The king of War – บทที่ 437 คู่ชีวิต

บทที่ 437 คู่ชีวิต

“ต่อให้จะเป็นบทสรุปที่แย่ที่สุดก็เคยคิดไว้หมดแล้ว แต่ว่าฉันก็ได้เตรียมใจเอาไว้ตั้งนานแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าการที่พวกเขาทิ้งฉันไปเป็นเพราะสาเหตุอะไร ขอเพียงแค่พวกเขายอมรับกับความผิดพลาดของตัวเอง แล้วกล่าวขอโทษ ฉันก็จะยอมให้อภัย”

“แต่ว่าแม้แต่ความจริงเธอยังไม่ยอมบอกกับฉันเลย!”

ฉินซีพูดพลางตาก็แดงก่ำ ภายในดวงตาทั้งสองเปียกชื้นด้วยน้ำตาที่กำลังคลอเบ้า น่าเห็นใจเป็นอย่างมาก

หยางเฉินแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ นี่ก็คือฉินซี ภรรยาของเขา ผู้หญิงที่มีจิตใจแสนดีคนนี้

ถึงแม้จะเคยคิดไว้นานแล้วว่าการที่พ่อแม่แท้ๆ ทิ้งตัวเธอไป เพราะอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของผลประโยชน์ แต่คนที่จิตใจดีอย่างเธอก็ยัเลือกที่จะให้อภัย

แต่ว่าเย่ม่านกลับไม่มีความกล้าหาญที่จะยอมรับความผิดนั้น !

“ฉันทำผิดอะไรกัน?สวรรค์ถึงได้ลงโทษฉันแบบนี้?”

ในที่สุดฉินซีก็ไม่สามารถที่จะอัดอั้นน้ำตาของตัวเองได้อีกแล้ว พร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา

หยางเฉินขับรถเข้าไปจอดริมถนนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองไปดึงตัวฉินซีเข้ามาไว้ในอ้อมกอดด้วยใบหน้าที่จริงจัง: “《คัมภีร์ไบเบิล》ได้กล่าวไว้ว่า: ‘เมื่อพระเจ้าได้ปิดประตูนี้ พระองค์จะทรงเปิดหน้าต่างอีกบานให้กับคุณ’ และผมกับเสี้ยวเสี้ยว ก็คือหน้าต่างอีกบานนั้นที่พระเจ้าได้เปิดให้กับคุณ !”

“ทั้งชีวิตนี้ ผมกับลูกจะไม่มีวันแยกจากกับคุณแน่นอน !”

หยางเฉินพูดด้วยใบหน้าที่ลึกซึ้ง พร้อมกับกล่าวสัญญากับฉินซี

“ที่รัก!”

ฉินซีพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความซึ้งใจ จนเธอไม่สามารถที่จะสะกดความรู้สึกของตัวเองได้อีกครั้ง ก่อนนจะหลับตาทั้งสองข้างแล้วเข้าไปจูบเขา

วินาทีนี้ เธอไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว เธอต้องการเพียงแค่จูบชายคนนี้อย่างดูดดื่มเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ที่จะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต!

ในขณะที่ทั้งสองโอบกอดและกำลังดื่มด่ำกับรอบจูบของกันและกัน จิตสังหารอันแรงกล้าก็ปรากฏขึ้นมา

หยางเฉินผลักฉินซีออกอย่างกะทันหัน ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“ที่รัก มีอะไรหรือเปล่า?”

ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของฉินซีตอนนี้ได้ปรากกความสงสัยออกมาบนใบหน้าที่แดงระเรื่อ

หยางเฉินไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่สายตามองไปยังทิศทางหนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างตามสัญชาตญาณ

ตอนนี้พวกเขามาถึงตีนเขาของยอดเมฆาแล้ว หากมุ่งหน้าไปอีกสักพัก ก็จะถึงเขตพื้นที่ส่วนบุคคลของยอดเมฆา

“คุณขับรถกลับไปก่อนนะ ผมขอจัดการธุระก่อน !”

หยางเฉินพูดด้วเสียงที่หนักแน่น ดวงตาเผยให้เห็นถึงความจริงจัง

นี่เป็นครั้งแรกที่ที่ฉินซีได้เห็น หยางเฉินแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา ภายในใจของเธอจึงเกิดความกังวลเต็มไปหมด

เธอไม่ใช่หญิงสาวที่ฟังไม่รู้ความ ในใจถึงแม้จะมีความเป็นห่วง แต่กฎเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการที่ตัวเองดึงดันอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะสร้างภาระให้กับหยางเฉินเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตอบรับ : “ค่ะ!”

หยางเฉินลงจากรถ แล้วมองดูฉินซีขับรถจากไปแล้ว จึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ออกมาเถอะครับ!”

ดวงตาทั้งสองของหยางเฉินมองไปยังทิศทางหนึ่ง พร้อมกับพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

หลังจากที่เสียงของเขาสิ้นสุดลง ภายใต้ความมืดร่างสองร่างก็เดินออกมาอย่างช้าๆ

คนที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นชายวัยกลางคน ทว่าหยางเฉินกลับถูกชายสูงอายุที่อยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนดึงดูดความสนใจไปจนหมด

แม้ว่าแสงไฟจะส่องสลัว แต่หยางเฉินกลับสามารถมองเห็นใบหน้าของชายสูงอายุคนนั้นได้อย่างชัดเจน

นั่นคือใบหน้าที่เย็นชาจนถึงขีดสุด ใบหน้าตอกไร้เนื้อหนัง ซึ่งสามารถบอกได้เลยว่าเป็นคนที่ผอมแห้งหนังติดกระดูก

ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอบเหี่ยวย่น ราวกับโครงกระดูก

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือจากร่างกายของชายสูงอายุคนนี้ หยางเฉินสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันบางอย่าง

ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากชายแดนเหนือ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกแบบนี้

ซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจมากเลยว่า ต่อให้จะเป็นหนิวเกนหุยคนนั้นที่อยู่อันดับที่เก้าของสมาคมบูโดที่ถูกตัวเขาฆ่าไปนั้น ถ้าต้องอยู่ต่อหน้าชายสูงอายุคนนี้แล้วเขาคนนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะเลยแม้แต่น้อย

“ใจกล้า สมกับเป็นลูกชายของหยูเหวินเกาหยันจริงๆ !”

และในขณะที่หยางเฉินกำลังจ้องมองชายสูงอายุอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าชายสูงวัยก็โพร่งปากพูดขึ้นมา

หยางเฉินไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายที่อีกฝ่ายรู้จักตัวเอง

เพราะจากการแสดงของเขาในงานต่อสู้ระหว่างสองเมือง การที่คนอื่นจะรู้จักฐานะของเขานั้นถือเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ

“มาหาผมมีธุระอะไรหรอครับ?”

หยางเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เขาไม่สนใจที่จะไถ่ถามถึงฐานะของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะชายสูงอายุที่อยู่ข้างหลังของชายวัยกลางคนคนนั้น เขาก็แทบจะไม่สนใจมองชายกลางคนเลยด้วยซ้ำ

ชายวัยกลางคนไม่ได้โกรธเคืองอะไร ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ : “ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียจริง!”

จากนั้นจึงเริ่มแนะนำตัวเองต่อ: “ฉันมีชื่อว่าหวงเจิ้ง มาจากตระกูลหวงหนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลหวง หรือจะบอกก็คืออีกไม่นาน ผู้นำคนใหม่ของตระกูลหวงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผม !”

“จริงแล้ว หวงจงที่ถูกนายบังคับให้คุกเข่าในที่สาธารณะคนนั้นหน่ะ คือลูกพี่ของฉันเอง”

“จะว่าไป ที่ฉันสามารถมีทุกอย่างในวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณนายเป็นอย่างมาก”

“ถ้าหากไม่มีเรื่องที่นายบังคับให้เขาคุกเข่า ดังไปเข้าหูคนตระกูลหวง ฉันจะกลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลหวงได้อย่างไร ?”

ใบหน้าของหวงเจิ้งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทีและถ้อยคำดูมีจิตใจที่ดีอย่างมาก ทว่าคิ้วของหยางเฉินกลับขมวดเข้าหากัน

หยางเฉินไม่พูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น มองไปยังหวงเจิ้งด้วยสีหน้าที่เฉยชา

ในเมื่ออีกฝั่งมาตามหาถึงที่แบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่มาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อยู่แล้ว

ถึงหยางเฉินไม่ตอบสนองกลับ ทางด้านหวงเจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร และยังคงแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มดังเดิม ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง : “การที่ฉันมาหานาย นายก็คงจะรู้ว่าเพราะอะไรสินะ”

แต่ว่าหยางเฉินยังคงไม่มีการตอบสนองกลับ

ต่อให้หวงเจิ้งจะอารมณ์ดีมากขนาดไหน การที่ถูกหยางเฉินเมินใส่อย่างนี้ ก็ทำให้เขาเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย

“พี่ชายที่ไร้ความสามารถคนนั้นของฉันหน่ะ ถึงแม้จะทำให้ตระกูลต้องเสียหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของตระกูลหวง คนที่มีคุณสมบัติที่จะมาแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลกับฉัน”

“ทว่าเขากลับถูกนายบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าสาธารณชน เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องอัปยศของตระกูลหวง ดังนั้นนายควรที่จะชดใช้อะไรหน่อยใช่หรือเปล่าล่ะ ?”

“อย่างเช่น ยอมจำนนต่อตระกูลหวงของเราเป็นไง?”

“และแน่นอน ถ้าหากนายยอมมอบเมืองเจียงผิงและเมืองหนันหยังที่อยู่ในการดูแลของนายมาให้กับฉัน ฉันก็สามารถที่จะมอบโอกาสในการติดตามตระกูลหวงให้กับนาย”

หวงเจิ้งหรี่ตาลงพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนกำลังพูดล้อเล่นเลยสักนิด

“พูดจบแล้วใช่ไหมครับ?”

ในที่สุดหยางเฉินก็เอ๋ยปากพูดสักที

หวงเจิ้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กิ่อนจะพยักหน้า : “ตอนนี้มีทางเลือกให้กับนายอยู่สองทาง คือการยอมจำนนต่อตระกูลหวง หลังจากนี้เมืองเจียงผิงเมืองหนันหยังจะมีตระกูลหวงเป็นผู้ควบคุมตัดสินใจ หรือไม่ ก็ชดใช้อย่างสาสมกับการที่นายสร้างความอัปยศให้กับตระกูลหวง”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หวงเจิ้งคนนี้มีความโอหังอย่างมาก โอหังอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ตอนแรกหยางเฉินก็คิดว่าการที่ผู้สืบทอดได้รับการคุ้มกันจากผู้แข็งแกร่งสุดยอดของตระกูล จะเป็นคนที่มีความร้ายกาจ แต่สุดท้ายกลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก

ถ้าหากมีใครมาบอกเขาว่าหวงจิ้งคนนี้เป็นคนโง่คนหนึ่ง เขาก็เชื่ออย่างสนิทใจ

“เจ้าหนุ่ม ฉันรู้ว่านายนั้นมีความร้ายกาจมากๆ แต่แล้วยังไง ?”

“นายรู้หรือเปล่าว่าเขาคือใคร?”

“เขาชื่อว่าตงเชย เป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอดอันดับที่สามของตระกูลหวง ปกติแล้วมักจะคอยติดตามอยู่ข้างกายคุณปู่ของฉัน คอยให้การคุ้มกันอย่างใกล้ชิด ตอนนี้เขาตามฉันมาที่เจียงโจว นายรู้หรือเปล่าว่านี่หมายความว่าอะไร ?”

“เมื่ออยู่ด้านนอก ฉันมีสิทธิ์การเป็นตัวแทนของตระกูลในการทำเรื่องต่างๆ !”

“รวมทั้งการฆ่านายด้วย!”

“ตอนนี้ นายสามารถบอกฉันเกี่ยวกับคำตอบของนายได้แล้ว !”

หวงเจิ้งกอดอก แสดงท่าทีเย่อหยิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าเขานี่แหละคือคนที่ควบคุมตระกูลหวง

“คุณก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมหวงจงถึงต้องคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิต!นี่คุณกำลังคิดจะทำเรื่องผิดพลาดซ้ำสองอย่างนั้นหรอครับ?”

หยางเฉินหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่าเสียงหัวเราะนั้นกลับเยือกเย็นเอามากๆ ราวกับน้ำแข็งบนสวรรค์ชั้นเก้าที่สุดสนจะเยือกเย็น

ร่างของตงเชยขยับพลัน และเพียงแค่พริบตา เขาก็มายืนบังอยู่ด้านหน้าของหวงเจิ้งซะแล้ว เป็นครั้งแรกที่ความเข้มขรึม ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่ผอมแห้งราวโครงกระดูกของชายสูงอายุ

The king of War

The king of War

Status: Ongoing

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท