ตอนที่ฮองเฮาได้เจอกับจิ่นเกอ สีหน้าท่าทีทรงตื่นเต้นและดีพระทัยเป็นอย่างมาก
“เหมือนจริงๆ!” ฮองเฮาเชยคางของจิ่นเกอขึ้นเบาๆ “เหมือนท่านโหวคนก่อนไม่มีผิด!”
ท่านโหวคนก่อนก็คือบิดาของสวีลิ่งอี๋ หรือท่านปู่ของจิ่นเกอนั่นเอง
จิ่นเกอเชิดหน้าขึ้นสูงให้ฮองเฮาสังเกตใบหน้าของเขาอย่างเต็มที่ “ท่านย่าเองก็บอกว่ากระหม่อมเหมือนท่านปู่ ยังบอกด้วยว่าวันข้างหน้ากระหม่อมคงจะตัวสูงกว่าท่านปู่และฉลาดกว่าท่านปู่อีกพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตากลมโตสดใสเป็นประกาย ทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
ฮองเฮาได้ยินแล้วก็ทรงพระสรวล ความเศร้าใจก่อนหน้านี้พลันสลายหายไปในพริบตา
พระนางทรงจูงมือของจิ่นเกอขึ้นมานั่งบนเก้าอี้บัลลังก์ยาวด้วยกัน จากนั้นก็หันไปหยิบลูกกวาดราวหนึ่งกำมือมามอบให้จิ่นเกอ “มาเร็ว! ทานขนมวัวซือถังกัน”
จิ่นเกอนำลูกกวาดที่ได้รับใส่ลงไปในถุงผ้าติดตัวของเขา
ฮองเฮาทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก
“ลูกกวาดวัวซือถังของในวังเนื้อเนียนละเอียดกว่าข้างนอกมาก ทั้งยังหวานสดชื่นอีกด้วย” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “กระหม่อมจะเอากลับไปให้น้องเจ็ด น้องแปด ถิงเกอและอิ๋งอิ๋งทานด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เด็กดีเสียจริง!” ฮองเฮาทรงยิ้มพลางโอบไหล่ของจิ่นเกอเอาไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งกับหวงเสียนอิงว่า “ประเดี๋ยวตอนคุณชายน้อยหกกลับ อย่าลืมห่อขนมวัวซือถังกลับไปด้วย!”
หวงเสียนอิงรีบขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เพคะ” จากนั้นก็กระซิบเตือนฮองเฮาเสียงเบาว่า “ถึงเวลาเข้าเฝ้าแล้วเพคะ”
ฮองเฮาได้ยินแล้วก็ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หันไปตรัสกับจิ่นเกอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยว ข้าจะรีบกลับมา!” จากนั้นก็หันไปรับสั่งกับหนึ่งในเหล่าบรรดานางกำนัลเหล่านั้นว่า “อยู่ปรนนิบัติดูแลคุณชายน้อยหกที่นี่!” แล้วลุกขึ้นพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักหลักทันที
นางกำนัลคนนั้นอายุราวยี่สิบปี รูปร่างหน้าตางดงาม นางเดินไปยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้จิ่นเกอนั่ง จากนั้นก็ไปนำขนมมาให้จิ่นเกอทานด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
จิ่นเกอเอ่ยทักทายขึ้นว่า “พี่หญิง สวัสดีปีใหม่ขอรับ” จากนั้นก็หยิบขนมไส้กุหลาบกวนขึ้นมาทานพลางพูดคุยกับนางกำนัลคนนั้นว่า “พี่หญิงแซ่อะไร ท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาตลอดเลยหรือ ตอนนี้ทำหน้าที่อะไรเป็นหลัก ปกติแล้วยุ่งหรือไม่ แล้วออกนอกวังได้หรือเปล่า” เขาถามคำถามราวกับว่าเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยอย่างไรอย่างนั้น คำถามมากมายเป็นกองพะเนิน พลอยทำให้นางกำนัลอดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ข้าแซ่ถาน เรียกข้าถานกูกูก็พอเจ้าค่ะ!” นางไม่ได้ตอบคำถามอื่นแต่อย่างใด แต่กลับถามเขากลับไปว่า “ชอบทานขนมไส้กุหลาบกวนหรือ ขนมดอกกุ้ยฮวาก็อร่อยนะเจ้าคะ”
“จริงหรือ” จิ่นเกอรีบหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาขึ้นมาชิมทันที จากนั้นก็ออกปากชมไม่ขาดสาย “อร่อย! หวานแต่ไม่เลี่ยน” ราวกับว่าถูกของอร่อยดึงดูดจนทำให้ลืมบทสนทนาเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงตะโกนถามขึ้นว่า “เสด็จแม่ยังไม่กลับมาหรือ”
นางกำนัลทั้งหมดที่อยู่ในพระตำหนักต่างก็พากันย่อตัวถวายบังคมพลางขานเรียกพระนามด้วยความนอบน้อม “องค์หญิงใหญ่”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้น เบื้องหน้ามีเด็กผู้หญิงสวมชุดเป้ยจื่อสีแดงสดที่ปักด้วยลาย ‘ร้อยปักษารายล้อมหงส์’ ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่สวมด้วยชุดชาววังสีน้ำเงินเขียวกำลังเดินเข้ามาพอดี ผิวพรรณของนางเนียนละเอียดและขาวกระจ่างใส สันจมูกโด่ง นัยน์ตาดำสนิทเป็นประกายชัดเจน อาจเพราะนางรีบเดินจนเกินไป แก้มนวลจึงแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ดูแล้วน่ารักและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
“ผู้ใดกัน” จู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในพระตำหนักข้างของพระมารดา องค์หญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะจ้องมองจิ่นเกอด้วยความแปลกใจ
“นี่คือคุณชายน้อยหกของหย่งผิงโหวเพคะ!” ขณะที่ถานกูกูกำลังแนะนำอยู่นั้น จิ่นเกอก็ได้คุกเข่าลงไปคารวะองค์หญิงใหญ่แล้ว
“ที่แท้แล้วก็เป็นเจ้านี่เอง!” องค์หญิงใหญ่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมาแทน นางเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าของจิ่นเกอ “นี่! เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าสุขภาพของเจ้าไม่ดีมิใช่หรือ ช่วงฤดูหนาวไม่กล้าแม่แต่จะให้เจ้าออกมาโดนลมข้างนอกเสียด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้เจ้าถึงออกมาได้ ดูแล้วไม่เห็นจะเหมือนคนป่วยเลยแม้แต่นิดเดียว…”
จิ่นเกอย่อมจำหน้าตาขององค์หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว เขายิ้มขึ้นพลางตอบคำถามหลังแทน “ตอนนี้กระหม่อมหายดีแล้วก็เลยเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮองเฮา!”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“ดีเลย!” องค์หญิงใหญ่จูงมือของจิ่นเกอวิ่งออกไปยังด้านนอก “พวกข้ากำลังจะเล่นเตะลูกหนัง ขาดหนึ่งคนพอดี!”
“องค์หญิงใหญ่!” ถานกูกูรีบตามไปทันที “ฮองเฮาทรงรับสั่งให้คุณชายน้อยรออยู่ที่พระตำหนักข้างนะเพคะ” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ประเดี๋ยวองค์หญิงใหญ่ก็จะต้องไปถวายบังคมฮ่องเต้อีกด้วย”
“เจ้าก็แค่ทูลเสด็จแม่ก็พอ” องค์หญิงใหญ่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม “ทางฝั่งเสด็จพ่อข้าถวายบังคมไปแล้ว”
ถานกูกูอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าเบาๆ นางรีบหันไปบอกกับนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็รีบวิ่งตามออกไปทันที
ตอนที่ฮองเฮาและสืออีเหนียงกลับมาถึงพระตำหนักข้าง จิ่นเกอและองค์หญิงใหญ่พากันออกไปราวครึ่งชั่วยามแล้ว ฮองเฮาทรงนึกถึงความซุกซนขององค์หญิงใหญ่ขึ้นมา ก็รีบหันไปรับสั่งกับหวงเสียนอิงทันที “รีบไปเรียกจิ่นเกอมาเร็ว บอกไปว่าหย่งผิงโหวฮูหยินจะกลับจวนแล้ว!”
หวงเสียนอิงนึกถึงตอนที่ทั้งคู่เจอกันทั้งสองครั้งเมื่อตอนยังเด็ก จิ่นเกอและองค์หญิงใหญ่ก็ชวนกันไปก่อเรื่องทั้งสองครั้ง นางเองก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที รีบหันไปถามนางกำนัลว่าองค์หญิงใหญ่ไปที่ไหน จากนั้นก็รีบตามไปด้วยความเร่งรีบ
“เจ้าอย่าเป็นกังวลจนเกินไป!” ฮองเฮาปลอบโยนสืออีเหนียง “รอบข้างยังมีนางกำนัลน้อยและขันทีเน่ยซื่อติดตามไปด้วย ไม่ให้พวกเขาไปไหนไกลอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์
จิ่นเกอไปถึงไหนก็ไม่เคยยอมก้มศีรษะให้ใครแม้แต่ครั้งเดียว อยู่ท่ามกลางเหล่าบรรดาพระโอรสและพระธิดาเช่นนี้ เขาควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ถือเป็นการทดสอบเขาไปในตัว!
สืออีเหนียงขานรับด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “เพคะ” จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ที่ฮองเฮาเชื้อเชิญให้นั่ง
ฮองเฮาถามไถ่ถึงอาการของไท่ฮูหยินขึ้นมา
สืออีเหนียงก็ตอบกลับทุกคำถามด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานชัดเจน เวลานั้นเอง หวังเหม่ยเหริน ซ่งเจี๋ยอวี๋และคนอื่นๆ ก็ได้พากันมาถวายบังคมฮองเฮาพอดี
ฮองเฮาได้แนะนำทุกคนให้สืออีเหนียงรู้จัก
เมื่อทุกคนถวายบังคมฮองเฮาและกล่าวทักทายซึ่งกันและกันแล้ว ก็พากันนั่งลงล้อมรอบฮองเฮา จากนั้นก็ชวนกันคุยเล่นเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
อยู่ในพระตำหนักคุนหนิง คนที่กล้าทำเช่นนี้เกรงว่าก็คงจะมีแต่องค์หญิงใหญ่คนเดียวเท่านั้น
ในขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เวลานั้นเองก็ได้ยินเสียงที่ใสแจ๋วของเด็กผู้หญิงพูดขึ้นด้วยความหยิ่งทะนงว่า “…ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าต้องอยู่ที่วังกับข้า ให้เขาไปอยู่กับน้องแปดไม่ได้หรืออย่างไรกัน อีกอย่างเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องชายของข้า ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย…” น้ำเสียงค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงพระตำหนักข้าง ก็เห็นเข้ากับองค์หญิงใหญ่ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและจิ่นเกอที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจพากันเดินเข้ามา ด้านหลังมีหวงเสียนอิงและถานกูกูเดินตามมาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ
“เกิดอะไรขึ้น” ฮองเฮาถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“เสด็จแม่!” องค์หญิงใหญ่ไม่ได้กลัวแม้แต่นิดเดียว วิ่งไปยืนเบื้องหน้าของฮองเฮา “ท่านให้จิ่นเกอพักอยู่ที่วังได้หรือไม่ รอให้พ้นวันที่ห้าก็ค่อยส่งเขากลับไป!” นางพูดพลางดึงชายเสื้อของฮองเฮาไปมาด้วยสีหน้าท่าทีที่ออดอ้อน
ตอนที่จิ่นเกอเดินเข้ามาในพระตำหนัก สืออีเหนียงก็ได้ใช้สายตาสำรวจจิ่นเกอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็เห็นว่าใบหน้านั้นแดงก่ำไปหมด หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อราวกับว่าไปวิ่งมาหลายสิบลี้อย่างไรอย่างนั้น อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นพึมพำในใจ เมื่อได้ยินองค์หญิงใหญ่พูดมาเช่นนี้ สืออีเหนียงก็จ้องมองไปยังบุตรชายโดยที่ไม่ละสายตาแม้แต่นิดเดียว
จิ่นเกอรีบส่งสายตาให้กับมารดาเพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาไม่เป็นอะไร
องค์หญิงใหญ่พูดต่ออีกว่า “ข้านัดแนะกับน้องเก้าเอาไว้แล้วว่าจะไปเตะด้วยกันอีกหนึ่งรอบ หากว่าจิ่นเกอไม่อยู่ ข้าคงเสียหน้าแย่!”
ฮองเฮาได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “เจ้าอายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะไปเล่นเตะลูกหนังกับน้องๆ อีก อย่าว่าในวังไม่มีขนบธรรมเนียมให้คนนอกเข้ามาพักค้างแรมเลย ถึงแม้ว่าจะมี เจ้าก็ไม่สามารถที่จะรั้งให้จิ่นเกออยู่ที่วังในวันปีใหม่เช่นนี้เพียงเพราะจะให้จิ่นเกออยู่เล่นเตะลูกหนังกับเจ้า” พระพักตร์ของฮองเฮาค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น “เรื่องนี้เจ้าห้ามพูดถึงอีก” ฮองเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้น “เวลาเริ่มสายแล้ว หย่งผิงโหวคงกำลังรอหย่งผิงโหวฮูหยินกับจิ่นเกออยู่ที่นอกวัง”
สืออีเหนียงรีบไปจูงมือของจิ่นเกอเข้าไปคุกเข่าทูลลาฮองเฮา องค์หญิงใหญ่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับร้องเรียกไม่หยุด “เสด็จแม่”
หลังจากเดินออกมาจากพระตำหนักคุนหนิงแล้ว สืออีเหนียงก็รีบถามขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไรขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มพร้อมกับตอบกลับเสียงเบา “แค่ไปเล่นเตะลูกหนังเป็นเพื่อนองค์ชายแปดกับองค์ชายเก้าเท่านั้น” จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้สืออีเหนียงฟัง
ที่แท้แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ชอบเตะลูกหนังเป็นชีวิตจิตใจ องค์หญิงใหญ่มักจะไปเล่นกับเหล่าบรรดาองค์ชายอยู่เป็นประจำ ฝีมือการเตะลูกหนังขององค์ชายแปดดีที่สุด และองค์ชายแปดก็มักจะจับคู่กับองค์หญิงใหญ่อยู่บ่อยครั้ง คืนของวันส่งท้ายปีเก่า องค์หญิงใหญ่ก็ได้นัดแนะกับเหล่าบรรดาองค์ชายไปเล่นเตะลูกหนังกัน แต่ใครจะไปนึกว่าวันนี้องค์ชายสิบเอ็ดจะประชวร ไม่สามารถมาเล่นด้วยกันได้ และเวลานั้นเอง องค์หญิงใหญ่ก็ได้เจอกับจิ่นเกอเข้าพอดี ความคิดก็ผุดขึ้นมาในหัว เลยดึงตัวจิ่นเกอไปจับคู่กับองค์ชายเก้า แล้วมาแข่งกับองค์หญิงใหญ่และองค์ชายแปด
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องที่องค์หญิงใหญ่จะให้จิ่นเกออยู่ค้างแรมที่วัง ก็ยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “พวกเจ้าแพ้การแข่งขันหรือ”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว!” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ “ข้ากับองค์ชายเก้าชนะต่างหากขอรับ!”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ดูจากท่าทีขององค์หญิงใหญ่แล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงข้าไปเล่นด้วยแค่เพื่อจะให้ครบคน” จิ่นเกอพูดขึ้น “องค์ชายแปดไม่ได้เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่นิด หากข้าไม่แสดงฝีมือสักหน่อย พวกเขาจะจำข้าได้อย่างไรกัน!”
“เจ้าจะให้พวกเขาจดจำอะไรกัน” สืออีเหนียงนึกเพียงแต่ว่าอยากจะให้จิ่นเกอออกให้ห่างจากคนเหล่านี้มากเท่าไรก็ยิ่งดี “เจ้าไม่กลัวองค์หญิงใหญ่โกรธหรืออย่างไรกัน!” นางพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้โกรธเคือง ในใจเลยแอบรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก จึงถามจิ่นเกอไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ไม่มีอะไรขอรับ!” จิ่นเกอตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้สืออีเหนียงฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ตอนที่จิ่นเกอได้ยินว่าเขาต้องไปเล่นเตะลูกหนัง ก็นึกว่าแค่ต้องลงไปเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่เท่านั้น ต่อมาจึงเพิ่งรู้ว่าเป็นการแข่งขันกัน จึงค่อนข้างรู้สึกประหม่าในฝีมือของตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางขององค์ชายแปดกับองค์ชายเก้าแล้ว เขาก็มีแผนคร่าวๆ ในใจ เริ่มไตร่ตรองว่าควรจะแพ้หรือชนะดี เมื่อได้ยินองค์ชายเก้าพูดขึ้นว่าปกติตอนที่แข่งขันกัน พวกเขาไม่ได้กำหนดการจับคู่แบบตายตัว เพราะว่าฝีมือการเตะลูกหนังขององค์ชายแปดนั้นค่อนข้างดี องค์หญิงใหญ่ก็เลยจับคู่กับองค์ชายแปดเสียส่วนใหญ่ แต่บางครั้งองค์หญิงใหญ่ก็ใจดียอมเล่นคู่กับองค์ชายเก้าหรือองค์ชายสิบเอ็ดด้วย
“…ข้าก็เลยเล่นแบบไม่ออมมือ” จิ่นเกอยิ้มกว้าง “หากเป็นเช่นนี้ ครั้งต่อไปองค์หญิงใหญ่ก็คงจะต้องเปลี่ยนคู่แล้ว!”
สืออีเหนียงตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้า…เจ้าจะเข้าวังมาเล่นเตะลูกหนังกับองค์หญิงใหญ่อีกหรือ”
“ไม่จำเป็นจะต้องเล่นเตะลูกหนังด้วยกันก็ได้!” จิ่นเกอพูดขึ้น “ขอแค่ได้ฝากผลงานให้กับองค์หญิงใหญ่กับบรรดาองค์ชายเหล่านั้นก็เป็นพอ!”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็เดินพ้นประตูวังหลวงพอดี
“ท่านพ่อ ท่านอาห้า!” จิ่นเกอกำลังวิ่งตรงไปหาทั้งสองคน
สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนสองพี่น้องกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงกลางระหว่างรถม้าสีดำเงาสองคัน เมื่อได้ยินเสียง สวีลิ่งอี๋ก็รีบตรงเข้าไปหาสองแม่ลูกทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง” สวีลิ่งอี๋ตบไหล่ของบุตรชายเบาๆ สีหน้ากังวลใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสวีลิ่งอี๋
จิ่นเกอหันไปยิ้มกว้างให้กับสวีลิ่งอี๋ “ไปเล่นเตะลูกหนังเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่ขอรับ องค์หญิงใหญ่แพ้ก็เลยจะให้ข้าเข้าวังไปเล่นเตะลูกหนังเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่อีกรอบตอนวันที่สี่”
“อย่างนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วขึ้นสูง “เราไปคุยกันต่อบนรถม้าดีกว่า”
*****
“หากว่าในวังให้จิ่นเกอเข้าวังวันที่สี่ ก็ปล่อยให้เขาไปเถิด!” สวีลิ่งอี๋กำลังนอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “จิ่นเกอของเรารับมือได้อย่างแน่นอน”
“เข้าวังไปก็มีแต่จะไปเล่นเท่านั้น” สืออีเหนียงหย่อนตัวนั่งลงริมเตียง “การบ้านย่อมต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ลูกเองก็จะได้ไม่ไปเล่นจนจิตใจล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน”
สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ปีใหม่ทั้งที ตามใจเขาหน่อยเถิด!” พูดจบก็นั่งตัวตรงแล้วพูดขึ้นว่า “มั่วเหยียน ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือกับเจ้า!” สีหน้าดูจริงจังเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงชะงักไปชั่วขณะ “มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“หลังพ้นตรุษจีน จิ่นเกอก็อายุสิบสองแล้ว ข้าอยากจะส่งเขาไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้!”
“เร็วเกินไปกระมังเจ้าคะ” สืออีเหนียงจ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความตกใจ “ไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ เขาทำอะไรได้บ้าง”