หมายเหตุ: อนึ่งผมขอเปลี่ยนจาก “หมู่บ้านแห่งต้นไม้ใหญ่” เป็น “หมู่บ้านไทจู” ตามทีหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันนะครับ
——
เหล้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ลูกับเทียร์เสนอให้นำไวน์ที่เก็บเอาไว้ในตอนแรกออกมาชิมดู แล้วงานชิมรสก็กลายสภาพเป็นงานเปิดตัว สุดท้ายก็ลงเอยเป็นงานเลี้ยงไป
ทั้งที่คิดว่าน่าจะเตรียมเอาไว้เป็นจำนวนมากพอสมควรแล้ว แต่ด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ปริมาณที่ใช้ไปนั้นมากโขทีเดียว
แค่งานเลี้ยงงานเดียวไวน์ก็แห้งไปถึงสี่ถัง
เอาเถอะ แค่ต้องดำเนินการเตรียมองุ่นสำหรับหมักไวน์ต่อไป งานเก็บเกี่ยวเองก็เตรียมเอาไว้อยู่แล้ว ในรอบต่อ ๆ ไปเองก็คงไม่มีปัญหาแต่…
ผลตอบรับออกมาดีเกินไปแล้ว
“ไวน์ที่มีรสชาติดีขนาดนี้เพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรกเลยค่ะ”
“อื้ออ อร่อยจังเลย”
“ไวน์เนี่ย มีรสชาติอร่อยขนาดนี้เลยสินะคะ”
“ขออีกแก้ว”
“ดื่มมากเกินไปแล้วค่ะ ควรเพลา ๆ ลงหน่อย…ไม่สิ แต่ขอส่วนของฉันด้วยนะ”
ก็จริงที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นไวน์ที่ไม่ได้มีรสชาติแย่อะไร…ซึ่งในมุมของผมแล้วก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนักอย่างที่อวยกัน
การหมักเองก็ยังไม่เข้าขั้น
“คุณสามี มาเพิ่มไร่องุ่นกันเถอะค่ะ”
“ท่านเจ้าของที่ดิน แม้ว่ายังขาดประสบการณ์ แต่ถ้าเป็นเป็นเรื่องที่ทำได้ก็จะลงแรงช่วยครับ”
“หัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องถังหมัก ไว้ใจฉันได้เลย”
และแล้วผมก็ตัดสินใจขยายไร่องุ่นเพิ่ม
เอาเถอะ ก็ได้แหละนะ…
–
อนึ่ง ไวน์ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่คุโระเช่นเดียวกัน
จะพูดว่าหนึ่งจากสี่ถังที่ใช้ไป คือส่วนที่พวกคุโระดื่มไปก็คงได้
ผมดันได้มาเห็นเข้าซะแล้วน่ะสิ สุนัข……ไม่สิ ภาพอันน่าอัศจรรย์ของหมาป่าที่เมาจนขาเป๋
–
หลังจากนั้นพวกคุโระดูจะมีไฟในการเฝ้ายามไร่องุ่นสำหรับหมักไวน์มากจนดูผิดปกติ…ผมภาวนาให้ผมแค่คิดไปเองคนเดียว
–
ไวน์นั้นไม่ได้นำมาดื่มบ่อย ๆ จะนำออกมาเฉพาะในช่วงงานเลี้ยง ไม่ก็กิจกรรมพิเศษ
แม้ว่าจะไม่พอใจกันนัก แต่ก็หว่านล้อมจนยอมรับกันได้
พอบอกไปว่าถ้าดื่มบ่อย ๆ เดี๋ยวเดียวก็จะเกลี้ยงไม่เหลือ ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจจุดนี้ได้แหละนะ
แม้ผมเองจะไม่ได้ไม่ถูกกับไวน์ และก็ไม่ได้อยากดื่มเป็นพิเศษอะไรด้วย ยังไงภาพจำของไวน์สำหรับผมนั้นเป็นของหรูเสียมากกว่า
ในช่วงยุคกลางของโลกใบก่อน ที่ไวน์ถูกนำมาบริโภคกันราวกับเป็นเรื่องปกติ นั่นก็เพราะน้ำดื่มเป็นสิ่งล้ำค่ามาก ดังนั้นที่นี่มีน้ำจากบ่อน้ำอยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับไวน์นัก
เอาเถอะ แม้ว่าคำร้องพร้อมเหตุผลที่ขอให้นำไวน์ออกมาบริโภคจะเพิ่มขึ้น นั่นก็จัดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
–
พวกเราได้ทั้งนมและไข่ไก่มาจากการเลี้ยงทั้งวัวและไก่
ยิ่งไปกว่านั้น เมนูอาหารของผมเองก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเช่นกัน
ด้วยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประชากรของไก่ขึ้นจึงเก็บไข่ไก่ได้ไม่มากนัก
อนึ่ง ไข่ที่เหล่าแม่ไก่ออกมาในบริเวณนอกเหนือไปจากเล้าไก่จะถูกนำมาใช้บริโภค จึงทำให้เก็บได้พอสมควรในแต่ละวัน
ผมได้ลองทำอาหารแบบง่าย ๆ ดูด้วยไข่ที่เก็บมาได้พวกนั้น
ก่อนอื่นก็ ออมเล็ตธรรมดา โดยใช้เพียงเกลือกับพริกไทยในการปรุงรส…
ออกมาอร่อยใช้ได้เลยแฮะ
ช่างเป็นรสชาติที่ชวนคิดถึง
ตอนเลื่อนสายตาไปด้านข้าง ก็พบกับคุโระที่เอากรามมาเกยอยู่บนโต๊ะ
แบ่งให้สักหน่อยแล้วกัน
คุโระกินอย่างเอร็ดอร่อย
ต่อไปก็…พุดดิ้ง
ใช้ไข่ไก่ นมวัว แล้วก็น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ
น้ำตาลนั้นได้มาเป็นมาจากต้นอ้อยที่ปลูกเอาไว้ ดังนั้นมีเหลือเฟือ
เสร็จแล้วก็เอามาใส่ถ้วยไม้ดู
ใช้ได้เลย
ขั้นสุดท้ายจำเป็นต้องทำให้เย็นลงก่อน…เป็นห้องใต้ดินคงไม่เป็นอะไรล่ะนะ
ระหว่างนั้นก็มาเริ่มการทดลองทำคาราเมล
การทำซอสคาราเมลนั้นเพียงแค่ต้องใส่น้ำลงไปในน้ำตาลแล้วให้ความร้อนเท่านั้น
แต่ว่าด้วยเพราะเรียบง่ายนี่แหละถึงได้ยาก
หลังจากพยายามไม่รู้กี่ครั้งต่อครั้ง สุดท้ายก็เสร็จสมบูรณ์
บางทีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้คงจะไม่ไหวล่ะมั้งนะ
กลิ่นของซอสคาราเมลที่ลงแรงรังสรรค์ขึ้นมานั้น ช่างหอมหวาน
ทั้งลู เทียร์ ฟลอร่า รวมไปถึงแอนซึ่งน่าจะทำงานอย่างอื่นกันอยู่ ก็มากระจุกกันอยู่ใกล้ ๆ บานประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้
……
ด้วยพุดดิ้งจำเป็นต้องใช้ไข่จึงทำขึ้นมาได้เพียงห้าชิ้น สุดผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย
กลุ่มของแอน ถึงแม้คู่มือจะเป็นลูหรือฟลอร่า แต่ก็มีเรื่องที่ยอมให้ไม่ได้อยู่เหมือนกันสินะ
ระหว่างที่คิดแบบนั้น ผมก็ละทิ้งสิทธิ์ในการครอบครองพุดดิ้งในมือไป
หลังจากที่เรียกับกลุ่มของแกรนด์มาเรียได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพุดดิ้งแล้ว ด้วยคำขอของพวกเธอส่งผลให้ไข่ถูกนำมาลงกับพุดดิ้งไปสักพัก
อยากให้ไก่เพิ่มขึ้นเร็ว ๆ จังนะ
–
มีผู้มาเยือนหมู่บ้าน
เป็นครั้งแรกเลย
เครื่องแต่งกายดูดีมีภูมิฐาน ชวนให้นึกถึงขุนนาง
แต่ไม่ค่อยสวมเครื่องประดับเท่าไหร่ ดังนั้นอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ก็เป็นได้
เหมือนจะเดินทางมาเพียงคนเดียว โดยมีกลุ่มของแกรนด์มาเรียคอยจับตาดู
แขกคนนั้น ไม่ใช่มนุษย์
ในมุมมองของผมแล้ว ต้องเรียกเป็นเผ่าปีศาจไม่ก็เผ่ามารเสียมากกว่า
ไม่รู้ว่าเพราะแบบนั้นหรือเปล่า ณ บริเวณที่ผมไปพบหน้ากับเขานั้นมีสมาชิกของหมู่บ้านที่สามารถต่อสู้ได้จำนวนหนึ่งรวมตัวอยู่ด้วย
ลู เทียร์ ฟลอร่า รวมไปถึงพวกคุโระมีท่าทีเยือกเย็น กลุ่มของไฮเอลฟ์ของเรียและกลุ่มลิซาร์ตแมนของทากะต่างก็ถืออาวุธเอาไว้ในมือ
กลุ่มของแอนเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่พวกเธออยู่ด้านหลังของผมราวกับเตรียมรับคำสั่งอยู่
แกรนด์มาเรียซึ่งเป็นคนพาเขาเข้ามาเองก็อยู่ด้วย ทว่าคูเดลกับโคะโรเนะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เพราะถ้ามารวมกันอยู่เพียงจุดเดียวทั้งหมดจะเป็นอันตรายได้
ด้วยเหตุนี้เอง ซาบุตงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“กระผมเป็นข้ารับใช้ของจอมมารครับ อยากจะขอพบตัวแทนของที่นี่”
ข้ารับใช้ของจอมมาร
แม้จะดูเหมือนมนุษย์เท่าที่เห็นจากภายนอก ว่าแล้วเชียวคงจะเป็นเผ่าปีศาจไม่ก็เผ่ามารสินะ
ก่อนอื่นก็เสนอตัวเองออกไปตามที่ขอมาก่อน
“ผมเองครับ”
“คุณงั้นเหรอครับ?”
เมื่อได้รับคำตอบ เขามีสีหน้าสับสนในชั่วจังหวะหนึ่ง ก่อนจะดึงสีหน้ากลับไปเยือกเย็นทันที
คงคิดว่าผมดูไม่เหมือนกับหัวหน้าหมู่บ้านล่ะมั้ง
“ขออภัยด้วยครับ ชื่อของผมคือบีเซลครับ เป็นข้ารับใช้ของจอมมาร”
“ฮิราคุครับ”
ลังเลอยู่ว่าควรจะบอกนามสกุลไปก่อนไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดออกไป
ฝั่งนั้นเองก็บอกมาแค่ชื่อนี่นะ คงไม่ได้คิดมากอะไรหรอก
หลังจากยืนยันชื่อของผมแล้ว ชายที่ชื่อบีเซลก็แสดงเอกสารยืนยันว่าตนเองเป็นข้ารับใช้ของจอมมาร แล้วยื่นของฝากที่นำติดมือมาด้วยให้กับผม
“ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ตอบแทนในความใส่ใจครับ”
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ”
ถึงจะไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร แต่ลูดูดีอกดีใจ ดังนั้นคงจะเป็นของมีคุณภาพล่ะนะ
อันที่จริงแล้ว คงจะต้องแลกเปลี่ยนทักทายกันให้มากกว่านี้ ทว่าผมอยากจะรีบเข้าเรื่องเลย
“ท่านจอมมารต้องการอะไรงั้นเหรอ?”
อย่างไรก็ เติมท่านไปด้วยไว้ก่อนแล้วกัน
คงจะน่ารำคาญไม่น้อยถ้าต้องมาขัดแย้งกันด้วยเรื่องแปลก ๆ
“ผมอยากจะเจรจาร่วมกันเนื่องด้วยความสัมพันธ์สถานที่แห่งนี้น่ะครับ”
“แค่เรื่องนั้นแค่เรื่องเดียวอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกครับ ผมได้รับมอบอำนาจมาได้ระดับหนึ่งด้วย ดังนั้นผมสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนี้ได้ครับ”
“อ๋อ….อย่างนี้นี่เอง”
ต้องการเจรจาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนี้สินะ
ยังจำได้อยู่ว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าอยู่ในเขตอำนาจของจอมมาร
หรือก็คือ จะมาเก็บภาษีอย่างงั้นสินะ
หรือว่าอยากจะให้ไสหัวออกไปกันล่ะ
ได้ยินมาเหมือนกันว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจกับจอมมารที่ไม่เคยทำอะไรให้หรอก
ปรึกษากับพวกลูกับเทียร์ก่อนจะเป็นดีกว่าไหมนะ
หลังจากที่ผมส่งสายตาไปหาคนอื่น ๆ ทุก ๆ คนก็ต่างส่งสายตากลับมาจะในแง่ที่ว่าให้ผมเป็นคนจัดการ
……
อย่างนี้นี่เอง
ถูกฝากให้จัดการซะแล้ว
การเจรจาต่อรอง
พื้นฐานของการเจรจาคือข้อเสนออันแรกให้ดุดันเอาไว้ก่อน
“ถ้าหากยอมรับให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ล่ะก็ ทางนี้จะเสนอผลผลิตจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ให้ในฐานะของภาษีเป็นยังไง”
10%
ลองเอ่ยถึงภาษีที่เรามีความได้เปรียบดู
ถ้าหากทีหลังจะถูกอ้างนู้นนี่เพื่อยัดเยียดให้จ่ายภาษีแพงอื้อล่ะก็ ขอจ่ายภาษีถูก ๆ ด้วยตัวเองดีกว่า
จะถูกสงสัยว่าจะตั้งตัวเป็นเอกเทศก็คงช่วยไม่ได้แหละนะ
แต่ด้วยการจ่ายภาษี ส่วนหนึ่งก็จะช่วยแสดงท่าทีให้จอมมารเห็นว่าพวกเราไม่ได้มีความคิดจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใด
แต่ก็ด้วยผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้นแรกสุดก็ยื่นข้อเสนอดุดันไปก่อน
ผลลัพธ์ก็คือ ผลผลิต 10 เปอร์เซ็นต์
“เอ๋ จะ จะดีเหรอครับ?”
เอ๊ะ?
ทางฝั่งนั้นมีท่าทีแปลกใจ
ยังไง ดูท่าแล้วจะไม่ได้แปลกใจที่ผมยื่นภาษีน้อยจนเกินไปล่ะนะ…
ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ต้องไล่ต้อนต่อไป
“ช่วยมารับไปก่อนช่วงฤดูหนาวในแต่ละปีทีแล้วกัน”
ผมเอ่ยปากไปดูว่าถ้าอยากให้จ่ายภาษีก็ให้มารับเอาไป
“ระ รับทราบแล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนั้นแล้วกันครับ”
เอ๊ะ?
หลังจากนั้น ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างข้อตกลงก็จบลงทั้งแบบนั้น
ภาษีคือผลผลิต 10 เปอร์เซ็นต์
แต่มีข้อแม้ว่า จำกัดเพียงแค่ผลผลิตจากไร่เพียงเท่านั้น
จะไม่มีการส่งมอบนมวัว ไข่ไก่ น้ำผึ้ง ตลอดไปจนถึงเหล้าให้
รวมไปถึงผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในปริมาณน้อยก็จะไม่มอบให้เช่นกัน
ถ้าจะให้ชัดเจนมากกว่านั้นก็คือ ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไม่เต็มถังขนาดใหญ่หนึ่งถังจะไม่ถูกนำมาคำนวนด้วยนั่นเอง
ในกรณีที่ทางฝั่งจอมมารมีสิ่งของที่ต้องการ ก็ตกลงให้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้
หลังจากจัดการเอกสารเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว บีเซลก็เดินทางกลับไป
ตอนที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาด้วยอาจจะดึงดันยื่นข้อเสนอเห็นแก่ตัวเกินไป ผมเลยมอบของฝากติดมือกลับไป
ยังไงก็ได้รับของฝากมาด้วยนี่นะ
–
“….แบบนี้จะดีแล้วไหมนะ”
แต่ละคนแสดงท่าทีกังวลเล็กน้อยต่อคำพูดของผม
และแล้วลูก็พูดขึ้น
“ฉันมองว่าทำได้ไม่เลวเลยนะ หลังจากที่ตกลงกันเรื่องภาษีแล้ว ทางนั้นก็จำเป็นต้องคุ้มครองเราอย่างช่วยไม่ได้นี่นะ”
“นั่นสินะคะ แล้วอีกอย่าง….หุหุหุ สิบเปอร์เซ็นต์สินะคะ”
เทียร์หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
เท่าที่ได้ยิน ในกรณีที่นำผลผลิตมาใช้ในฐานะภาษีตามปกตินั้นจะตกลงกันราวห้าสิบจนถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ บางทีก็ขึ้นไปได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับสถานที่
“ที่ให้มารับด้วยตัวเองก็เข้าท่าเหมือนกันนะคะ จัดเป็นการบอกแบบนัย ๆ ว่าไม่ยอมรับให้มาประจำการอยู่ที่นี่”
แอนพยักหน้ารับ
เอ๊ะ?
ผมไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นสักหน่อย…
“ในแต่ละปีนั้นการเก็บเกี่ยวของที่นี่เองก็เกิดขึ้นหลายครั้ง ถ้าหากมาเยือนที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ก็คงจะไม่สามารถคำนวนปริมาณการเก็บเกี่ยวที่แน่ชัดได้ด้วย ที่สำคัญ ยังได้รับการคุ้มครองจากกองทัพของจอมมารด้วยปริมาณภาษีต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นต์อีกด้วย…สมแล้วค่ะ”
เรียสรุปความคิดเห็นของตัวเอง
ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นสักเสี้ยวเดียว เพียงแค่ยื่นข้อเสนอให้โดยคิดคำนวนเป็นอย่างดีเท่านั้นเองนะ…
นี่คงจะเป็นสามัญสำนึกของโลกใบนี้สินะ
จะยังไงก็เถอะ แยกย้ายได้
กลับไปทำงานของแต่ละคนต่อกันเถอะ
อนึ่งแล้ว ของฝากที่บีเซลมอบให้มาคือยาสุดล้ำค่า จะดื่มก็ดี จะทาก็ได้ เป็นยาสารพัดประโยชน์
–
ณ ปราสาทของจอมมาร
“บีเซล เป็นอย่างไรบ้าง? ทางฝั่งนั้นต้องการอะไร?”
“จะจ่ายภาษีให้น่ะครับ”
“อะไรนะ? จะมาอยู่ภายใต้พวกเรางั้นเหรอ?”
“อืมม”
“ทั้ง ๆ ที่มีกำลังรบขนาดสอยไวเวิร์นจนร่วงได้เนี่ยนะ?”
“ใช่แล้วล่ะครับ แล้วก็เป็นข้อเสนอจากฝั่งนั้นด้วย”
“คงจะมีเบื้องหลังอะไรอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ผมเองก็คิดแบบนั้นนะครับทว่า…จำเป็นต้องรับข้อเสนออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“องค์หญิงแวมไพร์กับทูติสวรรค์จอมทำลายล้างก็อยู่ที่นั้นด้วยครับ ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ทั้งอินเฟอร์โนวูฟเอย ไฮเอลฟ์เอยก็อยู่ที่นั้นเป็นจำนวนมาก ลิซาร์ตแมนกับยักษ์เองก็…”
“จะบ้าเหรอ? จะไปเชื่อลงได้ไง”
“คนที่นำทางผมไปคือทูติสวรรค์นักสังหารเลยนะครับ คิดว่าจะไม่รอดแล้วซะอีก”
“ถึงจะไม่น่าเชื่อนัก…ถ้ามีพลังขนาดนั้นล่ะก็ จะสอยไวเวิร์นล่วงได้ก็ไม่แปลกล่ะนะ”
“ครับ มีกำลังรบถึงขนาดนั้น ยังจะยื่นของเสนอมาอยู่ภายใต้ทางฝั่งเรา ปฏิเสธไม่ได้ครับ วินาทีที่เอ่ยปฏิเสธออกไป คงเป็นการยืนยันว่าจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างแน่นอนเลย”
“อะ อืม…หลังจากนี้ จะพูดอะไรดี…”
“นั่นสินะ ทว่าพวกเรานิ่งเฉยไปก่อนดีกว่าครับ ยังโชคดีที่ตัวแทนของฝั่งนั้นพูดคุยด้วยความเป็นมิตรครับ”
“อย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ ได้ของฝากมาด้วยนะครับ”
“โฮ่ ได้อะไรมางั้นเหรอ?”
“ยังไม่ได้ตรวจดูเลยครับ”
“ลองเปิดดูสิ”
“จะเอาไปให้ท่านจอมมารนะครับ เดี๋ยวจะถือว่าเป็นการติดสินบนเอาได้นะครับ”
“ถ้าเป็นของอันตรายล่ะก็จะลำบากเอาไม่ใช่หรือไง เช็คดูเถอะน่า”
“ฮืม…นั่นสินะครับ แค่นิดเดียวเท่านั้นนะครับ”
“อื้ม ไหน ๆ ที่ผ้าห่ออยู่นี่นะเหรอ? ข้างในนี่มัน ผลไม้งั้นเหรอ? ดูเหมือนอัปโปะเลยแฮะ ทั้งสีและรูปร่างก็สวยดีนะ”
“นั่นสินะครับ อะ อย่าถือวิสาสะทานเข้าไปสิครับ”
“ตรวจสอบพิษหรอกน่า อืมอร่อยใช้ได้เลยนะ ไม่สิอร่อยสุด ๆ สุดยอดเลย!”
“งั้นเหรอครับ ไม่ไหวเลย…เอ๊ะ?”
“อะไรเหรอ?”
“ผ้าที่ห่อผลไม้นั่นอยู่น่ะครับ…”
“อ่อ…เป็นผ้าที่สวยดีนะ มีอะไรงั้นเหรอ?”
“นะ นี่มัน ผ้าที่ทอขึ้นจากใยของเดม่อนสไปเดอร์ครับ แถมยังขนาดของผ้านี่ อาจจะเป็นเกรทเดม่อนสไปเดอร์ก็เป็นได้ครับ”
“ถ้าพูดถึงเดม่อนสไปเดอร์ล่ะก็ ผู้เฝ้ามองความตาย?”
“อืม”
“เกรท ที่ว่าเนี่ย คือตัวที่สู้กับจอมมารเมื่อราวร้อยปีก่อนแล้วจบลงที่เสมอนั่นนะเหรอ…”
“ถ้าอิงจากขนาดของผ้าผืนนั้นล่ะก็…ไม่ผิดแน่ครับ”
“จงใจมอบของสำคัญให้นาย?”
“ก็อยากจะเชื่อแบบนั้นนะครับ…ถ้าแบบนั้นจะให้มาในฐานะผ้าห่อผลไม้เหรอครับ?”
“คงไม่ล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าที่นั้นมีเกรทสไปเดอร์เดม่อนอยู่สินะ…ชั้นขอลาออกวันนี้แหละ”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณเป็นหนึ่งในจตุรเทพระดับสูงไม่ใช่เหรอครับ เป็นหัวหน้าไม่ใช่เหรอครับ จะหนีอย่างนั้นเหรอครับ? อะ เอาจริงเหรอ เดี๋ยวก่อน! ขอร้องล่ะ ผมก็ด้วย”
——
สวัสดีครับ
หายไปนานเลยรอบนี้ ไม่สิพักนี้ อะฮะฮะ ไม่ได้ทิ้งไปไหนครับ แต่ขอสารภาพตามตรงว่าติดเกมนิดหน่อย ช่วงนี้ออกมาถี่ ๆ ติดกันเหลือเกินครับ บวกกับงานที่ทำอยู่ เลยแปลช้าสุด ๆ อย่างทีเห็น แต่สุดท้ายก็เข็นตอนนี้ออกมาจนได้ จัดว่ายาวววววว ยาวยาวแท่งตรงกันเลยทีเดียว
ยังไงก็ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าครับ