บทที่ 586 หงส์อ่อนมังกรหลับ
ส่วนหัวขาดครึ่งซีก เผยมันสมองซีดขาวน่าเวทนาไหลเยิ้มบดบังใบหน้า
ร่างแห้งเหี่ยวดำคล้ำเน่าเปื่อยผุพัง จนมองเห็นอวัยวะภายในสีดำได้รางๆ ผ่านข้อกระดูกหักและผิวหนังขาดลุ่ย
ดวงตากลมสีเขียวเข้มเบิกกว้างดูว่างเปล่า
สวี่ชีอันไม่รู้สึกถึงพลังปราณไหลเวียนในร่างกายมัน นั่นหมายความว่าศพตรงหน้าเป็นเพียงศพบริสุทธิ์ ไร้อิทธิฤทธิ์ใดๆ
ศพโบราณนั้นตายแล้ว ถึงแม้รูปร่างจะแปลกๆ ไปบ้าง แต่มันตายแล้วจริงๆ
รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวราวกับต้องแสงจ้า รวมถึงจังหวะหายใจก็กระชั้นถี่
ความคิดแรกผุดขึ้น
เจ้าของสุสานกลับมาแล้วสินะ!
ครั้นการคาดเดาเช่นนี้ผุดขึ้นในใจ ความกลัวก็พุ่งทะยานจนไม่อาจควบคุมได้
ดวงตาลั่วอวี้เหิงทอประกายเจิดจรัส เสริมดวงหน้างดงามติดเย็นชานั้นให้ยิ่งสวยสะพรั่ง
นางกวาดตามองไปทั่วสุสานหลักช้าๆ ครู่หนึ่งแล้วพูดกระซิบว่า
“ไม่มีวิญญาณหลงเหลืออยู่เลย”
นั่นก็หมายความว่า ศพโบราณจางหายไปอย่างสมบูรณ์
แม้จะเป็นศพโบราณอายุนับพันปี แต่ก็มีจิตวิญญาณที่แท้จริง พูดง่ายๆ ก็คือมันนับเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง
สวี่ชีอันหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก
ลั่วอวี้เหิงผินหน้าเหลือบมองเขา พลางยกมือข้างที่สวมกำไลใต้แขนเสื้อ จับมือของสวี่ชีอัน แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“เจ้าพบอะไร”
สวี่ชีอันเป่าปากพ่นลมยาวพรืด พร้อมรวบรวมสติ
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ ส่วนศพโบราณก็ง่ายดายเกินไป
“แบ่งได้สามประการคือ ไม่คนสนิทชิดเชื้อเป็นคนก่อคดี ก็เป็นผู้ที่ตบะแกร่งกล้ากว่ามันมากๆ หลายเท่า จนสามารถฆ่ามันที่ถูกผนึกไว้ได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ก็…ไม่เพียงเป็นคนสนิทสนม แต่เป็นผู้มีพลังเหนือชั้น”
เมื่อลั่วอวี้เหิงฟังจนจบ ก็พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ดังนั้นเจ้าจึงสงสัยว่าเจ้าของสุสานนี้กลับมาแล้ว”
ท่านราชครูฉลาดเป็นกรดนัก…สวี่ชีอันขึงหน้าเคร่งขรึมเอ่ยว่า
“แม้จะถูกเสินซูผนึกไว้ จึงไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้ แต่กระนั้นกายหยาบนี้ก็สมกับเป็นกายหยาบลัทธิเต๋าขั้นสอง แม้ว่ามันจะไม่แข็งแกร่งเท่าจอมยุทธ์ แต่ก็มีพลังทำลายล้างได้ถึงเพียงนี้
“อย่างน้อยในระดับบรรลุธรรม ไม่สิ ขั้นสามธรรมดาไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว อันที่จริงเมื่อเร็วๆ นี้ในยงโจวมียอดฝีมือระดับบรรลุธรรมจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกัน แต่พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าศพโบราณเลย ไม่แม้แต่จะฆ่ามันด้วยซ้ำ
“อย่างมากก็แค่เข้ามาสืบข่าว”
ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง “อืม” เป็นเชิงเห็นด้วยกับการคาดเดาของเขา
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “ศพโบราณเคยบอกไว้ในคราแรก เขายังวนเวียนอยู่ในสุสานโบราณใต้ดินเพื่อรอเจ้านายกลับมาขอโชคชะตาหวนคืน บังเอิญโชคชะตาและบุพเพสันนิวาสเหล่านั้น ดันอยู่ในกำมือข้า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หัวใจเขากลับหนักอึ้ง
ถ้าศพโบราณตายด้วยน้ำมือของเจ้าของสุสานจริง เช่นนั้นทัศนคติของนักบวชเต๋าลึกลับผู้นี้ก็ทั้งขี้โมโห อำมหิตและไม่เป็นมิตร…
“ไม่ต้องกังวล”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะ น้ำเสียงแม่ยอดขมองอิ่มสดใส
“เลิกกังวลเรื่องพรรค์นั้นได้เลย มีเรื่องกับคนใหญ่คนโตหนึ่งคนนั้นยุ่งยาก หากมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตสองคนอาจถึงแก่ชีวิต แต่เมื่อเจ้ามีเรื่องกับคนที่สาม สี่ หรือมากกว่านั้น เจ้าจะปลอดภัย
“อืม อย่างน้อยเจ้าก็มีเบี้ยต่อรอง”
กะอีแค่เชิงธุรกิจในชาติก่อน องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งมักมีธรรมเนียมปฏิบัติเวลาเจอภาวะขาดดุลทางการเงินขั้นวิกฤติทั้งนั้น…สวี่ชีอันเปรียบเปรยหวังคลายกังวล
คำพูดของราชครูสมเหตุสมผล ไม่ว่าเจ้าของวังใต้ดินจะศักดิ์สิทธิ์อย่างไร หากเขาอยากจัดการด้วยตนเอง อาจต้องข้ามศพลั่วอวี้เหิงและต้องข้ามศพท่านโหราจารย์ไปก่อน
ระยะนี้ สำนักพุทธอาจเข้ามาแทรกแซง
หลังจากนั้น สวี่ผิงเฟิงอาจเปิดเผยตน
ว่าไงนะ? เจ้าอยากแตะต้องลูกข้างั้นรึ? ไม่ได้ ข้าเท่านั้นที่จะฆ่าลูกชายตนเองได้
แม้ภายนอกคือจินเหลียน ความจริงแล้วคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี โฉมหน้าที่แท้จริงของแมวส้มเป็นเจ้าของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตัวจริง
ไหนจะให้จ้าวโส่วและคนอื่นๆ ที่เป็นเจ้าสำนักศึกษาฟื้นฟูสำนักอวิ๋นลู่ขึ้นมาอีกครั้ง
มอบเจ็ดยอดกู่ให้เขา เพื่อให้เขาแบกรับผลึกเทพเจ้ากู่อันเป็นผลกรรมของเผ่าพันธุ์กู่
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกรรมจากการกระทำของเขา
คิดอีกแง่ การมีอยู่ของเจ้าของวังใต้ดินอาจเป็นประโยชน์ก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ สวี่ชีอันค่อยๆ รู้สึกสงบ
เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยขึ้น “วันนี้กลับเมืองหลวง หากเจ้าของวังสุสานใต้ดินเป็นภัยต่อเจ้า ท่านโหราจารย์ต้องให้คำชี้แนะหรือช่วยหาหนทางที่เจ้าอาจนึกไม่ถึงในตอนนี้”
พอสวี่ชีอันได้ฟังก็ร้อนอกร้อนใจอยากกลับเมืองหลวงไปกอดขาท่านโหราจารย์ซะเดี๋ยวนี้
“รอเดี๋ยว”
เขาพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค จากนั้นจึงย้ายหินจากรอบๆ เพื่อสร้างหลุมศพแบบง่ายๆ ให้ศพโบราณ
หลังเหี่ยวเฉานับพันปี ถือว่าได้ปลดปล่อยแล้ว
…
ด้านนอกสุสาน
บั้นท้ายของเหมียวโหย่วฟางพาดด้วยฝักดาบ ส่วนปากคาบต้นหญ้า กระซิบถามหลี่หลิงซู่ที่อยู่ข้างกาย
“พี่หลี่ เจ้าว่าหลังจากข้าไม่มีปราณมังกรแล้ว เหล่านางคณิกาจะยังชอบข้าอยู่หรือไม่”
“นางคณิการึ?”
หลี่หลิงซู่หันมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เจ้าหวังเพียงเท่านี้หรอกรึ”
บุรุษมากรักเยาะเย้ยสุนัขขี้แพ้
เหมียวโหย่วฟางลอบสังเกตหลี่หลิงซู่อย่างถี่ถ้วน พลันเอ่ยว่า “พี่หลี่ เจ้าคงนกเขาไม่ขันกระมัง”
หลี่หลิงซู่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ตวาดว่า “พูดอะไรไร้สาระ”
“ข้าว่าแล้ว ข้าเดินทางท่องยุทธภพมาก็หลายปี ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ แค่ดูว่าคนคนหนึ่งเลือดลมสูบฉีดหรือไม่ ย่อมมองออกอยู่แล้ว เห็นชัดๆ ว่าน้องชายของเจ้าอ่อนแรง ยังดีที่ไม่ร้ายแรงมาก บำเพ็ญประเดี๋ยวคงดีขึ้น หากเจ้ารับไม่ได้ เรามาถอดกางเกงแข่งกันว่าผู้ใดฉี่ได้ไกลกว่ากัน”
หลี่หลิงซู่อุทานว่า “หยาบคาย!”
แน่นอนว่าเขาย่อมรับไม่ได้กับการกระทำไร้สาระเช่นนี้ เทพบุตรต้องรักษาภาพลักษณ์
ยิ่งไปกว่านั้น แพ้ชนะไม่สำคัญ แต่จะเสียหน้าไปทำไม?
หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น และไต้ซือเหิงหย่วน ลอบมองทั้งสองเย้าแหย่กัน
เหมียวโหย่วฟางเป็นชาวยุทธภพที่หยาบคายและเพิ่งก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่น ดังนั้นเขาจึงมีจิตวิญญาณยุทธภพอย่างแรงกล้า
แต่ทุกคนที่นี่ล้วนแก่ประสบการณ์ พบพานคนคล้ายๆ กันมามากจนคุ้นชิน
หลังจากหลี่หลิงซู่กับเหมียวโหย่วฟางถากถางกันหลายประโยค ก็ไม่อยากเสียเวลากับคนที่มีระดับบำเพ็ญต่ำอีก เขาพบว่าอีกฝ่ายสามารถฉุดดึงเขาให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้นจึงเอาชนะกันผ่านประสบการณ์แสนช่ำชอง
“ศิษย์น้อง”
เทพบุตรเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เมี่ยวเจิน ประสานมือประกบกัน ระบายยิ้มจอมปลอม
“ตอนนี้ข้าไม่ต้องกังวลว่าพี่น้องตงฟางจะไล่ฆ่าอีกแล้ว คืนชิ้นส่วนปฐพีให้ข้าเถิด”
ดวงตาหลี่เมี่ยวเจินล่อกแล่ก เอ่ยปัดลวกๆ ว่า “อ้อ ว่ากันทีหลังแล้วกัน”
หลี่หลิงซู่มองศิษย์น้องด้วยความสงสัย “เหตุใดต้องว่ากันทีหลัง”
“น่ารำคาญน่า ข้าบอกว่าทีหลังก็คือทีหลัง”
“ไม่ได้สิ เจ้าต้องคืนชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“คืนก็คืน”
หลี่เมี่ยวเจินหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา ค่อยๆ วางลงบนพื้น ทันใดนั้นเศษกระจกเท่าเม็ดหยกร่วงลงมาจากกระจก
หลี่หลิงซู่พลันยื่นมือออกไปรับไว้ แล้วบีบหยดเลือดระหว่างร่องนิ้ว ให้หนังสือปฐพีจดจำเจ้าของใหม่
เขายังจำคำมั่นสัญญาของตนได้ ตอนนั้นเขาขอความช่วยเหลือจากสวีเชียนให้พาตนหลบหนีจากพี่น้องตงฟาง เขารับปากจะให้ทรัพย์สินในหนังสือปฐพีเป็นค่าตอบแทน
ในฐานะคนเย่อหยิ่งทะนงตน เขาจึงไม่คิดจะผิดสัญญา
‘แม้ว่าข้าจะมีทรัพย์สินไม่มากนัก แต่อาวุธไสยเวททำด้วยทองคำและเครื่องรางของขลัง รวมๆ กันแล้วคงได้หลายพันตำลึง…’ หลี่หลิงซู่ประสานตนเข้ากับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีกครั้ง ความคิดไหลแทรกซึมฝึกลึกในหนังสือ
ภายในช่องว่างชิ้นส่วนกลับว่างเปล่า
“?” หลี่หลิงซู่นิ่งอึ้ง
บางทีอาจเพราะเปิดผิดวิธี…เขาถอนความคิดและดำดิ่งเข้าไปในช่องว่างหนังสือปฐพีใหม่อีกครั้ง
ยังคงว่างเปล่า
หลี่หลิงซู่หันคอแข็งเกร็งไปทางหลี่เมี่ยวเจินทีละน้อย “เงินข้าล่ะ อาวุธวิเศษของข้า เครื่องรางของข้าอยู่ที่ใด?”
“ขายไปแล้ว!”
หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองซ้ายมองขวา โดยไม่มองหลี่หลิงซู่
“ขายแล้วงั้นหรือ” เสียงของหลี่หลิงซู่ดังขึ้นหลายเดซิเบล พร้อมดวงตาเบิกกว้าง
“ใครใช้ให้เจ้าขาย เหตุใดต้องขายของของข้า ไยต้องขายมัน?”
“ตั้งแต่ข้าตั้งกองกำลังปราบโจรในอวิ๋นโจว ล้วนต้องใช้เงินจำนวนมาก ก็เลยต้องขายของของเจ้า” หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกละอายใจ
“แล้วเหตุใดไม่ขายของของเจ้าเองล่ะ”หลี่หลิงซู่รู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อมตนหลายครั้งหลายครา
หลี่เมี่ยวเจินบุ้ยปาก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์หรืออย่างไร”
พลางลดเสียงกระซิบกระซาบ “เงินทั้งหมดของข้า ก็เอาไปแจกจ่ายให้พวกคนยากจนหมดแล้ว”
หลี่หลิงซู่ปรี๊ดแตก ใบหน้าหล่อเหลากระตุกไม่หยุดหย่อน “เจ้ามันเศษสวะของนิกายสวรรค์”
หลี่เมี่ยวเจินฉุนกึก พลางเอ่ยสวน “เจ้าน่ะสิเศษสวะของนิกาย”
“ในฐานะที่เจ้าเป็นเทพธิดานิกายสวรรค์ ไม่ตั้งใจฝึกปล่อยวางความรู้สึก เอาแต่จะเป็นวีรสตรี หากเจ้าไม่ใช่เศษสวะ แล้วใครกันเล่าจะเป็น!”
“ในฐานะที่เจ้าเองก็เป็นเทพบุตรนิกายสวรรค์ เที่ยวนอนกับสตรีไม่ซ้ำหน้า สร้างสัมพันธ์ไปทั่ว เจ้าไม่เพียงแต่เป็นเศษสวะของนิกาย แต่ยังเป็นไอ้งั่งที่ชั่วช้าอำมหิต!”
“ข้าจริงใจกับนางทุกคน นอกจากนี้ การตกหลุมรักและการพลัดพรากล้วนเป็นหนทางให้ข้าบรรลุ เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“เหอะ ไฉนเจ้าไม่บอกเรื่องนี้กับเทพสวรรค์เล่า หากไม่ใช่เจ้า ท่านอาจารย์และอาจารย์ลุงคงไม่มาตามจับเรา”
“พวกเขาลงจากเขาเพื่อตามจับเรา ก็เพราะเจ้าเที่ยวทำลายชื่อเสียงนิกายสวรรค์มิใช่หรอกหรือ จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน!”
ฉู่หยวนเจิ่นและไต้ซือเหิงหย่วนมองหน้ากันและกัน
พวกเขารู้ความเป็นมาของหลี่เมี่ยวเจิน คาดไม่ถึงว่าเทพบุตรเองก็โชกโชนไม่แพ้กัน
มิน่าล่ะ ไม่แปลกใจเลยที่เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงต้องลงมาจับกุมพวกเขาด้วยตัวเอง
สมควรแล้ว…
ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตว่า “คิดไม่ถึงเลยว่านิกายสวรรค์จะผลิตเทพบุตรและเทพธิดาที่แปลกประหลาดทั้งสองคน”
เหิงหย่วนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวเสริม
“แต่คงดีกว่าท่านโหราจารย์แน่”
เมื่อนึกถึงท่านโหราจารย์ ทั้งสองก็สงบปากสงบคำไปชั่วขณะ
…………………………………………..