เรนไนแพ้
มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งส่วนตัวแต่เป็นเพราะอาวุธกับเกราะต่างหากที่เอามาตัดสิน
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้แล้วมันยังห่างกับอู่หมิงอยู่ หากสู้กันปกติแล้วเรนไนก็จะแพ้เพราะอาวุธของทั้งสองนั้นห่างชั้นกัน หากสู้กันเอาเป็นเอาตายจนต้องใช้ทักษะทุกอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนเช่นกัน
บางที…อาจจะ 4 ต่อ 6
อู่หมิง6 เรนไน 4 !
การปะมือจบแล้ว ได้เวลาพักฟื้นแล้ว ข้าขอตัวก่อน เรนไนพยักหน้าให้กับซื่อเซียวและคนอื่นก่อนจะบอกกับหว่านเก่อ ไปกันเถอะ
ทั้งสองคนได้หายตัวไปจากสายตาของทุกคน
ซื่อเซียวสับสน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเรนไนเกือบจะเสมอกับอู่หมิงได้
มันส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก !
หลังจากที่บ่มเพาะอย่างยากลำบากมาหลายยุค, การดูดซับลูกปัดจิตและความเบื่อหน่าย สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจจะเทียบกับคนที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ ?
ลดความหยิ่งทะนงของพวกเจ้าลงซะ อู่หมิงเงียบสักพักก่อนจะส่ายหน้า เรนไนไม่ใช่คนที่เราจะจัดการได้
ซื่อเซียวมองไปทางที่เรนไนและหว่านเก่อจากไปอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้นมา เจ้าจะบอกว่าเราด้อยกว่าเรนไนรึด้อยกว่าจักรพรรดิทะเลบรรพกาลงั้นรึ ?
เย่าหยางพูดขึ้น แน่นอน จักรพรรดิทะเลโกลาหลนั้นไม่ได้แกร่งเท่ากับจักรพรรดิทะเลบรรพกาล
พวกเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่า…แต่ก็ต้องยอมรับ
อู่หมิงวางมือไปบนม่านแสงด้านหลังก่อนจะมองไปยังบรรพกาลที่กว้างใหญ่ภายนอก เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่นาน
…
ที่มิติของเรนไน
นี่คือมิติลับที่เจ้าสร้างขึ้นมารึ ? หว่านเก่อเข้ามาในมิติลับกับเรนไน มิติลับนี้ไม่ได้ใหญ่นัก มันมีขนาดไม่ถึง 1 ใน 10 ของเขตซื่อเซียวแต่มันแกร่งพอที่จักรพรรดิทั่วไปยากที่จะทำลายได้
ในด้านความแข็งแกร่งของมิติรวมถึงการยับยั้งความแข็งแกร่งแล้ว มิตินี้ไม่ด้อยกว่าเขตของหว่านเก่อเลย
เรนไนไม่ได้ปฏิเสธเพราะหว่านเก่อพูดความจริง
ตอนนี้เขตของข้ายังมีขนาดเล็ก มันยังไม่มีอะไรกำเนิดขึ้นมา เรนไนพูดขึ้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มให้กับข้าแทบจะมองข้ามได้
เขตที่เหล่าจักรพรรดิสร้างขึ้นมานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ ในด้านพลังแล้ว เรนไน อ่อนแอกว่าจักรพรรดิเก่า บางทีอาจจะแกร่งกว่าในตอนแรกแต่ในด้านพลังด้านอื่นๆแล้วยังด้อยกว่าจักรพรรดิเก่าอยู่
หว่านเก่อพยักหน้า เขตที่เจ้าได้สร้างขึ้นมาอีกสักพักคงจะพัฒนาขึ้น อย่างน้อยเงื่อนไขในตอนแรกก็แกร่งกว่าเขตที่เราได้สร้างขึ้นมา มันไม่ได้ยากที่จะพัฒนา
ถูกแล้ว เรนไน ยิ้มออกมา การพัฒนาเขตนั้นไม่อาจจะเร่งรีบได้ หลังจากที่เงียบไปสักพักเรนไนก็พูดขึ้นต่อ หากเจ้ามีโอกาส เจ้าควรหาทางรับจ้าวโกลาหลเข้ามาเพื่อให้เขตของเจ้าพัฒนาได้เร็วกว่าเก่า
ง่ายแบบนั้นเลยรึ ? หว่านเก่อยิ้มออกมา มันมีจ้าวโกลาหลนับไม่ถ้วนในเขตหว่านเก่อ หากมีโอกาสให้พวกเขาเข้าได้มาที่นี่ งั้นเดาว่าพวกเขาคงพอใจอย่างมาก
ต้องรู้ก่อนว่าทะเลบรรพกาลนั้นไม่มีกุยหลิง มันไม่มีจักรพรรดิกุยหลิง ตราบใดที่มาที่นี่ได้ งั้นก็ไม่ต้องกังวลอันตรายจากกุยหลิงและจักรพรรดิกุยหลิง
เรนไนคิดสักพัก เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ หากพวกเขาเต็มใจจะมา งั้นข้าก็จะเก็บลูกปัดดั้งเดิมให้พวกเขา
การที่เขาไม่ได้สร้างลูกปัดดั้งเดิมขึ้นมา นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีลูกปัดดั้งเดิมอยู่กับตัว เขาได้มันมาจากภารกิจต่างๆ ตราบใดที่มันมากพอก็เพียงพอที่จะเอาไว้ดูแลเขตของเขาได้
หลังจากที่ก้อนแก่นกำเนิดขึ้นมาแล้ว ข้าจะลองถามจักรพรรดิคังเฉียงดู หว่านเก่อพูดขึ้น หวังว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
จ้าวโกลาหลจำนวนมากนั้นมีแต่จะส่งผลดีต่อทะเลบรรพกาล แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจักรพรรดิคังเฉียงจะตกลง
…
เวลาผ่านไป ในพริบตาก็ผ่านไปหลายแสนปี
หลายแสนปีในโลกภายนอกภายใต้การเร่งเวลากว่าร้อยล้านเท่านั้นก็เท่ากับสิบล้านล้านปีในทะเลบรรพกาล !
สิบล้านล้านปีนี้เป็นเวลาที่ยาวนานอย่างมาก
มันคือช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด ทะเลบรรพกาลได้พัฒนาไปอย่างมาก บรรพกาลกำเนิดเองนับไม่ถ้วนได้เติบโตเป็นบรรพกาลที่สมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา มันมีจ้าวบรรพกาลกำเนิดขึ้นมาจำนวนมาก
ทั่วทั้งทะเลบรรพกาล มีจ้าวบรรพกาลปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนเดินทางไปมาในทะเลบรรพกาล บางคนเข้ามาในเขตเรนไน ในหมู่พวกนั้นมีแม่ทัพกำเนิดขึ้นมาด้วย !
แม่ทัพแต่ละคนคือตัวตนที่สูงส่ง แต่ละคนคือคนที่มีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์และอาจารย์ในสำนักคังเฉียง ! หากพวกเขาได้รับการดูแลแบบเดียวกับคนของสำนักคังเฉียง พวกเขาอาจจะมีหวังเป็นแม่ทัพสูงสุดได้ !
แม้ว่าจะไม่มีสำนักคังเฉียงคอยดูแล แต่พวกเขาก็ยังพึ่งพรสวรรค์และโชคของตัวเองบ่มเพาะขึ้นมาถึงระดับแม่ทัพได้
มีเวลามากพอ มันคงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะขึ้นเป็นแม่ทัพขั้นสูง
ทั้งทะเลบรรพกาลเปลี่ยนแปลงไปราวกับเข้าสู่ยุคใหม่ มันคือยุคของทะเลบรรพกาล !
ซื่อเซียวและคนอื่นๆไม่ได้สร้างปัญหาอะไร แม่ทัพของพวกเขาพากันบ่มเพาะกันในบรรพกาลรอคอยการกำเนิดของก้อนแก่นอยู่ที่นั่นอย่างสงบ
ส่วนแม่ทัพของหว่านเก่อก็ถูกเรียกให้ไปที่เขตเรนไนและได้อยู่ในมิติลับ
ทั้งทะเลบรรพกาลอยู่ในความเงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
จิตของจางหยูฟื้นฟูกลับมาถึงขีดสุด ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไปถึงขีดจำกัดของจักรพรรดิซึ่งถือว่าเป็นระดับที่จักรพรรดิทะเลโกลาหลต้องเงยหน้ามอง
เกราะและดาบได้รับการซ่อมแซมตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ พลังของมันมากกว่าในอดีต จางหยูมั่นใจว่าหากต้องสู้กับจักรพรรดิกุยหลิงอีกครั้งแล้ว เกราะบรรพกาลคงจะสามารถต้านทานการโจมตีได้นานกว่านี้ มันอาจจะทนได้ถึง 10 ครั้ง
ด้วยที่พลังของเกราะและดาบนั้นเหมือนจะมาถึงขีดจำกัด ในเวลาสั้นๆนี้คงยากจะทะลวงผ่านขีดจำกัดของมันไปได้…
ร่างหลัก ในวันนั้น จางหยูได้รับข้อความจากจางลู่และร่างแยกอื่นๆ เราขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดแล้ว
จางหยูใจสั่นทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ต่อมาจางลู่และร่างแยกอื่นๆก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าของเขา
กว่าแสนปี…ใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ จางหยูคิดว่าพวกนี้คงใช้เวลาแค่หลักหมื่นปีรึพันปีเพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุด ยังไงซะทะเลบรรพกาลก็มีการเร่งเวลากว่าร้อยล้านเท่า ดูเหมือนว่าความยากในการขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดนั้นจะสูงกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ แม้แต่ร่างแยกก็ต้องใช้เวลาเป็นแสนปีเพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดแล้วศิษย์กับอาจารย์คนอื่นๆล่ะ ?
เดาว่าอาจจะใช้หลักล้านปี แต่เขาก็ยังไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้
การขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดนั้นไม่ง่ายจริงๆ จางหยูถอนหายใจออกมา ถึงจะบ่มเพาะอย่างหนักก็ยังยากสำหรับเรา คนในทะเลโกลาหลนั้นคงยากจะทำได้…
ไม่แปลกเลยที่เหล่าแม่ทัพของจักรพรรดิถึงต่างก็ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่บ่มเพาะกันมาเป็นล้านยุค
เขาไม่สงสัยเลยว่าแม่ทัพสูงสุดของทะเลโกลาหลอาจจะต้องบ่มเพาะเป็นล้านล้านปี
หลังจากที่เงียบได้สักพัก จางลู่ก็เปลี่ยนเรื่องทันที ร่างหลัก เจ้าช่วยให้เราขึ้นเป็นจักรพรรดิได้รึไม่ ?
การขึ้นเป็นจักรพรรดินั้นควบคุมพลังสร้างรอบตัวพวกเจ้าได้ พวกเจ้าเป็นร่างแยกของข้า พวกเจ้าควบคุมสิทธิ์พลังสร้างได้ พวกเจ้ามีสิทธิ์เต็มที่ พวกเจ้ายังมีจิตไร้เทียมทานอีก จางหยูพูดขึ้น ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าจะช่วยพวกเจ้ายังไงเพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิ ยังไงซะพวกเจ้าก็มีสิทธิ์ในการพลังสร้างเหล่านี้อยู่แล้ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น จางลู่และคนอื่นๆก็มองหน้ากัน
พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว มันก็ดูน่าสับสน
งั้นมาลองดูก่อน จางหยูพูดขึ้น ทำตามตอนที่เรนไนขึ้นเป็นจักรพรรดิ ไม่ว่าจะสำเร็จรึไม่เราจะรู้เองหลังจากที่ทดลอง
จางลู่และคนอื่นๆพยักหน้า ตราบใดที่มีความหวัง พวกเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ ยังไงซะพวกเขาก็ไม่พอใจกับการเป็นแม่ทัพสูงสุดอยู่ดี
ใครก่อน ? จางหยูถามขึ้นมา
ข้าเอง จางลู่ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูด
เขาก้าวออกมาและดึงเศษเสี้ยวจิตออกจากตัวก่อนจะภาวนาเรียกจิตของจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล
มันแค่ว่า…เขาภาวนากว่าครึ่งวันแต่ทะเลบรรพกาลกลับสงบเงียบดังเดิม
ล้มเหลว จางลู่คิ้วขมวด
เจ้าสำนักมองไปที่ความว่างเปล่าแล้วพูดขึ้น มาลองดูกัน
เศษเสี้ยวจิตของทั้งสองลอยออกมาก่อนที่ทั้งสองจะทำการภาวนา
ทะเลบรรพกาลยังสงบดังเดิม
ร่างแยกที่เหลือได้ทดลองดูแต่ทุกคนต่างก็ล้มเหลว
ขีดจำกัดของเราคือแม่ทัพสูงสุดรึ ? จางลู่ไม่คิดจะยอมแพ้ เพราะเราคือร่างแยก เราจึงไม่อาจจะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้รึ ? นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับทางตันในการบ่มเพาะ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกหมดหนทาง ไม่ พวกเขามีทางทะลวงผ่านได้ มันคือ…ตัดการเชื่อมต่อกับจางหยู และกลายเป็นตัวตนจริงๆขึ้นมา
แต่ชัดแล้วว่าพวกเขาไม่มีความสามารถขนาดนั้น มีแค่จางหยูที่เป็นร่างหลักเท่านั้นที่จะทำได้
ทุกคนพากันมองไปที่จางหยูและเงียบไป
จางหยูเหมือนจะเดาความคิดของพวกนี้ออก ตอนนั้นเขาจึงเริ่มลังเลอยู่สักพัก