นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 648 ของขวัญ คุณชายเย่ช่างแยบยล

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ซีหลิงเทียนอวี่มีความรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงจับจองเอาไว้อย่างไม่กะพริบตา เพื่อไม่ให้ซีหลิงเทียนเหล่ยทำงานของเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ล่ม

วันนี้เป็นวันดีของเฟิ่งชิงเฉิน หากว่าถูกเสด็จพี่ของเขาทำลายงานลงละก็ เสด็จอาเก้าคงจะถลกเนื้อหนังของเขาอย่างแน่นอน

แววตาอันเหมือนคอยป้องกันฝูงโจรทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่พึงพอใจเป็นที่สุด เมื่อได้ยินน้ำเสียงข้างนอกพากันเอ่ยขึ้นว่าทรงพระเจริญ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็กล่าวขึ้น “เฟิ่งชิงเฉินช่างมีเกียรติยิ่งนัก ทำให้องค์รัชทายาทแห่งตงหลิงเดินทางมาร่วมงานเล็กๆ เช่นนี้ได้ เป็นเพียงสตรีที่ได้แต่ร่ายรำ คบหาเป็นการส่วนตัวกับขุนนางและองค์ชาย นางไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงของตนหรืออย่างไร”

ซีหลิงเทียนเหล่ยแกว่งแก้วสุราไปมาด้วยท่าทางอันผ่อนคลาย ดูเหมือนไม่สนใจเรื่องราวที่ด้านนอกประตูแม้แต่น้อย ทว่าประโยคเมื่อครู่ของเขาทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างลึกซึ้ง……

สายตาของซีหลิงเทียนอวี่เป็นประกายเยือกเย็นทันที เมื่อเขามั่นใจได้ว่าไม่มีคนนอกอยู่ที่แน่นจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วกล่าวด้วยใบหน้าอันเป็นห่วงกังวลว่า “เสด็จพี่ แม้ว่าสุราของจวนเฟิ่งจะรสดียิ่งนัก แต่เสด็จพี่อย่าได้ดื่มให้มากเกินไป”

ประโยคนี้เป็นประโยคที่บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ แต่ในความหมายของประโยคเมื่อครู่ก็ลึกล้ำไม่น้อย ไม่ได้บ่งบอกเพียงว่าซีหลิงเทียนเหล่ยถือแก้วสุราเอาไว้เท่านั้น และเป็นการบอกอย่างอ้อมค้อมว่าเขาได้เอ่ยวาจาสามหาวหลังจากดื่มสุราลงไป

คบหาเป็นการส่วนตัวกับขุนนางชั้นสูงและองค์ชาย นี่ดีไม่ดีอาจจะทำให้ถูกใครบางคนคอยจับจ้องใส่ร้ายได้ หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุผลนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกว่าระแวง

“เทียนอวี่ เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป พี่ของเจ้าคอแข็งยิ่งนัก จวบจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยเมามายเพราะดื่มสุรา” ซีหลิงเทียนเหล่ยยิ้มกับซีหลิงเทียนอวี่แล้วยกแก้วสุราขึ้น “เทียนอวี่ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลยที่สามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ ขาของเจ้านั่นเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่รักษาให้หายขาด ในวันนี้ข้าขอใช้สุราของจวนเฟิ่ง แสดงความยินดีให้แก่เจ้าที่สามารถใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไปแล้ว”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ดื่มจนหมดแก้ว

ประโยคนี้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ประการแรก กล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินและซีหลิงเทียนอวี่มีความสัมพันธ์กันอย่างไม่ธรรมดา ประการที่สองในประโยคสุดท้าย เขาได้กล่าวว่าซีหลิงเทียนอีกไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

หนานหลิงจิ่นฝานมองไปยังองค์ชายสองคนนี้ที่กัดกันไปมา คำแต่ละคำช่างแหลมคมดุจดั่งเข็มทอผ้า สายตาของเขาก็บ่งบอกถึงความเยาะเย้ยออกมา

พี่น้องในราชวงศ์นั้นล้วนเป็นเช่นนี้ พวกเขาเกิดมาจากท้องของสตรีคนละคน แต่เรียกชายคนเดียวกันว่าเสด็จพ่อ แล้วต่างพากันเย่เย่ชิงสุดกำลังเพื่อที่จะได้เก้าอี้ตัวนั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งสองคนตรงหน้านี้แล้ว ดูเหมือนหนานหลิงจิ่นฝานจะรู้สึกว่าตนโชคดีเหลือเกิน อย่างน้อยหนานหลิงจิ่นสิงก็ไม่ได้กระทำการเช่นนี้ต่อเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกหงุดหงิดใจเสียจนไม่อาจกินข้าวกินปลาได้เลย…………

ด้านใน ขณะที่ซีหลิงเทียนเหล่ยและซีหลิงเทียนอวี่สองคนพี่น้องทะเลาะกันไปมาไม่มีใครยอมใคร ด้านขององค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ก็ได้เดินทางเข้ามาถึงพอดี

เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรี จึงไม่ยากที่จะทำให้แขกเหรื่อที่เป็นบุรุษทั้งหลายต้องรอนาน หลังจากที่ออกมาต้อนรับองค์รัชทายาทแล้วจึงได้รีบเดินทางกลับเข้าไปโดยเร็ว จากนั้นก็เดินทางออกจากที่นั่น

ในวันนี้องค์รัชทายาทเดินทางมาเนื่องจากหวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิง ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจะอยู่ที่นั่นหรือไม่เขาเองไม่ได้สนใจ

แน่นอนว่าองค์รัชทายาทต้องนั่งอยู่ในตำแหน่งบนสุด ชุยห้าวถิง หวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงร่วมนั่งด้วยกันกับเขา ซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเทียนอวี่และหนานหลิงจิ่นฝานก็ไม่ได้มีความคิดเห็นใด ได้แต่หัวเราะออกมาเหอะๆ และสนทนากับองค์รัชทายาท พวกเขาทั้งโต๊ะนั้นสนทนากันอย่างสนุกสนานครึกครื้น ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาเป็นสหายที่ดีต่อกัน

เนื่องจากมีองค์รัชทายาทอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นกฎเกณฑ์ต่างๆ จึงค่อนข้างจะรัดกุม แต่ละคนสนทนาด้วยน้ำเสียงอันเบา ไม่กล้าที่จะพูดจาโผงผาง และเป็นที่แน่นอนว่าเรื่องของตี๋ตงหมิงที่จะดื่มสุราเป็นการลงโทษเมื่อครู่จึงได้แล้วกันไปด้วยประการฉะนี้ และเรื่องการลงโทษองค์รัชทายาทด้วยการดื่มสุราแน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้น

องค์รัชทายาทเองก็รู้ดี แม้ว่าตัวเขาจะมีตัวตนอันสูงส่งแต่ก็ไม่ใช่ตัวละครที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกชื่นชมยินดี หากเขายังอยู่ที่นั่นล่ะก็คงทำให้บรรยากาศดูเยือกเย็นลง อีกอย่างงานเช่นนี้เขาเพียงแค่เดินทางมาแสดงความยินดีก็พอ หากอยู่ต่ออีกเนิ่นนานทุกคนคงจะรับไม่ไหว

ในวันนี้เขาเดินทางมาเพราะชุยห้าวถิงและหวังจิ่นหลิง ในเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้วก็เพียงพอ สถานการณ์เช่นนี้เหมาะสมที่จะสนทนากันเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะสมหากจะสนทนายืดยาว เมื่อมีโอกาสนี้แล้วในอนาคตคาดว่าจะสนทนากันอีกก็ง่ายขึ้นกว่าเดิม

หลังจากที่องค์รัชทายาทดื่มสุราไปสามอึกแล้วจึงได้เอ่ยปากขอตัวเดินจะห่างจากไป หวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงเข้าไปรั้งเอาไว้เป็นพิธี จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเพื่อส่งองค์รัชทายาทเดินทางกลับไป

ต้องขอบอกว่าองค์รัชทายาทเดินทางมาในครั้งนี้แม้ว่าจะได้รับเกียรติอย่างล้นพ้น แต่ว่า……ก็ทำให้อึดอัดไม่น้อย

เมื่อองค์รัชทายาทลุกขึ้นยืน คนอื่นๆ จะกล้าไม่ลุกขึ้นยืนส่งเขาหรือ ยังดีที่องค์รัชทายาทค่อนข้างที่จะเป็นกันเอง เขาจึงส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงตามเดิม “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องไปส่งข้า มีเพียงคุณชายใหญ่และคุณชายชุยก็พอแล้ว”

ประโยคนี้ไม่เพียงแค่ทำสื่อให้ทุกคนรู้ว่าไม่ต้องมากพิธี อีกประการหนึ่งก็เป็นการยกยอหวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงให้สูงขึ้น ให้ทุกคนได้รู้ว่าทั้งสองคนนี้ในใจของเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดา ต้องยอมรับว่าวิธีจัดการขององค์รัชทายาทช่างเด็ดขาดและสมบูรณ์เหลือเกิน

ไม่มีใครรู้ว่าในใจของชุยห้าวถิงและหวังจิ่นหลิงคิดอย่างไรอยู่ แต่ใบหน้าของทั้งสองนั้นดูรู้สึกภูมิใจเป็นที่สุด มองไปยังรอยยิ้มอันสดใสขององค์รัชทายาทก็รู้ได้ทันทีว่าการเดินทางมาในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จและได้รับผลตามที่ต้องการแล้ว

จะว่าไปก็จริงดังนั้น นอกเสียจากงานเลี้ยงในพระราชวังที่จักรพรรดิเชิญมาแล้วนั้น ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่สามารถเชิญคุณชายชุยและคุณชายหวังมาได้พร้อมกัน อ้อจริงสิ ตระกูลเซี่ยก็ได้ส่งคนมาร่วมงานด้วย แต่ก็ไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร ตระกูลเซี่ยเพียงไม่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองใจเท่านั้น

ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยก็ทำลำทำตัวลำบาก พวกเขาจะต้องรีบเข้าไปกอดขาขององค์จักรพรรดิเอาไว้ ลูกในท้องของพระสนมเซี่ยหากต้องการจะเย่เย่ชิงตำแหน่งนั้น ก็จะต้องได้รับความรักความเมตตาจากองค์จักรพรรดิเสียก่อน แต่พวกเขาก็จำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉิน ในการรักษาทารกในครรภ์ของพระสนมเอาไว้ หากว่าพวกเขาทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องขุ่นเคืองใจ ก็คงจะสูญเสียไม่น้อย……

องค์รัชทายาทเดินออกไปข้างนอก ขณะที่เขากำลังจะก้าวขาข้ามธรณีประตู ที่ด้านนอกประตูก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น

ประตูใหญ่ห่างออกไปจากห้องโถงประมาณสิบเมตร พวกเขาก็ยังได้ยินเสียง เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ด้านนอกดูครึกครื้นไม่ธรรมดา อีกอย่างขบวนรถขององค์รัชทายาทตั้งรออยู่ด้านนอก คนผู้นี้ยังกล้าส่งเสียงโวยวายดังนี้เห็นได้ชัดว่ามาด้วยจุดประสงค์ไม่ดี

ชุยห้าวถิงและหวังจิ่นหลิงสะดุ้งเล็กน้อย ทั้งสองคนหันมาสบตากัน ชุยห้าวถิงพยักหน้าเป็นความหมายว่าเขาจะจับตาดูที่นี่เอาไว้ ให้หวังจิ่นหลิงเดินทางออกไปจัดการอย่างวางใจ

“องค์รัชทายาทช้าก่อน โปรดให้จิ่นหลิงเดินทางออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอกเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ให้องค์รัชทายาทออกไปเสี่ยงอันตราย

องค์รัชทายาทพยักหน้า จากนั้นขาข้างที่ก้าวออกไปก็ชักกลับมา แววตาของเขาบ่งบอกถึงความโหดเหี้ยมเล็กน้อย

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาอยู่จวนเฟิ่งยังกล้าที่จะมาสร้างเรื่องถึงที่นี่ นับได้ว่าไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันตื่นตระหนก รู้สึกว่าตนช่างโชคร้ายเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าในวันนี้เขาจะมาสร้างความวุ่นวายให้เฟิ่งชิงเฉินต้องรู้สึกอับอายก็เท่านั้นคิดไม่ถึงว่า จะมีคนกล้ามาสร้างความวุ่นวายต่อหน้าองค์รัชทายาทด้วย เขาผู้นี้ช่าง……

ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน แต่พวกเขาก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ด้านนอก ทั้งสองคนได้แต่หันมายิ้ม ต่างพากันนั่งรอดูฉากเด็ด

ซีหลิงเทียนอวี่ไม่ได้พลาดแววตาของทั้งสองเมื่อครู่อันเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมา

เสด็จอาเก้า ข้าขอโทษด้วย ข้าทำจนสุดความสามารถแล้ว แต่……ศัตรูช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน เขาจับตามองเพียงแค่คนหนึ่ง จึงไม่ทันได้ระมัดระวังอีกคนหนึ่ง

หวังจิ่นหลิงเดินทางออกไป และพบว่าเย่เย่กับองครักษ์ขององค์รัชทายาทแทบจะลงไม้ลงมือกันอยู่แล้ว หวังจิ่นหลิงฉายแววตาเป็นประกายออกมา “หยุดเดี๋ยวนี้!”

“คุณชายใหญ่!” องครักษ์ขององค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าผู้ที่สามารถสยบเหตุการณ์ได้เดินทางมาถึงแล้ว เขาจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วก้าวขา หลบหนี ไม่เผชิญหน้ากับเย่เย่

ที่นี่ไม่ใช่จวนองค์รัชทายาท เขาไม่จำเป็นจะต้องออกหน้าให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน การที่เขาเข้าไปรั้งเย่เย่เอาไว้เพียงเพราะไม่ต้องการให้เย่เย่นำความซวยเหล่านั้นเข้าไปข้างใน มิเช่นนั้นคงจะไม่ดีต่อองค์รัชทายาท

“ที่แท้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังนี่เอง มาได้จังหวะพอดี เฟิ่งชิงเฉินเล่า?” เย่เย่ก็หยุดเช่นกัน แน่นอนว่าเขาเดินทางมาเพียงเพื่อก่อความไม่สงบ แต่เขาก็คงไม่หน้ามืดตามัวเสียจนให้ใครไล่ออกไปได้ เพราะนั่นมันช่างขายหน้าเหลือเกิน

“ข้าอยู่นี่!” เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงออกมาโดยมีทงจือและทงเหยาติดตามมาด้วย ฝีก้าวของนางเร่งรีบ ปิ่นและเครื่องประดับบนศีรษะของนางกระทบการเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินเร่งรีบเพียงใด……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท