กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 2 ฟื้นฟูเส้นชีพจร

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        หลีเยียนเดินไปที่หน้าเตียงแล้วผลักอวิ๋นโม่ให้นอนลง

        “ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอ ต้องพักผ่อนให้มากๆ” หลีเยียนเอ่ยเสียงอ่อนโยน

        “ท่านแม่!” อวิ๋นโม่เอ่ยเรียก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเสียงตนเองอาจตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่เมื่อคำพูดออกจากปากกลับลื่นไหล ชาติก่อนอวิ๋นโม่เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่เคยมีโอกาสพบหน้าบิดามารดาของตนเอง ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อแบบนี้จึงทำให้เขารู้สึกทั้งแปลกและอบอุ่น บางทีอาจเป็นเพราะตนเองได้รับความทรงจำของอวิ๋นโม่เจ้าของร่างมาก็เป็นได้

        ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตแทนส่วนของอวิ๋นโม่อีกคนด้วย เช่นนั้นเขาจะต้องดูแลท่านแม่และน้องสาวของอวิ๋นโม่ผู้นั้นให้ดี ความรู้สึกที่มีต่อพวกนางก็จะต้องออกมาจากใจจริงเช่นเดียวกับอวิ๋นโม่อีกคน

        “อวิ๋นโม่ เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”

        “ท่านแม่ ข้าดีขึ้นมากแล้ว” อวิ๋นโม่เอ่ย ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นดูแลช่างดีจริงๆ อวิ๋นโม่สาบานอยู่ในใจว่าจะต้องดูแลมารดาและเมิ่งเอ๋อร์ให้ดี

        เมิ่งเอ๋อร์จับข้อมือของหลีเยียน เอ่ยว่า “ท่านแม่ โอสถต่อชีพจรอยู่ที่ใด”

        หลีเยียนเงียบไปครู่หนึ่งค่อยหยิบยาทรงกลมเม็ดหนึ่งออกมา เมิ่งเอ๋อร์ดีใจออกนอกหน้า พอนางคว้ายาเม็ดนั้นได้ก็ส่งให้อวิ๋นโม่ทันที แต่ทันใดนั้นก็ต้องชะงักไป

        “ท่านแม่ นี่ไม่ใช่โอสถต่อชีพจร แต่เป็นโอสถต่อกระดูก” เมิ่งเอ๋อร์เอ่ย “ท่านแม่ ท่านหยิบผิดแล้ว! รีบนำโอสถต่อชีพจรออกมาเถอะ”

        หลีเยียนกัดริมฝีปาก สองตาไร้ประกาย 

        “เมิ่งเอ๋อร์” อวิ๋นโม่เอ่ยเรียกคำหนึ่ง น้ำเสียงของเขาแหบพร่าอย่างหนัก ยามนี้เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ากับท่านแม่จะคุยกันตามลำพังสักครู่”

        เมิ่งเอ๋อร์มีสีหน้าไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่ มีเรื่องใดที่เมิ่งเอ๋อร์ไม่สามารถฟังได้หรือ ไม่นะ ข้าต้องการเห็นพี่กินโอสถต่อชีพจรก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ไป”

        อวิ๋นโม่รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ท่านแม่คงไม่ได้รับโอสถต่อชีพจรกลับมา มิเช่นนั้นคงนำออกมาตั้งแต่แรก สีหน้าท่าทางของนางบ่งบอกทุกอย่างแล้ว คิดว่าเพราะนางไม่ได้รับโอสถต่อชีพจร ในใจคงทุกข์ทรมานมาก ยามนี้เมิ่งเอ๋อร์เอ่ยปากก็พูดถึงโอสถต่อชีพจร นี่ไม่เท่ากับเป็นการสาดเกลือลงบนแผลของมารดาหรือ

        ในที่สุดหลีเยียนก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป นางทรุดลงกับเตียงร้องไห้เสียงดัง เมิ่งเอ๋อร์ถูกมารดาทำให้ตกใจก็ร้องตาม

        “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้” เมิ่งเอ๋อร์กอดแขนมารดา สองคนกอดกันหลั่งน้ำตา

        “ขอโทษด้วย โม่เอ๋อร์ แม่ไร้ความสามารถ ไม่อาจนำโอสถต่อชีพจรกลับมา มีแต่โอสถต่อกระดูกเท่านั้น” หลีเยียนร้องไห้เสียงดัง ยามนี้นางเกลียดตัวเองนัก ไม่เพียงไม่อาจดูแลพวกอวิ๋นโม่สองพี่น้องให้ดี แม้แต่โอสถต่อชีพจรเม็ดเดียวก็เอามาไม่ได้ เมื่อชีพจรขาดแล้วไม่ได้รับการฟื้นฟู อวิ๋นโม่ก็จะไม่มีโอกาสฝึกยุทธ์ได้อีก 

        “ท่านแม่ ท่าน… ท่านพูดว่าอะไรนะ ไม่ได้รับโอสถต่อชีพจร” สีหน้าของเมิ่งเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นซีดขาว นางเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ไม่มีโอสถต่อชีพจร จากนี้ไปอวิ๋นโม่ก็นับเป็นคนพิการคนหนึ่ง

        เห็นมารดาและน้องสาวร้องไห้อย่างหนัก หัวใจของอวิ๋นโม่ก็เจ็บปวดไม่น้อย รีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ เมิ่งเอ๋อร์ พวกเจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไป เรื่องเส้นชีพจร ข้าพอมีวิธีอยู่”

        สำหรับแพทย์โอสถที่สามารถฝึกฝนเทพจักรพรรดิขึ้นมาได้ เส้นชีพจรขาดถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่นับเป็นปัญหาอะไรทั้งสิ้น ในทางตรงข้าม เขาต้องขอบคุณอวิ๋นเลี่ยด้วยซ้ำ ตอนนี้เส้นชีพจรในร่างของเขาขาดไปกว่าครึ่ง เป็นโอกาสดีที่สามารถใช้วิธีบางอย่างพัฒนาร่างกายนี้ นี่เป็นวิธีที่อวิ๋นโม่คิดค้นด้วยตนเอง มีเพียงเขาที่รู้วิธีการนี้

        ทำให้เส้นชีพจรในร่างขาดก่อน จากนั้นแช่ตัวในยาบางชนิด ให้ยาซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อปรับเส้นชีพจร สร้างรากฐานใหม่ให้ตนเอง ลั่วเทียนในตอนแรกก็ใช้วิธีนี้เพื่อเบิกทางการฝึกฝนวรยุทธ์ ภายหลังจึงก้าวหน้าขึ้นทีละก้าวจนสำเร็จเป็นเทพจักรพรรดิ

        ดังนั้นแม้อวิ๋นเลี่ยไม่ได้ทำลายเส้นชีพจรของเขา อวิ๋นโม่ก็ต้องหาทางทำลายเส้นชีพจรของตนเองอยู่ดี

        “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องหลอกข้า เส้นชีพจรขาดมากมายเพียงนี้ นอกจากโอสถต่อชีพจรแล้ว ยังมีทางใดผสานพวกมันได้อีก” เมิ่งเอ๋อร์พูดปนสะอื้น นางคิดว่าอวิ๋นโม่กำลังปลอบใจตน

        หลีเยียนก็น้ำตาไหลไม่หยุด นางรู้สึกว่าอวิ๋นโม่ช่างรู้ความ จึงหาวิธีปลอบโยนพวกนาง

        “สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม ทั้งๆ ที่โม่เอ๋อร์ของข้ารู้ความถึงเพียงนี้ ทำไมต้องให้เขาแบกรับเรื่องเหล่านี้ด้วย” หลีเยียนร้องไห้ยกใหญ่

        “เมิ่งเอ๋อร์ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องร้องแล้ว ข้าไม่ได้โกหก ข้ามีวิธีรักษาตนเองจริงๆ” อวิ๋นโม่พยายามบังคับน้ำเสียงของตนเองให้เรียบนิ่ง และเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น

        หลังจากได้ยินน้ำเสียงมั่นใจในตนเองของอวิ๋นโม่ เมิ่งเอ๋อร์และหลีเยียนก็เงยหน้ามองเด็กหนุ่ม เห็นเขาไม่เหมือนกำลังโกหก เพียงแต่ยามนี้ดวงตาของคนทั้งสองยังคงเอ่อคลอด้วยน้ำตา

        “โม่เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ เจ้าอย่าได้ปลอบใจพวกเรา” หลีอิงมองใบหน้าซีดขาวของอวิ๋นโม่ ในใจก็สงบลงมาก ท่าทางของอวิ๋นโม่ไม่เหมือนกำลังพูดโกหกอยู่จริงๆ

        “วางใจเถอะท่านแม่ หากไม่มีหนทางรักษาตนเอง ข้ายังจะอารมณ์ดีได้อีกหรือ” อวิ๋นโม่เผยรอยยิ้มออกมาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตนเอง เช่นนี้มารดากับเมิ่งเอ๋อร์จึงจะเชื่อ

        หากเป็นคนที่หมดหวังในอนาคต ย่อมไม่สามารถมีรอยยิ้มที่งดงามเช่นนี้

        เมิ่งเอ๋อร์กับหลีเยียนต่างหยุดร้องไห้แล้ว เพียงแต่พวกนางไม่อาจเชื่อว่าอวิ๋นโม่มีหนทางรักษาตัว หรือว่าเขามีโอสถต่อชีพจรอยู่เม็ดหนึ่ง

        อวิ๋นโม่ไม่สามารถอธิบายมากเกินไป เขาไม่อาจบอกออกไปว่าตนเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้ “เมิ่งเอ๋อร์ ช่วยพี่หยิบกระดาษและพู่กันมาที”

        เมิ่งเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้ว่าอวิ๋นโม่ต้องการกระดาษและพู่กันมาทำไม แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของพี่ชาย นางย่อมไม่ถามมากความ รีบวิ่งออกไปทันที เพียงครู่เดียวก็นำกระดาษและพู่กันกลับมา เด็กสาวที่มีจิตใจละเอียดรอบคอบยังจุ่มหมึกบนพู่กันมาแล้วด้วย

        อวิ๋นโม่รู้สึกว่าตนช่างโชคดีนัก ตอนที่ศึกษาวิธีบ่มเพาะนี้ สมุนไพรที่ต้องใช้ล้วนเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาๆ ที่ราคาไม่สูง ไม่เช่นนั้นหากต้องการสมุนไพรล้ำค่า ด้วยฐานะครอบครัวของเขาในตอนนี้คงไม่อาจหาซื้อมาได้

        อวิ๋นโม่รับพู่กันมาก็เขียนชื่อสมุนไพรลงบนกระดาษ แม้เป็นเพียงสมุนไพรธรรมดา แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ราคาไม่น้อย ยังดีที่มารดาได้รับโอสถต่อกระดูกมาเม็ดหนึ่ง หากนำไปขายก็จะสามารถซื้อสิ่งที่อวิ๋นโม่ต้องการได้ทั้งหมด

        “ท่านแม่ ท่านนำโอสถต่อกระดูกไปขาย แล้วค่อยซื้อของเหล่านี้กลับมา ข้ามีหนทางรักษาอาการบาดเจ็บ” อวิ๋นโม่ส่งกระดาษให้มารดา

        หลีเยียนเห็นอวิ๋นโม่เขียนชื่อสมุนไพรเหล่านี้ออกมาค่อยวางใจ ดูท่าอวิ๋นโม่คงไม่ได้ทำแค่เพื่อปลอบใจพวกนางจริงๆ แต่นางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางเลี้ยงดูลูกชายจนเติบใหญ่ เขามีความสามารถแค่ไหน นางเข้าใจดี เช่นนั้นอวิ๋นโม่ไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เมื่อไร

        “โม่เอ๋อร์ ซื้อสมุนไพรพวกนี้ข้ายังสามารถเข้าใจได้ แต่ว่าเจ้ายังจะต้องการแผ่นเหล็กไปทำไม”

        “ข้าต้องการหม้อหลอมสักใบเพื่อปรุงสมุนไพรเหล่านี้”

        อวิ๋นโม่ไม่ได้อธิบายอะไร ชาติก่อนเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ปรุงโอสถได้หลากหลาย แน่นอนว่าต้องมีเตาปรุงโอสถแบบพิเศษของตนเอง แม้วิธีปรุงยาชนิดนี้จะไม่ใช่การหลอมโอสถแต่ก็ยังต้องใช้หม้อที่มีลักษณะพิเศษหนึ่ง

        “ระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้า ช่างอ่อนแอเสียจริง” อวิ๋นโม่พึมพำกับตนเอง เขาตบลงไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อทำลายเส้นชีพจรที่เหลือให้ขาดจากกัน

        ขาซ้ายส่งความรู้สึกปวดแปลบขึ้นมา อวิ๋นโม่มองขาที่ดามแผ่นไม้เอาไว้พลางเอ่ยเสียงต่ำ “อวิ๋นเลี่ย”

        วันที่สอง หลีเยียนและเมิ่งเอ๋อร์นำของที่อวิ๋นโม่ต้องการทั้งหมดกลับมา ทั้งยังเสาะหาช่างตีเหล็กมาหนึ่งคนเพื่อตีหม้อประหลาดในบ้านตามความต้องการของอวิ๋นโม่ สาเหตุที่ต้องให้ช่างตีเหล็กมาทำงานในบ้านก็เพราะว่าหม้อใบนี้มีขนาดใหญ่มาก หากทำอยู่ด้านนอกคงยากที่จะเคลื่อนย้ายเข้ามา

        หม้อใบนี้แปลกประหลาดนัก ปากหม้อหลักอยู่ตรงกลาง มีปากหม้ออื่นๆ ล้อมรอบ ปากหม้อตรงกลางใช้สำหรับต้มน้ำ ส่วนปากหม้ออื่นๆ ใช้สำหรับต้มสมุนไพรชนิดต่างๆ ใต้ปากหม้อแต่ละช่องมีช่องเติมไฟของตนเอง ช่องเติมไฟแต่ละช่องแตกต่างกัน เรื่องนี้อวิ๋นโม่กำกับด้วยตนเอง 

        อวิ๋นโม่เส้นชีพจรขาดสะบั้น ไม่สามารถเคี่ยวยาด้วยตัวเอง ทั้งหมดต้องอาศัยเมิ่งเอ๋อร์และมารดาเป็นผู้ลงมือ เมิ่งเอ๋อร์รับผิดชอบสุมไฟ มารดารับผิดชอบใส่สมุนไพร อวิ๋นโม่คอยตรวจแรงไฟและอุณหภูมิที่ใช้เคี่ยวสมุนไพร

        หลังจากนั้นสามวัน สมุนไพรในช่องต่างๆก็ถูกเคี่ยวจนกลายเป็นน้ำข้นเหนียว เมื่อเห็นว่าได้ที่แล้ว อวิ๋นโม่ก็ให้มารดาและเมิ่งเอ๋อร์เปิดช่องให้ยาในแต่ละช่องไหลลงไปในตัวหม้อหลัก อุณหภูมิของน้ำในหม้อหลักไม่สูงนัก หลังจากสมุนไพรไหลลงไปก็เหมาะสำหรับการแช่ร่าง อวิ๋นโม่คำนวณทุกสิ่งอย่างแม่นยำ

        หลีเยียนและเมิ่งเอ๋อร์อุ้มอวิ๋นโม่ลงไปในหม้อหลัก ลดแรงไฟที่อยู่ข้างใต้ ควบคุมอุณหภูมิของหม้อหลักให้คงที่ อวิ๋นโม่เริ่มการแช่ร่างเพื่อฝึกฝน หลังจากสำเร็จแล้ว พื้นฐานวรยุทธ์ของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น

        การแช่ร่างเช่นนี้ย่อมทุกข์ทรมาน เสมือนการสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ แต่ว่าอวิ๋นโม่กัดฟันทนโดยไม่ยอมส่งเสียง แม้ว่าชาติก่อนเขาจะไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ แต่ว่าร่างกายก็เคยผ่านการแช่ยาและความเจ็บปวดเยี่ยงนี้เช่นกัน สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่นับเป็นอะไรได้

        หลังจากวันที่ห้า น้ำยาในหม้อก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน มันคือสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาจากร่างของอวิ๋นโม่

        ตูม!

        อวิ๋นโม่กระโดดออกมาจากหม้อหลัก เส้นชีพจรทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูแล้ว!

        …………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท