“โม่โยว คุณนั้นยังไม่อยากให้อภัยผมใช่ไหม? หรือว่า คุณคิดว่าผมนั้นไม่จริงใจมากพอ? อย่างนั้นก็ดี ถ้าเกิดว่าผมคุกเข่ายอมรับผิดกับคุณ คุณถึงจะยอมให้โอกาสผมใช่หรือเปล่า”
คำพูดผ่านๆแค่ไม่กี่คำ โม่โยวฟังแล้วเมหือนกับฟังเรื่องที่น่าตกใจมากอย่างนั้น มองเขาอย่างเหลือเชื่อ ต้องบอกเลยว่า เขาทำให้โม่โยวมองเขาใหม่อีกแล้ว
ได้ยินเสียงปีกดังขึ้น โม่เทียนยวี๋คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ เธอตกใจจนต้องเบิกตาโต เงียบไปโดยไม่พูดอะไรอยู่ชั่วครู่
ภาพนี้ ทำให้คนภายในคาเฟ่ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือว่าลูกค้าตกใจไปตามๆกัน มองมาทางนี้กันไม่หยุด แล้วเริ่มวิจารณ์
“โม่โยว ผมขอคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าคุณ ผมไม่ขออะไรเลย เพียงแค่หังว่าคุณจะให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ” ดวงตาของโม่เทียนยวี๋หลุบต่ำลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจท้อแท้
“พระเจ้า ผู้ชายคนนั้นถึงกับคุกเข่าเลย”
“ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนเขาใช่ไหม ทำไมเขาจะต้องคุกเข่าลงด้วย”
“เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเขาบอกแล้วเหรอ เขาคุกเข่ายอมรับว่าผิด ผู้ชายหล่อขนาดนี้คุกเข่าให้ บาปกรรมจริงๆ”
“ผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่แข็งเกินไปหน่อยหรือไง แฟนของเธอทำถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีท่าทีไม่แยแสอยู่ได้ ถ้าเกิดเป็นฉันคงให้อภัยไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่ว่าหนุ่มหล่อคนนี้จะทำอะไรผิด แต่ว่าการคุกเข่าของผู้ชายนั้นมีค่าเหมือนทองนะ คุกเข่าลงได้ก็ถือว่าจริงใจที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ก็ควรจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง”
แล้วก็ยังมีพวกเด็กสาว ที่เห็นว่าโม่เทียนยวี๋นั้นหล่อเหลา เลยดูเรื่องที่เกิดขึ้นไปแถมยังไม่บ่นเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่พูดสั่งโม่โยวออกมาอย่างเสียงดังว่าให้ให้อภัยโม่เทียนยวี๋
ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังโทษว่าโม่โยวนั้นเลือดเย็น ไร้ความรู้สึก
ถึงขนาดที่ว่า โม่โยวที่ไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ๆก็โดนการกระทำของโม่เทียนยวี๋ ทำให้กลายเป็นหัวข้อในการสนทนาของทุกคน
โม่โยวก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาในทันที การถูกมัดด้วยศีลธรรมอันรุนแรงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกเกลียด
ลู่จิ้นยวนมองหน้าจอที่เกิดการเปลี่ยนขึ้น สีหน้าก็เย็นชาจนน่ากลัว นัยน์ตาเย็นชามองไปที่โฒ่เทียนยวี๋ เหมือนกับกำลังมองคนที่ตายไปแล้ว
เขานั้นไม่ได้กังวลความปลอดภัยของโม่โยวเลย ยังไงเสีย ข้างนอกคาเฟ่ก็คือลูกน้องของเขาที่ส่งไปคอยปกป้องโม่โยว แต่ว่ากับผู้หญิงของเขาที่โดนชี้นิ้วด่าโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขานั้นจะคิดบัญชีแค้นนี้กับโม่เทียนยวี๋
อันเฉินอันที่ยืนอยู่ข้างๆทำท่างุนงง
“บอส คุณไม่คิดว่ามันประหลาดไปหน่อยหรือครับ? ตามที่เรานั้นได้ตรวจสอบโม่เทียนยวี๋มา ต่อให้เขานั้นจะชอบคุณหนูโม่จริง แต่ก็ไม่มีทางทำจนถึงขั้นนี้แน่”
“จากนิสัยของเขา ทำให้เขาถึงกับคุกเข่าเพื่อขอให้โม่โยวกลับไป นี่ผิดปกติมากเลยนะครับ”
ลู่จิ้นยวนไม่พูด เกี่ยวกับจุดนั้น เขานั้นรู้สึกได้อยู่แล้ว แต่ว่าเขานั้นสนใจตัวของโม่โยวมากกว่า
“ถ้ามันมีปัญหา ก็สั่งให้คนตรวจสอบต่อไป” เขาสั่งออกมาอย่างเย็นชา
“ครับบอส”
ภายในร้านคาเฟ่
มองแต่ละคนที่แสดงความคิดเห็นออกมา คิดว่าเธอนั้นควรจะให้อภัยโม่เทียนยวี๋ แล้วก็ให้โอกาสโม่เทียนยวี๋อีกครั้ง คนพวกนี้ หน้าเครียดเป็นอย่างมาก
เธอทนไม่ได้ต้องหันไปมองโม่เทียนยวี๋อีกครั้ง อีกฝ่ายยังคงก้มหน้าแล้วก็คุกเข่าอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงรอบๆที่มีคนออกมาพูดแทนเขา
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูด แต่ว่าการกระทำของเขา ก็จัดอยู่ในรูปแบบของการบีบบังคับด้วยความเงียบอยู่แล้ว สีหน้าของโม่โยวนิ่งเฉย
เธอเหลือบตาขึ้น สายตาก็มองไปยังคนที่พวกนั้นที่วิจารณ์เธอ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่ว่าในตอนสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หมุนตัวจากไปเลยง่ายๆ ก่อนจะเดินออกไปสายตาไม่ได้มองโฒ่เทียนยวี๋เลยสักนิด
โม่เทียนยวี๋ตกใจมาก แล้วรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามโม่โยวออกไปทันที
แต่ว่าคนที่ตามโม่โยวมาจะปล่อยให้เขาตามเธอไปได้ยังไง ก้อนหินก้อนเล็กปาออกไป ทำให้เขานั้นนอนกองอยู่บนถนนราวกับลูกหมาตัวหนึ่ง แล้วก็ไปโดนเข้ากับน้ำที่ขังอยู่บนพื้นอยู่พอดี
ในตอนนี้ กำลังอยู่ตรงข้ามกับรถคันใหญ่ที่กำลังขับมาพอดี ซ่า น้ำสกปรกก็สาดเข้ามาโดนจนตัวเปียกโชก
โม่เทียนยวี๋: “……”
เขาหมดหนทาง ทำได้แค่เพียงต้องกลับไปก่อน มองสถานที่ที่โม่โยวหายไป สีหน้าหงุดหงิดด่าออกมาสองสามประโยค
กรคุกเข่าคือสิ่งที่เขานั้นคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นการกระทำสุดท้ายที่จะทำ เพียงแต่ไม่ถึง โม่โยวนังหญิงแพศยาคนนั้นจะเปลี่ยนไปแล้ว
จากห้าปีที่ผ่านมาที่เขารู้จักโม่โยว เธอนั้นใจอ่อนมาตลอด แต่ก่อนยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าตัวเองจะพูดอะไรก็คืออย่างนั้น ตอนนี้ตัวเองพูดออกมามากขนาดนั้น ในตอนสุดท้ายถึงทำขั้นนั้นออกมา แต่กลับยังคงไม่มีผล นี่เป็นสิ่งที่เขานั้นคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
แต่ว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้แน่ ต่อให้สุดท้ายแล้วต้องใช้วิธีสกปรก เขานั้นก็เป็นที่จะต้องแต่งงานกับโม่โยวให้ได้
หึ ก็ในเมื่อคุยกันดีแล้วผู้หญิงแพศยาคนนี้ไม่ชอบ อย่างนั้นก็อย่ามาโทษเขาแล้วกัน
ตอนแรกลู่จิ้นยวนนั้นคิดวิธีเอาไว้มากมาย เตรียมที่จะโม่เทียนยวี๋เสียหน่อย ให้ดีที่สุดก็คือให้เขานั้นนอนอยู่บนเตียงไปสักครึ่งปี แต่ตอนหลังคิดๆดูแล้ว ไม่ทำอะไรที่วู่วามแบบนั้นดีกว่า
ยังไงมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ โม่โยวก็ไม่มีทางกลับไปคบกับโม่เทียนยวี๋แล้วจริงๆ ถ้าหากเป็นอย่างนี้ เขานั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือทำอะไร ถ้าเกิดในตอนท้ายโฒ่โยวรู้ขึ้นมาจะได้ไม่มีความรู้สึกไม่ดีต่อเขา
พอแน่ใจแล้วว่าโม่เทียนยวี๋ไม่มีทางที่จะทำให้หัวใจของโม่โยวนั้นเต้นแรงได้อีกแล้ว ลู่จิ้นยวนก็เริ่มที่จะจีบโม่โยวอย่างบ้าคลั่ง บอกกับทุกๆคนว่าเขานั้นมีสิทธิ์ในตัวเธอ
แน่นอน การกระทำนี้ ง่ายที่สุด ก็คือการที่เอาตัวลูกชายออกมา
ดังนั้น ในสายตาของพนักงานที่บริษัทตระกูลลู่ ตัวของหนุ่มน้อยลู่อันหรานนั้นแบกความรับผิดชอบหนักมาก ยืนอกยืดตัวตรงแล้วก้าวขาเล็กๆ วิ่งไปทางที่จะไปแผนกออกแบบ
เกี่ยวกับคุณชายน้อยของตระกูลลู่นี้ ทั้งบริษัทมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก การมาของเขา ก็ยังพอเรียกความสนใจได้มาก แน่ล่ะ ที่มันจะเรียกความสนใจได้มากกว่ากำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
“หม่าม้า หม่าม้า……”
เสียงที่ออดอ้อน น่ารักอ่อนหวานนั่นดังขึ้น พอลิฟต์เปิดออกที่แผนกออกแบบ ก็เริ่มขึ้นแล้ว แถมยังไม่หยุดลงอีกด้วย
หลัจากนั้น พนักงานทุกๆคนก็สงสัยกันเป็นอย่างมาก มองคุณชายน้อยของพวกเขาตาปริบๆ ปากร้องเรียกแม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจแล้ววิ่งเข้าไปในแผนกB
โม่โยวเดินออกมาจากห้องทำงานพอดี บนต้นขาก็มีเด็กตัวน้อยเกาะอยู่
“หม่าม้า ผมคิดถึงจังเลยครับ หม่าม้าคิดถึงอันหรานไหม?”
หา…….
ภาพตรงหน้า ทำให้พนักงานทุกๆคนสูดลมหายใจเข้าไป ต่างคนต่างมองหน้ากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย ตัวเองนั้นมองผิดไปหรือเปล่า ฟังผิดแล้ว?
แต่ว่าก็เห็นได้ชัด ไม่ว่าพวกเขานั้นจะขยี้ตาไปเท่าไหร่ ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นก็ยังไม่หายไป
ทั้งชั้นนั้นตกอยู่ในความเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาตาละคู่นั้นมองมาทางนี้อย่างสนใจ
โม่โยว: “……”
สถานะของลู่อันหรานนั้นยิ่งกว่าพิเศษ ถึงขั้นที่ว่า ตัวเองนั้นเป็นถึงแม่ของเขา เพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มปัญหาที่ไม่จำเป็น เธอนั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงอย่างรู้ตัว
จุดๆนี้ เธอไม่ได้แค่เพียงเคยพูดกับลู่จิ้นยวน แล้วก็พูดกับลูกชายแล้วด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่า ลูกชายในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องที่ได้บอกไปในตอนก่อนหน้าไปจนหมดแล้ว
โม่โยวมีความรู้สึกล่วงหน้าได้ว่า หลังจากวันนี้ ชีวิตของเธอหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนไปไม่สงบสุขยิ่งกว่าเดิม คิดไปอย่างนี้ เธอมองไปยังลูกชายที่กำลังกอดต้นขาของเธออยู่ อยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ในหัวก็คิดว่า เวรกรรมจริงๆ