คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 489 ใช้ชีวิตตามต้องการตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 489 ใช้ชีวิตตามต้องการตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

เมื่อฉินหลิวซีตื่นขึ้นมาก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ข้างนอกหิมะตกหนัก แต่ภายในห้องกลับอบอุ่น

เมื่อเดินออกมาจากห้องนอน เฟิงซิวก็ดีดตัวขึ้นมา เอ่ยว่า “เจ้าตื่นแล้วหรือ”

“อืม” ฉินหลิวซีบิดขี้เกียจ มองสายตาที่เป็นกังวลของลูกศิษย์ ก้าวเข้าไปหาพลางลูบศีรษะเขา

เจ้าอาวาสชิงหลาน มองมาด้วยสายตาเป็นกังวล เอ่ยว่า “อาจารย์หลานปู้ฉิวเป็นอะไรหรือไม่”

“ท่านวางใจได้ ตัวหายนะจะคงอยู่ไปนานนับพันปี ข้าสบายดีจะตายไป” เมื่อฉินหลิวซีเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็เหลือบมองไปยังเฟิงซิว ตัวหายนะใช่หรือไม่

เฟิงซิวเงยหน้าขึ้นมองภาพเหมือนของแม่มดศักดิ์สิทธิ์ เอ๋ เหตุใดรูปนี้จึงได้ดูอ่อนแอนักล่ะ

ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจเขา เมื่อเห็นซือถูที่นั่งอยู่หน้าค่ายอาคมในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง มองดูซือเหลิ่งเย่ว์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในค่ายอาคมด้วยท่าทางเหม่อลอย จึงเอ่ยว่า “พวกท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด ที่นี่ข้าจะดูแลเอง”

ซือถูมองมา แววตาแฝงไว้ด้วยความร้อนใจ ถามว่า “แม่หนูซีซี เมื่อไหร่เย่ว์เอ๋อร์จะตื่นขึ้นมา”

“เมื่อถึงเวลาที่สมควรก็จะตื่นขึ้นมาเอง” ฉินหลิวซีเข้าไปในค่ายอาคม ใช้มือสัมผัสชีพจรของซือเหลิ่งเย่ว์ เมื่อเห็นว่าชีพจรมั่นคงก็รู้สึกโล่งใจ

จากนั้นก็ตรวจดูจิตวิญญาณของนาง ฉินหลิวซีกลับเลิกคิ้ว เม้มริมฝีปากเล็กน้อย

เป็นสายเลือดของแม่มดย่อมได้รับการปกป้องคุ้มครองอยู่บ้าง จิตวิญญาณได้รับการหล่อเลี้ยงค่อนข้างดี ไม่ได้อ่อนแอเหมือนก่อนหน้านี้

“คืนนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีมองไปที่ทุกคน เอ่ยว่า “ออกไปจัดเตรียมอาหารวันส่งท้ายปีเก่าเถิด ข้าเองก็หิวแล้ว”

หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าบังเอิญเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี จึงรีบเอ่ย “ท่านอาจารย์ อาหารได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว”

“พวกเจ้าออกไปก่อน” ฉินหลิวซีโบกมือ

มีนางคอยเฝ้าด้วยตัวเอง ย่อมไม่มีทางที่ค่ายอาคมตะเกียงต่อชะตาเจ็ดดาวจะเกิดปัญหาใหญ่อะไร ทุกคนออกไปกินอาหารเย็นส่งท้ายปีเก่า ส่วนฉินหลิวซีก็นั่งขัดสมาธิเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลอยู่ข้างซือเหลิ่งเย่ว์

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสาปถูกทำลายแล้วหรือไม่ แต่นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังวิญญาณของเผ่านี้มีมากกว่าเมื่อก่อน ไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาอีกต่อไป ราวกับสรรพสิ่งกำลังฟื้นคืนชีพ

จิ๊บๆ

หลังจากที่เคลื่อนย้ายมหาจักรวาลเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีได้ยินนกร้องเสียงใส เมื่อลืมตาขึ้น มีวิหคห้าสีตัวหนึ่งบินเข้ามาวนรอบๆ ค่ายอาคมตะเกียงอยู่หลายรอบ และในที่สุดก็มายืนอยู่บนหัวเข่าของฉินหลิวซี เงยหน้ามองนาง ซ้ำยังคลอเคลียบนมือของนางด้วยความรักใคร่

ฉินหลิวซียิ้ม หยิบขวดเล็กๆ ออกมา เทขนมถั่วตัดหนึ่งชิ้นมาป้อน ทำเอาเจ้านกร้องอย่างร่าเริงกว่าเดิม

เมื่อทุกคนกลับมาหลังจากกินอาหารเย็น เห็นฉินหลิวซีกำลังเล่นสนุกสนานอยู่กับสัตว์มงคลตัวนั้นก็พากันพูดไม่ออก

วันส่งท้ายปีเก่าเดิมทีควรจะอยู่ข้ามปี แต่ฉินหลิวซีไล่ทุกคนที่คอยอยู่เฝ้ามาหลายวันนี้ออกไปให้หมด ส่วนนางคอยเฝ้าอยู่ข้างกายซือเหลิ่งเย่ว์

ยามเที่ยงคืน กลิ่นหอมเย็นๆ ลอยมาที่ปลายจมูก ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น เห็นว่าตะเกียงเจ็ดดาวขยับเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเสียงประทัดดังมาจากไหน เป็นสัญญาณการบ่งบอกว่าปีใหม่ได้มาถึงแล้ว

“สวัสดีปีใหม่ ซือเหลิ่งเย่ว์”

ซือเหลิ่งเย่ว์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูดวงตาเจิดจ้าดุจดวงดาวของฉินหลิวซี ตกอยู่ในภวังค์อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อจิตวิญญาณกลับคืนสู่ตำแหน่ง นางจึงได้ยกริมฝีปาก “เสี่ยวซี สวัสดีปีใหม่”

นางขยับตัวเล็กน้อย ฉินหลิวซีพยุงนางลุกขึ้น สองนิ้ววางลงบนชีพจรของนาง เอ่ยว่า “ชีพจรคงที่ เพียงแต่ร่างกายของเจ้าพึ่งผ่านมรสุมใหญ่มา จิตวิญญาณยังมั่นคงไม่พอ ยังต้องดูแลอย่างระมัดระวัง”

ซือเหลิ่งเย่ว์แบมือทั้งสองข้างแล้วมองดู ทุกอย่างเรียบร้อยดี ความรู้สึกถูกไฟแผดเผานั้นราวกับความฝัน

แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่ความฝัน

นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแสบร้อนของเปลวไฟจริงๆ ผิวหนังฉีกขาด กระดูกของนางรู้สึกเหมือนถูกเผาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายรู้สึกเหมือนถูกทุบจนแหลกละเอียดด้วยค้อนขนาดยักษ์ กลายเป็นขี้เถ้า พัดปลิวไปตามลม

เมื่อนึกถึงความรู้สึกนั้น ซือเหลิ่งเย่ว์ก็หน้าซีด ร่างกายสั่นเทา

นางไม่อยากจะสัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกไฟแผดเผาอีกแล้ว

แต่ตอนนี้นางเห็นว่ามือของตัวเองทั้งสองข้างนั้นสมบูรณ์แบบ เรียวยาวขาวนุ่ม ดูดีกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็นุ่มเรียบเนียน ไม่มีร่องรอยของการถูกแผดเผาแม้แต่นิดเดียว ราวกับได้เกิดใหม่

“ข้า นับว่าเกิดใหม่แล้วหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีพยักหน้า จัดผมของนางให้เรียบร้อย เอ่ยว่า “แน่นอน สาวน้อย เจ้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้ นับแต่นี้ไปเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้ตามที่ต้องการแล้ว”

ใช้ชีวิตอย่างต้องการ

หลังจากที่ซือเหลิ่งเย่ว์ได้ยินประโยคนี้ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเจ้าแล้ว”

นางคือผู้มอบชีวิตใหม่กับตัวเอง มอบชีวิตใหม่แก่ตระกูลซือ

ฉินหลิวซีโบกมือ “ไม่ต้องพูดคำพูดทำซึ้งเช่นนั้น ฟังแล้วรู้สึกขนลุก ข้าไม่ชอบฟัง”

“ก็ได้ ข้าไม่พูด” ไม่ต้องพูด แค่ลงมือทำ

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “เจ้าพึ่งฟื้นขึ้นมา อย่าพึ่งกังวลมากเกินไป ไปพักผ่อนก่อน มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง ยังมีเวลาอีกมาก”

“อืม”

“เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ฟื้นแล้วหรือ ข้าเหมือนได้ยินเสียงของเย่ว์เอ๋อร์” เสียงของซือถูดังมาจากข้างนอก ไม่นานก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกำลังนั่งอยู่จริงๆ เขาก็ร้องไห้ออกมา “ฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย ภรรยาข้า ครั้งนี้นางไม่ได้หลอกข้า ฮือๆ…”

ซือเหลิ่งเย่ว์กับฉินหลิวซีมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้

ท่านพ่อ (ซือขี้แย) ร้องไห้เก่งเกินไปแล้ว!

“ท่านพ่อ”

“พ่ออยู่นี่” ซือถูรีบคุกเข่าลงไป ค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลก็ยิ้มทั้งน้ำตา “ตัวอุ่น มีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องจริง”

ฉินหลิวซีมองน้ำมูกของเขา เบือนหน้าหนีอย่างทนมองไม่ได้

ซือเหลิ่งเย่ว์ก็รู้สึกอายเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านรีบเช็ดน้ำมูกเร็วเข้า เลิกร้องได้แล้ว”

ซือถูเช็ดอย่างลวกๆ พลางเอ่ย “พ่อแค่ดีใจ ดีใจมากจริงๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่พ่อฝันถึงท่านแม่ของเจ้า ท่านแม่ของเจ้าบอกว่าเจ้าฟื้นแล้ว ให้พวกเราใช้ชีวิตให้ดี นางจะคอยเฝ้าดูอยู่บนฟ้า”

ซือเหลิ่งเย่ว์ “ท่านแม่รักท่านมากกว่า นางไม่เห็นมาเข้าฝันข้าบ้างเลย”

“แน่นอน ข้าเป็นบุรุษของนาง นางไม่รักข้าแล้วจะไปรักใคร” ซือถูภูมิใจเล็กน้อย มองดูใบหน้าซีดขาวของบุตรสาว จากนั้นจึงเอ่ย “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าดีขึ้นแล้วจริงๆ หรือ”

“คำสาปเลือดได้ถูกทำลายแล้ว ท่านวางใจเถิด”

ซือถูอยากจะเอ่ยมากกว่านี้ แต่ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านเอาแต่จู่จี้ไม่หยุดหลังจากที่นางพึ่งฟื้นขึ้นมาในคืนฤดูหนาวเช่นนี้ จากที่นางดีๆ อยู่จะเปลี่ยนเป็นไม่ดีแล้ว”

ซือถูหุบปากทันที

“ไปพักผ่อนเถิด” ฉินหลิวซีพยุงซือเหลิ่งเย่ว์ไปที่ห้องนอนด้านในแล้วเอนตัวลง เอ่ยว่า “นอนเถิด คำพูดอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการรักษาจิตวิญญาณให้เพียงพอ”

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทันทีที่จิตใจผ่อนคลายแล้ว เมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับไปเลย

ฉินหลิวซีจุดธูปหอมผ่อนคลายหนึ่งดอก จากนั้นก็หันกลับมา เห็นซือถูจ้องมองมาที่นางจึงอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ”

“เจ้าดีกับทุกคนเลยหรือ”

ฉินหลิวซีถามทันทีว่า “ท่านเห็นข้าเป็นเตาเผาธรรมชาติหรือ”

“อะไรนะ”

“ไม่ว่าอยู่กับใครก็สามารถนำความอบอุ่นมาสู่ทุกคนได้”

ซือถู “…”

ฉินหลิวซีเดินออกไป

ซือถูเอ่ยพึมพำ “เจ้าอบอุ่นเช่นนี้ เย่ว์เอ๋อร์นางจะยังอยากแต่งงาน อยากมีบุตรกับบุรุษโง่เง่าเหล่านั้นหรือ ไม่มีทาง!”

ฉินหลิวซีไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเขา ขณะเดินออกมาจากเรือนเก่าของแม่มดศักดิ์สิทธิ์ นางบิดขี้เกียจก่อนจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เท้าทั้งสองข้างดูเหมือนจะถูกกอดด้วยมือของสิ่งที่มองไม่เห็น เสียงฝีเท้าสะดุด ตัวพุ่งไปข้างหน้า กระแทกเข้ากับพื้นหิมะ

ถุย

ฉินหลิวซีถ่มหิมะออกมาจากปาก ขยับร่างกาย มองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดพลางด่าว่า “มีอะไรใหม่ๆ บ้างไม่ได้หรือ เป็นขาอีกแล้ว”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท