ตอนที่ 139 นั่งหัวสะพานกับคุณชาย มองภูลำธารกาลเวลาผ่านพ้น
ภายในสุสานภูเขาแดงวางค่ายกลไว้จำนวนมาก ค่ายกลลวงตา ค่ายกลสังหาร ค่ายกลมายา หากไม่ระวังเพียงนิดเดียว เข้าไปในนั้น อย่างเบาถูกขัง อย่างหนักกล้ำกลืนความแค้นตายไป
หากไม่ใช่เพราะมีสายเลือดพรสวรรค์ของเผ่ากิเลน เจียงหลินคงไม่กล้าบุกเข้าที่นี่ง่ายๆ
ต่อให้มีถุงสวยงามที่ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำให้มา มีกลอุบายมากมายกับตัว เจียงหลินฝ่าค่ายกลมาถึงตำหนักบนฟ้าแห่งนี้ ก็กินแรงกายแรงใจและกำลังวังชาไปค่อนข้างมาก…เขาเว้นระยะห่างไกลมาก รู้สึกได้ถึงพลังปีศาจเข้มข้น ราชสีห์ขาวของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณอยู่ไกลออกไป เผยตัวดาบมาครึ่งหนึ่งบนแท่นบวงสรวงนั้น
เจียงหลินหรี่ตาลง รู้สึกผิดปกตินิดๆ ยันต์บนแท่นบวงสรวงนั่นสลายเป็นเถ้าถ่านไปช้าๆ ลอยขึ้นไม่หยุด กระจายไปรอบๆ ก่อนจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น…มีคนจะแตะต้องแท่นบวงสรวง ทั้งยังลองทำลายผนึกในตำหนักปีศาจนี่
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขาเห็นเด็กหนุ่มนั่นนั่งอยู่บนพื้น
ตอนนี้หนิงอี้หันหลังให้แท่นบวงสรวง นั่งกับพื้น ชุดคลุมปลิวไสวเองแม้ไร้สายลม สายฝนบนฟ้าตกลงมา แสงยาวตกลง ส่องสะท้อนเขาเหมือนเซียนบนสวรรค์ ใบหน้าสุขุม มีความเย็นเยือกสามส่วน
เจียงหลินหน้าดำมืด เขาจับผนังหินเดินออกมา ลายลึกลับสีทองดำในกายหลั่งไหลออกมา ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ รอบกายเขา กลิ่นอายพลังขยายขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหนูเผ่ามนุษย์คนนี้ไม่รู้ว่ามีกลอุบายใด ไม่อยากเชื่อว่าจะเลี่ยงผนึกส่วนใหญ่ของตำหนักใหญ่ไปได้ ตอนนี้มาถึงที่นี่ ยันต์รอบนอกแท่นบวงสรวงสลายเป็นเถ้าถ่าน บางทีถ้าตนมาช้ากว่านี้หน่อย ราชสีห์ขาวนั่นคงตกอยู่ในมือใต้ฟ้าต้าสุยจริงๆ!
เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอื่น
กระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศถูกหนิงอี้เก็บเข้าที่ราบกระดูกแล้ว ยอดปีศาจนี่ไม่รู้สึกถึงเลย ในแสงอ่อนนั้นที่ลอยบนฟ้า ไม่มีปราณกระบี่เหลือแม้แต่เส้นสายเดียว ถูกหนิงอี้เก็บไปทั้งหมดไม่มีเหลือ
เจียงหลินจ้องมองอีกครั้งก็พบว่าหนิงอี้บีบไข่มุกปีศาจกลมอิ่มเอิบสามสี่เม็ดในมือแตก ตอนนี้สลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไข่มุกครรภ์ของผู้บำเพ็ญระดับราชันปีศาจในเผ่าปีศาจ ในนั้นซ่อนพลังปีศาจกับแสงดาราไว้จำนวนมาก…นี่จะทะลวงพลังรึ
เจ้าหนูเผ่ามนุษย์นี่เป็นใครกันแน่ พลังบำเพ็ญต่ำต้อยเช่นนี้ ตอนทะลวงพลังยังต้องกินไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจหลายเม็ด!
เจียงหลินจับดาบยาว เดินออกมาจากทางเดินยาวแล้วก็ฟันดาบลงอย่างไม่ลังเล
แผ่นหลังหนิงอี้มีเหงื่อเย็นซึมมา แต่ใบหน้าเขายังคงไม่ยินดียินร้าย ยังอยู่ในช่วงทะลวงพลังตระหนักรู้ ทุกอย่างข้างนอกเหมือนจะห่างไกลจากเขา
บนสะพานกระดูกขาวที่สร้างบนทะเลสาบจิตนั้น มีแม่นางคนหนึ่ง สองมือวางไว้ตรงมุมปาก กำลังตะโกนเรียนามของตนเสียงดังในเมฆหมอก
เขาตกอยู่ในห้วงความรู้สึกลี้ลับของการตัดสลับของแสงดารากับพลังปีศาจ หลอมละลายในเลือด
นี่เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่อย่างหนึ่ง
มีคนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญสิบปี ไม่มีหวังทะลวงขอบเขตแรก
มีคนฝึกสิบปีแล้ว ไม่มีวาสนากับขอบเขตหลังตลอดชีวิต
หนึ่งขอบเขตหนึ่งธรณี หนึ่งขอบเขตหนึ่งด่าน
ผิวหนัง กระดูกและเลือดของหนิงอี้ ภายใต้การไหลเวียนของแสงดาราก็เข้มแข็งและแกร่งขึ้น ที่ราบกระดูกหล่อหลอมกายและจิต ทำให้ความเจ็บปวดเป็นความสุข และในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ จิตใจของหนิงอี้เหมือนยืนอยู่ใต้ฟ้าหมอกกว้าง
เขายืนอยู่หัวสะพาน ข้างหลังเป็นสะพานที่เชื่อมต่อกับเมฆหมอกนั้น แม่นางคนนั้นอยู่อีกด้านของสะพาน ข้ามมาไม่ได้ ได้แต่ตะโกน ทว่าเสียงตะโกนเบามาก
แขนเสื้อยาวของหนิงอี้สั่นไหวตามสายลม เขานั่งหัวสะพาน ไม่ได้หันไปมองแม่นางที่ตะโกนเรียกตนนั้น แต่หรี่ตาลงสับสน เสพกับความสุขตอนทะลวงพลัง
และยังถือโอกาสโบกมือ บอกให้แม่นางคนนั้นไม่ต้องกังวล
แต่ไม่รู้เลยว่าบนศีรษะมีแสงดาบเหี้ยมโหดพุ่งเข้ามาแล้ว
สวีชิงเยี่ยนที่หน้าขาวซีดมีเหงื่อซึมออกมาจากฝ่ามือ อาภรณ์ข้างหลังเด็กหนุ่มเปียกเล็กน้อย กระดูกสันหลังตรงมาก ดังนั้นอาภรณ์จึงนูนออกมาเป็นเค้าโครงคร่าวๆ หนิงอี้นั่งขัดสมาธินิ่งๆ เหมือนผ่อนคลาย
นางใช้สมาธิส่วนหนึ่งอยู่กลางสะพานเมฆหมอกนั้น
พยายามตะโกนสุดเสียง แต่ก็ยังไร้ประโยชน์
สวีชิงเยี่ยนรู้ว่าตอนทะลวงพลังต้องใช้เวลาเล็กน้อยมาปรับจิตใจให้มั่นคง เสริมความแข็งแรงของพลังบำเพ็ญ ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์พลังบำเพ็ญลดลง อัจฉริยะที่มีใจยึดมั่นบางคน ตอนทะลวงพลังจะเห็นของที่ตนอยากเห็นมากที่สุด จากนั้นกระตุ้นการตระหนักรู้ เข้าสู่ห้วงการตระหนัก ตอนนี้ห้ามรบกวนเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะพลาดโชคลิขิตไป
หากอยู่ในสำนัก มีคนเข้าสู่การตระหนักรู้ เช่นนั้นก็ห้ามให้ใครรบกวนเด็ดขาด สายลมพัดหญ้าพลิ้วไหวหรืออย่างอื่น อาจจะทำให้การตระหนักรู้นี้สลายหายไปทันควัน
ตอนนี้หนิงอี้…เข้าสู่สภาวะตระหนักรู้หรือไม่
สวีชิงเยี่ยนไม่รู้
นางรู้แค่ว่าหนิงอี้ที่เดิมทีอยู่ตรงหัวสะพาน หันหลังให้ตนและนั่งลงช้าๆ ไม่รู้มองเห็นอะไร
เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สนใจทุกเสียง ไม่ต่างอะไรกับท่านั่งในตอนนี้
จากนั้นยกมือขึ้นโบก
แสงดาบนั้นฉีกพายุ ฟันลงมา
ท่าทางการยกมือของหนิงอี้เบาและสบาย แต่เหมือนพลิกแสงดาบ ต้านขึ้นด้านบน
แขนเสื้อใหญ่ถูกสายลมพัด ปลดเงื่อนออกดังซ่าๆ เส้นยาวที่มัดในแขนเสื้อขยายออก ยันต์นับไม่ถ้วนลอยไปตามลม ความเป็นเทพล้นฟ้าอยู่ในยันต์
ยันต์สีแดงใหญ่เขียนคำว่า ‘ฆ่า’ ที่มีปราณกระบี่น่าเกรงขาม
ยันต์สีดำ สีน้ำหมึกไหลเวียน ด้านบนยังเป็นอีกคำ
‘ฆ่า!’
‘ฆ่า’ ที่ขาวซีดดุจหิมะ
‘ฆ่า!’ ที่ฟ้าเหมือนสีชุดเต๋าสำนักเต๋าเทือกเขาประจิม
‘ฆ่า!’ ที่เหลืองเหมือนกาสาวะย้อมของภูเขาวิญญาณดินบูรพา
หลายสิบแผ่น เป็นร้อยแผ่น หลังโบกแขนเสื้อก็ลอยขึ้นตามลม ความเป็นเทพหยดหนึ่ง เจตจำนงกระบี่เอ่อล้น
ทั้งสุสานมืดพลันสว่างขึ้น
ดาบยาวนั้นที่ฟันลงมาตามลง เหี้ยมโหดและมีปราณดาบมหาศาลเจอกับเจตจำนงกระบี่ที่โหดยิ่งกว่าและไร้เหตุผลกว่า เพียงแค่พริบตาเดียวก็ถูกฉีกขาด
เจียงหลินที่ฟันดาบลงมาหรี่ตาลง ถอยออกไปในทันที ถอยกลับไปถึงทางเดินยาวนั้น ยันต์มากมายลอยมาตามลม เหมือนมีเซียนกระบี่ถือกระบี่ไล่ล่า ยันต์ลอยลิ่วทุกแผ่นล้วนเป็นปราณกระบี่หนึ่งสาย ทุกอักษรคำว่าฆ่าเย็นยะเยือก ล้วนเป็นกระบี่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง!
เจียงหลินไม่เคยเจอกลอุบายเช่นนี้มาก่อน คนที่ใช้ยันต์ต่อสู้ บนโลกนี้คว้ามาก็ได้เป็นกองใหญ่ แต่คนที่หลอมรวมเจตจำนงกระบี่เข้าไปในยันต์เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลนที่มีน้อยยิ่ง ต้องชำนาญทั้งเจตจำนงกระบี่และยันต์
เจ้าหนูเผ่ามนุษย์คนนี้ใช้ยันต์กระจายเต็มฟ้า คำว่าฆ่าเต็มไปหมด เจตจำนงกระบี่ของทุกคำล้วนต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของเขา เจียงหลินยากจะจินตนาการได้ว่าปรมาจารย์ค่ายกลท่านนั้นที่เขียนยันต์เป็นนักกระบี่แบบใดกันแน่ มีคนถือกระบี่เดียวท่องหล้า มีคนใช้กระบี่คู่ สามกระบี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ยันต์เต็มฟ้านี่มีกระบี่เท่าไร
เขาถอยเข้าทางเดิน คำรามเสียงดัง หลังกระตุ้นวิชาลับกิเลน ดาบยาวล่าวารีขวางไว้ตรงหน้า ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนไหลหลากเข้ามาดังติงตังๆ
ทุกปราณกระบี่เฉียบคมอย่างยิ่ง
เจียงหลินเหยียบขาสองข้างมั่นคง ใบหน้าปั้นยาก ปราณกระบี่พุ่งเข้ามาไม่หยุด กระแทกเขาถอยแล้วถอยอีก ลากเป็นร่องยาวในทางเดินมืด
เขามีสีหน้ามืด จ้องยันต์ลอยไกลๆ เหมือนเห็นภาพมายา
มีคนเหยียบกระบี่ยาว ปราณกระบี่ข้างหลังดุจน้ำหลาก
เจียงหลินหรี่ตาลง ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย รู้สึกเหลือเชื่อ นั่นคือเซียนกระบี่หญิงที่องอาจห้าวหาญที่สุดแห่งยุค
เจียงหลินเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เซียนกระบี่หญิงสาวนั่น เป็นมายาทุกส่วน มีสง่าราศี คิ้วและดวงตากลับงดงามและสุภาพ อาภรณ์โบกสะบัด กระบี่บินหลายร้อยถึงพันเล่มข้างหลังติดตาม เมื่อนางยกมือขึ้นก็พุ่งลงมาพร้อมกัน
ยันต์หลายร้อยแผ่นแตกกระจายพร้อมกัน
ปราณกระบี่ปูบนทางเดินยาว
…….
สวีชิงเยี่ยนที่นั่งคุกเข่าเอาฝ่ามือแนบ เหม่อมองภาพยันต์เต็มฟ้าระเบิดกระจาย
แสงกระบี่ปราณกระบี่มากมาย ระเบิดจากในทางเดินนั้น
ลำแสงกระจายไปรอบๆ
นางเหมือนจะเข้าใจแล้ว หนิงอี้ที่นั่งบนหัวสะพาน เห็นอะไรตอนทะลวงพลัง
เมฆหมอกลอยล่อง กลางทะเลสาบจิต
หนิงอี้ที่นั่งบนหัวสะพานหรี่ตาลง
ทะลวงขอบเขตที่เจ็ดแล้ว ทะเลสาบจิตเปิด พายุและคลื่นใหญ่โถมเข้ามา พายุยาวก่อตัวขึ้น
มีคนกอดร่มกระดาษมัน กางร่มเหนือศีรษะหนิงอี้ จากนั้นนั่งลง
นอกทะเลสาบจิต
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกได้ว่าปราณกระบี่ที่เหลือไม่เคยหายไปในยันต์ แต่ลอยมาเบาๆ วนรอบตัวหนิงอี้ เหมือนแมวเชื่อง จากนั้นสลายหายไปอย่างฉับพลัน
หนิงอี้พูดงึมงำ
“ยัยเด็กนี่”
นี่เป็นยันต์ก้นหีบสุดท้ายที่เผยฝานให้กับเขาไว้
ทะเลสาบจิตตระหนักรู้ จะเบนสมาธิไปไม่ได้
ปราณดาบฟันลง นางกางร่มกระดาษมันให้หนิงอี้ จากนั้นนั่งลงข้างกายเขา
มองทางนี้ของสะพานเมฆหมอกเป็นเพื่อนคุณชาย สายลมโชย
ภูลำธารกาลเวลาผ่านพ้น
…….
เมืองหลวง
จวนขุนนางรองท่องกระบี่
นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนที่เฝ้านอกจวนไม่ได้พบเจ้าของหนุ่มจวนนี้มานานแล้ว ความจริงคำนวณดูดีๆ ก็แค่เดือนกว่า แต่หลังใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้บาน เจ้านายหญิงกลับจวน ก็ผิดปกติไป
เด็กสาวที่เมื่อก่อนไม่เคยออกจวน จะเปิดประตูใหญ่จวนทุกวัน
สำนักศึกษาถูกเก็บกวาดเกลี้ยง ไม่มีใครมายั่วยุและหาเรื่องใส่ตัวที่หน้าประตูจวนอีก
เด็กสาวจะกอดต้นครามหมื่นปีกระถางนั้นทุกวันตอนเช้า อาบแสงตะวันอยู่ครึ่งชั่วยาม ตอนบ่ายก็เช่นกัน ตอนกลางคืนก็เช่นกัน
แต่วันนี้ไม่
เปิดประตูก็เพื่อรอบางคนกลับมา
วันนี้ไม่เปิดประตู
เพราะเด็กสาวรู้ว่าหนิงอี้จะไม่กลับมาในวันนี้
ภายในห้องวางโต๊ะไม้สีแดงสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางค่ายกล ยันต์ ตำราโบราณและตำราประวัติศาสตร์เต็มไปหมด บนห้องมีกระบี่บินลอยอยู่จำนวนมาก ทุกเล่มมีลักษณะต่างกัน ถูกเช็ดอย่างสะอาด
เด็กสาวเผยฝานที่นอนหมอบบนโต๊ะมีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย นางถือพู่กันไม่แน่นอน เขียนอักษรแถวหนึ่ง ใช้เส้นหนาหนักขีด เขียนใหม่ ลากใหม่ ทำซ้ำเช่นนี้ไป
ครู่ต่อมานางวางพู่กันลง นอนหมอบบนโต๊ะ หลับตา ในความคิดวนไปวนมาไม่สงบสุข
ในเวลาที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่เคยรู้สึกคิดถึงเช่นนี้มาก่อนเลย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต่อให้จะขังตัวเองอยู่ในห้องทุกวัน ขอแค่เปิดประตูมาก็จะได้พบ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางผลักประตู ตะโกนเรียกหนิงอี้ คนนั้นก็จะไม่มาอยู่ตรงหน้าตนทันที
สุสานใต้ดินภูเขาแดง
ยันต์เจตจำนงกระบี่พวกนั้นระเบิด หนิงอี้ตระหนักรู้ในตอนทะลวงพลัง
จวนปราณกระบี่เมืองหลวง
เด็กสาวกอดศีรษะในวงแขน หลับลึกไป
ในความฝัน นางนั่งตรงหัวสะพาน กางร่มกระดาษมัน สองคนนั่งอยู่กลางเมฆหมอก
เผยฝานละเมอพูดพึมพำเสียงเบามาก
“พี่ ข้าคิดถึงเจ้า”
…………………………