ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 165 รีบกราบเดี๋ยวนี้

บทที่ 165 รีบกราบเดี๋ยวนี้

บทที่ 165 รีบกราบเดี๋ยวนี้

“นายท่านครับ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”

“ใช่ค่ะคุณปู่ รู้สึกดีขึ้นไหมคะ?”

ไม่นาน คนของตระกูลกงซุนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ถามไถ่ขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

ตาของกงซุนฉงหลงหรี่ลงเล็กน้อย แล้วมองดูคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไปหนึ่งรอบ ถามด้วยเสียงเบาๆ “ใช้ได้ เมื่อสักครู่นี้หมอเทพท่านไหนรักษาข้าให้หายดี?”

เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าของคนในเหตุการณ์ต่างก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะลูเหลียงยู่และกงซุนเฟยเทียน สีหน้าของเขาสองคนแย่จนถึงขีดสูงสุด

นี่มันอะไรกัน? ไอ้คนบ้านนอกที่ชื่อว่าหลินอิ่งแค่ทำการรักษาอย่างสะเพร่า นายท่านก็ฟื้นมาแล้ว? หมอสากลหมอยาจีนทั้งหมดที่เสียเงินจ้างมาเป็นล้านก่อนหน้านี้ พวกขาทำอะไรกัน?

กงซุนชิวอวี่และกงซุนเฟยหงแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา พวกเขากำลังจะเอ่ยปากพูดอย่าง

“เพราะอาจารย์ลูครับ!” กงซุนเฟยเทียนพูดออกมาอย่างเด็ดขาด “พ่อครับ ก่อนหน้านี้อาจารย์ลูฝังเข็มช่วยให้การไหลเวียนโลหิตของพ่อดีขึ้น แล้วเขียนใบสั่งยาให้ ตอนนี้ท่านจึงได้ฟื้นขึ้นมาครับ”

“ใช่ครับ นายท่านครับ ตอนนี้นายท่านดีขึ้นหรือยังครับ?” ลูเหลียงยู่ก็พูดตามน้ำไป และเสแสร้งขึ้นมา

“ดูเหมือนว่า ท่านจะหายดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ ใบสั่งยานี้ได้ผลดีจริงๆ”

เขาทั้งสองรีบเดินเข้าใกล้นายท่านกงซุน และพูดขึ้นมาด้วยความประจบ

กงซุนชิวอวี่เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกตะลึงขึ้นมาทันที หน้าด้านเกินไปรึเปล่า? เห็นๆ กันอยู่ว่าเมื่อสักครู่นี้พี่ฉีหยิ่นเป็นคนรักษานายท่านจนฟื้นกลับมา

แต่พวกเขากลับพูดว่าเป็นฝีมือของตัวเองอย่างไร้ยางอาย?

“อะแฮ่ม เฟยเทียน อาจารย์ลู พวกคุณพูดอะไรระวังกันหน่อยได้หรือไม่?” กงซุนเฟยหงจ้องมองไปที่ทั้งคู่ด้วยสายตาที่เย็นชา

และพูดอย่างจริงจังว่า “พ่อครับ คนที่รักษาพ่อจนฟื้นกลับมาเมื่อสักครู่นี้คืออาจารย์หลิน เป็นหมอเทพที่มาจากมณฑลตุงไห่ ชิวอวี่เป็นคนไปเชิญท่านที่มณฑลตุงไห่โดยเฉพาะครับ”

พูดไปกงซุนเฟยหงก็ผายมือแนะนำหลินอิ่งไปด้วย

“อาจารย์หลินที่มาจากมณฑลตุงไห่?” กงซุนฉงหลงขมวดคิ้วขึ้นมา และมองไปที่หลินอิ่ง สายตาของเขาไม่ค่อยเชื่อถือ เขาเองก็รู้สึกว่าอาจารย์ท่านนี้อายุยังน้อย เพิ่งจะอายุ20ต้นๆ?

“พี่ใหญ่ครับ พี่ยังเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของลูกเขยไม่เอาไหนคนนี้อยู่ใช่ไหม? ไอ้คนแซ่หลินมันหลอกลวงชัดๆ! ทำตัวเสแสร้งหลอกลวง” กงซุนเฟยเทียนพูดอย่างเด็ดขาด “นี่เป็นผลจากการที่อาจารย์ลูฝังเข็มและจ่ายยาต่างหาก สุดท้ายไอ้คนแซ่หลินก็มาแย่งผลงานไป และแสร้งว่าเป็นเพราะฝีมือของตน”

“ถูกต้องครับ” ลูเหลียงยู่พูดพร้อมเอามือลูปเครา “ทุกท่านครับ เมื่อสักครู่นี้ผมได้อธิบายเกี่ยวกับอาการของนายท่านให้พวกท่านฟัง และยังฝังเข็มไปครึ่งชั่วโมง และสั่งจ่ายยาราคาแพง ขั้นตอนนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก ทุกคนก็คงเห็นเช่นกัน และเพราะการทำงานอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ของเรา อาการของนายท่านจึงดีขึ้น”

“สิ่งที่อาจารย์ลูพูดสมเหตุสมผลมากเลยครับ! พี่ใหญ่ครับ ชิวอวี่ พวกคุณลองคิดดูสิ แค่หลินอิ่งนักต้มตุ๋น หยิบเข็มขึ้นมาแล้วทำท่าทีฝังเข็ม ก็สามารถทำให้อาการของนายท่านดีขึ้นได้อย่างนั้นหรือ?”

กงซุนเฟยเทียนกล่าว “เห็นได้ชัดเลยว่า นี่เป็นผลงานของอาจารย์ลู ส่วนหลินอิ่งก็แค่เสแสร้งทำเหมือนรักษาเพียงเท่านั้น แค่ฝีมือการฝังเข็มกระจอกๆ ของเขา มันจะได้ผลอะไร”

ทั้งคู่พูดตามน้ำกันไป ราวกับว่าเรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ

“พี่ใหญ่ครับ พี่อย่าเชื่อนักต้มตุ๋นที่แซ่หลินเลย สิ่งที่พี่ชายรองพูดสมเหตุสมผลกว่า นี่เป็นผลจากการรักษาของอาจารย์ลูอย่างแน่นอน”

“นายท่านครับ เรื่องราวเป็นมาเช่นนี้ครับ ไอ้นักต้มตุ๋นแซ่หลินคนนี้เขาแค่แสร้งทำเป็นรักษาท่าน คนที่รักษาท่านจนหายดีคืออาจารย์ลูครับ”

คนของตระกูลกงซุนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ออกตัวพูดเช่นเดียวกัน ล้วนพูดจาเข้าข้างอาจารย์ลูและกงซุนเฟยเทียนกันหมด

ในสายตาพวกเขา หลินอิ่งยังหนุ่มเกินไป แค่จับเข็มทองทำท่าทีว่าฝังเข็ม ก็กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าหมอเทพงั้นเหรอ? แน่นอนว่าเขาต้องแย่งผลงานจากอาจารย์ลูมาอย่างแน่นอน และยังกล้าพูดอีกว่าตนเป็นคนรักษาท่านจนหายดี

บนโลกนี้จะมีวิชาที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร การฝังเข็มเพียงไม่ถึง

3นาที ก็สามารถทำให้นายท่านที่ป่วยอย่างหนักหายดีได้?

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” สีหน้าของกงซุนฉงหลงนิ่งและถามด้วยเสียงหนักแน่น

“นี่มัน……. พ่อครับ เป็นเรื่องจริงที่หลังจากที่อาจารย์หลินฝังเข็มให้ท่าน ท่านก็ฟื้นขึ้นมาเลยครับ” กงซุนเฟยหงพูดอย่างเคร่งขรึม

“พ่อครับ พี่ใหญ่สับสนไปแล้วครับ นักต้มตุ๋นที่อายุน้อยเช่นนี้ พี่เชื่อว่าเขาเป็นหมอที่เก่งกาจราวกับเทพหรือ” กงซุนเฟยเทียนกล่าว เขาดูถูกและเยาะเย้ยหลินอิ่ง “ท่านดูซิ อาจารย์ลูเขียนใบสั่งยาที่ละเอียดและดีให้กับท่านด้วยนะครับ อาจารย์ลูเป็นถึงหมอยอดฝีมือประจำมณฑล ไอ้หลินอิ่งเป็นตัวอะไร? เป็นแค่คนที่มีชื่อเสียงในมณฑลตุงไห่เรื่องไม่เอาไหน และยังกล้าพูดอย่างไม่กลัวตายว่าท่านโดนยาพิษเรื้อรัง นี่พูดจาขู่กันชัดๆ?”

“นี่มัน พ่อครับ เรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนี้อย่างแน่นอนครับ ร่างกายของท่าน ท่านรู้ดีที่สุด เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ?” กงซุนเฟยหงถาม

พวกชายรองเอาแต่ใส่ร้ายอีกฝ่ายต่อหน้านายท่าน ใจดำจริงๆ เลย แย่งผลงานของอาจารย์หลินที่ตนเชิญมาก็แล้ว ถึงยังไงร่างกายของนายท่านกลับมาดีขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

แต่ว่า พวกเขากลับตำหนิอีกฝ่าย แล้วต่อไปนี้จะให้เขาพูดยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านฉี? แล้วเขาจะรักษาอำนาจตนเองเมื่ออยู่ในตระกูลไว้ได้อย่างไร?

โดยเฉพาะ อาจารย์หลินเคยพูดถึงเรื่องที่นายท่านโดนยาพิษเรื้อรัง เรื่องนี้ถ้าไม่กล่าวให้ชัดเจน ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาเยอะขนาดไหน

“นายว่ายังไงนะ? อาจารย์หลินคนนั้นบอกว่าฉันโดนยาพิษเรื้อรังงั้นหรือ?” กงซุนฉงหลงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และถามด้วยความสงสัย

“ใช่ครับ! พ่อครับ ท่านว่าคนแบบนี้สมควรตายใช่ไหมครับ? กล้าที่จะมาใส่ร้ายตระกูลกงซุนของเราได้อย่างไร เดี๋ยวผมจะจัดการเขาเองครับ! ” กงซุนเฟยเทียนพูดอย่างรอช้าไม่ได้ “โดยเฉพาะที่เขามาที่ตระกูลกงซุนเป็นต้นมา เขาก็เสี้ยมให้ความสัมพันธ์ระหว่างชิวอวี่และสือเอ๋อแตกหัก แถมยังเหยียบหน้าสือเอ๋อด้วยครับ นั้นเป็นหลานสุดที่รักของท่านเลยนะครับ”

สีหน้าของกงซุนฉงหลงดูปกติ ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองดูผู้คนที่อยู่ในนั้นด้วยสีหน้าที่น่าเกรงขาม ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“หลินอิ่ง นายมานี่เลยนะ ไอ้หมาที่ไม่รู้ที่เป็นที่ตาย กล้าที่จะบอกอาการของนายท่านมั่วๆ ได้อย่างไร?”

กงซุนเฟยเทียนพูดอย่างโอหัง คราวนี้เขาพูดกล่อมหูนายท่านได้แล้ว พี่ใหญ่เองก็ไม่สามารถปกป้องไอ้คนแซ่หลินได้

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายท่านเปลี่ยนไป กงซุนเฟยเทียนก็ดูสีหน้าแล้วก่อเรื่อง คราวนี้เอาขอหาใส่ร้ายนายท่านโบ้ยให้กับเขา ดูซิว่าใครจะกล้าปกป้องเขาอีก?

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา แต่ไม่พูดอะไร ราวกับว่ากำลังดูละครตลกอยู่

“ยังกล้ายิ้มอีกหรือ? ทำไม? นายคิดว่าตัวเองหลอกพี่ใหญ่และชิวอวี่ได้แล้ว ก็คิดว่าอยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจงั้นหรือ?” กงซุนเฟยเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ตามที่เราคุยกันไว้ ตอนนี้นายรีบมากราบขอโทษอาจารย์ลูเดี๋ยวนี้เลย!”

“ไอ้แซ่หลิน คนได้ยินตอนพนันกันเยอะนะ รีบมากราบขอโทษตามที่เราพนันกันไว้เดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือไม่?”

ลูเหลียงยู่ยิ้มอย่างภูมิใจ “มิเช่นนั้น อย่าให้พี่เฟยเทียนต้องสั่งให้คนใช้กำลังจัดการ! ”

หลินอิ่งมีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมแล้วยังไง? สุดท้ายพวกเขาก็เอาผลงานของเขาไปอยู่ดี?

เป็นแค่คนบ้านนอก ยังจะกล้าทำตัวโอหังในสถานที่แบบนี้

หลินอิ่งไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป

“อาจารย์หลิน นี่มัน…….อาจารย์หลินครับ…. พวกคุณอย่าทำเกินไป อาจารย์หลินเป็นแขกที่ผมเชิญมาเช่นกันนะครับ”

กงซุนเฟยหงกล่าว ตอนนี้อยู่ต่อหน้านายท่าน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรที่แสดงอำนาจของเขาออกมา

“โอ๊ย พี่ใหญ่ครับ พี่ไม่เห็นหรือว่าทำให้นายท่านโกรธแล้ว? ไอ้นายคนนี้กล้าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าว่านายท่านโดนยาพิษเรื้อรัง ถ้าไม่จัดการให้ดี ก็คงคิดว่าอำนาจของเหล่าตระกูลกงซุนเป็นสิ่งที่สามารถลบหลู่ได้?” กงซุนเฟยเทียนพูดด้วยสีหน้าที่หยิ่งผยอง “มากราบเดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือไม่?”

ปั๊ง!

หลินอิ่งแตะขาไปอย่างกะทันหัน แล้วกระโดดถีบจนทำให้เข่าของกงซุนเฟยเทียนดังลั่น แล้วคุกเข่าลงทันที

จากนั้นเขาก็หมุนตัวไปจับตัวลูเหลียงยู่ไว้ แล้วตบหน้าเขาจนตัวหมุนอยู่กับที่ แล้วเขาก็คุกเข่าต่อหน้าเขา

“กราบเดี๋ยวนี้! ”

แววตาของหลินอิ่งแหลมคม แล้วมองไปที่ลูเหลียงยู่ที่สีหน้าตกใจเกร็งกลัวตรงขาของตนด้วยสายตาที่เย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน