ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 67 วางหมาก

บทที่ 67 วางหมาก

บทที่ 67 วางหมาก

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ณ ภายในคฤหาสน์หรูที่อยู่ใจกลางของวิลล่าหิมะมังกร หลินอิ่งยืนอยู่นอกระเบียงชั้นสามจ้องมองคลื่นแม่น้ำชิงหยูนที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งอีกฝั่งของแม่น้ำเป็นใจกลางเมืองชิงหยูนที่เจริญรุ่งเรือง

เป็นทิวทัศน์ที่ไม่ธรรมดา สามารถมองเมืองชิงหยูนจากที่สูงในวงกว้าง

หลินอิ่งรู้สึกพอใจมากกับคฤหาสน์หลังนี้

คฤหาสน์ที่ซื้อหลังนี้มีพื้นที่หนึ่งแสนกว่าตาราง ที่ประกอบไปด้วยสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำ โรงจอดรถ ภายในคฤหาสน์มีห้องรับแขกขนาดใหญ่ และมีระเบียงทางเดินทอดยาวประมาณสิบกว่าห้อง แถมยังมีบันไดหมุนด้วย ซึ่งดูแล้วคลาสสิกมาก

การประดับตกแต่งก็เป็นสไตล์โบราณ และมีเฟอร์นิเจอร์เป็นชุดสีเหลืองอ่อนเหมือนสาลี่ แถมเป็นยี่ห้อที่ทันสมัยที่ดีที่สุดในโลกด้วย

เขาซื้อด้วยจำนวนเงินสองร้อยแปดสิบล้าน ซึ่งนี่ถือเป็นคฤหาสน์ที่หรูสุดในเมืองชิงหยูน

ก็อกก็อก

ทันใดนั้นเจียงฉีก็เคาะประตูขึ้น แล้วเดินเข้ามาจากประตูข้างหลังมาที่เบื้องหน้าหลินอิ่ง

เจียงฉีก้มโค้งและพูดขึ้นว่า : “ประธานหลินครับ ขั้นตอนการซื้อของคฤหาสน์หลังนี้ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว วิลล่าหิมะมังกรมีกฏระเบียบเข้มงวด มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยระดับสูงที่สุดของมณฑลตุงไห่ด้วย อีกอย่างข้อมูลฐานะของคุณจะเป็นความลับครับ”

ขณะที่พูด เจียงฉีก็วางเอกสารปึ๊กใหญ่วางลงด้านข้างโต๊ะไม้แดง

หลินอิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ และพูดขึ้นว่า : “จัดการได้ดีมาก มานั่งดื่มชากันเถอะ”

“ขอบคุณประธานหลินมากครับ” เจียงฉียื่นมือหยิบถ้วยชาทั้งสองมือด้วยท่าทางเกรงใจขึ้นมา แต่เขาไม่กล้านั่งลง

หลินอิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง และซักถามขึ้นว่า : “ผมต้องการให้คุณจัดการสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์คนเดียว แล้วจัดการตระกูลซูนให้พังพินาศ คุณต้องการเงินทุนเท่าไหร่หรอ?”

หลินอิ่งเคยไตร่ตรองปัญหานี้มาก่อนแล้ว สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสาขาเหนือของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ หากเปรียบเทียบในเมืองชิงหยูนแล้ว ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เลย

สำหรับตระกูลซูน และกลุ่มนายทุนแล้ว นับว่าเป็นตระกูลที่มีเงินมหาศาล หากเจียงฉีสามารถขึ้นบริหารอย่างราบรื่น ตระกูลซูนคงแย่มากแน่

เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า จะให้เจียงฉีจัดการตระกูลซูน

เจียงฉีเปลี่ยนสีหน้าตกใจช็อก พร้อมเผยสายตาตื่นเต้นที่ยากจะกลบเกลื่อน ขณะเดียวกันมือที่ถือถ้วยชาก็สั่นเทาเล็กน้อย

สิ่งที่ประธานหลินพูดเซอร์ไพรส์มากจนเจียงฉีตื่นเต้นมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ประธานหลินมีความกล้าที่ห้าวหาญถึงขนาดนี้ หากต้องการกำจัดตระกูลซูนก็ต้องวางหมากอย่างรอบคอบ ไม่มีช่องโหว่ ถึงจะสามารถทำสำเร็จ

หลังจากครุ่นคิดสักพักใหญ่ เจียงฉีพูดขึ้นว่า : “กิจการทุกอย่างของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ผมเป็นคนจัดการ และหุ้นส่วนทั้งใหญ่และเล็กที่ลงทุนเข้ามา ผมก็เป็นคนพัฒนาให้เติบโตด้วย ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนหมดเลย ตระกูลซูนทำเพียงแต่นั่งรับเงินเท่านั้น ซูนเหิงที่เป็นคนรับผิดชอบอสังหาริมทรัพย์นี้ได้มอบหมายให้ลูกหลานคนหนึ่งที่เป็นไอ้ติดเหล้ารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการควบคุมผม อันที่จริงผมสามารถกำจัดตระกูลซูนได้อย่างง่ายดาย แต่….”

“บอกมา คุณต้องการเงินทุนเท่าไหร่” หลินอิ่งพูดขึ้น

เจียงฉีครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ และพูดขึ้นว่า : “ขอเพียงเงินทุนสักร้อยกว่าล้านก็เพียงพอแล้วครับ! ผมมีความมั่นใจที่จะสามารถจัดการตระกูลซูนอย่างสิ้นซาก และสามารถกำจัดอำนาจที่ตระกูลซูนมีต่อสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์!”

“ผมให้สองร้อยล้าน” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบง่ายขึ้น แล้วโยนบัตรธนาคารใบหนึ่งลงบนโต๊ะ “รหัสของบัตรธนาคารใบนี้นายรู้”

นี่เป็นบัตรธนาคารที่ซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนครั้งนั้น

เจียงฉีกำหมัดอย่างแน่น แล้วยื่นมือหยิบบัตรธนาคาร และก้มโค้งเคารพพูดว่า : “ประธานหลิน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ!”

“ไปลุยอย่างกล้าหาญเถอะ ไม่ต้องเกรงกลัวแผนชั่วลับหลังของตระกูลซูน” หลินอิ่งพูดขึ้น

เจียงฉีเผยสายตาเป็นประกาย สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงประธานหลินสามารถเป็นภูเขาคอยหนุนหลังเขา เขาก็มีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองที่จะสามารถโค่นล้มสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างง่ายดาย และสามารถโจมตีตระกูลซูนทางธุรกิจด้วย!

“ประธานหลินครับ ผมขอรับประกันว่า ภายในหนึ่งสัปดาห์ ผมจะโค่นล้มสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้ได้! ในอนาคตผมจะปูทางสู่ธุรกิจสาขาเหนือให้กับคุณด้วย” เจียงฉีพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

หลินอิ่งยิ้มและพูดว่า : “เพียงแค่สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์เล็กๆอย่างเดียวคงไม่พอหรอก คุณรู้สถานการณ์ดำเนินการของธุรกิจตระกูลซูนมากกว่าคนข้างนอกมาก ดังนั้นผมจะสนับสนุนให้คุณขึ้นตำแหน่ง”

“ประธานหลิน….ขอบคุณสำหรับโอกาสนะครับ!” เจียงฉีเผยสีหน้าตกใจที่แฝงความดีใจขึ้น เขาจะไม่เข้าใจความหมายของหลินอิ่งได้ยังไงกัน ความหมายของประธานหลินคือ ไม่ได้ต้องการต่อกรกับซูนเหิงอย่างธรรมดา แต่จะกลืนกินตระกูลซูนให้ราบคาบ

ซึ่งหมายถึงต้องการกำจัดตระกูลซูนอย่างสิ้นซาก! ความกล้าที่บ้าบิ่นแบบนี้คงหาคนที่สองในเมืองชิงหยูนไม่ได้แล้ว!

ถึงแม้ไม่ค่อยรู้เบื้องหลังของหลินอิ่งว่าเป็นยังไง แต่เจียงฉีเชื่อใจประธานหลินชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า เพราะแค่ตระกูลซูนที่มีอิทธิพลกลับไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาเลย!

เจียงฉีถอนหายใจออก และรู้สึกมีกำลังใจหึกเหิมขึ้น ความเคียดแค้นที่สะสมมาหลายปีต่อตระกูลซูนได้ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว…..

นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าจินตนาการเลย คิดไม่ถึงเขาจะมีโอกาสต่อกรกับตระกูลซูนที่มีอิทธิพล!

ตระกูลซูนเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงหยูน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลที่มีอิทธิพล

ซูน หวาง โจ สามตระกูลนี้แทนที่จะบอกว่าเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองชิงหยูน บอกว่าเป็นสามตระกูลใหญ่ของมณฑลตุงไห่ดีกว่า

สามตระกูลล้วนเป็นตระกูลครอบครัวขุนนางมาก่อน เลยมีเส้นสายกว้างขวาง ทั้งยังมีทรัพย์สินและอิทธิพลกระจายทั่วมณฑลตุงไห่ ไม่เพียงมีอำนาจในเมืองชิงหยูน แต่ในมณฑลตุงไห่ก็ไม่ละเว้น

นี่เป็นสามตระกูลใหญ่ที่แตกต่างจากตระกูลจางและตระกูลฉินตระกูลระดับสองในเมืองชิงหยูน ตระกูลระดับสองมีอิทธิพลครอบคลุมเฉพาะบางพื้นที่ในเมืองชิงหยูน แต่เมื่ออยู่ที่อื่นแทบจะไม่มีอิทธิพล

อีกอย่างเป็นที่รู้กันว่า นับตั้งแต่ราชวงศ์หมิง ผ่านมาร้อยกว่าปีไม่รู้ว่าเมืองชิงหยูนมีตระกูลสูญหายไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่มีเพียงสามตระกูลที่ยังมั่นคง สามตระกูลมีประวัติของตระกูลที่โดดเด่น และมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกัน อีกอย่างมีทรัพย์สินมหาศาลด้วย

ด้วยเหตุนี้นี่เลยเป็นสาเหตุสำคัญที่ถูกขนานนามว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่แท้จริง แต่ไม่ใช่ตระกูลที่จู่ๆร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งไม่สามารถเทียบได้เลย

“ประธานหลินครับ ครั้งหน้าผมจะเอาสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจที่เป็นความลับและเอกสารสถานการณ์ของบริษัทมาให้คุณครับ” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “อีกอย่างผมเคยทำความรู้จักกับบุคคลผู้มีอิทธิพลของตระกูลซูน เลยพอมีความเข้าใจอยู่ด้วย”

หลินอิ่งจิบชาหนึ่งคำ และพยักหน้าเล็กน้อย : “คุณกลับไปจัดการเถอะ หากมีเรื่องอะไรค่อยมารายงานผม”

“ครับ!” เจียงฉีพยักหน้าเล็กน้อย และพยายามปรับสติให้สงบนิ่งลงอยู่สักพักใหญ่ จากนั้นก็ออกจากคฤหาสน์ไป

หลังจากที่เจียงฉีจากไป หลินอิ่งก็สูบบุหรี่ม้วนหนึ่ง และหันหน้ามองใจกลางเมืองชิงหยูนที่เจริญรุ่งเรื่อง จากนั้นก็เผยสายตาแหลมคมขึ้น

เขาได้เพาะปลูกเมล็ดอย่างเจียงฉีแล้ว ตอนนี้ก็มารอดูการเติบโตของเขาว่า จะสามารถก้าวหน้าไปถึงขั้นไหน..

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท