Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ – ตอนที่ 1604

ตอนที่ 1604
ตอนที่ 1604 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่

“พวกเจ้ามันก็เป็นได้แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ปีกของเย่หยวน! หากไร้ซึ่งเย่หยวนพวกเจ้ามันก็ไร้ค่าใด ๆ”

คำของโจวเหว่ยนั้นปักลงลึกในจิตใจของทุกผู้คน มันทำให้ผู้ที่ทะนงตัวต้องเดือดดาลขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิ้งหมัวหู่ที่ตอนนี้เขาโกรธจนควันออกหูแล้ว

“ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! นายน้อยคนนี้จะขอเสี่ยงชีวิตสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!”

ร่างของอิ้งหมัวหู่พลันเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยทันที

นั้นทำให้โจวเหว่ยต้องอมยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะส่งฝ่ามือของตัวเองออกมาด้านหน้า

อิ้งหมัวหู่รู้สึกได้ว่าพลังของฝ่ามือนั้นมันช่างแข็งแกร่งจนทำให้ผู้ที่ต้องพบเจอต้องรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที

“อ๊อก!”

อิ้งหมัวหู่กระอักเลือดออกมา เขารู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างของเขาในตอนนี้มันหักจนหมดสิ้น

เยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นแบบนั้นก็หน้าซีดขึ้นทันทีก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปรับตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้

แต่พลังอันรุนแรงนั้นกลับส่งร่างของนางกระเด็นลอยไปพร้อม ๆ กันด้วย

ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าช่างแข็งแกร่ง!

โจวเหว่ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้น “เห็นไหมล่ะ? รับฝ่ามือจากข้าไม่ได้สักฝ่ามือด้วยซ้ำ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองมิใช่มดปลวกอีกรึ? หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเจ้าคนตายไปนานแล้ว แต่ทว่า…ต่อให้อยู่ก็คงไม่นาน”

เยวี่ยเมิ่งลี่มองดูหน้าของโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้าปฏิบัติกับเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสที่สองจะรู้เรื่องเลยรึ?”

โจวเหว่ยจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ผู้อาวุโสที่สองกำลังอยู่ในการเก็บตัว ศิษย์ของท่านที่ใกล้ชิดกับเย่หยวนเองก็กำลังยุ่งมือเป็นพัลวัน หากเจ้าโดนไล่ออกไปจากเมืองชั้นในและไปตายที่อื่นเสียก่อน เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะมาล้างแค้นให้คนตายอย่างพวกเจ้ารึ?”

ใบหน้าของเยวี่ยเมิ่งลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนจะตะโกนกลับไป “เหมือนว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝั่งนั้นจะควบคุมอะไรไม่ได้แล้วสินะ!”

โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบกลับไป “เพราะฉะนั้น หากอยู่ก็จงหาผลึกปราณเทวะมาจ่ายเสีย! ตอนนี้จงมอบผลึกปราณเทวะมา พวกเจ้ามีกันห้าคน ก็จงจ่ายมาตามกฎสองล้านห้าแสนผลึกปราณเทวะ”

อิ้งหมัวหู่กัดฟันกรอดพยายามที่จะส่งตัวเองลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟังคำสั่ง

สายตาของเยวี่ยเมิ่งลี่มองไปทางโจวเหว่ยอย่างโกรธแค้นก่อนจะพูดขึ้น “เราจะจ่าย!”

และอย่างที่นางว่า เยวี่ยเมิ่งลี่หยิบแหวนออกมาและโยนมันไปทางโจวเหว่ยอย่างเต็มแรง

ที่ด้านข้างเองหลงซานก็กำลังกัดฟันแน่นก่อนจะบอกขึ้นมา “แม่นางลี่เอ๋อ ข้า…ข้าจะออกจากเมืองไปเอง ท่านมิต้องจ่ายให้ข้าหรอก!”

เยวี่ยเมิ่งลี่ตะโกนสวนกลับไป “หยุดเลย! หากเจ้าออกไปจากเมืองตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ได้รึ?”

หลงซานจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง “หลงซานผู้นี้เป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่นายท่านกลับให้โอกาสข้าได้มาเกิดใหม่! หากวันนี้ข้าจะขอชดใช้บุญคุณด้วยชีวิตมันจะผิดด้วยหรือ?”

เยวี่ยเมิ่งลี่เองก็แสดงท่าทางหนักแน่นออกมาก่อนจะพูดขึ้น “เรามาด้วยกัน หากมีใครอยากไป เราก็จะไปด้วยกัน! วันข้างหน้าอย่าได้คิดพูดจาอะไรแบบนี้อีก”

โจวเหว่ยกลั้นขำมองดูสภาพละครน้ำเน่าตรงหน้า “เหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะยังมีความหวังกันอยู่สินะ! คนที่ได้เข้าไปในห้วงมิติสืบทอดนั้นไม่เคยมีใครกลับออกมาได้ พวกเจ้าจงลืมเรื่องนั้นไปเสียเถอะ! ฮ่าๆ…”

โจวเหว่ยเดินกลับออกไปพร้อมเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจ ใบหน้าอันโกรธแค้นของทุกคนแสดงออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน

แต่ก็อย่างที่โจวเหว่ยว่า หากไม่มีเย่หยวนพวกเขาก็เป็นได้แค่คนไร้พลังที่ไม่มีปัญญาทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า

ตอนที่เย่หยวนจากไป เขาทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้ราวร้อยล้านชิ้น

แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปี คนทั้งห้าเองก็ใช้ทรัพยากรบ่มเพาะฝึกฝนตัวไม่น้อย

เดิมทีด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่สอง พวกเขายังพอจะอยู่รอดต่อไปได้

แต่ช่วงหลายปีมานี้ ด้วยการขูดรีดของโจวเหว่ย ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสี่ถึงห้าล้านชิ้น

และในวันนี้ยังต้องเสียไปกว่าครึ่งในคราเดียว!

หากโจวเหว่ยมาอีกครั้ง พวกนางทั้งหลายคงไม่มีปัญญาที่จะจ่ายอีกต่อไป

เดิมทีทุกคนเชื่อว่าโจวเหว่ยจะกลับมาอีกในปีหน้า แต่ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่โจวเหว่ยกลับมาอีกครา!

“โจวเหว่ย ภาษีที่เจ้าว่าให้เราจ่ายเราก็จ่ายไปแล้ว ยังจะอยากได้อะไรอีก?” ลี่เอ๋อถามด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป

โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบ “ใครบอกเจ้าว่าภาษีของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรามีแค่อย่างเดียว? ที่เก็บไปคราที่แล้วนั้นเรียกว่าภาษีรายหัว แต่ที่ข้าจะมาเก็บคราวนี้เรียกว่าภาษีพลังวิญญาณ! เมืองชั้นในมันเข้มข้นไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าเมืองชั้นนอกนับสิบเท่า และพวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ความเร็วการฝึกฝนของพวกเจ้าย่อมเร็วกว่าคนที่เมืองชั้นนอกมากนัก แล้วยังจะมาหลบเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีอีกรึ?”

ลี่เอ๋อหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยิน “แล้วเจ้าจะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”

โจวเหว่ยยิ้มออกมา “ไม่มาก ไม่มากเลย แค่สองล้านก็เพียงพอแล้ว!”

“สองล้าน! เจ้าคิดจะปล้นพวกเรารึยังไงกันล่ะ!” ลี่เอ๋อตะโกนสวนออกมา

โจวเหว่ยตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือกฎของจวนเจ้าเมือง หากเจ้าไม่จ่าย งั้นก็ขอโทษด้วย แต่คงต้องให้เจ้าออกจากเมืองชั้นในไปแล้วล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่หน้าเสียทันที ตอนนี้นางไม่สามารถเอาผลึกปราณเทวะมากขนาดนั้นออกมาได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว

นางหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ได้ เราจะออกไป!”

“ไม่นะ พี่สะใภ้ท่านต้องอยู่ เราจะออกไปเอง!” อิ้งหมัวหู่ขัดขึ้น

“พี่ลี่เอ๋อ ท่านออกไปไม่ได้นะ!” ลู่เอ๋อพูดเสริม

ลี่เอ๋อจึงหันไปบอกทั้งคู่ “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว! ทุกคนเก็บของ เราจะออกไปตอนนี้เลย!”

โจวเหว่ยจึงพูดขึ้นด้วยท่าทางอมยิ้ม “หึหึ ต้องแบบนั้นสิ มดปลวกอย่างพวกเจ้าน่ะสมควรไปอยู่เมืองชั้นนอกหรือไม่ก็ไปอยู่เมืองหลวงเสียเถอะ พื้นที่ในเมืองชั้นในมันล้ำค่าเกินกว่าที่พวกเจ้าจะครองไว้ได้มากมายนัก”

แม้จะถูกโจวเหว่ยว่าแบบนั้น พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ทนรับฟัง

หลังเก็บของอยู่สักพัก ตอนที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกไปจู่ ๆ ก็เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากหอยุทธ์

นั่นทำให้พลังวิญญาณในเมืองจักรพรรดิทั้งหมดไหลรวมเข้าไปสู่จุดนั้น ไหลไปรวมกันยังหอยุทธ์

ตอนนี้เหมือนกับว่ามีท่อสูบพลังงานวิญญาณโผล่ออกมาในหอยุทธ์ กระแสพลังวิญญาณจึงไหลไปรวมกันที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง

“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีใครบรรลุระดับหรือ?” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงสัย

“ใครบรรลุระดับกัน? ถึงขนาดที่สร้างคลื่นพลังอันปั่นป่วนแบบนี้ได้?” หลงซานพูดด้วยสีหน้าสุดแตกตื่น

โจวเหว่ยเองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็หันกลับมาบอก “ใครจะบรรลุระดับมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า! เจ้าจะบอกว่านั้นเป็นการบรรลุของเย่หยวนรึไง? เฮอะ เฮอะ พลังขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ได้ รีบ ๆ ไสหัวไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า!”

เวลานั้นทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหลขึ้นทันที

การบรรลุนี้มันเหมือนท่อสูบพลัง ดูดพลังวิญญาณของทั้งเมืองให้ไหลไปอยู่ในที่เดียว

“เกิดอะไรขึ้น? หรือมีผู้อาวุโสคนไหนกำลังบรรลุอย่างนั้นรึ?”

“ความโกลาหลระดับนี้ แม้แต่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวหรือห้าดาวก็ยังไม่น่าทำได้ขนาดนี้ใช่ไหม?”

“ใครกันที่กำลังบรรลุขั้นอยู่ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว ใช่ไหม? ด้วยพลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังตัวแตกตายได้!”

ตอนนี้นักยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์เพื่อดูว่ามีใครกันที่สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ขนาดนี้ด้วยการบรรลุระดับ

เมื่อเห็นว่าเยวี่ยเมิ่งลี่เอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมไปเสียที โจวเหว่ยจึงขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมา “ยังไม่ไปกันอีกเรอะ หรืออยากต้องให้ข้าทำการส่งแขกให้?”

แต่เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ยังไม่คิดจะขยับ และจู่ ๆ นางก็เปิดปากขึ้นพูด “พี่หยวนล่ะ! นี่มันการบรรลุของพี่หยวน! เขากลับมาแล้ว!”

หน้าของโจวเหว่ยเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนเขาจะตะคอกขึ้น “พูดบ้าบออะไรของเจ้า? เย่หยวนมันตายในห้วงมิติสืบทอดไปนานแล้ว จะมาบรรลุอะไรได้ยังไง? ที่สำคัญต่อให้เป็นมัน การบรรลุระดับนี้จะเป็นของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ยังไงกัน?”

เยวี่ยเมิ่งลี่หันไปมองหน้าโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้น “โจวเหว่ย หากนี่เป็นพี่หยวนจริง ๆ แล้วเจ้ายังคิดจะไล่เราออกไป เจ้าก็น่าจะรู้ถึงผลที่จะตามมาดีนะ!”

นั้นทำให้หน้าของโจวเหว่ยซีดลงทันที ตอนนี้หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

…………………………………………………….ตอนที่ 1604 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่

“พวกเจ้ามันก็เป็นได้แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ปีกของเย่หยวน! หากไร้ซึ่งเย่หยวนพวกเจ้ามันก็ไร้ค่าใด ๆ”

คำของโจวเหว่ยนั้นปักลงลึกในจิตใจของทุกผู้คน มันทำให้ผู้ที่ทะนงตัวต้องเดือดดาลขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิ้งหมัวหู่ที่ตอนนี้เขาโกรธจนควันออกหูแล้ว

“ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! นายน้อยคนนี้จะขอเสี่ยงชีวิตสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!”

ร่างของอิ้งหมัวหู่พลันเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยทันที

นั้นทำให้โจวเหว่ยต้องอมยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะส่งฝ่ามือของตัวเองออกมาด้านหน้า

อิ้งหมัวหู่รู้สึกได้ว่าพลังของฝ่ามือนั้นมันช่างแข็งแกร่งจนทำให้ผู้ที่ต้องพบเจอต้องรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที

“อ๊อก!”

อิ้งหมัวหู่กระอักเลือดออกมา เขารู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างของเขาในตอนนี้มันหักจนหมดสิ้น

เยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นแบบนั้นก็หน้าซีดขึ้นทันทีก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปรับตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้

แต่พลังอันรุนแรงนั้นกลับส่งร่างของนางกระเด็นลอยไปพร้อม ๆ กันด้วย

ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าช่างแข็งแกร่ง!

โจวเหว่ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้น “เห็นไหมล่ะ? รับฝ่ามือจากข้าไม่ได้สักฝ่ามือด้วยซ้ำ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองมิใช่มดปลวกอีกรึ? หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเจ้าคนตายไปนานแล้ว แต่ทว่า…ต่อให้อยู่ก็คงไม่นาน”

เยวี่ยเมิ่งลี่มองดูหน้าของโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้าปฏิบัติกับเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสที่สองจะรู้เรื่องเลยรึ?”

โจวเหว่ยจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ผู้อาวุโสที่สองกำลังอยู่ในการเก็บตัว ศิษย์ของท่านที่ใกล้ชิดกับเย่หยวนเองก็กำลังยุ่งมือเป็นพัลวัน หากเจ้าโดนไล่ออกไปจากเมืองชั้นในและไปตายที่อื่นเสียก่อน เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะมาล้างแค้นให้คนตายอย่างพวกเจ้ารึ?”

ใบหน้าของเยวี่ยเมิ่งลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนจะตะโกนกลับไป “เหมือนว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝั่งนั้นจะควบคุมอะไรไม่ได้แล้วสินะ!”

โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบกลับไป “เพราะฉะนั้น หากอยู่ก็จงหาผลึกปราณเทวะมาจ่ายเสีย! ตอนนี้จงมอบผลึกปราณเทวะมา พวกเจ้ามีกันห้าคน ก็จงจ่ายมาตามกฎสองล้านห้าแสนผลึกปราณเทวะ”

อิ้งหมัวหู่กัดฟันกรอดพยายามที่จะส่งตัวเองลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟังคำสั่ง

สายตาของเยวี่ยเมิ่งลี่มองไปทางโจวเหว่ยอย่างโกรธแค้นก่อนจะพูดขึ้น “เราจะจ่าย!”

และอย่างที่นางว่า เยวี่ยเมิ่งลี่หยิบแหวนออกมาและโยนมันไปทางโจวเหว่ยอย่างเต็มแรง

ที่ด้านข้างเองหลงซานก็กำลังกัดฟันแน่นก่อนจะบอกขึ้นมา “แม่นางลี่เอ๋อ ข้า…ข้าจะออกจากเมืองไปเอง ท่านมิต้องจ่ายให้ข้าหรอก!”

เยวี่ยเมิ่งลี่ตะโกนสวนกลับไป “หยุดเลย! หากเจ้าออกไปจากเมืองตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ได้รึ?”

หลงซานจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง “หลงซานผู้นี้เป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่นายท่านกลับให้โอกาสข้าได้มาเกิดใหม่! หากวันนี้ข้าจะขอชดใช้บุญคุณด้วยชีวิตมันจะผิดด้วยหรือ?”

เยวี่ยเมิ่งลี่เองก็แสดงท่าทางหนักแน่นออกมาก่อนจะพูดขึ้น “เรามาด้วยกัน หากมีใครอยากไป เราก็จะไปด้วยกัน! วันข้างหน้าอย่าได้คิดพูดจาอะไรแบบนี้อีก”

โจวเหว่ยกลั้นขำมองดูสภาพละครน้ำเน่าตรงหน้า “เหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะยังมีความหวังกันอยู่สินะ! คนที่ได้เข้าไปในห้วงมิติสืบทอดนั้นไม่เคยมีใครกลับออกมาได้ พวกเจ้าจงลืมเรื่องนั้นไปเสียเถอะ! ฮ่าๆ…”

โจวเหว่ยเดินกลับออกไปพร้อมเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจ ใบหน้าอันโกรธแค้นของทุกคนแสดงออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน

แต่ก็อย่างที่โจวเหว่ยว่า หากไม่มีเย่หยวนพวกเขาก็เป็นได้แค่คนไร้พลังที่ไม่มีปัญญาทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า

ตอนที่เย่หยวนจากไป เขาทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้ราวร้อยล้านชิ้น

แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปี คนทั้งห้าเองก็ใช้ทรัพยากรบ่มเพาะฝึกฝนตัวไม่น้อย

เดิมทีด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่สอง พวกเขายังพอจะอยู่รอดต่อไปได้

แต่ช่วงหลายปีมานี้ ด้วยการขูดรีดของโจวเหว่ย ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสี่ถึงห้าล้านชิ้น

และในวันนี้ยังต้องเสียไปกว่าครึ่งในคราเดียว!

หากโจวเหว่ยมาอีกครั้ง พวกนางทั้งหลายคงไม่มีปัญญาที่จะจ่ายอีกต่อไป

เดิมทีทุกคนเชื่อว่าโจวเหว่ยจะกลับมาอีกในปีหน้า แต่ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่โจวเหว่ยกลับมาอีกครา!

“โจวเหว่ย ภาษีที่เจ้าว่าให้เราจ่ายเราก็จ่ายไปแล้ว ยังจะอยากได้อะไรอีก?” ลี่เอ๋อถามด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป

โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบ “ใครบอกเจ้าว่าภาษีของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรามีแค่อย่างเดียว? ที่เก็บไปคราที่แล้วนั้นเรียกว่าภาษีรายหัว แต่ที่ข้าจะมาเก็บคราวนี้เรียกว่าภาษีพลังวิญญาณ! เมืองชั้นในมันเข้มข้นไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าเมืองชั้นนอกนับสิบเท่า และพวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ความเร็วการฝึกฝนของพวกเจ้าย่อมเร็วกว่าคนที่เมืองชั้นนอกมากนัก แล้วยังจะมาหลบเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีอีกรึ?”

ลี่เอ๋อหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยิน “แล้วเจ้าจะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”

โจวเหว่ยยิ้มออกมา “ไม่มาก ไม่มากเลย แค่สองล้านก็เพียงพอแล้ว!”

“สองล้าน! เจ้าคิดจะปล้นพวกเรารึยังไงกันล่ะ!” ลี่เอ๋อตะโกนสวนออกมา

โจวเหว่ยตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือกฎของจวนเจ้าเมือง หากเจ้าไม่จ่าย งั้นก็ขอโทษด้วย แต่คงต้องให้เจ้าออกจากเมืองชั้นในไปแล้วล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่หน้าเสียทันที ตอนนี้นางไม่สามารถเอาผลึกปราณเทวะมากขนาดนั้นออกมาได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว

นางหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ได้ เราจะออกไป!”

“ไม่นะ พี่สะใภ้ท่านต้องอยู่ เราจะออกไปเอง!” อิ้งหมัวหู่ขัดขึ้น

“พี่ลี่เอ๋อ ท่านออกไปไม่ได้นะ!” ลู่เอ๋อพูดเสริม

ลี่เอ๋อจึงหันไปบอกทั้งคู่ “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว! ทุกคนเก็บของ เราจะออกไปตอนนี้เลย!”

โจวเหว่ยจึงพูดขึ้นด้วยท่าทางอมยิ้ม “หึหึ ต้องแบบนั้นสิ มดปลวกอย่างพวกเจ้าน่ะสมควรไปอยู่เมืองชั้นนอกหรือไม่ก็ไปอยู่เมืองหลวงเสียเถอะ พื้นที่ในเมืองชั้นในมันล้ำค่าเกินกว่าที่พวกเจ้าจะครองไว้ได้มากมายนัก”

แม้จะถูกโจวเหว่ยว่าแบบนั้น พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ทนรับฟัง

หลังเก็บของอยู่สักพัก ตอนที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกไปจู่ ๆ ก็เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากหอยุทธ์

นั่นทำให้พลังวิญญาณในเมืองจักรพรรดิทั้งหมดไหลรวมเข้าไปสู่จุดนั้น ไหลไปรวมกันยังหอยุทธ์

ตอนนี้เหมือนกับว่ามีท่อสูบพลังงานวิญญาณโผล่ออกมาในหอยุทธ์ กระแสพลังวิญญาณจึงไหลไปรวมกันที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง

“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีใครบรรลุระดับหรือ?” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงสัย

“ใครบรรลุระดับกัน? ถึงขนาดที่สร้างคลื่นพลังอันปั่นป่วนแบบนี้ได้?” หลงซานพูดด้วยสีหน้าสุดแตกตื่น

โจวเหว่ยเองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็หันกลับมาบอก “ใครจะบรรลุระดับมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า! เจ้าจะบอกว่านั้นเป็นการบรรลุของเย่หยวนรึไง? เฮอะ เฮอะ พลังขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ได้ รีบ ๆ ไสหัวไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า!”

เวลานั้นทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหลขึ้นทันที

การบรรลุนี้มันเหมือนท่อสูบพลัง ดูดพลังวิญญาณของทั้งเมืองให้ไหลไปอยู่ในที่เดียว

“เกิดอะไรขึ้น? หรือมีผู้อาวุโสคนไหนกำลังบรรลุอย่างนั้นรึ?”

“ความโกลาหลระดับนี้ แม้แต่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวหรือห้าดาวก็ยังไม่น่าทำได้ขนาดนี้ใช่ไหม?”

“ใครกันที่กำลังบรรลุขั้นอยู่ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว ใช่ไหม? ด้วยพลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังตัวแตกตายได้!”

ตอนนี้นักยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์เพื่อดูว่ามีใครกันที่สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ขนาดนี้ด้วยการบรรลุระดับ

เมื่อเห็นว่าเยวี่ยเมิ่งลี่เอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมไปเสียที โจวเหว่ยจึงขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมา “ยังไม่ไปกันอีกเรอะ หรืออยากต้องให้ข้าทำการส่งแขกให้?”

แต่เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ยังไม่คิดจะขยับ และจู่ ๆ นางก็เปิดปากขึ้นพูด “พี่หยวนล่ะ! นี่มันการบรรลุของพี่หยวน! เขากลับมาแล้ว!”

หน้าของโจวเหว่ยเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนเขาจะตะคอกขึ้น “พูดบ้าบออะไรของเจ้า? เย่หยวนมันตายในห้วงมิติสืบทอดไปนานแล้ว จะมาบรรลุอะไรได้ยังไง? ที่สำคัญต่อให้เป็นมัน การบรรลุระดับนี้จะเป็นของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ยังไงกัน?”

เยวี่ยเมิ่งลี่หันไปมองหน้าโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้น “โจวเหว่ย หากนี่เป็นพี่หยวนจริง ๆ แล้วเจ้ายังคิดจะไล่เราออกไป เจ้าก็น่าจะรู้ถึงผลที่จะตามมาดีนะ!”

นั้นทำให้หน้าของโจวเหว่ยซีดลงทันที ตอนนี้หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

…………………………………………………….

ตอนที่ 1603 ข่มเหงผู้คนมากเกินไป

เย่หยวนลืมตาขึ้นทันทีและก้าวเข้าไปหาเล่งหยูในพริบตา

เขาจับคอของเล่งหยูและกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ไปกัน ออกไปกันเถอะ”

พูดจบเย่หยวนก็ก้าวเท้าเดินออกไปอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาก้าวเข้าสู่ห้วงโกลาหลแล้วเรียบร้อย

พื้นที่มิติรอบ ๆ ตัวของพวกเขากำลังพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่ทำให้เล่งหยูใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

พลังเหล่านี้มันรุนแรงเกินบรรยาย หากตัวเขาไปสัมผัสกับมันเข้าสักนิด ร่างกายของเขาคงแหลกเหลวอย่างไม่มีอะไรให้กลบฝังแน่

แต่ทว่าเย่หยวนกลับสามารถพาเขาออกมาได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน เดินหลบเลี่ยงพลังเหล่านั้นอย่างไม่บาดเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย

แม้จะเห็นภาพรอบตัวค่อย ๆ แตกสลายลงเช่นนั้น แต่ตัวเขาทั้งสองคนกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรราวกับว่าพวกเขาอยู่อีกในอีกโลกหนึ่ง

หลังจากความตื่นเต้นจางหาย ตอนนี้เล่งหยูก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาจับใจ

เขาเข้ามาในห้วงมิติสืบทอดนี้ทำไมกัน?

ไม่ใช่ว่ามาเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหรอกหรือ?

เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาแต่หลงอยู่กับความโอหัง คิดว่าจะใช้พรสวรรค์ที่มีในการทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติเพื่อกลายเป็นยอดคน

แต่ความเป็นจริงที่เขาต้องเจอกลับทำให้เล่งหยูได้ทิ้งความหวังลง

แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นไม่ใช่อะไรที่อัจฉริยะทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจมันได้

จนเมื่อไม่นานมานี้เล่งหยูก็ยังเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีทางเข้าใจ คนเราไม่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติในห้วงมิติสืบทอดนี้ได้เลย

เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเห็นเย่หยวนเข้ามาเล่งหยูถึงได้ดูถูกดูแคลนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ ว่ากล่าวว่าเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป

แต่วันนี้เขาได้เห็นแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้มันสามารถสำเร็จได้จริง ๆ

ที่สำคัญเขายังใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น!

นั่นมันทำให้เขาแทบต้องกระอักเลือด

เด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ

เขานั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถและยังสามารถทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้

จะเก่งกาจอะไรขนาดนั้นกัน?!

ส่วนอีกด้านในเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้มันเป็นชีวิตที่แสนลำบากของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่

แม้ว่าพวกนางทั้งหลายจะได้รับการดูแลจากซวนอี้ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสลำดับสอง แต่เขาก็เป็นถึงผู้อาวุโสลำดับสองผู้ยิ่งใหญ่ จะให้เขามาดูแลชีวิตประจำวันให้มันก็คงไม่ใช่เรื่อง

เมื่อเวลาผ่านนานเข้า ชีวิตของพวกนางทั้งหลายก็ยิ่งเจอแต่ปัญหามากขึ้น

ซวนอี้นั้นจัดที่พักขนาดใหญ่ให้พวกเขาในเมือง ปล่อยให้พวกลี่เอ๋อได้อยู่อย่างสบายใจ

ทั้งอาหารและเสื้อผ้าต่างไม่ใช่ปัญหาเลย

แต่เพียงแค่ว่าคำสั่งของซวนอี้มันก็เป็นได้แค่คำสั่งของเจ้านาย เมื่อมันมาถึงคนเบื้องล่างแล้ว เรื่องที่ว่าจะทำตามแบบไหนมันก็อีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง

“ขี้เหนียวกันเสียจริง! ทุกวันนี้ผลึกปราณเทวะที่พวกเราได้รับมันมีแต่จะน้อยลง ๆ เป็นแบบนี้แล้วเราจะฝึกฝนบ่มเพาะวิชากันอย่างไร?” อิ้งหมัวหู่ตะโกนอย่างโกรธเคือง

ลี่เอ๋อจึงถอนหายใจและกล่าวขึ้น “พี่หยวนนั้นหายตัวไปได้หนึ่งร้อยปีแล้ว อำนาจที่เขาเคยมีมันได้จางหายไปจนหมด ตอนนี้ผู้อาวุโสที่สองยังจำบุญคุณเก่าก่อนได้และคอยดูแลเรา แต่ใครจะรู้ว่าบุญคุณนี้มันจะคอยอยู่ค้ำจุนเราไปอีกนานแค่ไหน”

อิ้งหมัวหู่จึงตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เจ้าโจวเหว่ยนั่น มันจะข่มเหงผู้คนมากเกินไปแล้ว! ไม่ยอมล่ะ วันนี้ข้าจะไปหาผู้อาวุโสที่สอง!”

ลี่เอ๋อได้ยินแบบนั้นจึงรีบดึงตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้ “หยุดเลย อย่าได้สร้างปัญหาอีก! ก่อนที่พี่หยวนจะกลับออกมาเราต้องไม่หาเรื่องให้ตัวเองเพิ่มอย่างเด็ดขาด! หากตอนนี้เจ้าไปหาผู้อาวุโสที่สอง แม้จะไม่นับเรื่องที่ว่าเขามีเวลาว่างมาพบเราไหม ต่อให้เจ้าได้พบเขาจริง เขาก็คงจัดการโจวเหว่ยให้แหละ แต่ต่อจากนั้นล่ะ? ในวันข้างหน้าจิตใจของโจวเหว่ยจะเปลี่ยนจากแย่กลายเป็นร้าย! บุญคุณที่พี่หยวนมีมันจะช่วยปกป้องเราได้ระยะหนึ่ง แต่หากบุญคุณนั้นถูกชดใช้จนหมดแล้วล่ะ หากพี่หยวนคิดจะอยู่ในนั้นเป็นพันปีล่ะ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะยังปกป้องเราไปได้นานขนาดนั้นรึ?”

ลี่เอ๋อนั้นสามารถมองสถานการณ์ภาพรวมในตอนนี้ได้อย่างเด็ดขาด

เดิมทีด้วยพลังของพวกนางทั้งหลาย มันไม่มีทางเลยที่จะได้เข้ามาอยู่เขตชั้นในของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

เหตุผลเดียวที่พวกนางยังอยู่ในนี้ได้นั้นเป็นเพราะบารมีของเย่หยวน

ผู้อาวุโสที่สองนั้นเป็นยอดคนดีที่หาตัวจับได้ยาก แต่เขาก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยจัดการอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกับคนทั่ว ๆ ไปเลย

ทีแรกบางทีผู้อาวุโสที่สองอาจจะดูแลพวกเขาเพราะบุญคุณที่ติดค้างเย่หยวน

แต่ทว่าบุญคุณเมื่อตอบแทนไปเรื่อย ๆ สักวันมันก็ต้องหมด

และยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสที่สองนั้นหากเข้าสู่การเก็บตัวทีหนึ่งมันอาจจะกินเวลานับร้อยปี พันปี แล้วเขาจะยังดูแลพวกนางต่อได้ยังไง

เพราะพวกนางหลายคนเป็นได้แค่ประชากรชั้นต่ำของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ การได้มาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้มันแปลกประหลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้ มีหรือที่คนจะไม่หันมามองด้วยความริษยา?

เยวี่ยเมิ่งลี่นั้นมองเห็นภาพอย่างชัดเจน ตราบใดที่เย่หยวนยังไม่กลับมา สถานการณ์แบบนี้ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

การไปหาผู้อาวุโสที่สองตอนนี้มันอาจจะทำให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือชั่วคราวมา แต่มันจะทำให้สถานการณ์โดยภาพรวมนั้นแย่ลง

“งั้น…งั้นเราสมควรที่จะถูกข่มเหงแบบนี้ต่อไปรึ?” อิ้งหมัวหู่พูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

ลี่เอ๋อนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ “เมื่อพี่หยวนไม่อยู่ เพราะก็มีต้องดูแลตัวเองเท่านั้น! หากมีใครสักคนในหมู่พวกเราเป็นอันตรายไป เจ้าคิดว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง? หากเป็นอย่างนั้นพี่หยวนต้องเผชิญหน้ากับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เลยนะ!”

อิ้งหมัวหู่เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เหงื่อเย็นเหยียบค่อย ๆ ไหลท่วมกายของเขาหลังนึกภาพตาม

ด้วยนิสัยของเย่หยวนแล้ว เขาต้องแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังแน่ เมื่อเกิดความขัดแย้งกับกองกำลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว ต่อให้ผลมันจะออกมาเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ

“พี่ลี่เอ๋อ นายน้อยไม่ได้ออกมาตั้งนานขนาดนี้ หรือว่าเขาจะไปเจอกับอันตรายใดเข้า?” ลู่เอ๋อพูดอย่างกังวลใจ

ลี่เอ๋อจึงยิ้มขึ้นปลอบ “นี่คือนายน้อยของเจ้านะ หรือว่าเจ้าจะยังไม่รู้จักเขาดี? ต่อให้คนทั้งโลกคิดว่าเขาตาย เราก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขาไว้!”

ลู่เอ๋อจึงพยักหน้ารับออกมา “อืม หากนายน้อยออกมาเมื่อไหร่เขาคงทำให้ทั้งเมืองปั่นป่วนอีกครั้งแน่ ๆ ให้พวกที่มารังแกเราได้รู้ซึ้งถึงรสชาติ!”

“ฮ่าๆๆ! นี่มันก็ผ่านมาตั้งหนึ่งร้อยปีแล้วพวกเจ้ายังไม่ตื่นจากฝันหวานเสียทีเรอะ? นายน้อยของพวกเจ้า เย่หยวนมันออกมาอีกไม่ได้แล้ว!”

ตอนนั้นเองที่มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังก้องกังวานขึ้น พร้อมประโยคที่เต็มไปด้วยคำดูถูก

เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน เขาก็ตะโกนขึ้นดว้ยความโกรธทันที “โจวเหว่ย เจ้ามาทำไม?”

นี่คือโจวเหว่ย ผู้พิทักษ์ระดับต่ำของหอยุทธ มีตำแหน่งในจวนเจ้าเมือง

และตอนนี้เขาก็ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพวกเยวี่ยเมิ่งลี่

เพราะนี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสที่สองโดยตรง ในตอนปีแรก ๆ เขาจึงไม่ได้ทำตัวเลวทรามมากนัก

แต่ไม่นานนักเขาก็โดนซ่งฉีหยางซื้อตัวไป

ทำให้วันเวลาหลังจากนั้นของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่ลำบากมากขึ้นในทุก ๆ วัน

ยิ่งนานวันเข้า ผู้อาวุโสที่สองก็ยิ่งงานยุ่ง ทำให้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีก

แม้เขาจะได้สั่งให้ลู่ยี่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกลี่เอ๋อไปแล้ว แต่ลู่ยี่เองก็มีหน้าที่และการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของตัวเอง เพราะฉะนั้นแค่เขาหาเวลามาพบพวกลี่เอ๋อได้ปีละครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว

เมื่อเวลาแบบนั้นผ่านไป ความกล้าของโจวเหว่ยจึงยิ่งเพิ่มพูน

โจวเหว่ยเดินเข้ามากลางโถงและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “ข้ามาบอกน่ะ จากกฎของจวนเจ้าเมือง ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าต้องจ่ายห้าแสนผลึกปราณเทวะต่อคนในทุก ๆ ปี หากไม่มีปัญญาจะจ่ายก็จงออกไปจากเมืองชั้นในเสียให้เร็ว! เมืองชั้นในของเราไม่ต้อนรับพวกขี้เกียจสันหลังยาว!”

คนละห้าแสนผลึกปราณเทวะ นี่ไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ เลย

แม้เย่หยวนจะทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้พวกเขาในจำนวนหนึ่ง แต่หากต้องจ่ายแบบนี้ไป พวกเขาคงอยู่ได้ไม่นานนัก

เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้ยินแบบนั้นเขาก็คำรามขู่ขึ้นทันที “โจวเหว่ย อย่าคิดข่มเหงกันให้มากไป! ที่เราได้อยู่ที่นี่มันเป็นเพราะคำสั่งของผู้อาวุโสที่สอง เจ้ากล้าขู่บังคับเราแบบนี้เรอะ?”

โจวเหว่ยจึงหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบมา “เจ้าต่างหากล่ะที่ต้องรู้จักขอบเขตบ้าง! หากข้าเป็นพวกเจ้าข้าคงออกจากเมืองชั้นในไปด้วยตัวเองแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเอง! ผู้อาวุโสที่สอง? ผู้อาวุโสที่สองท่านมีงานให้ทำไม่มีหมด ท่านจะมาสนใจพวกคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าเรอะ?”

………………………………………………..

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ

Status: Ongoing
จักรพรรดิโอสถแห่งยุคได้ถูกก่อกบฏโดยผู้ทรยศ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา…แผ่นดินไร้ซึ่งนาม ฉิงหยุนซี และผู้ได้รับ แพรไหมหมื่นปี ก่อนที่จะสิ้นชีพลง….
กาลเวลาผ่านไป…เขาได้กลับมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายเจ้าของคนเก่ากำลังเดินเล่นอยู่ใน สำนัก…
ข้าจะทลายสวรรค์ให้สิ้น…ด้วยโอสถในมือข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท