นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 489 ความพากเพียรของโจเซฟ
“อันที่จริง ฉันรู้แล้วว่าน้องสาวฉันทำอะไรลงไปในครั้งก่อน เหตุการณ์ที่โรงแรมจินเฮ่อ… จริงอยู่ที่ว่าเธออาจจะลงมือทำเรื่องนั้นแรงเกินไป และฉันก็ไม่ได้ห้ามเธอเอาไว้ ทำให้เธอไประรานและสร้างปัญหาให้กับคุณและฮ่อหยุนเฉิง ซึ่งฉันมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนของสวีหว่านเอ๋อร์ที่อยากจะมาขอโทษคุณซู ฉันหวังว่าคุณจะยกโทษให้ฉันและน้องสาวของฉันด้วย”
โดยปกติฉันมักจะตามใจเธอ และเธอก็เป็นคนที่ไร้เดียงสามาก ฉันหวังว่าคุณหนูซูจะไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับตัวฉันและความร่วมมือของเราในตอนนี้ใช่ไหม? ”
เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
รอยยิ้มสุภาพที่มุมปากของซูฉิงก็เริ่มหายไปทีละน้อย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวีหว่านเอ๋อร์พุ่งเป้าทำลายเธอ เธอรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วและเคยร้ายสวนกลับผู้หญิงคนนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับขอให้พี่ชายของเธอมาขอโทษและเรียกสิ่งที่ตนเองกระทำอย่างน่ารังเกียจนั้นว่า “ไร้เดียงสา” ซึ่งสวีหว่านเอ๋อร์ใช้คำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการขอโทษเธอ
ซูฉิงยังสงสัยอยู่ว่า สวีหว่านเอ๋อร์ยังเป็นคนอยู่จริงหรือไม่?
“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้” ซูฉิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองตรงไปยังดวงตาของสวีมู่หยาง เธอรู้สึกว่าเธอต้องปรึกษาเรื่องนี้กับสวีมู่หยางอย่างจริงจังเสียที
“ฉันอยากจะคุยกับคุณสวีเกี่ยวกับปัญหานี้ ฉันรู้ว่าสวีหว่านเอ๋อร์ชอบฮ่อหยุนเฉิงและเนื่องจากสวีหว่านเอ๋อร์ตั้งเป้าหมายทำลายฉันมากกว่าหนึ่งครั้งและพยายามใส่ร้ายฉันอย่างไม่หยุดหย่อน และทั้งครอบครัวฮ่อและครอบครัวสวีก็เป็นเพื่อนกัน ในตอนนี้คุณสวีก็ได้ร่วมลงมือทำธุรกิจกับฉันแล้ว ฉันไม่ต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวย่ำแย่ลงไป ฉันคิดว่าไม่ควรเอาคำว่าไร้เดียงสามาอ้างเพื่อหักล้างกับการทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ฉันหวังว่าคุณจะดูแลน้องสาวของคุณให้ดี และควรสั่งสอนให้น้องสาวของคุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำและอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำ”
แม้ว่าซูฉิงจะไม่ได้เอ่ยปากด่าเขา แต่คำพูดที่ชัดเจนของหญิงสาวก็พอที่จะทำให้ใบหน้าของสวีมู่หยางหมองคล้ำลง แม้ว่าเขาจะนั่งบนเก้าอี้แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตัวสั่นและรู้สึกประหม่าโดยไม่มีเหตุผล
เพราะสวีหว่านเอ๋อร์ไปยั่วและทำร้ายคนอื่นก่อน ไม่ว่าเขาจะอึดอัดแค่ไหนในฐานะพี่ชาย เขาก็ทำได้แค่รับฟังอย่างจริงใจ
“แน่นอน ฉันจะเตือนหว่านเอ๋อร์ไม่ให้รบกวนคุณซูและคุณฮ่อ แต่—ที่ฉันพูดเมื่อกี้เป็นความจริง ฉันหวังว่าคุณหนูซูจะเข้าใจ ธุรกิจคือธุรกิจ”
ซูฉิงพยักหน้า เธอไม่ใช่คนที่จะผสมผสานระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน
แม้ว่าสวีหว่านเอ๋อร์จะทำเรื่องที่มันร้ายแรงมากเกินไป แต่คำขอโทษของสวีมู่หยางก็ยังคงแสดงความจริงใจออกมา และชายคนนี้ก็ให้คำมั่นชัดเจนว่าหากสวีหว่านเอ๋อร์ยังไม่จบการกระทำที่เลวร้ายลง ต่อไปคงจะต้องเป็นตระกูลสวีที่จะเสียหน้าครั้งใหญ่แน่นอน
ฮ่อหยุนเฉิงมีความอำนาจในด้านนี้ และเธอก็มีเช่นกัน
“คุณสวีมั่นใจได้เลยว่างานคืองาน ถ้าคุณไว้ใจเราสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน โอเค เรามาพูดถึงเรื่องบทละครกันดีกว่า เรื่องอื่นเราค่อยพูดกันในภายหลัง ฉันเชื่อว่าคุณสวีจัดการมันได้”
สวีมู่หยางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรซูฉิงยังสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่อหยุนเฉิงได้ เขาจึงสามารถคลายความกังวลลงได้
เวลาห้าโมงเย็น
ฮ่อหยุนเฉิงเลิกงานตรงเวลาพอดี และเขาคิดว่าจะมารับซูฉิงที่บริษัทเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน เพราะเขาได้สั่งจองอาหารค่ำใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารฝรั่งเศสของเพื่อนของเขาเอาไว้แล้ว เขาอยากจะจัดเซอร์ไพรส์เล็กๆให้เธอ ใครจะไปคิดว่า—
“คุณซู งั้นคราวนี้ฉันขอรบกวนคุณหน่อยแล้วกัน”
ประตูสำนักงานแง้มไว้และเสียงของสวีมู่หยางก็ดังลอดมาจากด้านใน เขาเพียงแค่จับมือกับซูฉิงด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คุณสวีไม่ต้องกังวล เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองคำขอของคุณ และเราหวังว่าหากละครเรื่องนี้ออกอากาศได้ดี เราจะสามารถร่วมมือด้วยกันต่อไปได้”
ซูฉิงตอบกลับอย่างเป็นทางการ เธอเดินตามสวีมู่หยางออกไปโดยในตอนแรกเธอคิดว่าเดินไปส่งเขา
แต่เมื่อเดินออกมาจากประตูห้อง ทั้งสองก็ชนเข้ากับฮ่อหยุนเฉิงที่ยืนอยู่ที่ประตู และใบหน้าของฮ่อหยุนเฉิงที่นิ่งขรึมก็กำลังมองมาที่พวกเขาทั้งสองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ช่วงเวลาที่สวีมู่หยางเห็นฮ่อหยุนเฉิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีอาการประหม่า เขาหันไปมองซูฉิงแล้วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฮ่อมาที่นี่เพื่อรับคุณซูตอนเลิกงานเหรอ? งั้นฉันไม่รบกวนแล้วไปก่อนนะ”
“คุณสวี เดินทางปลอดภัยนะ”
ฮ่อหยุนเฉิงกล่าวคำเหล่านั้นกับสวีมู่หยางอย่างสงบนิ่ง ดวงตาของเขายังคงจ้องมองไปที่ซูฉิงราวกับว่าสวีมู่หยางเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขาที่เขาไม่รู้จักเลย หลังจากที่สวีมู่หยางเดินออกไป ซูฉิงก็เดินไปที่ด้านข้างของฮ่อหยุนเฉิงและเอื้อมมือไปแตะคิ้วของเขา
“โอเค จะโกรธอีกทำไม? ยังอยากสร้างปัญหาอีกเหรอ?”
ฮ่อหยุนเฉิงคิดว่าตนเองนั้นไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของซูฉิงเลย และเมื่อเขาได้ยินซูฉิงพูดเช่นนี้ เขาก็แอบระงับความอึดอัดและความหึงหวงในใจแทบจะไม่ได้ “ทำไมสวีมู่หยางถึงมาที่นี่อีกแล้ว เมื่อกี้เธอพูดกับอะไรกับเขาไปบ้าง?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซูฉิงส่ายหัว “เขามาหาฉันเพื่อขอโทษและพูดถึงสวีหว่านเอ๋อร์ นายได้ไปหาเขามาหรือเปล่า? และเราก็ยังพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่ตระกูลสวีกรุ๊ปจะมอบให้บริษัทของฉันทำ ”
ฮ่อหยุนเฉิงสูดจมูก จับมือซูฉิงและพาเดินออกจากบริษัท “ถ้าเขายังมีความคิดและวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจอยู่บ้าง ฉันก็ไปพูดคุยกับเขาและบอกให้เขาดูแลสวีหว่านเอ๋อร์ให้ดีกว่านี้… วันนี้ฉันจองร้านอาหารของเพื่อนไว้ เราไปกินข้าวกันเถอะ”
ทั้งสองเดินออกไปและพูดคุยหัวเราะกันด้วยความสุข และบรรยากาศในระหว่างมื้ออาหารก็ตลบอบอวลไปด้วยความโรแมนติก
ฮ่อหยุนเฉิงเดิมเป็นคนขี้หึง เมื่อถูกซูฉิงเกลี้ยกล่อมก็กลับมาอารมณ์ดีได้ซะง่ายๆ แต่ซูฉิงกลับมีอาการปวดหัวมากขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา
—เพราะโจเซฟ
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โรงแรม Golden Crane ครั้งล่าสุด ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดศึกแข่งขันกับฮ่อหยุนเฉิงอย่างสมบูรณ์ เขามาที่สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์เพื่อตามติดซูฉิงเกือบทุกวัน และอยู่ในสำนักงานของเธอเป็นเวลาหนึ่งวัน และยังนัดซูฉิงไปดูหนังอีกด้วย เขาใช้เกือบทุกวิธีในการตามจีบหญิงสาว ทำให้ซูฉิงหลบหนีอีกฝ่ายแทบจะไม่ทัน และเมื่อเธอเจอเขาเธอก็รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
“โจเซฟ เรามาคุยกันดีๆ นะ”
ในที่สุดซูฉิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอใช้เวลาในช่วงพักกลางวันของบริษัท เธอมองดูผู้ชายที่นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาอย่างจริงจัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจและตลกขบขันเล็กน้อย
โจเซฟวางโทรศัพท์ลงทันที ดวงตาของเขาเป็นประกาย “เกิดอะไรขึ้น ซูฉิง เธอต้องการไปออกเดทกับฉันใช่ไหม?”
“ไม่ใช่–”
ตอนนี้ซูฉิงไม่มีอะไรอยากจะพูดออกมา เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมโจเซฟถึงหมกมุ่นอยู่กับเธอ ในเมื่ออีกฝ่ายต่างก็รู้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังจะหมั้นหมาย
“ฉันอยากรู้จริงๆว่าทำไมคุณต้องสะกดรอยตามฉันตลอดเวลา ฉันกำลังจะหมั้นกับหยุนเฉิงในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว และในฐานะราชวงศ์ยุโรป คุณต้องการผู้หญิงแบบไหนกันแน่ และอันที่จริงฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าเราสองคนไม่เหมาะสมกันจริงๆ และเนื่องจากคุณอายุน้อยกว่าฉัน ฉันไม่สามารถยอมรับความรักแบบอื่นได้ ดังนั้นคุณควรจะกลับไปฝรั่งเศสได้แล้ว”
ซูฉิงพูดกับโจเซฟด้วยน้ำเสียงที่ดี แต่จริงๆ แล้วเธอไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าชายยุโรปที่เย่อหยิ่งและจองหองผู้นี้ต้องใช้ไม้อ่อนเข้าสู้อีกฝ่ายถึงจะยอมรับฟัง เธอจึงทำได้แค่เลือกวิธีที่จะทำให้ตัวเองเหนื่อยน้อยที่สุดโดยการลองอธิบายให้โจเซฟฟังอย่างอ่อนโยนและชัดเจน