[…ในที่สุดก็มาถึง]
นี่คือวันอาทิตย์ ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งมาตั้งแต่เช้าตรู่
เป็นบ้านสองชั้นกับประตูบานใหญ่อีกหนึ่งบาน …ไม่ใช่บ้านใครที่ไหนอีก นอกซะจากบ้านของครอบครัวชินโจ
เพราะตั้งแต่ที่ผมรู้จักพวกเธอ พวกเธอก็เอาแต่ชวนผมให้ไปเจอคุณแม่ที่บ้าน เพื่อที่จะได้ขอบคุณผมกับเรื่องเมื่อตอนนั้น
[บางทีคงเร็วไปหน่อย…]
จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมเรื่องนั้นหรอก แต่ผมรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่เห็นพวกเธอทำหน้าเสียใจ ตอนที่ผมบอกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากอดกลั้นความเจ็บใจไม่ไหว ผมเลยตัดสินใจที่จะไปบ้านของพวกเธอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
ผมรู้ว่าบ้านพวกเธออยู่ไหน เพราะอยู่ในละแวกเดียวกันกับบ้านผม เลยไม่มีปัญหาเรื่องการไปมาหาสู่กัน
ผมยืนอยู่หน้าประตู พร้อมยื่นนิ้วไปที่กริ่งประตู
[…ใจเย็นไว้ ไม่ต้องอาย ไม่มีอะไรต้องกลัว]
นิ้วของผมสั่นระริกอนึ่งว่ากำลังแสดงความประหม่าออกมา นี่คงเป็นเรื่องปกติสำหรับม.ปลายเพศชายอย่างเราๆ หากได้มาเยี่ยมครอบครัวสาวงามแบบนี้ แล้วยิ่งเป็นสองพี่น้องคู่นี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่
ผมกดกริ่งประตูเมื่อตัดสินใจได้แล้ว
หลังจากนั้นก็รออยู่นิดหน่อย จนกระทั่งประตูเปิดออก
[ยินดีต้อนรับ ฮายาโตะคุง!]
ไอนะเปิดประตูออกมา
เธอใส่เสื้อตัวหนาเหมือนกับผม เพราะตอนนี้เริ่มเข้าเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มหนาวขึ้นเล็กน้อย เธอสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีขาว แต่… ผมบอกได้เลยว่าเสื้อของเธอตัวใหญ่มากเมื่อดูจากรูปร่างของเธอ
[หืม? มีอะไรเหรอ?]
เมื่อไอนะเอียงน่ามอง หน้าอกของเธอก็สายไปมาในเวลาเดียวกัน ผมสยบตัณหาของผมที่อยากพูดว่า ‘เบิ้มๆ คือลือมาก!’ ออกไปจากหัว
[ไม่มีอะไร อรุณสวัสดิ์นะ ไอนะ]
[อรุณสวัสดิ์ ฮายาโตะคุง ขอบคุณที่มาวันนี้นะ เข้ามาข้างในก่อนสิ!]
[รบกวนด้วยนะครับ]
เธอจับมือผมทั้งสองข้างแล้วพาเข้าไปข้างใน ผมมีภาพจำที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์กลับบ้านหลังนี้สักเท่าไหร่
[ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วันนี้ไอนะดูมีความสุขจังนะ]
[แน่นอนอยู่แล้ว เพราะในที่สุดฮายาโตะคุงก็มาสักที รู้ไหม? ทั้งพี่สาวและคุณแม่ก็รอนายมาตั้งนานแล้ว]
[แต่ผมว่า… ดูตื่นเต้นไปหน่อยมั้ง]
บางทีนั่นอาจเป็นวิธีการแสดงออกของพวกเธอก็ได้ ความรู้สึกที่อยากขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเธอไหว
ว่ากันตามตรง ผมไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้เลย แล้วก็เป็นตัวเลือกของผมที่จะไม่รับคำขอบคุณด้วย แต่นั่นก็จะแปลว่าผมไม่สนความหวังดีของพวกเธอไม่ใช่เหรอ? ผมไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลยไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง
ไอนะจับมือผมพาไปที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งมีผู้หญิงสองคนนั่งรอกันอยู่ในนั้น
[พี่คะ แม่คะ ฮายาโตะคุงมาแล้ว!]
[…ถ้ารู้ว่าเป็นเขาล่ะก็ ฉันคงเดินไปต้อนรับเขาด้วยตัวเองแล้วแท้ๆ… ยินดีต้อนรับนะ ฮายาโตะคุง]
[ขอบคุณครับ ผมรบกวรอะไรหรือเปล่า อาริสะ…?]
หนึ่งในผู้หญิงสองคนนั้น แน่นอนว่ามีอาริสะอยู่ด้วย
เธอสวมเดรสแบบวันพีช แต่มันก็เป็นผ้าหนาเหมือนกับที่ไอนะใส่อยู่ ในบางแง่มุม ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองคนนี้
ราวกับว่าพวกเธอพยายามจะแข่งกัน ไอนะและอาริสะต่างก็เข้ามาใกล้ตัวผม แต่ทันใดนั้น ผมรู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่รุนแรงนอกเหนือจากสองคนนี้ ผมเลยหันความสนใจไปที่เจ้าของสายตานั่น
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยจนน่าตะลึง หน้าตาคล้ายกับอาริสะและไอนะ สวมเสื้อสเวตเตอร์เหมือนกันกับไอนะ ผมแทบจะเห็นหน้าอกที่นูนออกมาเป็นทรงอย่างชัดเจน เพราะเสื้อของเธอรัดรูปจนผมเห็นสัดส่วนทุกอย่างของเธอ เธอมีผมสีดำยาวลงมาจนถึงแผ่นหลัง เหมือนผมได้เห็นยามาโตะ นาเดชิโกะอวตารลงมา
เธอจะต้องเป็นแม่ของสองคนนี้แน่ๆ
ซากุนะ ชินโจ
ผมอาจจะเคยพูดไปแล้ว ว่าผมไม่เคยคุยกับเธอมาก่อน ผมเคยเห็นเธอแค่จากห่างๆ เท่านั้น แต่พอได้เห็นเธออีกครั้งตอนนี้… เธอเป็นแม่ของสองคนนี้แน่นอน เธอเป็นผู้ใหญ่ที่สวยสมวัยจริงๆ ผมรับประกันเลย
[…เป็นเธอเองสินะ]
เธอเดินมาหาผม มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประทับใจ จากนั้นก็โค้งตัวลงด้วยท่าทางที่งดงาม
[ขอบคุณมากสำหรับสิ่งที่เธอทำให้เราเมื่อตอนนั้น ฉันไม่รู้เลยว่ามันเป็นแบบนั้นกับฉันและลูกสาวได้ยังไง ถ้าตอนนั้นเธอไม่มาช่วยพวกเราล่ะก็ อาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายซะยิ่งกว่าโดนทำร้ายก็ได้]
สำหรับผู้หญิงแล้ว หากร่างกายมีมลทินก็เหมือนโดนพรากศักดิ์ศรีไป เป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัย แต่กับเรื่องนี้มันอาจแย่ยิ่งกว่านั้น พวกเธออาจถูกฆ่าได้เลย
ผมช่วยพวกเธอเอาไว้ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นวีรบุรุษหรืออะไรหรอก
อาริสะและไอนะยืนถัดจากแม่ของพวกเธอ แล้วก็โค้งตัวลงด้วยเหมือนกัน
[ขอบคุณนะ ฮายาโตะคุง]
[พวกเราทุกคนเป็นหนี้นาย ขอบคุณนะ]
[…เอ่อ]
ความรู้สึกอึดอัดที่ถูกขอบคุณแบบนี้ กำลังเขาถาโถมผม
ผมตกใจ แต่ก็ยังอ้าปากบอกให้พวกเธอเงยหน้าขึ้นได้แล้ว
[เรื่องนั้น… ผมแค่ทำในเรื่องที่คนๆ หนึ่งสมควรทำก็เท่านั้น เพราะงั้นไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมดีใจนะที่ทุกคนไม่เป็นไร ใช่ไหมล่ะ?]
[…แต่]
อาริสะและไอนะยิ้มอนึ่งรู้ว่าผมจะพูดแบบนั้น แต่จากสีหน้าพวกเธอก็บ่งบอกผมได้ดีว่าแม่ของพวกเธอ หรือซากุนะซังยังคงไม่เห็นด้วย ถึงจะดูหยาบคายไปหน่อย แต่ผมก็วางมือลงบนไหล่ของซากุนะซัง ให้เธอเงยหน้ามองผม
[ผมได้รับคำขอบคุณมาแล้ว คุณปลอดภัยแล้ว แล้วคุณก็ไม่ได้มีบาดแผลทางใจจากเหตุการณ์นั้นที่ถึงกับรักษาให้หายขาดไม่ได้หรอก… ใช่รึเปล่า? หรือก็คือ ทั้งอาริสะ ไอนะ หรือแม้แต่คุณก็สามารถใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขต่อไปได้ จากโอกาสที่ผมหยิบยื่นให้]
[…อา]
ซากุนะซังกลอกตามองไปมากับคำพูดของผม
‘ไม่มีอะไรต้องกลัว ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณอีกแล้ว แค่ยิ้มก็พอ’ ผมยิ้มกว้างมากที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ เพื่อที่จะส่งความรู้สึกไปให้ถึงเธอ ให้รู้ว่าไม่ต้องกังวล
[แค่ยิ้มไว้ก็พอ นั่นคือคำขอจากผม อาริสะกับไอนะก็ด้วยเหมือนกัน เข้าใจไหม? แบบว่า กับสถานการณ์แบบนี้ผมก็พูดไม่ค่อยเป๊ะเท่าไหร่ ไม่ไหวเลย… ผมคงต้องกลับไปใส่หน้ากากฟักทองซะแล้วล่ะ]
ปกติผมคงไม่พูดยิงมุกในเวลาแบบนี้ นานทีถึงจะทำสักครั้ง เพราะแบบนั้นผมถึงรู้สึกเขินๆ แล้วเอานิ้วเกาแก้มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้น เห็นแบบนั้น อาริสะกับไอนะก็หัวเราะกันคิกคัก แล้วซากุนะซังก็เข้ามาจับมือผมไว้
[เข้าใจแล้ว… แต่ให้ฉันของคุณอีกสักครั้งหน่อยเถอะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจของเธอนะ]
ซากุนะซังจับมือผมอนึ่งกอบกุมขุมทรัพย์ไว้
ถึงจะเหมือนเป็นสิทธิพิเศษที่ได้จับมือกับคนที่สวยเหมือนอาริสะกับไอนะแบบนี้ แต่มันก็มีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมต้องทำ
[เหมือนอย่างเคย ผมฮายาโตะ โดโมโตะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ]
[ฉันซากุนะ ชินโจ ถ้าเธอไม่รังเกียจตอนเรียกชื่อลูกสาวฉันล่ะก็ งั้นก็เรียกฉันด้วยชื่อจริงได้เลยนะจ้ะ ไม่ต้องเกรงใจไป]
[…งั้น… ซากุนะซัง ได้ใช่ไหมครับ?]
[อื่ม… อื้ม!]
อย่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่น่ารักแบบนั้นไหมครับ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้… จะเป็นผู้ใหญ่ก็เถอะ
ตอนนี้เฟิร์สอิมเพรสชั่นของพวกเราก็ผ่านไปได้ด้วยดี ซากุนะซังปล่อยมือผมแล้วไปเอาเครื่องดื่มมาให้ อาริสะกับไอนะก็เข้ามาดึงแขนผมอนึ่งรอฉวยโอกาส
[นี่ ฮายาโตะคุง ไม่เห็นต้องยืนเลยนี่นา นั่งก่อนเถอะ]
[ใช่แล้ว ฮ่าฮ่า ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยล่ะว่าฮายาโตะคุงจะมาที่บ้านของพวกเรา]
พวกเธอจับมือผมแล้วพาผมนั่งลงบนโซฟาที่ดูจะราคาแพง
ผมลองมองไปรอบๆ อีกครั้ง เป็นบ้านที่ตกแต่งนี่สวยจริงๆ แต่เหมือนใหญ่เกินไปที่จะให้ผู้หญิงสามคนอาศัยอยู่ได้ แต่… ใช่แล้ว ถ้าฉุกคิดสักนิด พ่อของพวกเธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่
[ขอโทษที่ทำให้รอนะ ชาดำคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมจ้ะ ฮายาโตะคุง?]
[ไม่เป็นไรครับ ผมขอแบบนี้แล้วกัน]
ผมยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ปกติผมไม่ค่อยดื่มชาดำ แต่ว่านี่มันกลมกล่อมมาก ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นไปถึงทรวงใน และผ่อนคลาย
[ของว่างก็มีนะจ้ะ]
[ขอบคุณครับ]
พวกเธอใจดีกันมากๆ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นในเรื่อยๆ
แบบว่า มีบางอย่างกวนใจผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว อนึ่งรู้สึกว่าร่างกายทั้งสองซีกของผมถูกกดทับมานานแสนนานแล้ว ในระดับที่ผมไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปว่ามันไม่รบกวนผม ก็น่าจะเดากันได้ว่ามันคืออะไร
[…ทั้งสองคน? ใกล้ไปแล้ว]
[หืม?]
[งั้นหรอกเหรอ?]
ทั้งสองคนเอียงหน้ามองผมด้วยความประหลาดใจ อาริสะแค่เข้ามาสัมผัสผม ในขณะที่หน้าอกของไอนะกำลังกดทับลงที่แขนผมจนรูปร่างมันเริ่มไม่เข้าทรง ไม่ดีแล้ว! นี่มันแย่จริงๆ กับผมที่ทั้งยังไม่มีแฟนแล้วยังเวอร์จิ้นอยู่… แต่ผมต้องอดทนไว้ด้วยใจที่ตั้งมั่น ฮึบ!
[พวกลูกสองคนอย่าไปรบกวนฮายาโตะคุงสิ]
[ฮายาโตะคุงมีปัญหาเหรอ~?]
[…เอ่อ]
นี่ อย่าพูดแบบนั้นสิ! ถ้าผมบอกพวกเธอว่ามีปัญหา ยังไงพวกเธอก็ต้องขยับออกไปแน่นอน แต่… แต่…
[ถ้าไปรบกวนก็ขอโทษนะ ฮายาโตะคุง]
แล้วไอนะก็ปล่อยผมและขยับออกมา
[แค่ล้อเล่นน่ะ ก็อย่างที่บอกไป ฉันไม่อยากรบกวนนายมากนักหรอก เอาล่ะพี่คะ อย่าไปรบกวนเขามากสิ]
[…ถึงจะไม่อยากก็เถอะ แต่เข้าใจแล้ว]
พวกเธอทั้งสองได้ถอยออกไป
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วซากุนะซังก็ยิ้มให้ผม มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเขินอาย… แต่กลับทำให้ผมนึกถึงแม่ขึ้นมา
[เธอนี่ช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ เข้าใจแล้วทำไมเด็กสองคนนี้ถึงได้ตามติดเธอถึงขนาดนี้ ความโอบอ้อมอารีแบบนั้น… ถึงจะเป็นเด็ก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าฉันเจอคนแบบเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่… ฟุฟุ♪]