Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 192

ตอนที่ 192

วาห์นกำลังจ้องมองสีหน้าของพวกเทพเช่นเดียวกับของคนอื่นๆ

การที่เทพธิดาถูกสังหารนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก

แต่ไม่ว่าจะเรื่องนี้จะยุ่งยากแค่ไหน วาห์นก็ตัดสินใจแล้วว่าจะแบกรับมันไว้โดยไม่ให้ส่งผลไปถึงโคลอี้แน่นอน

โลกิเริ่มทำหน้าจริงจังขณะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เพราะเธอดูออกว่าวาห์นรู้ตัวคนทำและหัวเด็ดตีนขาดก็คงจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้แน่นอน

และไม่ว่าเด็กหนุ่มจะคิดยังไง เธอก็คงต้องช่วยไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงไปมากกว่านี้

พอหันไปมองเฮเฟสตัส เธอก็เห็นแววตามุ่งมั่นที่แทบลุกเป็นไฟและรู้ว่าพวกเธอต่างมีความคิดแบบเดียวกัน

หลังจากวิเคราะห์และคิดแผนออกมามากมายในหัว โลกิก็ปรบมือดังๆ เพื่อเรียกสติของทุกคน

เธอพูดขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มซุกซนอย่างเคย

“เอาล่ะ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง~! ตอนนี้ให้พวกเด็กน้อยทั้งหลายกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ

เดี๋ยวตรงนี้ไว้เป็นหน้าที่ของพวกผู้ใหญ่ดูแลเอง~!”

วาห์นรู้ว่าโลกิคงกำลังคิดแผนบางอย่างอยู่ และแม้กระทั่งเฮเฟสตัสเองก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดเสริม

“ถูกของโลกิ เดี๋ยวเราจะจัดการที่เหลือเอง วาห์น พามิลานกับทีน่าไปพักในที่ปลอด-”

“เอ่อ…” ขณะที่เฮเฟสตัสกำลังพูดอยู่ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาจากด้านหลัง

ทั้งกลุ่มมองไปทางผู้พูดและเห็นซีลที่ยิ้มแห้งๆ ขณะเดินเข้ามาพร้อมกับริวและอาเนีย

แม้จะรู้สึกกดดันเล็กน้อยจากสายตาของทุกคน แต่ซีลก็หันไปทางมิลานและพูดต่อ

“หอพักของเรามีที่เหลือเฟือเลยนะถ้าคุณต้องการพักที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’

…ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงแรมแล้วและเราสามารถช่วยคุณได้ทั้งเรื่องที่พักแล้วก็เรื่องงานด้วย”

วาห์นอยากจะกล่าวปฏิเสธแทนเพราะเขาต้องการให้ทั้งสองมาอยู่ด้วย แต่มิลานกลับพูดตัดบทก่อนจะยอมรับข้อเสนอของซีล

เมื่อเห็นใบหน้าสับสนของเด็กหนุ่ม มิลานก็ยิ้มให้ขณะลูบเส้นผมของทีน่าก่อนจะอธิบายให้ฟัง

“ฉันรู้ว่ามีปัญหาอีกหลายอย่างที่นายต้องไปสะสางนะ

ฉันไม่อยากให้นายเป็นห่วงพวกเราเกินไปนัก และคิดว่าตอนนี้ทั้งทีน่ากับฉันเองก็ควรจะขอเวลาไปคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน

ส่วนเรื่องการไปอยู่ที่หอพักน่าจะดีกับเจ้าตัวน้อยมากกว่านะ เพราะถ้าให้กลับไปอยู่บ้านนายตอนนี้… เธออาจจะไม่กล้าออกไปไหนอีกแล้วก็ได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของมิลาน วาห์นก็จำได้ว่าทีน่านั้นได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงและอาจพัฒนาขึ้นจนเป็นโรคกลัวผู้ชายแทน

หากเขาพาเธอกลับไปอยู่ด้วย เธออาจจะกลายเป็นพวกเก็บตัวเพื่อป้องกันจิตใจอันบอบบางของตัวเอง

ถึงจะไม่สร้างปัญหาในตอนแรก แต่ต่อไปมันก็จะแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเธอไม่กล้าคุยกับใครเลย

เด็กผู้หญิงหลายคนจาก ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ นั้นต่างเจออะไรมาหลายอย่างในอดีต และวาห์นก็เริ่มเห็นด้วยว่านั่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเธอ

ถ้ามีมามามีอากับโคลอี้คอยดูแล วาห์นก็เชื่อว่าทั้งสองน่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

วาห์นลูบหัวของทีน่าที่กำลังหลับอยู่ ก่อนจะสวมกอดมิลานเพื่อปลอบขวัญพวกเธอ

เขาเห็นว่าออร่าของหญิงสาวนั้นยังดูวุ่นวายเล็กน้อยและเข้าใจว่าคงไม่ใช่แค่ทีน่าเท่านั้นที่ต้องการการพักฟื้น

มิลานสูญเสียบ้านที่อยู่มาสิบปี ถูกมารุณกรรมต่างๆ นาๆ และตบท้ายด้วยการต้องมาเป็นห่วงอาการของลูกสาวอีก

ถึงตอนนี้จะดูปกติดี แต่เขาก็รู้สึกถึงความตึงเครียดตอนสวมกอดเธอได้อย่างแจ่มชัด

หลังแลกเปลี่ยนคำพูดกันอีกเล็กน้อย วาห์นก็แยกกับสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรก่อนให้สัญญาว่าจะนัดพบเจอกันอีกในอนาคต

แม้จะไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่ แต่วาห์นก็อยากพาพวกผู้หญิงไปส่งที่เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อมเพื่อความปลอดภัย

กลุ่มของพวกเขานั้นค่อนข้างใหญ่โตมากซึ่งมีทั้งน่าซ่า ลิลลี่ ทีโอน่า ไอส์ ซีล ริว อาเนีย มิลานและวาห์นซึ่งกำลังอุ้มทีน่าขณะเดินถัดจากมิลาน

เมื่อพวกเด็กๆ ออกไปกันแล้ว โลกิก็หันมาหาเหล่าเทพก่อนจะส่งสายตาไปทางชิกุสะจนทาเคมิคาสึจิต้องขอให้เธอออกไปก่อน

กลุ่มที่ยังอยู่ตรงนี้มีเฮเฟสตัส มิอาค อนูบิส ทาเคมิคาสึจิ และโลกิ

สมาชิกแฟมิเลียที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดนั้นถูกขอให้ออกไปจากบริเวณนั้น ก่อนที่กลุ่มเทพและเทพธิดาจะเดินเข้าไปในเต็นท์บัญชาการชั่วคราว

เนื่องจากต้องเตรียมรับมือเรื่องผู้บาดเจ็บ พวกเขาจึงตั้งเต็นท์พยาบาลและเต็นท์บัญชาการมากมายในช่วงที่มาถึงใหม่ๆ

หลังจากทุกคนได้ที่นั่งกันแล้ว โลกิก็เริ่มเปิดประชุมเดนาตัสขนาดเล็กโดยเริ่มจากหัวข้อที่สำคัญที่สุด

“เรื่องของลาเวอร์น่าคงจะไม่จบง่ายๆ แน่

แต่ก่อนอื่น… คงต้องขอยืนยันสถานะของทุกคนที่อยู่ในนี้ก่อน”

ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเธอผ่านไปหามิอาคและทาเคมิคาสึจิ ทั้งสองจึงเริ่มพูดออกมาตามลำดับ

ทาเคมิคาสึจิยังคงมีสีหน้ามั่นคงและแน่วแน่เช่นเดิม

“ถ้าเป็นไปได้ ฉันเองก็อยากเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรที่ถูกสร้างขึ้นมาระหว่างโลกิกับเฮเฟสตัสแฟมิเลีย

ถึงเขาจะไม่ใช่ตัวแทนอย่างเป็นทางการของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย แต่ฉันก็รู้สึกเคารพในตัววาห์น เมสันมาก

เขามีบุคลิกที่แข็งแกร่ง ชอบธรรม และฉันเชื่อว่าคงจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ของตัวเอง

ฉันอาจจะไม่มีอำนาจอะไรมากมายนัก แต่จะขอสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้โดยหวังว่าจะความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิเลียของเราในฐานะกลุ่มพันธมิตรจะแน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้นในอนาคต”

ขณะที่ทาเคมิคาสึจิพูด เขาก็ก้มหัวลงต่ำให้กับทุกคนจนแทบจะติดโต๊ะอยู่แล้ว

มิอาคนั้นเผยรอยยิ้มที่ดูพึงพอใจและอ่อนโยนมาก ทว่าดวงตาของเขากลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นขณะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“วาห์นช่วยเด็กคนสำคัญของฉันไว้ แถมยังคอยดูแลเธอตราบจนถึงวันนี้

ฉันอยากจะตอบแทนสิ่งที่เขาทำให้และเคยกล่าวคำสาบานเรื่องนี้ไปแล้วด้วย

ถ้าเป็นไปได้ ฉันเองก็อยากเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อช่วยแก้ปัญหาครั้งนี้ด้วย”

แม้ว่าจะก้มไม่ต่ำเท่าทาเคมิคาสึจิ แต่มิอาคก็โค้งคำนับให้อย่างสุภาพเช่นกัน

เฮเฟสตัสเฝ้าสังเกตทั้งสองและพูดเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกขอบคุณ

“ทั้งคู่เคยช่วยฉันมาก่อนในอดีต ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นพันธมิตรที่ดีและไว้ใจได้

ถึงจะขาดเรื่องสิทธิอำนาจไปบ้าง แต่พวกเขาก็เป็นเทพที่ดีและอาจเป็นกำลังสำคัญต่อไปในอนาคต

เราต้องการแรงสนับสนุนจากเทพจำนวนมากหากต้องการกดดันโอรานนอสตามเป้าที่วางไว้”

โลกิพยักหน้าก่อนจะหันไปทางอนูบิสที่นั่งเงียบมาตลอด

เมื่อเห็นสายตาของโลกิ อนูบิสก็เผยรอยยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่เคียงข้างนายท่านของฉันไปตลอด”

คำพูดของเทพสาวทำให้ทาเคมิคาสึจิและมิอาคแสดงสีหน้าแปลกๆ จนกระทั่งเฮเฟสตัสเข้ามาอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวาห์นและอนูบิสแฟมิเลียในอดีต

โลกิเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและเกือบจะเอามือตบหน้าผากตัวเองหลังได้ยินว่าอนูบิสนั้น ‘แทรกตัว’ เข้ามาในชีวิตของวาห์นได้อย่างแยบยลแค่ไหน

เป็นครั้งแรกในรอบหลายล้านปีที่โลกิรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียรู้ให้กับเทพธิดาองค์อื่น

หลังจากจบการอธิบายแล้ว ทุกคนก็เริ่มเข้าพิธีสาบานว่าจะยึดมั่นในเงื่อนไขของกลุ่มพันธมิตรที่วางไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

แม้อนูบิสเคยสาบานไว้ว่าจะติดตามวาห์นไปตลอดชั่วชีวิตของเขา แต่ตอนนี้เธอก็ได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรอย่างเป็นทางการแล้ว

ทุกอย่างนี่ก็เพื่อการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างเทพและเทพธิดาทั้งห้าที่อยู่ตรงนี้

พอพิธีสาบานจบลง… วาห์นซึ่งอยู่ที่ส่วนอื่นของเมืองนั้นก็สะดุ้งเล็กน้อยจากการแจ้งเตือนของระบบ

ตอนนี้พวกเขาเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการแล้วและตัดสินใจว่าจะให้เฮเฟสตัสขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มเนื่องจากเธอมีความมั่งคั่งและอำนาจสูงสุดในที่นี้

โลกิกลายเป็นผู้ดูแลกลุ่มและได้รับการผ่อนผันจากเฮเฟสตัสให้ถือสิทธิ์เท่าเทียมกันตราบเท่าที่เธอทำตัวเป็นกลางและไม่เอนเอียงไปทางแฟมิเลียของตนเอง

แม้จะเข้าใจดีว่าพวกเธออาจไม่ลงรอยกันในบางเรื่อง แต่เฮเฟสตัสก็รู้ว่าโลกินั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้และจะทำให้ทางกลุ่มได้รับประโยชน์มากที่สุดตราบเท่าที่เธอยังปฏิบัติตามคำสาบาน

โลกิเริ่มพูดต่อจากก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะจัดการกับโอรานอสการตายของลาเวอร์น่ายังไงดี

ยังดีที่แฟมิเลียของลาเวอร์น่านั้นไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากทางกิลด์ พวกเขาจึงสามารถใช้เรื่องนี้ให้ประโยชน์ในระหว่างการเจรจาได้

ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วลาเวอร์น่าก็คงถูกส่งตัวกลับขึ้นสวรรค์อยู่ดี พร้อมกับที่แฟมิเลียของเธอจะต้องเสียพรที่ได้รับไป

การที่เธอวางแผนโจมตีสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลียและโลกิแฟมิเลีย (แบบทางอ้อมเพราะทั้งคู่เป็นพันธมิตรกัน) ทำให้พวกเขามีแต้มต่อที่มากพอสมควร

เรื่องน่าหนักใจก็คือลาเวอร์น่านั้นถูกสังหารด้วยน้ำมือของมนุษย์ เพราะมันจะกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่ชุมชนของทวยเทพ

มีการตั้งกฎหมายหลายอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ทำการกระทำการอุกอาจต่อทวยเทพเพราะเทพส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่นักสู้

เนื่องจากพวกเทพถูกห้ามไม่ให้ใช้อาร์คานั่มเมื่อจุติลงมายังโลกมนุษย์ กฎนั่นจึงถือเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกมนุษย์เอารัดเอาเปรียบ

ระบบในปัจจุบันที่เหล่าทวยเทพมอบพรให้กับมนุษย์นั้นถือเป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันคือปัจจัยที่รักษาสมดุลทุกอย่างเอาไว้

หากเรื่องที่มนุษย์สามารถฆ่าเทพได้โดยไม่โดนบทลงโทษแพร่กระจายออกไป มันจะนำพาไปสู่ความวุ่นวายและบ่อนทำลายสมดุลระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์

แม้ทุกคนในนี้จะเชื่อว่าลาเวอร์น่าสมควรถูกส่งกลับสวรรค์ แต่เฮเฟสตัส โลกิ หรือและแม้แต่อนูบิสเองก็หวังว่าพวกเธอจะได้เป็นคนลงมือแทน

ไม่เพียงแต่เพื่อการล้างแค้นเท่านั้น แต่เพราะพวกเธอสามารถยอมรับผิดและแย้งว่านี่เป็นปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์จนอาจไม่โดนบทลงโทษอะไรเลย

ถึงกระนั้น พวกเธอก็ไม่ตำหนิใครก็ตามที่ฆ่าลาเวอร์น่าเพราะเข้าใจว่าน่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นจนสถานการณ์ดำเนินไปจนถึงจุดนั้น (TL: ลาเวอร์น่าหลุดจะใช้อาร์คานั่มออกมาแล้ว ลองนึกถึงอะไรที่แรงกว่าท่าไม้ตายของฟาฟเนียร์ดูนะครับ)

เฮเฟสตัสและโลกิพอจะเดาออกด้วยใครเป็นผู้ลงมือและรู้ว่าเธอคงทำไปเพื่อปกป้องวาห์นแน่นอน

ในเมื่อไม่พบวิธีแก้ปัญหาที่ดี พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะเล่นไม้แข็งและเผชิญหน้ากับโอรานอสตรงๆ พร้อมชิงความได้เปรียบในการเจรจาด้วยจำนวนที่มากกว่า

แน่นอนพวกเขาอาจต้องยอมประนีประนอมบางส่วนเพื่อให้โอรานอสใช้เป็นข้ออ้างกับเทพและเทพธิดาองค์อื่น แต่นั่นก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเหยื่อจากแผนการของลาเวอร์น่านั้นจะไม่ได้รับอันตราย

เฮเฟสตัสนั้นยินดีที่จะรับโทษเองเพราะสาเหตุในตอนแรกก็มาจากวัตถุดิบของเธอ แต่โลกิก็บังคับให้เทพสาวยอมแพ้หลังยกคำพูดของวาห์นมาขู่ใส่

หลังตัดสินใจกันได้แล้ว เหล่าเทพก็สั่งให้สมาชิกในแฟมิเลียของตนกลับไปพักผ่อนที่บ้าน

ส่วนใหญ่ที่พามานั้นเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 หรือต่ำกว่า พวกเขาจึงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

เหตุผลที่เด็กๆ ของอนูบิสมาด้วยในครั้งนี้ก็เพราะความสามารถในการแกะรอยและปลดกับดัก

หลังจากรู้ว่าวาห์นใช้อุโมงค์เส้นไหน เหล่า ‘สุนัขล่าเนื้อ’ ก็กระจายตัวกันออกไปตามทีมต่างๆ เพื่อตรวจสอบเส้นทางอื่นขณะที่ทีมจากโลกิแฟมิเลียไล่ตามวาห์นไป

เมื่อนานูรู้ว่าวาห์นปลอดภัยแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจมากก่อนจะพาเด็กๆ กลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็วเพื่อรอการกลับมาของจ่าฝูง

ฟินน์ได้รับหน้าที่ในการนำปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ขณะต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของทางกิลด์ที่ตามมาที่หลัง

และเพราะไหนๆ แฟมิเลียอันดับต้นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ทางกิลด์จึงขอความร่วมมืออย่างเป็นทางการไปยังกลุ่มพันธมิตรให้ช่วยจัดการรังโจรที่ซ่องสุมอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

แม้จะปฏิเสธไปก็ได้ แต่โลกิกับเฮเฟสตัสก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยหวังว่าจะใช้มันเป็นข้อต่อรองในการเจรจาอีกหนึ่งอย่าง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เฮเฟสตัส โลกิ อนูบิส ทาเคมิคาสึจิ และมิอาคก็มุ่งหน้าไปยังอาคารกิลด์สาขาหลักเพื่อเผชิญหน้ากับโอรานอสก่อนที่ลาเวอร์น่าจะมีโอกาสพล่ามเข้าข้างตัวเอง

เนื่องจากต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนจะกลับขึ้นไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ลาเวอร์น่าจะไม่สามารถใช้เทพพยากรณ์เพื่อติดต่อกับทางโลกมนุษย์ได้… อย่างน้อยก็อีกหลายชั่วโมง

หากพวกเขาเริ่มเดินเกมก่อน ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นแม้ว่าเธอจะพยายามทำให้เรื่องแย่ลงในภายหลังก็ตาม

เหล่าเทพเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของกิลด์อย่างไม่ลังเล ก่อนจะถูก รอยแมน มาร์ดีล ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากิลด์และตัวแทนอย่างเป็นทางการของโอรานอสบนโลกมนุษย์เข้ามาขวางไว้

รอยแมนนั้นแม้จะเป็นคนหยิ่งยโสแต่ก็มีท่าทีนอบน้อมมาก

เขาเป็นเอลฟ์สูงอายุที่มีผมหงอกเต็มหัวพร้อมดวงตาสีเขียว

ใบหน้าของเขาดูบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลาและส่งประกายแห่งความ ‘เหนือกว่า’ เมื่อพูดคุยกับมนุษย์ทั่วไป

แต่ถ้ามนุษย์พวกนั้นมาเห็นเขาในตอนนี้ล่ะก็… คงได้อ้าปากค้างจนถึงพื้นไปตามๆ กัน เพราะเอลฟ์สูงอายุกำลังก้มแล้วก้มอีกไปทางกลุ่มเทพและเทพธิดาทั้งห้า

แม้จะทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้ามนุษย์ แต่รอยแมนนั้นให้ความเคารพต่อเทพและเทพธิดาทุกองค์อย่างลึกซึ้ง เว้นก็แต่องค์ที่ถูกโอรานอสผู้เป็นนายตราหน้าว่า ‘ไม่คู่ควร’ เท่านั้น

หลังได้ยินสาเหตุการมาเยือนในครั้งนี้ รอยแมนก็รีบพาพวกเขาไปยังลิฟต์ส่วนตัวที่อยู่ด้านหลังอาคารกิลด์สาขาใหญ่

เพราะตนไม่สามารถขึ้นไปบนได้หากไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เขาจึงโค้งคำนับให้กับเทพทั้งห้าอยู่ตรงหน้าลิฟต์

เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของอนูบิส มิอาคและทาเคมิคาสึจิ ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องจุดหมายปลายทาง

คิ้วของโลกิขมวดไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะแสดงรอยยิ้มบ้าคลั่งนิดๆ และตอบกลับไป

“เตรียมตัวกันให้ดีนะ พวกนายกำลังจะได้เห็นมหากาพย์แห่งความเสแสร้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสองโลก!”

(A/N: ชื่อตอนสำรอง: ‘กลุ่มพันธมิตรเริ่มเติบโต’, ‘เผชิญหน้ากับนภา’, ‘อนูบิสได้มีส่วนร่วมนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจแล้ว’)

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท