ทันทีที่พูดถึงไป๋ซินหราน ความทรงจำของเจียงซินเฉียวก็ย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องในอดีต
ในปีนั้น เธอรู้จักกับพ่อของไป๋ซินหรานที่โรงเรียน เจียงซินเฉียวเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ และเพราะด้วยหน้าตาที่โดดเด่น ประกอบกับลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยเลยที่คอยตามจีบเธอ ซึ่งก็มีบรรดาพวกคนรวยรวมอยู่ด้วย
แต่เพราะว่าพ่อของไป๋ซินหรานนั้นหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งยังรู้วิธีการเอาใจผู้หญิง ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นคนที่ไป๋ซินเฉียวตกลงยอมแต่งงานด้วย
เพียงแต่ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่แต่งงานและให้คลอดลูกออกมา เขาก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยเอาอกเอาใจ ก็กลายเป็นเจ้าอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ตลอด
เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน ก็จะมาระบายลงที่เธอและลูก
หลังจากที่เจียงซินเฉียวคลอดลูก เดิมทีก็มีอาการซึมและเครียดหลังจากการคลอดอยู่แล้วด้วย เมื่อถูกกดดันด้วยอารมณ์ที่รุนแรงแบบนี้เข้าใส่ ก็ค่อยๆ ที่จะเริ่มหมดหวังในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
หลังจากนั้น เธอก็ทนอีกต่อไปไม่ไหว แอบวิ่งหนีไปที่เขื่อนแม่น้ำและคิดตัดสินใจเสียร้อยตลบอยู่ ณ ตรงนั้น แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเข้ากับหลี่ซือหมิง อีกทั้งยังได้เขาช่วยเอาไว้เสียทุกอย่าง
ภายใต้ความช่วยเหลือของหลี่ซือหมิง เจียงซินเฉียวก็ได้ปลดปล่อยชีวิตการแต่งงานที่ล้มเหลวในครั้งนี้จนสำเร็จ และหลังจากที่ตั้งท้องก็ได้แต่งงานเข้าตระกูลหลี่
แต่เพราะว่าตระกูลหลี่เองก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยเช่นกัน ดังนั้น หลี่ซือหมิงจึงให้เธอปกปิดเรื่องของตน บอกเพียงแต่ว่าตนเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ ก็เพียงเท่านั้น
เนื่องด้วยเหตุนี้ เจียงซินเฉียวจึงไม่อาจที่จะไปแย่งเอาสิทธิ์เลี้ยงดูไป๋ซินหรานมาได้ เพราะว่าเธอเองไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูลูกได้ ถ้าหากว่าคิดอยากที่จะเก็บไป๋ซินหรานเอาไว้ งั้นเธอก็ไม่มีทางที่จะแต่งงานกับหลี่ซือหมิงได้ และก็ไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีกินมีใช้อย่างไร้กังวลเช่นนี้ได้ ชีวิตเธอในตอนนี้ ผู้คนต่างพากันอิจฉาริษยาเธอไปเสียทุกวัน
ตอนแรกเจียงซินเฉียวก็รู้สึกผิดต่อไป๋ซินหราน เธอรู้ว่าถ้าหากยังอยู่กับบ้านนั้นต่อไปก็จะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีแน่นอน แต่ว่า สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงเห็นแก่ตัว เธอไม่อยากที่จะสูญเสียทั้งชีวิตในตอนนี้ของตนไป จึงบังคับให้ตัวเองไม่ไปนึกถึงลูกสาวเลย
ถึงขนาดที่ว่าบางครั้งก็จะสะกดจิตตนเองบอกว่า ไป๋ซินหรานเป็นลูกสาวของไอ้ผู้ชายสวะคนนั้น ที่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องไปนึกถึงหรือว่าห่วงใย!
เดิมทีเรื่องราวในแต่ละวันก็ได้สงบมานานมากแล้ว ไม่คิดเลยว่า ตอนนี้จะมีคนโผล่มาคิดที่จะทำให้ชีวิตของเธอปั่นป่วน
“ตอนนี้เธออยู่กับพ่อใช้ชีวิตเป็นอย่างดีแล้ว ฉันเองก็ได้สร้างครอบครัวใหม่แล้ว เธอมาหาฉันแล้วต้องการอะไร”
ท่าทีที่ดุดันของเจียงซินเฉียวทำให้ตนเองรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ดูจะไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“แต่ว่า พ่อของเธอก็ทำไม่ดีกับเธอ ชอบด่าทอทุบตีเธอ แล้วก็ยังไม่ให้เธอกินข้าวด้วยนะ ลูกของคุณทั้งสองคนตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว
คุณรู้ไหมว่าซินหรานโตกว่าพวกเขา แต่ว่าขนาดตัวกลับแทบไม่ได้ต่างจากลูกทั้งสองคนของคุณเลยสักนิด ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้รับการดูแลที่ดี”
เจียงซินเฉียวได้ยินดังว่าก็นิ่งขรึมไปสักพัก แต่ก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา
สถานการณ์เช่นนี้เธอเคยคาดเดาเอาไว้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ว่าก็ไม่เคยที่จะเก็บเอามาใส่ใจ
“โอเค งั้นถือเอาเสียว่าที่ผ่านมาในอดีตคุณไม่เคยที่จะสนใจ แต่ว่าตอนนี้เธอได้รับอุบัติเหตุ และขณะนี้เองก็นอนป่วยอยู่บนเตียง เอาแต่เอ่ยปากเรียกหาแม่อยู่ตลอด คุณจะไม่ไปดูเธอสักหน่อยเลยเหรอ ตอนนี้เธอจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากแม่………”
และในขณะที่เวินหนิงกำลังอ้อนวอนอย่างขมขื่นนั้น เจียงซินเฉียวเองก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่เล็กน้อย จากนั้นลูกทั้งสองคนของเธอก็ดึงชายเสื้อของเธอเอาไว้ “แม่ คุณพ่อโทรมาหา บอกว่าจะมารับพวกเราเอง”
เจียงซินเฉียวจึงได้สติกลับมา และก็นึกขึ้นได้ว่าหลี่ซือหมิงอาจมาเห็นเข้าได้ “ขอโทษด้วย คุณเป็นคนดีมากจริงๆ และในเมื่อก็เป็นเช่นนี้แล้ว งั้นเรื่องของเด็กฉันฝากคุณด้วยก็แล้วกันนะ”
กล่าวจบ ก็รีบจูงมือเด็กทั้งคนจากไปอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวสิ”
เวินหนิงเห็นดังว่าก็จึงดึงชายเสื้อของเธอเอาไว้ แต่เจียงซินเฉียวก็ราวกับกลัวว่าเธอจะได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ต่อ จึงผลักเธอออกไปในทันที
เวินหนิงที่ไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำนี้ ทันทีที่ถูกผลักออกก็ล้มลงไปกับพื้น หัวไปกระแทกเข้ากับโต๊ะ ทำให้ชั่วขณะนั้นรู้สึกมึนหัวไปหมด
เหอจื่ออันที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามาหา
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ตัวเขาเองก็เข้าไปช่วยเอาไว้ไม่ทัน
“หนิงหนิง เป็นอะไรไหม”
เวินหนิงที่แต่แรกเดิมทีก็รู้สึกไม่สบายอยู่แล้ว เมื่อล้มลงไปเช่นนี้ ก็รู้สึกเวียนหัวมากกว่าเดิม
เมื่อเหอจื่ออันเห็นว่าท่าทีของเธอดูผิดปกติ ก็ไม่ได้วิ่งตามเจียงซินเฉียว แต่กลับรีบอุ้มเธอขึ้นมาในทันที “พวกเรากลับไปโรงพยาบาลกัน”
“ไม่ต้องหรอก แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องพาตัวเธอกลับไป……”
เวินหนิงฝืนกลั้นความรู้สึกเวียนหัวแล้วพูดออกไป
“วันนี้พอแค่นี้เถอะ ดูเธอท่าทีของเธอสิไม่คิดอยากที่จะไปเลย และถ้าบังคับให้ไป แล้วเผลอไปพูดคำพูดแย่ๆ ออกมา ไม่ใช่ว่าจะแย่ยิ่งกว่าเก่าเหรอ”
เหอจื่ออันพูดไปพลาง อุ้มเวินหนิงเดินออกไปพลาง
“ว้าว ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นกันน่ะ นั่นมันท่าอุ้มเจ้าหญิงใช่ไหม”
“ผู้หญิงคนนี้ดูมีความสุขจัง น่าอิจฉา”
ขณะนั้นนั่นเองก็มีเด็กนักเรียนหลายคนเห็นพวกเธอทั้งสอง และนึกว่าพวกเธอกำลังแสดงความรักต่อกัน จึงส่งเสียงฮือฮาออกมาเสียงดัง
เวินหนิงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนกำลังอยู่ในท่าทางที่ดูอบอุ่นหวานชื่น
“นายปล่อยฉันลงเถอะ ฉันหาที่นั่งพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
ในครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหอจื่ออันก็ไม่ฟังคำพูดของเวินหนิงเลย “เมื่อกี้ก็เพราะว่าฉันเชื่อคำพูดเธอ จนทำให้เธอล้มลงไปแบบนั้น ถ้าตอนนี้ฟังเธออีก เธออยากจะล้มลงไปอีกรอบงั้นเหรอ”
พูดจบ ก็อุ้มเธอขึ้นรถไปเลย
ลูกน้องของลู่จิ้นยวนที่คอยอารักขาอยู่ข้างนอกเห็นภาพนี้เข้าก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
ที่สามารถมีความรู้สึกกับสถานการณ์เช่นนี้ได้นั้น ก็เป็นเพราะแต่แรกเริ่มเดิมทีลู่จิ้นยวนก็เลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นคนที่เชื่อถือได้ และมีความซื่อสัตย์อย่างเด็ดขาด
คนเช่นพวกเขานั้น รู้เป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าเพื่อเวินหนิงแล้ว ลู่จิ้นยวนใส่ใจมากถึงขนาดไหน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นภาพเช่นนี้
นายใหญ่ของเขาตอนนี้อาจจะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่
ครุ่นคิดไปสักพัก จึงได้ถ่ายภาพฉากตรงหน้าเก็บเอาไว้ แล้วส่งต่อไปให้ลู่จิ้นยวน
ไม่แน่ว่า ถ้าหากให้พวกเขาเลิกกัน สำหรับนายใหญ่แล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็เป็นได้
เมื่อเขาคิดเช่นนั้นแล้วก็ขับรถจากออกไป
……….
ลู่จิ้นยวนอยู่ในโรงพยาบาลและกำลังใช้คอมพิวเตอร์อยู่ แม้ว่าคุณหมอจะบอกให้ตัวเขาพักผ่อนเยอะๆ แต่ว่า เขาเป็นคนที่พักไม่เป็น อีกทั้ง ถ้าหากว่าต้องนอนพักอยู่บนเตียงเฉยๆ ก็คงจะหลีกเลี่ยงให้ต้องคอยรับมือหยงซือเหม่ยคนที่ไร้ความละอายเช่นเธอไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงทำงานหลายอย่างอยู่ตรงนั้น เอางานมาเป็นข้ออ้าง หยงซือเหม่ยจึงไม่อาจหาเหตุผลที่จะมารบกวนเขาได้เลย
และในขณะที่ลู่จิ้นยวนกำลังมองดูเอกสารอยู่นั้น โทรศัพท์ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมา
เป็นรูปภาพหลายรูปถูกส่งเข้ามาในกล่องข้อความของเขา
ทันทีที่เปิดออกดู แววตาของลู่จิ้นยวนก็ปรากฏไฟโกรธอันโชติช่วงคุกรุ่น
ในรูปปรากฏภาพที่เหอจื่ออันกำลังอุ้มเวินหนิงอยู่ อีกทั้งยังเป็นท่าอุ้มเจ้าหญิง และสถานที่ที่ทั้งสองคนไปนั้นก็คือสวนสนุก
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ลู่จิ้นยวนรู้สึกราวกับว่ามีมีดที่มีอยู่มากมายจนนับไม่ทั่วกำลังเชือดเฉือนร่างของเขาอยู่
ต่อให้เห็นภาพเวินหนิงคอยดูแลแม่อยู่ที่โรงพยาบาล หรือว่าดูแลลู่อันหรานที่โรงเรียน เขาก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกทรมานได้เท่าเช่นนี้
เพราะว่าตัวเขาก็ยังคงที่จะกล่าวปลอบใจตนเองได้ว่าเป็นเพราะเวินหนิงยุ่งอยู่เอามากๆ มีธุระให้ทำถึงได้ไม่สามารถมาเยี่ยมเขาได้ และถึงขนาดที่ว่าไม่แม้แต่จะโทรมาหาเขาเลยสักครั้ง
แต่ว่า เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธออยู่ที่สวนสนุก อีกทั้งยังอยู่ด้วยกันกับเหอจื่ออัน
“นายครับ ผมรู้สึกว่าการที่นายรอผู้หญิงคนนี้อย่างขมขื่น มันไม่คุ้มค่าเลยนะครับ”