หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 399 ผูกมิตร

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 399 – ผูกมิตร

 

    เวลาผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสเหลียงผู้นั้นมาที่เรือนเฟิงเหอตามคาด อธิบายด่านต่าง ๆ ที่อาจจะพบในการทดสอบต่อพวกนางโดยละเอียด รวมทั้งมอบทรัพยากรจำนวนหนึ่ง รวมถึงอาวุธเวทรูปร่างหุ่นไม้หนึ่งคนหนึ่งชิ้น แล้วจึงอำลาจากไป 

    หลังส่งผู้อาวุโสเหลียงไป โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางขยับเล่นหุ่นไม้ไปตามลำพัง ไม่พูดจาเป็นครึ่งค่อนวัน

    “พวกเขาเตรียมตัวค่อนข้างครบถ้วนเลย” เนิ่นนานให้หลัง เนี่ยอู๋ชางวางหุ่นไม้ในมือลงแล้วพูด

    หุ่นไม้นี้มีขนาดแค่ฝ่ามือ แต่ผลิตขึ้นมาอย่างประณีตยิ่งนัก ด้านบนมีลมปราณจาง ๆ ไม่ใช่ปราณมาร แล้วก็ไม่ใช่พลังวิญญาณ แยกแยะไม่ออกในชั่วขณะว่าสรุปเป็นอะไร แต่ว่า นี่เป็นอาวุธเวทที่ค่อนข้างไม่เลวจริง ๆ ผู้อาวุโสเหลียงพูดว่า สถานที่ลับนั้นอยู่ในเขาซิงลั่ว รอบบริเวณมีวัตถุพิษซึ่งจะสร้างปราณพิษ มีหุ่นไม้นี้อยู่กับตัวจะสามารถหลีกเลี่ยงปราณพิษ ประหยัดพลังวิญญาณ

    “ไม่ผิด” โม่เทียนเกอมองหุ่นไม้ในมือ ขมวดคิ้วนิด ๆ “หรือว่าเป็นพวกเราที่สัมผัสอ่อนไหวเกินไป”

    ทั้งสองคนล้วนตกอยู่ในห้วงคิด อันที่จริงการกระทำของเจ้าเมืองเหมยไม่มีส่วนที่ไม่เหมาะสมเป็นพิเศษเลย เพียงแต่พวกนางคุ้นชินกับการครุ่นคิดในทางร้าย จึงรู้สึกว่าเรื่องดีอย่างนี้ไม่มีเหตุผลที่จะตกลงใส่ตัวตนเอง สถานที่ลับโบราณกาลแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เชื้อเชิญ อีกทั้งไม่มีอันตรายถึงชีวิตอะไร ที่เทียนจี๋ เรื่องดีอย่างนี้ไหนเลยจะให้คนนอกรู้อย่างส่งเดช?

    คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกอีกว่าตนเองหวาดระแวงเกินไป ที่นี่คืออวิ๋นจง มิใช่เทียนจี๋ รู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอย่างนี้ที่อวิ๋นจงมิใช่เรื่องปกติมาก อีกอย่าง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคนนั้นมิใช่ว่าไร้คนกังขาหรอกหรือ ดูวาจาการกระทำของยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสองศิษย์พี่ศิษย์น้อง เหมือนจะรู้สึกว่าการกระทำอย่างนี้ของเจ้าเมืองเหมยไม่น่าระแวงเลย……

    ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ดู ๆ กันไปเถอะ พวกเรามิใช่ตกลงกับพวกยงหรูอวี้แล้วหรอกหรือ ถึงเวลาก็เคลื่อนไหวกับพวกเขา หากไม่ถูกต้องก็สามารถเอาพฤติกรรมของพวกเขามาอ้างอิงได้อย่างสองอย่าง”

    “อืม” เนี่ยอู๋ชางแสดงความเห็นด้วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้นางก็คิดเงื่อนงำไม่ออกสักอย่าง ก็ทำอย่างนี้เถอะ

    หลายวันให้หลัง มีหญิงรับใช้มาเชิญที่เรือนเฟิงเหอ ครั้งนี้กลับมิใช่ห้องโถงเล็กที่พวกนางพบหน้ากับเจ้าเมืองเหมย ทว่าเป็นห้องโถงใหญ่ของจวนเจ้าเมือง โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางจึงได้พบผู้ฝึกตนคนอื่น

    มองคำรบแรก ผู้ฝึกตนที่รวมตัวอยู่ที่นี่มีทั้งสิ้นสิบห้าคน ในนั้นสิบคนเป็นผู้ฝึกมาร ผู้ฝึกตนสายธรรมะนอกจากพวกนางสองคน ยงหรูอวี้ฉิวเฉิงรั่วสองคน ยังมีนักกระบี่ชุดเขียวที่ดูสันโดษถึงสิบส่วนหนึ่งคน

    ระดับการฝึกตนของคนคนนี้คือก่อเกิดตานขั้นกลาง พกพากระบี่ยาว เก็บงำประกาย ใบหน้าซูบผอมมาก นั่งอยู่ในมุมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ปริปากสักคำ

    เห็นโม่เทียนเกอมองคนคนนี้ ฉิวเฉิงรั่วเคลื่อนเข้าใกล้นาง ลดเสียงเอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน คนผู้นี้ข้ากับซือเกอไปคุยมาแล้ว เหมือนจะมีจิตใจตื่นตัวต่อคนนอกมาก ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเรา”

    “เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ผู้ฝึกตนสิบกว่าคน ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นผู้ฝึกมาร คนคนนี้ถึงกับไม่เต็มใจร่วมทางกับยงหรูอวี้สองคน สรุปว่านิสัยสันโดษ หรือว่ามีความเชื่อมั่นในตนเองมาก?

    คล้ายกับจะสัมผัสได้ว่ามีคนมองตนเอง คนคนนี้หันหน้ามามองพวกเขาแวบหนึ่ง พยักหน้าให้แข็ง ๆ แล้วหันหน้ากลับไปมองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ต่อ

    “……”

    ทั้งสี่คนล้วนไร้วาจาอยู่บ้าง แม้แต่เนี่ยอู๋ชางยังรู้สึกว่าคนคนนี้ดูห่างเหินเกินไป ดูท่าเขาไม่ชอบการข้องเกี่ยวกับคนอื่นจริง ๆ

    “ช่างเถอะ” โม่เทียนเกอเอ่ย “บางทีสหายเต๋าท่านนี้อาจจะมีนิสัยสันโดษจริง ๆ ไม่ชอบข้องแวะกับผู้คน”

    “สหายเต๋าฉินพูดถูก” ยงหรูอวี้เอ่ย “ในเมื่อเขาไม่เต็มใจจะร่วมมือกับพวกเรา พวกเราก็ไม่มีหนทาง”

    สามคนที่เหลือล้วนพยักหน้า เก็บสายตากลับ

    “สหายเต๋าฉิน” ฉิวเฉิงรั่วมองโม่เทียนเกอ ยิ้มเอ่ยว่า “จากกันครั้งก่อนก็หลายวันแล้ว ไม่ทราบโอสถที่ท่านอยากหลอมสำเร็จแล้วหรือ”

    โม่เทียนเกอยิ้มบาง “สำเร็จแล้ว สหายเต๋าฉิวหากไม่มีธุระสามารถช่วยข้าประเมินดู”

    ฉิวเฉิงรั่วโบกมือไหว ๆ “ข้าเพียงผ่านเต๋าแห่งการหลอมยามาอย่างหยาบ ๆ คำว่าประเมินมิกล้า ขอดูเป็นความรู้สักหน่อย”

    ตอนที่คุยกันครั้งที่แล้ว ฉิวเฉิงรั่วรู้โดยบังเอิญว่าโม่เทียนเกอรู้ทักษะหลอมยาด้วย ดีใจอย่างยิ่ง พูดว่าตัวเองก็ชอบการหลอมยาถึงสิบส่วน ขอคำชี้แนะต่าง ๆ นานาจากนางมากมาย โม่เทียนเกอถึงจะไม่ชอบใกล้ชิดผู้คนสักเท่าไหร่ แต่คนอื่นปฏิบัติด้วยอย่างมีไมตรี นางก็จะไม่ปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ก็เลยตอบไป

    ยงหรูอวี้ยิ้มแย้มมองดูพวกนางสองคน เอ่ยว่า “ซือเม่ย เจ้ากับสหายเต๋าฉินอยู่ที่นี่ ข้ากับสหายเต๋าเทียนฉานจะไปคุยกันที่ด้านข้าง รอเจ้าเมืองเหมยมาแล้วค่อยกลับมา”

    “ได้ ซือเกอท่านไปเถอะ” ฉิวเฉิงรั่วยิ้มให้เขา จูงมือโม่เทียนเกอไปนั่งด้านข้างอย่างสนิทสนม

    ยงหรูอวี้หันหน้ามาทางเนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “สหายเต๋าเทียนฉาน พวกนางพูดของพวกนางไป พวกเราก็ไปคุยกันทางนั้นเถอะ”

    เนี่ยอู๋ชางเห็นโม่เทียนเกอพยักหน้าให้นางเบา ๆ จึงเอ่ยว่า “ก็ได้” สถานะของนางในปัจจุบันเป็นบุรุษ อยู่ตรงนี้อย่างมั่นอกมั่นใจได้ไม่ง่าย อีกอย่าง คุยกับยงหรูอวี้คนเดียวไม่แน่ว่าจะมีผลรับอื่น

    ตั้งแต่ที่รู้ว่าโม่เทียนเกอมีคู่เต๋าแล้ว ท่าทีของฉิวเฉิงรั่วเป็นธรรมชาติขึ้นมาก ไม่เพียงไม่มีการระวังป้องกันอย่างแต่ก่อน แต่ยังปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมถึงสิบส่วน

    โม่เทียนเกอรู้สึกว่าฉิวเฉิงรั่วคนนี้ถึจะไม่ใช่คนประเภทเดียวกับตนเอง แต่พฤติกรรมในตอนนี้ของนางไม่ทำให้คนรำคาญเลย หากยังคงรักษาท่าทีอย่างนี้ไปตลอด การคบหากันไม่มีปัญหาอะไร ถึงอย่างไรคนบนโลกนี้มีมากมายก่ายกอง จะสามารถไม่คบหาเพราะว่าคนอื่นกับตนเองมีวิธีคิดไม่เหมือนกันได้อย่างไร แม้แต่ในระหว่างสหายก็เป็นหาจุดร่วมรักษาจุดต่าง อดทนต่อส่วนที่คนอื่นไม่เข้ากับตนเอง ปรับจังหวะก้าวเดินของตนเอง หาส่วนที่ชื่นชมกันและกัน

    เมื่อตระหนักว่าคนเองกำลังคิดถึงปัญหาข้อนี้ โม่เทียนเกอก็ตะลึงไป นางค้นพบว่าตนเองในระยะนี้เหมือนจะคิดถึงคำว่าสหายมากกว่าเดิม หรือว่าการคบหากับเนี่ยอู๋ชางยิ่งมายิ่งดี จึงรู้สึกว่าตนเองก็สามารถมีสหายมากขึ้น นี่มิใช่ไม่ได้ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านไป นางค่อนข้างสันโดษมาโดยตลอด นอกจากคนอย่างหลัวเฟิงเสวี่ยเยี่ยจิ่งเหวินที่เข้าหานาง ไม่เคยคิดที่จะเป็นเพื่อนกับคนอื่นเลย แต่ก่อนยุ่งกับการฝึกตน ระดับการฝึกตนของตัวเองไม่เข้าขั้นจึงไม่กล้าคบหาสหายอย่างง่ายดาย ปัจจุบันนี้นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้……

    “……สหายเต๋าฉิน?”

    ได้ยินเสียงของฉิวเฉิงรั่ว โม่เทียนเกอได้สติกลับมา เอ่ยอย่างขออภัยว่า “อภัยด้วย คิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง ดังนั้น……”

    ฉิวเฉิงรั่วเผยสีหน้าเข้าใจ ถามอย่างสนิทสนมว่า “สหายเต๋าฉิน……กำลังคิดถึงสามีของตนหรือ”

    โม่เทียนเกอชะงัก ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงแม้เมื่อครู่นี้ไม่ได้คิดถึงฉินซีเลย แต่ไม่กี่วันก่อน นางหวนอดคิดไม่ได้ ในภูเขามาร นางกับฉินซีเคยสาบานเลือดต่อกันและกัน ตั้งแต่ที่แยกจาก นางสามารถรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของฉินซีเสถียรมาก ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่กังวลใจจนเกินไป คิดว่าปัจจุบันนี้เขายังอยู่ในการกักตนกระมัง?

    ฉิวเฉิงรั่วเห็นสีหน้านี้ของนาง ปิดปากยิ้ม ถามอย่างอยากรู้ว่า “ข้าเห็นสหายเต๋าฉินกระทำการสง่าผ่าเผยยิ่ง ไม่คล้ายคนที่ติดอยู่ในห้วงรักจริง ๆ กลับไม่ทราบว่าสามีท่านเป็นบุคคลเช่นไรจึงสามารถทำให้ท่านตกหลุมรัก?”

    คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอตะลึงไป ฉินซีเป็นบุคคลเช่นไร ไหนเลยจะสามารถบอกเล่าได้หมดสิ้น ยิ่งคบหากับเขายิ่งรู้สึกว่าเขาดี ดีอย่างนั้น แต่ไม่สะดวกจะพูดกับคนนอก

    “เขา……เป็นคนที่เอาใจใส่มาก ถึงจะไม่พูดคำรัก แต่กลับเอาคนไปใส่ไว้ในใจ การอยู่กับเขา มีความรู้สึกว่าได้รับการทะนุถนอมและเห็นค่าชนิดหนึ่ง……”

    เห็นสีหน้ายิ้มน้อย ๆ ที่โม่เทียนเกอเผยออกมา ฉิวเฉิงรั่วคล้ายจะครุ่นคิด “ดูท่าท่านรักสามีท่านมาก”

    โม่เทียนเกอมองนาง ไม่เข้าใจ “สหายเต๋าฉิว ท่านมองอันใดออกหรือ”

    ฉิวเฉิงรั่วเอ่ยว่า “สีหน้าท่านหลอกใครไม่ได้ การคิดถึงเขาทำให้ท่านรู้สึกมีความสุขมากโชคดีมาก”

    โม่เทียนเกอคิดถึงอารมณ์เมื่อครู่นี้ อดยิ้มบาง ๆ มิได้ จริงด้วย แม้จะเพียงแค่คิด นางก็รู้สึกว่าโชคดีมาก

    “อีกทั้ง พอเอ่ยถึงเขา ท่านมิใช่พูดถึงระดับการฝึกตนหรือศักดิ์ฐานะของเขาก่อน ทว่าพูดถึงนิสัยของเขาก่อน……พวกท่านสองคนคงจะรักกันแล้วผูกพันเป็นคู่เต๋ากระมัง มิใช่เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสหรือว่าเพื่อการฝึกตนในสำนักเดียวกันอะไร……” พูดถึงตรงนี้ สายตาของฉิวเฉิงรั่วเผยความเศร้าหมองเสี้ยวหนึ่ง

    นี่ทำให้โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “สหายเต๋าฉิว วาจานี้ของท่าน……หรือว่า……”

    ฉิวเฉิงรั่วฝืนยิ้ม ผ่านไปครู่หนึ่ง คล้ายจะไม่ยินยอมอีก กล่าวว่า “ข้ากับซือเกอข้า เดิมเป็นคู่เต๋าเพราะวาจาประโยคเดียวของซือฟุ”

    โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “แต่ดูท่าทางของท่าน……”

    ฉิวเฉิงรั่วถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยว่า “แน่นอน ในเมื่อพวกเราเป็นคู่เต๋าก็ย่อมมีความรู้สึกให้กัน” นางมองโม่เทียนเกอ สายตาซับซ้อน “อันที่จริง ข้าอิจฉาอย่างพวกท่านจริง ๆ มิใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่มีผลประโยชน์ภายใน……”

    โม่เทียนเกอเงียบไปชั่วขณะ มองท่าทางที่โศกเศร้าของฉิวเฉิงรั่ว สุดท้ายกล่าวว่า “สามีข้า……ก็เป็นซือเกอข้า”

    ฉิวเฉิงรั่วตะลึง อุทานว่า “เช่นนั้นพวกท่าน……”

    “ในเมื่อผูกเป็นคู่เต๋าแล้ว เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องหรือไม่มันเกี่ยวอะไร” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ระหว่างสำนักเดียวกันย่อมมีโอกาสคบหามากกว่าคนอื่น โอกาสเกิดความรู้สึกต่อกันก็มากหน่อย นี่มิใช่ปกติมากหรือ”

    “……อืม” ฉิวเฉิงรั่วตอบรับเบา ๆ ความหม่นหมองระหว่างคิ้วลดน้อยลง มองโม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มบาง ๆ อาจจะเป็นเพราะวาจานั้นเมื่อครู่ นางสนิทสนมกับโม่เทียนเกอกว่าเดิม ไม่คล้ายเมื่อครู่นี้ที่ถึงแม้จะอบอุ่นแต่ยังเจือกลิ่นอายของการทำตามมารยาทอยู่บ้าง

    “จริงสิ โอสถที่สหายเต๋าพูดเล่า เกือบลืมธุระไปเลย”

    โม่เทียนเกอยิ้มบาง ล้วงขวดหยกหนึ่งใบออกจากในกระเป๋าเอกภพ กล่าวว่า “สูตรของโอสถนี้ซับซ้อนเกินไป ข้าล้มเหลวอยู่หลายครั้งจึงหลอมขวดนี้ออกมาได้สำเร็จ”

    ฉิวเฉิงรั่วรับไป ดึงจุกขวดออก เทโอสถเม็ดออกมา โอสถนี้สีเขียวหยก เจือกลิ่นหอมสดชื่น พอดมดูทำให้คนรู้สึกจิตใจกระปรี้กระเปร่า

    ฉิวเฉิงรั่วสังเกตความบริสุทธิ์ของโอสถก่อนแล้วสูดดมกลิ่นหอม สุดท้ายขูดเศษผงออกมาชิม สุดท้ายเผยแววตื่นเต้นดีใจ “สหายเต๋าฉิน คิดไม่ถึงว่าทักษะหลอมยาของท่านโดดเด่นเช่นนี้ โอสถนี้คุมไฟได้พอดี แทบจะไม่มีสิ่งเจือปน เป็นของชั้นยอดอย่างแท้จริง!”

    โม่เทียนเกอยิ้มอย่างถ่อมตนเอ่ยว่า “ข้าเพียงค่อนข้างสนใจการหลอมยาเท่านั้น หากเอ่ยถึงทักษะหลอมยา กลับเป็นซือเกอข้าที่โดดเด่นยิ่งกว่า”

    “จริงหรือ” ฉิวเฉิงรั่วตกตะลึง “ทักษะหลอมยาเยี่ยงท่านนี้เทียบได้กับอาจารย์หลอมยาที่เยี่ยมที่สุดของสำนักตานเสียข้าแล้วนะ!”

    “สหายเต๋าฉิวชมเกินไปแล้ว”

    ฉิวเฉิงรั่วชิมผงโอสถอีกครั้ง กรอกโอสถกลับไปด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งยวด ถามว่า “สหายเต๋าฉิน โอสถนี้ของท่านน่าจะเป็นของล้างพิษกระมัง แต่ไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไร”

    “นี่เรียกว่าเม็ดลมบริสุทธิ์น้ำค้างหยก” โม่เทียนเกอเอ่ย “ใช้ในการล้างพิษ แล้วก็สามารถกลืนลงไปก่อน ใช้ต้านพวกหมอกหนา”

    “จริงหรือ” ฉิวเฉิงรั่วมองขวดหยกในมือ ลังเลชั่วครู่ กล่าวว่า “สหายเต๋าฉิน ข้าอยากใช้สิ่งของอื่นหรือศิลาวิญญาณมาแลกกับเม็ดลมบริสุทธิ์น้ำค้างหยกนี้ของท่าน ไม่ทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”

    โม่เทียนเกอใคร่ครวญ “นี่……”

    ฉิวเฉิงรั่วรีบเสริมว่า “สหายเต๋าฉินวางใจ ข้าไม่เอาเปรียบท่านเด็ดขาด ท่านสามารถเสนอราคาได้เต็มที่”

    “ข้ามิได้หมายความอย่างนี้” โม่เทียนเกอเอ่ย “ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง อัตราความสำเร็จของโอสถนี้ไม่สูงเลย สูตรยายิ่งซับซ้อนถึงสิบส่วน ข้าก็แค่หลอมขวดนี้ได้ขวดเดียวเท่านั้น”

    “……” ฉิวเฉิงรั่วมองขวดหยกในมือ สุดท้ายถอนหายใจ ส่งคืนนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ควรฝืนใจคนอื่น แต่ว่า สหายเต๋าฉินหากหลอมสำเร็จอีก ได้โปรดใคร่ครวญด้วยนะ”

    “นี่ย่อมแน่นอน” โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

    ทั้งสองคนถกเรื่องทักษะหลอมยาอีกสักพัก ทักษะหลอมยาของฉิวเฉิงรั่วถึงจะไม่ดีเท่านาง แต่ก็ไม่อ่อนด้อย มีวิธีการหลอมยาส่วนหนึ่งในนี้เป็นเอกลักษณ์ของอวิ๋นจง ทำให้โม่เทียนเกอได้รับประโยชน์

    พูดคุยกันอย่างมีความสุข จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงลมปราณอันกล้าแข็งจากไกลมาใกล้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดในห้องล้วนเงียบลงไป พลังสภาวะเยี่ยงนี้น่าจะเป็นเจ้าเมืองเหมยผู้นั้นมาแล้ว

………………..

การเดินทางรอบนี้จะมีคนหักหลังกันอีกหรือไม่ ลองทายกันดูค่ะ

 

ตอนที่ 400 – ออกเดินทาง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท