ตอนที่ 137
เมฆฝนหนาเตอะก่อตัวปกคลุมทั่วสนามแข่งขัน
กอร์ดอนโรฮันขดวงตาขจัดฝุ่นผงและพึมพํา “เฮ้อสนามเละหมดแล้ว ไม่รู้ว่านายช่างจะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมทันการแข่งขันรอบต่อไปหรือป่าว”
แม้ว่าสนามแข่งขันจะมีส่วนประกอบหลักเป็นหินอีเธอร์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสนาม จะคงทนถาวร
การลงดาบของบักหยุนกิวเมื่อครู่ ทําให้พื้นสนามแข่งขันพังพินาศลงอย่างสมบูรณ์ แม้จะเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวแต่อานุภาพของมันสามารถผ่าภูเขาขนาดย่อมๆขาดครึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น
เมฆฝนที่ก่อตัวปกคลุมสนามแข่งขันเริ่มจางหายไปและบทสรุปสุดท้ายของการต่อสู้ก็ ประจักษ์ออกมา
กอร์ดอนโรฮันพิศดูพร้อมพูดงมงําในลําคอ“จบแล้วสินะ”
(ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์ ล้มฟุบลงไปบนพื้น ชุดเกราะกระเด็นหยุดออกจากร่างกาย ไม่ นานอสุราขนาดใหญ่โตก็กลายเป็นไอหมอกร้อนระอุแล้วเลือนหายไปจากสนามแข่งขัน
บักหยูนกวนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ปากปะงาบๆ หายใจเข้า-ออกอย่างหนักหน่วง“ฉันแพ้ แล้ว”
“เป็นการต่อสู้ที่สนุกมากครับ”
หลังจากได้ยินคู่ต่อสู้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ซูฮยอนจึงเก็บดาบเข้าฝัก
บักหยุนกิวยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มง่ามและเอ่ยปากถาม“ความแข็งแกร่งของนาย สามา รถเอาชนะฉันได้ง่ายๆทําไมนายถึงไม่ยอมเผด็จศึกฉันตั้งแต่แรก?”
“คุณกําลังหมายถึงถึงอะไรเหรอครับ?”
“ฉันสังเกตเห็นความผิดปกติมาได้สักพักแล้วล่ะนะการเผชิญหน้าตรงๆกับสกิลที่เน้นพลังโจมตีไปทางด้านการทําลายล้างเป็นอะไรที่แปลกมาก โดยปกติหากคนเราตกอยู่ในสถานกา รณ์ชี้เป็นชี้ตายคงไม่มีใครกล้าทุ่มบ่ามเสี่ยงป้องกันการโจมตีที่มองด้วยตาเปล่าก็ทราบได้ทันทีว่าอํานาจพลังสามารถคร่าชีวิตได้ง่ายๆแถมในแง่ความเร็ว นายยังเหนือกว่าฉันมาก เผลอๆการต่อสู้ที่ผ่านมานายยังเก็บงําความสามารถที่แท้จริงเอาไว้อีกสินะ” บักหยุนกิวปัดเศษฝุ่นที่เกาะเสื้อผ้าพร้อมกล่าวต่อ
“ฉันพูดถูกไหม?”
ซูฮยอนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ส่งยิ้มออกมาเล็กน้อย
แม้จะไม่ได้คําตอบออกมาจากปากโดยตรงแต่รอยยิ้มแค่นี้ก็เพียงพอสําหรับคําตอบ
บักหยูนกิวยื่นมือไปหาซูฮยอน “ขอบคุณที่นายยอมเสียสละเวลาอันมีค่ามาต่อสู้กับฉัน การ ต่อสู้ในวันนี้ทําให้ฉันเรียนรู้อะไรหลายอย่างมากขึ้นในอนาคตฉันคงมีเรื่องที่ต้องไหว้วานนาย หลายเรื่องแน่ๆหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะได้ร่วมงานกัน”
“ผมก็เช่นกัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
ซูฮยอนจับมืออีกฝ่ายด้วยความยินดี
ขณะกอร์ดอนโรฮันกําลังมองดูชาย 2 คนจับไม้จับมือกลางสนามแข่งขันแววตาที่ไร้ความฝัน ผวน เกิดประกายแสงระยิบระยับหมุนวนอยู่ภายใน
ซูฮยอนและบักหยุนกิวเดินตีไหล่ออกจากสนามแข่งขันพร้อมกัน
กอร์ดอนโรฮันกระโดดลงไปกลางสนามแข่งขันที่เสียหายยับเยินและเอื้อนเอ่ย“การต่อสู้ที่ผ่านมานายมีความคิดเห็นยังไงบ้าง?”
“ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอะไร?” จอห์นนี่ แบรดที่ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้ภายใต้เสื้อฮูดถามกลับ เขารู้ว่ากอร์ดอนโรฮันอยากขอความคิดเห็นจากเรื่องอะไร แต่เขาเลือกที่จะแกล้งโง่
กอร์ดอนโรฮันเลิกพูดอ้อมค้อมและตัดสินใจพูดรวบรัด “นายคิดว่าใครจะชนะ?”
“ระหว่างคุณ 2 คน?”
“ใช่แล้ว”
จอห์นนี่ แบรดทําท่าครุ่นคิดพอเป็นพิธี ก่อนตอบคําถามกลับ “ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“อย่างงั้นเหรอ? น่าเสียดายจัง”
กอร์ดอนโรฮันยิ้มกริ่มออกมาอย่างมีเลศนัย คําตอบที่ได้จากปากของจอห์นนี่แบรด ช่างคุ้มค่ากับแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นมาจริงๆ แม้จะมีอุปสรรคโผล่ขึ้นมาประปราย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล สิ่งที่กอร์ดอนโรฮันกังวลมากกว่าสภาพสนามแข่งขันคือการต่อสู้ หากไม่มีคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเทียมบ่าเทียมไหล่เขางานคงกร่อยและหน้าเบื่อ
“นายรู้ไหม ฉันล่ะชอบความรู้สึกที่ต้องลุ้นตัวโก่งชะมัด ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ชนะอันดับ หนึ่ง ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว” กอร์ดอนโรฮันหัวเราะร่วน แล้วหันไปมองจอห์นนี่แบรด “นาย ไปพักผ่อนเถอะ ไม่ใช่มัวแต่เอาเวลาอันมีค่าเกาะติดคนนั้นคนนี้”
“ฉันไม่ได้เกาะติดใครซะหน่อย”
“จํา จํา เชื่อก็ได้”
กอร์ดอนโรฮันยักไหล่และเดินลึกเข้าไปในสนามแข่งขัน
ในขณะเดียวกัน จอห์นนี่ แบรด ก็แปรสภาพเป็นหมอกควันแล้วหายไปจากสนามแข่งขันอย่างรวดเร็ว
หลังจากยืนยันได้ว่ากลิ่นอายของ จอห์นนี่ แบรด หายไปแล้ว กอร์ดอนโรฮันกวาดตาไล่มองรอบๆ ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงช่องเล็กๆบนอัฒจรรย์
เขาแค่นเสียงตะโกนออกมาเต็มแรง “เฮ้ย ไอ้พวกหนูสกปก”
เฮือก!!!
กอร์ดอนโรฮันสัมผัสได้ว่ามีหลายคนตกใจเสียงตะโกนของเขา ตอนแรกเขาคิดว่าคงมีแค่ 1 หรือ 2 คน แต่จากปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อครู่ เหมือนจํานวนคนจะเยอะกว่าที่เขาคิดไว้อย่างต่ําต้องมี 5 คนขึ้นไป
“จะเล่นซ่อนแอบอีกนานไหม? ที่นี่เหลือเพียงฉันคนเดียว ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเป้าหมายของพวกแกคืออะไรแต่ถ้าคิดโจมตีฉันล่ะก็ รีบโผล่หัวออกมาได้แล้ว” กอร์ดอนโรฮันยื่นมือออกไปกลางอากาศที่ว่างเปล่าไม่นานหอกสีขาวก็ปรากฏบนฝ่ามือ
เขากระชับหอกในมือแล้วกล่าวด้วยน้ําเสียงตื่นเต้นเร้าใจ “รู้ไหม ฉันเครื่องร้อนคันไม้คันมือ อ ยากต่อสู้มานานแล้ว หวังว่าพวกแกจะทําให้ฉันสบายตัวขึ้นมาได้บ้าง”
ผู้ตื่นขึ้น 15 คนเผยตัวจากที่หลบซ่อน พวกเขาจงใจปลดปล่อยเจตนาสังหารออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
แค่ปรายตามองผ่านๆ ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ในหมู่พวกเขามีคนที่กอร์ดอนโรฮันคุ้นหน้าคุ้นตาบ้าง…
“อืม….บอกตามตรงฉันจําชื่อพวกแกทุกคนไม่ได้”กอร์ดอนโรฮันกล่าวขึ้นพลางยกนิ้วชี้ไปยังบุคคลภายในกลุ่มคนหนึ่ง
“แต่ฉันจําชื่อแกคนนั้นได้”
“แหม่ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่กอร์ดอนโรฮันรู้จักฉัน แต่ครั้งนี้รู้สึกเป็นครั้งแรกที่ฉันแนะนําตัวเองอย่างเป็นทางการกับนายสินะ” ชายที่กอร์ดอนโรฮันชี้ตัว ก้าวออกมาข้างหน้า
ชายที่ก้าวออกมามีผิวกายสีขาวผ่องใสและผมหยักศก เขากล่าวแนะนําตัวเองอย่า งสุภาพชน “ฉันชื่อว่า อาเดล คาสเซิล ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ขอเถอะ นายช่วยเลิกนิสัยแสร้งเป็นสุภาพชนได้ไหม? แค่นายลอบแทงข้างหลังฉัน นายก็สิ้นคําว่าสุภาพชนแล้ว คนอย่างนายเป็นได้แค่หมาลอบกัด ไอ้หมาหมู่โสโครก”
“อย่าว่าเอาเองสิ ฉันเสียหายนะรู้ไหม คิดเหรอว่าฉันอยากลอบกัดนาย? พอดีสถานการณ์มันบีบบังคับ ฉันเลยไม่มีทางเลือก หวังว่านายคงเข้าใจ”
“แน่นอน ฉันเข้าใจ แล้วจะลงมือได้หรือยัง? หรือว่าพวกนายยังมีเรื่องรังควานใจ? ไม่ต้องห่วงเรื่องขี้หมูขี้หมาพรรค์นั้นฉันจะไม่เอาความพวกนายและไม่คิดแก้แค้นด้วย”
คําพูดที่ถ่ายทอดออกมาจากปากของกอร์ดอนโรฮัน ทําให้ดวงตาพวกเขาเกิดแสงสว่างสั่นไหวแผ่วเบา
กอร์ดอนโรฮันไม่ได้เจาะจงพูดกับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ตั้งใจพูดกับพวกเขาทุกคน คําพูดของกอร์ดอนโรฮันก็เปรียบเสมือนประกาศิต ฉะนั้นคําพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากย่อมเป็นความจริง
ไม่เอาความ
และไม่คิดแก้แค้น
“แหม่ พูดมาแบบนี้ พวกเราก็ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆเพียงฝ่ายเดียวสิครับ” อาเดล คาสเซิลกล่าวขึ้นพร้อมยกสัญญาณมือ
ชั่วพริบตาผู้ตื่นขึ้นจํานวน 14 คน แยกย้ายขจัดขจายไปตามจุดต่างๆบนสนามแข่งขัน
“งั้นพวกเรามาเริ่มงานเต้นรํา ตามแบบฉบับของพวกเรากันดีกว่า”
หลังจากออกมาส่งบักหยุนกิว จนร่างกายของอีกฝ่ายหายลับสายตาไป ซูฮยอนก็เดินกลับเข้าไปในหอคอยกอร์ดอน
ชั้นที่ 1 ของหอคอยกอร์ดอนเปล่าเปลี่ยวไร้วี่แววผู้คน เหตุเป็นเพราะบุคคลภายนอกถูกสั่งห้ามเข้าเป็นการชั่วคราว เนื่องจากหอคอยกอร์ดอนปิดให้บริการเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งทุกชิ้นจึงถูกขนย้ายออกไปทําความสะอาด ชั้นที่ 1 จึงดูโล่งเตียนผิดหูผิดตา
“บุคคลภายนอกเข้ามาไม่ได้แขกเหรื่อคนอื่นก็ไม่มี” ซูฮยอนพูดพร้อมกวาดตามองทั่วชั้นที่ 1
“ไม่ต้องเสียเวลาซ่อนตัวหรอก ออกมาได้แล้ว”
เงียบเชียบ ไร้เสียงตอบกลับ
ประหนึ่งว่าพวกเขากําลังรอสัญญาณบางอย่าง
ซูฮยอนยักไหล่และดีดนิ้ว
เปาะ!! ตูม!!
ทันทีที่เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นบนนิ้วซูฮยอน สะเก็ดไฟขนาดเล็กลอยไปตามอากาศแล้วระเบิดโจมตีตรงมุมห้อง แรงระเบิดทําให้ 2 คนกระโดดออกมาจากที่ซ่อน นอกจากพวกเขา 2 คนตามมุมอับทั่วชั้นที่ 1 เริ่มมีคลื่นพลังชีวิตเปิดเผยออกมาสมทบเรื่อยๆ
ผู้ที่โผล่ออกมาจากแหล่งซ่อนมีด้วยกันทั้งสิ้น 10 คน
ในบรรดา 10 คน มีแค่ 2-3 คนที่ซูฮยอนเคยเห็นหน้าคร่าตาและเคยได้ยินชื่อผ่านหู ส่วนพวกที่เหลือเป็นพวกไร้ตัวตน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน นั่นก็คือ พวกเขาทุกคนเป็นผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรป
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ตื่นขึ้นทวีปยุโรป ยอมสละเวลามาต้อนรับคนอื่นอย่างอบอุ่นเช่นนี้? แถมยังยกโขยงมาตั้ง 10 คน บรรยากาศช่างอุ่นหนาฝาคั่งเสียจริง หรือว่าฉันเป็นญาติโกโหติกาของพวกนายใช่ป่าว?” ซูฮยอนถาม
“นายดูไม่สะดุ้งสะเทือนหรือหวาดหวั่นเหตุการณ์ตรงหน้าเลยนะ ยังมีอารมณ์แสดงสีหน้าระรื่นอีกไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองหรือไง?”
ในจํานวนผู้ตื่นขึ้น 10 คนที่กําลังยืนห้อมล้อมซูฮยอน มี 1 คนก้าวเท้าออกมาข้างหน้า จนเห็นหน้าเห็นตาเด่นกว่าคนอื่น
คนที่ก้าวออกมาเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงลือชาอย่างมากในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขามีนามว่าสเตฟาน
“มีแค่ 10 คนเองเหรอ” ซูฮยอนพยักหน้า สายตาจ้องมองไปที่ลิฟท์แล้วเอ่ยปากถาม “หากฉันคาดไม่ผิดต้องมีคนกลุ่มหนึ่งไปหากอร์ดอนโรฮันเหมือนกันสินะ”
“นายเดาได้ถูกต้องกอร์ดอนโรฮันเป็นตัวปัญหาที่จัดการได้ยาก เลยต้องใช้กําลังคนเยอะหน่อยล่ะนะ”
“ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เปลืองน้ําลาย ฉันก็พอรู้ว่าพวกนายมีเป้าหมายอะไร”
เป็นที่แน่ชัดว่าคนเหล่านี้เล็งเป้าหมายไปที่เขาและกอร์ดอนโรฮัน เพราะในงานสงครามแก่นแย่งอันดับ ทั้ง 2 คนถือได้ว่าเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆในการแข่งขัน กลุ่มคนที่ห้อมล้อมซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้นชาวยุโรป
ที่สําคัญพวกเขายังมีความเกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรปโดยตรง
ผู้ตื่นขึ้นที่มาจากทวีปยุโรปเหมือนกัน ทํางานภายใต้องค์กรเดียวกัน มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าพวกเขากําลังร่วมมือตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อให้จุดประสงค์บรรลุ
<<แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ คือการคว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับและเพื่อการนั้นจําเป็นต้องกําจัดเสี้ยนหนามที่ขวางหน้า>>
คาดไม่ถึงว่าแผนการที่พวกเขาเลือกใช้จะเป็นการลอบกัดคนอื่นลับหลัง
ช่างเป็นแผนการที่เรียบง่าย แต่ก็มีความสมเหตุสมผล ด้วยบุคลิกภาพของกอร์ดอนโรฮันหลังจากผ่านพ้นสถานการณ์ครั้งนี้ไป เขาคงไม่แพร่งพรายเหตุการณ์ลอบกัดลับหลังให้ใครฟังแน่นอน
<<ถึงว่าทําไมกอร์ดอนโรฮันถึงเอาชนะสงครามแก่งแย่งอันดับในอดีตไม่ได้ ต้นเหตุมาจากเหตุการณ์นี้สินะ>>
หากทางด้านกอร์ดอนโรฮันมีคนเยอะกว่าด้านซูฮยอน หมายความว่ามีผู้ตื่นขึ้นที่เข้า ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้มากกว่า 20 คน
ต่อสู้กับผู้ตื่นขึ้น 20 คนพร้อมกัน คงไม่เกินกําลังของกอร์ดอนโรฮัน แม้จะผ่านการต่อสู้มาได้แต่ร่างกายต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แปลกใจทําไมสงครามแก่งแย่งอันดับในอดีตเขาถึงชวด..
ริมฝีปากของซูฮยอนคลี่รอยยิ้มเยาะเย้ย
การแสดงกิริยาท่าทางของซูฮยอนไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันเลยสักนิด เป็นเหตุให้ความมั่นอกมั่นใจของสเตฟานและพวกพ้องผู้ตื่นขึ้นจากสหภาพยุโรปสั่นโอนเอน
“ยิ้มอะไรของแกมีเรื่องอะไรน่าหัวเราะหรือไง?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายปรึกษาหารือกันอีท่าไหน พวกนายถึงได้คิดว่าฉันไร้น้ํายา แต่ว่า นะ…”
“แต่อะไร?”
“ถ้านายอยากเอาชนะพวกฉันจริงๆ นายไม่ควรแบ่งกลุ่มตั้งแต่แรก แต่ควรโจมตีพวกฉันพร้อมกันรวดเดียวมากกว่า”
แน่นอนว่าซูฮยอนเข้าใจความคิดของพวกเขา พวกเขาอาจประเมินไว้ว่าผู้ตื่นขึ้น แค่ 10 คนก็เพียงพอต่อการเอาชนะอีกฝ่าย
พวกเขาอาจคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน คงไม่สามารถต้านทานผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 10 คนพร้อมกันได้
แต่โชคร้ายนักที่พวกเขาคิดผิด…
“นายถามฉันว่ามีเรื่องอะไรน่าหัวเราะใช่ไหม?”
ทันใดนั้นภาพเงางูขนาดมหึมาปรากฏขึ้นด้านหลังซูฮยอน เนตรที่สานแย้มพรายกลางหน้าผากกวาดมองผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ด้านหน้า ประหนึ่งนักล่าที่กําลังเฝ้ามองเหยื่ออันโอชะ
“เดี๋ยวนายจะทําความเข้าใจได้เอง”
สเตฟานเพ่งมองเนตรที่สามของซูฮยอนแล้วเผลอกระเดือกน้ําลายลงคอ
บรรยากาศรอบข้างผิดแผกไปจากเดิม
ความรู้สึกระหว่างมองดูผ่านหน้าจอกับประสบด้วยตาตัวเองแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่เชื่อว่ากําลังคนแค่นี้ น่าความแข็งแกร่งเพียงพอในการสยบอีกซูฮยอน
เพราะพวกเขาคิดวิเคราะห์และตัดสินใจมาเป็นอย่างดีจากการสังเกตการต่อสู้ของโทมัสและซูฮยอน แต่สถานการณ์ปัจจุบันเหมือนพวกเขาจะตัดสินใจผิด
“ทุกคนระวังตัวด้วย อย่าปล่อยให้การป้องกันหละหลวม” สเตฟานกล่าวสําทับ
“พวกเรารู้แล้วน่า”
“เวรเอ๊ย ฉันไม่น่าสมัครใจรับหน้าที่ปฏิบัติงานครั้งนี้เลย ถ้ารู้ว่าจะลงเอยแบบนี้ ฉันยอมถอนตัวแล้วไปทําหน้าที่อื่นให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า”
ใบหน้าของสเตฟานกลายเป็นอัปลักษณ์ เพราะนึกเสียใจที่ตัวเอง [เลือกอยู่ผิดที่]
ซูฮยอนเริ่มย่างก้าวใกล้มาหาพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
สวบ!! สวบ!!
คมดาบอันตรายถึงชีวิตและลูกศรแหลมคมพุ่งโจมตีมาจาก ซ้าย และ ขวา กอร์ดอนโรฮันตวัดหอกในมือทําลายดาบที่มองไม่เห็นด้วยตาและใช้มือเปล่าคว้าลูกศร
ตูม!
ขณะที่กอร์ดอนโรฮันใช้มือเปล่าหยุดลูกศรและกําลังหักทิ้ง พลันเกิดแรงระเบิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
กอร์ดอนโรฮันรีบเดินออกจากกลุ่มควันสีขาว นอกจากปีกที่ได้รับความเสียหายเป็นรอยไหม้จุดเล็กๆ ตามร่างกายของเขายังคงไร้ร่องรอยบาดแผล
ผู้ตื่นขึ้นที่เป็นเจ้าของลูกศรตะโกนออกมาด้วยความตกใจเหมือนไม่เชื่อภาพที่เห็น “เขาโดนการโจมตีของฉันแล้ว รีบผนึกเขาเร็วเข้า ก่อนที่เขาจะฟื้นตัว”
เมื่อผู้ตื่นขึ้นนายหนึ่งได้ยินเสียงตะโกน เขารีบยื่นมือออกไปด้านหน้า วงแหวนสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นและเริ่มตีวงโอบล้อมและกักขังกอร์ดอนโรฮันเอาไว้ ขั้นตอนนี้อย่างน้อยต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะพลังเวทย์ที่แผ่ออกมามีความเข้มข้นและหนาแน่นมากเป็นพิเศษ
กอร์ดอนโรฮันเดินโซซัดโซเซขยับร่างกายไปข้างหน้า ก่อนเอื้อมมือสัมผัสวงแหวนแห่งแสงที่จองจําเขาไว้ด้วยมือเปล่า “ลูกเล่นน่ารําคาญ”
เพล้ง!!
วงแหวนที่ส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ กอร์ดอนโรฮันคิดสรตะในใจ เขาไม่มีความจําเป็นต้องใช้หอกทําลายสกิลกะโหลกกะลาประเภทนี้ เพราะแค่มือเปล่าๆก็สามารถทําลายสกิลของคนอื่นได้อย่างไม่ยากเย็น
ปรากฏการณ์ที่ประจักษ์ขึ้นตรงหน้าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากไม่ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่
ผู้ตื่นขึ้นที่แบ่งถ่ายพลังทั้งหมดในร่างกาย เพื่อคงสภาพวงแหวนเอาไว้ให้นานที่สุดกรีดร้องเสียงแหลมบาดแก้วหู “ไอ้บ้านั้น ผิดมนุษย์มนาเกินไปไหม!!”
เหตุการณ์เหนือสามัญสํานึกทําให้เขาไม่อยากจะเชื่อ เขาพิเคราะห์ว่าสกิลที่อุตส่าห์ร่ายตระเตรียมไว้นานนม ควรจํากัดการเคลื่อนไหวของกอร์ดอนโรฮัน ได้อย่างน้อย 2-3 นาที แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เพื่อไม่ให้การโจมตีเว้นช่วงนานเกิน ผู้ตื่นขึ้น 3 คนรีบเข้าประกบตัวกอร์ดอนโรฮัน
ทันใดนั้นเองกอร์ดอนโรฮันควงหอกในมือให้หมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาตัวหอกหมุนไปแล้วมากกว่าพันรอบ ไม่นานหอกก็เริ่มหยุดนิ่ง ปลายหอกแหลมคมชี้ไปทางผู้ตื่นขึ้น 3 คนที่กําลังใกล้เข้ามา
“ถ้านายยังไม่อยากตาย ก็หลบไปซะ”
“!”
หอกของกอร์ดอนโรฮันเปล่งแสงแพรวพราว
พลังเวทย์เชี่ยวกรากระเบิดออกมาจากหอกกอร์ดอนโรฮัน ผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งที่กําลังประชิดตัวโดนหอกจ้วงแทงกลางลําตัวและบิดกระชาก ทําให้ร่างกายของเขาแยกออกเป็นชิ้นๆเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น
ผู้ตื่นขึ้นอีก 2 คนที่ไหวตัวทัน เร่งกระโดดหลบรัศมีหอกไปข้างหลัง แววตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขามองภาพตรงหน้าตาไม่กระพริบ
การโจมตีด้วยหอกเมื่อครู่ มีอานุภาพรุนแรงจนสามารถผ่าสนามแข่งขันออกเป็น 2 ส่วนได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของกอร์ดอนโรฮันไม่ได้ใช้สกิลพิเศษร่วมด้วย
ไม่สิ ถ้ากล่าวว่ากอร์ดอนโรฮันใช้แรงกายอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก ตามความเป็นจริงเขาใช้แค่พลังเวทย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยโคจรพลังเวทย์ทั่วหอกและทําการกวัดแกว่ง
“เป็นอะไรไป ทําไมพวกนายถึงหน้าถอดสี อย่าบอกนะว่าเกิดกลัวขึ้นมา?”
“ฉะ…ฉัน”
ฉีก!!
ผู้ตื่นขึ้นที่ยืนอยู่ใกล้กอร์ดอนโรฮันมากสุดตัดสินใจวิ่งหนี ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบเลยตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลัง ภาพที่ครรลองสายตามองเห็น คือหอกของก อร์ดอนโรฮันกําลังลู่ลม หมายมั่นแทงทะลุศีรษะ
“อีก”
“นายอย่าเหม่อลอยนักสิ ถ้ารู้ตัวว่ากําลังโดนฆ่า นายไม่ควรหันหลังกลับมา เพราะการกระทําของนาย จะทําให้ฉันฆ่านายได้ง่ายขึ้น”
หอกแหลมคมกระชากออกจากศีรษะผู้ตื่นขึ้นเคราะห์ร้าย กอร์ดอนโรฮันสะบัดหอกในมือขจัดคราบเลือด จนหอกที่เคยเปรอะเปื้อนเลือดสีแดงกลับมาขาวสะอาดเหมือนเดิม
กอร์ดอนโรฮันก้มหน้าสํารวจหน้าอก แม้คราบเลือดจะเป็นหย่อมเล็กๆ แต่คราบเลือดที่ปราก
คันยุบยิบบริเวณกลางหน้าอกพอทําเนา
<<ฉันโดนฟันงั้นเหรอ ตอนไหนหว่า ไม่เห็นรู้เรื่องเลย?>>
บาดแผลที่ปรากฏกลางหน้าอก อาจเกิดขึ้นช่วงที่เขาชุลมุนหลบการโจมตีจากอาวุธมีคมแต่เขาไม่สามารถหลบการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาได้ทั้งหมด ทําให้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
กอร์ดอนโรฮันเกาหัวแล้วย้ําเตือนกับตัวเองในใจว่าการโจมตีครั้งต่อไป เขาต้องระวังตัวให้มาก
“ล้อเล่นใช่ไหม? เขาแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้มาก”
“กําลังคนแค่นี้ จะจัดการเขาได้จริงเรอะ?”
การโจมตีทั้งหลายแหล่ที่ระดมใส่กอร์ดอนโรฮันหยุดชะงักลงชั่วคราว ผู้ที่ปล่อยท่าโจมตีทุกคนเริ่มจินตนาการภายในหัว หากเขากระโดดลงไปต่อสู้กับกอร์ดอนโรฮันตัวต่อตัวชะตากรรมสุดท้ายของเขาคงไม่แคล้วเสียชีวิต ผู้ตื่นขึ้น 2 คนที่หวังเข้าประชิดตัวกอร์ดอนโรฮันกลับโดนอีกฝ่ายฆ่าตายง่ายๆเหมือนปั๊มดขี้แมลงเป็นตัวอย่างชั้นดี
วิเคราะห์จากภาพร่วมในปัจจุบัน อาเดลมีความคิดเห็นเหมือนกับคนอื่น
<<ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป เห็นที่ฉันคงต้องขอกําลังเสริมจากอีกกลุ่มหนึ่ง>>
แผนการที่แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อโจมตีกอร์ดอนโรฮันและซูฮยอนพร้อมกัน นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว จะให้ถอยหลังกลับตอนนี้ก็ไม่ทันการณ์ พวกเขาจําใจต้องขอความช่วยเหลือจาก สเตฟาน และผู้ตื่นขึ้นอีก 9 คน ที่กําลังปะทะกับผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้โดยด่วนที่สุด
<<ระหว่างรอกําลังเสริมมาสมทบ ฉันต้องพยายามประวิงเวลา…>>
ขณะ อาเดล ล่วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
ติด!! ติด!! ติด!!
หินก้อนเล็กที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ เกิดการสั่นแจ้งเตือนขึ้นฉับพลัน
อาเดลขมวดคิ้วขึ้นสูง หินก้อนเล็กที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเป็นอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ส่งสัญญาณหากันและกัน แต่ทว่า…
<<ไม่จริงใช่ไหม? ทางฟากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?>>
สัญญาณที่ส่งผ่านหินก้อนเล็ก หมายความว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้กับซูฮยอน ก็ปรารถนาความช่วยเหลือจาก อาเดล เช่นกัน