ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 139

ตอนที่ 139

ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 139 ร่องรอย
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หลีมู่ถืออ่างล้างหน้าเข้ามาแล้วมองซูเหลียนอวิ้นที่อาบน้ำเรียบร้อยอย่างไม่แปลกใจ

“อืม” เรื่องราวกวนใจจบสิ้นไปหมดแล้วจะให้นั่งเศร้าและมัวแต่อมความทุกข์อยู่คงยาก

“วันนี้อากาศไม่เลวเลยนะ” เมื่อผลักหน้าต่างเปิดออกไป ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงทอดถอนใจเบาๆ “พระอาทิตย์ดวงใหญ่ยิ่ง”

“ใช่เจ้าค่ะ” หลีหมู่วางอ่างไว้อีกด้านหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “อากาศดีเช่นนี้ คุณหนูมีแผนจะออกไปไหนหรือไม่เจ้าคะ? ช่วงนี้คุณหนูอยู่เรือนตลอด หากได้ออกไปเดินเล่นบ้างก็คงดีไม่น้อย”

“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ใช่ ข้าอยากจะออกไป”

เรื่องนี้จะต้องเร่งมือทำหน่อยเพราะตอนนี้นางไม่อยากเห็นหน้าต้วนเฉินเซวียนอีกต่อไป ดังนั้นต้องถือโอกาสที่แผลของเขายังไม่หายดีแล้วรีบไปจัดการซะ!

ตอนนี้นางยังไม่ได้เข้าวังไปขอบคุณฮองเฮาหลังจากที่ทรงประทานของขวัญให้นางในงานพิธีปักปิ่นเลย แม้ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะไม่มีกฎระเบียบอะไรที่ตายตัว แต่ผู้ที่ให้ของขวัญนางเป็นถึงฮ่องเต้กับฮองเฮาเชียวนะ! ครั้งนี้นางจึงจำเป็นต้องไป

เฮ้อ

“เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายถึงฮองเฮาก่อนว่าพวกเราจะไปเข้าเฝ้า” หากว่ากันตามจริง ตนมาเขียนเอาตอนนี้ถือว่าสายเกินไปแล้วหรือไม่ ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ เนื่องจากการจะเขียนจดหมายประเภทนี้ส่วนมากมักจะเขียนกันล่วงหน้า แล้วอีกไม่กี่วันต่อจากนั้นถึงจะมีการตอบจดหมายกลับ

อีกอย่าง…ฮองเฮาจะเขียนจดหมายตอบนางทันภายในช่วงบ่ายวันนี้หรือ! เรื่องนี้จะช้ามิได้นะ!

เพราะว่าสถานที่ที่ต้วนเฉินเซวียนชอบไปมากที่สุดก็คือที่ตำหนักของฮองเฮาหรืออาจจะถือว่าเป็นสถานที่ที่สองหรือที่สามก็เป็นได้! นางรู้สึกราวกับว่าครั้งนี้เปรียบเสมือนการถือปืนด้ามเดียวบุกเข้าไปในถ้ำเสือ! และเนื่องจากคนที่ได้รับของขวัญมีนางเพียงคนเดียว ดังนั้นหากพาคนอื่นอย่างเช่นอันเพ่ยอิงเข้าไปด้วย..เกรงว่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก!

“เขียนเสร็จแล้ว”

ซูเหลียนอวิ้นหยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาเป่าสองสามทีแล้วนำมันใส่ไปในซองจดหมาย จากนั้นจึงหันไปแล้วส่งให้หลีมู่ “นี่คือจดหมายขอเข้าพบฮองเฮา ด่วนจี๋เลยนะ! ดังนั้นตอนเอาจดหมายไปส่งเจ้าต้องรีบวิ่งหน่อย!

“เอ่อ ได้เจ้าค่ะคุณหนู” หลีมู่รับจดหมายมาแล้วพยักหน้ารับคำ “บ่าวทราบแล้ว”

“ไปเถิด”

หลังจากที่หลีมู่ออกไปแล้ว ห้องของซูเหลียนอวิ้นพลันเงียบสงบ วันนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่ ใหญ่มากเสียจนรู้สึกว่ามันเสียดแทงลูกตาเป็นพิเศษ

สว่างจ้าขนาดนี้…แถมตอนนี้ยังเป็นตอนกลางวันอีกต่างหาก…คงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง

ซูเหลียนอวิ้นเลื่อนลังออกมาอย่างระมัดระวังแล้วปลดกลไกออก จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบกระบี่จิ้งหว่านออกมา

ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ด้ามกระบี่ยังคงปราดเปรียวและสวยงามเป็นประกายเช่นเดิม ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกทนไม่ไหวจึงดึงกระบี่ออกมาจากปลอก

ตอนนี้ไม่มีต้วนเฉินเซวียนอยู่แล้วรวมถึงคนอื่นๆ ด้วย กระบี่เล่มนี้…ต่อให้เกเรเหมือนอย่างเคยก็ไม่มีใครรู้!

ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่คมกระบี่ที่ยังคงเป็นภาพที่นางคุ้นเคย แต่ว่า…เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมือนแต่ก่อน

ซูเหลียนอวิ้นจึงนำกระบี่ออกมาส่องต้องกับแสง พลางดูซ้ายทีขวาทีอยู่หลายรอบ นางคงมิได้จำผิดไปกระมัง เหตุใดจึงรู้สึกว่า…

‘ตัวอักษรบนกระบี่หายไปได้อย่างไร! ‘

ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะรู้ตัวในตอนนั้น เดิมทีบนด้ามของกระบี่เล่มนี้ทั้งสองด้านได้สลักตัวอักษรคำว่าจิ้งหว่านไว้สองคำ ทว่าตอนนี้ทำไมตัวอักษรนั้นถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้เล่า ตัวอักษรที่สลักไว้ด้านบนหายไปได้ด้วยหรือ?! ไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้!

คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรก็เป็นการคิดเรื่อยเปื่อย! เอาไว้ทดสอบตอนเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะดีกว่า!

นี่คงจะมิได้เกิดขึ้นเพราะว่าวันนั้นเลือดของตนไหลไปโดนกระบี่เล่มนี้จนทำให้ตัวอักษรบนกระบี่นี้หายไปกระมัง เอ่อ…หากวิเคราะห์ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระบี่เล่มนี้ถือว่ากลายเป็นของนางแล้วใช่หรือไม่

‘ในนิยายต่างว่ากันไว้ว่าอย่างนี้นี่! ‘

ไม่ว่าจะเป็นในตำนานหรือว่านิยาย ล้วนเขียนไว้เช่นนี้ทั้งนั้น!

ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ผลักประตูเข้าไปแล้วตะโกนเรียก “หลานเย่ว์!”

“อยู่นี่แล้วขอรับคุณหนู” หลานเย่ว์ปรากฏตัวตรงหน้าซูเหลียนอวิ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเหตุการณ์ที่เขาโดนยาสลบเป็นต้นมา หลานเย่ว์ก็เริ่มเข้มงวดกับตัวเองมากยิ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะมีคนกล้าดีบุกเข้ามาในเรือนเสียแล้ว

“มา มาประลองฝีมือกับข้าดีกว่า” ซูเหลียนอวิ้นกวัดแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือ “ครั้งนี้พวกเราทั้งคู่มาลองใช้กระบี่กัน มา ข้ามีกระบี่แล้ว!”

นางต้องลองทดสอบดูว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่

เนื่องจากหลานเย่ว์เป็นบุรุษและไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับนาง หากมันไม่ทำร้ายหลานเย่ว์…ซูเหลียนอวิ้นก็จะคิดว่า เรื่องราวในวันนั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน…เพราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกระบี่เล่มนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น?

“ขอรับ” หลานเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ขอรับคุณหนู แต่เดี๋ยวบ่าวจะเรียกเพื่อนมาอีกคน เพื่อมาเป็นเพื่อนฝึกฝีมือกับคุณหนู”

“ได้หมด เจ้าเรียกมาเถอะ”

“อวี่ซาง! ออกมา!” หลานเย่ว์หันไปทางด้านหลังเรือนแล้วตะโกนเรียก

“อวี่ซางรึ” ซูเหลียนอวิ้นถามอย่างแปลกใจ “คนอีกคนที่เจ้าว่าก็คืออวี่ซางรึ”

“ขอรับ” หลานเย่ว์พยักหน้า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ เขารู้จักขอบเขตดี” ความแค้นเคืองและดูถูกดูแคลนของอวี่ซางต่อซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปนั้น หลานเย่ว์รับรู้ทุกอย่าง ดังนั้นการที่หลานเย่ว์เรียกอวี่ซางออกมาโดยใช้ข้ออ้างว่ามาเป็นคู่ซ้อมของซูเหลียนอวิ้น ในความเป็นจริงแล้วเขาเพียงหวังให้อวี่ซางยอมรับความจริง

ตอนนี้เจ้านายของพวกเขาคือซูเหลียนอวิ้นแล้ว! ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้านายจะเป็นใคร องครักษ์ก็จะปกป้องเจ้านายเพียงคนเดียว หากอวี่ซางไม่สามารถยอมรับความอึดอัดตันใจนี้ได้ ไม่ต้องให้ถึงมือซูเหลียนอวิ้น แต่เป็นเขาที่จะเป็นคนบอกซูมั่วเยี่ยด้วยตัวเองว่าให้นำตัวอวี่ซางกลับไป

เพราะหากเขามีความในใจอยู่แม้จะเพียงเล็กน้อย แล้ววันหนึ่งถูกผู้มีแผนการหลอกใช้เข้า หากเรื่องเลยเถิดจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะแก้ไข เขาคิดว่าเขามิอาจปล่อยให้คุณหนูต้องเสี่ยงกับความน่าจะเป็นเช่นนี้

“พี่ใหญ่เรียกข้าหรือ!” สักพักหนึ่งอวี่ซางก็เดินออกมาช้าๆ ตามเนื้อตัวของเขายังมีดินโคลนติดอยู่ดูแล้วน่าขันระคนสงสาร

“เหตุใดเจ้าจึงออกมาด้วยสภาพเยี่ยงนี้!” หลานเย่ว์ขมวดคิ้ว ตอนแรกเขาคิดอยู่ว่าที่อวี่ซางออกมาช้าคงเป็นเพราะว่าเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ แต่นึกไม่ถึงว่าขนาดไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ายังจะออกมาช้าขนาดนี้? น่าขายขี้หน้าต่อคุณหนูยิ่งนัก!

กล่าวได้ว่า การที่หลีมู่จัดแจงทุกอย่างให้แก่หลานเย่ว์อย่างเรียบร้อยนั้น ทำเอาเขากลายเป็นพ่อบ้านไปเสียแล้ว

“ข้า…” อวี่ซางคิดอยากจะบ่น เป็นเพราะเจ้านายใหม่ของพวกเรามิใช่หรือ งานที่ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงให้เขาทำนั้น! มีองครักษ์ที่ไหนต้องมานั่งถอนหญ้าเช่นนี้?! เป็นเรื่องที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน? น่าเสียดายของอย่างยิ่ง!

อีกอย่างงานที่พี่ใหญ่ทำอยู่ที่นี่มาก่อนหน้านี้ คืองานถอนหญ้าเช่นนั้นหรือ ความไม่พอใจในตัวซูเหลียนอวิ้นของอวี่ซางยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ช่างเป็นแม่นางที่อ่อนต่อโลกเสียจริง องครักษ์มิใช่บ่าวรับใช้! พี่ใหญ่ก็นิสัยดีเสียจริงถึงให้เขามาทำงานเช่นนี้ ตอนนี้ตนขายหน้าไปมากเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว! หากไม่เห็นแก่หน้าของพี่ชายของนาง…เฮอะใครจะอยากรับใช้คุณหนูที่ตาไม่ถึงเช่นนี้!

ตอนนี้อวี่ซางเข้าใจแล้ว วันนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นบอกให้เขาทำงานแทนพี่ใหญ่ นั่นคือหลุมที่นางวางกับดักเอาไว้แต่แรก!

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Status: Ongoing
  ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท