ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 37

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

​           สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ท่านให้ความสนใจและเข้ามาอ่านนิยายของผม นี่เป็นนิยายเรื่องแรก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องปรับปรุง ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

 

​           หลังจบงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนชีวิตของผมก็กลับมาเรียบง่ายสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คำกล่าวที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอนั้น ผมยอมรับเลยว่ามีส่วนจริงอยู่มาก

​           เพราะหลังจากเหตุวุ่นวายหลังกลับจากงานเทศกาลดนตรีจนเกือบจะไปมีเรื่องมีราว… ไม่ใช่ซิ ที่จริงก็มีเรื่องมีราวแหละ เพียงแค่คนที่มีคือเพื่อนผมไม่ใช่ตัวผมก็เท่านั้น ชีวิตในรั้วโรงเรียนของผมก็กลับมาเป็นปกติ

​           อันที่จริงกว่าจะปกติก็มีเรื่องให้ปวดหัวกันนิดหน่อย สาเหตุก็มาจากสหายสายรบสายรักทั้งสามของผมที่แม้เรื่องราวจะจบไปแล้วแต่เพื่อนๆ ไม่ยอมจบ

​           ไม่ใช่ว่าผมจะพอเดาเรื่องนี้ไม่ได้ หลังจากที่ส่งโอโตเมะกลับบ้านเสร็จแล้วก็ได้โทรหาเพื่อนๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นว่า

​           – “หึ เจ้าพวกปวกเปียกแบบนั้นน่ะ แค่โคสุเกะคนเดียวก็พอ” –

​           พอโทรไปหาโคสุเกะหมอนั่นก็โม้วีรกรรมของตัวเองที่ลุย 1 ต่อ 4 ไล่ล้มพวกนั้นลงไปนอนกองกับพื้นจนหมดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทำเอาผมนึกภาพตามไม่ออกว่าถ้ามีเรื่องกันแบบนั้นตำรวจไม่มาเรียกตัวไปหรือไง

​           แล้วข้อสงสัยของผมก็กระจ่างเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยคนที่เล่าแจ้งแถลงไขให้ผมฟังได้ตามข้อเท็จจริงมากที่สุดก็คือจิน หนุ่มน้อยต่อยหนักผู้ไม่ค่อยพูดนั่นเอง

​           หลังทนฟังโคสุเกะกับโมโมสุเกะโม้วีรกรรมอีกสักพัก ผมก็ขอให้จินเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง

​           หลักใหญ่ใจความก็คือหลังจากที่ผมพาโอโตเมะออกไปแล้ว ทั้งสามคนก็ยืนปะทะคารมกับอีกฝ่ายกันอย่างดุเดือดแต่ก็ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะกันได้ พอดีกับที่เริ่มมีคนมามองมากขึ้น อีกฝ่ายเลยเสนอให้ไปตัดสินกันหลังร้านสะดวกซื้อนั่นเอง

​           แล้วก็เป็นโคสุเกะที่เก็บกวาดเหมาเรียบทั้งสี่คนโดยมีโมโมสุเกะกับจินคอยช่วยไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามารุมรวมถึงกันไม่ให้อีกฝ่ายหนีด้วย

​           – “อ่อนสุดๆ เลยล่ะพวกนั้นน่ะ” –

​           นั่นคือคำนิยามที่โคสุเกะนิยามให้กับพวกผู้ชายที่มาหาเรื่องโอโตเมะ

​           แต่ถึงจะอ่อนยังไงผมก็อดเป็นห่วงและขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีพวกโคสุเกะ บอกตรงๆ ว่าผมคงจะปวดหัวพอสมควรเลย

​           – “จริงๆ แค่นายคนเดียวก็ไม่น่ามีปัญหานะ ฉันว่าดีซะอีกจะได้โชว์เท่ให้แฟนดูด้วย” –

​           นั่นคือความคิดเห็นของโมโมสุเกะที่มีต่อเหตุการณ์นั้น

​           อันที่จริงนอกจากบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนๆ ที่ผมอาจจะกังวลเกินเหตุแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่โมโมสุเกะพูดอีกเรื่องนี่แหละที่เป็นปัญหา

​           เจ้าพวกนี้เข้าใจว่าโอโตเมะ อามายะ เป็นแฟนของผม นี่แหละเรื่องที่ทั้งสามคนไม่ยอมจบ

​           คำถามถูกประดังประเดเข้ามาแบบไม่เว้นช่วงให้ได้พักหายใจ ทั้งเธอชื่ออะไร เธอเป็นใคร เธอเรียนที่ไหน รู้จักกันได้ยังไง ทำไมไม่บอกกันเลย ฯลฯ สารพัดที่จะถาม

​           พอบอกไปว่าไม่ใช่แฟนก็ไม่เชื่อจนสุดท้ายผมต้องยอมถอยไม่โต้เถียงอะไร ส่วนพวกนั้นจะเข้าใจว่าไงก็เอาที่พวกเขาสบายใจกันเลย นั่นแหละ ความสงบสุขของผมจึงได้บังเกิดอย่างแท้จริง

​           แต่ในโลกเรานั้น อันที่ว่าแท้จริงนั่น มันจริงแท้ขนาดไหน หรือใช่แท้จริงจริงๆ หรือเปล่าก็พูดยาก ดังคำกล่าวที่ว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

​           ถ้าถามว่าทำไมผมถึงมาพูดถึงปรัชญาที่ฟังแล้วชวนไม่เข้าใจแบบนี้ ก็ต้องตอบว่าเพราะผมเพิ่งจะตระหนักรู้ชัดเจนอีกครั้งว่าความสงบสุขที่แท้จริงมันไม่มีอยู่นั่นเอง

​           เพราะอะไรน่ะเหรอ หึๆ เพราะไอ้ข้าวกล่องตรงหน้ากับการ์ดที่แนบมากับข้าวกล่องพวกนี้นี่แหละ

​           รุ่นพี่นาคาจิมะผู้เป็นธุระรับฝากข้าวกล่องมาให้หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงระเบิดลูกนึงว่า – “โอโตเมะจังฝากมาให้นายแน่ะ” –

​           หลังจากผมและพวกโคสุเกะสามคนนั่งล้อมข้าวกล่องที่ได้รับมาแบบไม่นึกไม่ฝันแล้ว ผมก็หยิบการ์ดขึ้นมาแต่โมโมสุเกะคว้าไปเปิดอ่านซะก่อน

​           – “ขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้คราวก่อนนะ ฉันเกรงใจนายมากเลยแต่ไม่รู้จะตอบแทนยังไง แต่จำได้ว่านายบอกให้เลี้ยงข้าวตอบแทนได้ฉันเลยทำข้าวกล่องมาให้ ตั้งใจจะให้นายเองแหละ แต่ก็ไม่รู้จะติดต่อยังไงเลยรบกวนคุณนาคาจิมะให้เป็นธุระให้ อ่อฝากขอบคุณเพื่อนนายด้วยนะไม่ได้รู้จักกันแท้ๆ แต่ยังเต็มใจมาช่วย ขอบคุณมากจริงๆ หวังว่าข้าวกล่องจะถูกปากพวกเขานะ ปล.ขอบคุณสำหรับตุ๊กตานะ เจอกันคราวหน้าฉันจะเลี้ยงตอบแทนดีๆ อีกที… โอโตเมะ อามายะ” –

​           สิ้นเสียงอ่านของโมโมสุเกะสายตาสามคู่หกข้างหันมามองทางผมโดยพร้อมเพรียง ผมถึงกับได้ยินเสียงเอฟเฟค ชิ้งงงง..ดังขึ้นในหัวเลยทีเดียว

​           ว่ากันว่าสายตาฆ่าคนได้ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าคำกล่าวนี้อาจจะไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เพราะสายตาของเพื่อนผมตอนนี้มันช่างทิ่มแทง บาดลึก ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันเนี่ย

​           ผมที่ทนไม่ไหวจึงตั้งจิตให้มั่นคงแนวแน่ เอื้อมมือไปหยิบกล่องข้าวตรงหน้ามา แม้จะรู้สึกได้ว่าทั่วร่างถูกทิ่มแทงเชือดเฉือนตลอดเวลาแต่ก็ทำใจกล้าฝืนทนจนได้กล่องข้าวมา แล้วจึงเงยหน้ามองไปยังเพื่อนๆ พร้อมกับพูดเสียงเรียบ

​           “เธอพูดแล้วนะว่านี่คือคำขอบคุณสำหรับทุกคน ถ้าพวกนายจะคาใจแล้วไม่กินก็เรื่องของพวกนาย เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

​           ไม่พูดเปล่าผมทำท่าเอื้อมมือออกไปอีกครั้ง ทั้งสามคนที่เห็นผมทำท่าจะหยิบกล่องข้าวตรงหน้าไปคนเดียวก็โวยวายบอกว่านี่มันของพวกตนใครจะไปยอมยกให้ ก่อนจะรีบคว้าส่วนของตัวเองไปทันที

​           ได้ยินโมโมสุเกะกับโคสุเกะพึมพำว่า ไอ้เพื่อนขี้งก ผมเลยหัวเราะใส่แล้วจึงเปิดกล่องข้าว

​           ภายในกล่องอัดแน่นไปด้วยข้าวสวยและกับข้าวที่จัดวางกันไว้อย่างดี แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ก็มองออกถึงความตั้งใจและใส่ใจของคนทำ

​           ได้ยินเสียงร้องโว้วว้าวดังมาเลยเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพื่อนๆ ทั้งสามมองข้าวในกล่องของตัวเองด้วยสายตาเป็นประกาย

​           ผมขำท่าทางของพวกเขาก่อนจะคีบไข่ม้วนขึ้นมากิน

​           ทันทีที่กัดน้ำสต๊อกก็ซึมออกมาจากเนื้อไข่ให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำในปาก รสชาติไม่ถือว่าจัดจ้านมาก ออกไปในทางกลมกล่อมมากกว่า คิดว่าน่าจะเผื่อให้ทุกคนกินกันได้

​           “อื้มมม อะหย่อยยย…”

​           “ไก่ทอดนี่สุดยอดไปเลยแฮะ แฟนนายเนี่ยเหมาะเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริงๆ”

​           โคสุเกะกับโมโมสุเกะเอ่ยชมอาหารของโอโตเมะไม่หยุดปาก เห็นแล้วก็อดยิ้มกับท่าทางเหมือนเด็กของเพื่อนไม่ได้

​           หลังผ่านไปราว 15 นาที ทุกสิ่งทุกอย่างในกล่องข้าวก็ลงไปอยู่ในกระเพาะพวกเราจนหมด ที่จริงโมโมสุเกะใช้เวลาแค่ 10 นาทีด้วยซ้ำ

​           “อยากกินอีกจังเลยแฮะ”

​           โมโมสุเกะบ่นพึมพำหลังจากดื่มน้ำชาเข้าไปอีกอึกหนึ่ง เพื่อนคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยไม่เว้นแม้แต่จิน

​           “ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ น้าาา มีแฟนสาวน่ารักแบบนั้นมาทำข้าวกล่องให้กินเนี่ย”

​           “เธอไม่ใช่แฟนฉัน แล้วเธอก็ไม่เคยทำข้าวกล่องให้ฉันมาก่อนด้วย”

​           “““หืมมม…”””

​           พอถูกจ้องเหมือนจะจับผิดแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกไปไม่ถูกเหมือนกัน อย่างกับโดนตำรวจสอบปากคำงั้นแหละ อ๊ะ… แต่ผมไม่เคยโดนตำรวจสอบปากคำนี่นา

​           “เอาเถอะ ไม่ยอมรับก็เรื่องของนาย แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเธอละนะที่ทำให้ฝันของฉันเป็นจริง”

​           “หืออ…?”

​           “นั่นซินะ ในที่สุดวันนี้ฝันก็เป็นจริงซะที”

​           “พวกนายพูดเรื่องอะไรกันน่ะ?”

​           ผมที่ชักจะเริ่มตามเพื่อนไม่ทันคงทำหน้างงแบบเต็มพิกัด เพื่อนๆ เลยส่ายหน้าบ่นว่าปกติหัวไวแท้ๆ ทำไมเรื่องนี้ถึงหัวทึบได้นะ

​           “สหายเออิชิเอ๋ย หนึ่งในความฝันของเหล่าเด็กชายวัยมัธยมปลายอย่างพวกเราน่ะคงหนีไม่พ้นการกินอาหารทำมือของเด็กสาวน่ารักๆ อยู่แล้ว นายรู้ไหมว่าพวกเราที่อยู่โรงเรียนชายล้วนแบบนี้น่ะ เรียกได้ว่าถูกปิดประตูความฝันนี้ไปเกินกว่าครึ่งแล้วนะรู้ไหม”

​           “ถูกต้อง เออิชิ นายจะต้องดูแลรักษาเธอดีๆ นะ แล้วครั้งหน้าถ้ามีโอกาสก็ขอแบบนี้อีกสักครั้ง จะไม่ลืมพระคุณเลยเพื่อน”

​           “อืมมม”

​           แม้แต่จินยังพยักหน้า อืม ออกมา ผมล่ะสับสนว่าเจ้าพวกนี้มันบ้าหรือว่าผมไม่ปกติกันแน่

​           เฮ้อออ…

​           หลังจากผ่านความวุ่นวายเพราะข้าวกล่องมาได้ไม่กี่วัน ชีวิตอันสุขสงบของผมก็ถูกรบกวนอีกครั้ง

​           คราวนี้เป็นรุ่นพี่นาคาจิมะที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามากลางโต๊ะกินข้าวกลางวันในโรงอาหารพร้อมกับสีหน้าบอกบุญไม่รับ

​           ผมกับเพื่อนทั้งสามหันมองหน้ากันไปมาก่อนที่โคสุเกะจะพยักพเยิดให้ผมรีบจัดการกับท่านราชาที่ดูแล้วท่าจะอารมณ์ไม่ดี

​           “คุณคาวากุจิเธอว่าไงมาหรอครับ?”

​           ผมเปิดประเด็นถามรุ่นพี่นาคาจิมะผู้นั่งทำหน้ายักษ์อยู่ตรงหน้าผม อยู่ด้วยกันมาไม่นานก็จริงแต่ผมพอจะจับทางรุ่นพี่คนนี้ได้แล้ว

​           ดูเหมือนว่าในชีวิตนี้จะมีไม่กี่อย่างที่ทำให้เขาเครียดหรือกลุ้มได้อย่างจริงๆ จังๆ และหนึ่งในนั้นคือเรื่องของคุณคาวากุจิ แฟนสาวของตนนั่นเอง

​           รุ่นพี่นาคาจิมะเงยหน้ามองผม สายตาเฉียบคมนั่นมองตรงมาก่อนที่แววตาจะอ่อนลง

​           “มินะไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ฉันเริ่มรู้สึกว่าเธอกำลังทิ้งห่างฉันไปเรื่อยๆ แล้ว”

​           พูดเสร็จก็ถอนหายใจ ท่าทางแบบนี้เห็นทีคงจะอาการหนัก ครั้งล่าสุดก็ตอนงานกีฬาบอลโน่นเลย

​           พวกเรานั่งเงียบกัน รอฟังรุ่นพี่นาคาจิมะพูดต่อแต่เขาก็ไม่พูดอะไร ทำแค่นั่งเหม่อมองโต๊ะเฉยๆ

​           “รุ่นพี่ครับ ไปเดินเล่นกันไหม?”

​           ผมเอ่ยชวนรุ่นพี่พร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร รุ่นพี่นาคาจิมะเงยหน้ามองก่อนจะพยักหน้าแล้วลุกตามผมมาเงียบๆ

​           เราสองคนเดินไปตามระเบียงทางเดินของอาคารเรียน ผมไม่ได้มีจุดหมายที่แน่ชัด แค่อยากให้รุ่นพี่ได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ

​           “เมื่อวันอาทิตย์ มินะบอกว่าเธอต้องเตรียมสอบเข้า คงจะมาใช้เวลาด้วยกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้วน่ะ”

​           รุ่นพี่นาคาจิมะพูดขึ้นมาระหว่างที่เราเดินกันอยู่ ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วรอให้รุ่นพี่พูดต่อ

​           “เธอจะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้กำลังเตรียมตัวมุ่งสู่อนาคต เป็นอนาคตที่ฉันตามเธอไปไม่ได้”

​           “รุ่นพี่ไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้วหรอครับ?”

​           รุ่นพี่ที่ได้ยินคำถามหันมายิ้มให้ผม ดูเป็นรอยยิ้มที่ไร้เรี่ยวแรงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

​           “นายก็รู้นิมารุ…”

​           “โควตานักกีฬาล่ะครับ?”

​           “ไม่ไหว ฉันลองถามพวกอาจารย์แล้ว ถึงความสามารถฉันจะพอสู้ได้ แต่ฉันไม่มีผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรมเลยนอกจากงานกีฬาของโรงเรียน เฮ้อ..”

​           ฟังที่รุ่นพี่นาคาจิมะพูดแล้วก็รู้สึกว่างานนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด คงเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจเรื่องจะสอบไม่ได้มาก่อน เลยไม่รู้จะให้คำแนะนำยังไง

​           เราเดินกันไปจนถึงทางเชื่อมระหว่างอาคาร รุ่นพี่หยุดมองออกไปยังลานด้านนอก ผมมองตามออกไปก็เห็นนักเรียนคนอื่นๆ กำลังเดินกันขวักไขว่ บ้างเล่นกัน บ้างแกล้งกัน บ้างดูเหมือนจะทะเลาะกัน

​           “ฉันจะทำยังไงดีมารุ?”

​           น้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรงนั่นดึงผมกลับมาจากภาพตรงหน้า มองรุ่นพี่ผู้ที่ปกติไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องต่างๆ กำลังทำหน้ามุ่ยเหมือนครุ่นคิดอย่างหนักแล้วก็ทั้งสงสารทั้งขำอยู่ในใจ

​           “คุยกับคุณคาวากุจิหรือยังครับ?”

​           “คุยเรื่องอะไรล่ะมารุ จะให้ไปบอกว่าเธอว่าฉันกังวลว่าเธอกำลังจะห่างฉันไปเรื่อยๆ งั้นหรอ หรือจะให้บอกดีว่าฉันไม่มีปัญญาจะตามเธอไปในที่ที่เธอกำลังจะไปล่ะ”

​           “ครับ คุยกันทุกเรื่องนั่นแหละครับ”

​           รุ่นพี่นาคาจิมะทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ผมจึงอธิบายเพิ่มเติม

​           “ผมก็แค่แนะนำครับ ถ้ากังวลมากขนาดนั้นก็ควรจะคุยกันนะครับ คุณคาวากุจิเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงไร้เหตุผล ผมว่าเธอไม่น่าจะมีปัญหา”

​           “อย่างที่นายว่าแหละ เธอไม่มีปัญหาหรอก ไม่ว่าฉันจะเรียนต่อหรือทำงาน ฉันคิดว่ายังไงเธอก็รับฉันได้ฉันเชื่อแบบนั้น แต่นายจำได้ไหมที่นายบอกว่า คนที่เป็นคู่รักกันคือคนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายช่วยอยู่คนเดียวหรือจะเรียกว่าเป็นฝ่ายให้มากรับอยู่บ่อยครั้ง วันนึงความรู้สึกที่ว่ารักเราไม่เท่ากันก็จะก่อตัวขึ้นมา และถ้ามันไปถึงจุดนั้นแล้วอะไรๆ ก็อาจจะสายไป”

​           [‘อ่ออ เมื่อตอนก่อนงานกีฬาบอลผมพูดไว้จริงๆ’]

​           “นายถามฉันว่า ตัวฉันมีดีพอที่จะช่วยเหลือมินะหรือยัง”

​           [‘อ่าาา ตอนนั้นก็พูดไปแบบนั้นนี่นะ’]

​           “ฉันมาคิดดูแล้วหลังจากที่คุยกับมินะก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกว่าจะช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้เลย”

​           รุ่นพี่นาคาจิมะเหม่อมองไปข้างหน้าไม่รู้ว่าเขาโฟกัสไปที่อะไร ผมก้มหน้าลงทบทวนคำพูดของรุ่นพี่ อะไรเป็นเรื่องที่คาใจรุ่นพี่อยู่ตอนนี้ ถ้าปลดล็อกตรงนั้นได้ ก็จะหาทางไปต่อได้

​           ทุกเรื่องราวที่ดำเนินไปมักจะไปเจอกับทางตันหรือทางแยกของเรื่องราวที่ทำให้เราต้องตัดสินใจเสมอ หากเป็นทางแยกก็ยังพอเห็นทางที่จะเดินต่อไปได้ แต่ในกรณีนี้ของรุ่นพี่ดูแล้วเหมือนจะเป็นทางตัน

​           ธรรมดาเมื่อคนเราเดินมาเจอทางตันสิ่งแรกที่เกิดขึ้นมาในหัวคือแล้วจะไปต่อยังไง บางคนอาจจะท้อแท้หมดแรงแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น บางคนเลือกที่จะย้อนกลับไปเพื่อเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ในขณะที่บางคนก็หาทางผ่านทางตันนั้นไปให้ได้แม้จะต้องทำทางใหม่ขึ้นมาก็ตาม

​           ทุกทางเลือกล้วนมีข้อดีข้อเสียของตัวเอง เจ้าของเรื่องราวจำเป็นต้องตัดสินใจเองว่าจะทำยังไงกับเส้นทางต่อจากนี้ไป ผมที่เป็นคนนอกเลยไม่อาจจะช่วยรุ่นพี่ได้ แต่…

​           ถ้าแค่กระตุ้นสักหน่อยคงไม่เป็นไร

​           “เท่าที่ฟังมา ผมว่ารุ่นพี่ยังไม่ควรคิดนะครับว่าจากนี้ไปจะทำยังไงดี”

​           รุ่นพี่นาคาจิมะหันมามองผม ผมเองก็มองตาเขาตรงๆ

​           “ผมว่ารุ่นพี่น่าจะต้องคิดก่อนครับว่าตัวเองอยากทำอะไรต่อจากนี้”

​           รุ่นพี่เบนสายตาออกไปแล้วก็ยืนเงียบๆ ผมเองก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร เพียงแต่ยืนอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น

​           กิ๊ง…ก่อง…

​           เสียงออดเข้าเรียนดังมาจากลำโพงที่กระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วโรงเรียน นักเรียนบางคนกำลังเร่งเท้าเดินกลับไปที่ห้องเรียน แต่ส่วนใหญ่แล้วเดินไปเล่นไปไม่รีบร้อน และบางคนยังไม่ทำอะไร เช่น ผมกับรุ่นพี่

​           “งั้นหรอ…”

​           ในที่สุดรุ่นพี่นาคาจิมะก็เอ่ยคำพูดออกมาหลังจากเงียบไปนาน

​           “ขอบใจนะมารุ สมแล้วที่เป็นน้องชายของฉัน พึ่งพาได้จริงๆ”

​           ผมมองรุ่นพี่นาคาจิมะด้วยสายตางงๆ เล็กน้อย เห็นรุ่นพี่ยิ้มแล้วก็โล่งใจ แต่ก็สับสนนิดหน่อย

​           …น้องชายของฉัน…

​           คำพูดที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของรุ่นพี่นาคาจิมะสะดุดหูและสะดุดใจผมอย่างจัง

​           ยังไม่ได้ทันถามอะไรที่สงสัยคาใจ รุ่นพี่ก็เดินไปทางอาคารเรียนของพวกปีสามเสียแล้ว

​           [‘งั้นเองหรอกหรอ เห็นเราเป็นน้องชายซินะ…’]

​           ผมหันหลังกลับและยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจที่ก่อนหน้านี้ได้หายไปพร้อมการจากไปของแม่

​           “เป็นพี่ชายที่ค่อนข้างเอาแต่ใจเลยนะครับเนี่ย”

​           บนระเบียงทางเดินยังเต็มไปด้วยนักเรียนที่ยังไม่เข้าห้องเรียน แต่ไม่มีใครสนใจผมที่เดินอยู่ และผมก็ไม่ได้สนใจใคร

​           เพียงแค่เดินกลับไปห้องเรียนพร้อมกับความอบอุ่นในใจเงียบๆ เท่านั้น

 

​           แจ้งท่านผู้อ่าน เรื่องการเลื่อนเวลาลงนิยาย เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ทำให้ผู้แต่งมีภารกิจติดพันหลายด้าน ช่วงเวลาที่ลงนิยายอาจจะไม่สม่ำเสมอและห่างกันนานมากกว่าปกติ ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท