Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 296

ตอนที่ 296

ขณะที่อัลเลนกำลังดูแลฟรีเน่อย่างทนุถนอมอยู่นั้น เสียงแห่งความวุ่นวายก็เริ่มดังไปทั่วเบลิตบาบิลี่

สมาชิกระดับหัวกะทิทั้ง 8 คนของเฟรย่าแฟมิเลียได้บุกเข้ามาข้างในและเริ่มกวาดล้างทุกอย่างแบบไม่เลือกหน้า

เฟรย่านั้นมีข้อมูลของเบลิตบาบิลี่และตึกโดยรอบอยู่ก่อนและได้วางกำลังคนเพื่อดักทางหนีของอิชทาร์ไว้หมดทุกด้านแล้ว

เทพสาวรู้ดีว่าถ้าอยากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เธอก็ต้องจัดการแบบถอนรากถอนโดคนให้หมดในครั้งเดียวเลย

ตราบใดที่อิชทาร์ยังอยู่ เธอก็จะคอยโปรยมนต์เสน่ห์เพื่อเกณฑ์คนไปทั่ว จากนั้นก็กลับมาแว้งกัดอยู่เรื่อยไป

เลเวลที่ต่ำสุดในหน่วยรบส่วนตัวของเฟรย่านั้นคือเลเวล 5 ซึ่งแน่นอนว่านักรบอเมซอนของอิชทาร์นั้นเทียบไม่ติดอยู่แล้ว

แม้ว่าหน่วยรบหลักของอิชทาร์จะหลบหนีออกไปตั้งแต่เริ่มแรก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความคิดแบบนั้น

ยังมีสมาชิกอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นแบบเดียวกับทัมมุซ หรือก็คือพวกที่ภักดีแบบไม่ลืมหูลืมตา

ส่วนใหญ่เป็นคนที่อิชทาร์เคย ‘ดูแลแบบถึงเนื้อถึงตัว’แทบทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีมนตร์เสน่ห์ คนพวกนี้ก็จะคอยปกป้องอิชทาร์และเบลิตบาบิลี่จนกว่าชีวิตจะหาไม่

สำหรับสมาชิกส่วนที่เหลือนั้น พวกเขาคิดถ้าสู้ก็ตายหนีก็ไม่น่ารอด งั้นก็อยู่สู้ต่อดีกว่า

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างแฟมิเลียทั่วไปกับแฟมิเลียอาชญากรรม

สำหรับแฟมิเลียอาชญากรรมนั้นการที่ตกอยู่ในสภาพ ‘เรือล่ม’ ก็เหมือนกับตัวเองได้ตายไปแล้ว จะหนีไปเข้าแฟมิเลียธรรมดาก็ไม่ได้ จะไปเข้าแฟมิเลียอาชญากรรมอื่นก็คงไม่มีใครอยากรับเพราะเดี๋ยวจะซวยไปด้วย

ครั้งนี้เฟรย่าถึงขนาดพากลุ่มนักรบทั้งสี่ที่มีชื่อว่า ‘พี่น้องกัลลิเวอร์’ ออกมาสู้ด้วย

การที่เผ่าพันธุ์พลูมจะให้กำเนิดคู่แฝดหรือแฝดสามนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การมีแฝดสี่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ยิ่งเป็นแฝดสี่ที่มีสกิลโจมตีประสานกันได้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

พลูมทั้งสี่มีส่วนสูง 120 ซม. และผมสีขาวเหมือนกัน พวกเขามีชื่อว่าเกรอร์ อัลฟริก ดวาลิน และเบอร์ลิง

ทุกคนเป็นนักผจญถัยเลเวล 5 และสวมชุดเกราะที่ปิดบังใบหน้าเหมือนๆ กัน

ไม่มีใครรู้ว่าคนไหนคือคนไหน อย่างเดียวที่แตกต่างกันก็คืออาวุธที่แต่ละคนถืออยู่

พอมีคนจดจำสี่พี่น้องตามอาวุธที่แต่ละคนใช้ ข่าวใหม่ก็เริ่มแพร่กระจายออกมาว่าพวกเขาสามารถสลับไปใช้อาวุธของกันและกันได้ด้วย

ข้อมูลที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือเกรอร์ผู้เป็น ‘พี่ใหญ่สุด’ นั้นชอบใช้ดาบใหญ่มากเป็นพิเศษ

พอประสานการโจมตีเข้าด้วยกัน สี่พี่น้องก็สามารถสังหารเหล่าสมาชิกของอิชทาร์แฟมิเลียได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ถ้าหากมีพวกเก่งหน่อยๆ โผล่ออกมา เกรอร์ก็จะโดดเข้าใส่เป็นคนแรก จากนั้นพี่น้องที่เหลือจะตามเข้ามาโอบรอบด้านและเผด็จศึกในเวลาต่อมา

ถึงศัตรูจะอ่อนแอกว่ามาก แต่พี่น้องทั้งสี่ก็ยังโจมตีร่วมกันอย่างจริงจังโดยไม่ชะล่าใจเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาสู้แบบเงียบๆ ไม่มีการประกาศนาม ไม่มีการเยาะเย้ยอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะหันมาคุยกันเอง

แต่ต่อให้ทั้งสี่จะดูเก่งกาจยังไง พวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับชายหนุ่มอีกคนที่พุ่งผ่านกองกำลังของเบลิตบาบิลี่ดุจดั่งคลื่นโหมกระหน่ำได้เลย

ตอนนี้ร่างสูง 2 เมตรกว่าๆ นั้นถูกชโลมไปด้วยเลือดของศัตรูเพียงอย่างเดียว

ดาบยักษ์ 2 เล่มถูกกวัดแกว่งราวกับว่าพวกมันเบาเหมือนกิ่งไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในระยะจะถูกทำลายโดยปราศจากความลังเล แน่นอนว่ารวมถึงพวกขยะที่ต้องการเข้าใกล้เทพธิดาที่อยู่ด้านหลังด้วย

เฟรย่าเดินตามออตตาร์โดยทำเหมือนศัตรูราวๆ 50 คนตรงนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ

ทั้งสองเดินเข้ามาถึงพื้นที่ชั้นในที่ซึ่งอิชทาร์มักจะใช้เพื่อจัด ‘งานรื่นรมย์’ ยามค่ำคืน

ห้องๆ นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตรและถูกห้อมล้อมไปด้วยผ้าม่านกับกลิ่มเครื่องหอมอบอวน

ตรงกลางห้องยังมีเตียงขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยหมอนหลายขนาด ผ้าห่ม และอุปกรณ์เพื่อความรื่นรมย์หลายชิ้น

อิชทาร์ที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนั้นกำลังได้รับการปรนนิบัติจากชายหนุ่ม 2 คน แต่แล้วดวงตาก็เธอก็เบิกกว้างเมื่อหันไปเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

แต่ก่อนที่เธอจะได้เปิดปาก เฟรย่าก็หัวเราะอย่างสนุกสนานและพูดขึ้น

“เชิญต่อได้ตามสบายเลยนะ

ไหนๆ นี่ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในโลกมนุษย์ของเธอแล้วหนิ อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่าเลย~”

ดวงตาของเฟรย่านั้นแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก ราวกับกำลังต้องมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น

สองหนุ่มที่อยู่ข้างอิชทาร์นั่น เธอมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีดีแค่รูปร่าง แต่ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ดูแล้วคงเป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่า ‘นายบำเรอ’

จากมุมมองของเฟรย่า คนจำพวกนี้เปรียบเสมือนมดปลวกไร้ค่า ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะจ้องมองเธอด้วยซ้ำ

อิชทาร์มองเฟรย่าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ราวกับว่ากำลังมองสิ่งที่อยู่สูงกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเคียงได้

ไม่นานสายตาของเธอก็เคลื่อนไปหาออตตาร์ผู้มีสมญานามว่า ‘คิง’

ร่างกำยำนั่นดูเหมือนถูกสลักออกมาจากหินแกรนิต เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่อาจซ่อนความแข็งแกร่งที่อยู่ภายในได้เลย

พอเลื่อนขึ้นมาประสานตาด้วย อิชทาร์ก็ต้องตกใจรอบสองเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอแม้แต่นิดเดียว

พอตกใจก็เลยเริ่มได้สติและเห็นว่านอกจากออตตาร์จะถือดาบยักษ์เข้ามาแล้ว ทั่วตัวของชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงมากมาย

อิชทาร์รีบโบกมือไล่ชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ฟะ-ฟะ-เฟรย่า มาได้ไงเนี่ย? ทะ-ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอหรอกนะ!

นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่เธอนึกอยากจะมาก็มา!”

ถึงจะพยายามปั้นหน้าเข้มสุดๆ แต่สิ่งที่อิชทาร์ได้กลับมาก็มีแค่น้ำตาของตัวเองที่ใกล้จะเอ่อล้นและสีหน้าขบขันของอีกฝ่าย

เธอพยายามร่ายมนตร์เสน่ห์ใส่ออตตาร์แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าอะไรเลย

พอเห็นว่าเฟรย่าไม่ได้พูดตอบกลับมา อิชทาร์ก็เลยยิ่งขวัญอ่อนจนต้องพูดสุภาพกว่าเดิม

“เฟรย่า มะ-ไม่ทราบว่าเธอมีธุระอะไรหรือเปล่า?”

มีเรื่องที่ฉันพอจะช่วยได้มั้ย..?”

ตอนนี้หนทางรอดเดียวก็คือยอมไปก่อน ถึงจะเกลียดมากแค่ไหนก็ต้องทน!

สีหน้าของเฟรย่าดู ‘อ่อนลง’ ขณะที่มุมปากเผยรอยยิ้มนิดๆ

“แน่นอน อิชทาร์ที่รัก~

คืองี้นะ ช่วงปีที่ผ่านมาฉันรู้สึกปวดๆ ที่คอมากเลยล่ะ…”

เฟรย่าพูดพลางใช้มือนวดหลังคอของตัวเองไปด้วย

“ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป เธอช่วยทำให้มันหายปวดทีจะได้ไหม~?”

แม้จะรู้ว่าเฟรย่ากำลังสื่อถึงอะไร แต่ตอนนี้คงทำได้แค่ตามน้ำสุดชีวิต!

“อะ-เอ่อ อยากให้ฉันนวดให้มั้ย?”

อิชทาร์พยายามข่มใจสุดๆ แต่ตอนนี้ฟันของเธอก็เริ่มกระทบกันจนเกิดเสียงเล็กน้อยแล้ว

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือไม่น่าไล่สองคนนั้นออกไปเลย

ถึงทั้งคู่จะเป็นแค่เลเวล 1 แต่อย่างน้อยๆ อิชทาร์ก็คงไม่ต้องมายืนเหงาอยู่คนเดียว

ห้องที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็น ‘ราชินี’ มากว่า 50 ปีนั้น… ตอนนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย

—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

เฟรย่าใช้มือป้องปากพลางหัวเราะร่าเมื่อได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่าย

“เด็กโง่ เรื่องแบบนั้นฉันให้ออตตาร์ทำก็ได้~!

คนของฉันน่ะเก่งอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับพวก… ของเธอหรอกนะ~”

ออตตาร์ที่เข้าใจนายหญิงมากกว่าใครๆ เริ่มวาดดาบออกไปหนึ่งครั้งและทำให้ข้าวของบางส่วนปลิวตามไปด้วย

เสี้ยววินาทีต่อมา ทุกอย่างในห้องที่อยู่เหนือหัวของอิชทาร์ก็โดนผ่าออกเป็นสองซีก

เสาหนาเป็นเมตร? แล้วไง? สุดท้ายก็โดนหั่นเหมือนกันหมด

อย่างเดียวที่อิชทาร์รู้สึกได้ก็คือ… เหมือนว่าผมกลางศีรษะของตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย

พอเห็นสภาพของอิชทาร์แล้วเฟรย่าก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

“ฮ่าๆ วิเศษมาก นี่เธออยากเป็นผู้นำทรงผมแนวใหม่ใช่ไหมอิชทาร์?”

ไอ้กลัวมันก็กลัวอยู่ แต่ตอนนี้ความโกรธของอิชทาร์มันมีมากกว่าแล้วน่ะสิ

“ยัยบ้าเฟรย่า! แกมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำกับฉันแบบนี้!?

ทำไมแกต้องเข้ามายุ่งวุ่นว่ายกับฉันทุกรอบเลยห้ะ!?” เทพสาวกรีดร้องลั่น

จากนั้นเฟรย่าก็เดินเข้ามาใกล้จนอิชทาร์ล้มก้นจ้ำเบ้า แข้งขาแหวกออกจนไม่เหลือราศีแห่งความเป็นเทพอยู่เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ผลพวงจากกิจกรรมก่อนหน้าก็เริ่มไหลออกมาจากตรงหว่างขาและทำให้บรรยากาศจริงจังหายไปเกือบหมด

เฟรย่าไม่สนใจภาพตรงหน้า เธอเดินเข้ามาเรื่อยๆ พลางตอบคำถามของอีกฝ่ายไปด้วย

“หลายปีก่อน คนที่ตัดสินใจต่อต้านฉันก็คือตัวเธอเอง

รู้ไหมว่าตอนนั้นฉันเมตตามากแค่ไหน? แต่แล้วเธอก็เหยียบย่ำความเมตตานั่นจนป่นปี้หมด~

นี่เธอคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะใจดีไปตลอด~?”

แววตาของ ‘ผู้ล่า’ ทำเอาอิชทาร์แทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้

เธอรู้สึกอิจฉาเฟรย่ามาโดตลอด เพราะอีกฝ่ายทั้งสวยกว่า แถมมนตร์เสน่ห์ก็รุนแรงกว่าตัวเองหลายเท่า

เฟรย่าไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา ไม่เห็นว่าเธอเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ อย่างมากที่อิชทาร์ทำได้ก็คือคอยตามก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

เริ่มแรก เฟรย่าค่อยๆ สร้างขุมกำลังของตัวเองและพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง ส่วนอิชทาร์นั้นโปรยเสน่ห์ใส่คนอื่นไปทั่ว จากนั้นก็พยายามสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา

ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบเธอนัก บางคนถึงกับไม่ฟังคำสั่งเลยด้วยซ้ำ ส่วนเฟรย่ากลับถูกห้อมล้อมไปด้วยข้ารับใช้ผู้ภักดี

ตอนนี้เธอพยายามใช้มนตร์เสน่ห์กับออตตาร์ร่วมร้อยกว่าครั้งแล้ว แต่หมอนี่ก็ยังมีท่าทางเหมือนเดิม

เทพธิดาคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเขานั้นเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเฟรย่าที่กำลังใช้สายตาจ้องมองราวกับว่าเธอคือแมลงตัวนึง

อิชทาร์เริ่มเอ่ยถามด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“บอกหน่อยสิเฟรย่า… ว่าเราต่างกันตรงไหน?

ทำไมเธอถึงได้อยู่แบบสุขสบายไปวันๆ โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย?

ทำไมเธอถึงได้นั่งอยู่บนยอดหอคอยนั่น ในขณะที่ฉันต้องมาจมปลักอยู่ในย่านสกปรกที่มีแต่โจรกับลูกน้องไม่เอาไหน?

ทำไมทุกคนถึงหลงใหลและยกเธอให้เป็นดาวเด่น ในขณะที่ฉันต้องอยู่ในเงามืด แถมคนรอบข้างก็เอาแต่ดูแคลน?”

เสียงส่วนใหญ่อาจจะบอกว่าเฟรย่านั้นสวยกว่าอิชทาร์ แต่โดยแก่นแท้แล้วทั้งคู่ก็ยังเป็นเทพธิดาแห่งความงามเหมือนกัน

อิชทาร์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเฟรย่าถึงหยิบจับอะไรก็ดีไปหมด แต่ตัวเองกลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและความล้มเหลวมาตลอด

เฟรย่าทำท่าเหมือนกับกำลังคิดคำตอบแบบจริงจัง เธอเอียงหัวไปมาพลางลูบคางและใช้สีหน้าครุ่นคิด

หลังจากปล่อยให้อิชทาร์รอต่ออีกหน่อย เธอก็ยิ้มและตอบกลับไป

“ตกใจเลยนะเนี่ยที่เห็นว่าเธอกล้าเอาเราสองคนมาเปรียบเทียบกันด้วย

ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้~?”

เป็นเสี้ยววินาทีที่อิชทาร์รู้สึกโกรธมาก มากพอที่จะเลิกกลัวและตะโกนด่าอีกฝ่ายได้เลย

แต่ทันทีที่เปิดปาก อิชทาร์ก็รู้สึก ‘คลื่นไส้’ ตามมาด้วยความเจ็บแปลบที่ลำคอ…

ทันทีที่ตัวเองพูดจบ เฟรย่าก็ดึงมีดสีดำออกมาเชือดคออิชทาร์ทันที เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสเถียงกลับด้วยซ้ำ

เฟรย่าจ้องมองสีหน้าแห่งความเจ็บปวดนั่น ก่อนที่อิชทาร์จะเริ่มยกมือขึ้นมาบีบปากแผลเพื่อยับยั้งไม่ให้เลือดไหลออกมาจนหมด

ผิวสีเข้มที่ดูมีเสน่ห์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่อิชทาร์ต้องเรียกใช้อาร์คานั่มเพื่อห้ามเลือด

แต่บังเอิญว่ามีดที่เฟรย่าใช้นั้นลงคำสาปเอาไว้ มันก็เลยไม่ได้ผลเท่าไหร่

เพราะเฟรย่าไม่อยาก ‘ฆ่าเทพด้วยกัน’ เธอก็เลยเลือกที่จะกดดันให้อีกฝ่ายใช้อาร์คานั่มออกมาปกป้องตัวเอง

โทษของการใช้อาร์คานั่มบนโลกมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างเดียว… และร่างของอิชทาร์ก็เริ่มเปล่งแสงออกมาทันที

อิชทาร์พยายามพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แค่สำลักเลือดที่กระเด็นออกมาเปื้อนใบหน้าของเฟรย่า

เฟรย่าจ้องมองแสงสว่างที่เข้ามาย่อยสลายร่างของอิชทาร์ อีกไม่นานมันก็จะส่งเธอกลับไปที่สวรรค์แล้ว

เพราะถูก ‘ส่งกลับ’ จากการทำผิดกฎ อิชทาร์คงจะต้องรออีกนานกว่าจะได้กลับมาเหยียบโลกมนุษย์อีกครั้ง เผลอๆ อาจนานกว่าลาเวอร์น่าหลายเท่า

สำหรับเหล่าทวยเทพแล้ว นี่คือวิธีจบปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไป

ผู้แพ้ไม่ได้ตายแบบจริงๆ จังๆ แถมสักวันคงได้กลับลงมาอีก ดังนั้นมันจึงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก

หลังจากที่ร่างของอิชทาร์สลายไปหมดแล้ว เฟรย่าก็ยกผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าพร้อมกับพูดทิ้งท้าย

“ทึ่งเลยแฮะ ก่อนตายก็ยังอุตส่าห์ทำให้ใบหน้าของฉันเปื้อนได้อีก

แย่หน่อยนะที่มัน… เช็ดออกง่าย”

พูดเสร็จเธอก็โยนผ้าทิ้งไว้ตรงนั้น ไว้บนพื้นที่เต็มไปด้วยผ้าม่านเหม็นสาป…

“ออตตาร์ที่รัก ช่วย…เผาให้หมดเลยนะ

ฉันไม่อยากเห็นตึกของอิชทาร์แฟมิเลียอีกแล้ว ไม่อยากเห็นแม้แต่ตึกเดียว~”

สีหน้าของออตตาร์ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็ตอบรับเหมือนเช่นทุกครั้ง

“น้อมรับบัญชา”

(A/N: อาจจะดูค่อนข้างเหมือนในอนิเมะนะครับ ดวงชะตาของอิชมาร์มันออกจะเปลี่ยนยากหน่อย เพราะมันขาดตั้งแต่ไปเป็นศัตรูกับเฟรย่าแล้ว สิ่งที่เฟรย่ารออยู่ก็คือเหตุผลที่จะเอามาใช้กำจัดเธอนั่นเอง~!

แล้วก็ ส่วนตัวผมคิดว่ามันแปลกนะครับที่หลังจากโดนส่งกลับไปแล้ว อิชทาร์ก็ไม่เคยปูดเรื่อง ‘เวทมนตร์เพิ่มเลเวล’ ของฮารุฮิเมะให้ใครรู้เลย (ในเนื้อเรื่องเดิม) เพราะว่าเวทมนตร์ ‘ติดต่อผ่านเทพพยากรณ์’ นั้นมันมีอยู่จริงน่ะครับ (TL:เวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้สื่อสารระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์)

สุดท้ายผมก็เลยตีความเอาเองว่าอิชทาร์คงจะประมาณว่า ‘ไหนๆ ก็โดนส่งกลับมาแล้ว เรื่องของโลกมนุษย์ก็ช่างมันละกัน’

ถ้าเกิดว่าปากมากสักหน่อย พวกเบลล์คงได้วุ่นวายกับเรื่องของฮารุฮิเมะกันอีกยกใหญ่ (O,…,O)~!)

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท