กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 37 อวิ๋นเลี่ยตัวร้าย

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        อวิ๋นเสวียนเซิงสีหน้ากลัดกลุ้ม คำพูดประโยคเดียวของอวิ๋นโม่ไม่อาจทำให้เขาคลายกังวล อวิ๋นโม่ตบบ่าปลอบใจ ถามว่า “จริงสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกท่านประมุขตระกูลจะไม่ทราบได้อย่างไร ทำไมจึงไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา”

        “ประมุขตระกูลให้พวกเราคอยต้อนรับพวกหวังจิงอวิ๋น ตอนนี้พวกเขากำลังปรึกษากันอย่างเร่งด่วน” หวังจิงอวิ๋นคือศิษย์รุ่นเยาว์จากตระกูลหวัง ตระกูลหวังตั้งใจจะอบรมคนผู้นี้ จึงส่งเขามาเพื่อบ่มเพาะประสบการณ์ “ข้าต้องไปแล้ว อวิ๋นโม่เจ้าจะไปไหม”

        “เจ้าไปก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระ อีกสักครู่ค่อยตามไป” อวิ๋นโม่ตอบ รอจนอวิ๋นเสวียนเซิงเดินไปแล้วก็ไปตามหาเมิ่งเอ๋อร์ สั่งให้นางไปหาอู่ซานเหอที่ท้ายถนนขายอาวุธ หากตระกูลหวังคิดจะขูดรีดตระกูลอวิ๋นจริงๆ อู่ซานเหอคงพอจะยับยั้งได้ 

        “ไปถึงแล้วเจ้าก็บอกว่า คนสวมหน้ากากผู้หนึ่งให้เจ้ามาหาเขา” อวิ๋นโม่สั่ง กลัวว่าหากอู่ซานเหอถามขึ้นมาก็อาจเดาฐานะของอวิ๋นโม่ได้ 

        “คิกๆ พี่ใหญ่ คนสวมหน้ากากก็คือท่านใช่ไหม” เมิ่งเอ๋อร์ยิ้มถาม นางฉลาดมาก คาดเดาได้ถูกต้อง 

        “เด็กน้อยอย่าถามมาก รีบไปเถอะ” อวิ๋นโม่ยิ้มพลางเคาะจมูกเมิ่งเอ๋อร์เบาๆ สั่งให้นางรีบไป เมิ่งเอ๋อร์จากไปอย่างรวดเร็วราวกับนกน้อยตัวหนึ่ง 

        อวิ๋นโม่มาที่ลานประลองยุทธ์เพียงคนเดียว พบว่าศิษย์รุ่นเยาว์กว่าครึ่งของตระกูลอวิ๋นล้วนอยู่ที่นี่ ผู้คนมากมายรายล้อมหวังจิงอวิ๋นเอาไว้ตรงกลางราวกับดาวล้อมเดือน

        อวิ๋นโม่มองตามไปก็เห็นหลายคนทำเช่นเดียวกับอวิ๋นเสี่ยวกั่วและอวิ๋นเลี่ย ประจบประแจงหวังจิงอวิ๋นอย่างชัดเจน คนบางส่วนสังเกตการณ์ด้วยความระมัดระวัง อย่างเช่นบุตรชายของผู้อาวุโสรองอวิ๋นซั่งหลง และมีคนไม่น้อยที่มีสีหน้าเป็นกังวลเหมือนอวิ๋นเสวียนเซิง อวิ๋นโม่ชมดูอย่างประหลาดใจ 

        อวิ๋นเลี่ยเดินเข้าไปหาหวังจิงอวิ๋น ไม่รู้ว่าพูดอะไร หยอกเย้าหวังจิงอวิ๋นจนหัวเราะเสียงดัง ก่อนหน้านี้อวิ๋นเลี่ยยังติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นเสี่ยวกั่ว ตอนนี้กลับมาอยู่ข้างกายหวังจิงอวิ๋นประกบคู่กับอวิ๋นเสี่ยวกั่ว ดูท่าเจ้าแสบนี่จะต้องใช้วิธีบางอย่างทำให้ฐานะของตนในใจหวังจิงอวิ๋นมีความสำคัญเหมือนกับอวิ๋นเสี่ยวกั่ว อวิ๋นเสี่ยวกั่วเองก็ไม่ได้มีท่าทีบงการอวิ๋นเลี่ย ผู้คนทั้งหลายมาเป็นเพื่อนหวังจิงอวิ๋น ชมดูศิษย์รุ่นเยาว์สองคนของตระกูลอวิ๋นประลองกัน

        “นายน้อยหวัง สองคนนี้ถือเป็นผู้โดดเด่นเหนือกว่าระดับมาตรฐานของตระกูลอวิ๋นเรา ท่านเห็นว่าวรยุทธ์ของพวกเขาเป็นเช่นไร” อวิ๋นเลี่ยใบหน้ายิ้มแย้ม สอบถามความเห็นของหวังจิงอวิ๋นที่มีต่อคนทั้งสอง 

        “แม้แต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลอวิ๋นเรา เกรงว่าคงยังไม่เข้าตานายน้อยหวัง ความสามารถของพวกเขาทั้งสอง นายน้อยก็คงไม่สนใจอยู่แล้ว” อวิ๋นเสี่ยวกั่วยิ้มพลางเอ่ยประจบ “ด้วยพรสวรรค์ของนายน้อยหวัง แค่มือข้างเดียวก็ล้มพวกเขาได้แล้ว หากถามความเห็นที่นายน้อยหวังมีต่อพวกเขา ไม่สู้ขอให้นายน้อยช่วยสั่งสอนพวกเขาสักเล็กน้อยเถอะ” 

        ฝีมือสอพลอเช่นนี้ หวังจิงอวิ๋นย่อมเต็มใจรับไว้ เขาผุดยิ้ม สายตามองลานประลองพร้อมวางท่าชี้แนะ “สำหรับเมืองเล็กๆ อย่างกวนซานเจิ้น พวกเจ้าทั้งสองนับว่าไม่เลวทีเดียว” หวังจิงอวิ๋นตอบยิ้มๆ ขณะมองคนทั้งสองที่ประลองกันอยู่ 

        ความจริงแล้วมันอาศัยฐานะไม่ธรรมดาของตนวางท่าเป็นผู้อาวุโสประเมินคนทั้งสอง อวิ๋นซั่งหลงบุตรชายของผู้อาวุโสรองที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าไม่น่าดู เขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของผู้เยาว์ตระกูลอวิ๋น ย่อมไม่พอใจคำพูดของหวังจิงอวิ๋น อีกอย่างบนสนามประลองมีหนึ่งคนเป็นสหายของเขา ความสามารถไม่เลว แต่กลับถูกหวังจิงอวิ๋นมองเป็นผู้ต่ำอาวุโสกว่า 

        ในไม่ช้าบนสนามประลองก็ปรากฏผลแพ้ชนะ สหายของอวิ๋นซั่งหลงชนะ อวิ๋นเสี่ยวกั่วขอให้หวังจิงอวิ๋นชี้แนะต่อ ทำเอาอวิ๋นซั่งหลงขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

        “ผู้แพ้ พละกำลังของเจ้าไม่มากพอ สมควรฝึกให้หนักกว่านี้ ยังมีหมัดเมื่อครู่ เจ้ายังไม่เข้าใจจุดสำคัญ เมื่อครู่นี้เจ้ามีโอกาสเอาชนะได้แล้ว แต่เพราะกลัวจะได้รับบาดเจ็บจึงพลาดโอกาส กลายเป็นผู้แพ้ไป หากเป็นการต่อสู้เอาชีวิต เจ้าก็คงตายไปแล้ว” หวังจิงอวิ๋นวางตัวเป็นผู้อาวุโสเต็มขั้น กล่าวคำชี้แนะออกมาอย่างเต็มที่

        “ผู้ชนะ ฝ่ามือของเจ้ายังไม่โหดเหี้ยมพอ หากโหดกว่านี้สักหน่อย ก็คงไม่ต้องต่อสู้นานขนาดนี้” 

        “นายน้อยหวังมีสายตาเฉียบแหลม วิจารณ์การประลองของคนทั้งสองได้ตรงจุด ทำให้ข้าเลื่อมใสจริงๆ” อวิ๋นเลี่ยประจบอย่างรู้จังหวะ 

        “ผู้มีความสามารถมีฝีมือเช่นไรก็มีสายตาเช่นนั้น ตระกูลอวิ๋นของเราเกรงว่าไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของนายน้อยหวังได้” อวิ๋นเสี่ยวกั่วกล่าวคำเช่นกัน 

        ฉินเหอหลินที่อยู่ข้างกายหวังจิงอวิ๋นเอ่ยปาก “ข้าเคยประลองกับนายน้อยหวัง ผลคือขนาดนายน้อยหวังออมมือให้แล้วก็ยังรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า สถานที่เล็กๆ อย่างเมืองกวนซานเจิ้นของพวกเราจะมีใครสู้นายน้อยหวังได้กัน” 

        “ฮ่าๆ! พวกท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวขนาดนั้น ต่างก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น ไม่อาจนับได้ มีแต่เข้าสู่ระดับเปลี่ยนชีพจรจึงจะถือว่าเริ่มเข้าสู่เส้นทางวรยุทธ์ ขอเพียงเพียรพยายาม พวกเจ้าจะต้องพบกับความสำเร็จแน่นอน” หวังจิงอวิ๋นกล่าวกับคนทั้งหมด 

        ผู้คนพากันผงกศีรษะสนับสนุน ยิ่งทำให้สีหน้าของอวิ๋นซั่งหลงไม่น่ามองไปกันใหญ่ เขาเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ ย่อมไม่คิดโอนอ่อนต่อหวังจิงอวิ๋น ทั้งยังไม่สบอารมณ์กับท่าทีสูงส่งของอีกฝ่าย 

        คนที่อยู่บนเวทีทั้งสองคนก็ไม่พอใจคำชี้แนะราวกับเป็นผู้อาวุโสของหวังจิงอวิ๋น แต่เพราะรู้ถึงฐานะของนายน้อยคนนี้ พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินจึงไม่ได้กล่าวอะไร แยกย้ายกันลงจากเวที 

        “เมืองกวนซานเจิ้นของพวกเราห่างไกลความเจริญมากจึงไม่เคยเห็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ทราบว่านายน้อยหวังจะสามารถให้คำชี้แนะผู้น้อยได้หรือไม่ ให้ข้าได้ประจักษ์ว่าผู้มีพรสวรรค์จากเมืองใหญ่ที่แท้แล้วน่าตื่นตะลึงเพียงใด” อวิ๋นซั่งหลงประสานหมัดเอ่ย ปากบอกว่าขอคำชี้แนะ ที่จริงคือไม่พอใจ ไม่ยอมสยบให้หวังจิงอวิ๋น แต่ด้วยฐานะของอีกฝ่ายทำให้ไม่อาจล่วงเกิน จำต้องฝืนเอ่ยคำพูดนอบน้อมเหล่านี้ออกมา 

        “ก็ดี ข้าจะลงมือชี้แนะเจ้าสักเล็กน้อยก็แล้วกัน” หวังจิงอวิ๋นพยักหน้า เขาเห็นอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ยอมสยบ จึงเตรียมลงมือข่มขวัญเหล่าผู้เยาว์ตระกูลอวิ๋น

        อวิ๋นซั่งหลงไม่คิดจะล่วงเกินหวังจิงอวิ๋น จึงอุตส่าห์ใช้คำเปี่ยมมารยาทพูดจาอ้อมค้อม แสร้งขอให้หวังจิงอวิ๋นชี้แนะ คิดไม่ถึงว่าหวังจิงอวิ๋นจะอาศัยจังหวะนี้มาสั่งสอนเขาจริงๆ ทำเอาอวิ๋นซั่งหลงอึดอัดไปทั้งกาย เขาเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลอวิ๋น แล้วจะกลัวนายน้อยตระกูลหวังผู้นี้ได้อย่างไร

        คนทั้งสองขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างรวดเร็ว ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหลาย เหล่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลอวิ๋นต่างลอบสังเกตการประลองครั้งนี้เช่นกัน

        “พวกเจ้าว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” พวกประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิง กำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนตระกูลหวังทั้งสอง 

        ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว “หวังจิงอวิ๋นได้รับความสำคัญจากตระกูลหวัง ฝีมือคงไม่ธรรมดา ซั่งหลงอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

        “ไม่ผิด ขุมอำนาจใหญ่ของเมืองฉยงอวี่ จะอย่างไรก็มีความสามารถเหนือกว่าตระกูลอวิ๋นมาก ทั้งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่คนรุ่นเยาว์ได้รับล้วนเทียบกันไม่ติด ซั่งหลงแม้จะไม่เลว แต่เมื่อเผชิญกับผู้มีพรสวรรค์ตระกูลหวัง เกรงว่าคงยากจะเอาชนะได้” ผู้อาวุโสแปดเอ่ยปาก 

        “หึ! มันก็ไม่แน่ ความสามารถของคนขึ้นกับพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานด้วย และพรสวรรค์ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับทรัพยากรหรือสิ่งแวดล้อม ดังนั้นก็ยังไม่แน่ว่าซั่งหลงจะแพ้” ผู้อาวุโสรองเอ่ยอย่างไม่เชื่อว่าบุตรคนเล็กของตนจะด้อยกว่า 

        ไม่มีใครเห็นด้วยกับคำพูดของผู้อาวุโสรอง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในตระกูลอวิ๋นที่สนิทสนมกับเขาก็ยังไม่พูดอะไร เปรียบเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ อัจฉริยะที่บ่มเพาะโดยตระกูลหวัง ความสารถจะด้อยกว่าได้หรือ 

        บนเวที คนทั้งสองกำลังประลองกัน อวิ๋นซั่งหลงไม่คิดสยบให้หวังจิงอวิ๋นจึงลงมือเต็มที่อย่างไม่ลังเล หากสามารถเอาชนะหรือทำให้หวังจิงอวิ๋นบาดเจ็บได้ เขาก็คงได้อยู่บนจุดสูงสุด แต่ความจริงกลับโหดร้าย ความสามารถของหวังจิงอวิ๋นแข็งแกร่งจริงๆ เพียงเจ็ดกระบวนท่าก็ซัดจนอวิ๋นซั่งหลงลงจากเวที

        “เจ้าก็ไม่เลว หากอยู่ในตระกูลหวังของข้า ความสามารถเช่นนี้สมควรได้รับการอบรมบ่มเพาะ เพียงแต่หากให้ความสำคัญกับพละกำลังมากเกินไปก็จะไม่รู้จักพลิกแพลง” หวังจิงอวิ๋นยืนอยู่บนเวที เอ่ยคำชี้แนะอวิ๋นซั่งหลง

        คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดต่างชะงัก อวิ๋นซั่งหลงคือหนึ่งในผู้เยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอวิ๋น แต่กลับถูกหวังจิงอวิ๋นสะกดข่มได้อย่างง่ายดาย แค่หวังจิงอวิ๋นยังแข็งแกร่งขนาดนี้ เช่นนั้นยอดฝีมือระดับก่อจิตของตระกูลหวังจะแข็งแกร่งขนาดไหน 

        “นายน้อยหวังแข็งแกร่งเกินไปแล้ว สามารถได้รับคำชี้แนะจากท่านนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วประจบประแจงเต็มที่ ทำเอาหลายคนชักเห็นด้วย

        เห็นคนพากันสนับสนุนหวังจิงอวิ๋น อวิ๋นซั่งหลงก็เหมือนได้รับบาดเจ็บ หันร่างเดินออกจากลานประลอง

        “ไม่มีใครอยากให้ข้าแนะนำสักเล็กน้อยอีกหรือ” หวังจิงอวิ๋นยืนอยู่บนเวทีประลอง มองผู้คนอย่างหยิ่งผยอง

        อวิ๋นโม่เบะปาก เขาพบข้อสังเกตบางอย่าง หวังจิงอวิ๋นดูเหมือนจะชนะอย่างง่ายๆ แต่ที่จริงลงมือหมดหน้าตักแล้ว เขารวบรวมพลังทั้งหมดของตนระเบิดออกมาจึงจัดการอวิ๋นซั่งหลงได้ในพริบตาเดียว หากอวิ๋นซั่งหลงทุ่มเทเคล็ดวิชาที่เคยเรียนทั้งหมดออกมาก็ไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้ 

        แต่เรื่องที่อวิ๋นโม่คิดไม่ถึงก็คือ ผ่านไปครู่หนึ่งสายตาของผู้คนทั้งหมดจะมารวมอยู่บนร่างของเขา 

        “นายน้อยหวัง อวิ๋นโม่เคยเอาชนะข้าได้อย่างง่ายดาย ความสามารถของเขาในตอนนี้ อาจแข็งแกร่งกว่าอวิ๋นซั่งหลงด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าเขาอาจรับมือท่านได้สิบกระบวนท่า” อวิ๋นเลี่ยเอ่ยทีเล่นทีจริง

        “เอ๋! ใครคืออวิ๋นโม่” หวังจิงอวิ๋นกวาดตาเข้าไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท