กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 27 ถุงเฉียนคุนปรากฏ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        “ท่านลุงต้ามั่ว ในเมื่อคนผู้นั้นพูดว่าต่อให้เพิ่มแค่สิบเหรียญทอง เขาก็จะไม่เพิ่มราคาอีก ข้ามีอีกสิบเหรียญทองพอดี สมควรเกทับคนผู้นั้นได้กระมัง” อวิ๋นโม่ส่งเหรียญทองทั้งสิบเหรียญให้อวิ๋นต้ามั่ว 

        “หนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทองครั้งที่สอง” ผู้เฒ่ากัวประกาศราคาต่อไป

        อวิ๋นต้ามั่วเห็นเหรียญทองในมือของอวิ๋นโม่ก็ตื่นเต้นจนลุกพรวด มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเหลือเชื่อ แม้เงินสิบเหรียญทองจะไม่ใช่จำนวนมากมายอะไร แต่สำหรับอวิ๋นต้ามั่วในยามนี้ คุณค่าของมันสูงกว่าสิบเหรียญทองมากนัก เขายังคงมองอวิ๋นโม่ด้วยสายตาตกตะลึง จากความเข้าใจเรื่องฐานะครอบครัวของอวิ๋นโม่ตามที่รู้มา เงินสิบเหรียญทองนี้เกรงว่าครอบครัวอวิ๋นโม่คงต้องเก็บสะสมมาเนิ่นนานจึงรวบรวมได้

        “ใช่แล้ว!” อวิ๋นต้ามั่วพลันเผยสีหน้าโล่งใจ “พอเขาเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้ก็มีคนมากมายส่งของขวัญไปที่บ้านเขา บ้างต้องการผูกมิตร บ้างก็ต้องการขอโทษ ดูท่าพวกเขาคงขายสิ่งของเหล่านั้นจึงได้เงินก้อนนี้มา”

        “อวิ๋นโม่ เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดกันแล้ว แม้จะเป็นแค่สิบเหรียญทอง แต่สำหรับข้าแล้วคุณค่าของมันมากมายนัก วันนี้ติดค้างเจ้าสิบเหรียญทอง วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างเหมาะสม!” อวิ๋นต้ามั่วไม่ปฏิเสธ แต่ตอบรับอย่างหนักแน่น 

        “แค่สิบเหรียญทองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ท่านลุงต้ามั่ว รีบเสนอราคาเถอะ!” อวิ๋นโม่ยิ้มตอบ เงินสิบเหรียญทองสำหรับเขาแล้วไม่นับเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ

        อวิ๋นต้ามั่วพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก ก่อนที่ผู้เฒ่ากัวจะประกาศราคาเป็นครั้งที่สาม เขาก็รีบเสนอราคาหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบเหรียญทองออกไป

        “น้องซาง ในเมื่อเจ้าเสนอราคาได้เพียงเท่านี้ ข้าก็ขอเพิ่มเพียงสิบเหรียญทอง หากเจ้ายังสามารถเพิ่มราคาได้อีก พวกเราค่อยมาแข่งขันกัน” อวิ๋นต้ามั่วหัวเราะตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

        “หึ สู้พี่ต้ามั่วไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขวานวิญญาณเล่มนี้ก็เป็นของท่านแล้ว” คนตระกูลซางผู้นั้นถอนหายใจและไม่เพิ่มราคาอีก

        ในที่สุดขวานวิญญาณจากสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยก็ถูกประมูลไปด้วยราคาหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบเหรียญทอง อวิ๋นต้ามั่วดีใจอย่างระงับไว้ไม่อยู่ มือลูบคลำขวานวิญญาณที่สถานจัดการประมูลส่งมาด้วยมืออันสั่นเทา แสดงให้เห็นว่าในใจตื่นเต้นเพียงใด

        “เสี่ยวโม่ ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้ามาก” น้ำเสียงที่อวิ๋นต้ามั่วเรียกอวิ๋นโม่เปลี่ยนเป็นใกล้ชิดกว่าเดิม “เจ้าเด็กหน้าเหม็น ต่อไปเจ้าต้องเรียนรู้จากเสี่ยวโม่ให้มากๆ” เขาหันไปกำชับอวิ๋นเสวียนเซิง

        “รู้แล้ว!” อวิ๋นเสวียนเซิงบ่นอุบอิบในลำคอ ขณะหันไปยิ้มขมอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับอวิ๋นโม่ 

        หลังจากนั้นก็มีของดีออกมาอีกหลายชิ้น ขุมกำลังแต่ละฝ่ายต่างแย่งชิงด้วยความคึกคัก

        คนของตระกูลฉิน นอกจากเฝ้าสังเกตการประมูลแล้ว ยังคอยจับตามองห้องอักษรมนุษย์หมายเลขสิบหกด้วย แต่ว่าที่นั่นยังคงไร้เงาคน

        “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากเจ้านั่นมาแล้ว คนของเราต้องรีบมาบอกแน่” ยอดฝีมือระดับก่อจิตของตระกูลฉินปลอบใจฉินเหอหลิน

        “คาดว่าสหายบางท่านคงแทบทนรอไม่ไหวแล้ว ดังนั้นพวกเราตัดสินใจนำของที่ทุกท่านเฝ้ารอมากที่สุดออกมาประมูลก่อน!”  ผู้เฒ่ากัวเอ่ยขึ้นมากะทันหัน

        ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งห้องโถง ทุกคนรับรู้ว่าสินค้าที่สำคัญที่สุดในการประมูลครั้งนี้กำลังจะออกมาแล้ว!

        “หึ ดูท่าเจ้านั่นคงจะกลัวจริงๆ ไม่กล้ามาแล้ว” ฉินเหอหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

        ขณะเดียวกันที่ทางเข้าออกบริเวณที่นั่งธรรมดา เด็กขายตั๋วคนนั้นก็มองไปยังห้องอักษรมนุษย์หมายเลขสิบหก

        “หึๆ ตอนนั้นผู้ดูแลหลู่ยังตำหนิข้าด้วยน้ำเสียงสูงส่ง สุดท้ายเขาก็มองพลาดไป ข้าว่าแล้วไหมเล่า แค่เด็กหนุ่มระดับเสริมกำลังผู้หนึ่งจะมีความสามารถมาร่วมประมูลถุงเฉียนคุนได้อย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ อย่าว่าแต่ประมูลถุงเฉียนคุน แม้แต่มาก็ยังไม่กล้ามาด้วยซ้ำ” เด็กขายตั๋วส่ายศีรษะด้วยสีหน้าลำพอง มันเห็นว่าสายตาของผู้จัดการหลู่ ยังสู้ตนเองไม่ได้

        “ซี้ด!” อวิ๋นโม่รีบกุมท้องขมวดคิ้วในทันใด

        “เป็นอะไรไป” อวิ๋นเสวียนเซิงสังเกตเห็นว่าอวิ๋นโม่ไม่ปกติ

        “ไอ้หยา อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายท้อง ข้าจะไปปลดทุกข์สักหน่อย” อวิ๋นโม่ตอบพลันหมุนตัวเดินจากไป

        “รีบกลับมาให้เร็วหน่อยล่ะ การแย่งชิงถุงเฉียนคุนจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่!” อวิ๋นต้ามั่วตะโกนมาจากด้านหลัง

        อวิ๋นโม่พยักหน้าก่อนพุ่งออกไปจากห้องส่วนตัว พอออกมาแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นรีบเดินไปยังห้องส่วนตัวของตน หลังใช้ญาณหยั่งรู้ตรวจสอบแล้วไม่พบใครก็รีบใช้ตั๋วปลดผนึกวงแหวนเวทย์เล็กๆ ของห้องส่วนตัวแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง อวิ๋นโม่ใช้ความเร็วสูงสุดสวมเสื้อคลุมใส่หน้ากาก แล้วนั่งลงข้างหน้าต่างพร้อมเลิกม่านขึ้น

        “ไม่ต้องคิดมากแล้ว เจ้าเด็กนั่นจะต้องไม่กล้า…” ยอดฝีมือระดับก่อจิตตระกูลฉินที่กำลังพูดปลอบใจฉินเหอหลินพลันเบิกตาโต

        ฉินเหอหลินเห็นความผิดปกติก็รู้แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่หันไปดูห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหกก็ต้องปากอ้าตาค้าง

        “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าบ้านั่นเข้ามาแล้ว! ทำไมถึงไม่มีใครบอกพวกเรา” หลังจากประหลาดใจ ฉินเหอหลินก็แสดงสีหน้าขุ่นเคือง เมื่อเห็นหน้ากากนี้ เขาก็ยิ่งโกรธจนทนไม่ไหวเพราะนึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา 

        ณ ทางเข้าออกที่นั่งธรรมดา เด็กขายตั๋วยังคงโคลงศีรษะ ดูถูกความสามารถของผู้ดูแลหลู่ที่สู้ตนเองไม่ได้ ทันใดนั้นมันก็ต้องเบิกตาโต มองไปยังห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหกราวกับเห็นผี

        “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้! ตระกูลฉินล้อมบริเวณนี้เอาไว้ทั้งหมดแล้ว เจ้านั่นจะกล้าเข้ามาได้อย่างไร เขาเข้ามาได้อย่างไร” เด็กขายตั๋วกำหมัด พลันรู้สึกว่าความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองน่าขันเพียงใด

        “ไม่ถูกต้อง ต่อให้เขาเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเขามีความสามารถในการแย่งชิงถุงเฉียนคุน” เด็กขายตั๋วยังคงไม่เชื่อว่าสายตาของผู้ดูแลหลู่ดีกว่าตัวเอง ขอเพียงอวิ๋นโม่ยังไม่ได้เข้าร่วมการประมูล ก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่ามันแพ้

        แม้เด็กขายตั๋วจะไม่ยอมรับ แต่ในใจของมันรู้ชัดว่าตนแพ้แล้ว ก่อนหน้านี้ชายสวมหน้ากากเก็บตัวมาตลอด ตอนนี้พอถุงเฉียนคุนปรากฏ เขาก็แสดงตัวทันที แสดงว่าจะต้องเข้าร่วมการแย่งชิงถุงเฉียนคุนแน่นอน

        “บัดซบ! ผู้คุ้มกันตระกูลฉิน ทั้งหมดล้วนเป็นอาจม!” ฉินเหอหลินด่าทอ

        “ไม่” ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลฉินส่ายหน้า “ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกมัน เจ้าเด็กนั่นปรากฏตัวแล้ว แต่ผู้คุ้มกันไม่ได้มาแจ้งข่าว เช่นนั้นก็เป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้มันเข้างานประมูลมาตั้งแต่แรกแล้ว!”

        “หรือจะบอกว่ามันซื้อตั๋วห้องส่วนตัวสองใบ แต่มันจะทำเช่นนี้เพื่ออะไร” ฉินเหอหลินขมวดคิ้วถาม 

        “มันไม่ได้ซื้อตั๋วสองใบ ข้าคิดว่ามันจะต้องเข้ามาพร้อมผู้อื่น!” ไม่อาจปฏิเสธว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตของตระกูลฉินผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่อง เพียงครู่เดียวก็สามารถคาดเดาความจริงที่เกิดขึ้นได้แล้ว

        “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นใครกันที่พามันเข้ามา”

        “ล้วนไม่สำคัญ พวกเราเพียงจับตาดูมันเอาไว้ก็พอ รอให้มันออกจากห้องส่วนตัว พวกเราก็ติดตามไป ในเมื่อปรากฏตัวแล้วก็อย่าคิดว่าจะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย!”

        “ข้าจะส่งคนไปดักรอด้านนอกห้องส่วนตัวของมัน!” ฉินเหอหลินเอ่ยรับ พูดแล้วก็คิดจะเดินออกไปเรียกคน

        “ช้าก่อน!” ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตรั้งฉินเหอหลินเอาไว้ “คนของฝ่ายจัดงานประมูลอาจตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา พวกเขาต้องไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแน่ ตอนนี้พวกเราแค่จับตาดูมันก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องผิดใจกับสถานจัดงานประมูล รอให้มันไปจากห้องส่วนตัว พวกเราก็รีบติดตามไป จัดการมันด้านนอกโรงประมูล!”

        โถงประมูลเป็นห้องรูปครึ่งวงกลม ห้องส่วนตัวของฉินเหอหลินสามารถมองเห็นห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหกได้พอดี เช่นนี้จึงสามารถจับตาดูชายสวมหน้ากากได้อย่างสะดวก

        อวิ๋นโม่รู้ทันความคิดของคนตระกูลฉิน แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย คนเหล่านี้คิดจะจับตัวเขา ฝีมือยังนับว่าห่างไกล

        “ข้าคิดว่าทุกคนคงเดาออกว่าสินค้าประมูลชิ้นถัดไปก็คือ… ถุงเฉียนคุน!”

        ถุงที่มีลักษณะเหมือนถุงธรรมดาใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนเวทีประมูล แต่ว่าถุงที่ดูคล้ายจะธรรมดาใบนี้กลับทำให้อุณหภูมิในงานประมูลพุ่งสูง แม้แต่ยอดฝีมือระดับก่อจิตยังยากจะปกปิดความร้อนระอุในดวงตา

        “ถุงเฉียนคุนใบนี้มีขนาดเท่าห้องว่างห้องหนึ่ง ข้อดีของมันทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้ว ข้าจะไม่พูดมากอีก ราคาต่ำสุดของถุงเฉียนคุนอยู่ที่ห้าพันเหรียญทอง การเพิ่มราคาทุกครั้งจะต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งพันเหรียญทอง!”

        “ถุงเฉียนคุน” สามคำนี้แสดงถึงคุณค่าของตัวมันเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความก็สามารถกระตุ้นให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง

        ห้าพันเหรียญทองที่เป็นราคาต่ำสุดยังสูงกว่าราคาประมูลสำเร็จของสินค้าก่อนหน้านี้ไปไกลลิบ ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีใครคิดว่าราคาเปิดประมูลสูงเกินไป เพราะว่านี่คือถุงเฉียนคุน มันสมควรมีราคาเช่นนี้!

        “หกพันเหรียญทอง!” ใครบางคนเสนอราคา ทุกครั้งที่จะเพิ่มราคาต้องเพิ่มหนึ่งพันเหรียญทอง เรียกได้ว่าคลุ้มคลั่งแล้ว แต่ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าหกพันเหรียญทองก็ยังห่างจากราคาประมูลสุดท้ายของถุงเฉียนคุนอีกไกลมาก

        ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง 

        “บ้าเกินไปแล้ว เกือบจะหนึ่งหมื่นเหรียญทองแล้ว หนึ่งหมื่นเหรียญทองเชียวนะ! ท่านพ่อ ท่านว่าจะต้องเก็บเงินนานเท่าไรจึงจะได้เงินมากเพียงนั้น” อวิ๋นเสวียนเซิงพึมพำ

        อวิ๋นต้ามั่วส่ายศีรษะ “แค่หนึ่งพันกว่าเหรียญทองข้ายังต้องสะสมมาหลายปี หนึ่งหมื่นเหรียญทอง ข้าไม่กล้าคิดจริงๆ”

        “อวิ๋นโม่ทำไมยังไม่กลับมาอีก เขากำลังจะพลาดช่วงที่น่าสนใจที่สุดแล้ว” อวิ๋นเสวียนเซิงมองนอกประตู

        “ไม่เท่าไรหรอก พวกที่เสนอราคาตอนนี้เป็นแค่ขุมกำลังขนาดกลางเท่านั้น สามตระกูลใหญ่ยังไม่เอ่ยวาจา ขุมกำลังระดับกลางเหล่านี้ยังคิดจะอ้าปาก ร้องตะโกนไปก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วถุงเฉียนคุนใบนี้ย่อมต้องตกอยู่ในมือของสามตระกูลใหญ่”

        ราคาพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทองอย่างรวดเร็ว พวกขุมกำลังขนาดเล็กไม่กล้าเสนอราคาแล้ว ได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มอย่างจนใจ ด้วยความสามารถของพวกเขายังไม่เพียงพอที่จะแข่งประมูลถุงเฉียนคุน ตอนนี้พวกที่ยังสามารถเสนอราคาได้ต่างก็เป็นขุมกำลังขนาดกลางที่อ่อนแอกว่าสามตระกูลใหญ่

        “เอาล่ะ พวกเจ้าคงสนุกสนานกันพอสมควรแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถอยไปเสียเถอะ สองหมื่นเหรียญทอง!”

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท