Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2830 หลีกเลี่ยงไม่สู้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2830 หลีกเลี่ยงไม่สู้

ตอนที่ 2830 หลีกเลี่ยงไม่สู้

เช้าวันถัดมา

หอแรกพิสุทธิ์

“รองผู้ดูแลหลินจะทำการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นผู้ดูแลหรือ”

ตอนที่รู้เจตนาการมาของหลินสวิน ศิษย์หอแรกพิสุทธิ์ที่ต้อนรับหลินสวินอึ้งงันไปทันที

“ใช่แล้ว เจ้าไปเชิญรองหัวหน้าหอฟางเต้าผิงมาก็พอ”

หลินสวินกล่าว

“รองผู้ดูแลหลินรอสักครู่”

ศิษย์หอแรกพิสุทธิ์เดินออกไปอย่างเร่งรีบ

ไม่นานเงาร่างของฟางเต้าผิงก็ปรากฏ เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เจ้าเพิ่งกลับมาเมื่อวาน วันนี้ก็จะทำการทดสอบแล้วหรือ”

หลินสวินยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโส มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ”

ฟางเต้าผิงกล่าว “ก็ไม่มีหรอก เจ้ามีพลังปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ แน่นอนว่ามีคุณสมบัติทดสอบตำแหน่งผู้ดูแล”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หลังจากงานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งก่อนสิ้นสุดลง ข้าได้หารือกับรองหัวหน้าหอคนอื่นๆ แล้วว่า การทดสอบตำแหน่งผู้ดูแลของเจ้าสามารถยกเลิกข้อที่ต้องสำเร็จภารกิจอย่างหนึ่งของสำนักออกได้ นี่ก็หมายความว่า ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องเจอคือการท้าสู้”

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง “ยกเลิกการทำภารกิจสำนักหรือ”

ฟางเต้าผิงยิ้มดล่าว “ครั้งก่อนในงานถกมรรคเก้ายอดเขาเจ้าลงแรงให้สำนัก กำราบพวกผู้สืบทอดลัทธิพ่อมด ลัทธิฌานในคราเดียว ผลงานระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ภารกิจสำนักชิ้นเดียวจะเทียบได้”

“เช่นนั้น… คนอื่นๆ จะไม่นินทาหรือ”

หลินสวินไม่วางใจนัก

“วางใจ ไม่ว่าคนที่ชิงชังเจ้าแค่ไหน ในเรื่องนี้ก็ไร้จุดให้ติติง”

ฟางเต้าผิงกล่าวถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เจ้าคิดจะท้าสู้กับใคร”

“มู่ฉิน”

หอแรกนภามีผู้ดูแลสิบสองคน หากหลินสวินจะเป็นผู้ดูแลก็ต้องเอาชนะหนึ่งในนั้น แทนที่ตำแหน่งของอีกฝ่าย

หลินสวินแจ้งชื่อหนึ่งออกไป

ฟางเต้าผิงนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย “เขาเป็นผู้มีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นต้น พลังปราณในตอนนี้มีสัญญาณว่าจะบรรลุขั้นกลางรางๆ แล้ว ในบรรดาผู้ดูแลสิบสองคนของหอแรกนภา พลังต่อสู้ของเขาอยู่ในห้าอันดับแรกอย่างมั่นคง ส่วนเจ้า…”

สำหรับเขา หลินสวินมีมรรควิถีเพียงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์เท่านั้น ห่างจากมู่ฉินช่วงใหญ่ ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเสี่ยงเกินไป

“เขานั่นแหละ”

หลินสวินสีหน้าสงบ

ก่อนมาเขาได้ไตร่ตรองอย่างจริงจังมาแล้ว

ไม่ใช่ว่าต้องเลือกมู่ฉินเท่านั้น แต่ในบรรดาผู้ดูแลสิบสองคน มีผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้น

มู่ฉินมาจากตระกูลมู่แห่งน่านฟ้าที่แปด สำหรับหลินสวินย่อมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัย

“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะส่งคนไปแจ้งมู่ฉิน”

ฟางเต้าผิงไม่เกลี้ยกล่อมอีก เริ่มเคลื่อนไหวทันที

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ศิษย์หอแรกพิสุทธิ์คนหนึ่งมารายงาน “ผู้ดูแลมู่ฉินกำลังปิดด่าน ไม่สามารถรับการท้าสู้ได้ในตอนนี้ขอรับ”

ฟางเต้าผิงเลิกคิ้ว ยิ้มหยันกล่าว “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งออกจากการปิดด่านไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงปิดด่านอีกแล้ว”

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าการกระทำนี้ของมู่ฉินเป็นไปได้สูงมากว่าจะการหลีกเลี่ยงการต่อสู้

แต่ฟางเต้าผิงเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่สามารถบังคับให้มู่ฉินออกด่านได้

“ในเมื่อผู้ดูแลมู่ฉินปิดด่าน เช่นนั้นก็เปลี่ยนคน”

แม้หลินสวินประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ

ศัตรูหลีกเลี่ยงการต่อสู้ คนที่ขายหน้าไม่ใช่เขาหลินสวิน

“เปลี่ยนเป็นใคร” ฟางเต้าผิงถาม

“ตงหวงอู่”

ได้ยินชื่อนี้ฟางเต้าผิงพยักหน้าพูด “ได้”

ในบรรดาผู้ดูแลสิบสองคนของหอแรกนภา ตงหวงอู่มีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นต้น พูดถึงพลังต่อสู้ ยังสู้มู่ฉินไม่ได้นัก

ทันใดนั้นฟางเต้าผิงส่งศิษย์คนหนึ่งไปยังถ้ำสถิตของตงหวงอู่

ทว่าไม่นานก็มีข่าวส่งมา…

ตงหวงอู่กำลังหลอมศาสตรามรรค ไม่สามารถออกมาในช่วงใกล้ๆ นี้ได้

นี่ทำให้ฟางเต้าผิงสีหน้าอึมครึมลง “เจ้าพวกนี้คงไม่ใช่รวมหัวกันจงใจทำเช่นนี้กระมัง พวกเขาไม่กลัวขายหน้าหรือ”

หลินสวินกลับไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าว “พวกเขามีเรื่องสำคัญ แม้ไม่รับการท้าสู้ก็ส่งผลกระทบต่อพวกเขาไม่มากนัก แต่ถ้าอยากรู้ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่ ยังสามารถลองดูอีกครั้งได้”

“คนต่อไปเลือกใคร” ฟางเต้าผิงถาม

“ชื่อหลิงเหอ”

หลินสวินบอกอีกชื่อ

ฟางเต้าผิงนัยน์ตาหดรัด “คนผู้นี้ครอบครองมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นกลาง รับมือยากกว่ามู่ฉินเสียอีก”

“ผู้อาวุโสวางใจเถอะ” หลินสวินกล่าว

ฟางเต้าผิงใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตอบรับ

ไม่นานศิษย์หอแรกพิสุทธิ์คนหนึ่งย้อนกลับมา เอ่ยเสียงเบา “รายงานรองหัวหน้าหอฟาง ผู้ดูแลชื่อหลิงเหอกำลังเขียนคัมภีร์มรรค ทุ่มเทจิตใจไปมาก แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธการท้าสู้ เพียงแต่ต้องรอหนึ่งปีให้เขาฟื้นฟูจิตใจสักหน่อย”

หว่างคิ้วของฟางเต้าผิงปรากฏแววอึมครึม “มีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นกลาง แต่กลับหลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้ ใช้ได้ที่ไหน!”

เขาตระหนักได้ว่าเจ้าพวกนี้ต้องสมรู้ร่วมคิดกันแต่แรกแล้ว!

แม้มรรควิถีสูงกว่าหลินสวินช่วงใหญ่ ก็ไม่คิดจะให้โอกาสหลินสวินท้าสู้ เช่นนี้หลินสวินอยากเหยียบพวกเขาเลื่อนจั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว

ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ พูดเรียบๆ “ผู้อาวุโส เช่นนั้นก็เปลี่ยนคนต่อ หอแรกนภาไม่มีคนรับคำท้า เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นผู้ดูแลของหอแรกมายา หอแรกพิสุทธิ์ ถึงตอนท้ายข้าจะให้คนทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดได้เห็น อยากดูนักว่าควกที่รวมหัวกันเหล่านี้ยังอยากมีหน้าอยู่หรือไม่”

ฟางเต้าผิงสายตาวูบไหว เอ่ยว่า “ในนั้นมีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลองดู”

หลินสวินเอ่ย “ผู้อาวุโสคิดว่าหากข้าใช้อภินิหารดาบกาลเวลาเข้าสู้ จะสามารถตัดมรรควิถีของอีกฝ่ายลงในคราเดียวได้หรือไม่”

ฟางเต้าผิงสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา “ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวน่าจะสามารถทำได้ เพียงแต่ตอนนี้ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนรู้ว่าเจ้าเคยใช้ดาบกาลเวลาเอาชนะศิษย์พุทธลัทธิฌานอวี่เฟิงจื่อ ยากจะรับรองว่าพวกเขาจะไม่มีการป้องกัน”

‘ไม่เป็นไร ขอแค่สามารถเล่นงานพวกเขาก็พอแล้ว’

หลินสวินลอบกล่าวในใจ สามารถป้องกันดาบกาลเวลาได้ แต่จะสามารถป้องกันประตูเนรเทศได้ด้วยหรือ

อภินิหารต้องห้ามนี้ตนไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

“ไม่ได้ นี่เสี่ยงเกินไป เลือกคู่ต่อสู้ที่คว้าชัยได้แน่นอนมาหยั่งเชิงจะดีกว่า หากสุดท้ายไม่มีคนรับคำท้าจริงๆ ค่อยตัดสินใจยังได้”

ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงขรึม

หลินสวินพยักหน้าตกลง

จากนั้นฟางเต้าผิงก็ออกคำสั่ง ให้ศิษย์หอแรกพิสุทธิ์ไปส่งข่าว

และในเวลาหลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยส่งกลับมา

“ผู้ดูแลอวิ๋นพั่วเยวี่ยกำลังปิดด่าน ไม่สามารถรับคำท้าได้”

“ผู้ดูแลกู้หลิ่นกำลังหลอมลูกกลอนโอสถ ไม่อาจเสียสมาธิ…”

“ผู้ดูแลฉีเชียนชิว…”

ทุกการท้าสู้ล้วนถูกปฏิเสธโดยไม่มียกเว้น เหตุผลเป็นไปในทำนองเดียวกัน ไม่มีแปลกใหม่

ท้ายที่สุดในบรรดาผู้ดูแลของสามหออย่างหอแรกนภา หอแรกมายา หอแรกพิสุทธิ์ นอกจากพวกที่บรรลุขั้นดับเทพสัมบูรณ์ ขอเพียงเป็นคนที่มีความแค้นกับหลินสวินล้วนปฏิเสธคำท้าสู้ของหลินสวินโดยไม่มีข้อยกเว้น

ฟางเต้าผิงสีหน้าอึมครึมอย่างสิ้นเชิง แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายสมรู้ร่วมคิดกันแต่แรก ทว่ายามเห็นภาพนี้ก็ยังคงทำให้โมโหอย่างกลั้นไม่อยู่

หลินสวินเอ่ยคล้ายขบคิด “เช่นนี้ดูท่าพวกเขาคิดจะใช้ทุกวิถีทางขวางไม่ให้ข้าเลื่อนขั้น เพื่อชิงโอกาสที่มากกว่าให้กับหยวนฉางเทียน”

“หลินสวิน จากที่ข้าดูนี่อาจเป็นแผนร้าย”

ฟางเต้าผิงเหมือนตระหนักถึงบางอย่าง เอ่ยว่า “ตอนนี้คนที่หลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขั้นดับเทพขั้นกลาง ขุมอำนาจศัตรูของเจ้าที่อยู่ในสามหอมีผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่บรรลุขั้นดับเทพขั้นสัมบูรณ์แล้ว ข้าสงสัยว่าหากเจ้าส่งคำท้าไปยังคนพวกนี้ตอนนี้ อีกฝ่ายจะต้องตอบรับทันที”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบ “เช่นนี้พวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถจัดการเจ้าได้! ต่อให้เจ้าใช้พลังพรสวรรค์ดาบกาลเวลา เกรงว่าพวกเขาก็คงเตรียมพร้อมรับมือมาก่อนแล้ว เมื่อมีวิธีหลบหลีก หากต่อสู้กันซึ่งหน้า ด้วยพลังต่อสู้ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นสัมบูรณ์ของเจ้า จะเป็นคู่ต่อสู้ของขั้นดับเทพสัมบูรณ์ได้อย่างไร”

หลินสวินเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ แต่เขาไม่ได้กังวล ดาบกาลเวลาสู้ไม่ไหว ก็ยังมีประตูเนรเทศ มีกายมรรคทั้งห้า…

เพียงแต่ยามเขาตัดสินใจจะทำเช่นนี้ กลับถูกฟางเต้าผิงปฏิเสธ

“เสี่ยงเกินไป ไม่คุ้ม”

ฟางเต้าผิงกล่าว “หากเจ้าอยากเป็นผู้ดูแล ก็สามารถเลือกผู้ดูแลนอกขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นได้”

หลินสวินยิ้มขื่นระลอกหนึ่ง “เช่นนี้จะโจมตีความเย่อหยิ่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร”

“การท้าสู้เช่นนี้ไม่มีทางมีโอกาสฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ เหตุใดต้องยึดติดเช่นนี้” ฟางเต้าผิงย้อนถาม

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ช่างเถอะ”

ถามใจตนเอง เขาเองก็ไม่อยากเผยไพ่ตายทั้งหมดของตนในการท้าสู้เช่นนี้ ไม่คุ้มจริงๆ และยังจะถูกคู่ต่อสู้มองทะลุรากฐานได้ง่ายๆ

“ผู้อาวุโส อิงตามกฎของสำนัก หากถูกคนที่ท้าสู้หลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้ควรทำอย่างไร” หลินสวินอดถามไม่ได้

ฟางเต้าผิงกล่าว “ง่ายมาก จำกัดเวลาหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนหากไม่มีคนรับคำท้า เช่นนั้นผู้ท้าสู้สามารถแทนที่ตำแหน่งของใครคนใดคนหนึ่งได้!”

หลินสวินพยักหน้า ทันใดนั้นเขานึกถึงเรื่องหนึ่ง “หยวนฉางเทียนเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร”

ฟางเต้าผิงเอ่ยง่ายๆ “หยวนฉางเทียนมีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นกลาง รากฐานพลังของเขาเย้ยฟ้า พรสวรรค์น่าตะลึง ยามเอาชนะผู้อาวุโสเนี่ยชิงหูซึ่งมีปราณขั้นดับเทพสัมบูรณ์ได้เผยพลังที่น่าทึ่งมาก ว่ากันถึงที่สุด ในด้านพลังปราณ เขากับผู้อาวุโสเนี่ยชิงหูต่างกันเพียงขั้นเล็กๆ เท่านั้น”

หลินสวินเข้าใจในทันที

หากเปลี่ยนเป็นตนที่เป็นขั้นดับเทพขั้นกลาง การเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

“เช่นนั้นเจ้าจะเลือกไปท้าสู้ผู้ดูแลคนอื่นๆ หรือไม่”

ฟางเต้าผิงถาม

หลินสวินส่ายหน้า “ข้าสนใจเพียงตำแหน่งที่ศัตรูเหล่านั้นยึดครอง”

พูดถึงตรงนี้ในใจเขาฉุกคิดได้ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ให้เวลาข้าหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นข้าค่อยท้าสู้”

“หนึ่งเดือนหรือ”

ฟางเต้าผิงประหลาดใจเล็กน้อย

“ถึงตอนนั้นผู้อาวุโสจะรู้เอง”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ

……

วันนั้นข่าวที่หลินสวินเข้าทำการทดสอบเป็นผู้ดูแลก็กระจายไปทั่วทั้งลัทธิแรกกำเนิด เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่

“ในสามหอ ทุกคนที่ถูกรองผู้ดูแลหลินท้าสู้กลับไม่มีใครกล้ารับคำท้า ขี้ขลาดเกินไปหรือไม่”

“นี่เป็นการขี้ขลาดเสียที่ไหน ไม่คิดจะให้โอกาสรองผู้ดูแลหลินต่างหาก! ผู้ดูแลที่ปฏิเสธคำท้าเหล่านี้ เห็นชัดว่าล้วนสมรู้ร่วมคิดกันแต่แรกแล้ว นี่ต่างหากที่น่ารังเกียจที่สุด!”

“เพื่อขัดขวางเส้นทางเลื่อนขั้นของหลินสวิน คนพวกนี้ถึงกับรวมหัวกัน วิธีเช่นนี้ต่ำช้าไปหน่อยแล้ว”

“เฮ้อ หลังจากบุตรเทพหยวนฉางเทียนมาเยือน สถานการณ์ในลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราก็เปลี่ยนเป็นละเอียดอ่อนขึ้น…”

ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์

ตอนที่รู้ข่าวคนใหญ่คนโตอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง แต่ละคนต่างขมวดคิ้วไม่หยุด จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นแผนของพวกฝูเหวินหลี

แต่สำหรับพวกฝูเหวินหลี หลังจากรู้ข่าวต่างอดยิ้มไม่ได้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

ตั้งแต่หลินสวินเข้าลัทธิแรกกำเนิดจนวันนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหลินสวินถูกบีบเช่นนี้

สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาเสียดาย คือหลินสวินไม่ได้ท้าสู้ขั้นดับเทพสัมบูรณ์ในขุมอำนาจของพวกเขา

มิฉะนั้นจะต้องมีเรื่องสนุกยิ่งกว่าให้ดูอย่างแน่นอน!

‘เพิ่งกลับมาเมื่อวาน วันนี้ก็จะคว้าตำแหน่งผู้ดูแลแล้ว หรือเขาถูกการมาเยือนของข้ากระตุ้นแล้ว’

หยวนฉางเทียนที่รู้ข่าวนี้ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ พลันยิ้มออกมา

หลินสวินยิ่งร้อนรน ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าในใจเขา ตนได้กลายเป็นการคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของเขาแล้ว ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดัน!

และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ง่ายที่จะเสียการควบคุม!

‘หลินสวิน ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่เจ้าแสดงออกวันนี้กลับทำให้ข้าผิดหวังอยู่บ้าง…’

หยวนฉางเทียนทอดถอนใจในใจเบาๆ

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน