เวินหนิงเดินกลับจนถึงโรงแรม
เธอทนใจแข็งไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียว
ลู่จิ้นยวนไม่ได้ตามมา ซึ่งเธอก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่ในใจกลับเจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว
ดวงตาแดงรื้อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ที่แท้ เธอก็ไม่ใช่ไม่แคร์เขาอย่างที่เคยเข้าใจ
เวินหนิงปาดนำ้ตาบนหางตา ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเดินเข้าห้อง
เธอไม่อยากให้ลู่อันหรานเห็นความผิดปกติ
แต่เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อันหรานนั่งเหม่ออยู่บนเตียง
ของกินที่ซื้อมาให้ก็ไม่พร่องไปแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนคนมีเรื่องในใจ
เวินหนิงรีบเดินเข้าไปหา “อันหราน เป็นอะไรลูก ทำไมไม่กินอะไรเลย ลูกน่าจะหิวแล้วนะ”
“ผมกินไม่ลง”
ลู่อันหรานมองหน้าเวินหนิง เขารู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แล้วจะให้เขากินอะไรลงได้ไง
“แม่ครับ แม่ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอ?”
เวินหนิงส่ายหน้า พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน แต่พูดคุยกันด้วยเหตุและผลอย่างดี เพียงแต่ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่ลู่อันหรานคาดคิด
“แล้วพ่อล่ะครับ? ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน?”
ลู่อันหรานจับปลายเสื้อของเวินหนิงไว้ “เราไปหาพ่อด้วยกันดีมั้ยครับ?”
เวินหนิงอุ้มลูกขึ้นมา: “อันหราน วันนี้พ่อเหนื่อยมากแล้ว ลูกอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่นี่ ให้พ่อเขาอยู่เงียบๆคนเดียวก่อนได้มั้ยครับ?”
เธอพูดอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ฟังดูเด็ดขาด
ลู่อันหรานสงบลง เขารู้สึกว่ามันดูผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
แต่พอเห็นแววตาเวินหนิงที่ดูเศร้าๆ เขาจึงยอมพยักหน้า : “ก็ได้ครับ พรุ่งนี้ค่อยไปหาพ่อก็ได้”
เวินหนิงยกยิ้ม ก่อนจะเอามือขยี้หัวเขาเบาๆจนผมยุ่งเหยิงไปเล็กน้อย: “รีบไปกินอะไรหน่อยลูก เดี๋ยวแม่จะพาไปอาบน้ำ เสร็จแล้วจะได้รีบเข้านอน”
เวินหนิงรอจนลู่อันหรานกินข้าวเสร็จ พาเขาไปอาบน้ำ แล้วอ่านนิทานให้เขาฟังจนกระทั้งเขาหลับไป เธอแอบถอนหายใจเบาๆ
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ลู่อันหรานมีความสุขแบบนี้ตลอดไป แต่ความเป็นจริงมันมักจะไม่เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็น
………
เวินหนิงอยู่เป็นเพื่อนลู่อันหรานในห้องครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เธอไม่อยากทำให้ลู่อันหรานตื่น จึงรีบออกไปรับข้างนอก
ไป๋หลินยวี่เป็นคนโทรฯมา เธอเพิ่งได้ข่าวจากเห่อจื่ออันที่ไปเยี่ยมเธอวันนี้ว่าเวินหนิงจะไปเมืองอื่นพักหนึ่ง
เห่อจื่ออันคิดว่าเวินหนิงน่าจะไปกับลู่จิ้นยวน
ไป๋หลินยวี่ที่ได้ยินว่าเวินหนิงไปเมืองอื่น ก็รีบโทรฯมาหาเพื่อทำให้แน่ใจ และเพื่อให้เห่อจื่ออันสบายใจด้วย
“หนิงหนิง ลูกทำอะไรอยู่?”
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ อยู่ที่โรงแรมค่ะ วันนี้แม่เป็นไงบ้างคะ?”
“แม่สบายดี วันนี้จื่ออันมาเยี่ยมแม่ เห็นถามว่าลูกไปไหน ลูกไปไหนทำไมไม่บอกเขาหน่อย? ทำให้เขาเป็นห่วงรู้มั้ย?”
“หนู…..รีบค่ะเลยไม่ได้บอกเขา”
“แต่มีเวลาบอกลู่จิ้นยวน? หนิงหนิง แม่ก็ไม่ได้อยากว่าอะไรลูกนะ แต่นี่ลูกยังคิดอะไรกับเขาอยู่อีกเหรอ?”
“หนูเปล่านะคะ”
เวินหนิงรีบปฏิเสธ: “วันนี้หนูบอกเขาแล้วว่าต่อไปอย่าให้มาข้องเกี่ยวอะไรกันอีก เขาก็ยอมรับและเข้าใจค่ะ”
ไป๋หลินยวี่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
แต่ทันใดนั้นเธอก็คิดได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่เวินหนิงถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดแบบนี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วใช่มั้ย?”
เวินหนิงหุบตาลง เธอรู้ว่าเรื่องแบบนี้ปิดบังแม่ไม่ได้หรอก เธอจึงเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง
คนเป็นแม่ที่ไหนอย่าให้ลูกตัวเองต้องไปแย่งชิงกับพวกเสือสิงกระทิงแรดทั้งหลายแบบนั้น มันดูเหนือยหนักเกินไป
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่คอยบอกให้เวินหนิงรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับลู่จิ้นยวนให้เด็ดขาด
“คุยกันให้รู้เรื่องแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่อันหรานอาจจะต้องเสียงใจพักใหญ่อยู่”
“หนูจะคอยอยู่เป็นเพื่อนลูกค่ะ”
เวินหนิงเองก็ถอนหายใจ แม่ลูกคุยกันอีกสักพักก็วางสาย
ไป๋หลินยวี่ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปมองเห่อจื่ออันที่ยกน้ำดื่มเข้ามา : “จื่ออัน ในที่สุดหนิงหนิงก็คิดได้ซะที เป็นโอกาสของเธอแล้วนะ”
เห่อจื่ออันนิ่งไป: “เธอบอกเลิกกับลู่จิ้นยวนแล้วเหรอครับ?”
เขารู้สึกแอบดีใจอยู่ลึกๆ
“ใช่ ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดนะ จื่ออันในเมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ขอให้เธอดูแลหนิงหนิงดีนะ”
เห่อจื่ออันฟังแล้ว ก็พยักหน้ารับอย่าแน่วแน่ : “ผมรับปากครับ ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง และจะไม่ทำอะไรให้เวินหนิงต้องเสียใจ”
ไป๋หลินยวี่ยิ้ม: “ฉันเชื่อใจเธอ ตอนนี้หนิงหนิงอยู่ที่เมืองจิงเฉิงฉันบอกให้เขาส่งที่อยู่มาให้แล้ว ถึงเวลาเธอจะไปหาหรือไม่ไปก็แล้วแต่เธอ”
“ผมจะรีบไปทันทีครับ”
เห่อจื่ออันไม่มีวันพลาดโอกาสนี้แน่นอน รู้ทั้งรู้ว่าลู่จิ้นยวนอยู่ที่โน้น แล้วจะให้เขารออยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง แบบนั้นมันไม่ใช่เขา
………..
ตระกูลหยง
ซ่งรั่วอวิ้นกำลังรวบรวมข้อมูลของลู่จิ้นยวนที่ไปสืบค้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แน่นอนย่อมมีข้อมูลของเวินหนิงกับลู่จิ้นยวนติดมาด้วย
เธอพอดูออกว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมันไม่เหลือช่องว่างให้คนอื่นจะเข้าไปแทรกกลางได้อีกแล้ว
ขณะที่กำลังเหม่อคิดอะไรอยู่ ประตูก็ถูกเปิดจากภายนอกอย่างแรง : “ข้อมูลที่ฉันให้หาได้หรือยัง? มัวแต่ชักช้าอะไรอยู่?”
ในนี้ไม่ใครอื่น หยงซือเหม่ยเลยไม่ต้องสนใจวางตัวอะไร
“ฉัน……..”
ซ่งรั่วอวิ้นครุ่นคิดก่อนครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด: “ลู่จิ้นยวนกับผู้หญิงที่มาด้วยในวันนี้ มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และยังมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ชื่อลู่อันหราน ฉันคิดว่าถ้าเธอยังจะตามจีบเขาอีกมันดูจะไม่ฉลาด……..”
ซ่งรั่วอวิ้นอยากจะพูดให้อ้อมค้อมกว่านี้ซะหน่อย แต่หยงซือเหม่อยที่ได้ยินแบบนั้นกลับโมโหขึ้นมา: “ซ่งรั่วอวิ้นเธออย่ามาใช่น้ำเสียงแบบนี้พูดกับฉันนะ พวกเขามีลูกด้วยกันแล้วยังไม่แต่งงานกัน งั้นก็แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะเป็นภรรยาเขา ฉันไม่คิดว่ามันจะไม่ฉลาดตรงไหน”
“แต่…….เธอจะยอมไปเป็นแม่เลี้ยงให้เด็กคนนั้นเหรอ?”
ฉันเช็คมาแล้วเด็กคนนั้นอายุห้าขวบแล้ว คงจะยอมรับคนอื่นมาเป็นแม่เลี้ยงไม่ง่าย…..”
“ไม่มีแต่”
หยงซือเหม่ยหรี่ตามองซ่งรั่วอวิ้น : “มีผู้ชายมาจีบเธอไม่กี่ครั้งก็คิดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นเหรอ? ผู้ชายพวกนั้นแค่ฉันไม่เอาแล้ว ยกให้เธอไม่เห็นเป็นไร หรือคิดว่าอยู่กรมประชาสัมพันธ์มาหลายปีเลยกล้าทำเป็นมาสั่งสอนฉัน?”
ซ่งรั่วอวิ้นถูกว่าจนสีหน้าซีดขาว ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรก็มีเสียงอบอุ่นและอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง
“ซือเหม่ย อาละวาดอะไรอีก?”
พอได้ยินเสียงดังกล่าว หยงซือเหม่ยที่ก่อนหน้านี้สีหน้าโกรธจัดก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างนอบโน้ม