เสื้อคลุมยาวตัวหนึ่งวางพาดอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับหน้าต่าง บนนั้นยังมีหน้ากากอีกใบหนึ่งด้วย สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมหลังจากอวิ๋นโม่ได้รับถุงเฉียนคุนแล้วจึงเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง นั่นก็เพื่อจัดฉากตบตาพวกเขานั่นเอง
“บัดซบ!” ฉินเหอหลินหน้าเขียวราวกับกลืนแมลงวันลงไป เขารีบพุ่งออกไปจากสถานจัดการประมูล สอบถามผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านนอกว่าพบเห็นอวิ๋นโม่หรือไม่ ทั้งยังคาดหวังว่าจะสามารถรั้งตัวเขาเอาไว้ แต่คนทั้งหมดต่างรู้ดีว่าสายไปเสียแล้ว
“ใครบอกว่าเขาโง่กัน”
ยอดฝีมือระดับสูงของตระกูลฉินต่างมีสีหน้าเขียวคล้ำ แค่ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก็หลอกพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว
คนมากมายมองยอดยุทธ์ตระกูลฉินด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขาไม่ได้เสียอะไรเท่าไร แต่ตระกูลฉินวางแผนมากมายเพื่อจับคน สุดท้ายกลับหลุดมือ สำหรับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแล้วนี่เป็นเรื่องเสียหน้ามาก
“ระหว่างนั้นมีใครออกไปจากโรงประมูลหรือไม่” ฉินเหอหลินถลึงตาใส่ผู้คุ้มกันอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่… ไม่มีเลยขอรับ!” ผู้คุ้มกันถูกท่าทางน่ากลัวของฉินเหอหลินทำเอาใจสั่น เขาทำราวกับจะกินคนก็ไม่ปาน
สุดท้ายผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลฉินก็ไปจากสถานจัดการประมูลด้วยสีหน้าดำคล้ำ ขามาเปี่ยมความมั่นใจ แต่กลับไม่ได้ของดีอะไรกลับไป ทั้งยังถูกคนหลอกรอบหนึ่ง
“ผู้เฒ่ากัว สิ่งของเหล่านั้น พวกเรายังต้องจัดเตรียมหรือไม่” คนของฝ่ายจัดงานประมูลผู้หนึ่งเอ่ยปากถามผู้เฒ่ากัว
“ย่อมต้องเตรียม แม้อู่ซานเหอสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะลบหลู่ได้ ผู้แข็งแกร่งที่เขารู้จักมีอยู่มากมาย” ผู้เฒ่ากัวเอ่ยยิ้มๆ มองหินวิญญาณในมือ ครั้งนี้นับว่าเขาสร้างผลงานใหญ่ให้สถานจัดงานประมูลแล้ว แต่ความเกรงใจที่เขาเคยมีต่ออวิ๋นโม่ ยามนี้ก็หายไปหมดเช่นกัน หากอวิ๋นโม่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาจริงๆ คงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อถอนตัว
“ก็แค่เด็กทารกที่กอดก้อนทองเอาไว้ เหอะๆ!” ผู้เฒ่ากัวหัวเราะ ในตามีประกายแวววาว
…………………
“ในที่สุดก็เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!”
อวิ๋นโม่กลับถึงบ้านก็รีบนำถุงเฉียนคุนออกมา ทำลายตราประทับวิญญาณที่อยู่บนถุง จากนั้นสร้างตราประทับของตนเอง ถึงมันจะเป็นถุงเฉียนคุนระดับต่ำสุด แต่สำหรับอวิ๋นโม่ในตอนนี้นับว่ามีประโยชน์มาก ขนาดของพื้นที่ภายในถุงเฉียนคุนกว้างขวางประมาณห้องว่างห้องหนึ่ง
ทันทีที่ญาณหยั่งรู้เคลื่อนไหว อวิ๋นโม่ก็เก็บง้าวคืนเหมันต์เข้าไปในถุงเฉียนคุน จากนี้ไม่ต้องแบกห่อสัมภาระให้ลำบากอีกแล้ว
“ได้เวลาถอนพิษให้อู่ซานเหอแล้ว” อวิ๋นโม่ใส่เสื้อคลุมยาวและหน้ากากในถุงเฉียนคุน เก็บถุงเฉียนคุนไว้ในอกเสื้อ แล้วค่อยเดินออกจากตระกูลอวิ๋นไป เรื่องที่รับปากเอาไว้เขาย่อมต้องทำตามสัญญา
หลังจากเสาะหาสถานที่ลับตาได้ก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวและหน้ากาก ก่อนเดินทางไปย่านร้านตีเหล็ก
หากคิดจะถอนพิษให้อู่ซานเหอ จำเป็นต้องสร้างเตาหลอมโอสถวิญญาณขึ้นมาใบหนึ่ง เตาหลอมโอสถธรรมดาที่เขามีอยู่อัตราความสำเร็จต่ำมาก คนที่สามารถหลอมอาวุธในเมืองกวนซานเจิ้นมีอยู่ไม่มาก อีกทั้งส่วนใหญ่มีระดับธรรมดา คนที่มีฝีมือในการหลอมอุปกรณ์มากที่สุดเป็นช่างตีเหล็กของร้านตีเหล็กแห่งหนึ่ง
คนผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด มักรับงานสร้างเครื่องใช้ในเรือนให้คนทั่วไป แต่กลับไม่ยอมสร้างอาวุธวิญญาณ ลือกันว่าช่างตีเหล็กแซ่ฟางผู้นี้สามารถสร้างอาวุธวิญญาณขั้นสูงสุดของระดับก่อจิตได้ แต่หากคิดจะขอให้เขาช่วยหลอมอาวุธวิญญาณกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ร้านตีเหล็กของช่างตีเหล็กฟางเละเทะไร้ระเบียบ แทบจะไม่มีที่ให้คนวางเท้า ขณะที่อวิ๋นโม่เข้าไปในร้าน ช่างตีเหล็กฟางกำลังทำงานอยู่ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าก็ส่งเสียงออกมา “คิดจะทำอะไรก็จัดเตรียมวัตถุดิบเอาเอง คิดค่าใช้จ่ายสองเหรียญทอง”
“ข้าคิดจะหลอมอุปกรณ์วิญญาณสักชิ้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะต้องเตรียมเงินเท่าใด”
ช่างตีเหล็กฟางหยุดงานในมือ เงยหน้ามองอวิ๋นโม่แวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าตีเหล็กต่อ “เจ้าไปเสียเถอะ”
“ลองบอกเงื่อนไขของท่านมา ไม่แน่ว่าข้าอาจทำได้” อวิ๋นโม่พูดต่อโดยไม่คิดจะจากไป
ช่างตีเหล็กฟางหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่งโดยไม่พูดอะไร มือยังคงตีเหล็กต่อไป ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป* เห็นอวิ๋นโม่ยังคงไม่จากไปจึงกล่าว “แค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังธรรมดา ไม่คู่ควรกับอุปกรณ์วิญญาณที่ข้าจะหลอมให้”
“แต่เจ้าก็ตีเหล็กให้คนทั่วไป”
ช่างตีเหล็กฟางส่ายหน้าโดยไม่อธิบายอะไร
“คนเช่นไรจึงจะคู่ควรกับอุปกรณ์วิญญาณที่เจ้าสร้างขึ้นมา ยอดยุทธ์ระดับก่อจิตงั้นหรือ”
“อย่างเจ้ายังใช้ไม่ได้!” ช่างตีเหล็กฟางเอ่ยโดยไม่เงยหน้า
“หากช่วยข้าสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา ข้าจะจ่ายให้เจ้าสองหมื่นเหรียญทอง” อวิ๋นโม่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนนั้นมีชิ้นส่วนอุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาดอยู่หลายชิ้น เขาแยกส่วนประกอบของเตาหลอมโอสถแบบพิเศษที่ตนคิดค้นออกเป็นหลายส่วน จึงไม่กลัวว่าจะถูกผู้ใดดูออก นี่เป็นเตาหลอมโอสถแบบพิเศษที่ทำให้คนธรรมดาสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณ หากเห็นเพียงชิ้นส่วนเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องให้อวิ๋นโม่ประกอบด้วยตนเองเสร็จสิ้นแล้วจึงจะดูออกว่าเป็นเตาหลอมโอสถใบหนึ่ง
ช่างตีเหล็กฟางเพียงเหลือบตาดูภาพบนกระดาษรอบหนึ่ง แววตาแม้ประหลาดใจแต่ก็ไม่กล่าวอะไร ทั้งยังไม่แสดงความสนใจ
“ข้าไม่ขาดแคลนเงิน ต่อให้อยากได้ เงินแค่สองหมื่นเหรียญทองไม่นับว่ามากอะไร” ช่างตีเหล็กฟางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“หากข้าอยู่ระดับก่อจิต เจ้าจะหลอมอุปกรณ์วิญญาณให้ข้าหรือไม่”
“เจ้าบรรลุให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
อวิ๋นโม่เงียบงันอยู่นาน สุดท้ายค่อยแผ่ญาณหยั่งรู้ออกมา ครอบคลุมร่างกายบนล่างของช่างตีเหล็กฟางอย่างจงใจให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ เขาดูออกว่าช่างตีเหล็กฟางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตขั้นกลาง ถือว่าอยู่ในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงสุดของเมืองกวนซานเจิ้น แน่นอนว่านี่ไม่ได้นับรวมอู่ซานเหอ ตอนที่เจ้านั่นอยู่ในระดับสูงสุดเคยเป็นถึงยอดฝีมือระดับท่องพันลี้
ญาณหยั่งรู้ของอวิ๋นโม่แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือระดับท่องพันลี้ ยามที่มันครอบคลุมร่างช่างตีเหล็กฟาง หากเขาไม่ได้ตั้งใจแสดงออกมา ช่างตีเหล็กฟางก็ไม่มีทางรู้สึกตัว แต่ยามนี้อวิ๋นโม่จงใจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของญาณหยั่งรู้
ทันทีที่ญาณหยั่งรู้ของอวิ๋นโม่คลุมลงบนร่างช่างตีเหล็กฟาง ร่างของอีกฝ่ายก็สะท้านขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจนแทบจะหันไปขว้างค้อนใส่หน้าอวิ๋นโม่ แต่ครู่ต่อมาเขาก็ต้องรู้สึกทั้งหวาดกลัวและโชคดีไปพร้อมๆ กัน โชคดีที่ไม่ได้ทำอะไรหุนหัน ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของเขาอาจไม่เหลือแล้วก็เป็นได้
“ไม่ทราบว่าเป็นผู้สูงส่งมาเยือน เมื่อครู่ข้าเสียมารยาท ขอผู้อาวุโสโปรดให้อภัย!” ช่างตีเหล็กฟางโยนค้อนในมือทิ้ง หันมาคำนับอวิ๋นโม่เต็มพิธีการ
อวิ๋นโม่จงใจให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงญาณหยั่งรู้ของเขา เมื่อช่างตีเหล็กฟางสัมผัสได้ก็ตกใจ ความแข็งแกร่งของญาณหยั่งรู้นี้เหนือกว่าเขามากมายนัก
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตไม่มีทางมีญาณหยั่งรู้ที่น่าครั่นคร้ามเช่นนี้ หรือว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้ ข้าใช้คำพูดเช่นนั้นกับผู้อาวุโสระดับท่องพันลี้ หวังว่าเขาคงไม่ถือสาเอาความ” ช่างตีเหล็กฟางกังวลใจ เคร่งเครียดจนหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็น หากอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ เกรงว่าอาจลงมือสังหารเขาในฝ่ามือเดียว
ช่างตีเหล็กฟางโค้งเอวคำนับเต็มรูปแบบ อวิ๋นโม่ยังไม่เอ่ยวาจา เขาก็ไม่กล้าขยับตัว
“ไม่ต้องเคร่งเครียดไป ข้าเพียงมาขอให้เจ้าหลอมอุปกรณ์วิญญาณ ไม่รู้ว่าเจ้าจะช่วยข้าหลอมสิ่งนี้ได้หรือไม่” อวิ๋นโม่ย่อมไม่ได้ทำเรื่องเกินสมควร เพราะแม้เขาจะไม่เกรงกลัวช่างตีเหล็กฟาง แต่ก็ไม่มีพลังที่สามารถกดดันอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง
ช่างตีเหล็กฟางผ่อนลมหายใจ มองภาพในมืออวิ๋นโม่ด้วยความตั้งใจ
“สมควรไม่มีปัญหา เพียงแต่วัตถุดิบพวกนี้”
“วัตถุดิบพวกนี้ข้าจัดเตรียมไว้แล้ว เจ้าลองดูว่ายังต้องใช้อะไรเพิ่มอีกหรือไม่ หากไม่มีก็ไปกับข้า”
“มีแค่มันก็พอแล้ว!” ช่างตีเหล็กฟางหันไปหยิบเตาหลอมขนาดเล็กใบหนึ่งมาสะพายไว้บนหลัง จากนั้นเอ่ยกับอวิ๋นโม่ด้วยสีหน้าจริงจังโดยไม่คลายความเคารพ
อวิ๋นโม่รู้สึกขบขัน เมื่อครู่ช่างตีเหล็กฟางยังวางท่าสูงส่ง ไม่สนใจเขาสักนิด ตอนนี้พอเข้าใจว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับท่องพันลี้ก็เปลี่ยนเป็นมีมารยาทขึ้นมา “เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดไป พวกเราเพียงทำการค้าแลกเปลี่ยนเท่านั้น เจ้าหลอมอุปกรณ์วิญญาณให้ข้า ข้าจ่ายเงินสองหมื่นเหรียญทองให้เจ้า”
เมื่อพบว่านิสัยของอวิ๋นโม่ไม่เลวร้าย ช่างตีเหล็กฟางก็ลดความเคร่งเครียดลงไปมาก เขาเงยหน้าเผยรอยยิ้มกว้าง “สามารถหลอมอุปกรณ์ให้ผู้อาวุโสถือเป็นวาสนาของข้า ไหนเลยจะกล้ารับเงินจากท่านอีก”
“เจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้าไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น”
ช่างตีเหล็กฟางรู้สึกว่านิสัยของผู้อาวุโสท่านนี้ดีจนน่าเหลือเชื่อ คราวนี้ค่อยยิ้มได้อย่างจริงใจ แตกต่างจากท่าทีถือดีเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
…………………
“น้องอู่ คิดไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของเจ้าจะฟื้นฟูกลับมาถึงระดับก่อจิต หรือว่าเจ้าค้นพบวิธีขจัดพิษแล้ว”
ในร้านขายอาวุธ ผู้เฒ่ากัวกำลังมองอู่ซานเหอด้วยความประหลาดใจ
อู่ซานเหอไม่อธิบาย ทำเพียงเผยรอยยิ้มลึกลับ เขาเดาออกแล้วว่าวัตถุดิบสำหรับหลอมสิ่งของเหล่านี้สมควรเป็นแพทย์โอสถท่านนั้นสั่งให้โรงประมูลจัดส่งมาที่นี่
“ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะบอก ข้าก็จะไม่ถาม แต่ว่าข้าต้องการสอบถามเจ้าเรื่องหนึ่ง คนที่สั่งให้พวกเราส่งวัตถุดิบมาผู้นั้นมีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า” ผู้เฒ่ากัวถามพร้อมตาเป็นประกาย
หลังจากได้รับหินวิญญาณมาแล้ว ความคิดของผู้เฒ่ากัวก็กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ความสามารถต่ำแต่มีทรัพย์สินมหาศาลคนหนึ่ง ใครรู้ก็ต้องอิจฉาจนตาแดง หากคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์ตื้นเขินกับอู่ซานเหอ บางทีพวกเขาอาจอาศัยอู่ซานเหอค้นหาเด็กน้อยลึกลับผู้นั้นจนเจอ
หลังจบการประมูล เขาก็ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ในใจอดขุ่นเคืองไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำให้เขาต้องลำบากใจบนเวทีประมูลเช่นนี้ แต่ว่าเด็กรุ่นเยาว์ระดับเสริมกำลังที่มีทรัพย์สินจนคนต้องตกตะลึงผู้หนึ่ง กลับกล้าสร้างความลำบากให้เขา ทำให้เขาหงุดหงิดมาก ดังนั้นหากมีโอกาส เขาย่อมไม่รู้สึกกระดากใจที่จะออกกำลังมือเท้า สั่งสอนเจ้าเด็กนั่นให้รู้จักเหตุผลว่าผู้แข็งแกร่งสมควรได้รับความเคารพ
“ได้ยินมาว่าในงานประมูลเจ้าไม่พอใจเขามาก” อู่ซานเหอมองผู้เฒ่ากัวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
“เขาทำให้ข้าต้องลำบากจริงๆ” ผู้เฒ่ากัวไม่ตอบคำถามของคู่สนทนาตามตรง แต่เท่านี้ก็สื่อความว่าอวิ๋นโม่ล่วงเกินเขาแล้ว นี่เป็นการหยั่งเชิงความสัมพันธ์ระหว่างอู่ซานเหอกับอวิ๋นโม่
อู่ซานเหอส่ายหน้า เอ่ยว่า “ผู้เฒ่ากัว พูดจริงๆ นะ สายตาของท่านไม่ดีเท่าแต่ก่อนแล้ว ถึงท่านผู้นั้นไม่คิดเอาความ แต่ก็คงไม่พอใจในตัวท่านแล้ว เหอะๆ ท่านไม่รู้หรอกว่าสถานจัดการประมูลของพวกท่านพลาดเรื่องอะไรไป”
“ถึงเขาจะมีเงินมาก แต่ก็เป็นเพียงผู้เยาว์ระดับเสริมกำลังเท่านั้น หรือว่าเขายังมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งท่านใดอยู่เบื้องหลัง” ผู้เฒ่ากัวหัวเราะพลางถาม ในใจไม่ใส่ใจเลยสักนิด เขาคิดว่าอู่ซานเหอกำลังปั่นหัวตน บรรดาลูกศิษย์ของตระกูลใหญ่เหล่านั้น ผู้ใดบ้างที่ข้างกายไม่มีผู้แข็งแกร่งปกป้อง ไหนเลยจะออกเดินทางเพียงลำพัง
“เขาไม่ใช่ผู้สืบทอดของขุมกำลังใหญ่จากที่ใด”
อู่ซานเหอส่ายหน้าด้วยความสงสารผู้เฒ่ากัว อีกฝ่ายไม่รู้เลยตนเองพลาดอะไรไป แพทย์โอสถที่สามารถถอนพิษของมดพ่นอัคคีท่านหนึ่งจะบุคคลเรียบง่ายได้หรือ
………………………………………
*หน่วยระบุเวลา 1 ก้านธูป (一炷香Yī zhù xiāng) หมายถึง ระยะเวลาที่ธูปเผาไหม้หมด 1 ดอก ระยะเวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับธูปที่ใช้ บางตำราระบุว่า 1.30 ชั่วโมง