อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต – ตอนที่ 17 ตอนมัดรวม

อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต

 

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากจริงๆ

 

 

「เอ๋ คัตสึมิคุง ในที่สุดก็จะยอมออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วเหรอ?!」

 

「หนวกหูชะมัด…ก็ตามนั้น ชิราคาวะบอกฉันให้ลองไปดูด้วย ดังนั้นเลยเก็บไปคิดๆ ดูคงไม่เสียหายเท่าไหร่」

 

 

ถึงส่วนตัวไม่อยากเลยก็ตามที

 

แต่ในเมื่อเวลามันมาถึงแล้วฉันก็คงต้องยอมรับมันแล้วก้าวต่อไป

 

 

 

「ร-เรื่องใหญ่แล้ว! เดี๋ยวฉันต้องรีบไปบอกคิราระกับอาโออิก่อน!」

 

「โวยวายเกินไปแล้วเฟ้ย…จะอะไรนักหนาแค่ออกไปข้างนอก」

 

「เรื่องใหญ่สิ! นี่มันใหญ่เสียยิ่งกว่าพวกวายร้ายออกมาอีกนะ!!」

 

「ถามจริงหล่อนพูดแบบนั้นมันใช่เหรอ? 」

 

 

เรดพยายามติดต่อเยลโล่กับบลูอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยจะได้ไปเทีย่ว

 

 

 

「……หือ」

 

 

กว่าจะรู้สึกตัวใบหน้าของฉันก็เผยรอยยิ้มออกมาเสียแล้ว ฉันจึงลองเอามือไปสัมผัสแก้มตัวเองดู

 

นี่ฉันก็ตื่นเต้นกับเขาด้วยเหรอ?

 

ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงจริ๊ง

 

 

วันนี้ฉันได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกแล้ว

 

ซึ่งเงื่อนไขคือมีพวกจัสติสครูเซเดอร์ 3 คนพาออกจากสำนักงานใหญ่

 

ถึงเรมะจะไม่ติดอะไร แต่เกินคาดที่พวกรัฐบาลก็เห็นดีเห็นงามกับเขาด้วย ถึงพวกเขาจะไม่ได้มองว่าฉันเป็นวายร้ายแล้ว แต่ภัยคุมคามต่อสังคมที่ฉันสร้างได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่มองข้ามได้ง่ายๆ นะเออ

 

ช่างเถอะ….ถ้าพวกนั้นว่าดีแล้วก็ตามสบาย

 

คิดให้หนักหัวไปก็ไม่ได้อะไร

 

 

 

「ว่าแต่……」

 

「「「……」」」

 

 

เรดเดินนำหน้าฉัน บลูกับเยลโล่เดินตามหลังฉันอยู่คนละฝั่ง

 

พอมีสาวสวย 3 คนล้อมฉันเป็นรูปสามเหลี่ยม มันก็ดึงดูดสายตาของคนรอบๆ ทันที

 

……。

 

 

 

「เดี๋ยวก่อน มาคุยกันตรงตรอกนั้นหน่อย」

 

「หือ เกิดอะไรขึ้น? 」

 

「ได้กลิ่นอะไรบ่ดีเหรอ? 」

 

「เอ๋? 」

 

 

ฉันละอายจนอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี ก่อนลากพวกเธอไปในตรอกใกล้ๆ ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคิด

 

 

 

 

「นี่พวกหล่อนเป็นบอดี้การ์ดหรือไงฟะ!!」

 

 

ทำไมฉันต้องมาโดนล้อมด้วยยัย 3 คนนี้กัน!

 

สามัญสำนึกของพวกหล่อนมันหายไปไหนหมด?!

 

ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนั้นมันเด่นซะจนมองจากดาวอังคารยังเห็น!!

 

 

 

「ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนั้นมันจะเด่น ช่วยทำตัวปกติทีเถอะขอร้องเลย ฉันไม่หนีไปไหนหรอกเฟ้ย!!」

 

「ตะ-แต่ว่า เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนี่นา…ถ-ถ้าพวกสัตว์ประหลาดวายร้ายมันโผล่มาล่ะ? นายตอนนี้ไม่มีเครื่องแปลงร่างด้วย」

 

「ถึงอย่างงั้นก็ช่วยทำตัวปกติกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ใช้ชีวิตวัยรุ่นของพวกเธอบ้างสิเห้ย!」

 

 

 

จะว่าไปพวกเธอก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับพวกวายร้าย แม้หลังจากฉันถูกจับแล้วพวกเธอก็ยังตัวติดกับฉันไม่ไปไหน แอบน่าสงสารวุ้ย!

 

 

「ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย……!」

 

「ไม่รู้ทำไม พอเป็นนายพูดแล้วฉันฮู้สึกรับบ่ได้จริงๆ 」

 

「ชีวิตวัยรุ่นของพวกเราก็คือใช้เวลากับนายไงไม่เข้าใจเหรอ? 」

 

 

บลูพูดอย่างหนักแน่นออกมาแบบนั้น

 

พอได้ยินแบบนั้นฉันก็แอบเกาแก้มด้วยความเขินนิดหน่อย

 

 

「เฮ้อ ไม่เป็นไรหรอกน่า ทำตัวตามสบายซะยังไงวันนี้ก็ไม่มีสัตว์ประหลาดบ้าบออะไรโผล่มาหรอก」

 

 

ใช่แล้วมันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

 

ฉันพูดกับตัวเองที่ไม่ได้สวม『 โปรโตเชนเจอร์』ซึ่งเคยติดอยู่กับแขนตลอดเวลา

 

ตัวฉันในฐานะอัศวินดำมันสิ้นสุดสักที

 

จากนี้คงจะได้ใช้ชีวิตในฐานะคนทั่วไปละมั้ง

 

 

「……ไหนๆ ก็ออกกันมาแล้ว ก็ไปสนุกสักหน่อยดีกว่า ไม่ได้เที่ยวจริงๆ จังๆ นานแล้วสิ ฝากพวกเธอนำหน่อยละกัน」

 

 

ฉันพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา เรดและคนอื่นที่เห็นก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม

 

 

 

「「「โอ้ว!」」」

 

 

ฉันไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นนานแล้ว

 

จำได้ว่าครั้งล่าสุดก็คงตอน 7 ขวบ พอหลังจากนั้นก็ไม่มีควมคิดจะออกมาเที่ยวเล่นกับใครอีกเลย

 

คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นญาติของฉันซึ่งรับฉันไปเลี้ยงก็มองว่าฉันเป็นเพียงตัวน่ารำคาญ จะเงินค่าขนมหรือของเล่นก็ไม่เคยได้กับเขาสักครั้ง

 

 

 

 

『ไอ้ตัวหน้าขยะแขยง』

 

『อย่าออกไปให้ใครเห็นเข้าล่ะ』

 

 

ฉันถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้ลูกๆ ของพวกเขา พอขึ้นมอต้น ฉันก็ถูกไล่ออกจากบ้านให้ไปอาศัยอยู่คนเดียว

 

ส่วนตัวฉันก็สบายใจดี

 

แม้ว่าสมบัติมรดกของพ่อแม่ฉันจะถูกชิงไปหมด แต่พวกเขาก็ช่วยให้ฉันไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวสักพักหนึ่ง

 

 

 

『ช่วย…ด้วย..คัตสึมิ』

 

『จ-เจ็บ……』

 

 

ฉันทำอะไรไม่ได้เลย

 

 

 

『ทำไม…ความช่วยเหลือ…ยังไม่มา…』

 

『เจ็บ….จะไม่ไหว…แล้ว…』

 

 

ไม่เหลืออะไรแล้ว

 

 

 

『อย่า มัวแต่ มอง รีบมาช่วยสักที….!!』

 

『ทำไม…มีแค่แก….อั๊ก แค๊กๆ!!』

 

 

พ่อกับแม่ของฉันสิ้นใจก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง โดยก่อนสิ้นใจพวกเขาได้พูดแสดงความเกลียดชังที่มีต่อฉันและความหวาดกลัวที่จะตายมากมายจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตพวกเขา

 

ระยะห่างของพวกเรามีเพียงน้อยนิด

 

แต่ฉันถูกเข็มขัดตรงเบาะที่นั่งรั้งเอาไว้จนไม่สามารถขยับไปไหนได้

 

ทว่าด้วยระยะเพียงแค่นี้ สายตา ลมหายใจ เสียง เลือดของพวกเขามันส่งมาถึงฉันได้อย่างง่ายดาย

 

พวกเขาได้ยอมให้ฉันได้นอนหลับ

 

ความรักที่พวกเขามอบให้มันคือของปลอม

 

พอตัวเองจวนจะตายก็เผยใจจริงออกมาจนสิ้น

 

 

 

「——แต่ว่า」

 

 

มันก็เป็นอดีตไปแล้วนี่

 

 

「คัตสึมิคุง หนังเรื่องนั้นไง!」

 

「……หือ? 」

 

 

พอรู้สึกตัว ก็เห็นว่าเรดชี้ไปยังจุดหนึ่ง

 

พวกเราเดินกันมาถึงที่โรงหนัง ซึ่งมีโปสเตอร์หนังหลายแนวติดเอาไว้อยู่

 

 

 

「ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจช่วงนี้เลยนะ ฉันว่านายน่าจะชอบ」

 

「อ้อ งั้นเหรอ แปลว่าพวกเราจะต้องจองห้องแล้วเข้าไปดูกันใช่ไหม? 」

 

 

ฉันพูดขณะโดนลากไปหน้าโรงที่มีคนพลุกพล่าน จากนั้นเยลโล่ก็ยิ้มให้และตบไหล่ฉัน

 

 

 

「บ่ๆ พวกเราจะเข้าไปดูหนังจอโตๆ เลยต่างหาก」

 

「อ่าวเหรอ……」

 

 

ไม่รู้เลยว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย น่าทึ่งชะมัด

 

แอบรู้สึกว่าตัวเองตามโลกไม่ทันจนน่าอายเลยวุ้ย

 

หลังจากนี้คงต้องมาเรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่ต้นละสิ

 

 

 

「เรื่องเงินละ? 」

 

「อ้อ ประธานฝากมาให้แล้ว」

 

 

เรมะนี่ป๋าจริงๆ

 

เมื่อเห็นว่าหนังใกล้ฉายแล้ว พวกฉันก็เลยซื้อตั๋วและเข้าไปดูหนังทันที

 

อย่างที่เยลโล่บอกจอใหญ่เบิ้มเหนือระดับชะมัด

 

เนื้อหาก็ประมาณแนวไซไฟ เข้ากับรสนิยมฉันพอดี

 

พระเอกเข้าต่อสู้เพื่อช่วยนางเอกที่ถูกจับตัวไป

 

 

แม้ว่าเรื่องราวจะดูธรรมดา แต่ฉากการต่อสู้และจุดหักมุมมันก็สามารถดึงดูดใจฉันได้อยู่หมัด

 

「สนุกชะมัด」

 

 

หลังจากดูหนังโดยใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง พวกเราก็โยกกันไปที่ร้านกาแฟใกล้ๆ และทานข้าวมื้อกลางวันเบาๆ

 

 

「ตอนที่ฉันกำลังจะสั่งอะไรสักอย่าง ทำไมพนักงานถึงมองฉันด้วยสายตาที่อบอุ่นขนาดนั้นกันนะ? 」

 

「อุ ฮ่าๆ นั่นสิน้อー」

 

「ไม่รู้เด้อ」

 

「ไม่รู้สิ」

 

 

จะบอกว่าฉันคิดไปเองเหรอ?

 

หลังมองพวกเรด พวกเธอก็ยิ้มออกมา

 

 

「ว่าแต่นายอยากจะทำอะไรต่อล่ะ? 」

 

「คัตสึมิคุง มีสถานที่ไหนที่ยังบ่เคยไปไหม? แบบเกมเซนเตอร์ล่ะ? 」

 

「ร้านหนังสือ? 」

 

「ตีแบต!」

 

「โบว์ลิ่ง!」

 

 

สามสาวออกความเห็นว่าจะพาฉันไปไหนดี

 

ฉันเอามือสัมผัสแก้วชาที่อยู่ในมือ

 

ความเย็นของชาที่ส่งผ่านนิ้วมือมาบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา

 

 

「ขอบใจนะ」

 

「……อะ เอ๋ ทำไมอยู่ดีๆ ก็พูดขอบคุณล่ะ? ….」

 

「ร-รู้สึกคันๆ จังเลยเด้……」

 

 

ฉันเองก็ประหลาดใจกับคำที่ออกมาจากปากตัวเองเหมือนกัน แต่ฉันก็รู้ทันทีว่าเพราะอะไร

 

อันที่จริงฉันควรจะพูดมันให้เร็วกว่านี้

 

ตัวฉันได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

นับตั้งแต่วันที่ขโมยสูทและใช้ชีวิตในฐานะอัศวินดำ

 

วิถีชีวิตหลังจากนั้นฉันไม่เคยคิดเลย ทุกอย่างคงจบลงในวันที่ฉันพ่ายแพ้

 

ทว่าเพราะพวกเธอเหล่านี้เป็นผู้หยุดมันเอาไว้…

 

「อากาเนะ」

 

「!!? ดะดะดะดะดะเดี๋ยวสิ ทำไมอยู่ดีๆ ก็มาพูดชื่อกัน…?!……!? 」

 

 

เรดถึงกับตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ ฉันก็หันไปหาอีก 2 คน

 

 

 

「คิราระ อาโออิ」

 

「อะอะอะอะหยัง……」

 

「ถ-ถูกเรียกชื่อแล้ว!? 」

 

 

…พวกเธอจะออกอาการเกินเบอร์ไปไหม

 

 

 

เมื่อเห็นว่าคิราระกับอาโออิเป็นกับเขาด้วย ฉันก็เริ่มเขินตามแล้วหลบสายตาพวกเธอนิดหน่อยก่อนจะพูดคำนั้นออกมา

 

 

 

「ขอบคุณสำหรับวันนี้」

 

「คัตสึมิคุง……」

 

 

ฉันรู้สึกตัวแล้วว่าตอนนี้ฉันยังมีชีวิตและสามารถก้าวต่อไปได้อยู่

 

 

「เพราะพวกเธออยู่ตรงนี้ ฉันจึงสามารถก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้」

 

「……หากเป็นนาย ไม่ว่าจะตอนไหนพวกเราก็พร้อมสนับสนุน」

 

「อื้อ ก็เป็นเพื่อนกันนี่เน้อ」

 

「ถึงจะไม่ขอ ฉันก็จะช่วย และจะเป็นแบบนั้นตลอดไป」

 

 

ฮ่าๆ นั่นสิ

 

พวกเธอก็เอาแต่ยุ่งกับชีวิตฉันมาตั้งนานแล้วนี่นา

 

 

 

「หากเป็นตอนนี้ ฉันรู้สึกว่า….ถึงจะต้องไปร่วมเป็นเซ็นไตกับพวกเธอ……..」

 

 

ฉันเคยคิดว่ามันน่ารำคาญ แต่บางอย่างในตัวฉันมันก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

 

แต่ถึงจะไม่รู้

 

ฉันก็มั่นใจว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี

 

 

 

「หากได้เป็นพวกพ้อง――」

 

 

ในขณะที่คำพูดนั้นกำลังจะเอ่ยจบ เสียงคำรามของบางสิ่งก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า

 

อากาเนะกับคนอื่นๆ รวมทั้งฉันพร้อมใจกันหันไปมองบนฟ้าทันที

 

 

“มีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา”

 

สัญชาตญาณของพวกเราส่งสัญญาณเตือนทันที

 

 

 

 

『ถ โล ก ทุ ค น』

 

 

เสียงแปลกประหลาดได้ดังขึ้น ขณะเกิดรอยแตกบนท้องฟ้า

 

 

 

『ถึงชาวโ ลห ปคน』

 

 

เสียงของมันเริ่มค่อยๆ ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น

 

จากนั้นก็มีบางสิ่งโผล่มาจากรอยแตกนั้น

 

 

『ถึงชาวโลกทุกคน จงฟัง』

 

 

ตอนนี้เสียงได้กลายเป็นญี่ปุ่นแล้ว

 

มันคือยานอวกาศที่ความยาวราวๆ 300 เมตร ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า

 

เสียงประกาศดังกล่าวดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องการดึงความสนใจจากทุกคน

 

 

 

 

『เราคือผู้กอบกู้ อัครสาวกแห่งความยุติธรรมจากห้วงดารา』

 

 

จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แทบไม่น่าเชื่อขึ้นของโครงสร้างยาน

 

ปีกยานส่วนหน้าของยานหมุนปรับเปลี่ยนเป็นร่างท่อนบน บริเวณทรัสเตอร์กลายเป็นท่อนล่างของหุ่น

 

 

 

『เกมกระดานที่แสนสนุกต้องสูญเปล่า เพราะเผ่าพันธุ์ที่ควรล่มสลายอย่างพวกเจ้ายังคงอยู่』

 

 

ยานอวกาศตอนนี้ได้กลายเป็นหุ่นยนต์ยักษ์ได้ร่อนลงมาบนพื้นอย่างรุนแรง

 

 

 

『เมื่อความชั่วร้ายได้สูญสิ้น เกียรติแห่งพวกเราก็คงมอดดับ』

 

 

หุ่นที่ร่อนลงมาได้ทำการขยี้ตึกที่อยู่ใต้เท้าอย่างง่ายดาย ราวกับต้องการบอกถึงภัยคุกคามที่มันสร้างได้

 

ผู้คนที่กลัวจนขยับไปไหนไม่ได้ก็กรีดร้องออกมา

 

เหล่าคนที่ขายังทำงานได้ดี ก็วิ่งหนีตายอย่างตื่นตระหนก

 

 

 

 

『ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย』

 

แม้ว่าหุ่นจะเปลี่ยนร่างเสร็จแล้ว เสียงประกาศก็ยังไม่จบสิ้น

 

น้ำเสียงเจ้าของเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและการดูถูกมนุษย์

 

 

 

 

『เป็นเพียงมนุษย์แท้ๆ แต่กลับเอาชีวิตรอดมาได้』

 

 

 

『ทว่าอย่าได้กังวล』

 

 

 

『พวกเราจะลงมือด้วยตัวเอง』

 

 

 

『จงน้อมรับ』

 

 

แท่งแสงขนาดใหญ่ได้ตกลงมาบริเวณใกล้กับร้านกาแฟที่พวกเราอยู่

 

ร่างที่ออกมาจากแท่งนั้นคือชายหญิงรวมกัน 5 คน

 

 

สิ่งที่ติดอยู่ตรงแขนของพวกเขาช่างคล้ายกับเครื่องแปลงร่างของพวกเราอย่างน่าแปลกใจ

 

 

「ว่าแต่ สิ่งนั้นอยู่ไหนละ? 」

 

「ใกล้ๆ นี้แหละ แต่ว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นจริงซะด้วย ช่างเป็นดาวเคราะห์ที่แสนสกปรก ระดับอารยธรรมก็ต่ำต้อย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกคนจากสถานที่แบบนี้จะทำลายคู่ต่อสู้แห่งโชคชะตาของพวกเราลงได้」

 

 

ชายร่างสูงได้พูดกับหญิงสาวผมยาว

 

พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ้มออกมาก่อนมองไปรอบๆ

 

 

「ถ้างั้นก็แค่ฆ่าคนแบบสุ่มๆ เดี๋ยวพวกมันก็คงจะออกมากันเองสินะ โวล สปี มัลก้า แปลงร่างซะ」

 

 

ฉันไม่ได้ยินเสียงของพวกมันจากระยะนี้

 

แต่มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

 

ชายอีกคนที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องจักรยิ้มออกมาก่อนพูดกับชายร่างสูง

 

 

 

「หึหึจะไม่เป็นไรเหรอ? ที่ใช้ความรุนแรงตั้งแต่เริ่มเลย」

 

 

「พวกเราคือความชอบธรรม พวกที่กำจัดวายร้ายก่อนพวกเราก็คือความชั่วร้าย」

 

 

จากนั้นก็มีผู้หญิงอีก2คนก้าวออกมาแล้วยื่นแขนไว้ตรงหน้าตัวเอง

 

ท่าทางช่างคล้ายกับท่าแปลงร่างของจัสติสครูเซเดอร์

 

 

「พวกเรามีที่นี่ก็เพื่อคว้าถ้วยรางวัล (อัลฟ่า) เหล่าเพลเยอร์เอ๋ย」

 

 

 

『INVASION START!! (เริ่มการรุกราน) 』

 

 

เสียงกึกก้องดังขึ้น

 

หลังจากเสียงนั้น ร่างของเอเลี่ยนทั้ง 3 ก็อาบไปด้วยแสง

 

 

 

ร่างของศัตรูได้เปลี่ยนไป อากาเนะกับคนอื่นๆก็เตรียมการรับมือทันที

 

สูทที่ปกคลุมร่างของพวกมันทั้ง 3 แบ่งสีได้เป็น น้ำเงิน ม่วง เขียว

 

พวกมันทำการหยิบอาวุธออกมาแล้วเล็งไปยังพลเมืองที่พยายามหลบหนีอย่างไม่ลังเล

 

 

『『『CHANGE → UP RIGING!! SYSTEM OF JUSTICE CRUSADE……!!』』』

 

 

 

「ไปกันเถอะทุกคน!」

 

「ปล่อยไว้บ่ได้เด็ดขาด!」

 

「ยกโทษให้ไม่ได้ มาขวางความสุข」

 

 

 

『โฮ่ พวกมันตรงนั้นไง!』

 

「งั้นก็เริ่มกันเลย!」

 

 

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

ทางฉันที่ไม่ได้พกโปรโตเชนเจอร์มาด้วยเลยดึงหมวกมาปิดใบหน้าเอาไว้แล้วรีบวิ่งออกจากร้านกาแฟก่อนจะตะโกนบอกคนรอบๆ

 

 

 

「ทุกคน รีบออกไปจากที่นี่ ! ให้มุ่งหน้าไปทางนั้น!! เร็วเข้า!!」

 

หากปล่อยให้วิ่งไปมั่วซั่วคงได้วุ่นวายกว่าเดิม

 

 

ฉันจึงพยายามอพยพคนไปตามเงาของอาคารเพื่อไม่ให้หุ่นสังเกตเห็น

 

 

 

「ให้ตายสิ พวกมันตัวบ้าอะไรกันฟะ!」

 

 

มนุษย์ต่างดาวงั้นเหรอ?!

 

แล้วทำไมไม่เห็นจะเหมือนกับเรมะล่ะ!!

 

ไม่สิเรมะเป็นมนุษย์โลกนี่หว่า!!

 

ในขณะที่ฉันกำลังพาคนอพยพโดยนึกถึงเรื่องที่ไม่เข้าใจในหัว ฉันก็เห็นเด็กคนหนึ่งล้มลงต่อหน้า

 

 

「ไหวหรือเปล่าเจ้าหนู ยืนได้ไหม?!」

 

「มะ ไม่เป็นไรครับ แต่คุณแม่……」

 

「เคนโตะ!」

 

 

ทันทีที่ฉันวิ่งมาช่วยเด็กที่กำลังล้มอยู่เพื่อกันไม่ให้เขาถูกเหยียบ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ของเด็กก็วิ่งเข้ามา

 

 

「รีบพากันหนีไปซะ! เดี๋ยวที่นี่จะกลายเป็นสนามรบแล้ว!」

 

「ข-ขอบพระคุณมากค่ะ! ทางคุณเองก็รีบหนีด้วยจะดีกว่านะคะ」

 

「อ้า ระหว่างทางก็ระวังด้วยล่ะ เอ้าไปได้แล้ว!!」

 

 

เสียงการต่อสู้ระหว่างจัสติสครูเซเดอร์กับมนุษย์ต่างดาวยังคงดังกึกก้อง

 

ไม่มีทางที่พวกเธอจะแพ้ได้ง่ายๆแน่

 

แม้ฉันจะเชื่อแบบนั้น แต่ก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมานิดหน่อย

 

 

「สูทแปลงร่างนั่นคล้ายกับของพวกเรา……」

 

การแปลงร่าง สูทที่ใส่ ลักษณะต่างๆมันคล้ายกับของพวกเรามาก มากเสียจนคิดว่ามันถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีเดียวกันไหมนะ

 

อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วพลังของพวกเรา―――

 

 

 

 

「……เสียงเงียบไปแล้วเหรอ……?」

 

การต่อสู้จบแล้ว? 

 

ฉันตั้งใจรีบมุ่งหน้าไปยังจุดปะทะ แม้จะไม่มีโปรโตเชนเจอร์อยู่กับตัว

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนฉันในตอนนี้ก็เป็นภาระมากกว่าตัวช่วย

 

 

 

「ไอ้เจ้าพวกโรคจิตนี่คิดจะจับฉันเหรอ ใช้นี่ซะสิ」

 

「……」

 

แม้จะเกิดความลังเลภายในใจ ฉันก็ตัดสินใจว่าต้องไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ถึงจะแปลงร่างไม่ได้ แต่ฉันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเธอ…เอ๋?!

 

 

 

「———โปรโตเชนเจอร์!? ได้ยังไงกัน!?」

 

 

ดะดะดะเดี๋ยวก่อนสิมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วถ้าฉันใช้มันโดยไม่ได้รับอนุญาตจะโดนดุไหมเนี่ย?!

 

ก่อนจะรู้ตัว โปรโตเชนเจอร์ก็มีอยู่ในข้อมือของฉันแล้ว

 

 

 

 

「……โถ่เว้ย ไม่ใช่เวลามากังวลแล้วนะเห้ย!!」

 

 

ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้ามีเจ้านี่ฉันก็แปลงร่างได้

 

ฉันทำการกดปุ่มด้านข้างสามครั้งเพื่อแปลงร่างกันที

 

 

 

『CHANGE——PROTO TYPE ZERO0……』

 

 

เมื่อฉันแปลงร่างเสร็จ คนที่กำลังวิ่งหนีใกล้ๆฉันก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกันและหยุดวิ่งทันที

 

 

 

 

「เอ๋ อัศวินดำ!?」

 

「อัศวินดำอยู่ที่นี่เหรอ!?」

 

「บ้าน่า!?」

 

「ทุกคนรีบหนีไปได้แล้ว! ตรงนี้ไม่ใช่ที่ปลอดภัย!!」

 

 

ฉันไล่ให้พวกเขาหนีไป และมุ่งหน้าไปหาพวกอากาเนะ

 

ฉันวิ่งฝ่าผู้คนทั้งหมดด้วยพลังที่มี ใช้ป้าย กำแพงต่างๆเป็นที่ปีนป่ายเพื่อให้ไปถึงยังสถานที่ที่พวกสาวๆต่อสู้ ไม่นานนักก็เห็นพวกเธอ ทว่า

 

 

 

 

「พวกเธอ!!」

 

 

ภาพตรงหน้าคืออากาเนะ คิราระ อาโออิกำลังนอนกองอยู่กับพื้น

 

สูทแปลงร่างของพวกเธอถูกปลดออก ร่างของพวกเธอถูกชายที่สวมสูทแปลงร่างกำลังเตะอยู่

 

 

 

 

「โฮ้ เจ้าพวกนี้แย่ชะมัด」

 

「แต่ว่าเจ้าพวกคนเถื่อนนี่ไม่ไหวจริงๆ」

 

「หากระดับสติปัญญาไม่ใช่แบบนี้พวกเราคงแย่」

 

 

น้ำเงิน เขียว ม่วง จัสติสครูเซเดอร์จีนแดง พวกมันกำลังคุยกันอยู่

 

ข้อแตกต่างของสูทที่พวกมันสวมกับสูทของจัสติสครูเซเดอร์ก็คือความหนาของเกราะและอุปกรณ์เสริมที่ถูกติดเอาไว้

 

ทว่าท่าทางของพวกมันช่างดูห่างไกลกับสิ่งที่ฮีโร่ความกระทำ นั่นสิพวกมันเป็นผู้รุกรานจากต่างดาวนี่หว่า

 

 

「เอาเท้าของพวกแกออกไปซะ」

 

「……โฮ่ คราวนี้เป็นวัตถุโบราณมาออกโรงกับเขาบ้างเหรอ」

 

 

ชายร่างสูงผมบลอนด์เหมือนจะสังเกตเห็นตัวตนของฉันแล้ว

 

 

 

「แอ็กซ์ ไอนั่นมัน?」

 

「โหววว นัมเบอร์ 000-1 งั้นเหรอ จะว่าไปมันก็ถูกขโมยไปด้วยนี่นะ ว่าแต่ทำไมมีคนใช้งานมันได้กันล่ะ? ในบันทึกการทดลองยังไม่เห็นมีรายงานว่าประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง」

 

 

สาวผมยาวมองมาที่ฉันราวกับจะตรวจสอบบางอย่าง

 

 

「ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวปล่อยให้ 3 คนนั้นจัดการไปเถอะแค่คนเดียวเอง」

 

「หื้ม โบล สปี มัลก้า พวกแกพลาดกันไปทีหนึ่งแล้ว อย่าให้ซ้ำรอยล่ะ」

 

 

 

ชายผมยาวไม่ได้สนใจฉันและหันไปพูดกับ 3 หน่อจีนแดง 

 

ทางฉันก็เลยสังเกตอาการของพวกเรด ท่าทางพวกเธอจะได้รับบาดเจ็บพอสมควรแต่ไม่ถึงชีวิต 

 

ทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนร่างกลับเป็นปกติได้ทั้งๆที่ยังสวมจัสติสเชนเจอร์ล่ะ?

 

 

 

「……เอางี้เป็นไง ฉันจะให้โบนัสกับคนที่สามารถจัดการวัตถุโบราณนั่นได้ก่อน」

 

「หา แค่เอาชนะไอ้หมอนั่นอ่านะ!!」

 

「ไม่หมูเกินไปหน่อยหรือไง!!」

 

「เอ้า ขอเปิดก่อนละกัน」

 

 

นี่พวกมันเห็นเป็นเรื่องเล่นหรือไงวะ?

 

ความรู้สึกโกรธได้พวยพุ่งออกมาจากใจของฉัน ไอ้พวกมนุษย์ต่างดาวบ้านี่มันต้องการอะไรกันแน่

 

 

จากที่พวกมันพูด มันเห็นว่าการรุกรานครั้งนี้เป็นแค่เกมงั้นเหรอ ก็มาสิวะ เดี๋ยวจะให้ได้เห็นของจริงเองว่าเป็นยังไง

 

 

 

「คัตสึมิคุง! เจ้าพวกนี้มัน――」

 

「หุบปากไปซะเจ้าชั้นต่ำ」

 

「อึก……!?」

 

 

จัสติสจีนแดงสีม่วงเตะร่างของเรด

 

ทันทีที่ฉันเห็นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ฉันก็คิดแล้วว่า ฉันเดือดสุดๆเลยว่ะ

 

 

「เอาละ งั้นก็แกคนแรกเลย――」

 

 

 

ฉันพุ่งเข้าไปกระซวกหน้าอกของสีม่วงที่เตะเรดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้านเอาหัวใจของมันออกมา

 

 

 

「———อะ?」

 

 

ไม่จำเป็นต้องลังเล

 

หากจัสติสครูเซเดอร์โดนต้อนถึงขนาดนี้ได้พวกมันต้องไม่ธรรมดา

 

ฉันจึงทำการขยี้หัวใจของมันทิ้งทันที

 

 

 

「หา? โบล――」

 

 

จากนั้นฉันก็พุ่งไปหาหญิงสาวที่กำลังช็อคจนตัวแข็งเพราะเห็นเพื่อนตายอยู่ใกล้ๆ ฉันทำกระชากคอของเธอก่อนจะใช้หมัดอัดเข้าที่หัวจนแหลกไม่เหลือซาก

 

 

 

「โวล?! สปี?! ตายแล้วงั้นเหรอ ได้ยังไง?!」

 

「พวกเอ็งไม่กากเกินไปหน่อยเหรอวะ!」

 

 

 

 

กระจอกเกินไปไหม เห้ยถามจริง ทำไมพวกเรดถึงได้แพ้ให้กับเจ้าพวกนี้ได้ล่ะ?!

 

เป็นไปไม่ได้!! ว่ากันตามตรงสู้กับสัตว์ประหลาดยังจะตึงมือกว่านี้อีก

 

 

 

「ด-ได้ยังไงกัน ชุดขยะแบบนั้น ทำไมถึง!」

 

 

สีน้ำเงินได้เล็งปืนมาทางฉัน

 

ลำแสงสีน้ำเงินถูกปลดปล่อยออกมาจากปากกระบอก ทว่าก็ยังช้าไปแถมเล็งมั่วซั่วชิบ

 

 

 

「หากันด้วยมือเปล่า?! ลำแสงที่สามารถหลอมละลายทุกชีวิ―――」

 

 

ฉันทำการผ่าลำแสงนั้นออกด้วยมือที่ทำเป็นรูปดาบ ก่อนจะเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายและต่อยเน้นๆ

 

แม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ปืนกันได้ทัน แต่สภาพนั้นคงจะลุกขึ้นมาไม่ไหวไปอีกสักพัก

 

 

 

 

「รับมือกับบลูยังลำบากกว่าตั้งเยอะ」

 

「อุ ขอบคุณที่ชม……」

 

「ยังไหวอยู่นี่เธอน่ะ」

 

 

สำหรับตอนนี้ ฉันต้องช่วยเหลือพวกพ้องไม่ให้ถูกจับเป็นตัวประกันเสียก่อน

 

หากพวกเธอยังขยับกันไหว ก็คงต้องถอย…?!

 

 

 

「……!」

 

 

ฉันยกแขนขึ้นมาป้องกัน ก่อนจะรับสัมผัสที่รุนแรงเข้าจังๆ

 

ร่างของฉันถอยไปประมาณสองสามเมตร ไอ้เวรผมทองนั่นมันใช้ขาเตะลงมางั้นเหรอ

 

….รุนแรงชิบ

 

 

「ฉันเวก้า」

 

「ใครสนวะ」

 

 

ฉันไม่สนใจชื่อของมันแล้วรีบเข้าจัดการทันที

 

 

 

「น่าเสียดาย แต่แกกับฉันมันคนละระดับ」

 

 

ในระหว่างที่ฉันจะชกมัน ฉันสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างถูกตัดออกจากสูทกับตัวของฉัน

 

ฉันสัมผัสไม่ได้ถึงพลังของสูทอีกต่อไปและถูกบังคับให้ปลดกลับเป็นร่างปกติ

 

โปรโตเชนเจอร์หลุดออกจากข้อมือ

 

 

 

「หา!? โปรโตเชนเจอร์―――!?」

 

 

ถูกบังคับให้ปลดออกเหรอฦ+

 

ทันทีที่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็ถูกชายคนนั้นเตะเข้าให้

 

ฉันล้มลงกับพื้นทันที จากนั้นเท้าของมันก็เข้ามาเหยียบบนหลังฉัน

 

 

 

「โฮ่ ดูเหมือนจะลำบากนะ แต่ถึงจะสู้กันฉันก็ไม่แพ้แกหรอก เอาเถอะแย่หน่อยนะ ที่ดันมาใช้เทคโนโลยีของพวกเรา」

 

「นี่พวกแก บังคับการแปลงร่าง……」

 

「ไม่รู้นะว่าไปขโมยสูทพวกนี้มายังไง แต่โครงสร้างพวกนี้ไม่ต่างกับสูทที่พวกฉันใช้เลย แล้วทำไมพวกฉันจะไม่มีวิธีรับมือกับมันกันล่ะ ผลลัพธ์มันก็เห็นๆอยู่แล้ว การที่กล้าเข้ามาสู้ไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร」

 

 

นี่สินะสาเหตุที่พวกจัสติสครูเซเดอร์แพ้!!

 

หากถูกปลดการแปลงร่าง ทั้งฉันและพวกสาวๆก็ไม่ต่างกับคนปกติ

 

แม้ว่าจะต่อยตีกับคนปกติไหว แต่หากเป็นเจ้าพวกนี้ถึงสู้ถวายหัวก็คงไม่รอด

 

 

「แต่ก็น่าทึ่งนะ ที่สามารถทำให้เจ้า 3 คนนั่นหมดสภาพในทันทีได้!! ขอเก็บหมอนี่ไว้สร้างเด็กได้ไหม เผื่อไว้ใช้ทดลองทำนั่นนี่ส่วนตัวด้วย」

 

「คงไม่ได้」

 

「ไม่ได้จริงเหรอ!?」

 

 

ยัยผู้หญิงนี่จ้องมาทางฉันไม่วางตาเลย

 

ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ฉันต้องซื้อเวลาเพื่อให้พวกอากาเนะหนีแล้วสิ

 

 

 

 

「แต่ถ้าเอามาเป็นคนของเราอันนี้คงไม่เลว」

 

「ใช่ไหมล่ะ! ฉันมั่นใจเลยว่าหมอนี่จะต้องกลายเป็นเพลเยอร์ที่สุดยอดแน่ๆ!!」

 

 

 

 ———หา?

 

ใครมันจะไปอยากเป็นพวกกับแกกันวะ!! ก่อนที่ฉันจะตะโกนออกไป ชายผมทองก็คว้าคอของฉันเอาไว้

 

 

 

「……คึก」

 

 

เวก้ายกร่างของฉันด้วยมือเดียว

 

แรงบีบมันทำให้ฉันหายใจได้ลำบาก ระหว่างนี้อีกฝ่ายก็เริ่มพูดกับฉัน

 

 

 

「ไอ้หมอนี่คือโอเมก้า」

 

「!?」

 

「ทีนี้แกคือ ผู้ยุติแห่งจุดเริ่มต้นหรือว่าผู้กุมความลับกันล่ะ?」

 

「……คุ」

 

 

ไอ้หมอนี่พูดอะไรของมันวะ

 

โอเมก้า?!

 

มันเข้าใจเลยสักนิดเว้ย!!

 

 

 

「อัลฟ่าอยู่ไหน?」

 

「ฉันฆ่าเธอไปแล้ว」

 

「โฮ่ย อย่ามาทำเฉไฉ พวกมนุษย์โลกมันชอบทำอะไรเสียเวลาจริงๆ พูดความจริงออกมาซะ!」

 

 

มันเตะเข้าที่ท้องฉัน

 

ฉันพยายามกัดฟันทน แต่อีกฝ่ายก็เตะไม่หยุด

 

ไม่ว่าจะเค้นคำตอบสักแค่ไหนก็เหมือนเดิม

 

เพราะอัลฟ่าตายไปแล้ว

 

ด้วยมือของฉันเอง―――、

 

 

 

「คัตสึมิ!」

 

 

 

「! ฮ่า ก็อยู่นี่」

 

 

ทันใดนั้นเอง เวก้าก็หยิบบางอย่างที่เหมือนกับเชือกโยนไปยังความว่างเปล่า

 

ในจังหวะที่ฉันคิดว่ามันกำลังทำอะไร ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏออกมาให้เห็น

 

 

「อะไรกันคุมตัวเองไม่ไหวจนต้องโผล่หางมาเลยเหรอ? สงสัยผู้ชายคนนี้ลงสำคัญกับเธอมากสินะ….พลังเหมือนจะพัฒนาจนพวกเราไม่สามารถตรวจจับได้เลยเหรอนี่」

 

「……คึก อึก……」

 

 

 

「แต่ว่า ไม่เคยเห็นใครน่าดึงดูดขนาดนี้มาก่อนเลย」

 

 

หญิงสาวผมสีดำถูกลากไปมาด้วยเชือกแสง

 

รูปร่างหน้าตาของเธอที่ปรากฏให้เห็นมันทำให้ความทรงจำของฉันกลับมา

 

ความทรงจำที่ใช้ร่วมกับเธอ

 

ในคืนนั้น ฉันตัดสินใจลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับเธอเพื่อปกป้องเธอ

 

บัดนี้ความทรงจำเหล่านั้นมันค่อยๆหลั่งไหลเข้ามา

 

 

 

「อัลฟ่า ทำไมถึงไม่หนีไปล่ะ……!」

 

「เพราะว่าถ้านายตาย….มันก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ มันจะไปมีความหมายอะไร…」

 

「แต่ถ้านั่นมันทำให้เธอเจ็บปวดคิดว่าฉันจะมีความสุขเหรอ!!」

 

 

ฉันต้องลบมันไปให้หมดเพื่อปกป้องเธอ

 

หากฉันตายก็จะไม่มีใครหาอัลฟ่าได้เจออีก

 

ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ!

 

 

 

「เป็นใบหน้าที่งดงามจริงๆ นี่มันเป็นถ้วยรางวัลที่ทรงคุณค่าเหลือเกินสำหรับการเดินทางคราวนี้」

 

「……คุ」

 

 

เวก้าจับคางของอัลฟ้าขึ้นมาในขณะที่เธอถูกมัดนอนอยู่กับพื้น แล้วยิ้มอย่างมีชัยขณะมองหน้าเธอ

 

 

 

 

「ได้ตัวอัลฟ่ามาแล้ว ทีนี้พวกมนุษย์จะเป็นยังไงก็ช่าง」

 

「แล้วนายจะทำยังไงต่อล่ะ? กลับไปที่ยานแล้วระเบิดเมืองให้หมดไหม?」

 

 

ยาน หุ่นนั่นสินะ

 

แปลว่าฐานหลักของพวกมันก็คือหุ่น

 

 

 

「ไม่หรอกๆ แบบนั้นมันไม่เห็นจะสนุกด้วย ด้วยระดับอารยธรรมของดาวดวงนี้ยังไงก็ไม่มีทางเจาะบาเรียของยานไหว ดังนั้นคงต้องทำอะไรให้มันน่าสนใจสักหน่อย」

 

「อยากได้การแสดงที่น่าตื่นใจหน่อยสินะ?」

 

「เอาเป็นเรียกนัมเบอร์ 000-2 มาที่นี่ซะ」

 

 

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าแอ็กซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ก่อนจะกดปุ่มบางอย่างตรงแขนของเธออย่างสนุกสนานราวกับคาดหวังสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้

 

 

 

「อัลฟ่า ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่าโอเมก้าของเธอจะกลายเป็นพวกของฉันแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน ถึงโอกาสรอดจะน้อยก็เถอะ」

 

「……คึก คัตสึมิ ไม่มีทางอยู่ข้างพวกแกหรอก…นอกจากนี้เขาไม่ได้ง่ายๆแน่!」

 

「เป็นแค่มนุษย์กระจอกงอกง่อย จะมาบอกไม่ตายง่ายๆเหรอ หึ บอกไว้เลยถึงหมอนี่จะตายไปฉันก็ยังสามารถเอาศพไปใช้ประโยชน์ได้」

 

 

เวก้าที่จับร่างของฉันเอาไว้อยู่หัวเราะออกมา

 

นี่มันวางแผนจะทำอะไรกันแน่นะ!!

 

「แอ็กซ์ เสร็จหรือยัง?」

 

「อ้า ตามที่นายขอ เครื่องสร้างชีวมวล」

 

 

แสงสีขาวปกคลุมกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งโผล่มาในมือของแอ็กซ์

 

กล่องที่ถูกปกคลุมด้านหนึ่งด้วยสิ่งที่คล้ายตาข่าย วัสดุที่สร้างขึ้นมาไม่น่าจะใช่ของที่หาจากโลกนี้ได้เลย

 

 

 

『———กรอ、———กรอออ!!』

 

「โอ้ โอ้ว ไอ้เจ้านี่ดุชะมัดถึงขั้นแยกเขี้ยวใส่พวกเราด้วยเหรอ」

 

「เปิดการทำงาน」

 

เมื่อกล่องถูกเปิดออกมา หมาป่าขนาดเท่าฝ่ามือก็กระโดดออกจากกล่องนั้น

 

รูปร่างของมันคล้ายกับหมาป่าเครื่องจักรสีขาว ที่มีดวงตาสีเหลืองและเขาติดที่หลัง มันโจมตีเวก้าทันทีที่ออกจากก่อง

 

ทางเวก้าจึงใช้มือคว้าร่างของมันอย่างรุนแรงและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหัวแข็มขัดรูปสี่เหลี่ยม

 

 

 

「มันหมอนี่มันเข้าได้กับแกนพลังงานของ 000-1 ก็น่าจะใช้ทดลองความเข้ากันได้ของไอนี่ด้วย ยังไงเดิมทีมันก็เป็นแฝดพี่น้องนี่นะ」

 

「อุ อึก……!」

 

 

คราวนี้มันยกร่างของฉันขึ้นมาอีกครั้ง

 

「นี่คือเข็มขัดที่จะดูดซับพลังชีวิตของผู้สวมแล้วใช้เป็นพลังขับเคลื่อน ถ้าจะตั้งชื่อให้ก็คง…อืม….『ดัสไดรเวอร์』ทีนี่มาลองเล่นเกมกันหน่อยไหม? หากแกสามารถเข้ากันได้ฉันจะให้แกมาเป็นหุ่นเชิดของพวกฉัน แล้วไปสนุกกับเกมล่าดวงดาวด้วยกัน———รู้สึกเป็นเกียรติเสียสิ」

 

 

ฉันจ้องมองเวก้าที่กำลังอวดเข็มขัดในมือโดยไม่ได้สนใจการขัดขืนของฉันเลย

 

 

 

「ก่อนอื่นก็ต้องมาเรียนรู้การล่ามนุษย์สินะ? เอาเถอะนี่ก็เป็นแบบทดสอบที่พวกเราทุกคนเคยผ่านมาด้วยสิ」

 

「……อึก!」

 

「แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น…แกจะรอดจากตรงนี้ไปได้ไหมนะ」

 

 

เวก้าทำการกดเข็มขัดลงไปที่หน้าท้องของฉันอย่างแรง

 

ทันใดนั้นเองแถบแสงจากหัวเข็มขัดก็พันรอบเอวของฉันและคันโยกบริเวณหัวเข็มขัดก็เริ่มทำงานเองราวกับถูกบางอย่างกระตุ้น

 

 

 

พวกมันคือคู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชนะได้หากการแปลงร่างของคัตสึมิคุงไม่ถูกยกเลิก

 

ทว่าไม่ว่าจะมองจากมุนไหน อีกฝ่ายก็ใช้เทคโนโลยีเดียวกับพวกเรา

 

ไม่ใช่แค่นั้นพวกมันยังทำให้พวกเราและคัตสึมิคุงจนมุมจนตกอยู่ในภาวะที่สิ้นหวัง

 

 

 

「อึก อ้ากกก!!」

 

 

หัวเข็มขัดที่ติดอยู่ตรงหน้าท้องของคัตสึมิคุงทำการโจมตีร่างของเขาด้วยกระแสไฟฟ้าสีแดง ก่อนที่เขาจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

 

 

「「「คัตสึมิคุง!!」」」

 

 

เขาแทบจะยืนไม่ไหวและบิดตัวไปมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะมองมาที่พวกเรากับเด็กสาวคนนั้น

 

แม้จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ดวงตาของเขาก็ยังแสดงความไม่ยอมจำนนออกมา

 

 

「คัตสึมิ ไม่จริงน่า ไม่นะ!!」

 

 

หญิงสาวผมดำที่ถูกเรียกว่าอัลฟ่าพยายามตะโกนเรียนอีกฝ่ายอย่างสิ้นหวังในขณะที่เธอถูกเชือกแสงมัดเอาไว้

 

 

 

「คัตสึ……มิ」

 

 

เขาหลับตาลง

 

ร่างกายก็หยุดดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวด

 

 

 

『EAT KILL AL……จี………จีจี』

 

 

มีเสียงดังขึ้นมาครู่หนึ่ง และไฟฟ้าสีแดงที่ช็อตร่างของเขาก็หยุดก่อนจะไปรวมกันตรงบริเวณหัวเข็มขัด

 

จากนั้นพลังงานสีแดงก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างของเขาทันที

 

『PERFECT!!』

 

 

เสียงประกาศที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้ดังขึ้น

 

ราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้กับการดำเนิดของบางสิ่ง ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่เหล่าผู้รุกรานก็สับสันเหมือนกัน

 

 

 

『ALL→ALL→ALL→ ALMIGHTY!!!』

 

 

แสงที่ปกคลุมร่างกายของเขาได้สร้างชุดเกราะหลายชั้นขึ้นในอากาศ

 

 

 

『THE ENEMY OF JUSTICE……』

 

 

ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปประกอบกับร่างของเขา

 

ก่อนจะปิดท้ายด้วยแถบ 3 สี แดง เหลือง น้ำเงินเข้าไปประกอบตรงหน้าอกของเขา

 

 

『『『TRUTH FORM!!!』』』

 

 

เสียงดังกล่าวได้ซ้อนทับกัน สิ้นเสียงนั้นควันก็ได้พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาเหมือนกับบ่งบอกว่าการแปลงร่างเสร็จสิ้นแล้ว ลักษณะของสูทตอนนี้คือสีขาวซึ่งตรงข้ามกับสีดำที่เขาใช้มาโดยตลอด

 

บัดนี้เขา 3 เขาได้งอกยื่นออกมาจากบริเวณหน้าผาก มีเส้นลวดลายสีเหลืองลากลงมาคล้ายกับน้ำตาอยู่ใต้ดวงตากลมโตทั้งสองข้าง

 

เกราะบริเวณ แขน ไหล่ หน้าอก ขา ก็บางกว่าร่างก่อน แถบสีแดงน้ำเงินเหลืองได้ถูกสลักเอาไว้บนอกขวา

 

ฉันอดตะลึงกับร่างที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้จริงๆ สูทตัวใหม่ที่มีรูปร่างผอมเพรียวนี้

 

 

「……ฮ่าๆ ฉันว่าแล้ว! ว่าแกต้องทำได้!! เข้ากันได้อย่างที่คิด ฮ่าๆๆ!!!」

 

 

้เวก้าเดินปรบมือเข้าไปหาคัตสึมิคุงอย่างเป็นมิตร

 

นี่เขาถูกล้างสมองไปแล้วงั้นเหรอ?

 

 

 

 

「……ไม่นะ..ไม่เอา……」

 

 

นี่เขาจะกลายเป็นศัตรูกับฉันจริงๆเหรอ

 

เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของพวกเราจะไม่มีอีกแล้วเหรอ

 

ฉันพยายามเอื้อมมือออกไปขณะกลั้นน้ำตาที่จะไหลลงมา

 

จากนั้นเขาก็หันหน้ากากมามองที่ฉัน

 

 

 

 ―――ความตั้งใจของเขามันถ่ายทอดออกมาผ่านหน้ากากนั้นว่าตัวตนของเขายังคงอยู่

 

 

 

「ต่อจากนี้แกก็คือพวกพ้องของฉัน!! เอ้าจากนี้ก็ฝากตัวด้วยล่ะสหาย――」

 

「หุบปาก」

 

「หา?」

 

「น่ารำคาญเว้ย!!」

 

ร่างของนักรบชุดขาวถูกโอบล้อมไว้ด้วยอนุภาคแสง

 

ทันใดนั้นหมัดของเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อใส่ผู้เป็นศัตรูอย่างรุนแรงเท่าที่มันจะทำได้

 

 

การโจมตีนั้นได้สร้างคลื่นแสงขนาดใหญ่หมายจะเข้าปะทะร่างของเวก้ากับแอ็กซ์

 

 

ทว่าก่อนที่คลื่นนั้นจะโดนตัวพวกเขา ก็เกิดการระเบิดลงเสียก่อน ถึงพวกเขาจะไม่โดนตรงๆ แต่มันก็ทำให้พวกเขากระเด็นต่อไปได้ ทว่าเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายระวังตัว

 

 

 

 

「ทะ-ทำอะไรของมันกัน?!」

 

「อย่างที่คิด เข้ากันได้จริงๆ สินะ?! แต่ว่าการล้างสมองล่ะได้ยังไงกัน?!」

 

「……อยู่ดีๆ ก็โจมตีมาจนนึกอะไรไม่ทันเลย….」

 

 

คัตสึมิคุงที่ได้รับเครื่องแปลงร่างมาจากเอเลี่ยน ยังสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ ก่อนจะมองไปทางเวก้าและแอ็กซ์อย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินไปหาเด็กสาวที่ถูกจับและกระชากเชือกแสงออกด้วยมือเปล่า

 

 

 

「อัลฟ่า หนีไป」

 

「คะ-คัตสึมิ……」

 

「หนีไป!! ลืมสัญญาของพวกเราแล้วเหรอ!!」

 

「…ไม่เอา! นายบอกจะอยู่กับฉันไม่ใช่หรือไง!! ดังนั้นฉันก็จะขออยู่เคียงข้างนายตลอดไ――」

 

「ไปซะ!!」

 

 

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าอัลฟ่าหงอยไปทันทีหลังถูกคัตสึมิคุงดุ จากนั้นเธอก็วิ่งหนีแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

คัตสึมิคุงที่ไล่เธอไปเสร็จก็หันไปหาพวกเวก้าพร้อมกำหมัดแน่น

 

 

 

 

「มาให้ฉันใส่สูทแปลกๆ ซะได้นะ ไอ้ผู้รุกราน!」

 

 

 

「ท-ทำไมกัน…! เป็นไปไม่ได้!! ทำไมถึงไม่ถูกล้างสมองล่ะ?! มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ชั้นต่ำจะควบคุมได้แท้ๆ!!」

 

 

การล้างสมองไม่ได้ผลกับคัตสึมิคุงงั้นเหรอ?

 

เวก้าที่ตกใจกับความจริงนี้รีบดึงสติกลับมาทันที

 

 

「เอาเถอะ แต่ถ้าถูกยกเลิกการแปลงร่างไปก็ไม่ใช่ปัญหา แอ็กซ์」

 

「รับทราบ……」

 

 

แอ็กซ์ทำการควบคุมอุปกรณ์ตรงแขนของเธอ

 

เป้าหมายคือการยกเลิกการแปลงร่างของคัตสึมิคุงเหมือนคราวก่อนงั้นเหรอ?!

 

 

「……หา!? ยกเลิกไม่ได้!? 」

 

「หมายความว่ายังไง!? 」

 

「พลังงานที่ปล่อยออกมาจากสูทมันไม่ใช่ตัวเดียวกับที่พวกเราใช้!! ตัวเข็มขัดเองก็ปฏิเสธการแทรงแซงจากทางเรา บ้าน่า?!」

 

 

ยกเลิกไม่สำเร็จเหรอ?

 

เหมือนว่าเวก้าเองก็ไม่สามารถสงบสติได้อีกแล้ว เมื่อเห็นแอ็กซ์ทำท่าตระหนก

 

 

「จะบอกว่าแกนกลางของเข็มขัดมีเจตจำนงที่จะต่อต้านได้――」

 

「พวกแกคุยกันเสร็จหรือยัง? 」

 

 

นักรบสีขาวได้ปลดปล่อยความโกรธออกมา

 

ใบหน้าของเวก้าและแอ็กซ์ซีดลงทันที

 

 

 

「ถ้างั้น เป็นตาของฉันแล้วสินะ? 」

 

 

พื้นดินเกิดเสียงระเบิดลั่น ก่อนร่างของเวก้าจะโดนโจมตีด้วยพลังอันมหาศาล

 

ทั้งสองที่เห็นแบบนั้นก็รีบแปลงร่างทันที

 

สูทสีเงินกับทองได้ปรากฏขึ้นทว่าลักษณะของมันต่างจาก 3 คนก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

 

เรนเจอร์สีทองซึ่งภายในก็คือแอ็กซ์ได้ชี้ฝ่ามือไปยังคัตสึมิคุงก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

 

 

「ชิ ไอ้ลิงนี่โดนพลังแรงโน้ม―――」

 

「หุบปาก!!」

 

「อ๊ากกก!? 」

 

 

ก่อนที่แอ็กซ์จะได้ใช้พลัง เธอก็ถูกเตะกระเด็นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หมัดของคัตสึมิคุงจะเข้าไปโจมตีเวก้าที่สวมสูทสีเงินอยู่

 

ความเร็วนี้มันเหนือกว่าโปรโตสูทเสียอีก พลังขับเคลื่อนก็เหมือนจะก้าวไปอีกระดับ

 

 

 

「ไอ้สารเลวคิดจะมาทำอะไรกับโลกของฉันโดยไม่บอกกล่าววะ?!」

 

「อย่ามาทำเป็นได้ใจ ไอ้มนุษย์!! คิดว่าฉันจะไม่มีของที่เสริมแกร่งมาเพื่อฉันโดยเฉพาะหรือไง เสริมพลังสูทระดับดวงดารา!!」

 

 

ชุดเกราะได้ถูกสร้างขึ้นมาติดเข้ากับสูทของเวลา

 

 

 

「แกมันก็แค่ของโบราณล้าสมัยเป็นได้แค่เศษเหล็กเ―――」

 

「หุบปากเว้ยยยย!!」

 

 

คัตสึมิคุงโจมตีเข้าไปที่หัวของเวก้าทันที

 

ไม่ว่าจะเพิ่มเกราะมาสักแค่ไหน พอโดนแบบนี้ไปก็ไร้ประโยชน์

 

 

 

「อย่ามัวแต่บ่นแล้วแสดงฝีมือออกมาสิวะ!!」

 

「แกนะแก」

 

「จะมาพูดให้ฉันโกรธมากขึ้นทำไมกันวะ!!」

 

 

เขาทำการฉีกกระชากสูทที่เสริมมาของเวก้าทิ้ง ก่อนจะโจมตีซ้ำ

 

ลักษณะการต่อสู้ของเขาไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาเป็นอัศวินดำเลยสักนิด

 

 

 

「ยะ หยุดนะ……」

 

「เห้ยๆ นี่มันเป็นเกมนะเว้ย! เป็นเพลเยอร์ไม่ใช่เหรอวะ!! จะมากลัวอะไรเอาตอนนี้!!」

 

「อ๊ากก」

 

「ฉันละมีเรื่องอยากจะุยกับพวกแกอีกหลายเรื่องเลย!!」

 

 

้เขาคว้าแขนของเวก้าแล้วจับฟาดพื้นสลับไปมาซ้ำๆ

 

ร่างกายของเวก้าถูกเหวี่ยงฟาดไปมาอย่างรุนแรง เขาร้องจนเสียงหลง หนักเสียจนพวกฉันในไม่กี่นาทีก่อนนึกภาพไม่ออกเลยสักนิด

 

 

 

「อ้ากกกก ม่ายยยยยย」

 

「อ้า เอ้านี่!!」

 

 

เขาโยนเวก้าขึ้นไปบนฟ้า เศษเลือดและชิ้นส่วนของสูทได้ลอยตามไปด้วย ก่อนที่เขาจะยกกำปั้นขึ้นและ―――

 

 

 

「ฉันลืมไปเลยว่าต้องเอาค่อยตอนที่โดนแกเล่น!!」

 

「อ๊าคคค!? 」

 

 

 

———เขาต่อยเวก้าอย่างรุนแรงจนร่างของเวก้าถูกพัดกระเด็นไปหลายสิบเมตร

 

 

 

 

「โอเวอร์คิลเกินไปไหม……」

 

「หรือเพราะมันเป็นอุปกรณ์ของพวกเอเลี่ยนเลยเป็นแบบนั้นนะ? 」

 

「น่าจะ……」

 

 

สิ่งเดียวที่พวกฉันทำได้คือจ้องมองการต่อสู้พร้อมกับประคองร่างตัวเองที่บาดเจ็บเอาไว้

 

ในจังหวะที่คัตสึมิคุงจะตามไปโจมตีอีกฝ่ายต่อ เขาก็หยุดนิ่งไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

 

อะไรกัน หรือเขาจะถูกโจมตีจากสิ่งที่มองไม่เห็น?

 

 

 

 

「……โฮ่ เป็นเข็มขัดที่ใจดีชะมัด! ไอนี่มันสอนวิธีการใช้มันในหัวของฉันได้ด้วยวุ้ย!!」

 

「หะ……!? ปะ-เป็นไปไม่ได้ ฟังก์ชั่นแบบนั้นไม่เห็นจะ――」

 

「ถ้าบอกกันมาแบบนี้ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช่ป่ะ….!」

 

 

คัตสึมิคุงเอื้อมมือไปตรงหัวเข็มขัดแล้วดึงตัวสไลด์ที่อยู่ข้างๆ หนึ่งครั้ง

 

จากนั้นหัวเข็มขัดหมาป่าก็ส่งเสียงร้องออกมาราวกับยินดี

 

 

 

 

『FLARE RED!! →OK? 』

 

 

ราวกับเป็นการส่งคำตอบ เขาแตะปุ่มที่อยู่ด้านบนหัวเข็มขัดเบาๆ

 

 

 

『CHANGE!! →TYPE RED!!』

 

 

หลังได้ยินเสียงเอฟเฟคที่ไม่ค่อยจะจำเป็นในการต่อสู้เท่าไหร่ แผนสี3แถบบนอกของเขาก็ถูกย้อมด้วยสีแดง พลังงานสีแดงค่อยๆ ไหลผ่านร่างของเขา จนทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยสีแดง

 

ตัวเขาในร่างเพลิงพุ่งไปหาเวก้าที่กำลังพยายามฟื้นฟูร่างตัวเองด้วยเครื่องจักรบางอย่าง

 

 

「เอาไปกิน!!」

 

 

ทว่าเวก้าก็ไม่ได้คิดจะโดนอยู่ฝ่ายเดียว เขาได้ทำการยิงลำแสงปืนใหญ่ที่ติดอยู่บริเวณแขนทั้งสองข้างของตน

 

การโจมตีนั้นได้หลอมละลายทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านไป ก่อนจะกระทบเข้ากับร่างของคัตสึมิคุงจังๆ ทว่า―――

 

 

 

 

「ก-การโจมตีไม่ได้ผล…?! บาเรียบ้าบออะไรกัน!!」

 

 

การโจมตีของมันเปล่าประโยชน์ มันไม่สามารถทำอะไรร่างกายของเขาได้เลยสักนิด

 

แม้ว่าทางคัตสึมิคุงจะรับการโจมตีนั้นไปเขาก็ไม่ได้หยุดลงและเข้ามาใกล้เวก้า

 

เขาทำการกระชากคอของอีกฝ่ายแล้วทุ่มกระแทกกับพื้น

 

 

 

「ย้ากก!!」

 

「อ๊ากกกก!!」

 

 

เวก้าถูกการโจมตีกระแทงเข้าไปจนพื้นเป็นหลุมราว เปลวไฟจากร่างของคัตสึมิคุงได้ปกคลุมร่างของอีกฝ่าย

 

เขาทำการสับหัวเข็มขัด 3 ครั้งก่อนหันฝ่ามือไปทางเวก้า

 

 

 

「ยินดีต้อนรับสู่โลก!! นี่ของขวัญรับแขก!!」

 

『DEADLY!! TYPE RED!!』

 

 

 

「ไม่นะ! หยุดเดี๋ยวนี้!! ม่ายยยย―――」

 

 

 

『FLARE EXPLOSION!!』

 

 

พลังงานเพลิงค่อยๆ รวมตัวควบแน่นก่อนจะเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นปล่องภูเขาไฟตรงนั้น

 

ทว่าผลกระทบของการโจมตีนั้นกลับไม่ได้สร้างความเสียหายโดยรอบเลยราวกับมีบาเรียคอยป้องกันเอาไว้ให้โดนเพียงแค่จุดจุดเดียว

 

 

 

「ระ รุนแรงมาก……อะไรกัน……? 」

 

「รู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วสิ」

 

「อากาเนะ คิราระ ดึงสติหน่อย คาแร็กเตอร์หลุดกันแล้วนะ……」

 

สิ่งที่ฉันทำได้คือเฝ้ามองเขาด้วยร่างกายอันปวดร้าว

 

อัศวินสีขาว ไม่สิ อัศวินขี่ม้าขาว พลังของเขาก้าวไปไกลกว่าที่เราคิดเอาไว้มาก

 

 

 

「มานี่เลย!」

 

「อะไรกัน!? 」

 

 

ทันใดนั้นเองไหล่ของฉันก็ถูกคว้าเอาไว้ ก่อนจะมีบางอย่างมากระทบกับหัวของฉัน

 

 

「……ไอ้เจ้าปีศาจ!! ปลดการแปลงร่างของแกซะ ไม่งั้นยัยพวกนี้ตายแน่!!」

 

「ไม่นะ คัตสึมิคุง อย่าไปฟังที่เธอพูด…」

 

 

อีกฝ่ายคือสีน้ำเงินที่ถูกคัตสึมิคุงโจมตีจนหมดสภาพไปก่อนหน้านี้ แย่แล้วสิฉันกลายเป็นตัวประกันให้อีกฝ่ายซะแล้ว

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้มีแต่จะเป็นภาระ

 

ดังนั้นแม้จะต้องสละชีวิตฉันก็―――

 

 

 

「ถ้าแกปล่อยเธอไปตอนนี้ ฉันจะไว้ชีวิต」

 

「หา? นี่แกบ้าหรือเปล่า? ไม่รู้หรือไงว่าฉันมีตัวประกันอยู่ในมือ? 」

 

「……」

 

「……อึก ยะ อย่ามาล้อกันเล่นนะเว้ย!!」

 

 

ด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่งของคัตสึมิคุง ปืนที่ตอนแรกจ่อหัวของฉันอยู่ได้เล็งไปยังเขาแทน

 

ปืนที่สามารถหลอมละลายทุกสิ่งได้

 

แม้จะเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ละสายตาจากฉันที่ถูกจับเป็นตัวประกันเอาไว้เลย

 

 

 

「ไม่ต้องห่วงนะ ทั้งเธอ คิราระ อาโออิจะต้องปลอดภัย」

 

「อ๊าาาาาา!!」

 

『CHANGE!! →TYPE BLUE!!』

 

 

สีน้ำเงินยิงกระสุนพลังงานออกมาด้วยความกลัวใส่คัตสึมิคุง ทว่ามันก็ทะลุร่างของเขาไปในทันที

 

ร่างของเขากลายเป็นสีน้ำเงิน และโปร่งใสราวกับน้ำ จากนั้นเขาก็สับหัวเข็มขัดอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนโหมด

 

 

 

『CHANGE!! →TYPE YELLOW!!』

 

 

แสงสว่างจ้าได้ปกคลุมแขนของเขา

 

เพียงแค่ครู่เดียว ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว สีน้ำเงินที่อยู่ข้างหลังฉันก็มีรูเกิดขึ้นบริเวณหัวใจของเธอ

 

 

 

「ขอโทษที่ทำให้พวกเธอกังวลนะ」

 

「นี่คัตสึมิคุงตัวจริงใช่ไหม? 」

 

「อ้า ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เหมือนฉันจะไม่โดนล้างสมองนะ พลังชีวิตก็ไม่ได้ถูกดูดไปด้วย」

 

 

ได้ยินฉันก็โล่งใจ…เขานี่อยู่เหนือมาตรฐานจริงๆ

 

ฉันถูกอุ่มไปวางไว้ใกล้ๆ กับคิราระและอาโออิ

 

 

 

「ตอนนี้ก็เหลือแค่…..」

 

「แฮก แฮก แฮก……!」

 

「……ไอ้เจ้าบ้านี่ ตายยากชะมัด」

 

 

เขาหันกลับไปหาเวก้าที่ร่างครึ่งหนึ่งถูกทำลายไปแล้วกำลังพยายามคลานออกมาจากปล่องภูเขาไฟ

 

ดูเหมือนเขาจะหายใจโรยรินราวกับใกล้จะตายแล้ว ทว่าดวงตาของเขาก็ยังแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน

 

 

 

 

「แกนะแก……! ไอ้เจ้าลิงระยำ……!」

 

「เออ ขอบใจที่มอบสูทให้ฉัน」

 

「……คึก!!!」

 

 

เขาเอาหน้าไปใกล้กับแขนที่กระจายอยู่ก่อนจะออกคำสั่ง ให้ยานดึงร่างของเขากลับไป

 

 

 

「ส่งยานมาจัดการได้เลย!! แกจะต้องตายเพราะยานของพวกฉัน!!」

 

「ทำได้ก็ลองดูสิวะ!!」

 

 

คัตสึมิคุงทำการ สับหัวเข็มขัด 4 ครั้ง

 

แดง น้ำเงิน เหลือง กระพริบออกมาพร้อมกัน?! จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กันนะ

 

 

 

『THE ALMIGHTY!! →OK? 』

 

「……」

 

 

เขาแสดงท่าทีลังเลในขณะที่จะแตะหัวเข็มขัดอีกครั้ง เสียงที่ออกมาจากเข็มขัดคราวนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆ

 

ความเงียบงันได้เกิดขึ้น

 

หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมา

 

 

 

「พลังนี้คือสิ่งที่ฉันได้มาจากพวกเธอ」

 

「หา? 」

 

「ในที่สุดฉันก็สามารถก้าวต่อไปได้สักที จากที่เป็นเพียงอัศวินดำซึ่งรู้จักแต่การต่อสู้…..แต่เพราะพวกเธอเลยทำให้ฉันได้กลายเป็นมนุษย์กับเขาสักที…ขอบคุณนะ นี่คือทั้งหมดที่ฉันจะให้พวกเธอได้」

 

 

เดี๋ยว

 

ทำไมกันล่ะ

 

ฉัน คิราระ อาโออิ ต่างก็สังเกตถึงความประหลาดในสิ่งที่เขาพูดออกมา

 

 

 

「ทำไมนายถึงพูดเอาตอนนี้ละ? คิดจะทำอะไรอยู่ หยุดเลยนะ….」

 

「ขอโทษทีนะ แต่ถ้าไม่ใช่ตอนนี้คงไม่มีเวลาอีกแล้ว」

 

「……ไม่นะ!!」

 

 

 

『CHANGE!! →TYPE…』

 

 

 

「ฝากที่เหลือด้วยล่ะ อากาเนะ」

 

 

 

『UNIVERSE!!』

 

 

หลังสิ้นเสียงนั้น คัตสิมึคุงก็หันกลับไป แล้วกดหัวเข็มขัดพุ่งไปหาเวก้าที่ถูกแสงสีทองดูดกลับเข้ายาน

 

ตัวเขาตอนนี้ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยแสงสว่างและทะยานไปสู่ใจกลางของหุ่นที่เวก้าหนีเข้าไป

 

 

 

「ช่วยบอกฉันทีสิว่านายจะกลับมา!! ทำไมต้องพูดเหมือนกับนี่เป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายเลยล่ะ!!」

 

 

น้ำตาของฉันไหลไม่หยุดขณะมองไปยังยานอวกาศที่เวก้าหนีไป

 

ภายในนั้นคงจะมีศัตรูจำนวนมากรออยู่

 

 

 

 

「อากาเนะดูนั่น……」

 

「!」

 

อาโออิชี้ไปยังหุ่นที่ยืนอยู่ภายในเมือง

 

ส่วนอกของมันได้ถูกทำลายลงราวกับระเบิดจากข้างใน แสงสีทองได้สาดส่องออกมาราวกับบอกว่าการโจมตีภายในนั้นยังไม่จบ

 

 

 

『———ยะ ———ย้า!!』

 

 

ฉันได้ยินเสียงของเขา

 

เสียงที่พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อช่วยโลกใบนี้ไว้

 

หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น หุ่นตัวนั้นก็ได้เสียสมดุล จนสร้างรอยแตกเป็นช่องว่างมิติขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมัน

 

ฉันรู้ได้ทันทีว่ามันคือรูหนอนเหมือนกับตอนที่พวกมันใช้เดินทางมาโลก

 

หุ่นได้ล้มลงและตกลงไปยังรูหนอนก่อนที่รอยแยกนั้นจะหายไป

 

 

 

 

———ทว่าคัตสึมิคุงก็ไม่ได้กลับมา

 

สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียง โปรโตเชนเจอร์และห้องขังที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมายซึ่งเขาอาศัยอยู่มาจนถึงตอนนี้

 

 

*****

 

「โอ้ยๆ เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้นกัน แกก็อย่ามาดึงกันสิ….」

 

『โฮก!』

 

 

ฉันละสงสัยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

ตอนที่คิดจะลาออกแล้วออกเดินทางเที่ยวรอบโลกซะหน่อย ก็ดันมาเจออะไรแปลกๆ แทน เจ้าหมาป่าสีขาวได้ลากฉันเข้าไปยังใจกลางของป่าแห่งหนึ่ง

 

 

 

「แกเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย? แบบว่ายานเอเลี่ยนตกอะไรงี้หรือเปล่า? คือบอกเลยนะว่าฉันไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเอเลี่ยนเลย จะให้ซ่อมไม่ไหวนะ」

 

 

ให้ฉันได้พักหน่อยเถอะ

 

 

ฉันในตอนนี้ไม่ได้มีจิตใจจะทำอะไรนะ ลาออกจากงานมาเพราะเขาคนนั้นหายตัวไปแท้ๆ แล้วจะให้มาทำอะไรอีก?

 

ไอ้เจ้าตัวนี้มันอะไรกันนะ?

 

หมาป่าขนาดเท่าฝ่ามือ ถ้าสังเกตให้ดีๆ มันทำคือหุ่นจักรกลสินะ ว่าแต่ทำไมถึงได้แข็งแกร่งจนฉันต้านแรงไม่ไหวกันเนี่ย?

 

 

 

 

「เห้อ……」

 

 

เขาจะยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ

 

เพราะว่ากันตามตรงฉันรู้สึกชอบเขามากกว่าที่คิดซะอีก

 

และความรู้สึกนี้ชั่วชีวิตคงไม่หายไป

 

ในระหว่างที่กำลังคิด แรงดึงบริเวณชุดคลุมสีขาวของฉันก็อ่อนลง

 

 

 

『โฮก……』

 

「เฮ้อ ในที่สุดก็หยุดเสียที…ว่าแต่แกอยากให้ฉัน หือ?!」

 

 

ตรงหน้าของฉันคือต้นไม้ที่ถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก

 

ราวกับว่ามันรับแรงกระแทกของบางสิ่งที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า

 

มันเกิดอะไรขึ้นแถวนี้กัน?

 

ในระหว่างที่ฉันกำลังอึ้งอยู่นั้นเอง หมาป่าก็ได้เอาปากของมันดึงเสื้อคลุมฉันอีกครั้ง แล้วกระโดดไปมาราวกับบอกให้มาทางนี้

 

น้ำเสียงของมันดูเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 

「อ๊ะ เดี๋ยวๆๆๆ ตรงนั้นมัน!!」

 

 

มีคนกำลังนอนหมดสติยู่

 

 

ฉันเป็นคนเดียวที่ต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วยสิ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วก็พบว่า―――

 

 

 

「……ฟี้……ฟี้……」

 

「มาทำอะไรของนายอยู่ที่นี่กัน คัตซึน? 」

 

 

เขากำลังนอนหลับอย่างสงบโดยมีต้นไม้ที่ถูกโค่นไปแล้วเป็นจุดพักพิง

 

เมื่อฉันเห็นว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ฉันก็ถึงกับทำตัวไปถูกไปพักหนึ่ง

 

 

 

—————

Note 1 : อย่าสงสัยทำไมมันยาวนะครับ อ่านเพลินละกลัวตัวเองค้าง //ใครเค้าสอนให้เอาเข็มขัดแปลงร่างใหม่ให้ฮีโร่กันฟะ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ  และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต

อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต

Status: Ongoing
คัตสึมิ โฮมุระ วายร้ายที่รู้จักกันในนาม อัศวินดำ ชายผู้คิดว่าตัวเองคือวายร้ายแสนโฉดชั่ว เมื่อพ่ายแพ้ให้กับฝั่งฮีโร่เขาก็ถูกจับตัวไป ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่กลับไม่ใช่คุกหรือพวกตำรวจ แต่กลับเป็นขุมนรกที่ตัวเขาเกินจะคาดฝันแทนซะอย่างงั้น โลกที่ขบวนการเซ็นไตมีอยู่จริง เรื่องราวของอัศวินดำจอมวายร้ายที่มีสามัญสำนึกผิดแปกและถูกคนธรรมดาเข้าใจผิดมาโดยเสมอ บัดนี้เขากำลังจะถูกลากเข้าขบวนการเซ็นไตเสียแล้ว ※ผลงานชิ้นนี้กาวล้วนๆไม่มีเกลือผสม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน