ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 106 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 106 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-1

ในร้านอาหาร เมืองจิ่งผิง

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวนั่งหันหลังให้ประตู

บนถนนแคบด้านนอกมีเสียงกีบม้าดังขึ้นอีกช่วงหนึ่ง

เสียงกีบม้ารอบนี้ฟังดูเร่งรีบและทรงพลัง

ไม่เชื่องช้าเหมือนก่อนหน้านี้

น้ำเสียงของคนคนหนึ่งทำเป็นสุขุมได้

สีหน้าก็อาจแสร้งเยือกเย็นได้

แต่มีแค่เสียงกีบม้าที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปรุงแต่งได้

คนมีเรื่องในใจย่อมเร่งรีบ และม้าก็ไม่รู้จักโกหกแทนคน

ภายนอกเผยความรู้สึกแท้จริง คำหยอกเย้าบอกความในใจ

ความรักลึกซึ้งดุจมหาสมุทรเพียงหยาดหยดเหมือนน้ำค้าง ท่าทางซื่อสัตย์จริงใจไร้ความคะนองฮึกเหิม

เขาได้ยินเสียงกีบม้ารอบนี้หยุดลงใกล้ด้านหน้าร้านอาหาร

จากนั้น มีเสียงพลิกตัวลงม้าอีกสองกลุ่ม

กลุ่มแรก เป็นระเบียบพร้อมเพรียง มีการฝึกฝนอย่างดี

กลุ่มที่สอง มีแค่เสียงเดียว กลับเหมือนลมอ่อนพัดผ่านต้นหลิวบาง

ตอนนี้เพิ่งเลยเที่ยงวัน

“ปิดร้านแล้ว”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“ขอดื่มน้ำ”

ผู้มาเยือนกล่าว

“น้ำก็ไม่มี อยากดื่มก็ไปตักในบ่อกลางเมืองเองสิ ข้าให้เจ้ายืมถังไม้ได้”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

หลังพูดจบ ทั่วกายเขาพลันหวาดหวั่น

เสียงนี้…

เขาคุ้นเหลือเกิน

ถึงจะแก่กว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่ลักษณะเฉพาะที่แฝงไว้ในนั้นกลับยังคงชัดเจน

เขาอยากหันกลับไปมอง แต่ใจกระวนกระวายยิ่ง

ใช่ว่าเขาหวาดกลัวหรือประหม่า แต่เป็นเพราะตื่นเต้น

คนขอน้ำก็ไม่รีบร้อน ยืนรออยู่ตรงนั้น เหมือนให้เวลาเขาตั้งสติเล็กน้อย

“เจ้ามาเร็วไป”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวหันกลับมาพูดในที่สุด

“คนรุ่นข้าต้องสนใจเวลาไม่กี่วันนั้นด้วย?”

คนขอน้ำกล่าวพลางถอดหมวกกันลมใบใหญ่บนศีรษะ

เป็นติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งนั่นเอง

“บอกแล้วยี่สิบปีข้าไปหาเจ้า ไม่ควรเป็นเจ้ามาหาข้า”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“ไม่ได้ตรงไหน”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“เพราะถ้าข้าไปหาเจ้า เจ้ามีอาหารเลิศรสสุราดีครบครัน แต่ข้าไม่มีแม้แต่น้ำสักถ้วยจริงๆ”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวยิ้มกล่าว

“ท่านบอกว่ากลางเมืองมีบ่อน้ำไม่ใช่หรือ”

ฮั่ววั่งกล่าว

“บ่อน้ำกลางเมืองย่อมเป็นของเมืองจิ่งผิง ไม่ใช่ของข้า”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“แต่ทั้งเขตติ้งซีอ๋องล้วนเป็นของเจ้า เดิมก็ไม่มีอะไรที่เป็นของข้าอยู่แล้ว”

เขาทิ้งช่วงเล็กน้อยและกล่าวต่อ

“ท่านไปหาข้าย่อมมีสุราดีอาหารเลิศรส แต่ข้ามาหาท่าน จะเอาสุราดีอาหารเลิศรสมาไม่ได้เชียวหรือ”

ฮั่ววั่งกล่าว

เขาโบกมือให้ด้านหลัง ครู่หนึ่งก็มีทัพอีกาดำสิบกว่านายถือกล่องอาหารเดินขึ้นมา

“อาหารอะไร”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเอ่ยถาม

“มีอาหารทุกชนิด หมูวัวเป็ดไก่ หัวไชเท้าผักกาดขาว ไม่มีก็แต่ปลา”

ฮั่ววั่งกล่าว

“ข้าไม่ชอบกินปลาอยู่แล้ว”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“เพราะอย่างนี้ละ”

ฮั่ววั่งรับกล่องอาหารวางบนโต๊ะด้วยตนเอง ทั้งยังเรียงกล่องอาหารสิบกล่องเป็นหนึ่งแถว

“เจ้ารู้หรือไม่ทำไมข้าไม่ชอบกินปลา”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเอ่ยถาม

“ไม่รู้ หรือว่าไม่ชอบที่เนื้อปลาคาวเกินไป”

ฮั่ววั่งกล่าว

“เลือดคาวล้วนไม่กลัว ยังจะกลัวปลาคาว?”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“เช่นนั้นต้องเป็นเพราะท่านกลัวก้างปลา!”

ฮั่ววั่งกล่าว

สองคนหัวเราะพร้อมกัน

เดิมนี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร หนำซ้ำระหว่างทั้งสองก็ไม่เคยมีความลับอยู่แล้ว

“ของร่วงเต็มพื้นแล้วไม่เก็บกวาด?”

ฮั่ววั่งกล่าวพลางชี้ห่อผ้าของทังจงซงที่กระจายบนพื้น

“เจ้ามาแล้ว ก็นับว่าของกลับคืนเจ้าของเดิม เจ้าไม่มา คนที่ทำหล่นต้องกลับมาแน่”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“คนอื่นทำร่วงในร้านท่าน ย่อมเป็นเรื่องของท่าน”

ฮั่ววั่งส่ายหน้ากล่าว

“เจ้ารู้หรือไม่ทำไมกล่องตะเกียบในร้านข้าถึงตอกติดกับโต๊ะทั้งหมด”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวถามกลับ

“ไม่รู้…แต่ข้ารู้ว่าโต๊ะของท่านต้องตอกติดกับพื้นเหมือนกัน และใต้พื้นต้องมีฐานหล่อเหล็กกล้าชั้นดีด้วยเป็นแน่”

ฮั่ววั่งกล่าว

“เสียดายก็แต่โต๊ะของข้าไม่ใช่เหล็กกล้า ไม่อย่างนั้นมุมก็คงไม่แหว่ง ตะเกียบก็ไม่ใช่เหล็กกล้า ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หักเป็นท่อน”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“เหตุใดไม่เปลี่ยนล่ะ”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“เพราะข้าไม่มีเงิน”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวยักไหล่กล่าว

“ท่านพยายามขายของให้แพงหน่อยก็ได้ ขอแค่รสชาติดี ต้องมีคนมากินแน่”

ฮั่ววั่งกล่าว

“มากินเป็นเรื่องหนึ่ง จ่ายเงินเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“มีคนกินข้าวของท่านแล้วไม่จ่ายเงินด้วยหรือ”

ฮั่ววั่งถามด้วยความตกใจ

“นั่นก็ไม่มีหรอก…พูดแค่จุดนี้ ต้องบอกว่าติ้งซีอ๋องอย่างเจ้าทำได้ไม่เลวทีเดียว”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“เพียงแต่ข้าทำตามใจเกินไป ถ้าไม่ปิดร้านดื่มเหล้า ก็ให้คนที่กินไม่หมดห่อกลับบ้าน”

เขาเกาหัวพลางกล่าวด้วยความขัดเขิน

“กินไม่หมดห่อกลับบ้าน?”

ฮั่ววั่งไม่เข้าใจ

“นั่งลงยังไม่ทันได้กิน หรือกินหมดแล้วอยากกินอีก ข้าก็ไม่เอาเงินแล้ว คนที่ทำของหล่นเพิ่งห่อกลับไปไม่นาน ข้ายังยกโหลอันหนึ่งของตัวเองให้ด้วย นั่นเป็นโหลอันเดียวของข้า”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเบะปากกล่าว

“คงไม่ใช่ท่านเห็นกล่องไม้นี่ถึงให้พวกเขาห่อกลับกระมัง”

ฮั่ววั่งยิ้มกล่าว

“หากข้าเห็นกล่องไม้แล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเห็นเหมือนกัน ในเมื่อพวกเขาก็เห็นแล้วจะทิ้งไว้ที่นี่ได้อย่างไรล่ะ”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าวพลางกลอกตาใส่ฮั่ววั่ง

“ขอทางหน่อย!”

เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปนำข้าวของกองนั้นใส่ห่อผ้าอีกครั้งแล้วหยิบถังไม้จากโถงด้านหลังมาอีก

เห็นมีดเล่มนั้นของตัวเองตกอยู่บนพื้น ตรงแท่นเตายังมีคราบปัสสาวะเปียกอยู่ เขาจึงพูดกับด้านหลังกองฟืน

“ช้าเร็วข้าก็จับเจ้าตุ๋นแล้ว! ใช้เยี่ยวของเจ้าเองตุ๋นเจ้านี่แหละ ดูว่าเจ้าจะสบายหรือไม่!”

แต่เหมือนห่านป่าขาเป๋ตัวนั้นไม่ได้อยู่ในคอก ไม่อย่างนั้นจะเงียบกริบไม่โต้เถียงสักประโยคได้อย่างไร

เขาขัดมีดไว้ตรงช่วงเอว เห็นสนิมหลุดออกจากตัวมีดชิ้นหนึ่ง จึงใช้ด้านนั้นหันเข้าเพื่อบดบังประกายแสง

จากนั้นยกถังเดินกลับมาโถงด้านหน้า ใส่ห่อผ้าเข้าไปและออกจากประตูร้าน

“ท่านไปไหน”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“ทำเรื่องที่ข้าควรทำ ถือโอกาสตักน้ำให้เจ้าดื่มด้วย”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวชูถังไม้พลางกล่าว

“เมื่อครู่ยังคร้านสนใจอยู่เลยไม่ใช่หรือ”

ฮั่ววั่งออกปากเหน็บแนม

“ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้ว แต่เจ้าไม่อยากให้พวกเขาเจอเจ้าตอนกลับมาหาสัมภาระอีกครั้งเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องมารบกวนให้ข้าซ่อนตัวเจ้าอีก ไม่ยุ่งยากกว่าเดิมหรอกหรือ”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

ฮั่ววั่งยักไหล่ไม่เอ่ยคำใด

เขาไม่อยากให้ทังจงซงกับบัณฑิตจางเจอตัวเองจริงๆ

จึงตั้งใจยืดเวลาสักหน่อยถึงออกเดินทาง

คนตรงหน้านี้รู้จักตนดีเกินไป ปิดบังอะไรเขาไม่ได้เลย

แม้ผ่านมาเกือบยี่สิบปีก็ยังเป็นเช่นนี้

แต่คนใช้ชีวิตอยู่ในความสงบ ก็คงไม่เปลี่ยนไปเร็วขนาดนั้น

อย่างน้อยปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้

พอเดินถนนถึงได้ดูออกว่าเขาเหมือนกับห่านป่าขาเป๋ตัวนั้น ขาและเท้าล้วนไม่ค่อยคล่องแคล่ว

ดีที่เขายังเดินลากขาเดียวได้ และยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นใส่ขาเทียม

ขาซ้ายงอเล็กน้อย เดินแล้วเป็นสองขาหนึ่งยาวหนึ่งสั้น ทุกย่างก้าวล้วนทำให้ร่างกายของเขาเอียงไปทางซ้ายเสียส่วนใหญ่ เหมือนจะล้ม

แต่ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ไหล่ขวาของเขาจะเกร็งแน่นออกแรงดึงอย่างแรง ให้ร่างกายของตนกลับมาสมดุลอีกครั้ง

เขาเดินไหล่ซ้ายจมไหล่ขวาดึงไปกลางเมืองทีละก้าวเช่นนี้

ฟังจากเสียงลม เขาได้ยินการต่อสู้ของเบญจลักขีกับจิ่วซานปั้นและทังจงซงแต่เนิ่นแล้ว

แม้บัณฑิตจางไม่ได้ออกมือตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เขาก็ฟังออกว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครหนีไปไหนสักคน

ความจริงมีอยู่คนหนึ่ง…เสี่ยวจีหลิง

เพียงแต่เขาไม่ได้นับเสี่ยวจีหลิงเป็นคนในการปะทะครั้งนี้ ดังนั้นถึงได้ยินก็ไม่สนใจ

เดิมเมืองจิ่งผิงก็เป็นสถานที่แห่งความขัดแย้งอยู่แล้ว

อย่างไรตำแหน่งฮวงจุ้ยก็ตัดสินทุกสิ่ง

หงส์เกิดในลำน้ำกลางเขาก็เป็นได้แค่ไก่ขี้ขลาด

มังกรฝังอยู่ในดินโคลนก็เป็นเหมือนไส้เดือน

เมืองจิ่งผิงเป็นทางผ่านของหอทรงปัญญา ย่อมวุ่นวายเป็นพิเศษ

ในวันปกติมักมีคนประหลาดอยากหาเรื่องผู้ทรงอำนาจเลื่องชื่อแห่งหอทรงปัญญา หรือเป็นหัวขบถจากที่ไหนไม่รู้เขียนกลอนตลกสองสามบทดึงตี๋เหว่ยไท่ลงม้าอย่างโจ่งแจ้ง หรืออาจเป็นผู้สอดแนมที่หอทรงภูมิทางใต้ส่งมาสืบข่าว พวกนี้ล้วนรวมตัวอยู่ในเมืองจิ่งผิง

แต่ไม่ว่าเสี่ยวจีหลิงเป็นคนแบบไหนในสามประเภทนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้น

เขาแค่อยากคืนห่อสัมภาระใบนี้ให้เจ้าของเดิมเท่านั้น

ดังคาด เมื่อเขาโผล่หน้า สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่บนกายเขา

กระทั่งบัณฑิตจางก็ไม่เว้น เขาถึงขั้นลงม้าหันมาแล้วยืนนิ่ง

ทังจงซงเห็นบัณฑิตจางทำเช่นนี้จึงแปลกใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาลงม้าหันกาย แต่เป็นเพราะเขาสำรวมความยโสชวนคนระอาบนใบหน้าไว้

คราวก่อนตอนเห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ คือกลางพระตำหนักในวังอ๋องของฮั่ววั่งที่เมืองติ้งซีอ๋อง

“ของของพวกเจ้าหล่นอยู่ในร้านของข้า”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

“ขอบใจมาก!”

บัณฑิตจางชิงพูดก่อน

เขาประสานมือให้เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัว จากนั้นรับห่อผ้าในถังน้ำมา

แม้ผิวห่อผ้าถูกไอชื้นที่เหลือในถังน้ำทำให้เปียกชื้นอยู่บ้าง แต่บัณฑิตจางกลับโยนให้ทังจงซงอย่างไม่ใส่ใจสักนิด กล่าวว่า

“ให้พวกเขาดูหลักฐาน”

ห่อผ้านี้ถูกจัดใหม่อีกรอบ กล่องไม้ขดม้วนอยู่ในกองเสื้อผ้า ล้วงอย่างไรก็ล้วงไม่ออก

ทังจงซงแกะห่อผ้าภายในหนึ่งลมปราณ สะบัดของด้านในทั้งหมดลงพื้น เตะกล่องไม้นั้นเข้าไปและกล่าว

“ลองแหกตาสุนัขของพวกเจ้าดู! ตกลงข้าใช่ศิษย์เอกของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องหรือไม่!”

“ศิษย์คนแรก! ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียว!”

เหมือนรู้สึกประโยคแรกยังพูดไม่สาแก่ใจพอ เขาจึงกล่าวเสริมอีกประโยค

วันซานวางมือที่ประคองฮวาลิ่ว เก็บกล่องไม้บนพื้นขึ้นมา

เขาเห็นบนกล่องไม้สลักสัญลักษณ์พิเศษของวังติ้งซีอ๋อง ในใจก็รู้ว่าทังจงซงไม่ได้โกหก

อย่างไรเรื่องฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องรับลูกศิษย์ก็ประกาศชัดทั่วหล้านานแล้ว หนำซ้ำนี่เป็นครั้งแรกที่เขารับลูกศิษย์จริงๆ

“ที่แท้เป็นคุณชายทัง ไม่ต่อสู้ไม่รู้จักโดยแท้ เมื่อครู่พี่น้องข้าวู่วามแล้ว แต่พวกเราสูญเสียครั้งใหญ่ จิตใจไม่มั่นคงจริงๆ อีกอย่างคนในเมืองจิ่งผิงปะปนกัน มักมีพวกแอบอ้างขโมยชื่อเสียง พวกเราก็กายใจอ่อนล้า…ดีที่เราทั้งสองฝ่ายล้วนไม่มีอะไรเสียหาย คุณชายทังยกโทษให้ด้วย อย่าได้แค้นเคือง”

คราวนี้วันซานพูดวางตัวได้ดี

ทั้งไม่ได้ยกวังติ้งซีอ๋องเบื้องหลังทังจงซงสูงเกินไป และไม่ได้ลดอำนาจหอทรงปัญญาของตน

เพียงแต่ฮวาลิ่วยังคงมองทังจงซงกับจิ่วซานปั้นด้วยความคับแค้น

ตอนนี้เหมือนความเกลียดชังของเขายิ่งมุ่งไปหาทังจงซง

ไม่ใช่อะไร แค่เพราะการกระทำคำพูดของเขาใหญ่โตอวดดีเกินไปจริงๆ!

“คืนของแล้ว ข้าไปละ”

เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว

ทว่าเขาไม่ได้เดินกลับ แต่ยกถังไปตักน้ำตรงบ่อน้ำ

………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท