เช้าวันต่อมา สวีลิ่งอี๋อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พาสวีซื่อจิ่นไปศาลบรรพชน
ถวายเครื่องบูชา คารวะบรรพบุรุษ สั่งสอนบุตรชายตัวเอง เมื่อเดินออกมาจากประตูศาลบรรพชน ก็เห็นบ่าวรับใช้ที่ดูแลศาลบรรพชนยืนอยู่ข้างต้นสนสีเขียวมองเข้ามา
“ท่านโหว คุณชายน้อยหก” เห็นพวกเขาสองคนเดินออกมา เขาก็รีบเดินเข้ามาคำนับ แล้วพูดด้วยความเคารพ “ไท่ฮูหยินถามตั้งหลายครั้งว่าเมื่อไรท่านกับคุณชายน้อยหกจะไปหาขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ไม่มองบ่าวรับใช้คนนั้นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกช้าๆ
สวีซื่อจิ่นเห็นท่าทีบิดาเหมือนมีอะไรจะพูดกับตัวเองจึงรีบเดินตามไป “ท่านพ่อขอรับ ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าอีกหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋หยุดเดินแล้วมองไปที่บุตรชายที่สูงกว่าตัวเองครึ่งหัว เพราะบุตรชายมีสีหน้าเคร่งขรึมและแน่วแน่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง…และเพราะความลังเลของเขา จู่ๆ สวีลิ่งควนก็ปรากฏตัวออกมาจากสุดซอย “จิ่นเกอ รีบไปเถิด ท่านย่ารอเจ้าทานอาหารเช้าอยู่ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าด้วย!” พูดจบ เขาก็อุทาน “อ้อ” ราวกับพึ่งจะเห็นสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็พูดว่า “พี่สี่ ท่านพูดกับเขาเสร็จแล้วใช่หรือไม่ หากพูดเสร็จแล้ว เช่นนั้น ข้ากับจิ่นเกอขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านแม่ถามตั้งหลายครั้ง พาลบอกว่าบ่าวรับใช้สองสามคนไม่ได้เรื่อง กำลังอารมณ์เสีย! แม้แต่พี่สะใภ้สองก็เกลี้ยกล่อมไม่ได้ ข้าจึงต้องมาหาพวกท่านด้วยตัวเอง” เขาพูดพร้อมกับขยิบตาให้สวีซื่อจิ่น จากนั้นก็เดินออกไปจากซุ้มในศาลบรรพชน “จิ่นเกอ ท่านย่าสำคัญกว่า!” ไม่สนใจว่าสวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าเช่นไร
สวีซื่อจิ่นเป็นคนฉลาด เขาฟังเจตนาของสวีลิ่งควนออก รีบพูดกับท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” จากนั้นก็เดินตามสวีลิ่งควนไป
“ท่านอาห้า” เขาพูดเสียงเบา “ท่านย่าอารมณ์เสียจริงหรือ”
“ท่านย่าของเจ้าก็แค่เป็นกังวล” สวีลิ่งควนตอบกลับเบาๆ “หากข้าไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะปลีกตัวออกมาได้หรือ คนอย่างพี่สี่ ข้ารู้จักเขาดี หากได้พูดก็พูดไม่จบ ตอนที่ข้าไปรับตำแหน่งที่องครักษ์วังหลวง คารวะบรรพบุรุษเสร็จก็ถูกเขาลากไปสั่งสอน สั่งสอนทีก็หนึ่งชั่วยาม ข้ายืนจนขาชาไปหมด หากไม่ใช่เพราะท่านย่าของเจ้าเห็นว่าข้ายังไม่กลับมาสักที ส่งผู้ดูแลมาหา เกรงว่าข้าคงต้องยืนเช่นนั้นต่อไป” จากนั้นเขาก็พูดด้วยความสงสัย “เหตุใดครั้งนี้พี่สี่กับเจ้าถึงออกมาเร็วนัก”
สวีซื่อจิ่นรู้สึกว่าท่านอาห้าเอาใจใส่เขา เลยรีบพูดว่า “วันที่ข้ากลับมาท่านพ่อสั่งสอนข้าไปแล้วขอรับ ยิ่งไปกว่านั้น ประเดี๋ยวข้าก็ต้องออกเดินทางแล้ว หากพูดมากจะทำให้การเดินทางล่าช้า”
“ก็จริง!” สวีลิ่งควนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าครั้งนี้เฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่บอกว่า กระทรวงขุนนางและกรมกลาโหมล้วนแต่ส่งคนมาส่งเจ้า หากเจ้าไปสาย ให้คนอื่นรอก็คงไม่ดี ถึงแม้พวกเขาจะเป็นแค่ขุนนางระดับห้า ระดับหก แต่ว่าพวกเขาก็เป็นถึงขุนนางในเมืองหลวง ต่อไปเจ้าคงต้องพึ่งพาพวกเขา หากทำให้พวกเขาไม่พอใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ คงกไม่คุ้ม”
การที่คนของกระทรวงขุนนางและกรมกลาโหมมาส่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเฉินเก๋อเหล่าและอาลักษณ์ลู่อยากจะเยินยอเขา
“ข้ารู้แล้วขอรับ คนของทั้งสองกรม ข้าจะต้องให้รางวัลพวกเขาแน่นอน” สวีซื่อจิ่นรีบพูดต่ออีกว่า “ท่านอาห้าอยู่ในเมืองหลวง ต่อไปมีเรื่องอันใดคงต้องวานให้ท่านอาห้าช่วยข้าระวังขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้อาห้าของเจ้าจะไม่ได้มีความสามารถเหมือนพ่อของเจ้า แต่หากพูดถึงเรื่องวาสนา ขุนนางในเยี่ยนจิงล้วนแต่รู้จักมักจี่กับข้า หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็มาหาอาห้าของเจ้าได้เลย!”
สวีลิ่งควนตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นก็มองไปที่ลานของไท่ฮูหยิน
พวกเขาสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่พูดอะไร จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในลาน
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วส่ายหน้า เดินเข้าไปในห้องของไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินกำลังพูดคุยกับสวีซื่อจิ่น
“…ไปถึงกุ้ยโจวแล้วอย่าลืมเขียนจดหมายกลับมา ไม่ต้องประหยัดเงิน ระหว่างทานต้องทานให้อิ่ม หลับให้สบาย หากเงินไม่พอ ท่านย่าส่งไปให้เจ้าเอง” ไท่ฮูหยินพูดกับเขาพร้อมกับเหลือบมองเจียงซื่อและอิงเหนียง “เจ้ายังไม่ได้แต่งงาน ตามหลักแล้ว ส่วนกลางต้องให้เงินเจ้าทุกเดือน ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะมีเงินรายเดือน แต่มันคนละเรื่องกัน สิ่งที่ควรให้เจ้าก็ต้องให้เจ้า ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่ากฎเกฑณ์ได้เช่นไร!”
ไท่ฮูหยินพูดเป็นนัย อิงเหนียงไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องในจวนเลยไม่ได้คิดอะไร แต่เจียงซื่อได้ยินเช่นนี้กลับหน้าแดง
สวีซื่อจิ่นแอบแลบลิ้นออกมา
ไม่แปลกที่คนอื่นบอกว่าผู้หญิงมักลำบาก แม้พี่สะใภ้สี่จะไม่ได้พูดอะไรแต่กลับถูกพาดพิง หากนางพูดอะไรก็คงจะถูกท่านย่าสั่งสอน ซ้ำยังต้องถูกท่านแม่สั่งสอนอีก!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านย่าพูดอะไรกัน ราวกับว่าข้าเป็นคนมัธยัสถ์อย่างไรอย่างนั้น ข้าโตมากับท่านตั้งแต่เด็กจนข้ามีหน้ามีตาขนาดนี้ ท่านไม่ต้องห่วง ข้ายอมเสียเงินดีกว่าลำบากตัวเองขอรับ!”
เป้าหมายของไท่ฮูหยินสำเร็จแล้ว ได้ยินเช่นนั้นนางก็หันไปพูดกับฮูหยินสอง “เห็นหรือไม่ ข้าพูดแค่ประโยคเดียว เขาต้องตอบข้าสิบประโยค”
“ก็เพราะว่าท่านตามใจเขาเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองยิ้ม ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เจียงซื่อมองสวีซื่อจิ่นด้วยสายตาซาบซึ้ง
จากนั้นไท่ฮูหยิน สืออีเหนียง ฮูหยินสอง ฮูหยินห้า เจียงซื่อและอิเหนียง…ก็พูดคุยกันอีกครั้ง เห็นว่าใกล้จะถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ทุกคนจึงออกไปส่งสวีซื่อจิ่นด้วยความอาลัยอาวรณ์
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตรวจหีบของของสวีซื่อจิ่นอยู่ที่ลานนอกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รถม้าก็พร้อมแล้ว รถม้ากว่ายี่สิบคันจอดเรียงกันเป็นแถว องครักษ์ที่รูปร่างสูงใหญ่ยืนถือเชือกม้าสีแดงอยู่ข้างรถม้าอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินเริ่มร่ำไห้
บรรดาลูกสะใภ้รีบเดินเข้าไปปลอบใจ สวีซื่อจิ่นรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้ไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋ยืนเงียบอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ปกติ
สวีลิ่งควนเห็นว่ามันไม่เหมาะสม เขาจึงเบียดตัวเข้าไปกระซิบกับมารดาของตัวเอง “ท่านต้องอดทนนะขอรับ ตอนนี้จิ่นเกอเป็นถึงผู้บัญชาการทหารแล้ว ต่อไปคนที่ติดตามเขาไปล้วนแต่ต้องเป็นลูกน้องของเขา หากเขาไม่แข็งแกร่ง ต่อไปจะน่าเคารพได้เช่นไร!”
ไท่ฮูหยินรีบหยุดร้องไห้ทันที นางมองสวีซื่อจิ่นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็เอ่ยเร่งเร้า “รีบขึ้นรถม้าเถิด! หากยังไม่ออกเดินทาง คนที่รอส่งเจ้าอยู่ที่ประตูเต๋อเซิ้งคงจะเป็นกังวล”
สวีซื่อจิ่นยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่สวีลิ่งควนกลับดึงแขนสวีซื่อจิ่นวิ่งออกไปข้างนอก “ท่านแม่ หลังเทศกาลตรุษจีนจิ่นเกอก็กลับมาแล้ว!” สวีซื่อจิ่นกำลังหวาดกลัวกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่พอดี มีคนช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ เขาเลยวิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก ขึ้นไปบนรถม้ากับสวีลิ่งควน จากนั้นก็โบกมือให้ข้างหลัง “ข้าไปก่อนนะขอรับ เทศกาลตรุษจีนจะนำของอร่อยมาให้พวกท่าน!”
สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเซิน สวีซื่อเฉิง ถิงเกอและจวงเกอส่งเขาออกไปจากประตูใหญ่ เด็กน้อยสองสามคนยืนโบกมืออย่างแรงอยู่หน้าประตูแล้วตะโกนว่า “พี่หก/คุณชายน้อยหก ขอให้เดินทางอย่างราบรื่น รีบกลับมาเร็วๆ”
ตอนนี้เขาเป็นขุนนางแล้ว ต้องมีบรรดาขุนนางในราชสำนักมาส่ง คนของสกุลสวีจึงส่งแค่ตรงนี้
สวีซื่อจิ่นยิ้มแล้วหันกลับมา บังเอิญเหลือบไปเห็นมารดาของตัวเอง นางกำลังมองเขาด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา ทำเอาเขาตกใจ
บรรดาองครักษ์ต่างพากันขึ้นม้า คนขี่ม้าสะบัดแส้จนทำให้เกิดเสียง จากนั้นรถม้าก็แล่นไปข้างหน้าช้าๆ
สวีซื่อจิ่นหันไปมองมารดาอีกครั้ง
นางยิ้มมุมปาก แต่ในตายังคงมีน้ำตา
นางยืนอยู่ที่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยท่าทีที่งดงามและสงบนิ่งราวกับก้อนหิน ไม่ว่าลมหนาว หิมะหรือฝนข้างนอกจะหนักแค่ไหน ไม่ว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนไปเช่นไร นางก็จะรอเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ มีอาหารร้อนๆ มีเสื้อผ้าตัวใหม่ มีอ้อมกอดอันอบอุ่น…ไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่ที่กุ้ยโจว…ดูแลสำนักราชการ กับการไปเป็นทหารที่นั่น มันไม่เหมือนกัน เขาเองก็กังวลและหวาดกลัว ลังเลและตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นมารดา เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าอย่างไร ท่านแม่ก็ยังคงรอเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ
สวีซื่อจิ่นหันหน้ากลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันเกี่ยวกับโลกที่เคยไม่รู้จักมาก่อน จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กับดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วพูดว่า “เราไปกันเถิด” ขบวนรถม้าที่ยิ่งใหญ่แล่นออกไปจากตรอกเหอฮวาหลี่
ต่อไปยังต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกมากมาย แต่หากพี่น้องอย่างพวกเขาสามัคคีกัน ดูแลกันและกัน ไม่ว่าอุปสรรคอะไร พวกเขาก็สามารถข้ามผ่านไปได้
สวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกนางไกลๆ ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงนั้นคนเดียว ฟังเสียงกีบม้าและเสียงล้อเกวียนที่ค่อยๆ แล่นออกไป ยกยิ้มแผ่วเบาอย่างพึงพอใจ…