สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียง “ไม่มีอะไร เจ้าจะเย็บปักถักร้อยไม่ใช่หรือ ที่นี่สว่างกว่า!”
จริงหรือ?
สายตาของสืออีเหนียงมองไปที่ดอกไห่ถังนอกหน้าต่าง
ป้ารับใช้ของห้องดอกไม้ดูแลมันเป็นอย่างดี ทำให้มันสูงอยู่เหนือหน้าต่างหนึ่งฉื่อและเขียวขจีอยู่เสมอ เมื่อแสงแดดนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา คนในห้องมองออกไปก็ราวกับเห็นดอกไม้ที่หนาแน่นในยามฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน และผลไห่ถังสีแดงยามฤดูร้อนที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วง
ดอกไห่ถังปลูกไว้กลางห้องปีกทางทิศตะวันตก นางนั่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเตียงเตาในห้อง เขานั่งทางทิศตะวันออก หากจะพูดถึงความสว่าง ที่ที่นางนั่งเมื่อครู่นี้น่าจะสว่างกว่าไม่ใช่หรือ
สืออีเหนียงแอบบ่นในใจ หันหน้ากลับมาก็เห็นสวีลิ่งอี๋หยิบบทกวี ‘ราวกับความฝัน ’ที่โยนลงบนโต๊ะเตียงเตาเมื่อครู่ขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง
เขาคงแค่อยากให้นางนั่งอยู่ข้างๆ กระมัง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมา ก้มหน้าลงเย็บกางเกงต่อ
สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหมอนพิงใบใหญ่ ยกเท้าขึ้นมาวางบนตักของนาง
สืออีเหนียงตกใจ
นางเงยหน้าขึ้นมอง
เขากำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ ยิ้มมุมปากด้วยท่าทีสบายใจ ราวกับไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของนางเลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงลอบยิ้ม
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด มีเสียงหัวเราะของจิ่นเกอดังขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว นางลดจังหวะการเย็บปักด้วยสีหน้ามีความสุข
*****
งานเลี้ยงฉลองของสวีซื่ออวี้นั้นเต็มไปด้วยความครื้นเครง
ทันทีที่นายหญิงเซี่ยงออกมาจากจวนหย่งผิงโหว รอยยิ้มของนางก็หายวับไปทันที
เซี่ยงอี้จยารีบเดินเข้าไปประคองท่านแม่ตัวเอง “ท่านเหนื่อยแล้วหรือขอรับ กลับจวนใช้เวลาตั้งเกือบครึ่งชั่วยาม ให้ป้ารับใช้ทุบขาให้แล้วท่านพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด!”
นายหญิงเซี่ยงมองดูบุตรชายที่บนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม นางพูดขึ้นอย่างลังเล “คุณชายน้อยสองสกุลสวี…นั้นเรียนเก่งมากจริงๆ หรือ”
เซี่ยงอี้จยาได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หากจะบอกว่าเรียนเก่ง เขาก็เทียบน้องเขยสามไม่ได้ขอรับ แต่ว่า เรื่องที่เขาเรียนล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ใช้สำหรับการสอบได้เป็นอย่างมากขอรับ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “อาจารย์เจียงแห่งสำนักศึกษาจิ่นสีเก่งสมคำร่ำลือจริงๆ สองสามปีที่ผ่านมา สำนักศึกษาของเขามีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงตั้งหลายคน”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นายหญิงเซี่ยงได้ยินดังนั้นนางกลับรู้สึกไม่สบายใจ
นางจับไหล่ป้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ เพื่อประคองตัว “คนเช่นนี้ เจ้ายังสนิทสนมกับเขา?” พูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความโมโห
เซี่ยงอี้จยานึกถึงท่าทีที่สง่างามของสวีซื่ออวี้ เขาไม่อยากให้มารดาเข้าใจผิด “สวีซื่ออวี้เป็นคนร่าเริง อีกทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษ ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง…”
นายหญิงเซี่ยงที่กำลังจะเดินขึ้นรถม้าหยุดชะงัก จากนั้นก็ก้มตัวเข้าไปในรถม้า
กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้หยกพวยพุ่งเตะจมูก
นายหญิงเซี่ยงขมวดคิ้ว “กลิ่นธูปหอมของใคร เหตุใดกลิ่นถึงได้แรงขนาดนี้ สกุลของเราไร้รสนิยมเช่นนี้เลยหรือ”
สาวใช้และป้ารับใช้ทั้งในและนอกรถม้าล้วนแต่ไม่กล้าตอบ ธูปหอมในรถม้าล้วนแต่เป็นกลิ่นที่นายหญิงเซี่ยงชอบใช้ ตอนขามายังดีๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับโมโหถึงเพียงนี้…
เซี่ยงอี้จยาก็รู้สึกว่ามารดาเดือดดาลอย่างกะทันหันจนเกินไป ทำเอาคนอื่นไม่ทันได้ตั้งตัว
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกให้จุดเองขอรับ อยากให้ท่านนอนพักผ่อนบนรถม้า!”
ต่อหน้าบ่าวรับใช้ แน่นอนว่านายหญิงเซี่ยงทำอะไรไม่ได้
นางพูดกับป้ารับใช้ที่ติดตามมาว่า “กลับจวน!” อย่างเย็นชา
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก คนหนึ่งประคองเซี่ยงอี้จยาขึ้นรถม้า อีกคนหนึ่งค่อยๆ ขับรถม้าออกจากตรอกเหอฮวาหลี่
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พ่อค้าบนถนนซีต้าล้วนแต่กำลังปิดร้านค้า พวกเขาพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
นายหญิงเซี่ยงที่นั่งอยู่บนรถม้าพลันนึกถึงบรรยากาศที่ครื้นเครงของสกุลสวี
ไม่เพียงแต่มีสกุลญาติของสกุลสวี แม้แต่เหลียงเก๋อเหล่าฮูหยิน โต้วเก๋อเหลาฮูหยินและฮูหยินของหัวหน้าเจ้ากรมการทูตภายในก็มาร่วมงาน ทุกคนต่างก็แสดงความยินดีกับสืออีเหนียงที่มีบุตรชายที่มีวาสนา แล้วยังยินดีกับสวีซื่ออวี้ที่เป็นหน้าเป็นตาให้สกุล
คิดเช่นนี้แล้ว ในหัวของนางก็มีภาพเซี่ยงโหรวเน่อ บุตรสาวคนที่สองที่กำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตาในห้องโผล่ขึ้นมา เซี่ยงโหรวเน่อนั่งก้มหน้า ม้วนผมเป็นมวย เผยให้เห็นท้ายทอยที่ขาวราวกับหิมะ รอยยิ้มมุมปากที่แสนหวาน ราวกับแสงอาทิตย์ที่สดใสในฤดูใบไม้ผลิเดือนสามของเจียงหนาน ช่างอ่อนโยนและอบอุ่น
นางพลันเจ็บปวดหัวใจ
บุตรสาวที่ตัวเองเลี้ยงดูในอุ้งมือมากว่าสิบแปดปี…
นายหญิงเซี่ยงกัดฟัน
ดูตระกูลของคนพวกนั้นที่ใช้เอ่ยถึงบุตรสาวตัวเอง หากไม่ใช่ตระกูลที่เห็นแก่สินเดิม ก็เป็นตระกูลที่สงสัยว่าโหรวเน่อเป็นโรคร้ายอะไร ไม่ก็เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่พูดไม่จา…
นายหญิงเซี่ยงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เปิดม่านรถม้าแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “ไปจวนของพี่สะใภ้!”
ป้ารับใช้ที่ติดตามมาพลันตื่นตระหนก พูดออกมาโดยไม่ทันคิด “แต่ตอนนี้ ใกล้จะมืดแล้วนะเจ้าคะ…”
“ไม่ต้องพูดมาก!” นายหญิงเซี่ยงตำหนินาง “บอกให้ไปไหนก็ไป หรือเจ้าจะสอนข้าว่าควรทำอย่างไรเช่นนั้นหรือ”
“นายหญิงเจ้าคะ บ่าวพูดพล่ามไปเรื่อยเองเจ้าค่ะ” ป้ารับใช้ที่ติดตามมารีบเอ่ยขอโทษขอโพย “บ่าวจะไปบอกคนขับรถม้าประเดี๋ยวนี้!”
แต่นายหญิงเซี่ยงก็ยังรู้สึกไม่พอใจ นางจึงกระชากม่านรถม้าปิดด้วยความโมโห ถึงได้สบายใจขึ้น
*****
นายหญิงเการีบเดินออกมาหน้าประตูฉุยฮวา ก็เห็นนายหญิงเซี่ยงกำลังลงมาจากรถม้าพอดี
“เหตุใดถึงมายามนี้เล่า” นางรีบเดินเข้าไปจับมือนายหญิงเซี่ยง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่จวนหรือ” พูดถึงตรงนี้ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยถาม “หรือว่ามีคนมาสู่ขอโหรวเน่อ?”
นางคิดเหมือนนายหญิงเซี่ยง คิดว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือจัดการเรื่องแต่งงานของเซี่ยงโหรวเน่อก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องแต่งงานของเซี่ยงอี้จยาก็ไม่สาย
นายหญิงเซี่ยงส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
นายหญิงเกามองดูเซี่ยงอี้จยาที่ยืนอยู่ด้านหลังของนายหญิงเซี่ยง
เซี่ยงอี้จยาทำท่าทาง ‘ข้าไม่รู้’ ส่งให้ป้าสะใภ้ของตัวเอง
ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสำหรับซักถาม
นายหญิงเกาเก็บความสงสัยไว้ในใจ เห็นว่ามันดึกแล้ว กลัวว่านายหญิงเซี่ยงจะนำข่าวร้ายมาบอก กลัวพ่อสามีจะเป็นกังวล จึงบอกให้ป้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ พาเซี่ยงอี้จยาไปหาสามีของตัวเอง แล้วพานายหญิงเซี่ยงไปที่ห้องของตัวเอง
“พูดมาเถิด!” นายหญิงเกายกชามาให้นายหญิงเซี่ยงด้วยตัวเอง นางเหลือบมองห้องที่ไม่มีผู้คน “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
นายหญิงเซี่ยงก้มหน้าลงถือถ้วยชาขึ้นมาจิบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ก็แค่ไม่สบายใจ จึงมานั่งที่เรือนของพี่สะใภ้!” จากนั้นก็วางถ้วยชาลง เอนตัวพิงหมอนแล้วน้ำตาคลอเบ้า
นายหญิงเกาเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ รีบเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทของนายหญิงเซี่ยงเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
ป้ารับใช้คนนั้นสับสนเล็กน้อย นางรายงานเสียงเบา “ตื่นมายามเช้า…พาคุณชายใหญ่ไปที่จวนหย่งผิงโหว…คุณชายน้อยสองสกุลสวีสอบผ่านบัณฑิตซิ่วไฉ จึงจัดงานเลี้ยงฉลองที่จวนเจ้าค่ะ…”
นายหญิงเกาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจในทันที ไล่ป้ารับใช้คนนั้นออกไป เดินไปนั่งข้างนายหญิงเซี่ยงแล้วพูดเบาๆ “เพราะเรื่องของโหรวเน่อใช่หรือไม่”
นายหญิงเซี่ยงกัดปากแต่ไม่พูดอะไร
นายหญิงเกาหัวเราะ “ดูเจ้าสิ เรื่องราวต่างๆ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโห หากเจ้าไม่อยากเสียหน้า ข้าไปเป็นแม่สื่อให้โหรวเน่อเอง!”
“ไม่ได้นะ!” นายหญิงเซี่ยงนั่งตัวตรง “เช่นนั้นข้าก็กลืนน้ำลายตัวเองน่ะสิ…ตอนนั้นข้าเป็นคนปฏิเสธเอง…” พูดจบ สีหน้าของนางก็ย่ำแย่ “ท่านไม่เห็น งานเลี้ยงของคุณชายน้อยสองสกุลสวีวันนี้ ทุกคนล้วนแต่แสดงความยินดีกับฮูหยินสี่สกุลสวี คุณหนูจากสกุลเราได้แต่นั่งยิ้มมองคุณชายน้อยสองอยู่ข้างๆ ราวกับว่าคุณชายน้อยสองเป็นบุตรชายของตัวเอง…” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
นายหญิงเกาอดหัวเราะไม่ได้
นางยื่นนิ้วออกมาแตะหน้าผากนายหญิงเซี่ยง “เจ้านะเจ้า สักแต่จะพูด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วมาร้องห่มร้องไห้ที่เรือนข้าทำไม”
นายหญิงเซี่ยงรีบพูด “ข้าร้องไห้เมื่อไรกัน ข้าก็แค่โมโห จึงมาพูดคุยกับพี่สะใภ้ หากพี่สะใภ้รำคาญข้า เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ทำท่าทีจะสวมรองเท้า
“อยู่ต่อหน้าข้ายังจะดื้อดึงอีก!” นายหญิงเกาบ่นขึ้น “หากเจ้าทำตัวเช่นนี้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าจริงๆ แล้ว!”
นายหญิงเซี่ยงตัวแข็งทื่อ ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนเตียงเตาเหมือนเดิม
*****
“เหลียงฮูหยินบอกว่า นางมีหลานสาวคนหนึ่ง หน้าตางดงาม คนในสกุลไม่อยากให้นางแต่งงานกับใคร เลือกไปเลือกมา ปีนี้อายุสิบห้าแล้วก็ยังไม่ได้แต่งงาน สองวันก่อนนางเดินทางมาร่วมพิธีครบเดือนของบุตรชายคนที่สองของหลานถิง ตอนนี้ยังไม่กลับเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงนั่งถอดปิ่นปักผมหน้ากระจก “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คงอยากให้ข้าไปเจอนาง” นางหันกลับไปมองสวีลิ่งอี๋ที่เอียงตัวจ้องมองนางอยู่ตรงหัวเตียง “ท่านคิดว่า ข้าควรไปเจอนางดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงเรื่องที่นางลบรายชื่อของเจี่ยงอวิ๋นเฟยออกจากแขกที่เชิญมาร่วมงานเลี้ยงของสวีซื่ออวี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าตัดสินใจเองเถิด!”
“ท่านโหวให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเองจริงหรือ” สืออีเหนียงเหลือบมองเขาแล้วแสร้งพูด “อวี้เกอของเราหน้าตาหล่อเหลา ถึงอย่างไรก็ต้องหาคนที่เหมาะสมให้เขา ในเมื่อเหลียงฮูหยินบอกว่าหลานสาวของนางหน้าตางดงาม ข้าคิดว่า ข้าไปเจอนางดีกว่า…”
สวีลิ่งอี๋กวักมือเรียกนาง
สืออีเหนียงปล่อยผมแล้วเดินไปนั่งข้างเขา
สวีลิ่งอี๋จับแขนแล้วดึงนางขึ้นมาบนเตียงอย่างกะทันหัน
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋พลิกตัวขึ้นคร่อมนาง
บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไป เงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตก
สืออีเหนียงรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เขินอายและไม่พอใจ “ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ จิ่นเกอยังไม่นอนเลย!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ นั่งตัวตรง “เจ้าอยากหยอกล้อข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงโทษว่าข้าไม่คล้อยตามเล่า”
สืออีเหนียงนิ่งอึ้งอยู่นาน จากนั้นก็ได้สติกลับมา
นางทั้งขบขันทั้งโมโห ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร มองซ้ายมองขวา ก่อนจะคว้าหมอนข้างๆ โยนใส่เขา “คนบ้า!”
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่แดงก่ำของสืออีเหนียง ดวงตาสีดำที่สุกใส งดงามราวกับหินภูเขาไฟที่แช่อยู่ในบ่อน้ำ ทำให้คนที่เห็นไม่อาจละสายตา
สวีลิ่งอี๋หัวใจเต้นกระหน่ำ โอบตัวนางเข้ามากอด “ดื้อจริงๆ เลย ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไรดี! “
เขาพูดเล่น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแค่กำลังแกล้งหยอกล้อนาง
สืออีเหนียงพลันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
บางครั้งสวีลิ่งอี๋ก็ราวกับเด็กผู้ชาย
ตนไม่มีทางปล่อยให้เขาได้ใจแน่นอน
นางจึงแสร้งทำเป็นตกใจ พยายามดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของเขา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ยอมปล่อย
พวกเขาสองคนดิ้นกอดกันอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก “ทะเลาะกันแล้ว ทะเลาะกันแล้ว!”
พวกเขาสองคนพลันตัวแข็งทื่อทันที