กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 16 พวกเจ้ามาช้าเหลือเกิน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        เจ้าของแผงสูงผอมเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทางลึกลับ “บนเทือกเขาแห่งนี้มีโจรภูเขาอยู่กลุ่มหนึ่ง เลือกลงมือกับผู้อ่อนแอโดยเฉพาะ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ขึ้นไปบนเขา หากไม่ใช่ผู้มีพละกำลังเข้มแข็งก็ต้องจัดคนกลุ่มใหญ่ร่วมเดินทางไปด้วย”

        “ที่แท้ก็มีโจรภูเขา” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ “หรือว่าแม้แต่ขุมกำลังขนาดใหญ่ก็ยังปล่อยให้พวกมันช่วงชิงตามใจชอบ”

        “เฮ้อ พวกมันชำนาญเส้นทางบนเทือกเขา พอมีคนไล่ตาม พวกมันจะหลบเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูง พละกำลังน่ากลัวเป็นที่สุด แล้วใครจะกล้าเสี่ยงเข้าไปกัน”

        อวิ๋นโม่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว เมื่อมีกลุ่มคนเช่นนี้อยู่ ถือว่าอันตรายอยู่บ้าง ยากรับประกันได้ว่าจะไม่บังเอิญเจอกับกลุ่มโจร

        “ขุมกำลังของพวกมันเป็นเช่นไร” อวิ๋นโม่สอบถาม หากโจรภูเขาเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก เขาคงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะขึ้นเขาเพียงลำพัง

        “ส่วนมากเป็นยอดฝีมือระดับเสริมกำลัง ได้ยินมาว่าที่จริงหัวหน้าของมันบรรลุระดับก่อจิตแล้ว! แต่ละคนล้วนเป็นพวกกระหายเลือด หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของพวกมันก็อาจสิ้นหนทางรักษาชีวิต!”

        อวิ๋นโม่ได้ยินก็หัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนพวกนั้นถึงพากันมองมาที่เขา เจ้าของแผงลอยผู้นั้นทำไมจึงต้องการซื้อคืนเหมันต์จากเขา คนเหล่านั้นคิดว่าพอชายหนุ่มขึ้นไปบนภูเขาก็ไม่อาจกลับออกมาได้แล้ว คิดๆ ดูก็ใช่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังคนหนึ่ง เมื่อเข้าไปในเทือกเขาเหนือเมฆา ต่อให้โชคดีไม่ถูกสัตว์อสูรขย้ำ ก็คงต้องถูกโจรภูเขาฆ่า

        น่าเสียดายที่อวิ๋นโม่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังทั่วไป ด้วยความสามารถของเขาในยามนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรทั่วไป เขาก็สามารถตอบโต้ได้อย่างเสมอกัน หากพบกับหัวหน้าโจรที่อยู่ระดับก่อจิต เขาก็เชื่อว่าตนหลบหนีได้

        “ขอบคุณที่บอกกล่าว เจ้าคือผู้รับซื้อวัตถุดิบสัตว์อสูรกระมัง หากข้าได้อะไรมา จะนำมาขายให้เจ้า” อวิ๋นโม่ประสานหมัดขอบคุณคนผู้นั้นด้วยความจริงใจ หากไม่ได้รับคำเตือนเรื่องโจรภูเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องเสียเปรียบก็เป็นได้

        เจ้าของแผงสูงผอมเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้ายังจะขึ้นเขาไปอีกหรือ”

        “มาก็มาแล้ว ไม่อาจจากไปเช่นนี้กระมัง ไม่แน่ว่าข้าอาจโชคดีไม่เจอโจรภูเขาก็เป็นได้”

        “เรื่องนี้ไม่อาจพึ่งโชคชะตา คนเหล่านั้นอยู่บนเทือกเขาเหนือเมฆาเพื่อปล้นฆ่าโดยเฉพาะ นี่อันตรายมาก! เจ้าควรรอสักพัก ไม่แน่ว่าไม่นานอาจมีคนกลุ่มย่อยเดินทางเข้ามา เจ้าสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้” เจ้าของร้านพยายามแนะนำ

        คนที่มีน้ำใจดีเช่นนี้ พบเห็นได้ไม่มากนัก อวิ๋นโม่ประสานหมัดกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณมาก แต่ว่าข้าไม่อาจรอ”

        ว่าแล้วอวิ๋นโม่ก็เดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาอย่างไม่ลังเล

        “เฮ้อ! เคยเห็นแต่คนกลัวตาย ไม่เคยเห็นคนไม่กลัวตายมาก่อน!” เจ้าของแผงสูงผอมส่ายศีรษะ เขาให้คำแนะนำล้วนมาจากใจจริง ไม่ได้หวังจะให้อวิ๋นโม่นำสัตว์อสูรมาขายให้ตน ด้วยความสามารถของอวิ๋นโม่ สัตว์อสูรที่ถูกสังหารคงไม่ถึงระดับแรกเลยด้วยซ้ำ วัตถุดิบเช่นนี้ไม่มีราคาอะไร

        “น่าเสียดายง้าวดีๆ!” เจ้าของแผงสูงผอมถอนหายใจเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า

        อวิ๋นโม่ขึ้นเขาแล้วก็เลือกเส้นทางที่ลึกเข้าไปด้านใน รอบนอกของภูเขามีสัตว์อสูรน้อยมาก ค่อนข้างปลอดภัย ดังนั้นโอสถวิเศษในบริเวณนี้จึงถูกเก็บไปจนเกือบเกลี้ยงแล้ว หากคิดจะหาโอสถวิเศษยังต้องเดินทางลึกเข้าไปอีก

        “โฮก!”

        ระหว่างทางพยัคฆ์ตัวหนึ่งพุ่งออกมาขวางอวิ๋นโม่ กรงเล็บพยัคฆ์สาดประกายเย็นเยียบราวกับกริชเจ็ดนิ้ว อีกทั้งมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นกระจายออกมา

        “ฮึ!” อวิ๋นโม่ส่งเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ควงคืนเหมันต์ ใบง้าวปรากฏลำแสงหนาวเย็น ตัดหัวพยัคฆ์ลงมาได้อย่างราบรื่นในชั่วพริบตา ร่างกายที่สูญเสียกะโหลกศีรษะ​ร่วงหล่นกลางอากาศ เลือดสดสาดกระจายเต็มบ่า พยัคฆ์ตนนี้ไม่มีราคาแม้แต่น้อย หากพูดถึงเรื่องพละกำลัง เกรงว่ามันเทียบกับอวิ๋นเลี่ยก็ยังไม่ได้ อวิ๋นโม่ย่อมไม่ใส่ใจ

        “ช่างเป็นง้าวที่ดีจริงๆ ด้วย!” เห็นคืนเหมันต์ตัดกะโหลกพยัคฆ์ลงมาอย่างง่ายดาย สีหน้าของอวิ๋นโม่ก็ปรากฏความยินดี คุณสมบัติของคืนเหมันต์เหนือกว่าที่เขาวิเคราะห์ไว้มาก

        หลังจากฆ่าพยัคฆ์ดุร้ายอย่างสบายๆ อวิ๋นโม่ก็คร้านจะเก็บวัตถุดิบไว้ จึงเดินทางลึกเข้าไปในภูเขาต่อไป

        ขณะที่อวิ๋นโม่กำลังจะลับตาไปนั้น บุรุษร่างเล็กคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากต้นไม้ เขาใช้ใบมีดเลาะเอาหนังและกรงเล็บพยัคฆ์ จากนั้นก็จับจ้องไปยังทิศทางที่อวิ๋นโม่หายลับไป 

        “ระดับเสริมกำลังที่น่าสนใจ พละกำลังนับว่าไม่เลว สมควรเป็นแพะที่อวบอ้วนตัวหนึ่ง”

        ว่าแล้วเงาร่างของบุรุษตัวเล็กก็กะพริบไหว นำวัตถุดิบหายไปจากตรงนั้น

        หลังจากเดินทางติดต่อกันครึ่งชั่วยาม อวิ๋นโม่ก็ผ่านอาณาเขตชั้นนอกสุดของเทือกเขาเหนือเมฆา เข้ามาบริเวณด้านในที่ค่อนข้างอันตราย สัตว์อสูรระดับหนึ่งจำนวนมากเคยปรากฏตัวที่นี่แม้อวิ๋นโม่จะไม่หวาดกลัวสัตว์อสูรระดับหนึ่ง แต่ยามนี้ก็ต้องระมัดระวังขึ้นมาบ้าง

        อวิ๋นโม่ดึงกระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ตักผงสีฟ้าออกมาด้วยปลายนิ้ว เมื่อเป่าเบาๆ ผงเหล่านั้นก็กระจายออกไป นี่เป็นของที่เขาตระเตรียมมา ผงเหล่านี้จะลอยไปยังทิศที่มีพลังปราณเข้มข้น ปกติแล้วสมุนไพรวิญญาณจะเติบโตในพื้นที่ที่มีพลังปราณเข้มข้น ดังนั้นเมื่อใช้ผงนี้ช่วยก็จะสามารถหาสมุนไพรได้ง่ายขึ้น

        ผงสีฟ้าค่อยๆ ลอยขึ้นไปช้าๆ จากมือซ้ายของอวิ๋นโม่ราวกับถูกบางสิ่งดึงดูด อวิ๋นโม่ติดตามอยู่ด้านหลัง สายตากวาดไปมาอยู่ตลอด หูคอยฟังเสียงอย่างรอบคอบ เมื่ออยู่ในเทือกเขาเหนือเมฆาจะต้องรักษาความตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลา

        หลังติดตามผงสีฟ้าไปเรื่อยๆ อวิ๋นโม่ก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ผงสีฟ้าเหล่านั้นไม่ได้ลอยเข้าไปในถ้ำ แต่พลังปราณภายในถ้ำเข้มข้นมากกว่าด้านนอก นี่เป็นเรื่องน่าสนใจ อวิ๋นโม่ไม่ได้ผลีผลามเข้าไปในถ้ำ สถานที่แบบนี้มักมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ หากไม่ทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเป็นสัตว์อสูรชนิดใด พละกำลังของสัตว์อสูรเป็นเช่นใด เขาจะไม่เข้าไป

        อวิ๋นโม่ตรวจสอบรอบถ้ำด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายจึงอาศัยร่องรอยด้านนอกแยกแยะชนิดของสัตว์อสูรที่อยู่ข้างในด้านนอกถ้ำมีขนของสัตว์อสูรหลายชนิด และมีรอยเท้าอยู่ไม่น้อย สันนิษฐานได้ว่าสิ่งที่อยู่ในถ้ำจะต้องเป็นวิฬารเนตรวิญญาณตัวหนึ่ง วิฬารเนตรวิญญาณเป็นสัตว์อสูรที่มีพละกำลังแข็งแรง มองเห็นท่ามกลางความมืดได้เช่นเดียวกับกลางวัน สัตว์อสูรประเภทนี้ประสาทสัมผัสไว มีนิสัยชอบดักซุ่มล่าเหยื่อ 

        อวิ๋นโม่ถือง้าวไว้ด้านหลัง ป้องกันวิฬารเนตรวิญญาณลอบโจมตี เขาไม่รู้ว่าวิฬารเนตรวิญญาณอยู่ในถ้ำหรือไม่ ดังนั้นต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นความเคลื่อนไหว อวิ๋นโม่ก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งโยนเข้าไปในถ้ำ หากวิฬารเนตรวิญญาณอยู่ มันจะต้องโผล่ออกมาตรวจสอบ

        รอคอยด้วยความระมัดระวังอยู่อีกครู่หนึ่งก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว อวิ๋นโม่ค่อยๆ เดินเข้าไปในถ้ำ จากการสันนิษฐาน วิฬารเนตรวิญญาณตัวนี้น่าจะไม่เกินระดับที่หนึ่ง อันตรายไม่มาก ดังนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยง

        พอเข้าไปในถ้ำก็ทำเครื่องเตือนภัยง่ายๆ อย่างหนึ่ง ขอเพียงมีบางสิ่งเข้ามาในถ้ำ หินก้อนหนึ่งก็จะหล่นลงมาจากกำแพงถ้ำ เกิดเสียงเตือนอวิ๋นโม่ วิฬารเนตรวิญญาณเคลื่อนไหวไร้สุ้มเสียง อวิ๋นโม่ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน

        ปากถ้ำไม่ใหญ่มาก แต่ภายในกว้างขวาง หลังจากเดินเข้าไปตามทางแคบยาวช่วงหนึ่ง อวิ๋นโม่ก็มาถึงจุดเปิดโล่งราวกับห้องโถงขนาดใหญ่ ในถ้ำมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มุมต่างๆ ล้วนมืดมิด

        “ที่แท้ก็เป็นดอกชังทิวา!” อวิ๋นโม่เอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้ยามรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ของวิฬารเนตรวิญญาณ เขาก็คาดเดาว่าที่นี่น่าจะมีดอกชังทิวา พอเข้ามาจึงเห็นว่าใต้ชะง่อนหินแห่งหนึ่งมีดอกชังทิวาสีขาวราวหิมะอยู่สามดอก

        ดอกชังทิวาเป็นสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่ง ใช้รักษาอาการบาดเจ็บทางดวงตา เพิ่มความสามารถในการมองเห็น ราคาไม่ธรรมดา วิฬารเนตรวิญญาณชมชอบสมุนไพรประเภทนี้ อวิ๋นโม่ปลดห่อสัมภาระบนหลังลงมา หยิบกล่องไม้ออกมาใบหนึ่ง เด็ดดอกชังทิวาภายในถ้ำทั้งสามดอกใส่ลงไป ยามนี้เขาอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากมีถุงเฉียนคุนสักใบคงไม่ต้องลำบากเช่นนี้

        โชคดีไม่น้อย ดอกชังทิวาเป็นสมุนไพรล้ำค่า ราคาแพงกว่าโสมพิษงูที่อวิ๋นโม่เคยซื้อมาก คาดว่าอย่างต่ำคงต้องได้หลายเหรียญทองแล้ว อวิ๋นโม่ตื่นเต้นดีใจ

        หลังจากอวิ๋นโม่เก็บดอกชังทิวาเรียบร้อย เสียงเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งก็ดังขึ้น อวิ๋นโม่สีหน้าเปลี่ยนไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าวิฬารเนตรวิญญาณกลับมาแล้ว เขากระชับง้าวคืนเหมันต์เดินออกไปตามทางออกของถ้ำด้วยความระมัดระวัง

        “โฮก!”

        เสียงขู่คำรามดังขึ้นครั้งหนึ่ง วิฬารเนตรวิญญาณพุ่งเข้ามาในถ้ำ พอเห็นว่าดอกชังทิวาไม่อยู่แล้วก็ยิ่งขุ่นเคือง แม้จะเรียกเป็นแมวชนิดหนึ่ง แต่ร่างกายของวิฬารเนตรวิญญาณมีขนาดใหญ่กว่าแมวบ้านมาก แม้แต่เสือดุทั่วไปก็ยังไม่ใช่คู่มือของมัน

        นี่เป็นครั้งแรกในชาตินี้ที่เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับที่หนึ่ง อวิ๋นโม่ไม่เคร่งเครียด กลับกันยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง วันนั้นที่ประลองกับอวิ๋นเลี่ย เขาไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มส่วนเสียด้วยซ้ำ งานนี้เมื่อเผชิญหน้ากับวิฬารเนตรวิญญาณก็จะได้ต่อสู้เต็มกำลังแล้ว

        วิฬารเนตรวิญญาณส่งเสียงขู่คำรามอีกครั้ง มันโก่งตัวขึ้น จากนั้นก็หายไป

        อวิ๋นโม่รู้สึกขอบคุณในโชคของตนเอง หากไม่ได้เครื่องเตือนภัย เขาก็อาจถูกวิฬารเนตรวิญญาณลอบโจมตี ในถ้ำที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย วิฬารเนตรวิญญาณแอบซ่อนร่างได้อย่างมิดชิด รอจังหวะโจมตีอวิ๋นโม่

        แต่อวิ๋นโม่รู้แล้วว่ามีวิฬารเนตรวิญญาณแอบซ่อนอยู่ คิดจะลอบโจมตีเขาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นโม่ก็ไม่มีทางนั่งรออยู่เฉยๆ

        ตึง!

        อวิ๋นโม่พลันกระแทกง้าวกับพื้นคราหนึ่ง สะเก็ดไฟจำนวนมากระเบิดออก ทั่วทั้งถ้ำสว่างขึ้นพร้อมกัน เผยร่างของวิฬารเนตรวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ มันโก่งเอวเตรียมโจมตีอวิ๋นโม่

        เมื่อเห็นว่าลอบจู่โจมไม่สำเร็จ วิฬารเนตรวิญญาณก็ล้มเลิกแผนการ พุ่งเข้าหาอวิ๋นโม่โดยตรง กรงเล็บแหลมคมกวาดออกมาเป็นเงาเย็นเยียบหลายสาย

        อวิ๋นโม่กุมง้าวคืนเหมันต์แน่น กวาดออกไปทางวิฬารเนตรวิญญาณ

        ติงๆ!

        วิฬารเนตรวิญญาณหลบคมง้าว กรงเล็บข้างหนึ่งตะปบบนด้ามเกิดเสียงแหลมบาดหู กรงเล็บของวิฬารเนตรวิญญาณคมกว่าดาบทั่วไป หากถูกตะปบจะต้องกลายเป็นบาดแผลขนาดใหญ่

        ฟิ้ว!

        แสงเย็นสองสายวาดผ่าน แม้สัตว์อสูรระดับหนึ่งจะมีพลังเสมอมนุษย์ระดับเปลี่ยนชีพจร พลังปราณภายในร่างไม่อาจใช้งานได้ แต่ยังมีวิธีการบางอย่างที่กระตุ้นพลังปราณภายนอกมาสนับสนุน กลายเป็นการโจมตีด้วยพลังปราณ

        อวิ๋นโม่หลบแสงหนาวเย็นที่น่ากลัว เขายังฝึกไม่ถึงระดับเปลี่ยนชีพจร เมื่อเผชิญกับการต่อสู้เช่นนี้จึงได้แต่หลบหลีก

        ในตอนนั้นเอง วิฬารเนตรวิญญาณก็ฉวยโอกาสพุ่งเข้ามา กรงเล็บแหลมคมตะปบไปทางแผ่นหลังของอวิ๋นโม่

        ติง! 

        อวิ๋นโม่พลิกฝ่ามือยกง้าวคืนเหมันต์ไปไว้ด้านหลัง ต้านการโจมตีจากวิฬารเนตรวิญญาณ จากนั้นพลิกร่างปล่อยหมัดหนึ่งออกไป

        วิฬารเนตรวิญญาณโจมตีไม่สำเร็จก็คิดจะถอยหนี ขณะรวบรวมกำลังก็พบว่าหมัดของอวิ๋นโม่ลอยเข้ามากระทบกับกะโหลกศีรษะอันใหญ่โตของมันแล้ว

        เปรี้ยง!

        วิฬารเนตรวิญญาณลอยออกไป กะโหลกศีรษะแตก เลือดสดทะลักออกมา หมัดเดียวของอวิ๋นโม่น่าสะพรึงกลัวได้ถึงเพียงนี้

        “คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วยังเป็นหมัดทลายภูผาที่มีประโยชน์” อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะอย่างไร้หนทาง เขาไม่คุ้นเคยกับการใช้ง้าว และไม่มีเคล็ดวิชาที่สอดคล้อง ได้แต่อาศัยช่วงเวลาต่อสู้ทดลองใช้ง้าวรับมือเล็กๆ น้อยๆ

        ดวงตาของวิฬารเนตรวิญญาณถือเป็นของหรูหราที่ขุมกำลังต่างๆ ชื่นชอบ ขนของมันก็มีราคาแพง หลังจากชำแหละดวงตา ขน และกรงเล็บที่มีราคาแพงในตัววิฬารเนตรวิญญาณออกมา อวิ๋นโม่ก็หันกายเดินออกจากถ้ำ

        วิฬารเนตรวิญญาณตัวนี้อยู่ในขั้นกลางของระดับที่หนึ่งค่อนไปทางขั้นปลาย อวิ๋นโม่ไม่ได้ใช้พลังมากมายก็ฆ่ามันได้สำเร็จ ดูท่าพละกำลังของเขาแม้ต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับหนึ่งขั้นปลายก็ยังไม่ใช่ปัญหา

        หลังออกจากถ้ำ อวิ๋นโม่ยังคงเดินลึกเข้าไปในภูเขา พร้อมกับนำผงสีฟ้าออกมาตามหาสมุนไพรล้ำค่าอีกครั้ง

        เพียงไม่นานเวลาสามวันก็ผ่านไป กระเป๋าด้านหลังของอวิ๋นโม่ตุงขึ้นมา ในนั้นมีวัตถุดิบจากสัตว์อสูรและตัวยาล้ำค่าหลายชนิด ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังคนหนึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวแล้ว

        กลุ่มที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร พอเข้ามาในเทือกเขาเหนือเมฆาสักครั้งก็ยังไม่แน่ว่าจะเก็บเกี่ยวได้มากมายเช่นนี้ ถึงจะเป็นเช่นนั้นอวิ๋นโม่ก็ยังไม่พอใจ ราคาของสิ่งของเหล่านี้หากเปรียบเทียบกับถุงเฉียนคุนเกรงว่ายังห่างกันอีกมาก

        “ต้องเสี่ยงค้นหาสมุนไพรที่ล้ำค่ากว่านี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสประมูลถุงเฉียนคุนแน่นอน” อวิ๋นโม่เอ่ยกับตนเองก่อนเดินลึกเข้าไป อันตรายและโอกาสย่อมอยู่คู่กัน เขาจำเป็นต้องเสี่ยงจึงจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เขายังมีผงสีฟ้าอยู่ จึงมั่นใจว่าจะเสาะหาสมุนไพรล้ำค่าได้อย่างไร้ปัญหา

        ทันใดนั้นอวิ๋นโม่ก็หยุดเท้า เขาดึงง้าวคืนเหมันต์ที่อยู่ด้านหลังออกมา จดจ้องไปยังคนที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

        “มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนี่วิ่งเร็วนัก ทำเอาถึงตอนนี้พวกเราค่อยไล่ทัน!” ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังคนหนึ่งวิ่งหอบหายใจตามมา

        “แมวป่า ครั้งนี้เจ้าตาฝาดแล้ว เจ้าเด็กนี่ฆ่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งขั้นกลางมาตลอดทาง แล้วจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังได้อย่างไร” บุรุษที่ขวางทางอวิ๋นโม่เอาไว้เอ่ยปากพูด

        ชายตัวเล็กผอมผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ หัวเราะหึๆ พลางกล่าว “ดูท่าคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็พอดีเลยไม่ใช่หรือ เจ้าเด็กนี่ก็เหมือนกับสัตว์อสูรล้ำค่าตัวหนึ่ง ตลอดทางเก็บของดีมาได้ไม่น้อย อ้วนพีจนน้ำมันหยด!” 

        อวิ๋นโม่มองไปโดยรอบ เห็นว่าพวกที่ล้อมตนเอาไว้มีกันทั้งหมดเจ็ดคน นอกจาก​สองคนที่เขาดูระดับไม่ออก แต่เดาว่าสมควรเป็นระดับเสริมกำลัง อีกห้าคนเป็น​ผู้​ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยน​ชีพจร​คนที่​แข็งแกร่ง​ที่สุด​คือ​​ระดับ​เปลี่ยน​ชีพจร​ชั้นเจ็ดชั้นฟ้า

        “พวกโจรป่าบนเทือกเขาเหนือ​เมฆา” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเย็น

        “เหอะๆ!” โจรทั้งเจ็ด​เผยยิ้มเย็น​โดยไม่ได้เปิดเผยฐานะ​

        “พวกเจ้าชักช้าจริงๆ​ ข้ารอพวกเจ้าตั้งนาน​แล้ว!” อวิ๋นโม่ยิ้มเย็นชา มองไปทางชายตัวเล็ก​ผอมที่ถูกเรียกว่าแมวป่า เอ่ยว่า “แค่กะโหลก​เสือตัวเดียวเจ้าก็ยังอยากได้ ดูท่ากลุ่มโจรของ​พวกเจ้าคงยาก​แค้นมากสินะ!”

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท