กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 48 ฆ่าคน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        ‘เป็นอย่างที่คิดไว้ แม้ชาตินี้ใช้น้ำนมปฐพีเสริมความแข็งแกร่งร่างกาย แต่ก็ยังไม่สามารถใช้แค่พลังกล้ามเนื้อต่อกรกับยอดยุทธ์ระดับก่อจิต’ อวิ๋นโม่เช็ดเลือดที่มุมปากแล้วลุกขึ้น

        “หึ!” หวังลั่วเหิงสบถเสียงเบา ใบหน้าเย่อหยิ่ง “ระดับเปลี่ยนชีพจรอาจพูดได้ว่าต่อเนื่องมาจากระดับเสริมกำลัง แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นว่าแตกต่างกันคนละโลก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรอาจใช้ลมปราณของตนเองกระตุ้นปราณภายนอกเพื่อจู่โจมศัตรู แต่ความรุนแรงยังไม่มั่นคง ระดับความเร็วในการถ่ายทอดก็เชื่องช้าจนน่าขัน ดังนั้นด้วยพละกำลังของเจ้าอาจพอต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรได้ แต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิต เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไป เป็นจิตวิญญาณที่เหนือกว่าอีกขั้นหนึ่ง พลังวิญญาณของข้าควบคุมด้วยใจ พลังไหลเวียนต่อเนื่อง เคลื่อนไหวดั่งใจนึก”

        “เจ้าเป็นแค่มดปลวกระดับเสริมกำลัง คิดจะใช้พลังแค่นี้มาต่อสู้กับข้า ก็เหมือนคนบ้าฝันกลางวัน ช่างน่าขัน!”

        “ท่านลุง จะไปพูดกับมันทำไม เป็นแค่มดตัวหนึ่งยังกล้าท้าทายตระกูลหวังเรา รีบจับตัวมันมาทรมานสักรอบ!” หวังจิงอวิ๋นตะโกนเสียงดัง เขาอยากลงมือระบายความคับแค้น แต่เมื่อครู่พอได้เห็นความสามารถของศัตรูก็ไม่กล้าลงมืออย่างผลีผลาม แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็รู้ว่าพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามเหนือกว่าตนมากเกินไป พละกำลังที่น่ากลัวขนาดนี้เขาต้านไม่ไหว

        “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังไม่สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตได้ก็จริง แต่ว่าหากมองจากมุมอื่น ข้าก็ไม่ใช่​ระดับเสริมกำลัง” อวิ๋นโม่เผยรอยยิ้มลึกลับ พลิกมือเก็บคืนเหมันต์ลงในถุงเฉียนคุน 

        “พรางตัวเป็นเทพแสร้งทำเป็นผี* บนร่างเจ้าไม่มีพลังปราณ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นแค่มดปลวกระดับเสริมกำลัง หากคิดว่าข้าจะตกใจก็ดูถูกยอดฝีมือระดับก่อจิตผู้หนึ่งเกินไปแล้ว!” หวังลั่วเหิงยิ้มเย็น จากนั้นแผ่พลังปราณออกมา กางมือเป็นกรงเล็บตะปบคออวิ๋นโม่

        “กรงเล็บตะปบสุนัข!”  

        ฝ่ามือใหญ่พุ่งออกมาคว้าคออวิ๋นโม่ นี่เป็นวิชาต่อสู้อันธรรมดาที่สุดนามว่ากรงเล็บตะปบสุนัข เป็นวิชาที่คนเลี้ยงสุนัขในสมัยก่อนใช้จับสุนัข หวังลั่วเหิงใช้วิชานี้กับอวิ๋นโม่เพราะต้องการเปรียบเทียบเขากับสุนัข คิดจะมอบความอดสูให้ศัตรู

        มุมปากอวิ๋นโม่โค้งขึ้น สำหรับเขาแล้ว ความประมาทของศัตรูเป็นโอกาสที่ดีที่สุด

        ตูม!

        ทันทีที่อวิ๋นโม่ร่ายรำวิชาหมัด แสงสว่างสายหนึ่งก็พุ่งออกจากร่างห้อมล้อมตัว สุดท้ายรวมกันเป็นหนึ่งแล้วพุ่งออกจากไหล่ทั้งสองข้าง

        พริบตาที่แสงสว่างปรากฏ พลังปราณที่เหนือกว่าหวังลั่วเหิงแผ่ออกมา เมื่อพลังอันน่าอัศจรรย์ปรากฏ ทำให้หวังลั่วเหิงและหวังจิงอวิ๋นตกใจจนหน้าถอดสี

        “พละกำลังเช่นนี้ไม่ใช่พลังปราณ!” หวังลั่วเหิงร้องอย่างตกใจ สถานการณ์ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว เขารู้ว่าตนเองประมาทคู่ต่อสู้เกินไปจึงคิดจะเปลี่ยนกระบวนท่า

        แต่พลังหมัดของอวิ๋นโม่แข็งแกร่งเทียมฟ้า สาดกระจายออกมาทุกทิศทาง หวังลั่วเหิงเปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทันแล้ว 

        เปรี้ยง! 

        พลังปราณและแสงสว่างประหลาดนั้นระเบิดพร้อมกัน กลายเป็นลำแสงกระจายออกรอบด้าน คลื่นพลังรุนแรงถึงกับทำให้หวังจิงอวิ๋นที่เฝ้าดูอยู่หงายหลังกระเด็นออกไป

        “แค่กๆ!” 

        หวังลั่วเหิงไอออกมาเป็นเลือดสดๆ ติดต่อกัน ย้อมเสื้อผ้าจนเป็นสีแดงฉาน ส่วนอวิ๋นโม่ที่อยู่อีกด้าน ร่างกายไม่สั่นคลอน มั่นคงดุจเขาไท่ซาน

        “นี่… จะเป็นไปได้อย่างไร” หวังจิงอวิ๋นพุ่งเข้าไปอย่างลนลาน สำรวจหวังลั่วเหิงอย่างหวาดกลัว รีบไต่ถามไม่หยุด ตอนนี้ในสมองของหวังจิงอวิ๋นมีแต่ความว่างเปล่า เมื่อครู่มันยังคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะถูกหวังลั่วเหิงจับกุมได้ง่ายๆ ยังคิดวิธีทรมานคนผู้นี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าตอนนี้มดปลวกระดับเสริมกำลังที่สมควรถูกบีบคั้น กลับใช้เพียงหมัดเดียวกระแทกทรวงอกของท่านลุง สิ่งที่ไม่น่าเชื่อนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้

        อวิ๋นโม่เองก็ตกใจอยู่บ้างเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าสามารถฆ่าหวังลั่วเหิงได้ แต่ไม่คิดว่าจะรวบรัดเด็ดขาดถึงเพียงนี้ 

        “นี่ ถึงจะเป็นพลังที่แท้จริงของหมัดทลายภูผาอย่างนั้นหรือ ข้ารู้สึกว่ามันสามารถสั่นคลอน​ยอดฝีมือระดับก่อจิตชั้นสูง!” อวิ๋นโม่จ้องมองกำปั้นและพึมพำกับตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

        หมัดทลายภูผา เป็นวิชาหมัดที่เทพจักรพรรดิผู้หนึ่งสร้างขึ้น ไม่เหมือนวิชาต่อสู้ทั่วไป มันเป็นการกระตุ้นศักยภาพของร่างกายมนุษย์ เปลี่ยนความแข็งแกร่งทางกายภาพให้เป็นพลังงานที่สามารถควบคุมได้

        เทพจักรพรรดิส่วนใหญ่ เมื่อฝึกวรยุทธ์ถึงระดับสูงสุดจนไม่อาจพัฒนาไปได้อีกก็จะศึกษาการต่อสู้แบบอื่น วิชาหมัดทลายภูผาถูกคิดค้นโดยเทพจักรพรรดิผู้น่าอัศจรรย์คนหนึ่ง เมื่อเทพจักรพรรดิผู้นั้นฝึกวรยุทธ์จนถึงระดับสูงสุด ก็เริ่มศึกษาศาสตร์ต่างๆ เช่นเดียวกับจักรพรรดิองค์อื่นๆ วันหนึ่งเขาคิดถึงพละกำลังของกล้ามเนื้อก็เห็นว่า ร่างกายมนุษย์คือคลังสมบัติแห่งหนึ่ง ศักยภาพในการพัฒนายอดเยี่ยม สุดท้ายจึงสรรค์สร้างหมัดทลายภูผานี้ขึ้นมา

        หมัดทลายภูผาไม่ได้ดูดซับปราณธรรมชาติ มันเปลี่ยนพละกำลังของกล้ามเนื้อเป็นพลังงานมหาศาลที่สูงขึ้นได้ถึงระดับหนึ่ง จากนั้นใช้วิธีการอันแยบคายถ่ายทอดออกมา โจมตีศัตรูอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นจากอีกมุมมองหนึ่ง หากให้วิธีนี้เป็นการฝึกฝนอีกรูปแบบหนึ่งของระดับเสริมกำลัง  อวิ๋นโม่ในตอนนี้ก็อยู่ระดับเดียวกับหวังลั่วเหิงแล้ว

        น่าเสียดายที่ไม่รู้เพราะสาเหตุใดเทพจักรพรรดิผู้นั้นจึงพัฒนาศักยภาพของวิชาหมัดนี้ไว้เพียงขั้นเดียวเท่านั้น ด้วยความสามารถของอวิ๋นโม่ในตอนนี้ เมื่อใช้หมัดทลายภูผาออกมา อย่างมากก็แค่ต่อสู้กับระดับก่อจิตได้ แต่ไม่อาจต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้ หากเทพจักรพรรดิผู้นั้นยังคงศึกษาและพัฒนาต่อ ไม่แน่ว่าอาจสร้างเส้นทางฝึกฝนร่างกายอีกสายขึ้นมา

        “ไม่ต้องคิดมากแล้ว วิชาแพทย์ที่ข้าสร้างสรรค์ขึ้นมามีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนพลังปราณเท่านั้น หากมีการฝึกฝนร่างกายเช่นนั้นจริง บางทีวิชาแพทย์ของข้าอาจไม่มีประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นเลยก็เป็นได้” อวิ๋นโม่ก็ไม่ได้จมอยู่กับความเสียดายมากไป ตอนนี้หมัดทะลายภูผาสามารถปกป้องเขาที่อยู่ในระดับล่างได้ ที่จริงก็ดีมากแล้ว ภายหน้าอาศัยวิชาแพทย์ของตนเองช่วยเหลือ ความเร็วในการฝึกฝนของอวิ๋นโม่จะต้องเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป

        “มีวิชาหมัดเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้า… ความจริงแล้วเป็นใครกันแน่” หวังลั่วเหิงกระอักเลือดไม่หยุด หัวใจของเขาบาดเจ็บเกินกว่าครึ่ง ดูท่าคงไม่รอดแล้ว หวังจิงอวิ๋นประคองหวังลั่วเหิงอย่างตื่นกลัว สีหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคือลูกหลานที่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลหวัง ไหนเลยจะเคยเผชิญประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้

        หวังลั่วเหิงเองก็ตื่นกลัว ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างสงบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม หวังลั่วเหิงประคองทรวงอกที่มีแต่เลือดเดินไปหาอวิ๋นโม่ช้าๆ

        หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ในที่สุดหวังลั่วเหิงก็มาถึงตรงหน้าอวิ๋นโม่ หวังจิงอวิ๋นหวาดกลัวจนไม่กล้าติดตามมา เขายืนห่างไปไกล มองอวิ๋นโม่ด้วยความหวาดหวั่นไม่คลาย นี่คือมัจจุราชองค์หนึ่ง ยอดฝีมือระดับก่อจิตชั้นกลางของตระกูลหวังก็ยังรับหมัดเดียวของอวิ๋นโม่เอาไว้ไม่ได้ ผลสรุปเช่นนี้ ทำให้หวังจิงอวิ๋นหวาดกลัวถึงขีดสุด

        “เจ้า… คือใครกัน” หวังลั่วเหิงกระอักเลือดติดต่อกัน มันยกมือขึ้นมา คว้าหน้ากากบนหน้าอวิ๋นโม่

        หมับ!

        อวิ๋นโม่คว้ามือเปื้อนเลือดของหวังลั่วเหิงเอาไว้ เอ่ยถามเสียงเย็น “ทำไม จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”

        ครั้งนี้อวิ๋นโม่เปลี่ยนเสียงตนเองแล้ว

        “เจ้า! เป็นเจ้า! เจ้าก็คือ…” 

        หวังจิงอวิ๋นและหวังลั่วเหิงต่างก็นึกฐานะของอวิ๋นโม่ออก ประหลาดใจจนใบหน้าแข็งค้าง

        “เป็นไปไม่ได้! ตระกูลอวิ๋นต่ำต้อยขนาดนั้นจะมีระดับเสริมกำลังรุ่นยาว์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร” หวังจิงอวิ๋นถอยหลังหลายก้าวต่อเนื่อง ไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

        “แค่ก! ในเมื่อ… เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้…ทำไมตอนนั้น…” แววตาของหวังลั่วเหิงเริ่มเลื่อนลอย พลังชีวิตค่อยๆ สลายไป

        “หึๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับพวกเจ้า” อวิ๋นโม่พูดเสียงเบา ยกขาเตะศีรษะของหวังลั่วเหิง จากนั้นเดินช้าๆ ไปหาหวังจิงอวิ๋น

        “ไม่นะ! เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ แม้เจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ความสามารถของผู้นำตระกูลหวังไม่มีทางด้อยไปกว่าเจ้า! อีกอย่าง…”

        “อีกอย่างอะไร” 

        “อีกอย่างตระกูลหวังของข้ายังมีต้นกล้าระดับท่องพันลี้​สามคน หากเจ้าฆ่าข้า จะต้องถูกตระกูลหวังล้างแค้นแน่นอน!” 

        อวิ๋นโม่โคลงศีรษะเบาๆ “ตระกูลหวังงั้นหรือ หากยังกล้ามาก่อกวน ล้างทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง!” 

        หวังจิงอวิ๋นเพิ่งรู้ว่าตนร้องขอชีวิตไปก็ไร้ประโยชน์  มันวิ่งอย่างลนลานไปทางรถม้า

        “หนีพ้นหรือ” อวิ๋นโม่กระทืบเท้าจนพื้นดินยุบเป็นหลุมขนาดใหญ่ คนก็พุ่งออกไปดุจลูกธนู พริบตานั้นก็มาถึงเบื้องหน้าหวังจิงอวิ๋น จัดการอัจฉริยะตระกูลหวัง อวิ๋นโม่ไม่จำเป็นต้องใช้หมัดทลายภูผา แค่พละกำลังของกล้ามเนื้อก็ฆ่าเขาได้แล้ว

        “เจ้ารู้ฐานะข้าก็ต้องตายเท่านั้น” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเย็นราวกับมัจจุราชไร้ความรู้สึก

        “อย่า… อย่าฆ่าข้า ข้าขอสาบาน ข้าจะเป็นผู้ติดตามท่าน เป็นบ่าวรับใช้ของท่าน ไม่ทรยศท่านตลอดชีวิต!” สองขาของหวังจิงอวิ๋นสั่นเทา คุกเข่ากระแทกพื้นเสียงดัง

        “เป็นบ่าวรับใช้ของข้า ฮ่าๆ เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเรียบ ตบฝ่ามือลงไป

        เปรี้ยง! 

        ศีรษะของหวังจิงอวิ๋นแตกออก พลังชีวิตดับสิ้น สองตาเบิกโพลงอย่างไม่ยินยอม แม้ตายก็ไม่เข้าใจ ถึงอัจฉริยะตระกูลหวัง เสนอตัวยอมเป็นบ่าวของคนอื่น แต่กลับถูกปฏิเสธ!”

        “ตระกูลหวัง ทางที่ดีอย่ามาหาเรื่องข้า” อวิ๋นโม่มองไปทางเมืองฉยงอวี่พร้อมพึมพำออกมา จากนั้นกระโดดเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็หายสาบสูญไปในป่าข้างทาง

        ………………………………………

        *裝神弄鬼 Zhuāngshénnòngguǐ หมายถึง เล่นละครหลอกลวงตบตาผู้คน เทียบได้กับสำนวนไทย ลิงหลอกเจ้า

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท