะสภาพร่างกายไม่สู้ดี เขาจึงรอถึงเที่ยงคืนไม่ไหว

สี่ทุ่มเขาก็เข้านอนแล้ว

แต่หลินเยวียนรอไม่ถึงเที่ยงคืน ก็ย่อมมีคนที่รอถึง

ตัวอย่างเช่นเหล่านกฮูกกลางคืนที่ชอบฟังเพลงเล่นโทรศัพท์กลางดึก

จางเฉินนักศึกษาปีสองของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็เป็นหนึ่งในนกฮูกกลางคืน

เวลาเที่ยงคืนตรง จางเฉินสวมหูฟังที่ดีที่สุดของตน เปิดแอปพลิเคชันฟังเพลง ‘คลาวด์ซีมิวสิก’ ซึ่งใช้อยู่เป็นประจำ เตรียมฟังว่าฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ปีนี้มีเพลงใหม่เพลงไหนควรค่าแก่การเฉิดฉายบ้าง

“หวังว่าปีนี้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”

ในฐานะนักศึกษาคณะดนตรี จางเฉินเป็นผู้มีใจรักเสียงเพลง ลำพังแค่หูฟัง เขาก็มีตั้งสี่อันแล้ว ราคาแตกต่างกันไปตั้งแต่หนึ่งพันห้าร้อยถึงหนึ่งหมื่นหยวน ทั้งหมดล้วนซื้อด้วยเงินที่เขาได้จากการทำงานพิเศษ

กดเปิดเพลงแนะนำหน้าแรก

จางเฉินเริ่มฟังทีละเพลงๆ

พูดตามตรงว่าเพลงแนะนำในหน้าแรกล้วนไม่เลว ถึงอย่างไรก็เป็นเพลงใหม่นักร้องใหม่ที่บริษัทใหญ่ต่างก็ดันสุดแรงเกิด รับประกันคุณภาพได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำได้แค่เปลืองทรัพยากรไปโดยสูญเปล่า

แต่ปัญหาก็คือ…

เพลงเหล่านี้ล้วนหยุดอยู่ที่ระดับไม่เลว

หูของผู้มีใจรักในเสียงเพลงอย่างจางเฉินนั้นแสนจะมากความ เพลงธรรมดาๆ น่ะ ฟังไปก็ไม่เข้าหูเขาหรอก

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากฟังมายี่สิบสองเพลงติดต่อกัน มีแค่สามเพลงที่จางเฉินเพิ่มลงไปในเพลย์ลิสต์สำรองของตน

บัญชีผู้ใช้ของจางเฉินนั้นสร้างมาสิบปีแล้ว

ในบัญชีนี้มีทั้งหมดสองเพลย์ลิสต์

ด้านบนเป็นเพลย์ลิสต์เก็บรักษา ด้านล่างเป็นเพลย์ลิสต์สำรอง

เพลย์ลิสต์เก็บรักษามีทั้งหมดสิบสองเพลง สิบปีเพิ่งสะสมได้สิบสองเพลง ทุกเพลงล้วนเป็นผลงานสุดคลาสสิกในดวงใจของจางเฉิน ชั่วชีวิตนี้เขาอาจไม่ลบทิ้งเลยก็ได้ หนำซ้ำยังคอยเปิดฟังเป็นระยะๆ ด้วย

ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งเคยฟังครั้งแรก

ส่วนเพลงในเพลย์ลิสต์สำรองมีมากแล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนเพลงค่อนข้างบ่อย จัดอยู่ในหมวดหมู่เพลงที่จางเฉินชื่นชอบเพียงประเดี๋ยวประด๋าว แต่เพลงเหล่านี้ฟังบ่อยแล้วก็รู้สึกเบื่อ เบื่อแล้วก็เตะออกจากเพลย์ลิสต์สำรองอะไรเทือกนั้น

เขาฟังต่ออีกหลายเพลง

จางเฉินเริ่มเหนื่อยแล้ว

เขาอ้าปากหาววอด ตอนที่เตรียมตัวเข้านอน จู่ๆ ก็ถูกข้อความแนะนำของเพลงใหม่ซึ่งผ่านมาเพียงแวบเดียวดึงดูดความสนใจ ข้อความแนะนำเขียนไว้หนึ่งบรรทัดว่า

‘ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์  ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู’

ต้องบอกเลยว่าประโยคนี้สวยมาก

สวยจนจางเฉินถึงขั้นอดใจไม่อยู่ต้องคลิกลิงค์เข้าไปฟังเพลง

เขากลัวว่าเพลงจะคุณภาพไม่ดี จนทำลายความหมายของข้อความแนะนำท่อนนี้

แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคลิกเพลงที่ชื่อว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

เป็นเพราะเขาสงสัยว่าสรุปแล้วบทเพลงซึ่งอยู่เบื้องหลังข้อความนี้ร้องว่าอย่างไรกันแน่

บทเพลงเริ่มบรรเลงทันใด

เสียงฮัมซึ่งฟังไม่ถนัดว่าเป็นภาษาของพื้นที่ใด เมื่อผ่านเอฟเฟกต์เสียงเบสความละเอียดสูงของหูฟัง เสียงก็ยิ่งกระหึ่มดังเข้าไปใหญ่

ยากที่จะบรรยายความรู้สึกเช่นนี้

เหมือนกับคาบคลื่นระลอกหนึ่งพัดผ่าน ชั่วพริบตาเดียวก็ปลุกเร้าเซลล์โสตประสาทอันเหนื่อยล้าทั่วทั้งร่าง จนจางเฉินแทบกลั้นหายใจขณะตั้งใจสดับฟังท่อนเวิร์สของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

“ไม่รู้ว่าหลับใหลมานานเพียงใด

ท่ามกลางความมืดมิด

และไม่รู้ว่าจะยากเย็นแค่ไหน

ถึงจะลืมตาขึ้นได้อีก

ฉันเร่งรุดมาจากแดนไกล

บังเอิญเหลือเกิน พวกคุณก็อยู่ที่นี่ด้วย

เที่ยวเตร่เพลินใจบนโลกใบนี้

แต่ฉันกลับเพ้อคลั่งเพราะเธอ…”

มีความเจ็บปวด มีความเสียใจ รวมไปถึงเศษเสี้ยวแห่งความหวังและความบากบั่น ความรู้สึกที่มาจากทำนองเพลงนั้นประเดประดังกับความรู้สึกที่มาจากเนื้อเพลง วนไปเวียนมาอยู่ในห้วงสำนึก

ลมหายใจของจางเฉินค่อยๆ สงบขึ้น

กระนั้น ภายใต้ลมหายใจที่สงบนิ่งนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่คล้ายว่าจะอัดแน่นอยู่ในอกของจางเฉินค่อยๆ เอ่อท้นขึ้นมา จนกระทั่งจังหวะดนตรีเร่งเร็วขึ้นเล็กน้อย ท่อนคอรัสแรกก็ดังขึ้นอย่างเยือกเย็นเหลือเกิน

‘ฉันคือช่วงเวลาอันเจิดจรัส

ฉันคือเปลวไฟที่ผ่านพัดเส้นขอบฟ้า

เพื่อให้เธอมองมา ฉันไม่สนใจสิ่งใด

ฉันจะมอดมลายไป ไม่หวนคืนมา

ฉันอยู่ที่นี่นะ

อยู่ที่นี่แหละ

ไม่จีรังดั่งหมู่หงส์โบยบิน

งามตระการเหมือนมวลผกายามคิมหันต์…’

จางเฉินฟังจนแทบเคลิ้มไป

ความเบ่งบานและร่วงโรยของชีวิตคล้ายกับถูกเอ่ยถึงไปในทุกส่วนของเพลง พานให้เขาเผลอนึกถึงโชคชะตาระหว่างผู้คนบนโลกใบนี้ รวมไปถึงโชคชะตาระหว่างคนกับโลกด้วย

ในตอนนั้นเอง

เขาพลันรู้สึกว่าความรู้สึกของตนได้ถูกปลดปล่อย ลำคอตีบตันขึ้นมาเล็กน้อย เขาสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ผ้าห่มกลางดึก เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เขานึกถึงในท้ายที่สุดก็คือเพื่อนสนิทคนหนึ่งในอดีต

อีกฝ่ายก็เป็นผู้มีใจรักเสียงเพลง

เหมือนกับเขา

พวกเขาเคยทำงานพิเศษด้วยกันช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนเพื่อซื้อหูฟัง ฟังเพลงและเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงคลาสสิกเหล่านั้นด้วยกัน

แต่น่าเสียดาย

เมื่อเขาสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะที่ดีที่สุดในฉินโจวได้ เพื่อนกลับเป็นอันหลุดอันดับไปอย่างจนปัญญาเพราะคะแนนวิชาสายศิลปะวัฒนธรรมไม่สูงพอ ดนตรีไม่ได้เป็นความฝันของเขาอีกต่อไป เส้นทางของทั้งสองก็ห่างกันออกไปเรื่อยๆ

เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานจนขาดการติดต่อ

มิตรภาพไม่เหลืออยู่แล้วใช่ไหม

น้ำตาไหลรินจากดวงตาระบมของจางเฉิน ความคิดมากมายผุดขึ้นในห้วงสำนึก

เขาฟังเสียงเพลงค่อยๆ จบลงในความตื่นรู้ที่ไม่อาจพรรณนาได้

‘เส้นทางอันเปี่ยมพลังของฤดูใบไม้ผลิ

เส้นทางอันเต็มไปด้วยขวากหนาม

ไม่จีรังดั่งหมู่หงส์โบยบิน

งามตระการเหมือนมวลผกายามคิมหันต์

นี่คือโลกที่ไม่หยุดเพื่อพวกเรานานนัก…’

นี่คือโลกที่ไม่หยุดรอพวกเราจริงๆ ในเมื่อแบบนี้ทำไมไม่เลือกใช้ชีวิตให้งามตระการดั่งมวลผกายามคิมหันต์ ชีวิตของคนเราสั้นนัก ขอเธออย่าได้ทำมันสูญเปล่า

‘ดาวน์โหลด’

เพลงที่ไม่ได้ดาวน์โหลดจะทดลองฟังได้ฟรีเดือนละห้าครั้ง แต่จางเฉินไม่คิดจะทดลองฟังต่อ เขาเช็ดน้ำตาพลางดาวน์โหลดเพลงทันที

ราคามาตรฐานของเพลงในบลูสตาร์คือ

ดาวน์โหลดหนึ่งเพลงจ่ายเพียงหนึ่งหยวน

หลังจากดาวน์โหลดเพลงเรียบร้อยแล้ว มุมปากของจางเฉินก็ยกขึ้นน้อยๆ เขากดเพิ่มเพลงชีวิตดั่งมวลผกายาม

คิมหันต์ลงในเพลย์ลิสต์เก็บรักษา นี่เป็นเพลย์ลิสต์ที่หยุดอัปเดตมาสามปี วันนี้เพลย์ลิสต์นี้ก็ได้ฤกษ์ต้อนรับเพลง

ใหม่แล้ว

จากนั้นจางเฉินก็หาข้อมูลของเพลงนี้

เมื่อมองไปยังชื่อนักร้องในช่องขับร้อง จางเฉินก็พลันชะงักไปชั่วขณะ “เป็นเพลงที่รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วที่จบจากวิทยาลัยเราร้องหรอกเหรอเนี่ย”

ช่วงนี้ในวิทยาลัยมักพูดคุยกันเรื่องฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่

ชื่อของซุนเย่าหั่วถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้งพอตัว

แต่ว่าสิ่งที่จางเฉินสนใจไม่ใช่ช่องชื่อนักร้อง หากแต่เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง โดยเฉพาะทำนอง สุดท้ายเมื่อไปดูในช่องผู้แต่งเนื้อร้องกลับพบว่าเป็นชื่อเดียวกัน

‘เซี่ยนอวี๋’

เซี่ยนอวี๋เป็นใคร

คงจะเป็นชื่อในวงการ

จางเฉินแอบจดจำชื่อนี้ไว้ คิดว่าหลังจากนี้จะติดตามให้มาก สุดท้ายแล้วก็เปิดแอปพลิเคชันสนทนา กดเปิดรายชื่อที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานนับปี ก่อนจะส่งเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไปให้

ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ข้อความ

ตัวอักษรแสนจืดจาง

แต่จางเฉินคิดว่าเมื่ออีกฝ่ายได้ยินเพลงนี้ คงจะเข้าใจล่ะมั้ง ดนตรีถึงจะเป็นภาษาที่ดีที่สุดซึ่งพวกเขาใช้สนทนากัน

จากนั้น

จางเฉินก็ส่งเพลงนี้เข้าในกลุ่มแช็ตของชั้นเรียน ให้ทุกคนได้ฟังด้วยกัน ผลคือทันทีที่เปิดกลุ่มชั้นเรียนดู รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่กำลังมาถึง

บรรดานกฮูกกลางคืนในกลุ่มต่างรัวแช็ตกันเรียบร้อยแล้ว ถึงยังไงดนตรีก็เป็นวิชาถนัดของทุกคน และบทเพลงที่ทุกคนพูดถึงกันก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย 

[เสี่ยวเป้ย]: เชี่ย! รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วสุดยอดไปเลย!

[หลานหลาน]: ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์ ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู! ปังมากแก! รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วครั้งนี้ได้ดังเปรี้ยงจริงๆ แน่

[ฮวาฮวา]: พวกแกคุยกันเรื่องเพลงของซุนเย่าหั่วเหรอ ดีขนาดนั้นเลย? ฉันต้องไปฟังดูบ้างละ

[เชือดนิ่ม]: เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นี่ฉันฟังแล้วร้องไห้เลย รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วยอดเยี่ยมจริงๆ เรื่องความเป็นมืออาชีพนี่ไม่ต้องพูดถึง แต่อาจารย์คนแต่งเนื้อร้องทำนองเพลงนี้เจ๋งสุดๆ!

[น้องหมาพเนจรหมื่นลี้]: จริง! สมแล้วที่เป็นพ่อเพลง! รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วเจอตัวท็อประดับเทพแล้ว เตรียมบินได้เลย!!

[หวงเลี่ยง คณะดนตรี]: เชื่อดิว่าชาร์ตดาวรุ่งเปิดประเดิมวันพรุ่งนี้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ฟาดยับแน่!

……

[หลานหลาน]: ฟังเพลงจบแล้วเข่าแทบทรุดเลย! คนแต่งเพลงโคตรเทพ! แล้วพวกแกสังเกตหรือเปล่าว่าเนื้อร้องกับเรียบเรียงก็เป็นคนแต่งทำนองทำคนเดียว ในสตูดิโอมีคนทำเพลงระดับนี้อยู่ ให้หมามาร้องก็ยังปังปะ”

…………………………………………

กล่องสมบัติทองแดง?

หลินเยวียนมองดูในคลังเก็บของ แล้วรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “ในกล่องนี้คงไม่ได้มีระเบิดหรอกใช่ไหม”

ระบบไม่ได้ใส่ใจหลินเยวียน

เพื่อความปลอดภัย หลินเยวียนจึงอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงเปิดกล่องทองแดงใบแรกที่ตนได้รับ

[รางวัลภารกิจ: ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญ]

ชั่วขณะที่กล่องสมบัติทองแดงเปิดออก ในห้วงสำนึกของหลินเยวียนก็มีสกิลการเล่นเปียโนผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน

ทั้งอาเพจจิโอ[1]เอย เทรโมโล[2]เอย คอร์ด[3]เอย สตักกาโต[4]กับอ็อกเทฟ[5] รวมไปถึงเฮกซาคอร์ด[6] อะไรต่อมิอะไร

“แค่นี้?”

หลินเยวียนไม่ได้พอใจสักเท่าไหร่

เป็นเพราะเจ้าของร่างมีความสามารถการเล่นเปียโนในระดับสิบของบลูสตาร์เป็นทุนเดิม เรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับเด็กที่มุ่งมั่นเดินเส้นทางสายดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก

สู้รางวัลเป็นเพลง นิยาย หรืออะไรเทือกนั้นไม่ได้เลย

ระบบเองก็เหมือนว่าจะไม่ได้พอใจกับท่าทีของหลินเยวียน มันตอบหลินเยวียนด้วยเสียงสังเคราะห์ของเครื่องจักรกลอย่างไร้อารมณ์สุดๆ “กล่องสมบัติแบ่งเป็นสี่ระดับ ทองแดง เงิน ทอง และเพชร แต่ว่าต่อให้เป็นกล่องสมบัติทองแดงซึ่งอยู่ระดับล่างสุด สิ่งที่ใส่ไว้ด้านในก็ย่อมมีมูลค่าระดับหนึ่ง”

“ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญคือระดับไหนเหรอ”

หลินเยวียนต้องเข้าใจชัดเจนเสียก่อนว่ามาตรฐาน ‘เชี่ยวชาญ’ ของระบบคืออะไร             

ระบบตอบว่า “ระดับความสามารถการเล่นเปียโนที่โฮสต์มีในตอนนี้เป็นระดับที่คนธรรมดาแตะไม่ถึง ต่อให้เป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์โดดเด่น อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักนับสิบปีจึงจะถึงระดับนี้ ส่วนความสามารถในการเล่นเปียโนระดับสิบที่โฮสต์พูดถึง นั่นมันระดับที่เด็กประถมก็เล่นได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”

“เอาเถอะ”

หลินเยวียนยอมรับผลลัพธ์นี้ เมินคำพูดประโยคสุดท้ายของระบบที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นการแดกดัน “แล้วระดับที่สูงกว่าระดับเชี่ยวชาญคืออะไรล่ะ”

“หลังจากเชี่ยวชาญแล้วก็เป็นระดับสุดยอด หลังจากระดับสุดยอดคือระดับปรมาจารย์ หลังจากนั้นอีกก็คือระดับสมบูรณ์แบบ เปรียบเทียบได้เป็นกล่องสมบัติเงิน กล่องสมบัติทอง แล้วก็ยังมีกล่องสมบัติเพชรอันล้ำค่า

ซึ่งโฮสต์จำเป็นต้องใช้ความสามารถและโชคของตนกอบโกยขึ้นมาเอง โดยทั่วไปแล้วมีสองวิธีที่จะได้ของรางวัล วิธีแรกคือทำภารกิจที่ระบบมอบหมายให้สำเร็จ วิธีที่สองคือคะแนนรวมของความโด่งดังแตะถึงมาตรฐานที่กำหนด ตัวอย่างเช่นความโด่งดังของคุณรวมแล้วทะลุหมื่น”

“แล้วตอนนี้ฉันดังแค่ไหน”

ทันทีที่หลินเยวียนพูดจบ เบื้องหน้าก็ปรากฏตัวอักษรสีฟ้าขึ้นมาหลายบรรทัด

[อายุ: 19]

[อายุขัย: 22]

[จิตรกรรม: 45]

[วรรณกรรม: 105]

[ดนตรี: 2509]

[ภาพรวม: 2659]

[อื่นๆ : รอเปิดใช้]

คะแนนจิตรกรรมและวรรณกรรมสองประเภทนี้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คะแนนด้านดนตรีกลับเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

น่าจะเป็นเพราะตนได้รับสกิลการเล่นเปียโนเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งตอนที่อัดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็ได้ชื่อเสียงเพิ่มมาอีกหน่อย

เห็นทีกว่าค่าความโด่งดังจะทะลุหมื่นก็คงต้องรอให้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ปล่อยอย่างเป็นทางการก่อน

หลินเยวียนล้างมือแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ

ในตอนนั้น คนจากแผนกการเงินและแผนกกฎหมายก็เดินมาด้วยกันเพื่อให้เขาเซ็นสัญญา การเซ็นสัญญา

เพลงอย่าง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นับว่าเป็นขั้นตอนทั่วไปอยู่แล้ว

ในสัญญาระบุว่า

หลังจากที่ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ปล่อยออกไป แปดส่วนของรายได้ซึ่งเกิดจากเพลงนี้เป็นของบริษัท ที่เหลืออีกสองส่วนเป็นของหลินเยวียนและซุนเย่าหั่วแบ่งกัน

ในเงินจำนวนนี้ ซุนเย่าหั่วได้ 0.5 ส่วน

หลินเยวียนเขียนทั้งเนื้อร้องและทำนอง แถมยังเรียบเรียงเพลงคนเดียว จึงได้ 1.5 ส่วน

ซุนเย่าหั่วไม่มีความเห็น

เขาวางท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ได้มองการร้องเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เป็นโอกาสหารายได้ แต่

เขาคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ตนจะได้เดบิวต์ ฉะนั้นจึงเซ็นลงไปอย่างไม่ใส่ใจ

หลินเยวียนก็ไม่มีความเห็น

ถึงแม้ว่าเขาเองก็อยากได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ แต่เขาก็เหมือนกับซุนเย่าหั่ว อยู่ระดับเด็กใหม่ เด็กใหม่ไม่มีคุณสมบัติพอจะไปต่อรองสัญญากับบริษัทหรอก บริษัทอยากแบ่งอย่างไรก็แบ่งอย่างนั้นละ

มีแค่ตัวท็อปของวงการถึงจะทำให้บริษัทยอมอ่อนข้อเรื่องส่วนแบ่งได้

เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จ

คนจากแผนกการเงินก็เตือนหลินเยวียนว่า “เพลงจะปล่อยในวันที่หนึ่งเดือนพฤศจิกายนนะ ครั้งนี้เพลงจะไปขึ้นในทุกช่องทางใหญ่ๆ ที่ร่วมงานกับบริษัท”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์ผลงานก็มาหาหลินเยวียน มีเอกสารที่ต้องเซ็น ในเอกสารจะให้หลินเยวียนกรอกข้อมูลบางส่วน

“เริ่มจากชื่อของคุณ”

เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์ผลงานแนะนำขณะที่หลินเยวียนกรอกข้อมูล “ในช่องเนื้อเพลงกับดนตรี คุณเขียน

ชื่อของคุณไปได้เลย หรือจะใช้ชื่ออื่นอย่างนามปากกาก็ได้ แต่ว่าหลังจากเขียนไปแล้ว จะเปลี่ยนตามอำเภอใจไม่ได้”

“เซี่ยนอวี๋ ได้ไหมครับ”

“คุณจะไม่ใช้ชื่อจริงเหรอครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า เขาไม่อยากออกหน้าแสดงตัวตนต่อสาธารณะ เจียมตัวได้ก็เจียมตัวไว้เป็นดี

“ได้ครับ”

เจ้าหน้าที่หมายความว่าไม่มีปัญหา

จากนั้นหลินเยวียนก็เขียนคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ ลงไปในช่องเนื้อร้องและทำนอง

ความทรงจำในโลกเดิมแม้จะเลือนราง แต่หลินเยวียนก็พอจะจำประโยคจากบทกลอนคลาสสิกได้บ้าง ตัวอย่าง

เช่นประโยคนี้

แทนที่จะรอปลา มิสู้กลับบ้านไปถักแห[7]

แต่ทำไม ‘เซี่ยนอวี๋’ ฟังดูแล้วคล้ายกับคำว่า ‘ปลาเค็ม[8]’ อยู่นะ

จากนั้น

บนเอกสารก็ให้หลินเยวียนกรอกเรื่องราวเบื้องหลังของการประพันธ์บทเพลง

หลินเยวียนตกอยู่ในห้วงความคิด

เจ้าหน้าที่เห็นหลินเยวียนลำบากใจ จึงพูดด้วยความคุ้นเคย “ไม่ต้องเครียด คุณเขียนไปสักสองบรรทัดก็ยังได้ อาจารย์นักแต่งเพลงท่านอื่นก็เขียนไปนิดเดียว ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี”

“อื้ม”

หลินเยวียนคิด ก่อนจะเขียนลงไปหนึ่งบรรทัดว่า ‘ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์  ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู’

นี่คือที่มาของชื่อเพลง

เขียนเสร็จ เขาก็หันหลังเดินออกมา

เจ้าหน้าที่รับเอกสารของหลินเยวียนมา มองดูสิ่งที่หลินเยวียนเขียนทิ้งไว้ในเอกสาร ก็พลันตกตะลึงอยู่บ้าง

ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์ ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู

ในบลูสตาร์ที่ไม่มีรพิทรนาถ ฐากูร[9] กลอนสั้นเช่นนี้มีพลังทำลายล้างสูง เรียกว่ารุนแรงก็คงได้

ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสมจริงราวกับมีชีวิต ในข้อความอันละเอียดอ่อนนี้

เมื่อได้สติกลับมา

เจ้าหน้าที่คนนี้ผุดรอยยิ้มออกมา พึมพำว่า “ดูท่าพวกแผนกประชาสัมพันธ์คงไม่ต้องมานั่งเครียดคิดหัวข้อโปรโมตแล้วล่ะ”

……

หลังจากนั้นหลินเยวียนก็ส่งข้อความหาจ้าวเจวี๋ย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หลินเยวียนจึงเรียกรถกลับวิทยาลัยเอง

ขณะเดียวกัน

ในห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการสตาร์ไลท์

จ้าวเจวี๋ยกำลังเผชิญหน้ากับความกดดันจากบอสของบริษัท ไม่มีเวลามาดูโทรศัพท์

“ปีนี้ซาไห่จะส่งเฉียนซิงอวี่เดบิวต์ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ เรื่องนี้คุณคิดว่าจะรับมือยังไง”

เสียงของบอสนั้นนิ่งสงบ

จ้าวเจวี๋ยกลับสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ซึ่งแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

แน่นอนว่าเขาก็ย่อมมีเหตุผลให้ไม่สบอารมณ์ เพราะเฉียนซิงอวี่คนนี้ไม่ได้เป็นเด็กใหม่อะไรที่ไหน แต่เป็นนักแสดงชายอันดับสองของซีรีส์ร้อนแรงเมื่อเดือนที่แล้ว

กฎตายตัวของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่คืออะไรน่ะเหรอ

ขอเพียงเด็กใหม่ในวงการเพลงสามารถปล่อยเพลงออกมาได้ในช่วงเวลานี้

ถ้าหากนักแสดงที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งอยู่แล้วอย่างเฉียนซิงอวี่อยากปล่อยเพลงละก็ ย่อมนับว่าเป็นเด็กใหม่

ในวงการเพลงแล้ว 

ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็ถ่ายแต่ซีรีส์ ไม่เคยร้องเพลงมาก่อนเลย

ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับเด็กใหม่คนอื่น

ดังนั้นจึงมีคนในวงการเสนอแนะว่าไม่ให้นักแสดงเดบิวต์ในฐานะนักร้อง เพราะฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่นั้นควรเก็บโอกาสไว้ให้กับเหล่าเด็กใหม่จริงๆ ในวงการบันเทิง!

คำเสนอแนะนี้ไม่ได้ถูกผู้มีอำนาจนำมาใช้แต่อย่างใด

ทว่าการที่มีข้อเสนอแนะนี้ขึ้นมาก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

นักแสดงจำนวนมากเห็นแก่หน้าตนเอง ดังนั้นต่อให้พวกเขามีความคิดจะบุกวงการเพลง แต่เพื่อที่จะป้องกันการกลายเป็นประเด็นในสายอาชีพ ก็ไม่มีทางไปแย่งโอกาสของเด็กใหม่ ปล่อยเพลงในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนหรอก

แต่นักแสดงหน้าใหม่กลับไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้

ก่อนที่เฉียนซิงอวี่จะดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์เรื่องดังในปีนี้ เขาก็ไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน จึงนับว่าเป็นเด็กใหม่ในวงการบันเทิงเช่นกัน!

ดังนั้นเขาจึงเป็นเงื่อนไขที่พิเศษมาก

ต่อให้เขาลงสนามไปแย่งชิงอันดับกับเด็กใหม่ ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่จริงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากนัก ใครให้เขามาดังเปรี้ยงใกล้กับฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่กันล่ะ?

เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อได้เปรียบของเฉียนซิงอวี่ก็มีมากทีเดียว

อย่างไรเสียเขาก็มีซีรีส์เรื่องดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดันอีกสักหน่อยย่อมง่ายดาย แม้ว่าเพลงจะไม่ได้มีคุณภาพดีนัก แต่แฟนคลับก็สามารถช่วยให้เขาขึ้นไปติดอันดับโดยไม่ต้องเปลืองแรง

เมื่อคิดถึงตรงนี้

จ้าวเจวี๋ยทำได้เพียงตระเตรียมคำพูดอย่างรอบคอบ “เฉียนซิงอวี่ต้องขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแน่นอนค่ะ ถ้ามีเขานั่งเป็นอันดับหนึ่ง มาตรฐานของอันดับสองและสามก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย”

“คุณคิดได้รอบคอบดีนี่”

บอสเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่ท่าทางสง่างาม

เขาผู้ซึ่งครองตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของสตาร์ไลท์นั้นดูภายนอกค่อนข้างเป็นมิตรคบหาง่าย ทว่าพนักงานในบริษัทต่างรู้ดีว่ามองคนจะมองเพียงเปลือกนอกไม่ได้

บอสผู้ซึ่งภายนอกแลดูสง่างามท่านนี้ เมื่อมีโทสะขึ้นมาก็เป็นพญาปีศาจดีๆ นี่เอง

นิ้วของบอสเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “คำประกาศกร้าวปีนี้ของคุณออกจะเละเทะไปหน่อย…ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ต้องได้สามอันดับแรก! ถ้าทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ ต่อให้เป็นผม ก็ประนีประนอมไม่ได้…เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะลดตำแหน่งคุณสักระยะ ข้างล่างนั่นคุณอาจรู้สึกไม่เป็นธรรมสักพัก จากนั้นค่อยกลับมาทำงานหัวหน้าผู้จัดการของคุณต่อ”

“ค่ะ”

จ้าวเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึก ตั้งแต่เกิดเรื่องเสียงของหลินเยวียนขึ้น เธอก็เตรียมใจกับเรื่องที่จะตามมาไว้แล้ว

“อีกเรื่อง…”

บอสเอ่ยเตือน “ต่อให้ไม่มีใครขึ้นไปเป็นสามอันดับแรก ก็ต้องครองตำแหน่งในสิบอันดับแรกให้ได้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเพิ่มอันดับสูงสุดของเด็กใหม่ของเรา มีแค่วิธีนี้ ผมถึงจะช่วยพูดต่อหน้าพวกผู้บริหารระดับสูงให้คุณได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

จ้าวเจวี๋ยรู้ว่าบอสดีกับเธอไม่น้อย ที่ขึ้นเป็นหัวหน้าผู้จัดการได้ ก็เป็นเพราะบอสช่วยผลักดันมาตลอดหลายปีเช่นกัน

“คุณออกไปเถอะ”

บอสโบกมือ

จ้าวเจวี๋ยพยักหน้า เดินออกจากห้องทำงาน ปรับสภาพจิตใจเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาหลินเยวียน “อยู่ไหนเหรอ ฉันจะไปส่งเธอกลับวิทยาลัย”

“ผมกลับวิทยาลัยแล้วครับ”

หลินเยวียนพูด “ผมส่งข้อความหาพี่แล้วครับ แต่พี่อาจไม่เห็น”

จ้าวเจวี๋ยชะงักไป แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ เธอกลับไปก่อนเถอะ ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วย รอฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เดือนพฤศจิกายน ฉันจะดูว่าจะสามารถจัดหาทรัพยากรที่ดีมาให้เธอเพิ่มได้ไหม จะได้ขึ้นไปติดสิบอันดับแรก ยังไงฉันก็รู้สึกว่าเพลงนี้ของเธอไม่เลวเลย ฉันมีความหวังละ”

“อื้ม ขอบคุณครับ พี่จ้าว”

ต่อให้หลินเยวียนจะหัวช้าแค่ไหน ก็ยังสัมผัสได้ถึงความใส่ใจที่จ้าวเจวี๋ยมีต่อตน จากรายละเอียดก็มองออกว่าจ้าวเจวี๋ยชื่นชมเจ้าของร่างมาก

“ขอบคุณอะไรกัน วางสายละ”

จ้าวเจวี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นอยู่สักหน่อย

ที่จริงช่วยเธอก็คือช่วยตัวฉันเองด้วยแหละ พยายามขึ้นไปติดหนึ่งในสิบให้ได้ละ พวกเขาอาจจะหยุมหัวฉันน้อยลงอีกหน่อย…

……………………………………….

[1] อาเพจจิโอ คือ การกระจายโน้ตในคอร์ด เล่นออกมาทีละตัว

[2] เทรโมโล คือ จังหวะดนตรีที่มีการรัวโน้ต ซ้ำๆ โน้ตเดิมด้วยจังหวะที่เร็ว

[3] คอร์ด คือ การเล่นโน้ตพร้อมกัน

[4] สตักกาโต คือ การบรรเลงโน้ตให้สั้นลงจากปกติ เพื่อให้ตัวโน้ตแต่ละตัวแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

[5] อ็อกเทฟ คือขั้นคู่เสียงที่เทียบจากโน้ตดนตรีตัวหนึ่งไปสู่โน้ตตัวหนึ่งในระดับเสียงที่ต่างกัน ซึ่งโน้ตตัวนั้นมีความถี่เป็นครึ่งหนึ่งหรือเป็นสองเท่าจากโน้ตตัวเดิม

[6] เฮกซาคอร์ด คือ บันไดเสียงโน้ต 6 ตัวแรก (โด เร มี ฟา ซอล ลา) โดยโน้ตจะสูงขึ้นทีละ 1 ขั้น

[7] แทนที่จะรอปลา มิสู้กลับบ้านไปถักแห มาจากบทประพันธ์ปกิณกะชุด ‘หวายหนานจื่อ’ ของหลิวอัน กวีสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เปรียบเปรยว่าคนเราเมื่อคิดแล้วควรลงมือทำ เพื่อให้สิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จ จากต้นฉบับภาษาจีนของในวรรค ‘แทนที่จะรอปลา’ คือ ‘临渊羡鱼’ ออกเสียงในภาษาจีนว่า ‘หลินเยวียนเซี่ยนอวี๋’ ซึ่งพ้องเสียงกับคำชื่อตัวละคร ‘หลินเยวียน’ ทำให้หลินเยวียนเลือกใช้คำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ ซึ่งเป็นสองคำหลัง มาเป็นนามปากกา

[8] ปลาเค็ม ในภาษาจีนคือ ‘เสียนอวี๋ (咸鱼)’

[9] รพิทรนาถ ฐากูร ศิลปิน นักคิด นักปรัชญา และนักเขียนชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลซึ่งเป็นรางวัลโนเบลแรกของชาวเอเชีย

หกโมงเย็น

คลาสเรียนเพิ่งจบลง หลินเยวียนก็ได้รับข้อความที่เจี่ยนอี้ส่งมา “เย็นนี้ไปกินข้าวกันมั้ย ซย่าฝานเลี้ยงเลยนะ!”

‘ไม่ละ เย็นนี้ฉันมีธุระ นายไปกับซย่าฝานเถอะ‘

หลินเยวียนตอบข้อความในระหว่างที่เดินออกมานอกประตูวิทยาลัย และข้างถนนใกล้กับประตูวิทยาลัยก็มีรถเก๋งสีแดงคันหนึ่งกำลังจอดอยู่พอดี

“ไม่เจอกันนานเลยนะ ขึ้นรถมาเถอะ”

หน้าต่างฝั่งซ้ายของรถเก๋งสีแดงเลื่อนลงมา หญิงสาวคนหนึ่งหยิบแว่นตากันแดดออก พูดด้วยรอยยิ้มบางพลางโบกมือให้หลินเยวียน

“สวัสดีครับ”

หลินเยวียนเอ่ยทักทายเสร็จก็ขึ้นรถไป

ผู้หญิงคนนี้ก็คือผู้จัดการจ้าวเจวี๋ย เธอซึ่งปีนี้อายุสามสิบห้าเริ่มมีรอยคล้ายหางปลาจางๆ ปรากฏที่หางตา ยามแย้มยิ้มแลดูเป็นมิตรเข้าหาง่าย หากไม่ยิ้มจะดูเคร่งขรึมเย็นชา ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายทรงภูมิมากความสามารถ               

“หลินเยวียน”

จ้าวเจวี๋ยมองหลินเยวียนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง จ้าวเจวี๋ยเหยียบคันเร่ง “เพลงของเธอเหมือนว่าจะไม่มีเนื้อเพลง จะให้ฉันช่วยหาคนแต่งเนื้อเพลงให้ไหม เหลือเวลาอีกแค่สิบวันก่อนจะลงสนามในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แล้ว”

“ไม่ต้องครับ เนื้อเพลงเขียนเสร็จแล้ว”

“แล้วเรียบเรียงเพลง…เธอก็ทำเสร็จแล้ว?”

“อื้ม”

“เอาเถอะ” จ้าวเจวี๋ยยิ้มแย้ม “เธอรู้ไหมว่าอะไรคือการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนทุกปี”

“อะไรเหรอครับ”

จ้าวเจวี๋ยขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า “ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เป็นแค่คำเรียกทั่วไป ที่จริงแล้วสิ่งที่แต่ละบริษัทแย่งกันอยู่ก็คือการจัดอันดับชาร์ตดาวรุ่งของฉินโจว ขอเพียงเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของชาร์ตดาวรุ่ง ถึงจะนับได้ว่าแจ้งเกิดแล้ว”

“อ้อ”

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่

จ้าวเจวี๋ยหยุดลงหน้าไฟแดง หันมามองหลินเยวียน “เพลงของเธอดีมาก ถ้าได้อันดับในชาร์ตดาวรุ่งตอนเดือนพฤศจิกายนดีละก็ ฉันก็จะช่วยเธอเปลี่ยนสัญญาไปยังฝ่ายประพันธ์เพลงได้”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนดวงตาเป็นประกาย

เขาอยากเติบโตในสายงานประพันธ์เพลง และนี่ก็เป็นสาขาที่เขากำลังเรียนอยู่ ไม่ต้องไปออกหน้าในวงการ แล้วก็ยังได้รับสิ่งที่เรียกว่าระดับความโด่งดังจากระบบด้วย

ในตอนนี้เอง

หลินเยวียนก็ได้ยินเสียงของระบบ “ติ๊งต่อง ยินดีกับโฮสต์ในการเริ่มภารกิจใหม่”

[ชื่อภารกิจ: เพลงแรก]

[เนื้อหาภารกิจ: อัดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สำเร็จ]

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ]

ภารกิจก่อนหน้านี้ยังไม่ทันสำเร็จ นี่มีภารกิจใหม่มาอีกแล้ว?

เขามองตัวอักษรสามบรรทัดซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้า หลินเยวียนตื่นเต้นกับการอัดเพลงหลังจากนี้อยู่บ้าง เขาหวังว่าคืนนี้จะอัดเพลงสำเร็จ

……

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเยวียนก็มาถึงสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

ที่นี่เป็นตึกสูงถึงห้าสิบชั้น ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนแต่สวมชุดทำงาน ที่หน้าอกต่างห้อยป้ายของแต่ละแผนกในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นสไตล์ของบริษัทใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย

“สวัสดีพี่จ้าว”

จ้าวเจวี๋ยนับว่าเป็นคนสำคัญของบริษัท คนไม่น้อยที่ผ่านไปผ่านมาต่างออกตัวเอ่ยทักทาย

จ้าวเจวี๋ยตอบเพียงเล็กน้อยตามมารยาท แล้วพาหลินเยวียนตรงไปยังสตูดิโอชั้นเก้า

“พี่จ้าว!”

เมื่อเห็นจ้าวเจวี๋ย ผู้จัดการร่างท้วมคนหนึ่งซึ่งรออยู่แต่แรกแล้วก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ “เซ็ตอุปกรณ์ไว้แล้วครับ”

“คนของเธอล่ะ”

จ้าวเจวี๋ยกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพียงเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงาน

“เรื่องนั้น…”

ผู้จัดการร่างท้วมปาดเหงื่อบนหน้าผาก “รถติดนิดหน่อย เด็กใหม่เลยยังไม่มีใครมาถึง ฉันเร่งเจ้างั่งนั่นไปตั้งหลายรอบแล้วเนี่ย เดี๋ยวเขามาถึงฉันจะด่าให้ยับเลย!”

“รถติดแล้วออกก่อนเวลาไม่ได้เหรอ?”

จ้าวเจวี๋ยแววตาเย็นเยียบ “ถ้าเธอพาเด็กใหม่มาไม่ได้ก็ให้คนอื่นพามาแทน! เริ่มจับเวลาตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าภายในสิบห้านาทียังมาไม่ถึงก็เปลี่ยนคนมาร้องเพลงซะ ให้โอกาสแล้วยังไม่ได้เรื่อง!”

“ได้ๆๆ…”

ผู้จัดการร่างท้วมยิ้มวางหน้าไม่สนิท ใบหน้าขาวซีด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดโทรเร่งด้วยมือสั่นเล็กน้อย ในใจก่นด่าเด็กใหม่ซึ่งมาสายคนนี้อย่างเจ็บแสบไปร้อยรอบแล้ว

ขณะนั้นเอง

หน้าประตูลิฟต์ก็มีหญิงสาวแต่งตัวเหมือนผู้ช่วยคนหนึ่ง วิ่งตรงมาทางจ้าวเจวี๋ย “พี่จ้าว ทางกรรมการผู้จัดการเรียกให้พี่ไปน่ะ…”

“เข้าใจแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยกดขมับ รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง กรรมการผู้จัดการเรียกตนเอง ต้องเป็นเพราะเรื่องชาร์ตดาวรุ่งอีกแน่

ต้องโทษที่ตนเองย่ามใจเกินไป

ก่อนหน้านี้ถึงกับกล้าออกปากประกาศกร้าวต่อหน้าเหล่าบุคลากรระดับสูงของบริษัท

เมื่อมองไปยังใบหน้าไร้เดียงสาของตัวก่อเรื่องทั้งหมดอย่างหลินเยวียน จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกว่าไฟที่สุมอกอยู่นั้นมลายหายไป

เธอทำได้แค่ข่มกลั้นความสลดหดหู่ นัยน์ตาฉายแววตักเตือน พูดกับเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งอยู่ด้านข้างและผู้จัดการร่างท้วม “หลินเยวียนเขียนเพลงนี้ ตอนอัดเสียงให้ยึดความเห็นของหลินเยวียนเป็นหลัก เข้าใจไหม”

“ได้ครับ/ค่ะ”

ผู้จัดการร่างท้วมและเจ้าหน้าที่สตูดิโอกลุ่มนี้ได้ยินดังนั้น ก็รีบพยักหน้าให้หลังจ้าวเจวี๋ย เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าขัดคำสั่งของจ้าวเจวี๋ย

หลินเยวียนก็พยักหน้ารับคำเช่นกัน

……

จ้าวเจวี๋ยมีธุระจึงออกไปแล้ว

ผู้จัดการร่างท้วมก็ลงไปคุยโทรศัพท์ชั้นล่าง

หลินเยวียนกับเจ้าหน้าที่สตูดิโอรออยู่ประมาณสิบนาที ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดลั่นดังมาแต่ไกล “มาช้าแค่นิดเดียว เธอก็พลาดโอกาสเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ได้เลยนะ ไม่รู้หรือไง! เธอรอเดบิวต์ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่มาตั้งกี่ปีแล้ว ทำเอาฉันถูกพี่จ้าวหยุมหัวเอาด้วย ใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้พี่จ้าวอารมณ์ไม่ดี เธอก็ดันทำอีก…”

 “ผมผิดไปแล้ว พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”

 วัยรุ่นรูปร่างไม่สูงคนหนึ่งขอโทษขอโพยอย่างเกรงใจและรู้มารยาทต่อหน้าผู้จัดการร่างท้วมซึ่งลงไปชั้นล่างเมื่อครู่ “ผมไม่คิดว่าปีนี้จะมีโอกาสได้เดบิวต์จริงๆ นี่ครับ! พี่วางใจเถอะ! วันนี้ผมรับรองว่าจะคว้าโอกาสนี้ ไม่ทำให้พี่เสียหน้า! ขอบคุณพี่ที่ช่วยผม ทำให้ผมได้เป็นคนสุดท้ายในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ครับ!”

“ไม่ต้องพูดมากแล้ว เตรียมตัวอัดเพลง”

ผู้จัดการร่างท้วมหันหลังไป เหมือนจะความดันขึ้นสูงจนต้องกดขมับตนเองอย่างแรง

เด็กหนุ่มพรูลมหายใจ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก สีหน้ากระวนกระวายระคนตื่นเต้น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็เห็นผู้ชายตรงหน้ากำลังจ้องมองตนเองอยู่

“หลินเยวียน?”

เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นหลายก้าว มองหลินเยวียนอย่างละเอียดชั่วขณะหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้จำคนผิด ก็พลันดีใจขึ้นมา “นายจริงๆ ด้วย นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อ้อ ฉันรู้แล้ว นายมาทำงานพิเศษสินะ?”

หลินเยวียน “…”

เขากำลังเค้นสมองขบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกว่าคนคนนี้ออกจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าหลินเยวียนกำลังคิดอะไรอยู่

เขาเชิดหน้า ยืดออกขึ้น ตบบ่าของหลินเยวียนเบาๆ “ไอ้น้องเอ๊ย นายนี่มันสมแล้วที่เป็นเป็นรุ่นน้องที่มีพรสรรค์ที่สุดในสาขาการขับร้องของพวกเรา แค่ปีสองก็ถึงกับมารับงานพิเศษที่สตาร์ไลท์แล้ว…อ้อ นี่นายทำงานอยู่ในสตูดิโอเหรอ อย่างงั้นก็เรียกได้ว่าพี่กับนายก็เป็นกึ่งเพื่อนร่วมงานกันแล้วสิ!”

เขาหยิบแก้วเก็บความร้อนซึ่งใช้แขนหนีบไว้ออกมา ก่อนจะส่งให้หลินเยวียน

เด็กหนุ่มโบกมือ พลางบอก “ไปเติมน้ำมาให้รุ่นพี่สักแก้วก่อน เมื่อกี้รีบวิ่งมาตลอดทาง เหนื่อยแทบแย่แน่ะ แต่ว่าเหนื่อยก็ไม่เท่าไหร่หรอก ยังไงซะพออัดเพลงนี้เสร็จ พี่ก็จะได้เดบิวต์แล้ว!”

หลินเยวียน “…”

ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร

คนคนนี้ชื่อว่าซุนเย่าหั่ว นักศึกษาสาขาการขับร้องของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ปัจจุบันเรียนจบแล้ว

สาขาการขับร้องจัดกิจกรรม มีการแสดงของบัณฑิตที่กลับมายังวิทยาลัย อีกฝ่ายรู้จักกับเจ้าของร่างเพราะงานนี้ ฉะนั้นเขาจึงนับเป็นรุ่นพี่ของหลินเยวียนไม่ผิดแน่

และเป็นเพราะซุนเย่าหั่วความสามารถไม่เลว ทำให้เพิ่งเรียนจบก็ได้เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว รุ่นน้องชายหญิงในสาขาการขับร้องต่างก็ยกย่องชื่นชมซุนเย่าหั่ว รุ่นพี่ที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ ในอนาคตมีโอกาสกลายเป็นนักร้องคนนี้

ถึงแม้หลินเยวียนเองก็เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาหลินเยวียนไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ ถึงอย่างไรสภาพร่างกายของเขาก็แตกต่างกับคนอื่น จึงมีแค่ซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ที่รู้เรื่องนี้แค่สองคน ส่วนคนอื่นไม่รู้เลย

“ยืนอึ้งอยู่ทำไมล่ะ”

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “ช่วยไปเติมน้ำให้ฉันหน่อยสิ รุ่นพี่นายต้องอัดเพลงนะ เดี๋ยวนายก็ต้องยืนดูอยู่ข้างๆ เรียนรู้ประสบการณ์ มีประโยชน์กับนายมากทีเดียว”

“ครับ”

หลินเยวียนไปเติมน้ำ

เจ้าหน้าที่ในสตูดิโอต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด

ผู้จัดการรูปร่างท้วมของซุนเย่าหั่วหันมาพอดี ก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ซุนเย่าหั่วกำลังวางก้ามใส่หลินเยวียน ก็รู้สึกได้ทันทีว่าความดันของตนที่เพิ่งจะลดลงนั้นพุ่งพรวดขึ้นมาอีกแล้ว

“ซุนเย่าหั่ว เธอคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่น่ะ!”

เขาปราดเข้าไปฟาดเข้าที่หลังศีรษะของซุนเย่าหั่วเต็มแรง “เพลงที่เธอจะร้องน่ะ เขาเป็นคนเขียน เธอต้องเรียกเขาว่าอาจารย์หลินด้วยซ้ำ!”

พูดจบ ผู้จัดการร่างท้วมก็หันหลัง พูดกับหลินเยวียนซึ่งกำลังกรอกน้ำอยู่ด้านข้างว่า “ขอโทษนะอาจารย์หลิน ซุนเย่าหั่วสติสตังไม่ค่อยจะมี…”

“ก่อนอัดเพลงก็ต้องดื่มน้ำ”

หลินเยวียนตอบอย่างจริงจัง ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ยื่นแก้วเก็บความร้อนซึ่งใส่น้ำจนเต็มแล้วให้ซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหัวรับน้ำในมือมาด้วยความงงงัน

ผู้จัดการร่างท้วมยังคงเดือดดาล หันไปดุเขาอีก “เคารพอาจารย์หลินหน่อย อย่าทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”

“…”

ซุนเย่าหั่วอ้าปากพะงาบ เขาอยากพูด แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร รู้สึกแค่ว่าสมองมึนงงไปหมด

เขาเด็กกว่าฉันตั้งกี่ปี!

ฉะ…ฉันไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ตรงไหนเนี่ย

เจ้าหน้าที่ด้านข้างกลั้นยิ้ม ก่อนจะบอกว่า “เด็กใหม่ นายจำทำนองได้หรือยัง ถ้าจำได้แล้ว เรามาร้องตามเนื้อเพลงสักรอบ ดูก่อนว่าอารมณ์เป็นยังไง”

“จำได้แล้วครับอาจารย์”

ซุนเย่าหั่วรีบตอบ

เจ้าหน้าที่ต่างมองไปยังหลินเยวียน

หลินเยวียนบอก “งั้นเริ่มเลยครับ” 

เมื่อเข้าไปในห้องอัดเสียง ซุนเย่าหั่วก็เริ่มร้องตามเนื้อเพลง

ความสามารถของเขาไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้เซ็นสัญญาเข้ามาในสตาร์ไลท์ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบหรอก

ทว่าหลินเยวียนมีประสบการณ์ด้านการขับร้องของเจ้าของร่าง ฉะนั้นมาตรฐานของเขาจึงไม่มีทางต่ำเตี้ยเกินไป ถ้าอยากแบ่งเงินกับเขา ต่อให้เป็นผู้ช่วยงานก็ต้องแสดงความสามารถออกมาสักหน่อย ไม่ทันไรเขาก็ระบุจุดบกพร่องได้แล้ว

“ตอนหยุดเสียงฮัมท่อนแรกยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติครับ”

นั่นหมายความว่าให้เริ่มใหม่ ซุนเย่าหั่วก็พยักหน้ารับ

ดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง ไม่นานก็ถูกหลินเยวียนตัดบท “งับคำแรงเกินไป งับคำเบาอีกนิดนึง แต่เพิ่มอารมณ์ได้มากกว่านี้อีก”

“ครับ…”

ซุนเย่าหั่วรู้สึกกระดากใจที่ถูกรุ่นน้องสั่งสารพัด รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจกลั่นแกล้งตนเอง ถ้าหน้าบางสักหน่อยคงจุกอกตายไปแล้ว

เรื่องนี้คล้ายจะมีผลกับสภาพจิตใจของเขาอยู่บ้าง

ดังนั้นแม้ว่าหลังจากนั้นจะอัดเสียงอีกกี่รอบ ผลลัพธ์ในแต่ละรอบก็ยังทำให้หลินเยวียนพอใจไม่ได้ จนสุดท้ายแล้วหลินเยวียนทำได้เพียงบอกให้หยุด

“พักสิบนาทีแล้วค่อยมาอัดเสียงใหม่ก็แล้วกันครับ”

ด้วยคุณสมบัติของผู้ช่วยงานซุนเย่าหั่วแล้ว เขาย่อมร้องเพลงนี้ได้สบายไม่มีปัญหา ที่เขาร้องได้ไม่ดีมาตลอด เป็นไปได้มากว่าจะกดดันอยู่ในใจ

ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ปรับสภาพจิตใจสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว

ซุนเย่าหั่วถอนหายใจ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องอัดเสียง ดื่มน้ำรวดเดียวดังอึกๆๆ จนหมด

ทันทีที่วางแก้วน้ำลง เขาก็เห็นหลินเยวียนรับแก้วน้ำมาอย่างเป็นปกติมาก จากนั้นก็เดินไปยังเครื่องกดน้ำ ก่อนกรอกน้ำใส่จนเต็มอีกครั้ง

กำลังเยาะเย้ยเขาอยู่?

ซุนเย่าหั่วน้ำเสียงหดหู่ลง “เอ่อ…รุ่น…อาจารย์หลิน…”

“เรียกผมว่ารุ่นน้องเถอะ”

หลินเยวียนเอ่ยพลางวางแก้วน้ำลง

ซุนเย่าหั่วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ยังไงเขาก็ชักสีหน้าไม่ได้ โอกาสเดบิวต์นี้เขารอมานานเหลือเกิน

เขาทำได้เพียงออกแรงหมุนปิดฝาแก้วน้ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เอ่อ…รุ่นน้องหลิน…ที่แท้นายก็แต่งเพลงได้…”

หลินเยวียนอธิบายไปว่า “ก่อนหน้านี้ผมป่วย ทำให้คอมีปัญหา ตอนขึ้นปีสองก็เลยย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ”

ซุนเย่าหั่วนิ่งงันไป

ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ น้ำเสียงเห็นใจปนเสียดาย “น่าเสียดาย น่าเสียดาย น่าเสียดาย…”

เขาพูดว่า ‘น่าเสียดาย’ สามครั้งติดต่อกัน

เขาไม่อาจจินตนาการถึงตนเองที่ร้องเพลงไม่ได้

จากนั้นซุนเย่าหั่วก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ออกจะเลินเล่อไปหน่อย

ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ได้เป็นแค่รุ่นน้องแล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงที่กุมความเป็นความตายของเขาอยู่ และนี่คือเหตุผลที่เมื่อครู่หลินเยวียนสั่งโน่นสั่งนี่เขาได้!

หรือจะพูดได้ว่า

ถ้าหากหลินเยวียนยืนกรานที่จะเตะตนออกไป แล้วเปลี่ยนคนมาร้อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แทน เขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธ เพราะทุกอย่างก็เห็นได้ชัดจากท่าทีของผู้จัดการตนที่มีต่อหลินเยวียนแล้ว

โอกาสเดบิวต์ที่เขารอมาหลายปีนั้นอยู่ในกำมือของรุ่นน้องหลิน

เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ มือซึ่งเขายื่นออกมาจะตบไหล่หลินเยวียนก็ชะงักค้างกลางอากาศด้วยความประดักประเดิด

“ไม่เป็นไร”

หลินเยวียนไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางของซุนเย่าหั่ว แน่นอนว่าถึงจะสังเกตเห็นก็คงไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่พูดประโยคหนึ่งออกไปแทนเจ้าของร่าง “ขอบคุณครับ”

ซุนเย่าหั่วชะงักงัน 

เมื่อมองไปยังดวงตาใสกระจ่างของหลินเยวียน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ารุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาเฉกเช่นที่เขาคิด อีกฝ่ายมองตนเองเป็นเพียงผู้ร่วมงานจริงๆ ก็เท่านั้น

เป็นเขาเองที่โลกแคบเกินไป

เขาผู้ซึ่งเข้าบริษัทมานานตั้งแต่เรียนจบ ถึงแม้จะยังไม่ได้เดบิวต์ แต่ในจิตสำนึกกลับแบ่งคนหลายชั้นต่างกันจึงค่อยคบหา

แรกเริ่มเดิมทีเขามองว่าตนเองเป็นรุ่นพี่ที่กำลังจะได้เดบิวต์ คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็อวดเบ่งได้ ดังนั้นต่อให้เจตนาเดิมคืออยากดูแลอีกฝ่าย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นแสดงท่าทีภูมิอกภูมิใจแถมยังเจ้ากี้เจ้าการอีก

ภายหลังมองหลินเยวียนเป็นนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงผู้ยิ่งใหญ่ ตนก็ร่วงลงไปอยู่อีกระดับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มักกังวลว่าอีกฝ่ายจะแกล้งตนเอง จึงวางท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว

อันที่จริงทุกอย่างเป็นเพราะเขาคิดมากไปเอง

“รุ่นน้องหลิน!”

เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง มือซึ่งค้างเท้งเต้งอยู่กลางอากาศก็ลดลงมาวางบนบ่าของหลินเยวียนอีกครั้ง การเคลื่อนไหวไม่แข็งทื่ออีกต่อไป “พวกเราเริ่มอัดเพลงกันเถอะ ครั้งนี้ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนลุกขึ้นยืนด้วยความคาดหวัง

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ รุ่นพี่ผู้ช่วยงานคนนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา แต่การอัดเสียงในรอบที่สองก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น หลินเยวียนรู้สึกพอใจมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าการถูกผู้ช่วยงานหารเงินไปก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว

ถึงอย่างไรคนเขาก็พยายามอย่างหนัก

และทันทีที่การอัดเสียงสำเร็จลุล่วง หลินเยวียนก็ได้รับการแจ้งเตือนดังติ๊งต่องจากระบบ

[ภารกิจสำเร็จ: เพลงแรก]

[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งกล่อง]

……………………………………

“เมื่อพบทำนองเพลงหลักที่ค่อนข้างยาว ทุกคนสามารถตัดแบ่งเป็นท่อนสั้นๆ ได้ และนั่นก็คือวลีดนตรีที่เรามักจะเรียกกัน ทุกท่วงทำนองของวลีดนตรีล้วนมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นท่อนนี้…”

ช่วงสายวันต่อมา

คลาสเรียนของสาขาการประพันธ์เพลง

หลินเยวียนฟังอาจารย์สอน พลางจดบันทึกบทเรียนลงสมุด

ถึงแม้เจ้าของร่างจะย้ายจากสาขาการขับร้องมายังสาขาการประพันธ์เพลง อีกทั้งพรสวรรค์ด้านการประพันธ์เพลงนั้นไม่นับว่าโดดเด่น ทว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดนตรีล้วนแต่อยู่ในขอบเขตความสนใจของเจ้าของร่างทั้งสิ้น

และในตอนนี้หลินเยวียนก็สนอกสนใจดนตรีเช่นเดียวกับเจ้าของร่าง

หลังจากนี้เขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนที่ปล่อยเพลงออกมากองหนึ่ง แต่กลับจำโน้ตบรรทัดห้าเส้นได้ไม่คล่อง

เพียงแต่หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าการตั้งใจเรียนในคลาสของสาขานั้นยังจะนำมาซึ่งประโยชน์อีกมากทีเดียว

ข้างหูของเขาพลันได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น “ติ๊งต่อง ตรวจสอบพบว่าเจ้าของร่างกำลังศึกษาความรู้เรื่องการประพันธ์เพลง มอบหมายภารกิจมือใหม่”

หลังจากนั้น

เบื้องหน้าของหลินเยวียนก็ปรากฏตัวอักษรสีน้ำเงินเรืองแสงบางเบา

[ชื่อภารกิจ: หน้าที่ของนักเรียนคือการเรียน]

[เนื้อหาภารกิจ: ติดยี่สิบห้าอันดับแรกของเซคในการสอบทฤษฎีดนตรีครั้งถัดไปในวิชาของสาขา]

[รางวัลภารกิจ: ได้รับกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งกล่อง]

ภารกิจผู้เล่นมือใหม่นี้มาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่หลินเยวียนกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไร

ระบบที่ไม่มอบหมายภารกิจยังจะเป็นระบบได้เหรอ

ต่อจากนั้นเขาจึงพิจารณาถึงระดับความยากของภารกิจ

สาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยดนตรีฉินโจวมีทั้งหมดสิบเซค ทุกเซคมีประมาณห้าสิบคน และเซคที่หลินเยวียนเรียนนั้นมีห้าสิบคนพอดิบพอดี

แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลินเยวียน

นั่นเพราะเขาไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับนักศึกษาในเซคอื่นๆ

ภารกิจผู้เล่นใหม่เพียงต้องการให้หลินเยวียนอยู่ในยี่สิบห้าอันดับแรกของเซคในการสอบครั้งต่อไป

เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักสำหรับหลินเยวียน

เพราะว่าปกติแล้วหลินเยวียนจะอยู่ในสามสิบอันดับแรกของเซค ขอเพียงพยายามขึ้นอีกสักหน่อย ก็น่าจะเข้าไปอยู่ในยี่สิบห้าอันดับแรกได้

“ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วจะเป็นยังไง”

หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จะถูกระบบช็อตไฟฟ้าเหรอ หรือว่าจะถูกระบบลบทิ้ง เดี๋ยวนะ!”

หลินเยวียนหน้าถอดสีเล็กน้อย “คงไม่ได้หักเงินหรอกใช่ไหม ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ”

[กฎข้อแรกของระบบ: ห้ามทำร้ายโฮสต์]

[อีกหนึ่งคำเตือนด้วยความหวังดี: ทั้งช็อตไฟฟ้าและลบทิ้ง แต่ละอย่างล้วนน่ากลัวกว่าการหักเงินเสียอีก โฮสต์ได้โปรดเรียงลำดับความสำคัญ]

“ไม่หักเงินก็พอแล้ว”

หลินเยวียนผ่อนลมหายใจ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าต่อให้ระบบอยากหักเงินเขา เขาก็ไม่มีเงินให้ระบบหักอยู่ดี…

สิ่งที่เขาตระหนักได้ในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง

……

หลังเลิกเรียน

หลินเยวียนไม่ได้กลับหอ แต่กลับไปหามุมสงบ หาหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งบนมือถือ ก่อนจะต่อสายไป หมายเลขโทรศัพท์นั้นขึ้นรายชื่อว่า

‘ผู้จัดการจ้าวเจวี๋ย’

โทรศัพท์ดังสองครั้งจึงโทรติด

ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูออกจะอิดโรยอยู่สักหน่อย “หลินเยวียน? เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

หลินเยวียนตอบ “ผมมีเพลงอยากปล่อยครับ”

เสียงจากปลายสายพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “อยากปล่อยเพลง? คอของเธอหายดีแล้ว? ร้องเพลงได้แล้วเหรอ”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนบอกว่า “ตอนนี้ผมย้ายจากสาขาขับร้องมาสาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ ช่วงนี้มีเพลงในมือเลยอยากลองดูว่าทางบริษัทจะช่วยผมหานักร้องมาทำเพลงได้ไหม”

“อย่างนั้นเหรอ”

จ้าวเจวี๋ยรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำอีกครั้ง “เธอก็จะเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงในเดือนพฤศจิกายนสินะ”

“ใช่ครับ”

“ฉันต้องเตือนเธอไว้ก่อน เธอเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ของพวกเรา ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแต่งเพลง ในบริษัทมีแผนกประพันธ์เพลงที่คอยประสานงานกับนักร้องโดยเฉพาะ นักร้องส่วนมากเองก็ร่วมงานกับคนแต่งเนื้อกับทำนองเพลงที่ตัวเองมีอยู่แล้ว…” จ้าวเจวี๋ยปฏิเสธทางอ้อม

หลินเยวียนกลับไม่ยอมแพ้ “งั้นผมย้ายไปฝ่ายประพันธ์เพลงตอนนี้เลยได้ไหมครับ”

เขาต้องการช่องทางปล่อยเพลงของบริษัทใจจะขาดแล้ว

ถ้าหากไม่มีทรัพยากรจากบริษัทคอยผลักดัน ต่อให้เป็นบทเพลงขั้นเทพขนาดไหนก็ง่ายที่จะจมลงก้นทะเล เบื้องหลังของเด็กใหม่ที่โด่งดังจากฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในปีก่อนๆ ก็ล้วนมีบริษัทบันเทิงคอยหนุนหลังกันทั้งนั้น

“ไม่ได้!”

จ้าวเจวี๋ยปฏิเสธทันควัน

บรรยากาศเงียบงันไปนับสิบวินาที จู่ๆ จ้าวเจวี๋ยก็พรูลมหายใจออกมา พูดอย่างจนปัญญาอยู่สักหน่อย “เอาเถอะ เธอใช้ช่องทางเข้ารหัสภายในของบริษัทส่งเพลงมาให้ฉันแล้วกัน ถ้าผลงานใช้ได้ละก็ ฉันจะหาคนปล่อยเพลงให้ แต่แน่นอนว่าถ้าคุณภาพไม่ดี พวกเราก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง

ก่อนหน้านี้ที่จ้าวเจวี๋ยเซ็นสัญญาหลินเยวียน เธอตั้งความหวังกับหลินเยวียนไว้สูง น่าเสียดายที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับคอของหลินเยวียน จนตัวเขาสูญสิ้นมูลค่าไป

ในสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวเจวี๋ยก็ยังยินดีช่วยเหลือหลินเยวียน นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว

“ตามนี้ก็แล้วกัน ฉันวางสายละ”

จ้าวเจวี๋ยตัดสายอย่างหงุดหงิด

……

จ้าวเจวี๋ยไม่ได้หงุดหงิดใส่หลินเยวียน แต่ความหงุดหงิดกลับมีสาเหตุมาจากหลินเยวียน

และเป็นเพราะเดือนหน้าจะมีฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง เรื่องที่จ้าวเจวี๋ยต้องจัดการนั้นมีมากมายเหลือเกิน

ในความดูแลยังมีเด็กใหม่ซึ่งเพิ่งเซ็นสัญญาอีกหลายคนที่หมายจะลองลุยในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง

เดิมทีหลินเยวียนก็ควรเป็นหนึ่งในเด็กใหม่กลุ่มนี้

ก่อนหน้านี้จ้าวเจวี๋ยถึงขั้นเชิญนักแต่งเพลงเบอร์ใหญ่ของบริษัทมาช่วยแต่งเพลงให้เข้ากับหลินเยวียนอยู่หลายเพลง เพื่อให้หลินเยวียนเป็นที่ตกตะลึงในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ เพราะพรสวรรค์ด้านการขับร้องของเขานั้นน่าทึ่งจริงๆ

ผลคือสวรรค์ไม่บันดาลให้เป็นดังใจหวัง

“เส้นทางนักร้องยังเดินไม่ไหว เลยอยากเปลี่ยนไปเดินสายนักแต่งเพลงงั้นเหรอ?”

จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้ายิ้มขื่น ถ้าหากการเขียนเพลงมันง่ายดายขนาดนั้น ทำไมนักร้องระดับราชาราชินีเพลงถึงไม่เขียนเพลงเอง แต่ต้องเชิญนักเขียนเนื้อร้องและทำนองเบอร์ใหญ่มาเขียนให้ด้วยล่ะ

เพราะว่าพวกเขาไม่อยากเขียนหรือไง

หรือเป็นเพราะพวกเขาเขียนเพลงดีๆ ที่ผู้คนชอบฟังกันไม่ออก

อย่างในยุคนี้ สถานะของอาจารย์ซึ่งเขียนเพลงเพลงหนึ่งนั้นสูงกว่านักร้องมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมของสายงานที่เน้นการปฏิบัติจริงเช่นนี้ในปัจจุบัน

นักแต่งเพลงก็คือป๋าใหญ่ดีๆ นี่เอง!

เป็นเพราะถ้าบริษัทหนึ่งมีนักแต่งเพลงที่เจ๋งเป้งสักคน ก็สามารถเลี้ยงดูนักร้องได้กองโต

ความจริงแล้ว หลายปีมานี้ ผู้ฟังก็เริ่มสนใจชื่อนักแต่งเพลงมากขึ้นด้วย

เห็นได้ชัดว่าผู้คนต่างเริ่มตระหนักแล้วว่าการแต่งทำนองเพลงนี่สิจึงจะนับว่าเป็นจิตวิญญาณของบทเพลง

การร้องก็ยังเป็นรอง!

ส่วนอื่นๆ อย่างการเขียนเนื้อเพลงหรือเรียบเรียงเพลง แม้ว่าจะสำคัญมาก แต่แก่นกลางข้างในสุดย่อมเป็นการทำทำนองเพลงซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการแสดงสด

ทำนองเพลงที่ดี ใช้เสียงเครื่องดนตรีส่งเดชก็ยังเพราะ!

ไม่ว่าจะใช้กีตาร์ เปียโน หรือว่าเบสโอโบก็ตามแต่ ถ้าเจอคนที่ชอบเล่นดนตรีจริงๆ ต่อให้เป็นเสียงซาวน่าก็สามารถหยิบยืมมาใส่ลูกเล่นได้

‘เด็กคนนี้เป็นคนน่าสงสาร’

เมื่อหวนนึกถึงความหลังบางเรื่อง จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกสะท้อนใจ

ตอนที่หลินเยวียนเข้าโรงพยาบาล จ้าวเจวี๋ยในฐานะผู้จัดการที่หลินเยวียนเซ็นสัญญา อันที่จริงก็ได้ไปเยี่ยมเขา

แต่สุดท้ายแล้วเธอก็หยุดลงที่หน้าประตูห้องผู้ป่วย

เป็นเพราะเธอยืนอยู่หน้าประตู จึงได้ยินเสียงสะอื้นไห้แหบพร่าดังมาไม่หยุด เสียงแบบนี้ เหมือนกับลูกสุนัขบาดเจ็บ…

มนุษย์ล้วนมีความเห็นอกเห็นใจ

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเจวี๋ยช่วยหลินเยวียน

ยังไม่ต้องถามว่าจะทำสำเร็จไหม อย่างน้อยก็ต้องให้โอกาสเด็กคนนี้สักครั้ง ให้เด็กคนนี้ได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ มีหลายเรื่องที่ใช่ว่านึกอยากทำแล้วจะสำเร็จ

“แต่ว่า เธอทำฉันเจ็บหนักมาแล้ว”

จ้าวเจวี๋ยถอนหายใจ บนใบหน้าฉายแววกลัดกลุ้ม นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เธอหงุดหงิด

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างดันเด็กใหม่กันสุดฤทธิ์

ในช่วงเวลานี้ บริษัทใหญ่แต่ละแห่งเรียกได้ว่ายกดาบเงื้อกระบี่มาฟาดฟันกันอย่างดุเดือด

ต่อให้เปรียบกับทั้งแปดแคว้น สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็ยังเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตา

และในฉินโจว ศักยภาพโดยรวมของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็จัดได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรก!

ทว่าผลงานของเด็กใหม่จากสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์นั้นออกจะซึมเซามาสามปีติดต่อกัน

ในสามปีที่ผ่านมา ผลงานครั้งที่ดีที่สุดของบริษัทก็คือเด็กใหม่สองคนที่บริษัทส่งไปเมื่อปีก่อนและเบียดเข้าไปอยู่

ในสิบอันดับแรก มิหนำซ้ำยังรั้งท้ายตารางเป็นอันดับที่เก้าและสิบ…

เมื่อเทียบกับบริษัทในระดับเดียวกันแล้ว ก็ออกจะดูอเนจอนาถอยู่สักหน่อย

และสิ่งที่ทำให้สตาร์ไลท์โมโหที่สุดก็คือซาไห่คัลเจอร์ ศัตรูคู่อาฆาตของบริษัท เมื่อปีที่แล้วเด็กใหม่ของพวกเขาครองไปถึงสี่ตำแหน่งในรายชื่อสิบอันดับแรกของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่

ในสี่ตำแหน่ง ยังรวมไปถึงอันดับสองและอันดับสามซึ่งคุณสมบัติโดดเด่นอีกด้วย

เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงของสตาร์ไลท์อับอายขายหน้า ถึงอย่างไรบริษัทบันเทิงเหล่านี้ในฉินโจวก็ไม่ค่อยกินเส้นกันอยู่แล้ว ฉะนั้นบุคลากรระดับสูงทั้งหลายก็พลอยหันมากดดันหัวหน้าผู้จัดการอย่างจ้าวเจวี๋ย

จ้าวเจวี๋ยถูกกดดันจนอับจนหนทาง จึงประกาศกร้าวต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดว่า

‘เด็กใหม่ปีนี้จะต้องมีสักคนที่ติดสามอันดับแรก!’

หากทำไม่ได้ เธอจะจัดการลดตำแหน่งตัวเอง

ทว่าเหตุผลที่จ้าวเจวี๋ยกล้าประกาศกร้าว ไม่ใช่เพียงเพราะผู้บริหารบีบคั้นจนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เป็นเพราะจ้าวเจวี๋ยเพิ่งจะเซ็นสัญญากับเด็กหนุ่มชื่อว่าหลินเยวียนผู้มีพลังเสียงชวนตะลึง จึงเตรียมพร้อมรับงานใหญ่ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เธอคิดว่าหลินเยวียนสามารถช่วยให้เธอทำภารกิจสำเร็จได้

แต่ตอนนี้คอของหลินเยวียนพังไปแล้ว ทว่าคำประกาศกร้าวกลับอยู่ยงคงกระพัน

ผู้บริหารระดับสูงต้องการแค่ผลลัพธ์ ไม่ได้มาสนใจว่าระหว่างขั้นตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

ดังนั้นช่วงนี้จ้าวเจวี๋ยจึงเสาะหาคนที่จะมาแทนที่หลินเยวียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อช่วยให้ตนทำตามคำพูดได้สำเร็จ และเพราะแบบนี้ตนจึงได้เสนอเด็กใหม่ไปติดๆ กันเก้าคนแล้ว

ทว่าจ้าวเจวี๋ยก็รู้แก่ใจดี

เด็กใหม่เก้าคนนี้ที่เธอรายงานขึ้นไปนั้น ถ้าหากเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกยังพอมีหวัง แต่ขึ้นไปอยู่สิบอันดับแรกคงต้องพึ่งโชค

คิดจะขึ้นไปติดห้าอันดับหรือสามอันดันแรกน่ะเหรอ?

ไปอาบน้ำนอนเอาดีกว่า ในความฝันก็มีให้หมดทุกอย่างนั่นแหละ

ทรัพยากรของบริษัทสามารถจัดสรรไปให้สิบคนนี้ได้ ในตอนนี้เหลือเพียงคนเดียวแล้ว แต่จ้าวเจวี๋ยกลับยังคงไม่สามารถหาคนมาแทนที่หลินเยวียนได้

เธอกำลังเข้าสู่สภาวะใกล้ยอมแพ้เต็มที

สุดท้ายถึงได้รับปากหลินเยวียนไป

อย่างไรเสียก็เป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าหากเพลงที่หลินเยวียนเขียนพอจะผ่านเกณฑ์ได้ ทำไมไม่ช่วยทำตามความปรารถนาของเด็กที่น่าสงสารคนนี้สักหน่อยล่ะ

ในตอนนั้นเอง

โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น

เป็นเสียงแจ้งเตือนอีเมล ส่งผ่านการเข้ารหัสของช่องทางบริษัท ผู้ส่งก็คือหลินเยวียน

จ้าวเจวี๋ยเปิดอีเมล

หลังจากใส่รหัสแล้ว ก็เห็นไฟล์เสียงที่หลินเยวียนส่งมา ชื่อไฟล์ว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’

ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์?

จ้าวเจวี๋ยไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่เธอก็พอจะเชื่อมโยงความหมายได้คร่าวๆ

เธอใส่หูฟัง กดเล่นเพลง

ท่ามกลางทำนองเพลงอ้อยอิ่ง บทเพลงจบลงอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยแลดูประหลาดใจอยู่บ้าง เพลงที่หลินเยวียนส่งมานั้นสมบูรณ์มาก นอกจากท่วงทำนองที่สมบูรณ์แล้ว แม้แต่ส่วนของการเรียบเรียงก็ทำไว้แล้วเสร็จสรรพ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น

และในส่วนของการร้องก็เป็นเพียงเสียงฮัม เสียงสังเคราะห์มาจากคอมพิวเตอร์

เพียงแต่ว่าเสียงนี้ไม่ได้แข็งกระด้างเท่าไรนักเมื่อเทียบกับเสียงสังเคราะห์ทั่วไป เป็นธรรมชาติมากเสียด้วย

ถึงอย่างนั้นจ้าวเจวี๋ยตัดสินจากประสบการณ์ได้ว่าถ้าหากเสียงฮัมอันไร้อารมณ์นี้ถูกแทนที่ด้วยเสียงของผู้ใหญ่ละก็น่าจะไปได้ไกลทีเดียว

“น่าสนใจมาก”

จ้าวเจวี๋ยเป็นผู้จัดการคนหนึ่ง

เธออาจเข้าใจการเขียนเพลงแค่งูๆ ปลาๆ แต่เธอก็คร่ำหวอดในอาชีพนี้มาหลายปี การตัดสินง่ายๆ แบบนี้ย่อมทำได้ไม่เลว

แววตาเป็นประกายบางเบา เธอรู้สึกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ อาจเป็นเพลงที่ดีมากเพลงหนึ่ง เพราะว่าตัวเธอเองก็เคลิบเคลิ้มไปบ้างเหมือนกัน ต่อให้ในตอนนี้เพลงนี้จะมีแค่ทำนองกับเสียงฮัมซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาก็เถอะ

“เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการแต่งเพลงจริงเหรอเนี่ย”

จ้าวเจวี๋ยเลิกคิ้วอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะโทรศัพท์สามครั้งอย่างต่อเนื่อง

สายแรกที่โทรหาก็คือแผนกตรวจสอบ “ฉันมีเพลงอยู่ พวกเธอช่วยตรวจสอบหน่อย งานด่วน ต้องได้คำตอบตอนเย็น”

นี่เป็นด่านสำคัญ

ที่ต้องตรวจสอบทางเทคนิคก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทำนองของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ของหลินเยวียนไปคล้ายกับเพลงอื่นในท้องตลาดมากเกินไปจนเสี่ยงเข้าข่ายคัดลอกผลงาน ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้น ก็จะมีผลกระทบรุนแรงต่อชื่อเสียงบริษัท

สายที่สองโทรไปหาผู้จัดการในสังกัด

ในฐานะหัวหน้า เสียงของจ้าวเจวี๋ยนั้นหนักแน่นเด็ดขาด “เย็นนี้อัดเพลง คนสุดท้ายของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ ขอแบบที่เชื่อถือได้ อย่าทำให้ซาวด์เอนจิเนียร์ต้องยุ่งยาก”

สำหรับจ้าวเจวี๋ย เด็กใหม่ที่เสียงสูงไม่พอนั้นยังพอรับได้

ก็แค่ซาวด์เอนจิเนียร์ของบริษัทต้องทำงานล่วงเวลานานขึ้นเท่านั้นเอง

สายที่สามโทรหาหลินเยวียน น้ำเสียงของเธออ่อนโยนเป็นที่สุด ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนกับสองสายก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว “วันนี้เลิกเรียนกี่โมงเหรอ ฉันจะได้ไปรับเธอที่วิทยาลัย เราจะไปอัดเพลงกัน”

“ครับ”

หลินเยวียนตอบ

น้ำเสียงนี้มัน…ไม่ตกใจเลยเหรอ

…………………………………….

“ที่แท้นายก็มาอยู่ที่นี่เอง”

เสียงหนึ่งดังเข้าโสตประสาทของหลินเยวียน ทันใดนั้นใบหน้าหล่อเหลาผุดผ่องก็เข้ามาบดบังท้องฟ้าพราวประกาย

“เจี่ยนอี้”

หลินเยวียนร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ชั้นประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัย…

เพื่อนตายที่แท้จริง

และในตอนนี้ เพื่อนตายก็ได้ยื่นมือออกมา ฉุดเขาขึ้นมาจากพื้น

จากนั้นหลินเยวียนก็พลันรู้สึกหนักอึ้งบนไหล่ เสื้อคลุมผู้หญิงตัวหนึ่งถูกสวมทับลงมาบนตัวของเขา

เขาหันไปเห็นใบหน้าพริ้งเพราเปี่ยมรอยยิ้ม

เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวสลวยปรกบ่า แต่งหน้าบางเบา สวยสะคราญโดดเด่น

“ซย่าฝาน”

หลินเยวียนเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับยามที่เห็นเจี่ยนอี้

เพราะว่าหญิงสาวที่ชื่อซย่าฝานคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลินเยวียนมาตั้งแต่ประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัยเหมือนกับเจี่ยนอี้ไม่มีผิดเพี้ยน

เป็นเพื่อนตายอีกคนหนึ่ง

“กลางคืนลมแรง อย่าลืมสวมเสื้อคลุมก่อนออกไปข้างนอกสิ”

ซย่าฝานกำชับกับหลินเยวียน ถึงแม้ว่าเธอและเจี่ยนอี้ รวมไปถึงทุกคนที่วิ่งอยู่ในสนามกีฬาล้วนแต่สวมเสื้อแขนสั้นในสไตล์ที่เหมาะกับฤดูร้อนกันทั้งนั้น

“โอเค”

หลินเยวียนเอ่ยตอบ

สุดท้ายแล้ว ทันทีที่พูดจบ เจี่ยนอี้และซย่าฝานก็จ้องมองเขาพร้อมกัน แววตาแฝงความคลางแคลงใจ

“ทำไมฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ”

ผู้ที่พูดประโยคนี้คือเจี่ยนอี้

ซย่าฝานแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของซย่าฝานก็บ่งชัดว่าเธอก็คิดแบบเดียวกับเจี่ยนอี้

“เพราะว่าฉันไม่ใช่หลินเยวียนไปซะทั้งหมดแล้วน่ะสิ”

หลินเยวียนพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกว่าวิธีการพูดของตนเองค่อนข้างเป็นภววิสัย[1]พอสมควร เขามีครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นของเจ้าของร่างเดิม อย่างน้อยก็ความรู้สึกบางส่วนต่อครอบครัวและเพื่อนฝูง ร่างกาย ผมเผ้าและผิวหนัง ล้วนเหมือนกับเจ้าของร่างเดิม

“นายโดนผีเข้าหรือไง”

เจี่ยนอี้หัวเราะร่า แต่กลับไม่ได้เอะใจสงสัยเขา

สีหน้าของซย่าฝานพลันแลดูเข้าใจขึ้นมาในทันที

หลินเยวียนผ่อนลมหายใจออก

แบบนี้เขาก็ค่อยโล่งใจ ไม่ต้องอธิบายให้มากความอีก

ซย่าฝานและเจี่ยนอี้โตมากับหลินเยวียนตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นจึงรู้ตื้นลึกหนาบางของอาการป่วยของหลินเยวียนดี

และด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองจึงคอยดูแลหลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด

เมื่อว่ากันตามความรู้สึก หลินเยวียนไม่อยากโกหกทั้งสอง แต่ก็จำเป็นต้องโกหกให้เข้าทีสักหน่อย

“คุณหลิน กระผมจะพูดแบบไม่ลำเอียงเลยนะ”

เจี่ยนอี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งที่เรียกว่า ‘นักเขียนนิยาย’ น่ะ เป็นหนึ่งในสิบอันดับอาชีพในฝันที่ได้รับการ

โหวตจากวัยรุ่นในเน็ตทั่วทั้งฉินโจวเชียวนะ ลำพังฉินโจวที่พวกเราอยู่ ก็มีคนที่มีเป้าหมายอยากเป็นนักเขียนนิยายเยอะแยะนับไม่ถ้วน นายจะใช้งานอดิเรกในช่วงเวลาสั้นๆ มาเติบโตในหน้าที่การงานเหรอ จริงๆ แล้วออกจะยากไปสักหน่อยนะ เพราะงั้นไม่จำเป็นจะต้องมานอนตากลมเย็นกลางสนามหญ้าที่ลมแรงตอนกลางคืนเพื่อสงสัยในชีวิตแบบนี้เลย”

‘นักเขียนนิยาย’

สายตาของหลินเยวียนสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย 

นักเขียนนิยายที่เจี่ยนอี้พูดถึงก็มีเหตุผล

เป็นเพราะไม่นานก่อนหน้านี้ เจ้าของร่างบังเกิดไอเดียเกี่ยวกับนิยาย ทั้งยังลงมือทำ ส่งต้นฉบับความยาวหนึ่งแสนตัวอักษรไปเข้าร่วมกิจกรรมบทความออนไลน์ เพื่อเดบิวต์ในฐานะ ‘นักเขียนนิยาย’

กิจกรรมประเภทนี้ได้รับความสนใจมากเสียด้วย

นั่นก็เพราะทันทีที่ ‘นักเขียน’ เดบิวต์สำเร็จ ไม่เพียงผลงานของผู้ชนะจะได้รับโอกาสอันล้ำค่าในการตีพิมพ์ ถ้าหากผลงานได้กระแสตอบรับขายดีจนถึงระดับที่กำหนด ก็ยังอาจนำไปดัดแปลงเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือแม้แต่งานประเภทเกมก็เป็นได้

นี่คือสิ่งที่ผู้คนนับไม่ถ้วนซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนนั้นบากบั่นต่อสู้เพื่อให้ได้มา!

และที่สำคัญที่สุดก็คืองานนี้รวยเละ!

แต่น่าเสียดาย…

เป็นเพราะกิจกรรมนี้คึกคักเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์นิยายของเจ้าของร่างจัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ดังนั้นในรอบคัดเลือกรอบแรก ผลงานที่เข้าร่วมของเจ้าของร่างจึงเป็นอันตกรอบไป

เจี่ยนอี้คิดว่าตนเป็นเช่นนี้ก็เพราะบทความไม่ผ่านการคัดเลือก ถึงได้มานั่งตากลมในสนามอยู่แบบนี้

แต่ว่า…

อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นหลินเยวียนหรือเจ้าของร่าง ก็ล้วนไม่ได้ใส่ใจผลการตัดสินบทความในครั้งนี้

ที่เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้ในการประกวดบทความแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรเขาก็แค่ลองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เล่นๆ เท่านั้น

เผื่อได้เงินขึ้นมาล่ะ?

เขาโอบกอดความคิดนี้ไปเข้าร่วมกิจกรรม

เขามักเพียรพยายามต่อสู้เพราะความรู้สึกผิดในใจต่อครอบครัว

เขารู้สึกว่าทั้งพี่สาว น้องสาว แล้วก็แม่ล้วนแต่เสียสละเพื่อเขามามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากชดเชยต่อพวกเธออย่างเต็มความสามารถ

การเป็นนักร้อง ไม่ได้เป็นเพียงเพราะความฝัน

แต่ยังเป็นเพราะอาชีพนี้สร้างรายได้มหาศาลเลยน่ะสิ!

ไม่ต้องเอ่ยถึงคำพูดซี้ซั้วอย่าง ‘ความฝันไม่ควรแปดเปื้อนเงินทอง’

สำหรับเจ้าของร่างแล้ว ถ้าหากความฝันอันแปดเปื้อนนำมาซึ่งเงินทอง เขาก็หวังเป็นอย่างมากว่าความฝันของเขาจะแปดเปื้อนและถูกกัดกินจนทะลุโดยเร็ว…

ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้ซื้อเดรสสวยๆ ให้น้องสาวสักชุด

พี่สาวจะได้ใช้ชีวิตของตนเอง

แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป

“อย่าไปฟังเจี่ยนอี้มันเลย”

ซย่าฝานเองก็รู้สึกหัวเสียกับเรื่องที่หลินเยวียนตกรอบเช่นกัน

ทว่าเธอไม่ได้โน้มน้าวให้หลินเยวียนยอมแพ้ แต่กลับผลักดันให้เขาพยายามต่อไป “ที่จริงโอกาสคล้ายๆ กันนี้ก็มีอยู่มากนะ อย่างเช่นเดือนหน้า ‘คลังหนังสือซิลเวอร์บลู’ ที่เป็นสำนักพิมพ์อันดับต้นๆ ของบลูสตาร์จะจัดงานประกวดนิยาย ‘ซูเปอร์โนวา’ ถึงตอนนั้นนายไปลองดูก็ได้นะ”

“ขอร้องละซย่าฝาน”

เจี่ยนอี้ลูบหน้าผาก “ขนาดกิจกรรมส่งบทความเข้าร่วมธรรมดา หลินเยวียนยังไม่เข้ารอบเลย เธอจะให้เขาไปแข่ง ‘ซูเปอร์โนวา’ เหรอ?”

“สิ่งสำคัญคือได้เข้าร่วมไม่ใช่หรือไง”

ซย่าฝานตอบอย่างรู้สึกผิด อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลินเยวียนจะประสบความสำเร็จ เธอแค่หวังว่าหลินเยวียนจะได้มีอะไรทำ ตั้งแต่เสียงของเขามีปัญหา กระทั่งหลังย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลง สภาพจิตใจของหลินเยวียนก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด

เจี่ยนอี้ไม่ได้ละเอียดอ่อนเหมือนซย่าฝาน

เขาสาธยายสถานการณ์พื้นฐานให้หลินเยวียนฟัง “แม้แต่ฉันที่ไม่ได้สนใจแวดวงนิยายก็ยังรู้เลยว่าซูเปอร์โนวาน่ากลัวขนาดไหน คนที่เข้าประกวดก็มีแต่พวกมือโปรที่ต่อสู้เพื่อความฝันจะได้เดบิวต์เป็นนักเขียนมาตั้งหลายปี ถึงขนาดที่บางครั้งมีนักเขียนที่เดบิวต์แล้วแต่ไม่รุ่งมาเข้าร่วมด้วย ถึงยังไงสำหรับใครหลายคนแล้ว การเปลี่ยนนามปากกาก็เหมือนเปลี่ยนตัวตน พวกเขาก็ได้ชื่อว่าหน้าใหม่อยู่ดีนั่นละ…”

สรุปความให้เหลือหนึ่งประโยคได้ว่า ‘ซูเปอร์โนวาก็คือมหาสงครามของเหล่าเทพเซียน’

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนเอ่ยขึ้นตัดบทเจี่ยนอี้ ในใจกลับแอบจดจำเรื่องของซูเปอร์โนวา

ในโลกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะ หนทางที่จะได้มาซึ่งการยอมรับนั้นดูเหมือนจะมีมากมาย

แต่ว่าในตอนนี้ตนยังไม่มีนิยาย

ต้องรอให้ระบบส่งมาให้ก่อนถึงจะได้

ส่วนเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นั้น หลินเยวียนจะคิดหาวิธีเผยแพร่ เขามองไปทางซย่าฝานอย่างอดไม่ได้

ซย่าฝานเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง

ในตอนที่หลินเยวียนยังไม่ได้ย้ายสาขา ทั้งสองคนนั้นเรียนคลาสเดียวกัน หากว่ากันตามความสามารถเฉพาะทางแล้ว ซย่าฝานย่อมทำได้สบายไร้ปัญหา พรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเยวียนก่อนเสียงจะหายไปเลย

แต่ว่าซย่าฝานก็เป็นแค่นักศึกษา

นักศึกษาปล่อยเพลง จะใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตหรือยังไงกัน

ถ้าอย่างนั้นก็จะช้าเกินไปหน่อยกว่าเพลงจะเป็นที่รู้จัก เมื่อไม่มีการโปรโมตที่เป็นหลักแหล่ง ก็เป็นไปได้ว่าเพลงนี้อาจจมดิ่งลงก้นทะเลไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

“มีอะไรเหรอ”        

ซย่าฝานเห็นหลินเยวียนจ้องมองตนเอง ก็รู้สึกตงิดใจแปลกๆ “นายอยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะไปซื้อมาให้”

“เปล่า”

หลินเยวียนตอบ “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง…อืม เพื่อน เขาเขียนเพลงไว้ อยากปล่อยน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง พวกนายมีช่องทางอะไรแนะนำไหม”

“นายบ๊องไปแล้วเหรอ”

เจี่ยนอี้เบ้ปาก “ก่อนหน้านี้นายไม่ได้ขายตัวเองไปห้าหมื่นหยวนแล้วหรือไง ถ้ามีเพลงก็ต้องไปหาสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ที่หนุนหลังนายอยู่น่ะสิ บริษัทใหญ่ซะขนาดนี้ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย”

หลินเยวียนชะงักงัน ก่อนจะกระจ่างขึ้นมาทันที

หลังจากที่เจ้าของร่างสอบเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ก็ได้โชว์พรสวรรค์อันน่าทึ่ง จนตอนปีหนึ่งก็ไปเข้าตาผู้จัดการคนหนึ่ง และเซ็นสัญญากับบริษัทบันเทิงขนาดใหญ่และชื่อเสียงไม่เลวแห่งหนึ่ง

ราคาของสัญญาฉบับนั้นคือห้าหมื่นหยวน

เจ้าของร่างต้องการเงิน ฉะนั้นถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสัญญาราคาห้าหมื่นหยวนนี้ถูกแสนถูก แต่กลับจรดปากกาเซ็นสัญญาระยะเวลาแปดปีไปโดยไม่ลังเล และเขาก็นำเงินค่าเซ็นสัญญาที่ได้มาให้แม่ในทันที

แต่ใครจะไปคิดว่า…

หลังจากที่เด็กหนุ่มพลังเสียงขั้นเทพคนนี้เซ็นสัญญาได้ไม่นาน เขาก็ไม่อาจร้องเพลงได้อีกเลย

เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ บริษัทบันเทิงซึ่งเซ็นสัญญากับหลินเยวียนก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับว่าตนโชคร้าย และตัดหางปล่อยวัดหลินเยวียนตั้งแต่นั้นมา

เป็นไปได้มากว่าเพราะพวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวหลินเยวียน ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้เรียกร้องให้ชดใช้อะไรทำนองนั้น เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องยกเลิกสัญญาอีกเลย คาดว่าคงจะลืมไปเสียสนิทแล้วว่าในบรรดานักร้องของบริษัทยังมีคนที่ชื่อว่าหลินเยวียนด้วย

“ไม่ใช่สิ”

ขณะที่หลินเยวียนกำลังขบคิดอยู่นั้น เจี่ยนอี้ก็ได้สติทันใด “คุณหลิน นายมีเพื่อนที่ฉันกับซย่าฝานไม่รู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

‘เพื่อนสมมติ’         

ซย่าฝานปิดปากหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อทันใด “ถ้าอยากปล่อยเพลง ตอนนี้แหละมีโอกาส เพราะอีกไม่กี่วันจะเป็น ‘ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง’ ที่จัดแค่ปีละครั้ง พอถึงตอนนั้นบริษัทบันเทิงใหญ่ๆ จะดันศิลปินกันทั้งนั้น เงื่อนไขคือนายแตะถึงมาตรฐานในการสมัครของบริษัท…”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนเองก็ผุดรอยยิ้มออกมา

นี่มันยูโทเปียของศิลปิน เป็นดินแดนในอุดมคติที่ความบันเทิงเฟื่องฟู!

ขอเพียงมีความสามารถ พรมแดงแห่งชื่อเสียงก็แทบจะพาดสลับกันไปมา แล้วลากยาวมาถึงหน้าประตูบ้านเลยละ! 

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง

นี่คือหนึ่งในช่องทางดัง และเป็นกฎเกณฑ์ที่บลูสตาร์ตั้งขึ้นมาเพื่อฟูมฟักผู้มีพรสวรรค์ในวงการเพลงโดยเฉพาะ

เดือนพฤศจิกายนทุกปี บลูสตาร์จะจัดกิจกรรมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงไปทั่วทุกพื้นที่

เมื่อถึงตอนนั้น บรรดาผู้อาวุโสในวงการเพลงจะพากันไม่ออกอัลบั้มหรือแม้แต่เพลงโดยมิได้นัดหมาย จะหยุดเป็นการชั่วคราว เพื่อเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งให้แก่คนรุ่นหลัง

ถึงขั้นที่ในเดือนพฤศจิกายน เหล่าผู้อาวุโสจะออกตัวจัดอันดับเด็กใหม่รุ่นน้องด้วยซ้ำ

จากนั้นบริษัทบันเทิงแต่ละบริษัทก็จะไขว่คว้าโอกาสเช่นนี้ ผลักดันศิลปินหน้าใหม่ของวงการอย่างสุดกำลัง และศิลปินหน้าใหม่แต่ละคนก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์!

เดิมทีหลินเยวียนมีโอกาสได้เปิดตัวในฤดูกาลของศิลปินหน้าใหม่เช่นนี้

ทว่าน่าเสียดาย ที่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงเดบิวต์ในฐานะผู้ประพันธ์เพลงแล้ว

แต่ว่าถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ใช่เจ้าของร่างอีกต่อไป ดังนั้นการได้เดบิวต์ในฐานะคนเขียนเพลงก็ยิ่งทำให้หลินเยวียนดีใจเข้าไปใหญ่

วิธีแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์แก่นักร้องหน้าใหม่ในวงการเพลงของบลูสตาร์ก็คือ

ส่วนรายได้ที่มาได้จากยอดดาวน์โหลดหรือยอดการฟังเพลงเพลงเดียวนั้น โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะเก็บไว้แปดส่วน ที่เหลือสองส่วนให้นักร้องและคนเขียนเนื้อและทำนองเพลงแบ่งกัน ส่วนของผู้เรียบเรียงและโปรดิวเซอร์นั้นมักจะจ่ายผ่านทางบริษัท

สัดส่วนโดยละเอียดขึ้นอยู่กับที่ระบุในสัญญา

ธรรมเนียมก็คือนักร้องและคนเขียนเพลงรับเงินก้อนใหญ่ไป

นอกจากรายได้ส่วนใหญ่ที่บริษัทรับไป หลินเยวียนกลับไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินกับคนมากนัก อย่างไรเสียเขาก็ทำทั้งเนื้อร้องและทำนอง และระบบก็ได้เรียบเรียงดนตรีมาให้แล้วเสร็จสรรพ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้มีเพียงขุดทะลวงเส้นทางสู่ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่และผู้ช่วยงานสักคนที่…

ร้องเพลงได้และแบ่งเงินกับเขาได้

………………………………………

 

[1] ภววิสัย คือ การมองและวิเคราะห์ปัญหาจากสภาพจริง โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว

เวลาสามทุ่ม

วิทยาลัยศิลปะฉินโจว

เขานอนสองมือประสานหลังศีรษะ เหม่อมองดวงดาวอยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย

ผืนฟ้าพร่างพรายแสงดาวเหนือศีรษะเหมือนกับโลกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นเขาซึ่งหาดาวเหนือไม่พบ ก็ยังรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลก หากแต่เป็นจักรวาลคู่ขนานซึ่งเรียกว่าบลูสตาร์

‘หลินเยวียน สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว’

นี่ก็เป็นตัวตนใหม่ของเขาหลังจากทะลุมิติเข้ามา

เขาได้รับสืบทอดทุกสิ่งจากเจ้าของร่างมา โดยเฉพาะจุดเด่นอย่างหน้าตาอันหล่อเหลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตนในโลกเดิมมีชื่อว่าอะไร และก็จำไม่ได้ว่าตนทะลุมิติมาทำไม จำได้แค่ว่าตนเองในโลกเดิมก็ดูดีมีสไตล์ไม่เบาเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนดังอีกด้วย?

ฉะนั้นแล้ว เขาจึงทึกทักว่าตนเองเป็น ‘หลินเยวียน’ ได้อย่างง่ายดาย

สำรวจความทรงจำของเจ้าของร่างสักหน่อยก็แล้วกัน

หลินเยวียนพบว่าเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ของโลกนี้นั้นแตกต่างจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิง

ประวัติศาสตร์มาถึงทางแยกในยุคราชวงศ์ฉิน  ฝูซูสืบทอดราชกิจของอิ๋งเจิ้ง นำกองทัพแห่งต้าฉินกวาดล้างรวบรวมดินแดนต่างๆ ทำให้บูรพาทิศผงาดครองใต้หล้าในคราเดียว จนกระทั่งเมื่อร้อยปีก่อนจึงถูกแคว้นซย่าที่แข็งแกร่งเข้าแทนที่

ทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง

โลกนี้แบ่งเป็นแปดแว่นแคว้น

พื้นที่ซึ่งหลินเยวียนอยู่นี้เรียกว่าฉินโจว

บนโลกซึ่งตัดขาดกับสงครามอย่างสิ้นเชิง ศิลปะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเสาะแสวงหาร่วมกัน ที่นี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างไม่เคยมีมาก่อน

‘ดินแดนในอุดมคติ’

หลินเยวียนนิยามไว้เช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองของผู้อยู่ในแวดวงศิลปะ

แต่ต่อให้เป็นดินแดนในอุดมคติอย่างยูโทเปีย ก็ยังมีความโชคร้ายเกิดขึ้น เฉกเช่นโชคร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างซึ่งหลินเยวียนทะลุมิติเข้ามาอยู่

เขาป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย

ถูกต้องแล้วละ นี่เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยครั้งทางโทรทัศน์ และเป็นคำที่มักจะตามมาด้วยดราม่ากองโตไปซะทุกครั้งที่คำนี้ปรากฏขึ้น

‘ป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย’

นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนค้นพบจากความทรงจำหลังจากที่ทะลุมิติเข้ามา ตนถึงขนาดได้รับร่างกายซึ่งโรยราเต็มทีมา หมอได้ตัดสินโทษประหารกับอาการของเจ้าของร่างไว้แต่แรกแล้วว่า

‘เด็กคนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า’

นี่เป็นความเจ็บปวดที่เจ้าของร่างไม่อาจแบกรับ ดังนั้นเขาจึงเลือกกินยานอนหลับปลิดชีพตนเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลซึ่งทำให้หลินเยวียนได้กลายมาเป็นเจ้าของร่างคนใหม่ เจ้าของร่างซึ่งปีนี้อายุสิบเก้าปีได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เหลืออันแสนน้อยนิดของเขาไปเสียแล้ว

เป็นเพราะหวาดกลัวความตาย?

จึงเลือกที่จะตาย?

เดิมทีหลินเยวียนคิดว่านี่คือเหตุผลหลักซึ่งทำให้เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง จนกระทั่งเขาเริ่มค้นหาลงไปในความทรงจำของเจ้าของร่างมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้อยู่บ้าง

เจ้าของร่างอยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว

พ่อของเขาป่วยตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว

เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงดูเขาโดยลำพังมาจนเติบใหญ่

เจ้าของร่างร่างกายอ่อนแอป่วยเสาะแสะมาแต่เด็ก ตั้งแต่มีไข้อ่อนๆ ไปจนถึงอาการโคม่า เขาเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นนิจเพื่อรักษาตัว รายจ่ายก้อนโตล้วนมีแม่ของเขาเป็นผู้แบกรับ

เงินบางส่วนก็ยืมมาบ้าง

เงินบางส่วนแม่ก็ดิ้นรนหามาบ้าง

ไม่รู้ว่าแม่ต้องทนลำบากยากเข็ญมากแค่ไหนเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างยังมีพี่สาวหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคนด้วย

พี่สาวและน้องสาวล้วนรู้หน้าที่

เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม พวกเธอจึงไม่เคยได้มีวันเวลาที่ดีสักเท่าไหร่

พี่สาวละทิ้งโอกาสเรียนต่อปริญญาโท เพื่อจะได้หารายได้เข้าบ้านโดยเร็วที่สุด

น้องสาวสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของพี่สาวมาแต่เด็ก เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัว

และฟางเส้นสุดท้ายก็คือ…

เจ้าของร่างได้สูญเสียคุณสมบัติซึ่งจะช่วยให้เขาไล่ตามความฝันได้

แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง มีพลังเสียงแข็งแกร่งมาแต่เกิด เสียงของเขานั้นนับว่าโดดเด่นเป็นเลิศในสาขาการขับร้อง ความฝันของเขาก็คือการได้เป็นนักร้อง

ทว่าตอนอยู่ปีหนึ่ง อาการป่วยของเขาก็กำเริบขึ้นเป็นครั้งแรก และการกำเริบครั้งนี้ก็ส่งผลโดยตรง ซึ่งก็คือ

เจ้าของร่างร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป

เขาป่วยจนคอพังเสียแล้ว ไม่สามารถทนการซ้อมร้องที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงสูง

ซึ่งเขาภาคภูมิใจหนักหนา

ด้วยความอับจนหนทาง

เขาจึงเบนไปยังสาขาการประพันธ์เพลงซึ่งไม่ได้ถนัดสักเท่าไร

และในชั้นปีที่สองนั้นเอง เขาก็เลือกจบชีวิตตนเอง

ไม่ใช่แค่เพราะความฝันมาถึงทางตัน แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีกต่อไป ทันทีที่

ชีวิตเริ่มนับเวลาถอยหลัง ทุกวินาที ทุกนาทีล้วนแต่ทรมาน

หลังจากประมวลความทรงจำเหล่านี้

หลินเยวียนซึ่งทะลุมิติมาก็พลันเข้าใจในการตัดสินใจของเจ้าของร่าง เขาไม่สามารถใช้ศีลอันธรรมสูงส่งมากล่าวหาว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอ่อนแอ

พูดได้เพียงว่า…

ทุกคนต่างมีโชคร้ายของตนเอง และโชคร้ายของบางคนนั้นก็ยากเกินแบกรับมากกว่าคนอื่นๆ

เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนเราเกิดมาล้วนมีทุกข์’

ทว่าหลินเยวียนไม่มีทางเลือกปลิดชีพตน

ถึงแม้ร่างที่เขาได้รับสืบทอดต่อมานี้จะเป็นร่างที่อยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้หาอะไรทำอีกสักสองสามปี…ล่ะมั้ง?

เขียนเพลง

เขียนหนังสือ

ถ่ายทอดความรู้

หารายได้ให้ครอบครัว

ใช่แล้วละ หลินเยวียนเปลี่ยนแปลงอาการป่วยรักษาไม่หายของตนไม่ได้แล้ว แต่ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เขาอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนในครอบครัวได้

ความคิดพรรค์นี้รวดเร็วทันใจเสียจริง

หลินเยวียนแยกไม่ออกว่านี่เป็นเจตจำนงของเจ้าของร่างเดิม หรือว่าเป็นปณิธานของเขาเอง

สิ่งที่เขาได้ถ่ายทอดมานั้นอาจไม่ได้มีแค่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ยังมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุข

ซึ่งเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันพิศวงนี้

หลินเยวียนไม่ได้ต่อต้านความรู้สึกเช่นนี้

แต่เขาก็พยายามเค้นความทรงจำเกี่ยวกับงานศิลปะในโลกเดิม กระนั้นกลับพบว่าตนแทบจำอะไรไม่ได้ ราวกับว่าความทรงจำนั้นได้ถูกปิดกั้นไว้ทีละชั้นๆ

แล้วฉันจะทะลุมิติมาที่นี่เพื่ออะไรกัน

หลินเยวียนถามเช่นนี้อยู่ในใจ

จากนั้นในสมองของเขาก็มีเสียงตอบซึ่งฟังดูไม่ได้เหมือนเป็นคำตอบ [กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

ระบบ?

หลินเยวียนเข้าใจแล้ว

แม้ว่ารายละเอียดของความทรงจำจะเลือนราง แต่เขาก็เคยอ่านนิยายออนไลน์ในโลกเดิมมา พอจะมีภาพจำอยู่บ้าง รู้ว่านี่คือสูตรโกง และเป็นเหตุผลที่เขาทะลุมิติมา

จะมัวมาคิดฟุ้งซ่านไม่ได้อีกแล้ว

เขารอให้ระบบติดตั้งอย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปไม่นาน เสียงของกระแสไฟฟ้าซึ่งฟังดูคล้ายกับเป็นจักรกลก็ดังขึ้นในห้วงสำนึกของเขาอีกครั้ง [ดาวน์โหลด

สำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

“สวัสดี”

หลินเยวียนเอ่ยทักทายก่อน

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์ ท่านสามารถติดต่อกับระบบได้ผ่านความคิดในสมอง ด้านล่างคือข้อมูลของโฮสต์ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปแบบตัวอักษร]

เสียงของจักรกลหยุดลง

ตัวอักษรโปร่งแสงปรากฏแก่สายตาของหลินเยวียน

[อายุ: 19]

[อายุขัย: 22]

[จิตรกรรม: 45]

[วรรณกรรม: 105]

[ดนตรี: 1038]

[ภาพรวม: 1188]

[อื่นๆ : รอเปิดใช้]

[หมายเหตุ: นอกจากอายุและอายุขัยแล้ว ตัวเลขแต่ละหมวดนั้นแสดงถึงชื่อเสียง และตามทฤษฎีแล้ว ระดับความนิยมที่โฮสต์ได้รับในหมวดนั้นๆ จะไร้ซึ่งขีดจำกัด ยิ่งระดับความโด่งดังสูงเท่าไร รางวัลที่โฮสต์จะได้รับย่อมมากขึ้นตาม…]

อายุขัยคือ…22?

ระบบคล้ายกับจะล่วงรู้ถึงความคิดของหลินเยวียน

อักษรอีกแถบหนึ่งปรากฏขึ้นมา [อายุยี่สิบห้าปีคือขีดจำกัดอายุของเจ้าของร่างตามทฤษฎี เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์จริง เจ้าของร่างมีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดถึงยี่สิบสองปี อีกทั้งเมื่ออายุถึงยี่สิบเอ็ดปี ก็จะเป็นอัมพาตทั้งตัว]

“รักษาได้ไหม”

หลินเยวียนถามในใจ

ระบบ [เมื่อชื่อเสียงของโฮสต์แตะถึงมาตรฐานความโด่งดัง ก็จะได้รับการรักษาจากระบบ เมื่อผ่านการรักษาหลายครั้งเข้าก็จะถึงระดับที่ฟื้นตัวได้ ทุกครั้งที่ค่าความโด่งดังแตะถึงระดับที่กำหนด ระบบก็จะแจ้งเตือนโฮสต์…]

ความหมายก็คือรักษาได้

หลินเยวียนถามอย่างชำนิชำนาญว่า “โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ล่ะ?”

อาจเป็นเพราะหลินเยวียนเชี่ยวชาญแล้ว แม้แต่ระบบก็ตามเขาไม่ทัน มันเงียบงันไปหลายวินาทีก่อนจะตอบว่า [โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ได้ถูกส่งไปเก็บในคลังเก็บของหลังบ้านของโฮสต์แล้ว]

“เข้าไปในคลังเก็บของ”

ทันทีที่หลินเยวียนพูดจบ ก็พบว่าเบื้องหน้าของตนปรากฏหน้าจอผู้ใช้หน้าตาเหมือนกระเป๋าไอเทมในเกม ในตารางแรกมีไฟล์เสียงซึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก

เพลง: ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์[1]

โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่คือเพลงเดียวเนี่ยนะ?

งั้นรบกวนช่วยลบคำว่า ‘ใหญ่’ ทิ้งไปเถอะ

ระหว่างที่หลินเยวียนลอบแดกดันอยู่ในใจ ก็เปิดเพลงฟังไปพลาง เพียงแค่ท่วงทำนองท่อนแรกดังขึ้น เขาก็มั่นใจว่านี่คือผลงานเพลงในความทรงจำของตน

ความจริงแล้ว

วินาทีที่เขาคลิกเปิดเพลงนี้ขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับเพลงนี้ในโลกเดิมก็พลันถั่งโถมสู่หัวใจ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรเขาก็นึกทำนองและเนื้อเพลงของเพลงนี้ไม่ออก

หลินเยวียนพอจะเข้าใจแนวทางของระบบแล้ว

ค่าความโด่งดังที่ว่าอะไรนั่นก่อนหน้านี้ คงจะเป็นลูกเล่นตอนที่ตนปล่อยเพลงออกไป จากนั้นก็ได้รับการยอมรับมากพอทำนองนี้สินะ เมื่อชื่อเสียงแตะถึงระดับหนึ่ง ตนก็จะได้รับการรักษา ไม่ต้องรอให้ม่องเท่งไปก่อน…

เป็นเซ็ตติ้งที่ตื้นเขินจริงๆ

ระบบคล้ายกับว่าจะไม่สบอารมณ์กับคำแดกดันของหลินเยวียน รีบเสริมเซ็ตติ้งขึ้นมาในทันที [เมื่อโฮสต์ได้รับค่าความโด่งดัง ก็จะมีโอกาสจับรางวัล แนวโน้มที่จะได้รางวัลก็มีมากด้วย]

“อ้อ”

ปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเยวียนแสนราบเรียบ

เขากำลังขบคิดเรื่องเพลงอยู่

เส้นเสียงของเขาพังไปแล้ว ถึงแม้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นี้จะไม่จำเป็นต้องใช้พลังเสียงมากนัก แต่อ้างอิง

ตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว หลินเยวียนไม่ร้องเพลงเป็นดีที่สุด

แต่นั่นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเยวียน

เขาร้องเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นร้อง

ขอเพียงได้ความโด่งดังก็พอแล้ว แม้ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนที่ร้องเพลงมักจะมีชื่อเสียงง่ายกว่า แต่หลินเยวียนก็ไม่ได้ชื่นชอบการมีชื่อเสียงสักเท่าไร ออกจะเกลียดซะด้วยซ้ำ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากโลกเดิม?

ถึงแม้ความทรงจำจากโลกเดิมของหลินเยวียนจะเลือนราง แต่เขาก็พอจะรู้สึกได้ว่าตนในโลกเดิมน่าจะสุดยอดมากทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จแล้วก็ได้

เพลงนี้น่าสนใจมาก

อย่างน้อยก็เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เจ้าของร่างเผชิญอยู่

เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินเยวียนก็นึกสงสัยขึ้นทันใด “ระบบ ฉันทะลุมิติมาที่โลกนี้ แล้วตัวฉันในโลกเดิมจะหายไปเลยไหม”

ระบบ [สับเปลี่ยนชีวิต]

ระบบเข้าใจสารบบความคิดของหลินเยวียนแล้ว ความสามารถในการเข้าใจของคนคนนี้มีสูงมาก อีกทั้งความสามารถในการยอมรับยังมีมากอีกด้วย ชอบความตรงไปตรงมา ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะฉะนั้นระบบจึงเริ่มพูดอย่างรวบรัด

“สับเปลี่ยนชีวิตเหรอ”

แววตาของหลินเยวียนพลันสว่างวาบ ทันใดนั้นก็ฉายแววรอยยิ้มอ่อนโยน มีคนใช้ชีวิตต่อแทนเขา อันที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไร

ยังไงซะตนเองก็โสดสนิท

บางทีอาจมีหลายเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง แต่เขาก็พอจะได้เค้าลางของความทรงจำบ้างแล้ว หลินเยวียนจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้

ไม่นับว่าดี และก็ไม่นับว่าเลวร้าย

อันที่จริงต่อให้ชีวิตจะแย่กว่านี้ ก็ยังดีกว่านับถอยหลังเวลาชีวิตละมั้ง ขอให้นายที่เป็นคนแปลกหน้ามีระบบเหมือนกัน ไม่ได้เป็นเพียงมวลผกาฤดูร้อนที่ชูช่อบานสะพรั่งเพียงครั้งเดียวอีก

อย่างน้อย พวกเราก็ยังมีตัวตนอยู่

…………………………………………………

[1] ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ (《生如夏花》) ขับร้องโดยผู่ซู่

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Status: Ongoing

‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’

ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์

แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน

เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป

แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน

ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง

และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้

เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!

ทันใดนั้น…

[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…

ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…

เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ

ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท