ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 68 แอบสุ่มมอง

บทที่ 68 แอบสุ่มมอง

บทที่ 68 แอบสุ่มมอง

รุ่งเช้าวันต่อมา

หลังจากที่หลินอิ่งออกจากวิลล่าหิมะก็โบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งไปทำงานที่บริษัทเป่าติ่งตามปกติ

ยี่สิบนาทีต่อมาก็มาถึงบริษัทเป่าติ่ง

อู่เจิ้งได้จอดรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูสีส้มคันนั้นริมถนนแล้ว และตอนนี้กำลังรอหลินอิ่งอยู่

“ประธานหลิน คุณมาแล้วหรอ ผู้อำนวยการจางเข้าไปทำงานแล้วครับ” อู่เจิ้งโบกมือทักทาย แล้วรีบเดินมาเปิดประตูรถยนต์

หลินอิ่งนั่งลงที่เบาะหลังของรถยนต์

“ประธานหลิน ทำไมวันนี้คุณถึงไม่มาพร้อมกับผู้อำนวยการจางล่ะครับ เมื่อกี้ผมเห็นสีหน้าของผู้อำนวยการจางไม่ค่อยดีเลยครับ” อู้เจิ้งพูดขึ้น

“ฉันขอบอกเรื่องบางอย่างกับนาย” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ฉันไม่สามารถเข้างานเลิกงานในช่วงนี้กับผู้อำนวยการจางได้ ดังนั้นนายต้องช่วยปกป้องผู้อำนวยการจางอย่างดี หากมีอะไรผิดปกติรีบแจ้งฉันโดยด่วนเลยนะ”

“วางใจเถอะครับ! ประธานหลิน ผมจะปกป้องผู้อำนวยการจางอย่างไม่ตกบกพร่องเลยครับ” อู่เจิ้งพูดสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อตัวเองไม่ได้อยู่เคียงข้างฉีโม่ อู่เจิ้งถือเป็นตัวเลือกแรก ถึงแม้เขาจะดูเสเพลไปหน่อย แต่ก็ทำงานใช้ได้เลย

“จริงสิ ประธานหลินครับ วันนี้ผมได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาตรงหน้าประตูบริษัทด้วยครับ แม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยเองก็พูดถึงเรื่องคุณด้วย” อู่เจิ้งขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “ผมต่อยสั่งสอนหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยให้กับคุณด้วย”

“พูดเรื่องฉันหรอ?” หลินอิ่งซักถามขึ้น

อู่เจิ้งลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “ไม่รู้ว่าพวกเขาทราบข่าวมาจากไหน พวกเขาคุยกันว่า ประธานหลินถูกพ่อตาแม่ยายไล่ออกจากบ้าน และยังบอกว่าในตอนนี้ตระกูลจางต้องการกำจัดคุณด้วย อีกอย่างยังพูดอีกว่า คุณชายตระกูลหวางตามจีบผมผู้อำนวยการจาง และไม่นานผู้อำนวยการจางจะได้แต่งงานกับตระกูลใหญ่ ส่วนคุณต้องได้รับบทเรียนจากคุณชายหวางด้วย”

หลินอิ่งยังคงเผยสีหน้าปกติเหมือนเดิม ดูเหมือนข่าวนี้แพร่กระจายเร็วมาก ต้องเป็นเพราะแม่ของฉีโม่ที่ไปพูดระบายกับป้าสองแน่เลย

“ประธานหลินครับ ตระกูลจางคงไม่ใช่พวกคนใจแคบขนาดนี้ และกล้าไล่คุณออกจากบ้านใช่ไหมครับ?” อู่เจิ้งซักถามอย่างสงสัยขึ้น

หลินอิ่งยิ้มแย้ม “คุณไม่ต้องไปสนใจข่าวพวกนั้นหรอก ตั้งใจทำงานก็พอแล้ว”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ” อู่เจิ้งพูดขึ้น

หลินอิ่งเปิดประตูรถยนต์ แล้วเดินเข้าไปในบริษัทเป่าติ่ง

อู่เจิ้งหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พร้อมจ้องมองหลินอิ่งที่เดินจากไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

เขาไม่เข้าใจ คนประเภทประธานหลินที่ทั้งฉลาดและซื่อสัตย์ยังสามารถหาได้ที่ไหนอีก? แต่ตระกูลจางกลับต้องการขับไล่ออกไปหรอ? ไม่กลัวว่าตระกูลจะพังพินาศหรอ?

ส่วนคุณชายหวางคนนั้นไม่รู้ว่าเอาความกล้าหาญบ้าบิ่นมาจากไหน บังอาจมากกล้าคิดต่อกรกับประธานหลิน แม้ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน แต่ความสามารถของประธานหลิน เขาเคยเห็นมากับตาของตัวเองแล้ว ซึ่งเขารู้สึกเคารพนับถือมาก

หลัวจากหลินอิ่งเข้าบริษัท เขาแทบไม่สังเกตเห็นว่า บริเวณหนึ่งเมตรมีรถยนต์ยี่ห้อลัมโบว์กีนีสีฟ้าคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างในรถมีหนุ่มสามแต่งตัวไม่ธรรมดากำลังแอบสุ่มมองเขาอยู่

“พี่กวาง หลินอิ่งคนนั้นมาทำงานที่บริษัทแล้ว พวกเราขับรถไปจอด และเตรียมเข้าไปกันไหม แล้วทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าทุกคนในบริษัทใช่ไหม” ฉินเฟยพูดขึ้น โดยที่นั่งเบาะคนขับ

“ใช่ รองผู้จัดการกระจอกคนหนึ่ง แค่คุณชายหวางออกหน้าก็เขาก็ไม่มีที่ทรุดแผ่นดินแล้ว ฉันจะคอยดูสิในอนาคตเขาจะหางานในเมืองชิงหยูนที่ไหน และบริษัทยังกล้ารับเขาไหม?” อูฉู่เวินนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

“ฮ่า ฉันอดทนมาทั้งคืนแล้ว เดียวตอนไปหาเขา ฉันจะฉวยโอกาสต่อยเขาสักสองที!” เสิ่นห้าวพูดชึ้นน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

“รีบร้อนอะไรกัน ค่อยๆเล่นสนุกกับไอ้ขยะนั้นหน่อย” หวางจื่อเหวินพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย “บังอาจกล้าต่อกรกับฉัน ฉันได้ติดต่อกับคนของตระกูลจางแล้ว ทางตระกูลจางมีใครบ้างกล้าไม่เห็นหัวของฉัน!”

“ได้ยินป้าสองบอกฉันว่า เมื่อคืนไอ้ขยะนี้ถูกไล่ออกจากบ้านด้วย” หวางจื่อเหวินพูดต่อว่า “แล้วพวกเธอคิดว่า หากฉันตามจีบจางฉีโม่ตอนนี้จะมีอุปสรรค์อะไรไหม?”

“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว พี่หวางเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้ไอ้ขยะหลินอิ่งไม่สามารถกลับบ้านได้แล้ว ไม่นานคงไม่มีงานทำด้วยแน่ เช่นนั้นจางฉีดโม่ยังจะคิดเสียหายอีกไหม?” ฉินเฟยยิ้มและพูดขึ้น และมีไม่กี่คนพูดสบันสนุนหวางจื่อเหวินขึ้น

หวางจื่อเหวินเผยสีหน้าสะใจขึ้น พร้อมมองดูเวลาลนนาฬิกา “ขับรถตรงไป ใกล้ถึงเวลาแล้ว รอเพียงโทรศัพท์จากจางหงจูนเท่านั้น หากทางนั้นเตรียมการเรียบร้อย ฉันก็จะเข้าไปสั่งสอนไอ้ขยะหลินอิ่งนั้นทันที!”

ขณะที่พูดรถยนต์ยี่ห้อลัมโบว์กินีก็ขับรถตรงไปที่บริษัทเป่าติ่ง

แต่คนของหวางจื่อเหวินกลับไม่เห็นว่า ภายในห้องนิทรรศการชั้นที่ยี่สิบกว่านั้นมีคนกำลังสุ่มมองดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาผ่านกระจกอยู่

ตึกขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างหนึ่งร้อยเมตรชั้นยี่สิบสามนั้น เป็นห้องนิทรรศการที่ถูกซื้อ และมีชายสวมชุดสีดำสองคนกำลังดูพวกเขาด้วยกล้องส่องทางไกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่

“คุณหนูครับ รถของหวางจื่อเหวินมาแล้วครับ ดูเหมือนพวกเขาต้องมาสร้างความวุ่นวายต่อหลินอิ่งครับ” ไอ้หก วางกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วหันหลังรายงานขึ้น

หวางหงหลิงเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอสวมเดรสยาวสีแดงที่หรูหรา และนั่งไขว้ข้างบนเก้าอี้ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม โดยที่ด้านข้างมีหูหมิงหยินยืนอยู่ ส่วน ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด กำลังรายงานสถานการณ์อยู่เบื้องหน้า

“คุณหนูครับ คุณบอกว่าครั้งนี้จะมาช่วยหลินอิ่ง แล้วพวกเราสองคนต้องไปปรากฏตัวออกหน้าช่วยเขาใช่ไหมครับ?” ไอ้หก ซักถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

“ตอนนี้ยังไม่ต้องไปอีก” หวางหงหลิงพูดขึ้น พร้อมเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยขึ้น “หวางจื่อเหวินกับจางหงจูนของตระกูลจางคงปรึกษาหากันเรียบร้อยแล้ว คงคิดอยากทำให้หลินอิ่งขายหน้าที่บริษัทแน่”

“ฉันค่อนข้างเข้าใจพฤติกรรมอันเลวทรามของลูกพี่ลูกน้องน่าโง่ฉันดี หลังจากที่พวกเขากลั่นแกล้งหลินอิ่งที่บริษัทเสร็จ ก็ยังคงคิดหาวิธีการเล่นงานเขาอีกแน่ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยปรากฏตัว และไล่หวางจื่อเหวินไป”

“หืม! ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตายคนนั้นคงคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากแน่เลย” หวางหงหลิงแค่นเสียงประชดขึ้น “รอให้เขาถูกกลั่นแกล้งเสร็จก่อน แล้วรู้ว่าตัวเองอ่อนด้อยแค่ไหน ฉันค่อยออกหน้าช่วยแมลงที่น่าสงสาร!”

“แบบนั้นเขาถึงจะซาบซึ้งในน้ำใจ และเชื่อฟัง แล้วช่วยฉันจัดการงาน” ขณะที่หวางหงหลิงพูดก็เผยสีหน้าพึงพอใจขึ้น พร้อมท่าทางมั่นใจขึ้น

เธอนึกถึงตอนที่หลินอิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด แล้วตัวเองปรากฏตัวขึ้น จากนั้นเขาก็ร้องไห้ขอบคุณตัวเองด้วยความซาบซึ้งใจ

เมื่อนึกถึงสถานการณ์นี้ หวางหงหลิงก็อดใจหัวเราะออกมาไม่ได้

“อืม….คุณหนูครับ เกรงว่าคงอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณหนูจินตนาการก็ได้ครับ ผมรู้สึกว่าหลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดาครับ” ไอ้หก พูดด้วยสีหน้าลังเลขึ้น และพูดทำลายจินตนาการที่กวางหงหลิงจินตนาการด้วย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคุณหนูเป็นอะไรไป? ทำไมถึงสูญเสียความเป็นตัวเองแบบนี้….

มือของหลินอิ่งสามารถวางบนตัวของตัวเองและ ไอ้เจ็ด อย่างง่ายดายได้แบบนี้ คงไม่ง่ายดายอย่างที่จินตนาการแน่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน